ป๋อจ้าน Au S.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] Juunana Sai : 17ฝน : 05

  

ป๋อจ้าน Au S.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]   Juunana Sai : 17ฝน  : 05

 

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au

: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน

: Period / Romance / Suspense / Mystery / Crime

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ

 

 

 

อาจจะเป็นเพราะทั้งๆที่รอบกายมีแต่เงาแห่งความตายแต่เขากลับยังหาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย สารวัตรหนุ่มแห่งสถานีตำรวจมัตสึโมโตะจึงรู้สึกติดใจกับคำพูดของเซริซาว่า จิอากิจนต้องมายืนค้นแฟ้มคดีเก่าอยู่ในห้องเก็บหลักฐานแบบนี้

 

 

“...เมื่อครึ่งปีก่อน...คิมิสึกิ วายะ กระโดดหอคอยของโรงเรียนฆ่าตัวตาย”

 

 

เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวข้องอะไรกันไหม แต่ลางสังหรณ์ของเขากลับบอกว่าไม่ควรจะปล่อยคำพูดนี้ไป การตายของเด็กคนหนึ่งอาจจะก่อความแค้นให้ใครบางคนก็ได้ ถึงจะบอกว่ามันเป็นการฆ่าตัวตายแต่เพราะอะไรกันล่ะ? อะไรกันที่ทำให้เด็กหนุ่มอายุเพียงแค่17ปีตัดสินใจจบชีวิตตัวเองอย่างน่าเศร้าแบบนี้

 

มือใหญ่พลิกแฟ้มคดีที่แทบไม่มีอะไรนอกจากรูปถ่ายขาวดำหนึ่งใบ เพราะผลสรุปของคดีนี้คือการฆ่าตัวตาย ทั้งหลักฐานทั้งพยานจึงแทบไม่มี

 

นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเก็บแฟ้มเข้าชั้น แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับแฟ้มที่อยู่ใกล้ๆกัน เพราะทั้งสถานที่ เดือนและปีของคดีนั้นมันเหมือนกับคดีของคิมิสึกิ วายะไม่มีผิด ห่างกันแค่เพียงอาทิตย์เดียว

 

คดีคนหาย?

 

มือใหญ่พลิกแฟ้มเร็วๆก่อนจะกวาดตาไล่ดูสำนวนคดีที่บันทึกเอาไว้ ถึงนี่จะไม่มีคนตายและในสำนวนคดีก็ระบุไว้ว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคดีของคิมิสึกิ วายะ แต่เขากลับสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย

 

เด็กคนหนึ่งของโรงเรียนไคจิหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลังคิมิสึกิ วายะกระโดดตึกตายเพียงแค่สัปดาห์เดียว...มันไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้น?

 

เขาไล่นิ้วไปตามสันแฟ้มที่อยู่ติดๆกัน...ไม่มี...ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะของปีนี้หรือปีที่แล้ว โรงเรียนไคจิก็ไม่เคยมีคดีที่ถึงกับต้องมีตำรวจไปยุ่งเกี่ยวมาก่อนเลย

 

ซาคาโมโต้ คาโอรุ

 

เขาท่องจำชื่อของเด็กที่หายไปคนนั้นให้ขึ้นใจก่อนจะพับปิดแฟ้มแล้วเดินออกจากห้องไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“คิมิสึกิ วายะน่ะ เป็นเด็กเงียบๆ”    ครูใหญ่พูดโดยไม่หันมามองหน้าสารวัตรหนุ่ม สายตาของพวกเขาทั้งคู่ต่างทอดมองอยู่ที่หอคอยซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางอาคารเรียนพอดี...ตรงนั้น...เป็นที่ที่เด็กคนนั้นกระโดดลงมา

 

“ผมก็ไม่รู้นะว่าทำไมคุณตำรวจถึงอยากรู้เรื่องของเด็กคนนั้น แต่หลังจากที่เกิดเหตุผมก็รู้สึกเสียใจมาตลอดที่ไม่ได้เอาใจใส่เขาให้ดีกว่านี้”   ครูใหญ่พูดด้วยเสียงเศร้าๆ

 

“คุณตำรวจอยู่ที่นี่มาสักพักก็คงพอจะรู้แล้วสินะครับว่าเด็กนักเรียนของที่นี่เป็นคนประเภทไหน”   ใบหน้าอวบอูมยิ้มเจื่อนๆให้เขาซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ

 

“ถ้าจะให้นิยามถึงคิมิสึกิสักประโยค ก็คงต้องบอกว่าเขาไม่เหมาะที่จะเป็นนักเรียนของที่นี่เลย...”

 

“เด็กคนนั้นเป็นลูกของเกอิชาครับ”     ร่างสูงสง่าถึงกับนิ่งงัน เขาเข้าใจทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคิมิสึกิ วายะในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยชนชั้นแห่งนี้

 

“ถึงจะเป็นเกอิชาชั้นสูงของกิออน แต่ยังไงก็ยังเป็นเกอิชา แถมพ่อเป็นใครก็ไม่รู้ คิมิสึกิเลยโดนดูถูกเหยียดหยามจากเด็กคนอื่นๆ ไม่มีใครยอมรับ ไม่มีเพื่อน ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว บางครั้งก็โดนแกล้ง โดนหัวเราะเยาะ ถูกมองเป็นตัวตลกบ้าง เป็นของเล่นบ้าง...”

