ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 N. again [Part2]
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 นิวตัน”
.
.
.
ดวงตาคมกล้าค่อยๆเปิดขึ้นมาเมื่อร่างกายรู้สึกว่าได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว
นายใหญ่แห่ง Diamond
crown ต้องค่อยๆเรียบเรียงสติตัวเองเพราะเมื่อคืนนี้มีเรื่องฉุกละหุกเกิดขึ้นหลายอย่าง
เริ่มจาก
เขากำลังเตรียมตัวไปพบลูกค้าวีไอพีที่สนใจจะซื้อเพชรล็อตใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์
จู่ๆเจ้าลูกสิงโตหวังอี้คุนก็โทรมาหา
แล้วเรื่องที่เจ้าเด็กจอมหวงของคนนั้นจะโทรหาเขาก็คงไม่พ้นเรื่องของแฝดน้องอย่างหวังเฟยเฟย
เขาก็รู้มาตลอดนั่นแหละว่าเฟยเฟยมาฝึกงานอยู่ที่ญี่ปุ่น
เห็นรูปที่สองคนถ่ายลงกรุ๊ปครอบครัวตั้งแต่มาถึงโตเกียวเมื่อหลายวันก่อนแล้ว
ไม่ว่าจะตอนจัดห้อง ตอนออกไปซื้อของ ตอนขับรถสำรวจรอบๆที่พักกับที่ทำงาน
ดูท่าทางอาเฟยก็ยังปกติดีเขาจึงวางใจนึกว่าไม่มีปัญหา ที่ไหนได้
เจ้าลูกกระต่ายกลับอยู่คนเดียวไม่ได้จนพี่ชายต้องโทรตามเขาให้ไปอยู่เป็นเพื่อน
นัดสำคัญทุกอย่างจึงถูกยกเลิก
เขาต้องรีบเคลียร์งานที่จำเป็นๆจนดึกดื่น
หลังจากนั้นก็นั่งเครื่องบินจากสิงคโปร์มาโตเกียวอีกกว่าค่อนคืน
มาถึงนี่ก็เช้ามืดพอดี
ถ้าไม่ใช่หวังเฟยเฟย
คิดเหรอว่าเขาจะทำให้ขนาดนี้
โชคดีที่เขาถือสัญชาติแคนาดา
มีพาสปอร์ตของแคนาดา เขาจึงเดินทางเข้า-ออกได้กว่า188ประเทศทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า
หนึ่งในนั้นก็คือญี่ปุ่น เขาจึงบินเข้ามาได้ทันทีที่ถูกอี้คุนขอร้อง
เจ้าลูกสิงโตลงมารับเขาที่ล็อบบี้คอนโด
ตอนนั้นเขาเหนื่อยมากจนไม่มีแก่ใจจะสังเกตอะไรแล้ว พอขึ้นห้องเขาจึงเพิ่งรู้ว่าห้องนี้มีเพียงห้องนอนเดียว
เขาไม่มีทางเลือก
หลังจากอี้คุนออกไป
เขาก็ล้มตัวลงนอนข้างๆเจ้าลูกกระต่ายที่ยังหลับสนิท
เขาเหนื่อยจนสามารถหลับได้ในวินาทีนั้นเลย
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน...แต่ตอนนี้…
ดวงตาคมกล้ากำลังจ้องมองใบหน้าที่อยู่บนหมอนเดียวกันอย่างอึ้งน้อยๆ
นี่คือภาพแรกที่เขามองเห็นหลังจากที่ลืมตาขึ้นมา...ใบหน้าของเฟยเฟย
ขยับมาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ก่อนที่เขาจะหลับไปก็จำได้ว่าอีกฝ่ายนอนอยู่อีกฝั่งนึงของเตียงนี่?
หัวใจ...เต้นใหญ่เลยแหะ…
ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆในขณะที่ยังมองใบหน้ามนที่อยู่ใกล้จนหน้าผากแทบจะชนกัน
เขายื่นหน้าของตัวเองเข้าไป...แค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น
ริมฝีปากของเขาก็จุมพิตลงไปบนกลีบปากสีระเรื่อได้พอดี
จูบรับอรุณแสนหวานเพิ่มพลังงานเสียหน่อย
ทำให้เขาเหนื่อยมาทั้งคืนก็ต้องรับผิดชอบสิ
ร่างสูงสง่าลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่สายตายังทอดมองคนที่หลับปุ๋ย
ปล่อยให้นอนไปก่อนก็แล้วกัน เขาจึงลุกออกจากเตียงเงียบๆ
เมื่อเช้ามืดเขาไม่ทันมองเพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ปรากฎแก่สายตาหลังจากเปิดประตูห้องนอนมาก็คือห้องนั่งเล่นที่มีโพสอิทติดอยู่เป็นหย่อมๆบนผนัง
เขายืนมองโพสอิทที่เป็นภาษาอิตาลีคำ
จีนคำ อังกฤษคำสลับๆกันไปอย่างขำๆ ภาษาเหมือนรหัสลับแบบนี้ฝีมืออี้คุนแน่ๆ
คือคนบ้านนี้เนี่ย
พูดได้สามภาษาก็จริงแต่ไม่มีภาษาไหนเลยที่เขียนรู้เรื่อง
เป็นเหมือนกันหมดทั้งอาอี้ป๋อ อาเซียวจ้าน อี้คุนแล้วก็เฟยเฟย
อ่านรู้เรื่องกันอยู่สี่คนนี่แหละ
ร่างสูงสง่าเดินไปที่เคาเตอร์ครัวซึ่งอยู่ในห้องเดียวกัน
ถึงคอนโดห้องนี้จะมีแค่สองห้องคือห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัวกับห้องนั่งเล่นกึ่งห้องครัว
แต่ถ้าเทียบกับอพาทเม้นต์ทั่วไปในญี่ปุ่นที่นี่ก็นับว่ากว้างขวางมากแล้ว
ยิ่งอยู่ในย่านมารุโนะอุจิที่แทบจะเป็นใจกลางเมืองเรื่องราคาค่าเช่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง
มันเกินกว่าที่เด็กฝึกงานธรรมดาจะมาอยู่อาศัยไปมาก
แต่เพราะนี่คือหวังเฟยเฟย
ไข่ในหินของบ้านที่ไม่มีใครยอมให้ลำบาก
จะให้ตระกูลหวังซื้อคอนโดนี้ทั้งตึกเลยก็ยังได้ขอแค่รู้ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของเจ้าลูกกระต่าย
จ้อก…
มือใหญ่กดน้ำร้อนใส่แก้วกาแฟ
เช้านี้เจ้าอาเธอร์คงหัวหมุนอยู่กับเรื่องติดต่อขอเช่าห้องรอบข้าง
เขาเลยต้องทำทุกอย่างเอง
แกร่ก…
ผ้าม่านถูกรูดออกให้แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามา
ก็สมราคาค่าเช่าที่แพงหูฉี่ สถานที่รอบๆที่เขามองเห็นก็คือสถานีโตเกียวกับพระราชวังอิมพีเรียล
ตึงๆๆ
แกรก! ปึง!
"อ้ากกก สายแล้วๆๆ เผลอหลับต่อเฉยเลย! อ้ะ พี่อี้หยาง อรุณสวัสดิ์ครับ"
เจ้าลูกกระต่ายโผล่พรวดออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้าตื่นๆ
มือหอบกระเป๋าพะรุงพะรังแต่ภาพที่เห็นก็ไม่ได้สะดุดตาเขาเท่าประโยคที่ออกมาจากปากร่างบางเมื่อกี้
"เผลอหลับต่อ?"
"ง่ะ......เอ่อ...ไม่มีอะไร เฟยไปรายงานตัวที่ออฟฟิศก่อนนะ~"
ใบหน้ามนผงะไปเหมือนคนโป๊ะแตก
ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการวิ่งผ่านหน้าเขาไป...หรือว่าที่เขาเห็นอีกฝ่ายขยับเข้ามานอนใกล้ๆเมื่อเช้านี้จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ…
หึ...ใบหน้าหล่อเหลาลอบยิ้ม
"แล้วไปยังไง?" เขาหันไปถามคนที่ก้มใส่รองเท้าอยู่ที่
Foyer
"ขับรถไปครับ เอ่อ...วันนี้พี่ยังอยู่ใช่ไหม?" เป็นเพราะยังไม่ทันได้คุยอะไรกัน เจ้าลูกกระต่ายเลยเงยหน้ามาถามเขาด้วยสายตากังวลหน่อยๆ
กลัวว่ากลับบมาแล้วจะต้องอยู่คนเดียว?
เขาควรจะบอกดีไหมว่าห้องรอบๆห้องนี้จะถูกเขาเช่าอีกสองเดือนนู่นแหละ
"ยังอยู่ แล้วขับรถไปเองได้รึเปล่า?"
"ได้ครับ อี้คุนพาขับวนดูทางระหว่างออฟฟิศกับคอนโดอยู่เป็นสิบรอบเลย
ไม่หลงแน่นอน!" เจ้าลูกกระต่ายพูดอย่างมั่นใจ
แต่ปกติก็ไม่ใช่คนหลงทิศหลงทางเหมือนแม่ตัวเองอยู่แล้วเขาจึงน่าจะวางใจได้
เขายืนมองร่างโปร่งบางวิ่งออกจากห้องไป
main
office ของ RTRI ซึ่งเป็นที่ฝึกงานของเจ้าลูกกระต่ายก็อยู่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร
คงไม่เป็นไร?
.
.
.
.
ไม่เป็นไรก็แปลกแล้ว!
"ครับ" มือใหญ่กดรับโทรศัพท์หลังจากผ่านไปแค่15นาที เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย…
"พี่อี้หยาง! เฟยจอดรถไว้ตรงประตูทางเข้าออฟฟิศอ่ะ มาเอารถกลับให้หน่อยนะ!"
ห๋า?
"เดี๋ยว" ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด….ตัดสายไปซะงั้นน่ะเฮ้ย?! ยังไม่ทันจะรู้เรื่องเลย!
นายใหญ่แห่ง
Diamond
crown ยืนมองโทรศัพท์ด้วยสภาพนิ่งค้าง เจ้าลูกกระต่ายนั่นรู้รึเปล่าว่าเขาเป็นใครกัน?
นี่เจ้าพ่อแห่งวงการค้าเพชรเลยนะ!
ใบหน้าเรียบเฉยถอนหายใจก่อนจะกดโทรศัพท์หาลูกน้องที่สแตนด์บายอยู่รอบๆคอนโด
พวกเขามาอย่างฉุกละหุกเลยไม่ทันเตรียมห้องเอาไว้
เขาจึงให้ลูกน้องกระจายตัวอยู่ตามโรงแรมหรือคาเฟ่รอบๆนี้เพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย
"ครับนาย?"
