ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 520 N. again [Part2]

 

ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 520 N. again [Part2]

 

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au

: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน

: Romantic

: NC-17

 

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ

           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค

 

 

 

GLIDE : 2x4 It’s me : Special Episode :

 

“520 นิวตัน

 

.

.

.

 

 

 

ดวงตาคมกล้าค่อยๆเปิดขึ้นมาเมื่อร่างกายรู้สึกว่าได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว นายใหญ่แห่ง Diamond crown ต้องค่อยๆเรียบเรียงสติตัวเองเพราะเมื่อคืนนี้มีเรื่องฉุกละหุกเกิดขึ้นหลายอย่าง

 

เริ่มจาก เขากำลังเตรียมตัวไปพบลูกค้าวีไอพีที่สนใจจะซื้อเพชรล็อตใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ จู่ๆเจ้าลูกสิงโตหวังอี้คุนก็โทรมาหา แล้วเรื่องที่เจ้าเด็กจอมหวงของคนนั้นจะโทรหาเขาก็คงไม่พ้นเรื่องของแฝดน้องอย่างหวังเฟยเฟย 

 

เขาก็รู้มาตลอดนั่นแหละว่าเฟยเฟยมาฝึกงานอยู่ที่ญี่ปุ่น เห็นรูปที่สองคนถ่ายลงกรุ๊ปครอบครัวตั้งแต่มาถึงโตเกียวเมื่อหลายวันก่อนแล้ว ไม่ว่าจะตอนจัดห้อง ตอนออกไปซื้อของ ตอนขับรถสำรวจรอบๆที่พักกับที่ทำงาน ดูท่าทางอาเฟยก็ยังปกติดีเขาจึงวางใจนึกว่าไม่มีปัญหา ที่ไหนได้ เจ้าลูกกระต่ายกลับอยู่คนเดียวไม่ได้จนพี่ชายต้องโทรตามเขาให้ไปอยู่เป็นเพื่อน 

 

นัดสำคัญทุกอย่างจึงถูกยกเลิก เขาต้องรีบเคลียร์งานที่จำเป็นๆจนดึกดื่น หลังจากนั้นก็นั่งเครื่องบินจากสิงคโปร์มาโตเกียวอีกกว่าค่อนคืน มาถึงนี่ก็เช้ามืดพอดี

 

 

ถ้าไม่ใช่หวังเฟยเฟย คิดเหรอว่าเขาจะทำให้ขนาดนี้

 

 

โชคดีที่เขาถือสัญชาติแคนาดา มีพาสปอร์ตของแคนาดา เขาจึงเดินทางเข้า-ออกได้กว่า188ประเทศทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า หนึ่งในนั้นก็คือญี่ปุ่น เขาจึงบินเข้ามาได้ทันทีที่ถูกอี้คุนขอร้อง 

 

เจ้าลูกสิงโตลงมารับเขาที่ล็อบบี้คอนโด ตอนนั้นเขาเหนื่อยมากจนไม่มีแก่ใจจะสังเกตอะไรแล้ว พอขึ้นห้องเขาจึงเพิ่งรู้ว่าห้องนี้มีเพียงห้องนอนเดียว 

 

เขาไม่มีทางเลือก

 

หลังจากอี้คุนออกไป เขาก็ล้มตัวลงนอนข้างๆเจ้าลูกกระต่ายที่ยังหลับสนิท เขาเหนื่อยจนสามารถหลับได้ในวินาทีนั้นเลย

 

 

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน...แต่ตอนนี้

 

 

ดวงตาคมกล้ากำลังจ้องมองใบหน้าที่อยู่บนหมอนเดียวกันอย่างอึ้งน้อยๆ นี่คือภาพแรกที่เขามองเห็นหลังจากที่ลืมตาขึ้นมา...ใบหน้าของเฟยเฟย

 

ขยับมาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ก่อนที่เขาจะหลับไปก็จำได้ว่าอีกฝ่ายนอนอยู่อีกฝั่งนึงของเตียงนี่?

 

 

หัวใจ...เต้นใหญ่เลยแหะ

 

 

ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆในขณะที่ยังมองใบหน้ามนที่อยู่ใกล้จนหน้าผากแทบจะชนกัน เขายื่นหน้าของตัวเองเข้าไป...แค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น ริมฝีปากของเขาก็จุมพิตลงไปบนกลีบปากสีระเรื่อได้พอดี

 

จูบรับอรุณแสนหวานเพิ่มพลังงานเสียหน่อย ทำให้เขาเหนื่อยมาทั้งคืนก็ต้องรับผิดชอบสิ

 

 

 

ร่างสูงสง่าลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่สายตายังทอดมองคนที่หลับปุ๋ย ปล่อยให้นอนไปก่อนก็แล้วกัน เขาจึงลุกออกจากเตียงเงียบๆ

 

เมื่อเช้ามืดเขาไม่ทันมองเพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ปรากฎแก่สายตาหลังจากเปิดประตูห้องนอนมาก็คือห้องนั่งเล่นที่มีโพสอิทติดอยู่เป็นหย่อมๆบนผนัง

 

เขายืนมองโพสอิทที่เป็นภาษาอิตาลีคำ จีนคำ อังกฤษคำสลับๆกันไปอย่างขำๆ ภาษาเหมือนรหัสลับแบบนี้ฝีมืออี้คุนแน่ๆ 

 

คือคนบ้านนี้เนี่ย พูดได้สามภาษาก็จริงแต่ไม่มีภาษาไหนเลยที่เขียนรู้เรื่อง เป็นเหมือนกันหมดทั้งอาอี้ป๋อ อาเซียวจ้าน อี้คุนแล้วก็เฟยเฟย อ่านรู้เรื่องกันอยู่สี่คนนี่แหละ

 

ร่างสูงสง่าเดินไปที่เคาเตอร์ครัวซึ่งอยู่ในห้องเดียวกัน ถึงคอนโดห้องนี้จะมีแค่สองห้องคือห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัวกับห้องนั่งเล่นกึ่งห้องครัว แต่ถ้าเทียบกับอพาทเม้นต์ทั่วไปในญี่ปุ่นที่นี่ก็นับว่ากว้างขวางมากแล้ว ยิ่งอยู่ในย่านมารุโนะอุจิที่แทบจะเป็นใจกลางเมืองเรื่องราคาค่าเช่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง มันเกินกว่าที่เด็กฝึกงานธรรมดาจะมาอยู่อาศัยไปมาก

 

แต่เพราะนี่คือหวังเฟยเฟย ไข่ในหินของบ้านที่ไม่มีใครยอมให้ลำบาก จะให้ตระกูลหวังซื้อคอนโดนี้ทั้งตึกเลยก็ยังได้ขอแค่รู้ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของเจ้าลูกกระต่าย

 

 

จ้อก

 

 

มือใหญ่กดน้ำร้อนใส่แก้วกาแฟ เช้านี้เจ้าอาเธอร์คงหัวหมุนอยู่กับเรื่องติดต่อขอเช่าห้องรอบข้าง เขาเลยต้องทำทุกอย่างเอง

 

 

แกร่ก

 

 

ผ้าม่านถูกรูดออกให้แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามา ก็สมราคาค่าเช่าที่แพงหูฉี่ สถานที่รอบๆที่เขามองเห็นก็คือสถานีโตเกียวกับพระราชวังอิมพีเรียล

 

 

ตึงๆๆ แกรก! ปึง!

 

 

"อ้ากกก สายแล้วๆๆ เผลอหลับต่อเฉยเลย! อ้ะ พี่อี้หยาง อรุณสวัสดิ์ครับ"   เจ้าลูกกระต่ายโผล่พรวดออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้าตื่นๆ มือหอบกระเป๋าพะรุงพะรังแต่ภาพที่เห็นก็ไม่ได้สะดุดตาเขาเท่าประโยคที่ออกมาจากปากร่างบางเมื่อกี้

 

"เผลอหลับต่อ?"

 

"ง่ะ......เอ่อ...ไม่มีอะไร เฟยไปรายงานตัวที่ออฟฟิศก่อนนะ~"    ใบหน้ามนผงะไปเหมือนคนโป๊ะแตก ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการวิ่งผ่านหน้าเขาไป...หรือว่าที่เขาเห็นอีกฝ่ายขยับเข้ามานอนใกล้ๆเมื่อเช้านี้จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

 

หึ...ใบหน้าหล่อเหลาลอบยิ้ม

 

"แล้วไปยังไง?"   เขาหันไปถามคนที่ก้มใส่รองเท้าอยู่ที่ Foyer

 

"ขับรถไปครับ เอ่อ...วันนี้พี่ยังอยู่ใช่ไหม?"    เป็นเพราะยังไม่ทันได้คุยอะไรกัน  เจ้าลูกกระต่ายเลยเงยหน้ามาถามเขาด้วยสายตากังวลหน่อยๆ กลัวว่ากลับบมาแล้วจะต้องอยู่คนเดียว?

 

เขาควรจะบอกดีไหมว่าห้องรอบๆห้องนี้จะถูกเขาเช่าอีกสองเดือนนู่นแหละ

 

"ยังอยู่ แล้วขับรถไปเองได้รึเปล่า?"

 

"ได้ครับ อี้คุนพาขับวนดูทางระหว่างออฟฟิศกับคอนโดอยู่เป็นสิบรอบเลย ไม่หลงแน่นอน!"   เจ้าลูกกระต่ายพูดอย่างมั่นใจ แต่ปกติก็ไม่ใช่คนหลงทิศหลงทางเหมือนแม่ตัวเองอยู่แล้วเขาจึงน่าจะวางใจได้

 

เขายืนมองร่างโปร่งบางวิ่งออกจากห้องไป main office ของ RTRI ซึ่งเป็นที่ฝึกงานของเจ้าลูกกระต่ายก็อยู่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร คงไม่เป็นไร?

 

 

.

.

.

.

 

 

ไม่เป็นไรก็แปลกแล้ว!

 

"ครับ"   มือใหญ่กดรับโทรศัพท์หลังจากผ่านไปแค่15นาที เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย

 

"พี่อี้หยาง! เฟยจอดรถไว้ตรงประตูทางเข้าออฟฟิศอ่ะ มาเอารถกลับให้หน่อยนะ!"   ห๋า

 

"เดี๋ยว"   ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด….ตัดสายไปซะงั้นน่ะเฮ้ย?! ยังไม่ทันจะรู้เรื่องเลย!

 

นายใหญ่แห่ง Diamond crown ยืนมองโทรศัพท์ด้วยสภาพนิ่งค้าง เจ้าลูกกระต่ายนั่นรู้รึเปล่าว่าเขาเป็นใครกัน? นี่เจ้าพ่อแห่งวงการค้าเพชรเลยนะ!

 

ใบหน้าเรียบเฉยถอนหายใจก่อนจะกดโทรศัพท์หาลูกน้องที่สแตนด์บายอยู่รอบๆคอนโด พวกเขามาอย่างฉุกละหุกเลยไม่ทันเตรียมห้องเอาไว้ เขาจึงให้ลูกน้องกระจายตัวอยู่ตามโรงแรมหรือคาเฟ่รอบๆนี้เพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย

 

"ครับนาย?"