 

“คุณครูทุกคนก็รู้และพยายามห้ามปราม แต่ที่นี่เป็นโรงเรียนประจำกินนอน เวลาที่อยู่นอกเหนือสายตาครูนั้นมีมากกว่า คุณคงพอจะเดาได้ว่าเด็กคนนั้นจะต้องอยู่อย่างเหงาหงอยแค่ไหนในหอพัก”

 

“แต่ถึงจะเป็นเด็กเงียบๆและไม่มีเพื่อนสักคน เขาก็ไม่เคยมีท่าทีว่าจะคิดสั้นแบบนั้นมาก่อนเลย ผมจึงตกใจมากในวันที่พบศพของเขาตกลงมาจากหอคอย”

 

“ไม่ได้มีท่าทีว่าอยากจะฆ่าตัวตาย?”    นายตำรวจหนุ่มเอ่ยย้ำแทนประโยคคำถาม

 

“ครับ ถึงจะอยู่ตัวคนเดียวแต่เขามักจะอมยิ้มเหมือนกำลังนึกถึงเรื่องดีๆบางอย่างอยู่เสมอ เขาตั้งใจเรียนราวกับว่ายังมีอนาคตที่ดีรอเขาอยู่ ผมจึงวางใจมาตลอดว่าคิมิสึกิคงไม่เป็นไร”    ฟูจิวาระ อิตสึกิพยักหน้าเบาๆในขณะที่จดทุกอย่างลงสมุดบันทึกเล่มเล็ก จะเป็นไปได้ไหมว่าแท้ที่จริงแล้วคิมิสึกิ วายะอาจจะไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ถูกทำให้ตกลงมาจากหอคอย?

 

เขาเลือกที่จะนิ่งเงียบเอาไว้ก่อน ยังไม่เอ่ยข้อสงสัยของตัวเองออกไปถามครูใหญ่ในตอนนี้ คดีของคิมิสึกิจบลงไปแล้ว คงไม่มีใครยินดีหากเขาจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาใหม่ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานอะไร

 

“เมื่อกี้ครูใหญ่บอกว่าแม่ของเด็กคนนั้นเป็นเกอิชาและไม่รู้ว่าพ่อเป็นใคร ถ้าอย่างนั้นเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ได้ยังไงครับ? เท่าที่ผมรู้จะต้องมีฐานะของทางบ้านรับรองนี่ครับ?”    เพราะเป็นโรงเรียนต้นแบบที่มีชื่อเสียงมาก แต่ละปีๆจึงมีเด็กรอเข้าโรงเรียนนี้ไม่ใช่น้อยๆ แทบจะต้องคัดเอาแค่หนึ่งในร้อยเลยก็ว่าได้

 

“อ๋อ  คุณครูประจำห้องดนตรีเป็นคนรับรองให้คิมิสึกิครับ เรามีสิทธิพิเศษให้ครูทุกคนอยู่ครับ”

 

“คุณครูประจำห้องดนตรี?”

 

“เห็นว่าเป็นญาติห่างๆกับแม่ของคิมิสึกิน่ะครับ”

 

“ครับ...”    เขาพยักหน้ารับอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร เขาเคยพบคุณครูประจำห้องดนตรีครั้งหนึ่งตอนไปถามเรื่องของจิอากิซัง

 

“แล้ว...ซาคาโมโต้ คาโอรุที่หายตัวไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นล่ะครับ ทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือเปล่าครับ?”

 

“เอ...เท่าที่ผมรู้ ทั้งสองคนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันนะครับ ซาคาโมโต้คุงออกแนวนักเรียนดีเด่นด้วยซ้ำ เขาเป็นถึงรองประธานและถ้ายังอยู่ก็น่าจะได้เป็นประธานนักเรียนในปีหน้า  อย่างเขาไม่น่าจะไปสุงสิงกับคิมิสึกิคุงที่ทุกคนดูแคลนหรอก”

 

“ครับ”

 

“พูดแล้วก็น่าเสียดายจริงๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซาคาโมโต้คุง พวกตำรวจก็มาช่วยค้นหาจนทั่วป่าหลังโรงเรียน แต่ก็ไม่เจอตัวเลย”

 

“ยังพอจะมีข้าวของเครื่องใช้ของเด็กสองคนนี้หลงเหลืออยู่ไหมครับ?”