"หาตำแหน่งรถของอาเฟยที แล้วก็ไปเอากลับมาให้ผมที่คอนโด"
"ครับนาย" ปลายนิ้วกดวางสาย
ตอนนี้เริ่มจะเข้าใจอี้คุนขึ้นมาตะหงิดๆ
ที่เคยบอกว่าปล่อยให้อยู่คนเดียวแค่ชั่วโมงเดียวก็อาจจะตายได้นี่ไม่เกินจริงเลยสักนิด
ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?
ย้อนกลับไปเมื่อ15นาทีก่อนหน้า
Ferrari
Portofino M ที่แล่นช้าๆไปตามท้องถนนในโตเกียวนั้นราวกับเป็นของแปลก
เสียงกระหึ่มของเจ้าม้าลำพองเรียกให้คนหันมองกันทั้งถนน
แต่คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยกลับไม่รู้สึกอะไรกับสายตาที่มองมา
น่าจะเป็นเรื่องปกติของหวังเฟยเฟยไปแล้วกับการเป็นจุดสนใจแบบนี้
ดวงตากลมโตเพียงแค่เหลือบมองหาตึกออฟฟิศของสถาบันวิจัยรถไฟในเครือเจแปนเรลเวย์ซึ่งดูเหมือนออฟฟิศทั่วๆไปและไม่น่าจะมาอยู่ในย่านใจกลางเมืองแบบนี้ ทั้งๆที่จริง RTRI ยังมีสถาบันวิจัยที่เป็นห้องทดลองเรื่องต่างๆกระจายอยู่ทั่วประเทศ
ไม่ว่าจะห้องเทสวิศวกรรมเครื่องกลของห้องโดยสารและล้อ ห้องเทสแรงลมและหิมะ
ห้องพัฒนาหัวรถจักร ฯลฯ
จริงๆเขาอยากไปอยู่ห้องทดลองพวกนั้นมากกว่า
แต่พอส่งโปรไฟล์ของตัวเองมากลับได้ประจำอยู่ main office ซะงั้น
คนที่อยู่ในทุ่งหญ้าของมาราเนลโล่มา20ปีอย่างเขาต้องย้ายมาอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีแต่ความสับสนวุ่นวายมันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
แถมคนญี่ปุ่นยังเคร่งเครียดไม่ลั้นลาเหมือนคนอิตาลีอีก
แต่ที่เขายังตัดสินใจมานั่นก็เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบรถที่วิ่งได้ไวพอๆกับ
Formula
one การกดให้มันยังวิ่งอยู่บนรางได้ทั้งๆที่มันควรจะบินเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
และรถไฟญี่ปุ่นก็เป็นรถไฟชั้นยอดของโลก
ชินคันเซ็นของแดนอาทิตย์อุทัยนั้นหาใครเทียบได้ยากแม้แต่รถไฟในยุโรปเอง
มันเป็นเรื่องที่เขาอยากรู้และเขาอาจจะมีเวลาให้มันได้แค่ช่วงวัยเรียนเท่านั้น
เพราะหลังจากจบไปแล้ว เขาก็คงกลับไปอยู่ในวงการรถซุปเปอร์คาร์
กลับไปอยู่กับม้าลำพองที่เขาเติบโตมา
มือบางหักเลี้ยวพวงมาลัยเมื่อเจอทางเข้าที่จอดรถของตึกRTRIจนได้ ทว่า วันที่อี้คุนพาเขามาสำรวจพื้นที่
ที่จอดรถชั้นใต้ดินมันไม่ได้เต็มแน่นขนาดนี้นี่?!
ใบหน้ามนเริ่มกวาดตามองอย่างเลิ่กลัก
ที่จอดส่วนใหญ่จะมีป้ายชื่อติดไว้ ส่วนตรงที่ไม่มีเจ้าของก็มีรถจอดหมดแล้ว...แย่ละ
ทำไงดี…
มือบางหักพวงมาลัยลองวนดูอีกสองสามรอบแต่ก็ยังไม่มีที่ว่างเหมือนเดิม
อะไรกันเนี่ย?
ตึกตั้งใหญ่โตแต่ทำไมที่จอดรถน้อยแบบนี้?!
ดวงตากลมโตเหลือบมองนาฬิกาที่คอนโซลรถก่อนจะมีเครื่องหมายตกใจอันเบ้อเริ่มฟาดลงมากลางหัว แย่แล้ว! แย่แน่ๆ นี่มันเลยเวลาเข้างานมาแล้วนี่!
จะสายตั้งแต่วันแรกเลยรึไงเนี่ยหวังเฟยเฟย~ แง๊~~
ใบหน้ามนหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้จะทำยังไง
ไม่เคยคิดถึงเรื่องที่จอดรถในญี่ปุ่นมาก่อนเลย ก็ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในมาราเนลโล่บ้านเขานึกจะจอดตรงไหนก็จอดได้นี่!
เอี๊ยด!!
งั้นจอดมันตรงนี้เลยแล้วกัน!
เจ้าม้าพยศสีขาวจอดกึกมันตรงประตูทางเข้าจากชั้นใต้ดิน มือบางหอบกระเป๋าและเอกสารรายงานตัวต่างๆก่อนจะรีบวิ่งแจ้นลงจากรถ
อีกมือนึงก็รีบกดโทรศัพท์หาคนเดียวที่น่าจะเป็นที่พึ่งให้เขาได้ในตอนนี้
"พี่อี้หยาง! เฟยจอดรถไว้ตรงประตูทางเข้าออฟฟิศอ่ะ มาเอารถกลับให้หน่อยนะ!"
ก็นั่นแหละ...เรื่องที่เจ้าตัววุ่นวายประจำบ้านไปก่อไว้ในเช้านี้...
หวังอี้หยางมองรูปถ่ายในมือถือที่ลูกน้องส่งมาให้
กว่าจะเอารถออกมาได้ก็ต้องติดต่อหน่วยรักษาความปลอดภัยของตึกกันยกใหญ่
ก็เจ้าลูกกระต่ายตัวดีดันไปจอดมันกลางถนนจนรปภ.ต้องเอาเชือกสีเหลืองมาล้อมไว้เพราะไม่รู้รถใคร
ทำซะรถราคาหลายสิบล้านกลายเป็นรถผู้ต้องสงสัยไปเลย
‘จะกลับเมื่อไหร่ก็บอก เดี๋ยวออกไปรับ’
มือใหญ่กดส่งข้อความไป
พอดีกับที่เลขาส่วนตัวเดินเข้ามาในห้อง
“ติดต่อเช่าห้องทั้งหมดในชั้นนี้เรียบร้อยแล้วครับ” อาเธอร์เอ่ยรายงาน ทำงานดีสมกับที่เป็นมือขวาของเขาจริงๆ
เขาต้องเตรียมที่ทำงาน ที่อยู่ให้ลูกน้องที่มักจะตามเขาไปทุกที่อีกสิบกว่าคน
แล้วไหนจะยังต้องเตรียมห้องไว้เผื่อคนที่บ้านที่ชอบตามมาหาเจ้าลูกกระต่ายอีก
"นายครับ...ดูเหมือนเรื่องเหมือง Hael จะมีปัญหานิดหน่อย…"
หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่สักพัก
ในที่สุดอาเธอร์ก็ตัดสินใจบอกเขาด้วยท่าทางอึกๆอักๆ
"ปัญหา?" ดวงตาคมกล้าราวกับนัยน์ตาเหยี่ยวตวัดไปมอง
ขนาดเลขาคนเก่งที่อยู่กับหวังอี้หยางมาตั้งแต่เด็กก็ยังอดเสียวสันหลังวาบไม่ได้
ช่วงนี้สิ่งที่อยู่ในความสนใจของนายใหญ่แห่ง
Diamond
crown คือเหมืองชื่อ Hael ในแอฟริกาใต้
เขากำลังติดต่อเจรจาขอซื้อเหมืองเพชรดิบแห่งนี้หลังจากที่เจ้าของเดิมอยากจะวางมือ
แต่นี่ก็ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้วหลังจากที่เขาเสนอราคาไป
ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มฉายความเย็นชาออกมา
ทางนั้นเป็นคนติดต่อมาเองแท้ๆนะว่าอยากจะขายให้เขา
แต่พอเขามีท่าทีสนใจกลับเงียบไปแบบนี้?
“ปัญหาเรื่องอะไร? ราคา?” ปลายนิ้วเคาะลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์
จริงๆมันก็เป็นแค่เหมืองเล็กๆหากเทียบกับเหมืองที่ Diamond crown ถือครองอยู่
แต่ที่เขาอยากได้เพราะมันเป็นเหมืองเพชรสีน้ำเงินเหมืองสุดท้ายที่ยังไม่ได้เป็นของเขา
เหมืองเพชรทั่วโลกอาจจะมีเป็นร้อยเป็นพันที่
แต่เหมือง Blue
Diamond นั้นมีอยู่เพียงหยิบมือ และเกือบทั้งหมดก็ถูกเขาซื้อไว้แล้ว
ยกเว้นที่เหมือง Hael แห่งนี้
นั่นก็เท่ากับว่า
ถ้าเขาได้เหมืองนี้มา Diamond
crownจะเป็นผู้ผูกขาดเพชรสีน้ำเงินทั้งตลาดแต่เพียงผู้เดียว
“....ดูเหมือนว่า...มีคนอยากจะได้เหมืองนี้เหมือนกันครับ…”
เลขาส่วนตัวเหมือนไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเขาเท่าไหร่
เจ้าอาเธอร์พยายามเลือกใช้คำที่จะทำให้เขาโมโหน้อยที่สุด
“……”
ดวงตาคมกล้าฉายแววมืดมน...อ่อ
เพราะมีคนอื่นสนใจก็เลยยังไม่ขายให้เขา?
“เตรียมเครื่องบินให้ผมด้วย ผมจะไป Vladivostok
ยังไงผมก็ต้องได้เหมืองนี้” ร่างสูงสง่าลุกจากโซฟาก่อนจะเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าท่ามกลางเสียงถอนหายใจของอาเธอร์
เพราะถ้าเป็นปกติแล้วนายจะต้องปล่อยรังสีอำมหิตจนทั้งห้องเย็นยะเยือก
จะต้องหงุดหงิดมากที่ถูกหักหลัง บอกอะไรแล้วมาคืนคำจะทำให้นายโกรธมาก
แต่ตอนนี้หวังอี้หยางกำลังอารมณ์ดี
เลขามือพระกาฬจึงได้แต่ลอบขอบคุณคุณหนูเฟยเฟยอยู่ในใจ
"ครับ"
ส่วนทางด้านคนที่ถูกขอบใจแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้นก็กำลังวิ่งหน้าตั้งอยู่ในตึกออฟฟิศของ
RTRI
ผ่านมายกใหญ่แล้วแต่หวังเฟยเฟยยังหาห้องทำงานของแผนกตัวเองไม่เจอเลย!