 

"หาตำแหน่งรถของอาเฟยที แล้วก็ไปเอากลับมาให้ผมที่คอนโด"

 

"ครับนาย"   ปลายนิ้วกดวางสาย ตอนนี้เริ่มจะเข้าใจอี้คุนขึ้นมาตะหงิดๆ ที่เคยบอกว่าปล่อยให้อยู่คนเดียวแค่ชั่วโมงเดียวก็อาจจะตายได้นี่ไม่เกินจริงเลยสักนิด

 

ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?



 

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อ15นาทีก่อนหน้า



 

 

 

Ferrari Portofino M ที่แล่นช้าๆไปตามท้องถนนในโตเกียวนั้นราวกับเป็นของแปลก เสียงกระหึ่มของเจ้าม้าลำพองเรียกให้คนหันมองกันทั้งถนน แต่คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยกลับไม่รู้สึกอะไรกับสายตาที่มองมา น่าจะเป็นเรื่องปกติของหวังเฟยเฟยไปแล้วกับการเป็นจุดสนใจแบบนี้

 

ดวงตากลมโตเพียงแค่เหลือบมองหาตึกออฟฟิศของสถาบันวิจัยรถไฟในเครือเจแปนเรลเวย์ซึ่งดูเหมือนออฟฟิศทั่วๆไปและไม่น่าจะมาอยู่ในย่านใจกลางเมืองแบบนี้  ทั้งๆที่จริง RTRI ยังมีสถาบันวิจัยที่เป็นห้องทดลองเรื่องต่างๆกระจายอยู่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะห้องเทสวิศวกรรมเครื่องกลของห้องโดยสารและล้อ ห้องเทสแรงลมและหิมะ ห้องพัฒนาหัวรถจักร ฯลฯ  

 

จริงๆเขาอยากไปอยู่ห้องทดลองพวกนั้นมากกว่า แต่พอส่งโปรไฟล์ของตัวเองมากลับได้ประจำอยู่ main office ซะงั้น

 

คนที่อยู่ในทุ่งหญ้าของมาราเนลโล่มา20ปีอย่างเขาต้องย้ายมาอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีแต่ความสับสนวุ่นวายมันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา แถมคนญี่ปุ่นยังเคร่งเครียดไม่ลั้นลาเหมือนคนอิตาลีอีก

 

แต่ที่เขายังตัดสินใจมานั่นก็เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบรถที่วิ่งได้ไวพอๆกับ Formula one การกดให้มันยังวิ่งอยู่บนรางได้ทั้งๆที่มันควรจะบินเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก

 

และรถไฟญี่ปุ่นก็เป็นรถไฟชั้นยอดของโลก ชินคันเซ็นของแดนอาทิตย์อุทัยนั้นหาใครเทียบได้ยากแม้แต่รถไฟในยุโรปเอง มันเป็นเรื่องที่เขาอยากรู้และเขาอาจจะมีเวลาให้มันได้แค่ช่วงวัยเรียนเท่านั้น เพราะหลังจากจบไปแล้ว เขาก็คงกลับไปอยู่ในวงการรถซุปเปอร์คาร์ กลับไปอยู่กับม้าลำพองที่เขาเติบโตมา

 

มือบางหักเลี้ยวพวงมาลัยเมื่อเจอทางเข้าที่จอดรถของตึกRTRIจนได้ ทว่า วันที่อี้คุนพาเขามาสำรวจพื้นที่ ที่จอดรถชั้นใต้ดินมันไม่ได้เต็มแน่นขนาดนี้นี่?!

 

ใบหน้ามนเริ่มกวาดตามองอย่างเลิ่กลัก ที่จอดส่วนใหญ่จะมีป้ายชื่อติดไว้ ส่วนตรงที่ไม่มีเจ้าของก็มีรถจอดหมดแล้ว...แย่ละ ทำไงดี

 

มือบางหักพวงมาลัยลองวนดูอีกสองสามรอบแต่ก็ยังไม่มีที่ว่างเหมือนเดิม อะไรกันเนี่ย? ตึกตั้งใหญ่โตแต่ทำไมที่จอดรถน้อยแบบนี้?!

 

ดวงตากลมโตเหลือบมองนาฬิกาที่คอนโซลรถก่อนจะมีเครื่องหมายตกใจอันเบ้อเริ่มฟาดลงมากลางหัว  แย่แล้ว! แย่แน่ๆ นี่มันเลยเวลาเข้างานมาแล้วนี่! จะสายตั้งแต่วันแรกเลยรึไงเนี่ยหวังเฟยเฟย~ แง๊~~ 

 

ใบหน้ามนหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้จะทำยังไง ไม่เคยคิดถึงเรื่องที่จอดรถในญี่ปุ่นมาก่อนเลย ก็ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในมาราเนลโล่บ้านเขานึกจะจอดตรงไหนก็จอดได้นี่! 

 

 

เอี๊ยด!!

 

 

งั้นจอดมันตรงนี้เลยแล้วกัน!

 

เจ้าม้าพยศสีขาวจอดกึกมันตรงประตูทางเข้าจากชั้นใต้ดิน  มือบางหอบกระเป๋าและเอกสารรายงานตัวต่างๆก่อนจะรีบวิ่งแจ้นลงจากรถ อีกมือนึงก็รีบกดโทรศัพท์หาคนเดียวที่น่าจะเป็นที่พึ่งให้เขาได้ในตอนนี้

 

"พี่อี้หยาง! เฟยจอดรถไว้ตรงประตูทางเข้าออฟฟิศอ่ะ มาเอารถกลับให้หน่อยนะ!"



 

 

 

 

 

 

ก็นั่นแหละ...เรื่องที่เจ้าตัววุ่นวายประจำบ้านไปก่อไว้ในเช้านี้...

 

หวังอี้หยางมองรูปถ่ายในมือถือที่ลูกน้องส่งมาให้ กว่าจะเอารถออกมาได้ก็ต้องติดต่อหน่วยรักษาความปลอดภัยของตึกกันยกใหญ่ ก็เจ้าลูกกระต่ายตัวดีดันไปจอดมันกลางถนนจนรปภ.ต้องเอาเชือกสีเหลืองมาล้อมไว้เพราะไม่รู้รถใคร ทำซะรถราคาหลายสิบล้านกลายเป็นรถผู้ต้องสงสัยไปเลย 

 

 

จะกลับเมื่อไหร่ก็บอก เดี๋ยวออกไปรับ

 

 

มือใหญ่กดส่งข้อความไป พอดีกับที่เลขาส่วนตัวเดินเข้ามาในห้อง

 

ติดต่อเช่าห้องทั้งหมดในชั้นนี้เรียบร้อยแล้วครับ”   อาเธอร์เอ่ยรายงาน ทำงานดีสมกับที่เป็นมือขวาของเขาจริงๆ เขาต้องเตรียมที่ทำงาน ที่อยู่ให้ลูกน้องที่มักจะตามเขาไปทุกที่อีกสิบกว่าคน แล้วไหนจะยังต้องเตรียมห้องไว้เผื่อคนที่บ้านที่ชอบตามมาหาเจ้าลูกกระต่ายอีก

 

"นายครับ...ดูเหมือนเรื่องเหมือง Hael จะมีปัญหานิดหน่อย…"   หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดอาเธอร์ก็ตัดสินใจบอกเขาด้วยท่าทางอึกๆอักๆ

 

"ปัญหา?"   ดวงตาคมกล้าราวกับนัยน์ตาเหยี่ยวตวัดไปมอง  ขนาดเลขาคนเก่งที่อยู่กับหวังอี้หยางมาตั้งแต่เด็กก็ยังอดเสียวสันหลังวาบไม่ได้   

 

ช่วงนี้สิ่งที่อยู่ในความสนใจของนายใหญ่แห่ง Diamond crown คือเหมืองชื่อ Hael ในแอฟริกาใต้ เขากำลังติดต่อเจรจาขอซื้อเหมืองเพชรดิบแห่งนี้หลังจากที่เจ้าของเดิมอยากจะวางมือ

 

แต่นี่ก็ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้วหลังจากที่เขาเสนอราคาไป ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มฉายความเย็นชาออกมา ทางนั้นเป็นคนติดต่อมาเองแท้ๆนะว่าอยากจะขายให้เขา แต่พอเขามีท่าทีสนใจกลับเงียบไปแบบนี้?

 

ปัญหาเรื่องอะไร? ราคา?”    ปลายนิ้วเคาะลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ จริงๆมันก็เป็นแค่เหมืองเล็กๆหากเทียบกับเหมืองที่ Diamond crown ถือครองอยู่ แต่ที่เขาอยากได้เพราะมันเป็นเหมืองเพชรสีน้ำเงินเหมืองสุดท้ายที่ยังไม่ได้เป็นของเขา

 

เหมืองเพชรทั่วโลกอาจจะมีเป็นร้อยเป็นพันที่ แต่เหมือง Blue Diamond นั้นมีอยู่เพียงหยิบมือ และเกือบทั้งหมดก็ถูกเขาซื้อไว้แล้ว ยกเว้นที่เหมือง Hael แห่งนี้ 

 

นั่นก็เท่ากับว่า ถ้าเขาได้เหมืองนี้มา Diamond crownจะเป็นผู้ผูกขาดเพชรสีน้ำเงินทั้งตลาดแต่เพียงผู้เดียว

 

“....ดูเหมือนว่า...มีคนอยากจะได้เหมืองนี้เหมือนกันครับ…”    เลขาส่วนตัวเหมือนไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเขาเท่าไหร่ เจ้าอาเธอร์พยายามเลือกใช้คำที่จะทำให้เขาโมโหน้อยที่สุด 

 

“……”    ดวงตาคมกล้าฉายแววมืดมน...อ่อ เพราะมีคนอื่นสนใจก็เลยยังไม่ขายให้เขา?

 

เตรียมเครื่องบินให้ผมด้วย ผมจะไป Vladivostok ยังไงผมก็ต้องได้เหมืองนี้”    ร่างสูงสง่าลุกจากโซฟาก่อนจะเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าท่ามกลางเสียงถอนหายใจของอาเธอร์ เพราะถ้าเป็นปกติแล้วนายจะต้องปล่อยรังสีอำมหิตจนทั้งห้องเย็นยะเยือก จะต้องหงุดหงิดมากที่ถูกหักหลัง บอกอะไรแล้วมาคืนคำจะทำให้นายโกรธมาก 

 

แต่ตอนนี้หวังอี้หยางกำลังอารมณ์ดี เลขามือพระกาฬจึงได้แต่ลอบขอบคุณคุณหนูเฟยเฟยอยู่ในใจ

 

"ครับ"

 

 

 

 

 

 



ส่วนทางด้านคนที่ถูกขอบใจแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้นก็กำลังวิ่งหน้าตั้งอยู่ในตึกออฟฟิศของ RTRI ผ่านมายกใหญ่แล้วแต่หวังเฟยเฟยยังหาห้องทำงานของแผนกตัวเองไม่เจอเลย!