 

“ของของเด็กทั้งสองคนถูกส่งกลับไปที่บ้านหมดแล้วละ บ้านของคิมิสึกิอยู่ที่เกียวโต ส่วนบ้านของซาคาโมโต้อยู่ที่นากาโนะนี่เอง ถ้าคุณตำรวจอยากตรวจสอบอะไรก็ลองไปที่บ้านของพวกเขาดูนะครับ”

 

บทสนทนาจบลงในขณะที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าพอดี เขาจึงแยกย้ายกับครูใหญ่ก่อนจะเดินกลับไปที่อาคารหอพัก

 

จากมัตสึโมโตะไปนากาโนะใช้เวลาไปเช้าเย็นกลับน่าจะทัน ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรจะไปบ้านของซาคาโมโต้ คาโอรุก่อน เขาก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสองคดีนั้นจะเกี่ยวข้องอะไรกันหรือเปล่าแล้วจะเกี่ยวข้องกับอีกสองคดีที่เขากำลังตามสืบอยู่นี้ไหม แต่การตายของคิมิสึกิ วายะก็ดูจะเป็นจุดเริ่มต้นของคดีสยองขวัญทั้งหลายแหล่นี่จริงๆ อย่างน้อยคดีอื่นๆก็เกิดหลังจากที่เด็กคนนั้นตายลงไป

 

 

 


 

 

 

“ผมไปด้วยได้ไหมครับ?”    ฟูจิวาระ อิตสึกิถึงกับผงะไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าคำๆนี้จะออกมาจากปากของเซริซาว่า จิอากิ

 

เขากลับเข้ามาที่ห้องพักแล้วก็เล่าให้จิอากิซังฟังว่าเขากำลังจะทำอะไรต่อไป แล้วจู่ๆคุณชายเล็กแห่งตระกูลเซริซาว่าก็โพล่งออกมาว่าอยากไปด้วยเสียแบบนั้น

 

ทีเพื่อนนักเรียนชวนไปกินข้าวเย็นกลับปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เขาจะไปสืบคดีฆาตกรรมกลับอยากไปกับเขา?

 

“คุณ...รู้จักซาคาโมโต้ คาโอรุเหรอครับ?”   เขาถามอีกฝ่ายเผื่อว่าจะเป็นเพื่อนกับคนที่หายตัวไปแล้วอยากจะตามหาเพื่อนอะไรแบบนั้น

 

“เปล่าครับ ผมไม่ได้รู้จักซาคาโมโต้เป็นการส่วนตัวหรอกครับ”    อ้าว? ตกลงแค่อยากไปกับเขาเฉยๆใช่ไหม?

 

“ผมไม่ได้ไปเที่ยวเล่นนะครับ”    เขาแกล้งหยอกเย้า

 

“คุณก็ไปสืบคดีของคุณไปสิ ส่วนผมแค่ขอติดรถไปเที่ยวเล่นเท่านั้น”    ไม่คิดเลยว่าจิอากิซังที่ดูอ่อนหวานเรียบร้อยก็จะมีมุมดื้อมุมซุกซนกับเขาด้วย แบบนี้ค่อยสมกับเป็นเด็กขึ้นมาหน่อย

 

“ถ้างั้นก็ตามใจครับ”

 

“งั้นผมจะรีบนอน พรุ่งนี้คุณจะไปแต่เช้าใช่ไหม?”

 

“ครับ”   เขาอมยิ้มอย่างเอ็นดู ร่างโปร่งบางล้มตัวลงนอนก่อนจะห่มผ้าถึงคอเรียบร้อย

 

 

 



 

 

 

พวกเขาออกจากโรงเรียนไคจิมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง แสงสว่างยังไม่ทันจะโผล่พ้นขอบฟ้าดี

 

"ครูใหญ่บอกว่า...คิมิสึกิ วายะกับซาคาโมโต้ คาโอรุไม่รู้จักกัน ในมุมนักเรียนอย่างคุณ คุณคิดว่าพวกเขาสองคนมีความเกี่ยวข้องกันไหม?"    สารวัตรหนุ่มเอ่ยถามในขณะที่ขับรถไปด้วย คนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างๆนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา

 

"...อืม...ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่ดูจากเส้นทางของทั้งสองคนแล้วก็คงไม่มีใครคิดว่าจะมาบรรจบกันได้หรอก สองคนนั้นต่างกันมากเกินไป คุณก็รู้ใช่ไหมว่าพ่อของซาคาโมโต้เป็นใคร?"    เขาต้องรู้อยู่แล้วละว่าวันนี้เขาจะต้องไปเจอใคร เมื่อวานเย็นเขาถึงกับต้องโทรศัพท์ทางไกลไปขอเข้าพบก่อนเลยทีเดียว

 

ซาคาโมโต้คือนามสกุลของผู้ปกครองภูมิภาคชูบุคนปัจจุบัน เป็นผู้ว่าราชการระดับภูมิภาคไม่ใช่แค่ระดับจังหวัด

 

"ซาคาโมโต้เองก็ทำตัวสมฐานะวงศ์ตระกูลนั่นแหละ หมอนั่นเรียนเก่งแล้วก็มีความเป็นผู้นำ ใครๆก็เคารพนับถือ ส่วนคิมิสึกิเป็นคนเงียบๆมักจะทำตัวลีบๆอยู่ตามมุมห้อง พยายามไม่ทำตัวให้เป็นที่สังเกต...ผมชอบเขานะ น่าจะเป็นคนแรก...ที่ผมอยากเป็นเพื่อนด้วย แต่เขาก็เอาแต่หนีผม"   

 

"ผมชักอยากจะเห็นหน้าเขาเสียแล้วสิ ต้องเป็นคนแบบไหนกันนะถึงทำให้คุณสนใจได้เนี่ย?"   เขาหันไปหยอกเย้าคนที่ทำหน้าแสนงอนกลับมาให้ หลังๆมานี้จิอากิซังลดกำแพงกับเขาลงมาก ไม่ทำท่าทีหวาดระแวงหรือหยิบมาดคุณชายมาใช้ เหลือไว้แค่คนน่ารักๆคนหนึ่ง มีงอน มีเอาแต่ใจ ให้ความรู้สึกเป็นกันเองมากขึ้นมากๆ