อ๊า~~~ ดูข้างนอกมันก็เป็นตึกเดี่ยวๆดูไม่มีอะไรซับซ้อน
แต่พอเข้ามาข้างในไงสับสนวุ่นวายขนาดนี้เนี่ย?! ลงไปถามรปภ.ก็คุยกันไม่รู้เรื่องอีก
เขาลองหมดแล้วทั้งภาษาอังกฤษ จีน อิตาลี แต่อีกฝ่ายก็ตอบเขากลับมาด้วยภาษาญี่ปุ่น!
จะบ้าตาย เขาเลยต้องกลับมาวิ่งวนหาเองอยู่เนี่ย!
แล้วในขณะที่วิ่งไปก้มดูนาฬิกาไป
เขาจึงไม่ทันเห็นก้อนอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
โครม!!
เสียงชนดังลั่นจนคนที่อยู่ในห้องนั้นหันมามอง
ทายาทลำดับที่สี่ของตระกูลหวังล้มกองอยู่ที่พื้นพร้อมกับแบบก่อสร้างปลิวว่อนกระจายเต็มหัว
“อูย…” มีเสียงอุทานเบาๆมาจากฝั่งตรงข้าม
ดวงตาคู่โตถึงได้มองเห็นว่าก้อนที่เขาชนล้มคือรถเข็นที่บรรทุกแบบก่อสร้างมาเต็มคันรถ…
มือบางหยิบแผ่นพิมพ์เขียวที่โปะอยู่บนหัวตัวเองมาดู
อ้าว นี่มันแบบรถไฟนี่?
ถ้างั้นที่นี่ก็น่าจะเป็นแผนกออกแบบที่เขาตามหา?
ใบหน้ามนเงยมองป้ายที่ติดอยู่เหนือประตู
เป็นแผนกออกแบบและพัฒนาหัวรถไฟอย่างที่คิดจริงๆ
แต่นอกจากป้ายชื่อห้องแล้วก็ยังมีสายตานับร้อยคู่ที่มองเขามาจากข้างในห้องอีก…
ก็นะ
เด็กฝึกงานที่แค่วันแรกก็มาสายแล้วแถมยังมาวิ่งชนรถขนแบบจนกระจุยกระจายขนาดนี้
คนจึงหันมามองกันทั้งแผนก
แล้วก็ต้องว้าวกันทั้งแผนกเมื่อมองเห็นหน้าหวังเฟยเฟยชัดๆ
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ” เขาหันไปยิ้มแหยๆให้ชายหนุ่มคนเข็นรถที่ถูกเขาชน
แบบนับร้อยฉบับผสมปนเปกันมั่วไปหมดแล้วตอนนี้
จากที่จะขนไปเก็บเฉยๆคงมีงานใหญ่ให้ทำแล้วไหมล่ะ…
“ห้องหัวหน้าแผนกอยู่ข้างในใช่ไหม? เดี๋ยวผมขอไปรายงานตัวก่อนนะ
เดี๋ยวผมออกมาช่วย” ร่างโปร่งบางรีบวิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องทิ้งชายหนุ่มนั่งเคว้งคว้างอยู่ตามลำพัง
แล้วพอกลับออกมาอีกที
เขาจึงเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกัน…
รถเข็นที่ควรจะไปถึงห้องเก็บเอกสารนานแล้วถูกเข็นกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
แบบที่ปนกันมั่วถูกคักแยกเพื่อจัดเรียงใหม่
แทนที่จะแค่มารายงานตัวแล้วก็กลับบ้านไป ดันต้องมานั่งเรียงแบบเป็นตั้งๆเฉย
เพราะงั้นทันทีที่ร่างโปร่งบางเอ่ยทัก
อีกฝ่ายจึงทำหน้าประมาณว่าอย่าเข้ามาใกล้นะเจ้าตัววุ่นวาย แหงละ
แค่เจอกันวันแรกเขาก็ก่อความเดือดร้อนให้อีกฝ่ายซะขนาดนั้น
เขาเลื่อนเก้าอี้ก่อนจะนั่งลงไปที่โต๊ะข้างๆด้วยสีหน้าราวกับไม่ใส่ใจในความวุ่นวายของตัวเอง
มือบางหยิบแบบมาช่วยเรียงก่อนจะเอียงคอถามออกไปด้วยความสงสัย
"ถ้าไม่ขับรถมาแล้วผมจะมาออฟฟิศได้ยังไง?" เมื่อกี้เขาถามหัวหน้าแผนกแล้วแต่กลับได้รับคำตอบว่าที่ดินในญี่ปุ่นนั้นแพงมาก
ที่จอดรถจึงมีให้เฉพาะผู้บริหารกับคนที่มาติดต่องานเท่านั้น
แล้วคนในออฟฟิศตั้งมากมายนี่เค้ามาทำงานยังไงกันล่ะ?
"ห๋า? ก็ต้องนั่งรถไฟมาอยู่แล้วสิ?"
ชายหนุ่มที่ดูอายุพอๆกับเขาทำหน้ามึนงง
คงไม่เคยเจอคำถามแบบนี้ในญี่ปุ่นมาก่อน
"รถไฟ?" เขาก็ทำหน้างงกลับไป
"ตอนนี้นายนั่งอยู่ในออฟฟิศของเจอาร์นะ อย่าบอกนะว่าไม่เคยขึ้นรถไฟ?"
เด็กหนุ่มหน้าตาคมคายเหมือนซามูไรถอนหายใจ
ได้แต่คิดว่ามาเจอสิ่งมีชีวิตแปลกๆเข้าให้แล้วถึงจะเป็นคนที่หน้าตาน่ารักมากก็เถอะ...
“ยังไงก็ควรจะลองขึ้นรถไฟสักครั้งนะ นายจะสร้างมันได้ไงถ้าไม่เคยขึ้นน่ะ"
เสียงเรียบเอ่ยออกมาแบบปลงๆในขณะที่หยิบแบบมาเรียงต่อ
ปล่อยให้คนงงทำหน้าสงสัยต่อไป
เวลาแค่สองชั่วโมงกว่าๆก็เพียงพอแล้วที่จะให้เขาเดินทางจากญี่ปุ่นมายังรัสเซีย
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าสองประเทศนี้อยู่ใกล้กันแค่ทะเลเล็กๆกั้น
ตอนนี้หวังอี้หยางอยู่ที่วลาดิวอสตอค เมืองท่าตะวันออกสุดของรัสเซีย
แต่นายใหญ่ของ
Diamond
crown ก็ไม่ได้มีเวลามากขนาดจะมาเดินชมความงามของเมืองที่เป็นสถานีสุดท้ายของรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย
พื้นรองเท้าของขายาวนับสิบคู่เหยียบกระทบพื้นโถงทางเดินจนผู้คนหันมามองอย่างสงสัย
นี่ขนาดเขาทิ้งลูกน้องสามสี่คนให้คอยอยู่เฝ้าเจ้าลูกกระต่ายแล้วนะ
แต่ชายชุดดำที่เดินเป็นกลุ่มนั่นก็ยังดูไม่ต่างจากแก๊งเจ้าพ่อแก๊งมาเฟียเท่าไหร่
โดยเฉพาะร่างสูงสง่าที่เดินอยู่ตรงกลาง
ถึงจะหล่อมากแต่โค้ทสีดำตัวยาวกับใบหน้าติดจะเย็นชาก็ทำให้ชายหนุ่มราวกับลาสบอสก็อดฟาเธอร์ก็ไม่ปาน
"เดี๋ยวก่อนนะคะ ถ้าไม่ได้นัดไว้ก็เข้าพบท่านไม่ได้นะคะ"
เลขาสาวพยายามดักหน้าดักหลังเมื่อจู่ๆพวกเขาก็บุกเข้ามา
แต่เจ้าพ่อแห่งวงการค้าเพชรหรือจะสนใจ
หวังอี้หยางยังคงเดินต่อไปโดยมีการ์ดคอยจัดการกับคนที่มาขวางทางให้
ปัง!
ประตูห้องทำงานที่เขาเคยมาหลายครั้งถูกเปิดเต็มแรง
คนที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำงานถึงกับเงยหน้ามองอย่างตกใจ แล้วก็ยิ่งต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นว่าใครมาเยือน
นายใหญ่ของ
Diamond
crown เดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะและไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะยินดีต้อนรับหรือไม่
เขารู้จักกับชายผมสีดอกเลาคนนี้มานาน
นับถืออีกฝ่ายในฐานะผู้ใหญ่และคนที่ค้าเพชรด้วยกัน
ใช่แล้ว...ชายคนนี้คือคนที่จะขายเหมือง
Hael
ให้เขานั่นเอง
ร่างสูงสง่าก้าวขายาวๆเดินตรงไปนั่งลงที่โซฟาก่อนจะยกเท้าขึ้นมาพาดไว้ที่โต๊ะเตี้ยอย่างไม่สนใจว่าจะไปกวาดขวดบรั่นดีราคาแพงล้มระเนระนาด
น้ำสีอำพันไหลเลอะลงมาที่พรมโบราณแต่เจ้าของห้องกลับไม่มีทีท่าจะต่อว่า
แต่กลับดูหวาดผวาต่อการมาของชายหนุ่มมากกว่า
เขาเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆแต่ไอเย็นยะเยือกกลับแผ่ออกมาจากร่างกายจนเจ้าของห้องถึงกับตัวสั่นพั่บๆ
ใบหน้าหล่อเหลาตวัดดวงตาคมกริบมองอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร
แต่ความนิ่งเงียบนั้นกลับดูอันตรายจนอีกฝ่ายแทบหายใจไม่ออก
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหวังอี้หยางมาที่นี่ทำไม...
"อ่ะ เอ่อ...อี้หยาง...ทำไมมาไม่บอกก่อนล่ะ ดีนะที่วันนี้ลุงอยู่…"
ชายผมสีดอกเลาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้าผากก่อนพยายามทำใจดีสู้สิงโต
เขาเองก็เป็นพ่อค้าเพชรที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มานานจนผมแทบจะหงอกหมดหัว
ถึงจะไม่ใช่ของผิดกฏหมายเหมือนยาเสพติดหรืออาวุธเถื่อนแต่มูลค่าที่มหาศาลของเพชรนั้นก็ทำให้วงการนี้น่ากลัวไม่แพ้วงการมาเฟีย
และเขากล้าบอกเลยว่าพ่อลูกตระกูลหวังนั้นอันตรายที่สุดแล้ว
ไม่มีใครอยากถูก
Diamond
crown หมายหัวหรอก จริงๆ
"ผมแค่แวะมาถามนิดหน่อย... ว่าเหมืองHaelใกล้จะเป็นของผมรึยัง?"