 

อ๊า~~~ ดูข้างนอกมันก็เป็นตึกเดี่ยวๆดูไม่มีอะไรซับซ้อน แต่พอเข้ามาข้างในไงสับสนวุ่นวายขนาดนี้เนี่ย?! ลงไปถามรปภ.ก็คุยกันไม่รู้เรื่องอีก เขาลองหมดแล้วทั้งภาษาอังกฤษ จีน อิตาลี แต่อีกฝ่ายก็ตอบเขากลับมาด้วยภาษาญี่ปุ่น! จะบ้าตาย เขาเลยต้องกลับมาวิ่งวนหาเองอยู่เนี่ย!

 

แล้วในขณะที่วิ่งไปก้มดูนาฬิกาไป เขาจึงไม่ทันเห็นก้อนอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนเข้ามา

 

 

โครม!!

 

 

เสียงชนดังลั่นจนคนที่อยู่ในห้องนั้นหันมามอง ทายาทลำดับที่สี่ของตระกูลหวังล้มกองอยู่ที่พื้นพร้อมกับแบบก่อสร้างปลิวว่อนกระจายเต็มหัว 

 

อูย…”    มีเสียงอุทานเบาๆมาจากฝั่งตรงข้าม ดวงตาคู่โตถึงได้มองเห็นว่าก้อนที่เขาชนล้มคือรถเข็นที่บรรทุกแบบก่อสร้างมาเต็มคันรถ

 

มือบางหยิบแผ่นพิมพ์เขียวที่โปะอยู่บนหัวตัวเองมาดู อ้าว นี่มันแบบรถไฟนี่? ถ้างั้นที่นี่ก็น่าจะเป็นแผนกออกแบบที่เขาตามหา?

 

ใบหน้ามนเงยมองป้ายที่ติดอยู่เหนือประตู เป็นแผนกออกแบบและพัฒนาหัวรถไฟอย่างที่คิดจริงๆ แต่นอกจากป้ายชื่อห้องแล้วก็ยังมีสายตานับร้อยคู่ที่มองเขามาจากข้างในห้องอีก

 

ก็นะ เด็กฝึกงานที่แค่วันแรกก็มาสายแล้วแถมยังมาวิ่งชนรถขนแบบจนกระจุยกระจายขนาดนี้ คนจึงหันมามองกันทั้งแผนก แล้วก็ต้องว้าวกันทั้งแผนกเมื่อมองเห็นหน้าหวังเฟยเฟยชัดๆ

 

เอ่อ...ขอโทษนะครับ”    เขาหันไปยิ้มแหยๆให้ชายหนุ่มคนเข็นรถที่ถูกเขาชน แบบนับร้อยฉบับผสมปนเปกันมั่วไปหมดแล้วตอนนี้ จากที่จะขนไปเก็บเฉยๆคงมีงานใหญ่ให้ทำแล้วไหมล่ะ

 

ห้องหัวหน้าแผนกอยู่ข้างในใช่ไหม? เดี๋ยวผมขอไปรายงานตัวก่อนนะ เดี๋ยวผมออกมาช่วย”    ร่างโปร่งบางรีบวิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องทิ้งชายหนุ่มนั่งเคว้งคว้างอยู่ตามลำพัง 

 

 

 

แล้วพอกลับออกมาอีกที เขาจึงเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกัน

 

รถเข็นที่ควรจะไปถึงห้องเก็บเอกสารนานแล้วถูกเข็นกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แบบที่ปนกันมั่วถูกคักแยกเพื่อจัดเรียงใหม่ แทนที่จะแค่มารายงานตัวแล้วก็กลับบ้านไป ดันต้องมานั่งเรียงแบบเป็นตั้งๆเฉย  

 

เพราะงั้นทันทีที่ร่างโปร่งบางเอ่ยทัก อีกฝ่ายจึงทำหน้าประมาณว่าอย่าเข้ามาใกล้นะเจ้าตัววุ่นวาย แหงละ แค่เจอกันวันแรกเขาก็ก่อความเดือดร้อนให้อีกฝ่ายซะขนาดนั้น

 

เขาเลื่อนเก้าอี้ก่อนจะนั่งลงไปที่โต๊ะข้างๆด้วยสีหน้าราวกับไม่ใส่ใจในความวุ่นวายของตัวเอง มือบางหยิบแบบมาช่วยเรียงก่อนจะเอียงคอถามออกไปด้วยความสงสัย 

 

"ถ้าไม่ขับรถมาแล้วผมจะมาออฟฟิศได้ยังไง?"    เมื่อกี้เขาถามหัวหน้าแผนกแล้วแต่กลับได้รับคำตอบว่าที่ดินในญี่ปุ่นนั้นแพงมาก ที่จอดรถจึงมีให้เฉพาะผู้บริหารกับคนที่มาติดต่องานเท่านั้น แล้วคนในออฟฟิศตั้งมากมายนี่เค้ามาทำงานยังไงกันล่ะ?

 

"ห๋า? ก็ต้องนั่งรถไฟมาอยู่แล้วสิ?"   ชายหนุ่มที่ดูอายุพอๆกับเขาทำหน้ามึนงง คงไม่เคยเจอคำถามแบบนี้ในญี่ปุ่นมาก่อน

 

"รถไฟ?"   เขาก็ทำหน้างงกลับไป 

 

"ตอนนี้นายนั่งอยู่ในออฟฟิศของเจอาร์นะ อย่าบอกนะว่าไม่เคยขึ้นรถไฟ?"    เด็กหนุ่มหน้าตาคมคายเหมือนซามูไรถอนหายใจ ได้แต่คิดว่ามาเจอสิ่งมีชีวิตแปลกๆเข้าให้แล้วถึงจะเป็นคนที่หน้าตาน่ารักมากก็เถอะ...

 

ยังไงก็ควรจะลองขึ้นรถไฟสักครั้งนะ นายจะสร้างมันได้ไงถ้าไม่เคยขึ้นน่ะ"    เสียงเรียบเอ่ยออกมาแบบปลงๆในขณะที่หยิบแบบมาเรียงต่อ ปล่อยให้คนงงทำหน้าสงสัยต่อไป

 

 

 

 

 

 

 



เวลาแค่สองชั่วโมงกว่าๆก็เพียงพอแล้วที่จะให้เขาเดินทางจากญี่ปุ่นมายังรัสเซีย ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าสองประเทศนี้อยู่ใกล้กันแค่ทะเลเล็กๆกั้น ตอนนี้หวังอี้หยางอยู่ที่วลาดิวอสตอค เมืองท่าตะวันออกสุดของรัสเซีย

 

แต่นายใหญ่ของ Diamond crown ก็ไม่ได้มีเวลามากขนาดจะมาเดินชมความงามของเมืองที่เป็นสถานีสุดท้ายของรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย 

 

พื้นรองเท้าของขายาวนับสิบคู่เหยียบกระทบพื้นโถงทางเดินจนผู้คนหันมามองอย่างสงสัย นี่ขนาดเขาทิ้งลูกน้องสามสี่คนให้คอยอยู่เฝ้าเจ้าลูกกระต่ายแล้วนะ แต่ชายชุดดำที่เดินเป็นกลุ่มนั่นก็ยังดูไม่ต่างจากแก๊งเจ้าพ่อแก๊งมาเฟียเท่าไหร่

 

โดยเฉพาะร่างสูงสง่าที่เดินอยู่ตรงกลาง ถึงจะหล่อมากแต่โค้ทสีดำตัวยาวกับใบหน้าติดจะเย็นชาก็ทำให้ชายหนุ่มราวกับลาสบอสก็อดฟาเธอร์ก็ไม่ปาน

 

"เดี๋ยวก่อนนะคะ ถ้าไม่ได้นัดไว้ก็เข้าพบท่านไม่ได้นะคะ"   เลขาสาวพยายามดักหน้าดักหลังเมื่อจู่ๆพวกเขาก็บุกเข้ามา แต่เจ้าพ่อแห่งวงการค้าเพชรหรือจะสนใจ หวังอี้หยางยังคงเดินต่อไปโดยมีการ์ดคอยจัดการกับคนที่มาขวางทางให้

 

 

ปัง!

 

 

ประตูห้องทำงานที่เขาเคยมาหลายครั้งถูกเปิดเต็มแรง คนที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำงานถึงกับเงยหน้ามองอย่างตกใจ แล้วก็ยิ่งต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นว่าใครมาเยือน

 

นายใหญ่ของ Diamond crown เดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะและไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะยินดีต้อนรับหรือไม่ เขารู้จักกับชายผมสีดอกเลาคนนี้มานาน นับถืออีกฝ่ายในฐานะผู้ใหญ่และคนที่ค้าเพชรด้วยกัน

 

ใช่แล้ว...ชายคนนี้คือคนที่จะขายเหมือง Hael ให้เขานั่นเอง

 

ร่างสูงสง่าก้าวขายาวๆเดินตรงไปนั่งลงที่โซฟาก่อนจะยกเท้าขึ้นมาพาดไว้ที่โต๊ะเตี้ยอย่างไม่สนใจว่าจะไปกวาดขวดบรั่นดีราคาแพงล้มระเนระนาด น้ำสีอำพันไหลเลอะลงมาที่พรมโบราณแต่เจ้าของห้องกลับไม่มีทีท่าจะต่อว่า แต่กลับดูหวาดผวาต่อการมาของชายหนุ่มมากกว่า

 

เขาเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆแต่ไอเย็นยะเยือกกลับแผ่ออกมาจากร่างกายจนเจ้าของห้องถึงกับตัวสั่นพั่บๆ ใบหน้าหล่อเหลาตวัดดวงตาคมกริบมองอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร แต่ความนิ่งเงียบนั้นกลับดูอันตรายจนอีกฝ่ายแทบหายใจไม่ออก 

 

 

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหวังอี้หยางมาที่นี่ทำไม...

 

 

"อ่ะ เอ่อ...อี้หยาง...ทำไมมาไม่บอกก่อนล่ะ ดีนะที่วันนี้ลุงอยู่…"   ชายผมสีดอกเลาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้าผากก่อนพยายามทำใจดีสู้สิงโต 

 

เขาเองก็เป็นพ่อค้าเพชรที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มานานจนผมแทบจะหงอกหมดหัว ถึงจะไม่ใช่ของผิดกฏหมายเหมือนยาเสพติดหรืออาวุธเถื่อนแต่มูลค่าที่มหาศาลของเพชรนั้นก็ทำให้วงการนี้น่ากลัวไม่แพ้วงการมาเฟีย และเขากล้าบอกเลยว่าพ่อลูกตระกูลหวังนั้นอันตรายที่สุดแล้ว

 

ไม่มีใครอยากถูก Diamond crown หมายหัวหรอก จริงๆ

 

 

"ผมแค่แวะมาถามนิดหน่อย... ว่าเหมืองHaelใกล้จะเป็นของผมรึยัง?"    ใบหน้าหล่อเหลาเอียงคอถามโดยที่ไม่ละสายตาน่าขนลุกนั่นไปจากหน้าเขาเลย

 

เด็กคนนี้ฉลาดมาก เก่งมาก อ่านเกมออกไปหมด...และที่สำคัญใช้จิตวิทยากับคนเป็น

 

หากเป็นคนอื่นคงไม่เดินเข้ามาหาเขาตรงๆแบบนี้ คงจะส่งเลขามาเจรจาและต่อรองกันไปมายืดเยื้อเสียเวลา แต่หวังอี้หยางกลับเลือกที่จะมาพบเขาโดยตรง แรงกดดันมหาศาลจากตัวเด็กหนุ่มทำให้เขาแทบจะหยิบปากกามาเซ็นต์สัญญาให้มันจบๆไปเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ

 

 

ถ้าไม่ติดที่ว่า….