 

"เสียใจด้วยนะครับ ผมไม่มีรูปเพื่อนร่วมรุ่นให้คุณดูหรอก"   จิอากิซังชักหน้างอก่อนจะหันไปมองข้างทาง เขาจึงยิ้มบางๆ

 

แต่จะว่าไปแล้วเขาก็ยังไม่เคยเห็นหน้าคิมิสึกิ วายะเลย รูปในแฟ้มคดีก็มีแต่ภาพถ่ายศพที่หัวเละไปกว่าครึ่ง เขาชักจะสนใจเรื่องของเด็กคนนี้ขึ้นมาตั้งแต่ที่จิอากิซังพูดถึงในวันที่ทานอาหารเย็นด้วยกันนั่นแล้ว

 

คนที่ทำให้คุณชายเล็กแห่งตระกูลเซริซาว่าอยากเป็นเพื่อนด้วย อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกเดียวกันนี้กับซาคาโมโต้ คาโอรุด้วยก็ได้ใครจะรู้

 

ตามความรู้สึกเขาเส้นทางของจิอากิซังยิ่งไม่น่ามาบรรจบกับคิมิสึกิยิ่งกว่าเสียอีก แต่ทั้งสองคนก็ยังรู้จักกันได้เลย

 

“ถ้าคุณง่วงก็หลับก่อนได้นะครับ ถึงแล้วเดี๋ยวผมปลุก”   เขาเอ่ยบอกเพราะเห็นอีกฝ่ายนั่งตาปรือ แสงข้างนอกก็ยังไม่สว่างมากพอจะมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามได้

 

“ผมไม่ชอบหลับในรถ”

 

 

 

 

“.....”    เขาหันไปอมยิ้มให้คนที่บอกว่า ไม่ชอบหลับในรถที่ตอนนี้ตะแคงข้างหลับซบเบาะไปเรียบร้อยแล้ว...

 

มือใหญ่ข้างหนึ่งเอื้อมไปดึงเสื้อคลุมขึ้นมาคลุมไหล่บางให้ นี่ถ้าไม่ใช่ว่าปลายทางคือการตามหาสาเหตุของฆาตกรรมแล้วละก็ การเดินทางในครั้งนี้ก็คือการไปเที่ยวกันสองต่อสองดีๆนี่เอง แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือมันไม่เหมือนการไปเที่ยวกับเพื่อนเลยสักนิด สิ่งที่อยู่ในความนึกคิดของเขากลับเหมือนคู่สามีภรรยาไปเที่ยวกันมากกว่า...

 

สงสัยเขาจะอยู่ในโรงเรียนชายล้วนนั่นมากเกินไปแล้ว!

 

ใบหน้าหล่อเหลาหันไปตั้งสมาธิกับการขับรถต่อ รอบข้างสว่างมากแล้ว เขาจึงได้เห็นว่าเส้นทางระหว่างมัตสึโมโตะไปจนถึงนากาโนะนั้นงดงามขนาดไหน ส่วนใหญ่เป็นเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามภูเขา มีแม่น้ำลำธารใสสะอาดโผล่มาให้เห็นบ้าง แต่สิ่งมีให้เห็นตลอดทางก็คือผืนป่าที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองกับสีแดงของฤดูใบไม้ร่วง

 

“จิอากิซัง”   เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่ยังหลับปุ๋ย ถึงไม่อยากจะปลุกแต่เขาก็ไม่อยากให้คนที่อุตส่าห์ตามมาเที่ยวเล่นด้วยต้องพลาดบรรยากาศงามๆของสองข้างทางไป

 

“ตื่นเถอะครับ ฟ้าสว่างแล้วครับ”

 

“อืม...”   มีเสียงงึมงำๆดังออกมาจากในลำคอ หัวสีดำผงกขึ้นมามองรอบๆกายอย่างไม่คิดว่าตัวเองจะเผลอหลับไปเสียได้

 

“ฮึๆ”   และพอได้ยินเสียงหัวเราะอย่างหยอกล้อของเขา ใบหน้างัวเงียก็ชักหน้าหงึใส่ก่อนจะหันไปเฉไฉจับผมให้เรียบร้อยอย่างไม่ยอมรับเรื่องที่ตัวเองหลับไป

 

“ปกติผมไม่เคยหลับไม่เป็นที่เป็นทางแบบนี้นะครับ”   เสียงนุ่มพยายามแก้ตัว

 

“แสดงว่าคุณวางใจและสบายใจตอนที่อยู่กับผม”    เขาหยอดไปหนึ่งทีเล่นเอาคนที่หันมามองต้องเสสายตาหนีด้วยความเขินอาย

 