ใบหน้าหล่อเหลาเอียงคอถามโดยที่ไม่ละสายตาน่าขนลุกนั่นไปจากหน้าเขาเลย
เด็กคนนี้ฉลาดมาก
เก่งมาก อ่านเกมออกไปหมด...และที่สำคัญใช้จิตวิทยากับคนเป็น
หากเป็นคนอื่นคงไม่เดินเข้ามาหาเขาตรงๆแบบนี้
คงจะส่งเลขามาเจรจาและต่อรองกันไปมายืดเยื้อเสียเวลา แต่หวังอี้หยางกลับเลือกที่จะมาพบเขาโดยตรง
แรงกดดันมหาศาลจากตัวเด็กหนุ่มทำให้เขาแทบจะหยิบปากกามาเซ็นต์สัญญาให้มันจบๆไปเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ติดที่ว่า….
"อีกฝ่ายคงจะเป็นผู้มีอิทธิพลเหมือนกันสินะครับ?" เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาโดยที่เขายังไม่ทันได้บอกอะไรเล่นเอาชายผมสีดอกเลาถึงกับผงะไป
"เธอ...สืบมาเหรอ...คนที่อยากได้เหมืองนี้เหมือนกันน่ะ…"
เขารู้สึกว่าบนขมับมีเหงื่อแตกพลั่ก
"เปล่า" ดวงตาคมกล้ายังคงจ้องเขาราวกับมองได้ทะลุปรุโปร่ง
"แค่มองคุณลุง ผมก็รู้แล้ว ที่ยังยื้อไว้ไม่ยอมขายเหมืองให้ผมนั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายต้องน่ากลัวพอๆกับผม
ลุงถึงตัดสินใจไม่ได้สักที ใช่ไหมล่ะครับ?"
เขาถึงได้บอกไง
ว่าหวังอี้หยางนั้นเก่งมาก เพราะมันถูกอย่างที่เด็กหนุ่มพูดทุกอย่าง
"เข้าใจแล้ว" ขายาวที่ไขว้กันอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาตวัดลง
ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสบายๆ
"ผมจะจัดการเอง คุณลุงพิมพ์ชื่อผมลงไปในสัญญารอก็แล้วกัน ยังไงซะเหมือง Hael
ก็ต้องเป็นของผม" เสียงทุ้มเอ่ยออกมาโดยไม่ได้ใส่อารมณ์ใดๆ
ราวกับว่ามันเป็นแค่เรื่องธรรมดาๆ
ทั้งๆที่เขากลัวจนเข่าแทบทรุด
ชายผมสีดอกเลาทิ้งกายนั่งลงไปบนโซฟาราวกับยกภูเขาออกจากอก
เขาเองก็ถูกข่มขู่มา
เขาไม่ใช่พ่อค้ารายใหญ่ ไม่ได้มีอิทธิพลเหมือน Diamond crown
ถ้าหวังอี้หยางบอกว่าจะจัดการเองมันจึงทำให้เขาโล่งใจ
"ผมต้องกลับแล้ว ขอโทษที่ไม่ได้พาคุณลุงไปทานข้าวเย็น
ผมทิ้งลูกกระต่ายเอาไว้" ….หวัง เฟยเฟย สินะ?
เขารู้จักอี้หยางมานานพอที่จะรู้ว่าเด็กหนุ่มเอ็นดูน้องชายคนนี้มาก
"ไม่เป็นไร ไปเถอะ" ใบหน้าเย็นชาพยักให้เขาแทนการแสดงความเคารพก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ห้องที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจึงกลับมาปกติสุขอีกครั้ง
ดวงตาคมกล้าของคนที่กำลังก้าวขาออกจากห้องเต็มไปด้วยแววดำมืด...เท่านี้ทางเจ้าของเหมืองก็นับว่าเรียบร้อย...ต่อไปก็...คนที่คิดจะมาแย่งของกับเขา…
เขาพยักหน้าให้อาเธอร์ที่เดินมาสมทบพอดี
หมอนี่แยกไปสืบมาว่าคนที่คิดจะแย่งเหมืองกับเขาเป็นใคร
"ไว้คุยกันบนเครื่องบิน" เสียงทุ้มเอ่ยบอกเลขาประจำตัวเบาๆ
ขายาวยังคงก้าวฉับๆอย่างไม่คิดจะแวะพักหรือเอ้อระเหยที่ไหน
เขาต้องทำเวลาและกลับไปรับเฟยเฟยให้ทัน
เพราะงั้นข้อมูลคู่แข่งจึงถูกยื่นให้หลังจากที่เครื่องบินเทคออฟไปแล้ว
"แก๊งค้ายาในเม็กซิโก?" นายใหญ่ของ Diamond
crown ถึงกับอึ้งไปเมื่อได้เห็นข้อมูลในแฟ้ม
จะไม่ให้เขางงได้ไงก็ไอ้พวกนี้มันไม่ได้อยู่ในวงการค้าเพชรด้วยซ้ำ?
ตอนแรกเขาคิดว่าต้องสู้กับพวกเศรษฐีใหม่ที่คิดจะเข้าสู่วงการค้าเพชรด้วยการเป็นเจ้าของเหมือง
หรือไม่ก็พวกชีคพวกเจ้าชายรัฐต่างๆของประเทศอาหรับ
ไม่คิดเลยนะว่าต้องมารบรากับแก๊งค้ายาเนี่ย
"เหมือง Hael น่าจะอยู่ใกล้เส้นทางส่งยาครับ
ผมเดาว่าพวกนั้นน่าจะเอาเหมืองมาทำที่ผลิตยามากกว่า" คิดๆไปมันก็ถือว่าครีเอทอยู่นะ เหมืองมักจะอยู่ไกลจากสายตาผู้คน
เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ค่อยสนใจเพราะมันเป็นของเอกชน แถมเหมือง Hael ยังเป็นเหมืองเพชรสีน้ำเงินที่ปริมาณการขุดน้อยอีกต่างหาก
นานๆจะมีเพชรออกมาที พวกนั้นขุดบ้างไม่ขุดบ้างตบตาคนอื่นไปก็คงไม่มีใครสงสัย
ยิ่งรู้แบบนี้ยิ่งยอมไม่ได้เลยแหะ…
"ถึงจะไม่ใช่แก๊งใหญ่แต่ก็เริ่มแผ่ขยายอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลังมานี้ครับ"
อาเธอร์ให้ข้อมูลเขาด้วยเสียงเรียบๆ
ไม่ได้คิดจะห้ามเขาแม้แต่น้อยที่เข้าไปยุ่งกับคนอันตรายพวกนั้น
Diamond
crown เคยกลัวใครเสียที่ไหน
"อืม" เขาเอนหลังพิงเก้าอี้
ทอดสายตามองปุยเมฆกว้างไกลอย่างใช้ความคิดไปเรื่อยๆ
กว่าแบบก่อสร้างนับร้อยฉบับที่ปนกันมั่วจะถูกจัดเรียงใหม่แล้วส่งไปถึงห้องเก็บเอกสารได้ก็เย็นย่ำพอดี…
คนที่มาฝึกงานด้วยกันแยกกลับไปสักพักแล้วร่างโปร่งบางจึงมายืนอยู่ตามลำพังที่หน้าตึก
RTRI
เพื่อรอใครคนหนึ่ง
Ferrari
Portofino M แล่นออกจากคอนโดทันทีที่หวังเฟยเฟยส่งข้อความมา
เจ้าลูกกระต่ายไม่มีทางรู้แน่ว่าเขาไปมาไกลขนาดไหนในหนึ่งวันที่ผ่านมา
ดวงตาคมกล้าเพิ่งได้กวาดมองถนนหนทางของย่านมารุโนะอุจิชัดๆ
มันไม่เหมือนอยู่ในโตเกียวเลยแหะ แทนที่สองข้างทางจะเต็มไปด้วยป้ายไฟกับป้ายโฆษณา
ทว่า ถนนในย่านนี้กลับเรียบร้อยหรูหรา
ต้นกิงโกะหรือแปะก๊วยสูงใหญ่เรียงเป็นแถว
ใบสีเขียวนั่นกำลังเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองประปราย
อีกสักหนึ่งเดือนที่นี่จะต้องทองอร่ามไปทั้งถนนแน่ๆ ตึกที่อยู่สองข้างทางก็เรียบหรูดูทันสมัย
ดูไม่ค่อยวุ่นวายและมีการวางผังเมืองมาอย่างดี
ด้วยความเร็วของเจ้าม้าพยศบวกกับเลยเวลาเลิกงานไปสักพักแล้วทำให้ถนนโล่งจนยังไม่ทันจะรู้สึกว่าได้เหยียบคันเร่งเท่าไหร่
เขาก็มาถึงหน้าตึกออฟฟิศ Railway
Technical Research Institute จนได้
เจ้าลูกกระต่ายยืนโยกตัวรอเขาอยู่หน้าประตูทางเข้า
แค่ได้ยินเสียงรถที่เป็นเอกลักษณ์ ร่างโปร่งก็เงยหน้าขึ้นทันที
“รอนานไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อร่างโปร่งก้าวขาเข้ามานั่งในรถ
ความอ่อนโยนที่แผ่ออกจากตัวเขาในตอนนี้ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับหวังอี้หยางเมื่อสองสามชั่วโมงก่อน
“ไม่นานครับ ขอโทษด้วยที่ต้องให้มารับ...” เจ้าลูกกระต่ายอมลมไว้ในปากอย่างหงอยๆ
ดูเหมือนวันนี้จะมีอะไรผิดจากที่คาดการณ์ไปเยอะ เฟยเฟยถึงดูไม่ค่อยร่าเริงนัก
“ไปหาอะไรกินกัน” และเขาก็รู้วิธีทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น
มือใหญ่หมุนพวงมาลัยออกนอกเส้นทางที่จะกลับคอนโด
จากย่านมารุโนะอุจิมุ่งหน้าสู่ย่านกินซ่าแทน
“รับรองว่านายต้องชอบ” ใบหน้าหล่อเหลาหันไปยิ้มบริหารเสน่ห์ให้
ใบหน้ามนหงึใส่ก่อนจะเสสายตาหลบอย่างเขินๆ
เฟอร์รารี่สีขาวจอดในตรอกหนึ่งของย่านที่ราคาที่ดินแพงที่สุดในโตเกียว
ร่างสูงสง่าเดินนำร่างโปร่งบางไปที่ร้านโอมากาเซะร้านหนึ่ง
หน้าร้านเป็นเพียงผนังทึบเรียบๆไม่ได้มีตู้โชว์โมเดลอาหารเหมือนร้านทั่วไป
ข้างๆประตูทางเข้าสไตล์ญี่ปุ่นมีป้ายชื่อไม้เล็กๆเขียนด้วยตัวคันจิสวยงามเอาไว้
"ยินดีต้อนรับครับ" ทันทีที่มือใหญ่เปิดประตูเข้าไป
เสียงต้อนรับอย่างพร้อมเพียงก็ดังขึ้นทันที
นี่ก็เป็นวิถีปฏิบัติอย่างหนึ่งของร้านอาหารญี่ปุ่น
หัวสีดำโผล่ออกมาจากแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า
ดวงตากลมโตจ้องมองเคาน์เตอร์รูปตัว L อย่างสนอกสนใจ
ก็ทั้งร้านไม่มีโต๊ะทานอาหารเลยมีแต่เจ้าเคาน์เตอร์ไม้สีบีชนี่แหละ
มีเก้าอี้ล้อมเคาน์เตอร์อยู่ราวๆ8-10ตัวแต่กลับไม่มีใครนั่งอยู่เลย
"เชิญทางนี้ค่ะ" พนักงานหญิงในชุดกิโมโนเรียบร้อยเดินมาเชิญพวกเขาไปนั่งที่เก้าอี้ตรงกลางเคาน์เตอร์
ปกติแล้วร้านแบบ
Omakase
จะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่เชฟเป็นคนจัดสรรเลือกอาหารมาให้ตามวัตถุดิบที่มีในฤดูกาลนั้นๆ
อาหารจะมาเป็นคอร์สๆและเชฟก็จะยืนทำอยู่ตรงหน้าแล้วเสิร์ฟให้ทีละจานๆ
ส่วนใหญ่แล้วร้านโอมากาเซะมักจะเป็นอาหารประเภทซูชิ
แต่หลังๆมานี้ก็เริ่มมีอาหารฟิวชั่นที่ทำในรูปแบบนี้เช่นกัน
นอกจากความพิถีพิถันในการคัดเลือกแต่วัตถุดิบชั้นดีที่สดใหม่และหาได้เฉพาะในช่วงเวลานี้เท่านั้นแล้ว
การได้นั่งดูเชฟประดิษฐ์ประดอยอาหารออกมาแต่ละคำๆก็นับเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งเช่นกัน
เพราะฉะนั้นร้านแบบโอมากาเซะจึงมีราคาแพงมากในการกินแต่ละครั้งและยังต้องจองคิวล่วงหน้าอีกด้วย
"ทำไมไม่มีคนเลยอ่ะ?" ใบหน้ามนหันไปมองเก้าอี้ที่ว่างเปล่า
ในการจองคิวแต่ละรอบๆจะมีเวลาบอกไว้
ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะมาตามเวลาและถ้าถึงรอบเดียวกับพวกเขาแล้วก็น่าจะมีคนมาได้แล้ว?