 

 

"อีกฝ่ายคงจะเป็นผู้มีอิทธิพลเหมือนกันสินะครับ?"   เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาโดยที่เขายังไม่ทันได้บอกอะไรเล่นเอาชายผมสีดอกเลาถึงกับผงะไป

 

"เธอ...สืบมาเหรอ...คนที่อยากได้เหมืองนี้เหมือนกันน่ะ…"   เขารู้สึกว่าบนขมับมีเหงื่อแตกพลั่ก

 

"เปล่า"   ดวงตาคมกล้ายังคงจ้องเขาราวกับมองได้ทะลุปรุโปร่ง

 

"แค่มองคุณลุง ผมก็รู้แล้ว ที่ยังยื้อไว้ไม่ยอมขายเหมืองให้ผมนั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายต้องน่ากลัวพอๆกับผม ลุงถึงตัดสินใจไม่ได้สักที ใช่ไหมล่ะครับ?"

 

เขาถึงได้บอกไง ว่าหวังอี้หยางนั้นเก่งมาก เพราะมันถูกอย่างที่เด็กหนุ่มพูดทุกอย่าง

 

"เข้าใจแล้ว"   ขายาวที่ไขว้กันอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาตวัดลง ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสบายๆ

 

"ผมจะจัดการเอง คุณลุงพิมพ์ชื่อผมลงไปในสัญญารอก็แล้วกัน ยังไงซะเหมือง Hael ก็ต้องเป็นของผม"   เสียงทุ้มเอ่ยออกมาโดยไม่ได้ใส่อารมณ์ใดๆ ราวกับว่ามันเป็นแค่เรื่องธรรมดาๆ

 

ทั้งๆที่เขากลัวจนเข่าแทบทรุด ชายผมสีดอกเลาทิ้งกายนั่งลงไปบนโซฟาราวกับยกภูเขาออกจากอก

 

เขาเองก็ถูกข่มขู่มา เขาไม่ใช่พ่อค้ารายใหญ่ ไม่ได้มีอิทธิพลเหมือน Diamond crown ถ้าหวังอี้หยางบอกว่าจะจัดการเองมันจึงทำให้เขาโล่งใจ

 

"ผมต้องกลับแล้ว ขอโทษที่ไม่ได้พาคุณลุงไปทานข้าวเย็น ผมทิ้งลูกกระต่ายเอาไว้"   ….หวัง เฟยเฟย สินะ? เขารู้จักอี้หยางมานานพอที่จะรู้ว่าเด็กหนุ่มเอ็นดูน้องชายคนนี้มาก

 

"ไม่เป็นไร ไปเถอะ"   ใบหน้าเย็นชาพยักให้เขาแทนการแสดงความเคารพก่อนจะเดินออกจากห้องไป ห้องที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจึงกลับมาปกติสุขอีกครั้ง

 

 

 

ดวงตาคมกล้าของคนที่กำลังก้าวขาออกจากห้องเต็มไปด้วยแววดำมืด...เท่านี้ทางเจ้าของเหมืองก็นับว่าเรียบร้อย...ต่อไปก็...คนที่คิดจะมาแย่งของกับเขา

 

เขาพยักหน้าให้อาเธอร์ที่เดินมาสมทบพอดี หมอนี่แยกไปสืบมาว่าคนที่คิดจะแย่งเหมืองกับเขาเป็นใคร

 

"ไว้คุยกันบนเครื่องบิน"   เสียงทุ้มเอ่ยบอกเลขาประจำตัวเบาๆ ขายาวยังคงก้าวฉับๆอย่างไม่คิดจะแวะพักหรือเอ้อระเหยที่ไหน เขาต้องทำเวลาและกลับไปรับเฟยเฟยให้ทัน

 

 

เพราะงั้นข้อมูลคู่แข่งจึงถูกยื่นให้หลังจากที่เครื่องบินเทคออฟไปแล้ว

 

 

"แก๊งค้ายาในเม็กซิโก?"   นายใหญ่ของ Diamond crown ถึงกับอึ้งไปเมื่อได้เห็นข้อมูลในแฟ้ม จะไม่ให้เขางงได้ไงก็ไอ้พวกนี้มันไม่ได้อยู่ในวงการค้าเพชรด้วยซ้ำ?

 

ตอนแรกเขาคิดว่าต้องสู้กับพวกเศรษฐีใหม่ที่คิดจะเข้าสู่วงการค้าเพชรด้วยการเป็นเจ้าของเหมือง หรือไม่ก็พวกชีคพวกเจ้าชายรัฐต่างๆของประเทศอาหรับ ไม่คิดเลยนะว่าต้องมารบรากับแก๊งค้ายาเนี่ย

 

"เหมือง Hael น่าจะอยู่ใกล้เส้นทางส่งยาครับ ผมเดาว่าพวกนั้นน่าจะเอาเหมืองมาทำที่ผลิตยามากกว่า"   คิดๆไปมันก็ถือว่าครีเอทอยู่นะ เหมืองมักจะอยู่ไกลจากสายตาผู้คน เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ค่อยสนใจเพราะมันเป็นของเอกชน แถมเหมือง Hael ยังเป็นเหมืองเพชรสีน้ำเงินที่ปริมาณการขุดน้อยอีกต่างหาก นานๆจะมีเพชรออกมาที พวกนั้นขุดบ้างไม่ขุดบ้างตบตาคนอื่นไปก็คงไม่มีใครสงสัย

 

ยิ่งรู้แบบนี้ยิ่งยอมไม่ได้เลยแหะ

 

"ถึงจะไม่ใช่แก๊งใหญ่แต่ก็เริ่มแผ่ขยายอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลังมานี้ครับ"   อาเธอร์ให้ข้อมูลเขาด้วยเสียงเรียบๆ ไม่ได้คิดจะห้ามเขาแม้แต่น้อยที่เข้าไปยุ่งกับคนอันตรายพวกนั้น

 

Diamond crown เคยกลัวใครเสียที่ไหน

 

"อืม"   เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ ทอดสายตามองปุยเมฆกว้างไกลอย่างใช้ความคิดไปเรื่อยๆ

 

 

 

 

 

 



กว่าแบบก่อสร้างนับร้อยฉบับที่ปนกันมั่วจะถูกจัดเรียงใหม่แล้วส่งไปถึงห้องเก็บเอกสารได้ก็เย็นย่ำพอดี

 

คนที่มาฝึกงานด้วยกันแยกกลับไปสักพักแล้วร่างโปร่งบางจึงมายืนอยู่ตามลำพังที่หน้าตึก RTRI เพื่อรอใครคนหนึ่ง

 

Ferrari Portofino M แล่นออกจากคอนโดทันทีที่หวังเฟยเฟยส่งข้อความมา เจ้าลูกกระต่ายไม่มีทางรู้แน่ว่าเขาไปมาไกลขนาดไหนในหนึ่งวันที่ผ่านมา

 

ดวงตาคมกล้าเพิ่งได้กวาดมองถนนหนทางของย่านมารุโนะอุจิชัดๆ มันไม่เหมือนอยู่ในโตเกียวเลยแหะ แทนที่สองข้างทางจะเต็มไปด้วยป้ายไฟกับป้ายโฆษณา ทว่า ถนนในย่านนี้กลับเรียบร้อยหรูหรา

 

ต้นกิงโกะหรือแปะก๊วยสูงใหญ่เรียงเป็นแถว ใบสีเขียวนั่นกำลังเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองประปราย อีกสักหนึ่งเดือนที่นี่จะต้องทองอร่ามไปทั้งถนนแน่ๆ  ตึกที่อยู่สองข้างทางก็เรียบหรูดูทันสมัย ดูไม่ค่อยวุ่นวายและมีการวางผังเมืองมาอย่างดี

 

ด้วยความเร็วของเจ้าม้าพยศบวกกับเลยเวลาเลิกงานไปสักพักแล้วทำให้ถนนโล่งจนยังไม่ทันจะรู้สึกว่าได้เหยียบคันเร่งเท่าไหร่ เขาก็มาถึงหน้าตึกออฟฟิศ Railway Technical Research Institute จนได้

 

เจ้าลูกกระต่ายยืนโยกตัวรอเขาอยู่หน้าประตูทางเข้า แค่ได้ยินเสียงรถที่เป็นเอกลักษณ์ ร่างโปร่งก็เงยหน้าขึ้นทันที

 

รอนานไหม?”    เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อร่างโปร่งก้าวขาเข้ามานั่งในรถ ความอ่อนโยนที่แผ่ออกจากตัวเขาในตอนนี้ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับหวังอี้หยางเมื่อสองสามชั่วโมงก่อน

 

ไม่นานครับ ขอโทษด้วยที่ต้องให้มารับ...”   เจ้าลูกกระต่ายอมลมไว้ในปากอย่างหงอยๆ ดูเหมือนวันนี้จะมีอะไรผิดจากที่คาดการณ์ไปเยอะ เฟยเฟยถึงดูไม่ค่อยร่าเริงนัก

 

ไปหาอะไรกินกัน”   และเขาก็รู้วิธีทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น มือใหญ่หมุนพวงมาลัยออกนอกเส้นทางที่จะกลับคอนโด จากย่านมารุโนะอุจิมุ่งหน้าสู่ย่านกินซ่าแทน

 

รับรองว่านายต้องชอบ”   ใบหน้าหล่อเหลาหันไปยิ้มบริหารเสน่ห์ให้ ใบหน้ามนหงึใส่ก่อนจะเสสายตาหลบอย่างเขินๆ

 

 

 

เฟอร์รารี่สีขาวจอดในตรอกหนึ่งของย่านที่ราคาที่ดินแพงที่สุดในโตเกียว ร่างสูงสง่าเดินนำร่างโปร่งบางไปที่ร้านโอมากาเซะร้านหนึ่ง

 

หน้าร้านเป็นเพียงผนังทึบเรียบๆไม่ได้มีตู้โชว์โมเดลอาหารเหมือนร้านทั่วไป ข้างๆประตูทางเข้าสไตล์ญี่ปุ่นมีป้ายชื่อไม้เล็กๆเขียนด้วยตัวคันจิสวยงามเอาไว้

 

"ยินดีต้อนรับครับทันทีที่มือใหญ่เปิดประตูเข้าไป เสียงต้อนรับอย่างพร้อมเพียงก็ดังขึ้นทันที นี่ก็เป็นวิถีปฏิบัติอย่างหนึ่งของร้านอาหารญี่ปุ่น