“แต่รอบๆนี้...สวยมากเลยนะครับ...”    จิอากิซังแก้เขินด้วยกันเลื่อนสายตามองไปสองข้างทาง ถนนสายเล็กๆราวกับถูกล้อมเอาไว้ด้วยสีสันที่สดใสของป่าในฤดูใบไม้ร่วง เป็นเส้นทางที่สวยและโรแมนติกมาก รถโบราณแล่นช้าๆฝ่ากิ่งเมเปิลสีแดงที่ยื่นล้ำออกมาบ้าง ลมที่รถเคลื่อนผ่านหอบม้วนเอาใบที่ร่วงหล่นริมถนนพัดปลิวเกิดเป็นภาพที่น่าประทับใจ คนที่นั่งอยู่ข้างๆหันมองทุกภาพเหล่านั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย แค่เห็นว่าอีกฝ่ายชอบมากเขาก็ดีใจแล้ว

 

“จริงสิ คุณหิวไหม? ผมเตรียมข้าวปั้นมา ถ้าคุณหิวเราแวะทานกันก่อนก็ได้นะครับ”   จิอากิซังหันมาพูดกับเขา

 

“ข้าวปั้น?”

 

“ครับ เมื่อเช้าผมไปขอยืมห้องครัวที่โรงอาหารใช้...แต่ไม่รู้จะถูกปากคุณหรือเปล่านะครับ...”   จู่ๆแก้มของคนฟังก็ร้อนผ่าว...แบบนี้มันยิ่งเหมือนภรรยากับสามีเข้าไปใหญ่เลยไม่ใช่หรือไง

 

“ไม่คิดว่าคุณชายเซริซาว่าจะทำอาหารเป็นด้วย”    เขาพยายามหุบยิ้ม ใต้แผ่นอกซ้ายทำไมเต้นอย่างดีใจขนาดนี้ก็ไม่รู้ ยิ่งเหลือบไปเห็นสีหน้าที่ไม่มั่นใจในรสอาหารที่ตัวเองทำของจิอากิซัง ในหัวเขายิ่งจินตนาการไปไกล นี่มันแม่บ้านมือใหม่ชัดๆ

 

“ผมพอทำได้อยู่บ้างครับ...”

 

“ถ้างั้น จอดทานกันตรงนี้ดีไหมครับ ต้นไม้ตรงนั้นสวยมาก”    เขาหักพวงมาลัยให้รถลงไปจอดที่ไหล่ทาง เวิ้งตรงนี้มองเห็นทิวเขาสีเหลืองๆแดงๆสลับซับซ้อนอย่างงดงาม เหมาะแก่การทานอาหารไปชมวิวไปมากๆ

 

จิอากิซังหยิบห่อผ้าที่ถูกผูกอย่างเรียบร้อยออกมา กล่องเบนโตะไม้ที่ฝังลายเลื่อมมุกดูก็รู้ว่าเป็นของราคาแพง ถึงจะเป็นกล่องข้าวก็ยังเป็นกล่องข้าวชั้นสูงสมกับที่เป็นคนของตระกูลเซริซาว่าจริงๆ

 

มือบางค่อยๆเปิดกล่องเบนโตะออกด้วยสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจนัก ดวงตากลมโตที่เหลือบมองเขาเป็นระยะๆนั่นทำให้จิอากิซังยิ่งดูน่ารักจนหัวใจของเขาถึงกับเต้นกระหน่ำ ทำยังไงดี เขาห้ามใจตัวเองแทบไม่ไหวแล้ว

 

 

เขา...อาจจะตกหลุมรักเซริซาว่า จิอากิเข้าให้แล้วก็ได้...

 

 

“ลอง...ทานดูนะครับ...ถ้าไม่ถูกปากก็ไว้ค่อยเข้าไปทานในเมืองก็ได้นะครับ...”    จิอากิซังยื่นกล่องเบนโตะมาให้ทำให้เขาหลุดจากภวังค์

 

“เอ่อ...ครับ...”    มือใหญ่ยกมือเกาท้ายทอยแก้เขินก่อนจะก้มลงไปมองข้าวปั้นที่เรียงสวยอยู่ในกล่อง นี่ขนาดไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองนะ แต่หน้าตาข้าวปั้นแต่ละก้อนกลับสวยงามน่ารับประทานขนาดนี้ ดูก็รู้เลยว่าคนทำพิถีพิถันขนาดไหน

 

เขาหยิบขึ้นมากัดก้อนหนึ่ง แล้วมันก็ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาจริงๆด้วย ข้าวปั้นก้อนนี้รสชาติดีมาก เป็นรสที่เขาชอบพอดี

 

“อร่อยมากครับ”    เขาเคี้ยวตุ้ยๆ ใบหน้ามนถึงกับถอนหายใจที่เขาชอบ จิอากิซังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทางดีใจเหมือนภรรยาที่รอลุ้นว่าสามีจะว่ายังไงในรสชาติอาหารที่ตัวเองทำ เล่นเอากินไปก็เขินกันไป มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนเลยทีเดียว

 

“อ่ะ มีชาด้วยนะครับ”   มือบางหยิบห่อผ้าทรงกระบอกออกมาอีกอัน ในนั้นมีกระบอกน้ำร้อนที่ใส่ชาอุ่นๆเอาไว้ อ้า เตรียมพร้อมขนาดนี้ต้องเป็นศรีภรรยาที่ดีได้แน่ๆครับ

 