"ไม่รู้สิ ไว้กลับไปก็ลองถามอาเธอร์แล้วกันว่าจองยังไงไว้"
ใบหน้าหล่อเหลาทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาเพิ่งให้เลขาประจำตัวจองเมื่อตอนบ่าย
กับร้านที่มีเชฟระดับมิชชลิน2ดาวที่ต้องจองล่วงหน้ากว่าสองเดือนก็คิดเอาแล้วกันว่าเขาใช้อะไรในการแก้ปัญหา
เชฟเดินออกมาทักทายพร้อมถาดวัตถุดิบที่น่าตื่นตาตื่นใจทำให้เฟยเฟยไม่คาดคั้นต่อ
ดวงตากลมโตจ้องมองสิ่งที่วางโชว์ให้เห็นกันจะๆ
ถาดหนึ่งเป็นสารพัดปลาเนื้อขาวแล่มาเป็นชิ้นใหญ่ๆยาวๆ
ส่วนอีกถาดเป็นส่วนต่างๆของปลาเนื้อแดงอย่างมากุโระ
น้ำลายแทบจะไหลออกปากแล้วเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย เขามองคนข้างๆอย่างเอ็นดู
ดูเหมือนคำแรกจะถูกเสิร์ฟในฝาหอยเม่น
เชฟยืนปรุงสดๆที่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์ เจ้าลูกกระต่ายมองมือของเชฟที่หยิบวัตถุดิบนู่นนี่จัดวางลงในฝาหอยอย่างไม่วางตา
แม้แต่ดอกไม้เล็กๆที่ถูกหยิบวางเป็นชิ้นสุดท้ายนั่นก็ยังดูเหมือนถูกคิดมาอย่างประณีต ในที่สุดทั้งคำก็ถูกยกมาวางตรงหน้า
"งื้อ~ อร่อยจัง~~" แค่คำแรกก็ทำหน้าฟินขนาดนี้แล้วนะ คงจะอร่อยอย่างที่ว่าจริงๆนั่นแหละ
มือบางแทบจะขูดช้อนไม้กับฝาหอยเม่น เห็นแบบนั้นแล้วคนพามาอย่างเขาก็อดยิ้มไม่ได้
เชฟค่อยๆวางอาหารให้พวกเขาทีละคำๆตามลำดับ
ปลาหมึกต้มตัดขวางโรยด้วยเกลือดำ หอยอาซาริต้มคลุกหัวไชเท้าขูด
ข้าวผัดยัดใส้ปลาหมึกคำฉ่ำๆหนึ่งคำ รสชาติที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆนั้นก็ถูกคิดเอาไว้แล้ว
แล้วจานออเดิร์ฟก็จบลงด้วยการตัดของสาเกยูซุหนึ่งถ้วยเล็กๆ
เจ้าลูกกระต่ายมองไปหลังเคาน์เตอร์อย่างอดใจรอไม่ไหวว่าเชฟจะทำอะไรอีก
เสน่ห์อย่างหนึ่งของโอมากาเซะก็คือการได้ลุ้นว่าวันนี้จะได้กินอะไรนี่แหละ
เชฟเริ่มหยิบชิ้นปลาเนื้อขาวในถาดขึ้นมา
ต่อไปน่าจะเป็นซูชิ?
มีดแล่ปลาด้ามยาวส่องประกายสีเงินแว๊บ
ไม่ต้องไปลูบเล่นก็รู้ว่าคมแค่ไหน มันค่อยๆแล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบางๆ บางๆ
แล่หนึ่งชิ้นสำหรับเขา และอีกหนึ่งชิ้นของเจ้าลูกกระต่าย
ปลาเนื้อขาวที่ยังติดหนังจะถูกบั้งอย่างสวยงาม มืออีกข้างหยิบข้าวขึ้นมาปั้น
แล้วกดลงไปบนเนื้อปลา การขยับข้อมือนั้นราวกับวาทยากรในวงออเคสตร้า ดูเพลินตามาก
โชยุในโหลถูกป้ายปิดท้ายก่อนที่ซูชิปลา
Kasugodai
จะถูกวางใส่มือบาง
ซูชิของที่นี่จะทำจากมือสู่มือเพราะเชื่อกันว่าอุณหภูมิจากมือเชฟจะทำให้ซูชิคงรสชาติที่อร่อยที่สุดไว้
เพราะงั้นพอได้รับมาก็ควรจะกินเลย
แน่นอนว่าเจ้าปลาสีเงินนั่นกลายเป็นอาหารกระต่ายในชั่ววินาที
“อร่อยยยยยย” ดวงตากลมโตหลับพริ้มอย่างตื้นตันในรสชาติอาหาร
เป็นรีแอคชั่นที่เขาว่าเพลินตายิ่งกว่าดูเชฟเสียอีก
ปลาเนื้อขาวหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น
Iwashi,
Kohada, Amadai, Nodoguroฯ
ถูกเสิร์ฟสลับกับปลาหมึกหิ่งห้อยย่างซอสบ้าง ปลาซาบะย่างหั่นพอดีคำบ้าง
ซูชิปลาไหลย่างกินกับเครื่องเคียงบ้าง ท้องแซลม่อนย่างบ้าง
แต่ละคำทั้งอร่อยทั้งสวยงามจนเจ้าลูกกระต่ายฟินตัวจะแตกตายแล้ว
ถ้วยแบนๆกลมๆคล้ายกะทะขนาดจิ๋วที่ดูเป็นดีไซน์เฉพาะถ้วยหนึ่งถูกวางลงตรงหน้า ของในนั้นทำให้เจ้าลูกกระต่ายอ้าปากค้างน้ำลายไหลย้อยลงมาอีกครั้ง
มันเป็นฟิวชั่นระหว่างไข่ปลาแซลม่อนสีส้มแวววาวกับเครื่องเคียงที่รสชาติเข้ากันแบบสุดๆ
มือบางใช้ช้อนตักเข้าปากไปก็แทบจะลงไปเต้นบัลเล่ห์ไป ชอบขนาดไหนคงไม่ต้องบอกแล้ว
น่าจะถึงเวลาของปลาเนื้อแดงไฮไลท์ของที่นี่แล้ว
มากุโระหรือปลาทูน่านั้นแต่ละส่วนในตัวมันก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน ตั้งแต่
อาคามิ ,
ชูโทโร่ , โอโทโร่
ตามระดับไขมันที่แทรกซึมอยู่ในเนื้อส่วนนั้นๆ ความอร่อย ความหายาก และราคา
มีดค่อยๆแล่เนื้อปลาเป็นชิ้นๆอย่างชำนาญ
ริ้วที่ขึ้นอยู่บนเนื้อปลาทำเอาเจ้าลูกกระต่ายกลืนน้ำลายดังเอื้อก
สภาพแบบนี้คงจะลืมความหดหู่ใจในวันนี้ไปหมดแล้วแน่ๆ
คำแรกของกลุ่มปลาเนื้อแดงกลับไม่ใช่อาคามิธรรมดาๆ
แต่เป็น Akami
Zuke โดยนำเอาทูน่าส่วนเนื้อแดงที่หาได้ทั่วไปไปหมักกับซอสโชยุสึเกะแล้วโรยด้วยผิวส้มขูด
จากเนื้อลีนๆรสชาติดาษๆกลายเป็นอาหารระดับเทพเจ้าทันที
เจ้าลูกกระต่ายถึงกับตะกายโต๊ะ
ใบหน้ามนส่งเสียงอื้อๆก่อนจะเขย่าแขนเขาแทนคำบอกเล่าว่ามันอร่อยขนาดไหน
ดวงตาคู่โตเปล่งประกายวิ้งๆจนเขาถึงกับหัวเราะ ดูท่าทางจะชอบมาก
คำต่อๆมายิ่งไม่ต้องพูดถึง
รสชาติที่ละลายในปากได้ของชูโทโร่กับโอโทโร่อร่อยจนเจ้าลูกกระต่ายถึงกับน้ำตาไหล
เมนูยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้
ยังมีซูชิหอยนางรม
ซูชิคุรุมะเอบิกุ้งญี่ปุ่นเนื้อแน่นที่ทำกันสดๆ อูนิโรลซูชิไข่หอยเม่นที่ห่อด้วยสาหร่ายกรอบแผ่นยาวๆเน้นๆเต็มๆคำ
ปิดด้วยซุปมิโสะร้อนๆก่อนจะถึงของหวาน
“อย่างกับอยู่บนสวรรค์...นี่ต้องเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานแด่มวลมษุยชาติแน่ๆ…”
เจ้าลูกกระต่ายทำหน้าฟินสุดๆในขณะที่แก้มตุ่ยก็เคี้ยวเค้กไข่หวานตุ้ยๆ
ส้อมเล็กๆสีทองในมือบางยังค้างอยู่เหนือจานลูกพีชกับองุ่นเคียวโฮราดน้ำเชื่อมของเขา
ย้ำว่าของเขาเพราะของเจ้าตัวน่ะกินเกลี้ยงไปหมดแล้ว…
เขามองคนที่หลับตาพริ้มด้วยรอยยิ้ม
คนที่ทำให้เขามีความสุขได้กับแค่มานั่งกินให้ดูนี่คงจะมีอยู่คนเดียวในโลกนี่แหละ
“ชอบไหม?” ใบหน้าหล่อเหลาหันไปถามเมื่อนั่งอยู่ในรถแล้ว
“ชอบม๊ากกก” เจ้าลูกกระต่ายตอบเสียงสูงหน้าตายังฟินไม่หาย
“หมายถึงชั้นน่ะนะ?” เสียงทุ้มกระซิบหยอกเย้า
“เอ๊ะ” ทำเอาคนที่เพิ่งรู้ตัวสตั๊นไปสามวินาที
“งื้ออออ!!” เจ้าลูกกระต่ายแยกเขี้ยวให้ก่อนที่สีแดงจะค่อยๆลามขึ้นใบหน้า
“ขะ ขับรถไปสิครับ!…” มือบางยันหน้าเขาที่ยื่นเข้าไปหาออกมาอย่างเขินๆ
เขาจึงกลับมาอยู่หลังพวงมาลัยด้วยรอยยิ้มชอบใจ
“ยะ ยังไงก็ขอบคุณนะครับ อร่อยมากเลย เฟย...ชอบมาก…” เจ้าลูกกระต่ายกอดกระเป๋าพูดงึมงำๆ
เสียงกระหึ่มของรถทำให้เฟยเฟยคิดว่าเขาคงได้ยินไม่ถนัดนัก
“....หมายถึงพี่ด้วย…”
แต่คำนี้เขาได้ยินอย่างชัดเจน…
ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มก่อนจะขับรถต่อไปโดยทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว
บางที...