 

หัวสีดำโผล่ออกมาจากแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า ดวงตากลมโตจ้องมองเคาน์เตอร์รูปตัว L อย่างสนอกสนใจ ก็ทั้งร้านไม่มีโต๊ะทานอาหารเลยมีแต่เจ้าเคาน์เตอร์ไม้สีบีชนี่แหละ มีเก้าอี้ล้อมเคาน์เตอร์อยู่ราวๆ8-10ตัวแต่กลับไม่มีใครนั่งอยู่เลย

 

"เชิญทางนี้ค่ะ"   พนักงานหญิงในชุดกิโมโนเรียบร้อยเดินมาเชิญพวกเขาไปนั่งที่เก้าอี้ตรงกลางเคาน์เตอร์

 

ปกติแล้วร้านแบบ Omakase จะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่เชฟเป็นคนจัดสรรเลือกอาหารมาให้ตามวัตถุดิบที่มีในฤดูกาลนั้นๆ อาหารจะมาเป็นคอร์สๆและเชฟก็จะยืนทำอยู่ตรงหน้าแล้วเสิร์ฟให้ทีละจานๆ  ส่วนใหญ่แล้วร้านโอมากาเซะมักจะเป็นอาหารประเภทซูชิ แต่หลังๆมานี้ก็เริ่มมีอาหารฟิวชั่นที่ทำในรูปแบบนี้เช่นกัน

 

นอกจากความพิถีพิถันในการคัดเลือกแต่วัตถุดิบชั้นดีที่สดใหม่และหาได้เฉพาะในช่วงเวลานี้เท่านั้นแล้ว การได้นั่งดูเชฟประดิษฐ์ประดอยอาหารออกมาแต่ละคำๆก็นับเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งเช่นกัน

 

เพราะฉะนั้นร้านแบบโอมากาเซะจึงมีราคาแพงมากในการกินแต่ละครั้งและยังต้องจองคิวล่วงหน้าอีกด้วย

 

"ทำไมไม่มีคนเลยอ่ะ?"   ใบหน้ามนหันไปมองเก้าอี้ที่ว่างเปล่า ในการจองคิวแต่ละรอบๆจะมีเวลาบอกไว้ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะมาตามเวลาและถ้าถึงรอบเดียวกับพวกเขาแล้วก็น่าจะมีคนมาได้แล้ว?

 

"ไม่รู้สิ ไว้กลับไปก็ลองถามอาเธอร์แล้วกันว่าจองยังไงไว้ใบหน้าหล่อเหลาทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาเพิ่งให้เลขาประจำตัวจองเมื่อตอนบ่าย กับร้านที่มีเชฟระดับมิชชลิน2ดาวที่ต้องจองล่วงหน้ากว่าสองเดือนก็คิดเอาแล้วกันว่าเขาใช้อะไรในการแก้ปัญหา

 

เชฟเดินออกมาทักทายพร้อมถาดวัตถุดิบที่น่าตื่นตาตื่นใจทำให้เฟยเฟยไม่คาดคั้นต่อ ดวงตากลมโตจ้องมองสิ่งที่วางโชว์ให้เห็นกันจะๆ ถาดหนึ่งเป็นสารพัดปลาเนื้อขาวแล่มาเป็นชิ้นใหญ่ๆยาวๆ ส่วนอีกถาดเป็นส่วนต่างๆของปลาเนื้อแดงอย่างมากุโระ น้ำลายแทบจะไหลออกปากแล้วเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย เขามองคนข้างๆอย่างเอ็นดู 

 

ดูเหมือนคำแรกจะถูกเสิร์ฟในฝาหอยเม่น เชฟยืนปรุงสดๆที่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์ เจ้าลูกกระต่ายมองมือของเชฟที่หยิบวัตถุดิบนู่นนี่จัดวางลงในฝาหอยอย่างไม่วางตา แม้แต่ดอกไม้เล็กๆที่ถูกหยิบวางเป็นชิ้นสุดท้ายนั่นก็ยังดูเหมือนถูกคิดมาอย่างประณีต  ในที่สุดทั้งคำก็ถูกยกมาวางตรงหน้า

 

"งื้อ~ อร่อยจัง~~"   แค่คำแรกก็ทำหน้าฟินขนาดนี้แล้วนะ คงจะอร่อยอย่างที่ว่าจริงๆนั่นแหละ มือบางแทบจะขูดช้อนไม้กับฝาหอยเม่น เห็นแบบนั้นแล้วคนพามาอย่างเขาก็อดยิ้มไม่ได้

 

เชฟค่อยๆวางอาหารให้พวกเขาทีละคำๆตามลำดับ ปลาหมึกต้มตัดขวางโรยด้วยเกลือดำ  หอยอาซาริต้มคลุกหัวไชเท้าขูด ข้าวผัดยัดใส้ปลาหมึกคำฉ่ำๆหนึ่งคำ รสชาติที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆนั้นก็ถูกคิดเอาไว้แล้ว แล้วจานออเดิร์ฟก็จบลงด้วยการตัดของสาเกยูซุหนึ่งถ้วยเล็กๆ

 

เจ้าลูกกระต่ายมองไปหลังเคาน์เตอร์อย่างอดใจรอไม่ไหวว่าเชฟจะทำอะไรอีก เสน่ห์อย่างหนึ่งของโอมากาเซะก็คือการได้ลุ้นว่าวันนี้จะได้กินอะไรนี่แหละ

 

เชฟเริ่มหยิบชิ้นปลาเนื้อขาวในถาดขึ้นมา ต่อไปน่าจะเป็นซูชิ?

 

มีดแล่ปลาด้ามยาวส่องประกายสีเงินแว๊บ ไม่ต้องไปลูบเล่นก็รู้ว่าคมแค่ไหน มันค่อยๆแล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบางๆ บางๆ แล่หนึ่งชิ้นสำหรับเขา และอีกหนึ่งชิ้นของเจ้าลูกกระต่าย ปลาเนื้อขาวที่ยังติดหนังจะถูกบั้งอย่างสวยงาม มืออีกข้างหยิบข้าวขึ้นมาปั้น แล้วกดลงไปบนเนื้อปลา การขยับข้อมือนั้นราวกับวาทยากรในวงออเคสตร้า ดูเพลินตามาก

 

โชยุในโหลถูกป้ายปิดท้ายก่อนที่ซูชิปลา Kasugodai จะถูกวางใส่มือบาง ซูชิของที่นี่จะทำจากมือสู่มือเพราะเชื่อกันว่าอุณหภูมิจากมือเชฟจะทำให้ซูชิคงรสชาติที่อร่อยที่สุดไว้ เพราะงั้นพอได้รับมาก็ควรจะกินเลย แน่นอนว่าเจ้าปลาสีเงินนั่นกลายเป็นอาหารกระต่ายในชั่ววินาที

 

อร่อยยยยยย”    ดวงตากลมโตหลับพริ้มอย่างตื้นตันในรสชาติอาหาร เป็นรีแอคชั่นที่เขาว่าเพลินตายิ่งกว่าดูเชฟเสียอีก

 

ปลาเนื้อขาวหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น Iwashi, Kohada, Amadai, Nodoguroฯ ถูกเสิร์ฟสลับกับปลาหมึกหิ่งห้อยย่างซอสบ้าง ปลาซาบะย่างหั่นพอดีคำบ้าง ซูชิปลาไหลย่างกินกับเครื่องเคียงบ้าง ท้องแซลม่อนย่างบ้าง แต่ละคำทั้งอร่อยทั้งสวยงามจนเจ้าลูกกระต่ายฟินตัวจะแตกตายแล้ว

 

ถ้วยแบนๆกลมๆคล้ายกะทะขนาดจิ๋วที่ดูเป็นดีไซน์เฉพาะถ้วยหนึ่งถูกวางลงตรงหน้า  ของในนั้นทำให้เจ้าลูกกระต่ายอ้าปากค้างน้ำลายไหลย้อยลงมาอีกครั้ง มันเป็นฟิวชั่นระหว่างไข่ปลาแซลม่อนสีส้มแวววาวกับเครื่องเคียงที่รสชาติเข้ากันแบบสุดๆ มือบางใช้ช้อนตักเข้าปากไปก็แทบจะลงไปเต้นบัลเล่ห์ไป ชอบขนาดไหนคงไม่ต้องบอกแล้ว

 

น่าจะถึงเวลาของปลาเนื้อแดงไฮไลท์ของที่นี่แล้ว มากุโระหรือปลาทูน่านั้นแต่ละส่วนในตัวมันก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ อาคามิ , ชูโทโร่ , โอโทโร่ ตามระดับไขมันที่แทรกซึมอยู่ในเนื้อส่วนนั้นๆ ความอร่อย ความหายาก และราคา 

 

มีดค่อยๆแล่เนื้อปลาเป็นชิ้นๆอย่างชำนาญ ริ้วที่ขึ้นอยู่บนเนื้อปลาทำเอาเจ้าลูกกระต่ายกลืนน้ำลายดังเอื้อก สภาพแบบนี้คงจะลืมความหดหู่ใจในวันนี้ไปหมดแล้วแน่ๆ

 

คำแรกของกลุ่มปลาเนื้อแดงกลับไม่ใช่อาคามิธรรมดาๆ แต่เป็น Akami Zuke โดยนำเอาทูน่าส่วนเนื้อแดงที่หาได้ทั่วไปไปหมักกับซอสโชยุสึเกะแล้วโรยด้วยผิวส้มขูด จากเนื้อลีนๆรสชาติดาษๆกลายเป็นอาหารระดับเทพเจ้าทันที เจ้าลูกกระต่ายถึงกับตะกายโต๊ะ ใบหน้ามนส่งเสียงอื้อๆก่อนจะเขย่าแขนเขาแทนคำบอกเล่าว่ามันอร่อยขนาดไหน ดวงตาคู่โตเปล่งประกายวิ้งๆจนเขาถึงกับหัวเราะ ดูท่าทางจะชอบมาก

 

คำต่อๆมายิ่งไม่ต้องพูดถึง รสชาติที่ละลายในปากได้ของชูโทโร่กับโอโทโร่อร่อยจนเจ้าลูกกระต่ายถึงกับน้ำตาไหล

 

เมนูยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ ยังมีซูชิหอยนางรม  ซูชิคุรุมะเอบิกุ้งญี่ปุ่นเนื้อแน่นที่ทำกันสดๆ  อูนิโรลซูชิไข่หอยเม่นที่ห่อด้วยสาหร่ายกรอบแผ่นยาวๆเน้นๆเต็มๆคำ  ปิดด้วยซุปมิโสะร้อนๆก่อนจะถึงของหวาน

 

อย่างกับอยู่บนสวรรค์...นี่ต้องเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานแด่มวลมษุยชาติแน่ๆ…”    เจ้าลูกกระต่ายทำหน้าฟินสุดๆในขณะที่แก้มตุ่ยก็เคี้ยวเค้กไข่หวานตุ้ยๆ ส้อมเล็กๆสีทองในมือบางยังค้างอยู่เหนือจานลูกพีชกับองุ่นเคียวโฮราดน้ำเชื่อมของเขา  ย้ำว่าของเขาเพราะของเจ้าตัวน่ะกินเกลี้ยงไปหมดแล้ว