เขารับชาที่ถูกรินใส่ฝามาจิบ กลิ่นของชาหอมละมุนสมเป็นชาชั้นดี อาหารมื้อนี้เขาคงจดจำไปจนวันตายเลยก็ว่าได้

 

“คุณก็ทานด้วยกันสิครับ”   ใบหน้ามนพยักรับก่อนจะหยิบข้าวปั้นใส่ปากบ้าง บรรยากาศตอนนี้กำลังดีสุดๆ ได้ทานอาหารอร่อยๆ กับคนที่อยู่ด้วยแล้วอบอุ่นหัวใจ ในทิวทัศน์ที่งดงามตระการตา

 

บางที...เขาก็นึกอยากให้เวลาหยุดลงตรงนี้เสียจริงๆ

 

 

 

 



 

แต่คำขอนั้นของเขาคงจะไม่เป็นผล ในเมื่ออีกสองสามชั่วโมงให้หลัง เขาก็มาถึงเมืองนากาโนะจนได้

 

ขนาดที่เมืองนี้เองวัฒนธรรมแบบตะวันตกก็ยังเข้าถึงแล้ว รถของเขาแล่นเข้าไปจอดหน้าบ้านสไตล์ยุโรปหลังใหญ่บ่งบอกฐานะที่ไม่ธรรมดาของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี

 

“คุณตำรวจที่นัดท่านผู้ว่าไว้ใช่ไหมคะ? เชิญทางนี้ค่ะ”   หญิงสาวที่แต่งตัวเรียบหรูดูแว่บเดียวก็รู้ว่าน่าจะเป็นนายหญิงของบ้านเดินออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง ตอนแรกเขากับจิอากิซังก็มองหน้ากันอย่างสับสนเพราะปกติแล้วคนที่เป็นเจ้าของบ้านจะไม่ออกมารับแขกเองแบบนี้แต่เป็นหน้าที่ของบ่าวไพร่เสียมากกว่า

 

ทว่า วินาทีต่อมาเขาก็เข้าใจได้ว่าซาคาโมโต้ คาโอรุที่หายตัวไปนั้นมีความสำคัญต่อคนในบ้านนี้ขนาดไหน ผู้เป็นแม่จึงร้อนใจจนนั่งไม่ติดและเดินออกมาต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง

 

“ท่านผู้ว่าอยากคุยกับคุณตำรวจมากจริงๆ แต่ท่านดันติดประชุมด่วน ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ คงมีแค่ดิฉัน เอ่อ ดิฉันเป็นแม่ของซาคาโมโต้ คาโอรุค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”   นายหญิงของบ้านซาคาโมโต้โค้งให้ด้วยมารยาทที่งดงามแบบชาวญี่ปุ่น

 

“ครับ ผมฟูจิวาระ อิตสึกิ สารวัตรของสถานีตำรวจมัตสึโมโตะครับ รบกวนด้วยนะครับ”   เขาก็โค้งให้เช่นกัน

 

“ส่วนทางนี้คือเซริซาว่า จิอากิ เป็นเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นปีของซาคาโมโต้คุงครับ”    นายหญิงของบ้านซาคาโมโต้ดูจะตกใจเล็กน้อยที่รู้ว่าเด็กหนุ่มหน้าหวานคนที่ยืนข้างๆเขาเป็นใคร แน่นอนว่าผู้ปกครองของเด็กทั้งโรงเรียนไคจิย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าลูกชายคนเล็กของตระกูลเซริซาว่าจะเข้ามาเรียนในรุ่นนี้และคงคอยบอกลูกชายของตัวเองให้เข้าหาทำความรู้จักเอาไว้

 

จิอากิซังก็โค้งให้คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า หญิงสาวเพียงมองมาด้วยดวงตาสั่นระริกราวกับกำลังคิดถึงลูกชายที่หายไปของตัวเองอยู่

 

“เชิญนั่งก่อนค่ะ ท่านผู้ว่าก็อยากจะอยู่พบคุณตำรวจเหมือนกัน แต่งานราชการเลี่ยงไม่ได้ ท่านเองก็ร้อนใจอยากให้ช่วยติดตามหาลูกชายของเราให้ได้เหมือนกันค่ะ”    ใบหน้าของนายหญิงมีแววเศร้าหมอง สองแก้มตอบซูบราวกับคนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ครึ่งปีที่ผ่านมานี้คงจะคิดมากเรื่องลูกชายเพียงคนเดียวที่หายตัวไปอยู่ตลอด หญิงสาวจึงเปิดประเด็นอย่างไม่รั้งรอ

 

“คุณตำรวจคะ ดิฉันทราบข่าวคดีที่มีเด็กถูกฆ่าในโรงเรียน...จะเป็นไปได้ไหมคะว่าลูกชายของดิฉัน...ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหยื่อเหล่านั้น เพียงแต่เรายังหาศพแกไม่พบ”    คุณนายผู้ว่าเริ่มน้ำตาคลอ

 

“คุณอย่าหาว่าดิฉันแช่งลูกตัวเองเลยนะคะ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะพบคาโอรุในสภาพไหน ดิฉันกับสามีก็ทำใจได้แล้วค่ะ ขอแค่ให้เจอตัวแกก็พอ”   ผ้าเช็ดหน้าถูกหยิบมาซับหัวตา