คนเราก็ต้องการแค่นี้แหละ…
เขาไม่เคยอยากครอบครองโลกทั้งใบ
เขาอยากได้แค่หัวใจดวงนี้เพียงดวงเดียว...
Ferrari
Portofino M ยังไม่กลับคอนโดย่านมารุโนะอุจิ
แต่สิ่งก่อสร้างสีแดงสูงตระหง่านที่เป็นแลนมาร์คสำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นกลับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ไม่สิ ต้องบอกว่ารถต่างหากที่กำลังขับเข้าหาโตเกียวทาวเวอร์มากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งก่อสร้างสุดคลาสสิคที่มีรูปทรงเดียวกับหอไอเฟลในปารีสตั้งเด่นเป็นสง่าจนคนที่ยืนอยู่ข้างใต้ต้องแหงนคอมองความยิ่งใหญ่ของมัน
ขาโครงทรัสสีแดงทั้งสี่ยิ่งเด่นและสวยงามยามเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดแบบนี้
“ว้าว~ สวยจัง~” หวังเฟยเฟยยืนยิ้มกว้างในขณะที่เงยหน้ามอง
Tokyo Tower ด้วยดวงตาเป็นประกาย
“มาสิ” ใบหน้าหล่อเหลาพยักเรียกให้คนที่ยังยืนเซลฟี่กับขาสีแดงพวกนั้นให้เดินตามมา
“เดี๋ยวก่อนพี่! ถ่ายไปอวดที่บ้านก่อนสิ” เจ้าลูกกระต่ายคล้องแขนเขาด้วยความเคยชินเหมือนที่ทำกับอี้คุนเป็นประจำ
ใบหน้ามนขยับเข้ามาใกล้
ใบหน้าของเราจึงเข้าไปอยู่ในกล้องโดยมีโตเกียวทาวเวอร์ในมุมเสยเป็นฉากหลัง
“ยิ้มนะ ชีสสส” ใบหน้ามนฉีกยิ้มหวานส่วนเขานั้นแทบจะทำอะไรไม่ถูก
จู่ๆก็เข้ามาใกล้ขนาดนี้ ไม่ทันตั้งตัวเลย
ตึกตักๆๆๆ…
หัวใจเต้นกระหน่ำจนได้ยินเต็มสองหู
“........”
ดูเหมือนเฟยเฟยก็เพิ่งรู้ตัวว่าคนที่ตัวเองคล้องแขนอยู่คือหวังอี้หยางไม่ใช่พี่ชายฝาแฝด
ร่างโปร่งบางจึงแข็งเกร็งขึ้นมาทันที
แชะ…
มือบางกดถ่ายเงียบๆ
แต่ท่าทางที่พยายามจะทำให้เป็นปกติกลับดูเลิ่กลั่กเสียมากกว่า
ต่างฝ่ายต่างก็เคอะเขิน
“อ่ะ โพสในกลุ่มก่อน….” ร่างโปร่งทำเฉไฉก่อนจะขยับห่างออกไป
แต่เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้า
เจ้าตัวดีจะรู้บ้างไหมว่าทำให้เขาเสียอาการขนาดไหน
ติ๊งๆๆ
จนกระทั่งเสียงเตือนข้อความเข้ารัวๆนั่นแหละเขาจึงหลุดจากภวังค์ได้
เขาหันไปมองเจ้าลูกกระต่ายที่ยิ้มซุกซนมองโทรศัพท์มือถืออยู่
เขาจึงหยิบของตัวเองมาดูบ้าง
‘อ๊า!! พวกนายหนีไปเที่ยวกันเหรอ?! ในขณะที่ชั้นกำลังเคร่งเครียดกับการแข่งขันเนี่ยนะ!
ขอให้โดนผีหลอก! หึ!’ เจ้าลูกสิงโตโวยวายอยู่ในแชทของครอบครัว
‘ฝากดูแลน้องด้วยนะอี้หยาง~ กระต่ายน้อยของหม่าม้าน่ารักที่สุด~’
อาเซียวจ้านส่งจุ๊บมาอีกเป็นแถวให้ลูกกระต่ายของตัวเอง
‘แก๊! ดึกดื่นขนาดนี้พาลูกกระต่ายของชั้นไปไหนอีก! พากลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ!
แล้วคืนนี้ก็ห้ามนอนเตียงเดียวกัน ไปนอนโซฟาซะหวังอี้หยาง!!!!’
พ่อสิงโตหวงลูกโวยวายเป็นรายต่อมา
‘น่าอิจฉาจังเลยน้า ยายก็อยากไปโตเกียวกับเฟยเฟยบ้างจังเลยน้า
ไปพรุ่งนี้เลยดีไหมน้า…’ จากคุณตาคุณยายบ้านเซียว
ดูท่าจะไม่มีใครสนใจโตเกียวทาวเวอร์ที่อยู่ข้างหลังเลยสักนิด
ไม่มีใครอิจฉาที่พวกเขาได้มาที่นี่เพราะที่ทุกคนอิจฉาคือเขาได้มากับเฟยเฟยมากกว่า
เขาได้แต่ส่ายหน้า
ยังมีข้อความจากคนที่บ้านเด้งขึ้นมาอีกหลายข้อความแต่สายตาของเขากลับทอดมองรูปถ่ายรูปนั้นไม่วางตา
เขาไม่ค่อยได้ถ่ายรูปคู่กับเฟยเฟยนัก เพราะงั้นนี่จึงเป็นรูปที่แสนสำคัญของเขา
ลิฟท์เคลื่อนที่ขึ้นไปกว่า150เมตร ในที่สุดเราสองคนก็มายืนอยู่ที่ชั้น Main Deck ของโตเกียวทาวเวอร์จนได้
ชั้นนี้เป็นชั้นที่เปิดให้ขึ้นมาชมวิวได้
แต่เป็นเพราะดึกพอสมควรแล้วคนจึงบางตา
“ว้าว~~” เจ้าลูกกระต่ายถลาเข้าไปหาผนังกระจก
ภาพมหานครโตเกียวมองเห็นได้จากตรงนี้ไปจนสุดลูกหูลูกตา
แสงไฟระยิบระยับของตึกรามบ้านช่องรวมถึงรถที่ยังสัญจรจนเห็นเป็นเส้นถนนแผ่ออกไปจนเขามองเไม่เห็นเลยว่ามันไปสิ้นสุดตรงไหน
เป็นภาพที่สวยงามสะกดสายตาจริงๆ
“มุมนี้ก็สวย~” มือใหญ่ล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินตามเจ้าลูกกระต่ายที่เดินวนถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
บนนี้สามารถมองเห็นโตเกียวได้แบบ360องศา
เห็นเฟยเฟยดูชอบดูตื่นเต้นเขาก็มีความสุขแล้ว
หลังจากวนครบหนึ่งรอบ
เจ้าลูกกระต่ายก็มายืนแหมะหมดแรงกับราวจับที่ผนังกระจกด้านหนึ่ง
เพราะด้านในเปิดไฟเพียงสลัวๆ จึงมองเห็นพวกเขาเป็นเงาดำๆโดยมีมหานครโตเกียวยามค่ำคืนเป็นฉากหลัง
"เป็นอะไร?" เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นคนที่เอาคางเกยราวจับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคิดอะไรอยู่
"ทำไงดีอ่ะ ที่ออฟฟิศไม่มีที่จอดรถเลย เฟยขับรถไปทำงานไม่ได้แล้ว
คนที่ฝึกงานด้วยกันบอกให้นั่งรถไฟไป แต่คอนโดเรามันก็ใกล้จนรถไฟยังวิ่งไม่ถึงหนึ่งสถานีด้วยซ้ำ
จะเดินไปก็อาจจะโดนรถชนตายก็ได้ แล้วก็ถ้านั่งแท็กซี่
ค่าขนมเดือนนี้ของเฟยต้องไม่เหลือแน่เลย หม่าม้าไม่ให้ขอเพิ่มแล้วด้วย แง๊~"
เจ้าลูกกระต่ายบ่นยาวเป็นหางว่าว
แต่ใบหน้าที่บ่นไปไม่เข้าใจโลกไปนั่นกลับน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน
เขามองเพลินจนละสายตาจากใบหน้ามนไม่ได้เลย
"อยากให้ชั้นทำยังไง?" ซื้อหุ้นของเจอาร์ไหม?