 

เขามองคนที่หลับตาพริ้มด้วยรอยยิ้ม คนที่ทำให้เขามีความสุขได้กับแค่มานั่งกินให้ดูนี่คงจะมีอยู่คนเดียวในโลกนี่แหละ

 

 

 

ชอบไหม?”   ใบหน้าหล่อเหลาหันไปถามเมื่อนั่งอยู่ในรถแล้ว

 

ชอบม๊ากกก”    เจ้าลูกกระต่ายตอบเสียงสูงหน้าตายังฟินไม่หาย

 

หมายถึงชั้นน่ะนะ?”   เสียงทุ้มกระซิบหยอกเย้า

 

เอ๊ะ”   ทำเอาคนที่เพิ่งรู้ตัวสตั๊นไปสามวินาที

 

งื้ออออ!!”   เจ้าลูกกระต่ายแยกเขี้ยวให้ก่อนที่สีแดงจะค่อยๆลามขึ้นใบหน้า  

 

ขะ ขับรถไปสิครับ!…”    มือบางยันหน้าเขาที่ยื่นเข้าไปหาออกมาอย่างเขินๆ เขาจึงกลับมาอยู่หลังพวงมาลัยด้วยรอยยิ้มชอบใจ

 

ยะ ยังไงก็ขอบคุณนะครับ อร่อยมากเลย เฟย...ชอบมาก…”   เจ้าลูกกระต่ายกอดกระเป๋าพูดงึมงำๆ เสียงกระหึ่มของรถทำให้เฟยเฟยคิดว่าเขาคงได้ยินไม่ถนัดนัก

 

 

“....หมายถึงพี่ด้วย…”   

 

 

แต่คำนี้เขาได้ยินอย่างชัดเจน

 

ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มก่อนจะขับรถต่อไปโดยทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว  

 

 

บางที... คนเราก็ต้องการแค่นี้แหละ

 

 

เขาไม่เคยอยากครอบครองโลกทั้งใบ เขาอยากได้แค่หัวใจดวงนี้เพียงดวงเดียว...



 

 

 

 

 

 

 

Ferrari Portofino M ยังไม่กลับคอนโดย่านมารุโนะอุจิ แต่สิ่งก่อสร้างสีแดงสูงตระหง่านที่เป็นแลนมาร์คสำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นกลับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่สิ ต้องบอกว่ารถต่างหากที่กำลังขับเข้าหาโตเกียวทาวเวอร์มากขึ้นเรื่อยๆ

 

สิ่งก่อสร้างสุดคลาสสิคที่มีรูปทรงเดียวกับหอไอเฟลในปารีสตั้งเด่นเป็นสง่าจนคนที่ยืนอยู่ข้างใต้ต้องแหงนคอมองความยิ่งใหญ่ของมัน ขาโครงทรัสสีแดงทั้งสี่ยิ่งเด่นและสวยงามยามเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดแบบนี้

 

ว้าว~ สวยจัง~”    หวังเฟยเฟยยืนยิ้มกว้างในขณะที่เงยหน้ามอง Tokyo Tower ด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

มาสิ”    ใบหน้าหล่อเหลาพยักเรียกให้คนที่ยังยืนเซลฟี่กับขาสีแดงพวกนั้นให้เดินตามมา 

 

เดี๋ยวก่อนพี่! ถ่ายไปอวดที่บ้านก่อนสิ”    เจ้าลูกกระต่ายคล้องแขนเขาด้วยความเคยชินเหมือนที่ทำกับอี้คุนเป็นประจำ ใบหน้ามนขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเราจึงเข้าไปอยู่ในกล้องโดยมีโตเกียวทาวเวอร์ในมุมเสยเป็นฉากหลัง

 

ยิ้มนะ ชีสสส”   ใบหน้ามนฉีกยิ้มหวานส่วนเขานั้นแทบจะทำอะไรไม่ถูก จู่ๆก็เข้ามาใกล้ขนาดนี้ ไม่ทันตั้งตัวเลย

 

 

ตึกตักๆๆๆ

 

 

หัวใจเต้นกระหน่ำจนได้ยินเต็มสองหู 

 

“........”    ดูเหมือนเฟยเฟยก็เพิ่งรู้ตัวว่าคนที่ตัวเองคล้องแขนอยู่คือหวังอี้หยางไม่ใช่พี่ชายฝาแฝด ร่างโปร่งบางจึงแข็งเกร็งขึ้นมาทันที

 

 

แชะ

 

 

มือบางกดถ่ายเงียบๆ แต่ท่าทางที่พยายามจะทำให้เป็นปกติกลับดูเลิ่กลั่กเสียมากกว่า ต่างฝ่ายต่างก็เคอะเขิน  

 

อ่ะ โพสในกลุ่มก่อน….”   ร่างโปร่งทำเฉไฉก่อนจะขยับห่างออกไป  แต่เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้า เจ้าตัวดีจะรู้บ้างไหมว่าทำให้เขาเสียอาการขนาดไหน

 

 

ติ๊งๆๆ

 

 

จนกระทั่งเสียงเตือนข้อความเข้ารัวๆนั่นแหละเขาจึงหลุดจากภวังค์ได้ เขาหันไปมองเจ้าลูกกระต่ายที่ยิ้มซุกซนมองโทรศัพท์มือถืออยู่ เขาจึงหยิบของตัวเองมาดูบ้าง

 

อ๊า!! พวกนายหนีไปเที่ยวกันเหรอ?! ในขณะที่ชั้นกำลังเคร่งเครียดกับการแข่งขันเนี่ยนะ! ขอให้โดนผีหลอก! หึ!’    เจ้าลูกสิงโตโวยวายอยู่ในแชทของครอบครัว

 

ฝากดูแลน้องด้วยนะอี้หยาง~ กระต่ายน้อยของหม่าม้าน่ารักที่สุด~’    อาเซียวจ้านส่งจุ๊บมาอีกเป็นแถวให้ลูกกระต่ายของตัวเอง

 

แก๊! ดึกดื่นขนาดนี้พาลูกกระต่ายของชั้นไปไหนอีก! พากลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ! แล้วคืนนี้ก็ห้ามนอนเตียงเดียวกัน ไปนอนโซฟาซะหวังอี้หยาง!!!!’    พ่อสิงโตหวงลูกโวยวายเป็นรายต่อมา

 

น่าอิจฉาจังเลยน้า ยายก็อยากไปโตเกียวกับเฟยเฟยบ้างจังเลยน้า ไปพรุ่งนี้เลยดีไหมน้า…’    จากคุณตาคุณยายบ้านเซียว ดูท่าจะไม่มีใครสนใจโตเกียวทาวเวอร์ที่อยู่ข้างหลังเลยสักนิด ไม่มีใครอิจฉาที่พวกเขาได้มาที่นี่เพราะที่ทุกคนอิจฉาคือเขาได้มากับเฟยเฟยมากกว่า เขาได้แต่ส่ายหน้า

 

ยังมีข้อความจากคนที่บ้านเด้งขึ้นมาอีกหลายข้อความแต่สายตาของเขากลับทอดมองรูปถ่ายรูปนั้นไม่วางตา เขาไม่ค่อยได้ถ่ายรูปคู่กับเฟยเฟยนัก เพราะงั้นนี่จึงเป็นรูปที่แสนสำคัญของเขา

 



ลิฟท์เคลื่อนที่ขึ้นไปกว่า150เมตร ในที่สุดเราสองคนก็มายืนอยู่ที่ชั้น Main Deck ของโตเกียวทาวเวอร์จนได้

 

ชั้นนี้เป็นชั้นที่เปิดให้ขึ้นมาชมวิวได้ แต่เป็นเพราะดึกพอสมควรแล้วคนจึงบางตา

 

ว้าว~~”    เจ้าลูกกระต่ายถลาเข้าไปหาผนังกระจก ภาพมหานครโตเกียวมองเห็นได้จากตรงนี้ไปจนสุดลูกหูลูกตา แสงไฟระยิบระยับของตึกรามบ้านช่องรวมถึงรถที่ยังสัญจรจนเห็นเป็นเส้นถนนแผ่ออกไปจนเขามองเไม่เห็นเลยว่ามันไปสิ้นสุดตรงไหน เป็นภาพที่สวยงามสะกดสายตาจริงๆ

 

มุมนี้ก็สวย~”    มือใหญ่ล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินตามเจ้าลูกกระต่ายที่เดินวนถ่ายรูปไปเรื่อยๆ บนนี้สามารถมองเห็นโตเกียวได้แบบ360องศา เห็นเฟยเฟยดูชอบดูตื่นเต้นเขาก็มีความสุขแล้ว

 

หลังจากวนครบหนึ่งรอบ เจ้าลูกกระต่ายก็มายืนแหมะหมดแรงกับราวจับที่ผนังกระจกด้านหนึ่ง เพราะด้านในเปิดไฟเพียงสลัวๆ จึงมองเห็นพวกเขาเป็นเงาดำๆโดยมีมหานครโตเกียวยามค่ำคืนเป็นฉากหลัง

 

"เป็นอะไร?"    เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นคนที่เอาคางเกยราวจับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคิดอะไรอยู่

 

"ทำไงดีอ่ะ ที่ออฟฟิศไม่มีที่จอดรถเลย เฟยขับรถไปทำงานไม่ได้แล้ว คนที่ฝึกงานด้วยกันบอกให้นั่งรถไฟไป แต่คอนโดเรามันก็ใกล้จนรถไฟยังวิ่งไม่ถึงหนึ่งสถานีด้วยซ้ำ  จะเดินไปก็อาจจะโดนรถชนตายก็ได้  แล้วก็ถ้านั่งแท็กซี่ ค่าขนมเดือนนี้ของเฟยต้องไม่เหลือแน่เลย หม่าม้าไม่ให้ขอเพิ่มแล้วด้วย แง๊~"   เจ้าลูกกระต่ายบ่นยาวเป็นหางว่าว แต่ใบหน้าที่บ่นไปไม่เข้าใจโลกไปนั่นกลับน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน เขามองเพลินจนละสายตาจากใบหน้ามนไม่ได้เลย

 

"อยากให้ชั้นทำยังไง?"   ซื้อหุ้นของเจอาร์ไหม? พอได้ตำแหน่งบริหารมาก็จะมีที่จอดรถ? เขารอดูท่าทีของเฟยเฟย เขามักจะไม่เสนออะไรออกไปก่อน แต่เขาชอบให้อาเฟยขอร้องเขามากกว่า

 