 

“แกหายไปนานเหลือเกิน หายไปแบบไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้จนทางเราอดคิดในแง่ร้ายไม่ได้จริงๆ”

 

“คุณตำรวจช่วยหาแกทีเถอะนะคะ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เราก็อยากได้ลูกชายของเราคืน”   หญิงสาวก้มลงไปร้องไห้อย่างน่าสงสาร หัวอกคนเป็นแม่ เขาเห็นใจอีกฝ่ายจริงๆ

 

“ครับ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่ครับ”

 

“ถ้ามีอะไรให้ทางเราช่วยเหลือก็บอกมาได้ทุกเมื่อเลยนะคะ คาโอรุเป็นลูกชายที่น่าภาคภูมิใจของเรา เขาไม่เคยทำตัวมีปัญหามาก่อน ดิฉันไม่เชื่อว่าจู่ๆแกจะหายตัวไปเฉยๆแบบนี้ มันต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับแกแน่ๆค่ะ”

 

“ครับ ตอนนี้ที่ผมอยากทราบคือพอจะมีข้าวของเครื่องใช้ของคาโอรุคุงเหลืออยู่บ้างไหมครับ ยิ่งเป็นของที่ถูกส่งกลับมาจากโรงเรียนยิ่งดีครับ”

 

“มีค่ะ ทางโรงเรียนส่งของของคาโอรุกลับมาให้หนึ่งลัง นอกจากพวกเสื้อผ้า ของอย่างอื่นทางเราไม่ได้เอาออกจากกล่องมาเลยค่ะ เพราะเรายังแอบมีความหวัง ว่าคาโอรุจะกลับมาและยังได้ใช้ของพวกนั้นอยู่”    ขอบตาของนายหญิงแดงระเรื่อ ขนาดจิอากิซังยังทำหน้าสลดตามไปด้วย

 

“ผมอยากจะขอยืมหน่อยได้ไหมครับ?”

 

“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันให้เด็กไปยกมาให้นะคะ”   นายหญิงหันไปสั่งสาวใช้ในบ้าน

 

“คาโอรุคุงเคยพูดถึงเพื่อนๆในชั้นเรียนบ้างไหมครับ?”    เขาเริ่มสอบถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวพอจะสงบใจลงบ้าง

 

“ก็มีบ้างนะคะ ส่วนใหญ่ก็เรื่องสัพเพเหระของพวกสมาชิกสภานักเรียนน่ะค่ะ ส่วนเพื่อนๆในชั้นเรียน ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนะคะ”

 

“เคยพูดถึงเขาไหมครับ?”    สารวัตรหนุ่มชี้ไปที่จิอากิซังจนร่างบางเลิ่กลั่ก

 

“เคยค่ะ คาโอรุชื่นชมเซริซาว่าซังมาก บอกว่าเป็นคนที่สูงส่งและสง่างามมาก”    หญิงสาวยิ้มอ่อนโยนเมื่อนึกถึงวันคืนเก่าๆที่เคยคุยกับลูกชาย

 

“แล้วพวกกลุ่มของฝาแฝดคิเสะล่ะครับ?”    คราวนี้นายหญิงถึงกับหลุดหัวเราะออกมา

 

“ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ แต่คาโอรุมักจะบ่นเรื่องเด็กห้าคนนั้นให้ฟังเป็นประจำเลยค่ะ คาโอรุเป็นรองประธานนักเรียนคุณคงพอจะทราบ แล้วเด็กห้าคนนั้นก็ชอบฝ่าฝืนกฎอยู่ตลอด เรียกว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเลยค่ะ”

 

“ครับ”    เขาจดทุกอย่างลงไปในสมุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามคำถามสุดท้ายกับนายหญิงด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“แล้วคิมิสึกิ วายะล่ะครับ คาโอรุคุงเคยพูดถึงไหม? เด็กที่มีแม่เป็นเกอิชา”   แต่คราวนี้นายหญิงกลับนิ่งอึ้งไป

 

“มีเด็กแบบนั้นด้วยเหรอคะ? คาโอรุไม่เคยพูดถึงเลยค่ะ”

 

“คุณตำรวจอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ ครอบครัวเราไม่ได้เหยียดหยามคนทำอาชีพนี้เลย ท่านผู้ว่าเป็นผู้ปกครองมีหน้าที่ต้องทำให้ประชาชนทุกคนในพื้นที่ของเราอยู่ดีกินดี เกอิชาก็คือคนของเราเหมือนกันค่ะ”

 

“ครับ ผมเข้าใจครับ”     เขาตอบรับทั้งๆที่มือเขียนคำว่า แปลกลงไปในสมุด

 

เขาไม่ได้ติดใจสงสัยแนวคิดของคนในบ้านซาคาโมโต้ แต่ที่เขาว่าแปลกคือความสัมพันธ์ของซาคาโมโต้ คาโอรุ กับคิมิสึกิ วายะต่างหาก

 

ทำไมพูดถึงทุกได้ แต่ไม่ยอมพูดถึงคิมิสึกิคุงเลย ทั้งๆที่เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่น่าสงสารคนนั้นมีให้พูดถึงมากมาย เหมาะจะเป็นเรื่องเล่าของเด็กในวัยนี้ที่สุด

 

“ของมาพอดีเลยค่ะ ทั้งกล่องนี้เลยค่ะ”    สาวใช้ยกลังขนาดใหญ่เข้ามาพอดี

 

“ผมขอยืมทั้งหมดเลยได้ไหมครับ?”