พอได้ตำแหน่งบริหารมาก็จะมีที่จอดรถ? เขารอดูท่าทีของเฟยเฟย
เขามักจะไม่เสนออะไรออกไปก่อน แต่เขาชอบให้อาเฟยขอร้องเขามากกว่า
"อืม...พี่...ขับรถไปส่งเฟยได้ไหม? เดี๋ยวขากลับเฟยนั่งแท็กซี่กลับเองก็ได้
ถ้าแค่ขากลับค่าขนมเฟยน่าจะพอ" เจ้าลูกกระต่ายเสนอวิธีที่เรียบง่ายกว่าการซื้อหุ้นของเจอาร์มาก
แต่นั่นกลับทำให้เขายิ้มออกมาบางๆ
เพราะนี่คือวิธีที่คนรักหรือคนในครอบครัวทำให้กัน
แล้วคนที่จะขอร้องให้หวังอี้หยางทำเรื่องแบบนี้ได้ก็คงจะมีแต่คนตรงหน้าคนเดียว
"ได้สิ” เขาตอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“เย้~” หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นคลายออกในทันที
“แถมบริการไปรับให้ด้วยเลย"
"ขอบคุณครับ~" ใบหน้ามนยิ้งแฉ่ง
กังวลอะไรได้ไม่เกินสิบนาทีจริงๆเจ้าลูกกระต่าย
ในที่สุด
Ferrari
สีขาวก็วิ่งกลับเข้าคอนโดจนได้
แชะๆๆ…
และแสงไฟของถนนในโตเกียวก็ทำให้คนที่อยู่ในรถไม่รู้ตัวเลย
ว่ามีแสงแฟลชสว่างวาบมาจากรถที่จอดแอบๆอยู่หน้าคอนโด…
ทายาทลำดับที่หนึ่งของตระกูลหวังเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ
ร่างสูงสง่าสวมชุดคลุมสีเทาทับชุดนอนสีดำ ดวงตาคมกล้าเหลือบมองเจ้าลูกกระต่ายที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงไถแท็บเล็ตอ่านแบบแปลนอะไรสักอย่างอยู่
เวลานอนนี่แหละคือช่วงเวลาที่มีปัญหามากที่สุดของเฟยเฟย
เขาจึงเอ่ยออกไป
“เดี๋ยวชั้นออกไปนอนที่โซฟา ถ้านายกลัวผีจะเปิดประตูห้องไว้ก็ได้”
ใบหน้ามนเงยขึ้นมามองแล้วนิ่งค้างอยู่แบบนั้นเหมือนกำลังใช้ความคิด
เขาจึงหมุนตัวเพื่อจะเดินไปหยิบไดร์เป่าผม คนที่คิดว่าเขาจะเดินออกจากห้องจึงรีบเรียกเขาเอาไว้
“พี่”
“หื๋ม?” เขาหันไปมองใบหน้ามนที่ดูอึกอักๆ
สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกที่ต้องไปนอนที่โซฟา แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าลูกกระต่ายเองก็คิดเรื่องของเขาเช่นกันจนกระทั่งวันนี้
“นอน...ด้วยกันบนเตียงนี่ก็ได้...นอนโซฟามันเมื่อยใช่ไหมล่ะ
เฟยไม่ได้อยากจะทรมานพี่สักหน่อย…พี่อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อน...”
ริมฝีปากสีระเรื่อค่อยๆพูดออกมา
“นายก็รู้นี่ ว่ายิ่งนอนบนเตียงนี้ ชั้นยิ่งทรมาน” เขาหันไปบอกอีกฝ่ายตามตรง
เขาจะทนไม่ไหวขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นแล้ว
“งั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวเฟยนอนคลุมโปงทั้งตัวเลยก็ได้ พี่ก็จะได้ไม่เห็นเฟยไง
หรือจะให้เฟยนอนในปลอกหมอนข้างก็ได้ พี่จะได้คิดว่าเฟยเป็นแค่หมอนข้าง ดีไหม?”
จะปลอมตัวเป็นหมอนข้าง? ฮึ...เขาหลุดขำกับความคิดประหลาดๆของเจ้าลูกกระต่าย
คนที่จะเสนอไอเดียแบบนี้ได้คงจะมีอยู่คนเดียวในโลกนี่แหละ
มือที่กำลังขยี้ผ้าขนหนูลงบนหัวเปียกชื้นนิ่งค้างในขณะที่มองตรงไปยังหวังเฟยเฟยอย่างใช้ความคิด
บางที...การที่เขาเอาแต่หลบเลี่ยงอาจจะไม่ใช่วิธีที่ใช้ได้อีกต่อไปแล้ว
แล้วใบหน้าหล่อเหลาก็ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินตรงไปที่เตียง
เส้นผมชื้นๆที่ยังไม่ได้เป่าชี้ไปมาอย่างไม่เป็นทรง
แต่แบบนี้กลับดูเซ็กซี่และเป็นหวังอี้หยางในแบบที่หวังเฟยเฟยไม่เคยเห็น
เขาก้าวเท้าย่างเข้าไปช้าๆ สายตาจ้องมองไปที่ใบหน้ามนราวกับสิงโตที่กำลังจ้องเหยื่อ
ผ้าขนหนูที่เคยพาดอยู่ที่ไหล่ถูกมือใหญ่ทิ้งลงพื้น
เขากดเข่าข้างหนึ่งลงกับเตียงคร่อมต้นขาที่อยู่ใต้ผ้าห่มเอาไว้
ลูกกระต่ายตัวน้อยผงะหน่อยๆก่อนถอยร่นจนแผ่นหลังชนกับผนังหัวเตียงเมื่อถูกไล่ต้อน
ดวงตากลมโตกรอกไปมาเล็กน้อยก่อนจะเสหลบอย่างไม่กล้าสบกับสายตาคมกล้าที่มองตรงมาอย่างไม่ลดละ
เสียงทุ้มเอ่ยออกไปเมื่อใบหน้าขยับมาใกล้ใบหูบาง
สายตาจับจ้องอยู่ที่ต้นคอขาว
“ถ้าจะให้ชั้นนอนบนเตียงนี้...มันมีวิธีที่ง่ายกว่าการปลอมตัวเป็นหมอนข้างอีกนะ”
ใบหน้าหล่อเหลาละจากกกหูช้าๆ สายตาย้ายมาจับจ้องที่ริมฝีปากอิ่ม
ลมหายใจร้อนๆเป่ากระทบแก้มใสอยากให้รับรู้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าขนาดไหนที่อยู่ในใจเขา
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลงเหลือบขึ้นสบกับนัยน์ตาคู่โตก่อนจะเหลือบลงมามองริมฝีปากใหม่
เขาขยับเข้าหาอย่างอ้อยอิ่ง
เขาทิ้งเวลาให้เฟยเฟยปฏิเสธแล้ว
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ทำ
ใบหน้าคมจึงเสยช้อนใบหน้าขึ้น แล้วจู่โจมกลีบปากสีระเรื่อนั้นด้วยริมฝีปากของเขา
“อ๊ะ?” ยังไม่ทันที่เจ้าลูกกระต่ายจะได้อุทานอะไร
ริมฝีปากที่เคยบดเบียดอย่างนุ่มนวลก็ค่อยๆสอดลิ้นเข้าไป
ไหล่บางถึงกับแข็งทื่อเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาจูบแบบ Deep Kiss
เพิ่งเคยใช้ลิ้นเป็นครั้งแรก...
“อื้ม” เขาขยับใบหน้าเข้าหา
บดเบียดเปลี่ยนองศาไปเรื่อยๆ เรียวลิ้นที่อยู่ข้างในไล่ต้อนลิ้นร้อนที่ไร้เดียงสา
นุ่มนวล โอบรัดสัมผัสทุกส่วนอย่างอ่อนโยน
“อึก...อืม...” เสียงครางในลำคอดังเบาๆ หัวใจของเขากำลังเต้นดังมาก
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจูบจะทำให้รู้สึกดีขนาดนี้
ใบหน้ามนแดงจัดจนแทบจะลุกเป็นไฟได้
ฝ่ามือบางที่ขย๋ำสาบเสื้อนอนของเขาอยู่ก็ทำให้รู้ว่าน่าจะรู้สึกดีมากเหมือนกันกับเขา
ในขณะที่เรียวลิ้นของเขากำลังล่อลวงลูกระต่ายให้เคลิบเคลิ้ม
มือใหญ่ก็สอดประสานไปที่มือบางข้างหนึ่ง เขาค่อยๆดึงมันเข้ามาอย่างนุ่มนวล
ก่อนจะพามันบุกเข้าไปในพื้นที่แสนอันตราย...ที่อยู่ภายใต้กางเกงนอนของเขา
“....!!”
ดวงตาที่เคยปิดลงอย่างเคลิบเคลิ้มถึงกับเบิกโพลงขึ้นมาทันทีที่ฝ่ามือรับรู้ได้ว่าไปสัมผัสโดนอะไรเข้า
สิ่งที่อยู่ตรงกลางหว่างขานั่นเหมือนจะตื่นตัวอยู่แล้วน้อยๆ ยิ่งมันถูกสัมผัสโดยมือบางนิ่มๆเย็นๆของคนที่เป็นดั่งดวงใจ
มันจึงยิ่งขยายใหญ่คามือ
ดวงตาคู่สวยตวัดมาสบประสานดวงตาเขาอย่างตื่นตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะทำเรื่องแบบนี้
“...วะ วิธีอะไรของพี่เนี่ย? อื้อ~” คำพูดขาดๆหายๆรีบเอ่ยออกมาเมื่อเขาปล่อยกลีบปากอิ่มให้เป็นอิสระ
แต่ก็พูดเป็นประโยคอยู่ได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงครางเมื่อริมฝีปากร้อนๆกดจูบลงไปที่ซอกคอ
“ในเมื่อความปรารถนาในตัวนายของชั้นมันล้นทะลักดีนัก
ก็แค่เอามันออกมาบ้างก็พอ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกในขณะที่ปล่อยลมหายใจหนักๆให้ไปคลอเคลียอยู่ที่ต้นคอระหง
ตอนนี้ลมหายใจของเขาร้อนมาก ร้อนตามไฟปรารถนาที่กำลังลุกโชนอยู่ภายใน
มือบางข้างนั้นกำลังสัมผัสความเป็นชายของเขาอย่างเก้ๆกังๆ
แตะโดนบ้างถอยห่างบ้างอย่างกล้าๆกลัวๆ
แต่ยิ่งมันเงอะๆงะๆเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขามีอารมณ์
"ฟู่…" หัวสีดำซบไว้กับไหล่บางอย่างพยายามอดทน
เขารักและต้องการอีกฝ่ายแค่ไหนคงไม่ต้องอธิบายแล้ว
แค่มืออย่างเดียวอารมณ์ก็พุ่งพล่านไปถึงไหนต่อไหน
“แล้วก็...ชั้นไม่ได้อยากกินนายแค่เพราะตาชั้นมองเห็นเท่านั้น
ต่อให้นายปลอมตัวเป็นหมอนข้างไปก็ไร้ประโยชน์” เสียงทุ้มพยายามพูดออกมาทั้งๆที่สภาพของเขาพอๆกับคนเมา
“เพราะไม่ว่าจะกลิ่นหอมๆของนาย เสียงหายใจของนาย ความร้อนจากตัวนาย
แม้แต่นายขยับตัวแค่นิดเดียว แค่รับรู้ว่านายอยู่ข้างๆ
มันก็ทำให้ชั้นหิวจนแทบจะคุ้มคลั่งแล้ว” ปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากซอกคอ
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมชั้นถึงนอนข้างๆนายไม่ได้ยังไงล่ะเฟยเฟย”
“มีแต่ต้องทำให้ความหิวมันลดลง...ด้วยวิธีนี้”
มือใหญ่สอดปลายนิ้วเข้าไปประสานกับมือบางก่อนจะช่วยกันกอบกุมแท่งเนื้อที่ร้อนราวกับเหล็กลนไฟ
“ฮ้า…” เขาถึงกับครางออกมาเบาๆก่อนจะกดจูบกลีบปากสีระเรื่ออีกครั้ง
ใบหน้ามนถึงจะดูมึนงงแต่แก้มใสกลับแดงจัดเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์
"พี่...มันร้อนมากเลย...”