"อืม...พี่...ขับรถไปส่งเฟยได้ไหม? เดี๋ยวขากลับเฟยนั่งแท็กซี่กลับเองก็ได้ ถ้าแค่ขากลับค่าขนมเฟยน่าจะพอ"   เจ้าลูกกระต่ายเสนอวิธีที่เรียบง่ายกว่าการซื้อหุ้นของเจอาร์มาก แต่นั่นกลับทำให้เขายิ้มออกมาบางๆ เพราะนี่คือวิธีที่คนรักหรือคนในครอบครัวทำให้กัน แล้วคนที่จะขอร้องให้หวังอี้หยางทำเรื่องแบบนี้ได้ก็คงจะมีแต่คนตรงหน้าคนเดียว

 

"ได้สิ”   เขาตอบด้วยเสียงอ่อนโยน 

 

เย้~”    หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นคลายออกในทันที

 

แถมบริการไปรับให้ด้วยเลย"

 

"ขอบคุณครับ~"    ใบหน้ามนยิ้งแฉ่ง กังวลอะไรได้ไม่เกินสิบนาทีจริงๆเจ้าลูกกระต่าย

 

 

 

 

 



ในที่สุด Ferrari สีขาวก็วิ่งกลับเข้าคอนโดจนได้

 

 

แชะๆๆ

 

 

และแสงไฟของถนนในโตเกียวก็ทำให้คนที่อยู่ในรถไม่รู้ตัวเลย ว่ามีแสงแฟลชสว่างวาบมาจากรถที่จอดแอบๆอยู่หน้าคอนโด… 



 

 

 

 

 

ทายาทลำดับที่หนึ่งของตระกูลหวังเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ ร่างสูงสง่าสวมชุดคลุมสีเทาทับชุดนอนสีดำ ดวงตาคมกล้าเหลือบมองเจ้าลูกกระต่ายที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงไถแท็บเล็ตอ่านแบบแปลนอะไรสักอย่างอยู่ 

 

เวลานอนนี่แหละคือช่วงเวลาที่มีปัญหามากที่สุดของเฟยเฟย เขาจึงเอ่ยออกไป

 

เดี๋ยวชั้นออกไปนอนที่โซฟา ถ้านายกลัวผีจะเปิดประตูห้องไว้ก็ได้”   ใบหน้ามนเงยขึ้นมามองแล้วนิ่งค้างอยู่แบบนั้นเหมือนกำลังใช้ความคิด เขาจึงหมุนตัวเพื่อจะเดินไปหยิบไดร์เป่าผม  คนที่คิดว่าเขาจะเดินออกจากห้องจึงรีบเรียกเขาเอาไว้

 

พี่

 

หื๋ม?”    เขาหันไปมองใบหน้ามนที่ดูอึกอักๆ สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกที่ต้องไปนอนที่โซฟา แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าลูกกระต่ายเองก็คิดเรื่องของเขาเช่นกันจนกระทั่งวันนี้

 

นอน...ด้วยกันบนเตียงนี่ก็ได้...นอนโซฟามันเมื่อยใช่ไหมล่ะ เฟยไม่ได้อยากจะทรมานพี่สักหน่อยพี่อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อน...”    ริมฝีปากสีระเรื่อค่อยๆพูดออกมา 

 

นายก็รู้นี่ ว่ายิ่งนอนบนเตียงนี้ ชั้นยิ่งทรมาน”   เขาหันไปบอกอีกฝ่ายตามตรง เขาจะทนไม่ไหวขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นแล้ว

 

งั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวเฟยนอนคลุมโปงทั้งตัวเลยก็ได้ พี่ก็จะได้ไม่เห็นเฟยไง หรือจะให้เฟยนอนในปลอกหมอนข้างก็ได้ พี่จะได้คิดว่าเฟยเป็นแค่หมอนข้าง ดีไหม?”   จะปลอมตัวเป็นหมอนข้างฮึ...เขาหลุดขำกับความคิดประหลาดๆของเจ้าลูกกระต่าย คนที่จะเสนอไอเดียแบบนี้ได้คงจะมีอยู่คนเดียวในโลกนี่แหละ

 

มือที่กำลังขยี้ผ้าขนหนูลงบนหัวเปียกชื้นนิ่งค้างในขณะที่มองตรงไปยังหวังเฟยเฟยอย่างใช้ความคิด บางที...การที่เขาเอาแต่หลบเลี่ยงอาจจะไม่ใช่วิธีที่ใช้ได้อีกต่อไปแล้ว

 

แล้วใบหน้าหล่อเหลาก็ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินตรงไปที่เตียง เส้นผมชื้นๆที่ยังไม่ได้เป่าชี้ไปมาอย่างไม่เป็นทรง แต่แบบนี้กลับดูเซ็กซี่และเป็นหวังอี้หยางในแบบที่หวังเฟยเฟยไม่เคยเห็น เขาก้าวเท้าย่างเข้าไปช้าๆ สายตาจ้องมองไปที่ใบหน้ามนราวกับสิงโตที่กำลังจ้องเหยื่อ

 

ผ้าขนหนูที่เคยพาดอยู่ที่ไหล่ถูกมือใหญ่ทิ้งลงพื้น เขากดเข่าข้างหนึ่งลงกับเตียงคร่อมต้นขาที่อยู่ใต้ผ้าห่มเอาไว้ ลูกกระต่ายตัวน้อยผงะหน่อยๆก่อนถอยร่นจนแผ่นหลังชนกับผนังหัวเตียงเมื่อถูกไล่ต้อน ดวงตากลมโตกรอกไปมาเล็กน้อยก่อนจะเสหลบอย่างไม่กล้าสบกับสายตาคมกล้าที่มองตรงมาอย่างไม่ลดละ

 

เสียงทุ้มเอ่ยออกไปเมื่อใบหน้าขยับมาใกล้ใบหูบาง สายตาจับจ้องอยู่ที่ต้นคอขาว

 

ถ้าจะให้ชั้นนอนบนเตียงนี้...มันมีวิธีที่ง่ายกว่าการปลอมตัวเป็นหมอนข้างอีกนะ”   ใบหน้าหล่อเหลาละจากกกหูช้าๆ สายตาย้ายมาจับจ้องที่ริมฝีปากอิ่ม 

 

ลมหายใจร้อนๆเป่ากระทบแก้มใสอยากให้รับรู้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าขนาดไหนที่อยู่ในใจเขา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลงเหลือบขึ้นสบกับนัยน์ตาคู่โตก่อนจะเหลือบลงมามองริมฝีปากใหม่ 

 

เขาขยับเข้าหาอย่างอ้อยอิ่ง เขาทิ้งเวลาให้เฟยเฟยปฏิเสธแล้ว 

 

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ทำ ใบหน้าคมจึงเสยช้อนใบหน้าขึ้น แล้วจู่โจมกลีบปากสีระเรื่อนั้นด้วยริมฝีปากของเขา

 

อ๊ะ?”   ยังไม่ทันที่เจ้าลูกกระต่ายจะได้อุทานอะไร ริมฝีปากที่เคยบดเบียดอย่างนุ่มนวลก็ค่อยๆสอดลิ้นเข้าไป ไหล่บางถึงกับแข็งทื่อเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาจูบแบบ Deep Kiss 

 

เพิ่งเคยใช้ลิ้นเป็นครั้งแรก...

 

อื้ม”   เขาขยับใบหน้าเข้าหา บดเบียดเปลี่ยนองศาไปเรื่อยๆ เรียวลิ้นที่อยู่ข้างในไล่ต้อนลิ้นร้อนที่ไร้เดียงสา นุ่มนวล โอบรัดสัมผัสทุกส่วนอย่างอ่อนโยน

 

“อึก...อืม...”   เสียงครางในลำคอดังเบาๆ หัวใจของเขากำลังเต้นดังมาก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจูบจะทำให้รู้สึกดีขนาดนี้

 

ใบหน้ามนแดงจัดจนแทบจะลุกเป็นไฟได้ ฝ่ามือบางที่ขย๋ำสาบเสื้อนอนของเขาอยู่ก็ทำให้รู้ว่าน่าจะรู้สึกดีมากเหมือนกันกับเขา

 

ในขณะที่เรียวลิ้นของเขากำลังล่อลวงลูกระต่ายให้เคลิบเคลิ้ม มือใหญ่ก็สอดประสานไปที่มือบางข้างหนึ่ง เขาค่อยๆดึงมันเข้ามาอย่างนุ่มนวล

 

 

ก่อนจะพามันบุกเข้าไปในพื้นที่แสนอันตราย...ที่อยู่ภายใต้กางเกงนอนของเขา

 

 

“....!!”   ดวงตาที่เคยปิดลงอย่างเคลิบเคลิ้มถึงกับเบิกโพลงขึ้นมาทันทีที่ฝ่ามือรับรู้ได้ว่าไปสัมผัสโดนอะไรเข้า

 

สิ่งที่อยู่ตรงกลางหว่างขานั่นเหมือนจะตื่นตัวอยู่แล้วน้อยๆ  ยิ่งมันถูกสัมผัสโดยมือบางนิ่มๆเย็นๆของคนที่เป็นดั่งดวงใจ มันจึงยิ่งขยายใหญ่คามือ

 

ดวงตาคู่สวยตวัดมาสบประสานดวงตาเขาอย่างตื่นตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะทำเรื่องแบบนี้

 

...วะ วิธีอะไรของพี่เนี่ย? อื้อ~”   คำพูดขาดๆหายๆรีบเอ่ยออกมาเมื่อเขาปล่อยกลีบปากอิ่มให้เป็นอิสระ แต่ก็พูดเป็นประโยคอยู่ได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงครางเมื่อริมฝีปากร้อนๆกดจูบลงไปที่ซอกคอ

 

ในเมื่อความปรารถนาในตัวนายของชั้นมันล้นทะลักดีนัก ก็แค่เอามันออกมาบ้างก็พอ”   เสียงทุ้มเอ่ยบอกในขณะที่ปล่อยลมหายใจหนักๆให้ไปคลอเคลียอยู่ที่ต้นคอระหง ตอนนี้ลมหายใจของเขาร้อนมาก ร้อนตามไฟปรารถนาที่กำลังลุกโชนอยู่ภายใน

 

มือบางข้างนั้นกำลังสัมผัสความเป็นชายของเขาอย่างเก้ๆกังๆ แตะโดนบ้างถอยห่างบ้างอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ยิ่งมันเงอะๆงะๆเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขามีอารมณ์ 

 

"ฟู่…"   หัวสีดำซบไว้กับไหล่บางอย่างพยายามอดทน เขารักและต้องการอีกฝ่ายแค่ไหนคงไม่ต้องอธิบายแล้ว แค่มืออย่างเดียวอารมณ์ก็พุ่งพล่านไปถึงไหนต่อไหน

 

แล้วก็...ชั้นไม่ได้อยากกินนายแค่เพราะตาชั้นมองเห็นเท่านั้น ต่อให้นายปลอมตัวเป็นหมอนข้างไปก็ไร้ประโยชน์”   เสียงทุ้มพยายามพูดออกมาทั้งๆที่สภาพของเขาพอๆกับคนเมา

 

เพราะไม่ว่าจะกลิ่นหอมๆของนาย เสียงหายใจของนาย ความร้อนจากตัวนาย แม้แต่นายขยับตัวแค่นิดเดียว แค่รับรู้ว่านายอยู่ข้างๆ มันก็ทำให้ชั้นหิวจนแทบจะคุ้มคลั่งแล้ว”   ปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากซอกคอ

 

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมชั้นถึงนอนข้างๆนายไม่ได้ยังไงล่ะเฟยเฟย

 

มีแต่ต้องทำให้ความหิวมันลดลง...ด้วยวิธีนี้”    

 

มือใหญ่สอดปลายนิ้วเข้าไปประสานกับมือบางก่อนจะช่วยกันกอบกุมแท่งเนื้อที่ร้อนราวกับเหล็กลนไฟ 

 

ฮ้า…”   เขาถึงกับครางออกมาเบาๆก่อนจะกดจูบกลีบปากสีระเรื่ออีกครั้ง ใบหน้ามนถึงจะดูมึนงงแต่แก้มใสกลับแดงจัดเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์ 

 

"พี่...มันร้อนมากเลย...”