 

“ได้ค่ะ ยังไงก็ต้องรบกวนเรื่องคาโอรุด้วยนะคะ พวกเราดีใจมากจริงๆตอนที่คุณตำรวจโทรศัพท์ทางไกลมา เราคิดว่าคดีจะถูกลืมเสียแล้ว ถึงจะน้อยนิดเพียงใดเราก็ยังหวังว่าจะได้เจอคาโอรุอยู่”

 

“ครับขอบคุณมากนะครับ ผมขอตัวกลับก่อนครับ”    ต่างฝ่ายต่างโค้งให้กัน เขายกลังขึ้นก่อนจะเดินไปที่รถ

 

“หนักไหมครับ?”    จิอากิซังถามด้วยสายตาเป็นห่วงเพราะลังกระดาษนั้นขนาดใหญ่ทีเดียว

 

“ไม่เป็นไรครับ”   เขายิ้มให้ จิอากิซังจึงช่วยเปิดประตูรถให้

 

แล้วในจังหวะที่กำลังยกลังใส่ท้ายรถ รูปใบหนึ่งก็ร่วงลงมาอย่างเป็นปริศนา ราวกับว่ามีใครบางคนอยากให้พวกเขาค้นเจอคำตอบบางอย่าง...

 

จิอากิซังก้มลงไปเก็บภาพถ่ายขาวดำใบนั้นขึ้นมาพลิกดู ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงเลื่อนลอย

 

"อิตสึกิซัง คุณ...บอกว่าอยากเห็นหน้าคิมิสึกิ วายะใช่ไหมครับ…"

 

“ครับ?”

 

 

"คนในรูปนี่แหละ คิมิสึกิคุง..."

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

To be con.

 

อุแง้ พอดีตอนนี้คุณกวางอยู่ต่างจังหวัดแล้วก็ไม่ได้เซฟไฟล์มา ก็เลยทำผังตัวละครของตอนนี้ให้ไม่ได้ ยังไงไว้กลับไปแล้วจะทำมาแปะให้ใหม่นะค้า กราบขอประทานอภัย จริงๆไม่คิดว่าจะได้กลับมาแต่งเรื่องนี้ในช่วงนี้555 แต่มีเสียงทวงเข้ามาหลายเสียงทีเดียว ก็เลย เอาซะหน่อย ^ ^

 

เนี่ย แล้วพอเวลากลับมาแต่งเรื่องนี้ทีไรนะก็จะเป็นบ้าเป็นหลังแบบหยุดไม่ได้มาก เตรียมอ่านกันยาวๆ ^ ^ ชอบแต่งฟิคพีเรียดญี่ปุ่นค่ะ 555

 

มาพูดถึงชื่อเรื่องกันบ้าง เหมือนไม่เคยพูดถึงเลยไหมนะ? คนที่ไม่ได้ตามเวอร์ชั่นของยามะก๊กอาจจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร Juunana sai แปลว่า 17ปี หมายถึงอายุอ่ะนะ ชื่อภาษาไทยของเรื่องนี้ก็เลยใช้ว่า 17ฝน ก็หมายถึงคนที่ผ่านฤดูฝนมา17รอบแล้วนั่นเอง(ถึงแม้ประเทดไทยมันจะฤดูฝนมันทั้งปีทั้งชาติก็เถอะนะ555) เพราะฉะนั้นจะสังเกตได้ว่า ตัวละครส่วนใหญ่ในเรื่องนี้จะอายุ 17ปีแทบทั้งนั้นเลย

 

คือต้องเกริ่นก่อนว่าจริงๆแล้วชื่อเรื่องนี่มันยืมมาจากฟิคเวอร์ชั่น8059ที่เป็นฟิคแนวสืบสวนสอบสวนพีเรียดญี่ปุ่นเหมือนกันค่ะ ด้วยความเป็นฟิคประเภทเดียวกันเลยใช้ชื่อเดียวกันแม่มเลย ขี้เกียจคิด555/โดนตบ /แล้วของเวอร์ชั่น8059นั้น ธีมเรื่องมันจิ้นขึ้นมาตอนฟังเพลงๆหนึ่งอยู่ค่ะ ซึ่งเพลงนั้นชื่อ Juunana Sai ของ Gazette ค่ะ ที่มามันก็จะประมาณนี้ จนถึงภาคนี้ก็ยังใช้เพลงนี้เป็นเพลงแรงบันดาลใจอยู่เลย กร๊ากกก เสียงรถไฟในเพลงขึ้นมาทีไรนี่ฟิคลอยมาเลย ^ ^ สนใจก็ลองหามาฟังกันได้ เนื้อเพลงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องเลยค่ะ555

 

ขอบคุณทุกๆเสียงทวงและทุกๆการติดตามมากๆๆๆนะคะ ดีใจมากค่ะที่มีคนชอบฟิคเรื่องนี้ งื้อออ >/////< แล้วเจอกันตอนหน้าค่า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น