“มะ
มีเส้นเลือดขึ้นมาด้วย?….มะ ไม่เป็นไรเหรอ?....งื้อ...มะ มันแข็ง...แล้วก็…"
เสียงนุ่มเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก ทั้งสับสน ทั้งเขินอาย
จะก้มหน้างุดสายตาก็ดันไปสบกับเจ้าสิ่งที่อยู่ใต้กางเกงจนหัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักดังออกมาจนเขาได้ยิน
"แล้วอะไร?" เสียงทุ้มขยับเข้าไปกระซิบที่ใบหูแดง
"...มัน.....ใหญ่มาก" ใบหน้ามนหลับหูหลับตาพูดออกมาในขณะที่สีแดงลามมาจนถึงต้นคอ
เขาถึงกับหัวเราะเบาๆ
"หึ...ทำความรู้จักกันไว้ก่อนนะ" ลมหายใจร้อนๆถูกเป่ารดซอกคอ
ต้องห้ามตัวเองไม่ให้เผลอจูบมันมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นเขาจะควบคุมตัวไม่ไหว
ก็กลิ่นตัวเฟยเฟยนั้นหอมมาก คงจะเป็นฟีโรโมนที่เอาไว้เล่นงานเจ้าป่าอย่างเขาโดยตรง
"ในวันที่ต้องเจอกันจริงๆ...จะได้ไม่ตกใจ" ใบหน้าที่คลอเคลียอยู่ที่ต้นคอลอบยิ้ม
ส่วนเจ้าของมือนิ่มๆนี่ก็ทำได้แค่เอาหน้าซบบ่าของเขาอย่างเขินอาย
สองมือค่อยๆขยับช้าๆ
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้ผ้าสีดำของกางเกงนอน เอวแข็งแรงโยกตัวเบาๆเพื่อให้เข้ากับจังหวะของฝ่ามือ
“ฮ้า…” เขาพ่นลมหายใจร้อนๆหนักๆรดต้นคอระหง
เดี๋ยวกดจูบเบาๆ เดี๋ยวย้ายไปจูบแก้มใสอย่างเอาใจ เดี๋ยวจูบกลีบปากอิ่ม ด้วยความรู้สึกทั้งลุ่มหลง
ทั้งมัวเมา
ไม่คิดเลยว่าแค่มือจะรู้สึกดีได้ขนาดนี้
คงจะเพราะมันเป็นมือของคนที่เขารัก
มือใหญ่ชักนำมือบางให้ขยับเร็วขึ้น
เสียงครางต่ำๆอย่างพึงพอใจของเขาที่กระซิบอยู่ข้างใบหูบางทำให้ใบหน้ามนเม้มปากแน่น
หน้าแดงจนไม่รู้จะแดงยังไง
เขาเร่งฝ่ามือให้เร็วขึ้นอีกเมื่อใกล้จะถึงจุดสูงสุด
ใบหน้าช้อนไปจูบริมฝีปากสีระเรื่ออีกครั้งก่อนที่ทุกความปรารถนาจะถูกปลดปล่อยพุ่งทะลักออกมา
“อึก…” ทั่วทั้งตัวสั่นเกร็ง
รู้สึกดีจนหัวโล่งไปหมด ใบหน้าหล่อเหลาเอนซบไหล่บางเอาไว้พร้อมกับลมหายใจหอบหนัก
มือใหญ่ค่อยๆคลายมือบางออก
เฟยเฟยจึงค่อยๆดึงมันออกมาจากกางเกงสีดำ
น้ำสีขาวขุ่นไหลเลอะเต็มมือ
บางหยาดหยดกำลังค่อยๆไหลจากง่ามนิ้วลงมาที่ข้อมือ
ดวงตาคู่โตมองมันอย่างเบิกค้าง
เขินจนหูแดงขึ้นมาอีกรอบ
เขาอมยิ้มกับปฏิกิริยาแสนน่าเอ็นดูนั่นก่อนจะหันไปดึงกระดาษทิชชูมาซับไม่ให้มันไหลเลอะที่นอน
“เอาละ ถึงตานายแล้ว” เสียงทุ้มพูดออกไปท่ามกลางความมึนงงของใบหน้ามน
มือใหญ่ดึงลำตัวโปร่งให้ลุกออกจากเตียงก่อนจะลากเข้าไปในห้องน้ำ
“เดี๋ยวผมล้างเองก็ได้” เจ้าลูกกระต่ายนึกว่าเขาจะพามาล้างมือแต่เขากลับอุ้มอีกฝ่ายขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า
ดวงตาคู่โตจึงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
แต่แล้วเมื่อมือใหญ่ขยับไปคลึงส่วนที่อยู่กลางหว่างขาก่อนจะดึงกางเกงนอนสีแดงทิ้งไป
หวังเฟยเฟยก็เข้าใจทุกอย่างทันที
“เดี๋ยว ไม่ต้อง อ๊ะ” มือบางพยายามดันไหล่เขาออกไป
แต่เขาก็ช้อนจูบคนที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ ทั้งเว้าวอน ทั้งออดอ้อน ทั้งอ่อนโยน
เขานิ่งมองใบหน้ามนเมื่อละจูบออกมา
“อื้อ” ดวงตาคู่โตปรือปรอยมองเขาด้วยแววสั่นคลอ
ยังมีความไม่แน่ใจอยู่ในดวงตาคู่นั้นเขารู้ดี
ถึงหัวใจดวงน้อยนี้จะเป็นของเขาไปกว่าค่อนดวง
แต่มันก็ยังมีความรู้สึกผิดต่อครอบครัวที่ยังขวางกั้นเอาไว้ ถ้าพ่อแม่รู้
ถ้าคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายรู้...จะเป็นยังไง...
อีกฝ่ายมองเขา...ราวกับจะขอความมั่นใจ…
ว่าความรักความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ใช่เรื่องที่ผิด…
เพราะถ้าเลยจากตรงนี้ไป...จะหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว...
“เฟยเฟย…” เสียงทุ้มจึงเอ่ยออกไป
เพื่อให้ดวงใจของเขาหายกังวล
“ในโลกนี้...ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับชั้น...ได้เท่านายอีกแล้ว”
ดวงตาที่เคยสั่นพร่าค่อยๆกลับมาสุกใสเป็นประกายแล้วจ้องมองเขากลับมา
ริมฝีปากจึงช้อนจูบกลีบปากสีระเรื่อนั้นอีกครั้งและอีกครั้ง
เสียงหอบหายใจดังก้องอยู่ในห้องน้ำ…
เขาใช้ปากกลืนกิน
ใช้ลิ้นไล่ต้อนจนกระต่ายตัวเล็กๆนี่หมดทางหนี...
น้ำสีขาวขุ่นไหลออกมาจากมุมปาก…
จากนั้นท่อนแขนแข็งแรงจึงอุ้มคนที่หมดเรี่ยวหมดแรงออกมานอนลงบนเตียง
เท่านี้...เขาก็นอนเคียงข้างอีกฝ่ายโดยไม่หิวได้แล้ว...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
520
N.
To
be con.
โอยยยย
// ปิดหน้า
>/////<
มาค่ะ
แปะเพลงแรงบันดาลใจ(?)ฉากท้ายของตอนนี่ก่อนเลยค่ะ
เชื่อว่าสาววายที่มาจากประเทดเกาะแล้วก็เป็นพวก20+ (อายุอ่ะนะ555)ส่วนใหญ่น่าจะรู้จักเพลง Magnet ของโวลคาลอยด์
ความหมายก็คือ อื้อหื๋ออออมาก กร๊ากกก เวลาแต่งฟิคที่เป็นความรักแบบต้องห้าม
พระเอกนายเอกโหยหาเสพติดซึ่งกันและกัน ก็จะนึกถึงเพลงนี้ทุกทีเลยค่ะ
จริงๆมีคนโคฟหลายเวอร์ชั่นมาก แต่จะแปะเวอร์ชั่นที่คุณกวางชอบแล้วกัน เหะ ของ Clear
x Dasoku เต้นประกอบเพลงโดยหนูเลนและคุณรีไว //
มองเอวลูกแล้วก็ได้แต่น้ำลายไหลพราก =q= // โดนเหยียบพร้อมคัตเตอร์ปักคอ
ส่วนอันนี้คำแปลค่ะ
=q=
อยากให้เข้าไปอ่านกันนะคะ มันแบบ %&$#%O9&8=#! มาก! เพลงนี้เค้าร้องกันสองคนนะคะ จะ ชช หรือ ญญ ก็แล้วแต่ หรือจะทั้ง ชช
ญญ ในคนเดียวกันแบบเวอร์ชั่น Sekihan x Piko ก็มี 555
นอกจากเพลงแล้วยังมีคลิปนำเที่ยว(?) สถานที่ที่อยู่ในฟิคตอนนี้ด้วยค่ะ =q= เชื่อว่าตอนนี้หลายๆคนก็คงคิดถึงประเทดเกาะเหมือนเรา
แต่เด่วก่อนนะคะ ชื่อฟิคเราคือ GLIDE ค่ะ ไม่ใช่ GUIDE
ค่ะ ถึงจะเหมือนฟิคท่องเที่ยวก็เถอะ 55555+ ประทับใจในความตั้งชื่อใหม่ให้
555+
ที่แรก
ย่านมารุโนะอุจิค่ะ =q=
ต่อไปก็โตเกียวทาวเวอร์
คลาสสิคเนอะ =q=
มีรูปถ่ายเป็นเรฟด้วยอิๆๆ
มุมที่น้องเฟยกับพี่อี้หยางเซลฟี่ด้วยกัน กับตอนที่ยืนคุยกันบน main deck แบบเป็นเงาสองคนดำๆแล้วฉากหลังคือโตเกียวยามค่ำคืน =q=
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆการติดตามมากๆนะค้า แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น