 

“มะ มีเส้นเลือดขึ้นมาด้วย?….มะ ไม่เป็นไรเหรอ?....งื้อ...มะ มันแข็ง...แล้วก็…"    เสียงนุ่มเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก ทั้งสับสน ทั้งเขินอาย จะก้มหน้างุดสายตาก็ดันไปสบกับเจ้าสิ่งที่อยู่ใต้กางเกงจนหัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักดังออกมาจนเขาได้ยิน

 

"แล้วอะไร?"    เสียงทุ้มขยับเข้าไปกระซิบที่ใบหูแดง

 

"...มัน.....ใหญ่มาก"    ใบหน้ามนหลับหูหลับตาพูดออกมาในขณะที่สีแดงลามมาจนถึงต้นคอ เขาถึงกับหัวเราะเบาๆ

 

"หึ...ทำความรู้จักกันไว้ก่อนนะ"   ลมหายใจร้อนๆถูกเป่ารดซอกคอ ต้องห้ามตัวเองไม่ให้เผลอจูบมันมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นเขาจะควบคุมตัวไม่ไหว ก็กลิ่นตัวเฟยเฟยนั้นหอมมาก คงจะเป็นฟีโรโมนที่เอาไว้เล่นงานเจ้าป่าอย่างเขาโดยตรง

 

"ในวันที่ต้องเจอกันจริงๆ...จะได้ไม่ตกใจ"    ใบหน้าที่คลอเคลียอยู่ที่ต้นคอลอบยิ้ม ส่วนเจ้าของมือนิ่มๆนี่ก็ทำได้แค่เอาหน้าซบบ่าของเขาอย่างเขินอาย

 

สองมือค่อยๆขยับช้าๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้ผ้าสีดำของกางเกงนอน  เอวแข็งแรงโยกตัวเบาๆเพื่อให้เข้ากับจังหวะของฝ่ามือ

 

ฮ้า…”   เขาพ่นลมหายใจร้อนๆหนักๆรดต้นคอระหง เดี๋ยวกดจูบเบาๆ เดี๋ยวย้ายไปจูบแก้มใสอย่างเอาใจ เดี๋ยวจูบกลีบปากอิ่ม ด้วยความรู้สึกทั้งลุ่มหลง ทั้งมัวเมา

 

ไม่คิดเลยว่าแค่มือจะรู้สึกดีได้ขนาดนี้

 

คงจะเพราะมันเป็นมือของคนที่เขารัก

 

มือใหญ่ชักนำมือบางให้ขยับเร็วขึ้น เสียงครางต่ำๆอย่างพึงพอใจของเขาที่กระซิบอยู่ข้างใบหูบางทำให้ใบหน้ามนเม้มปากแน่น หน้าแดงจนไม่รู้จะแดงยังไง 

 

เขาเร่งฝ่ามือให้เร็วขึ้นอีกเมื่อใกล้จะถึงจุดสูงสุด ใบหน้าช้อนไปจูบริมฝีปากสีระเรื่ออีกครั้งก่อนที่ทุกความปรารถนาจะถูกปลดปล่อยพุ่งทะลักออกมา

 

อึก…”    ทั่วทั้งตัวสั่นเกร็ง รู้สึกดีจนหัวโล่งไปหมด ใบหน้าหล่อเหลาเอนซบไหล่บางเอาไว้พร้อมกับลมหายใจหอบหนัก

 

มือใหญ่ค่อยๆคลายมือบางออก เฟยเฟยจึงค่อยๆดึงมันออกมาจากกางเกงสีดำ

 

น้ำสีขาวขุ่นไหลเลอะเต็มมือ บางหยาดหยดกำลังค่อยๆไหลจากง่ามนิ้วลงมาที่ข้อมือ 

 

ดวงตาคู่โตมองมันอย่างเบิกค้าง เขินจนหูแดงขึ้นมาอีกรอบ

 

เขาอมยิ้มกับปฏิกิริยาแสนน่าเอ็นดูนั่นก่อนจะหันไปดึงกระดาษทิชชูมาซับไม่ให้มันไหลเลอะที่นอน

 

เอาละ ถึงตานายแล้ว”   เสียงทุ้มพูดออกไปท่ามกลางความมึนงงของใบหน้ามน มือใหญ่ดึงลำตัวโปร่งให้ลุกออกจากเตียงก่อนจะลากเข้าไปในห้องน้ำ

 

เดี๋ยวผมล้างเองก็ได้”   เจ้าลูกกระต่ายนึกว่าเขาจะพามาล้างมือแต่เขากลับอุ้มอีกฝ่ายขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ดวงตาคู่โตจึงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ

 

แต่แล้วเมื่อมือใหญ่ขยับไปคลึงส่วนที่อยู่กลางหว่างขาก่อนจะดึงกางเกงนอนสีแดงทิ้งไป หวังเฟยเฟยก็เข้าใจทุกอย่างทันที

 

เดี๋ยว ไม่ต้อง อ๊ะ”   มือบางพยายามดันไหล่เขาออกไป แต่เขาก็ช้อนจูบคนที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ ทั้งเว้าวอน ทั้งออดอ้อน ทั้งอ่อนโยน

 

เขานิ่งมองใบหน้ามนเมื่อละจูบออกมา

 

อื้อ”   ดวงตาคู่โตปรือปรอยมองเขาด้วยแววสั่นคลอ ยังมีความไม่แน่ใจอยู่ในดวงตาคู่นั้นเขารู้ดี ถึงหัวใจดวงน้อยนี้จะเป็นของเขาไปกว่าค่อนดวง แต่มันก็ยังมีความรู้สึกผิดต่อครอบครัวที่ยังขวางกั้นเอาไว้ ถ้าพ่อแม่รู้ ถ้าคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายรู้...จะเป็นยังไง...

 

อีกฝ่ายมองเขา...ราวกับจะขอความมั่นใจ

 

ว่าความรักความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ใช่เรื่องที่ผิด

 

เพราะถ้าเลยจากตรงนี้ไป...จะหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว...

 

เฟยเฟย…”    เสียงทุ้มจึงเอ่ยออกไป เพื่อให้ดวงใจของเขาหายกังวล

 

 

ในโลกนี้...ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับชั้น...ได้เท่านายอีกแล้ว

 

 

ดวงตาที่เคยสั่นพร่าค่อยๆกลับมาสุกใสเป็นประกายแล้วจ้องมองเขากลับมา ริมฝีปากจึงช้อนจูบกลีบปากสีระเรื่อนั้นอีกครั้งและอีกครั้ง

 

เสียงหอบหายใจดังก้องอยู่ในห้องน้ำ

 

เขาใช้ปากกลืนกิน ใช้ลิ้นไล่ต้อนจนกระต่ายตัวเล็กๆนี่หมดทางหนี...

 

น้ำสีขาวขุ่นไหลออกมาจากมุมปาก

 

จากนั้นท่อนแขนแข็งแรงจึงอุ้มคนที่หมดเรี่ยวหมดแรงออกมานอนลงบนเตียง

 

 

เท่านี้...เขาก็นอนเคียงข้างอีกฝ่ายโดยไม่หิวได้แล้ว...



 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

520 N.

To be con.

 



โอยยยย // ปิดหน้า >/////< 

 

มาค่ะ แปะเพลงแรงบันดาลใจ(?)ฉากท้ายของตอนนี่ก่อนเลยค่ะ เชื่อว่าสาววายที่มาจากประเทดเกาะแล้วก็เป็นพวก20+ (อายุอ่ะนะ555)ส่วนใหญ่น่าจะรู้จักเพลง Magnet ของโวลคาลอยด์ ความหมายก็คือ อื้อหื๋ออออมาก กร๊ากกก เวลาแต่งฟิคที่เป็นความรักแบบต้องห้าม พระเอกนายเอกโหยหาเสพติดซึ่งกันและกัน ก็จะนึกถึงเพลงนี้ทุกทีเลยค่ะ จริงๆมีคนโคฟหลายเวอร์ชั่นมาก แต่จะแปะเวอร์ชั่นที่คุณกวางชอบแล้วกัน เหะ ของ Clear x Dasoku เต้นประกอบเพลงโดยหนูเลนและคุณรีไว // มองเอวลูกแล้วก็ได้แต่น้ำลายไหลพราก =q= // โดนเหยียบพร้อมคัตเตอร์ปักคอ

 

【Shingeki no MMD】"Magnet" (LevixEren)



ส่วนอันนี้คำแปลค่ะ =q= อยากให้เข้าไปอ่านกันนะคะ มันแบบ %&$#%O9&8=#! มาก! เพลงนี้เค้าร้องกันสองคนนะคะ จะ ชช หรือ ญญ ก็แล้วแต่ หรือจะทั้ง ชช ญญ ในคนเดียวกันแบบเวอร์ชั่น Sekihan x Piko ก็มี 555 

 

*ChocoLate Bomb!! - Magnet (Dance Ver.) (Thai sub)



นอกจากเพลงแล้วยังมีคลิปนำเที่ยว(?) สถานที่ที่อยู่ในฟิคตอนนี้ด้วยค่ะ =q= เชื่อว่าตอนนี้หลายๆคนก็คงคิดถึงประเทดเกาะเหมือนเรา แต่เด่วก่อนนะคะ ชื่อฟิคเราคือ GLIDE ค่ะ ไม่ใช่ GUIDE ค่ะ ถึงจะเหมือนฟิคท่องเที่ยวก็เถอะ 55555+ ประทับใจในความตั้งชื่อใหม่ให้ 555+

 

ที่แรก ย่านมารุโนะอุจิค่ะ =q=

Tokyo Station & Marunouchi - 丸の内 - 4K Ultra HD

 

ต่อไปก็โตเกียวทาวเวอร์ คลาสสิคเนอะ =q= 

 ★東京タワー夜景★


มีรูปถ่ายเป็นเรฟด้วยอิๆๆ มุมที่น้องเฟยกับพี่อี้หยางเซลฟี่ด้วยกัน กับตอนที่ยืนคุยกันบน main deck แบบเป็นเงาสองคนดำๆแล้วฉากหลังคือโตเกียวยามค่ำคืน =q=



 

 

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆการติดตามมากๆนะค้า แล้วเจอกันตอนหน้าน้า

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น