ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 bpm. [again.]
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 Beats per minute.”
.
.
.
แคว่ก!!!
เปล่า นั่นไม่ใช่เสียงฉีกกระชากเสื้อผ้า
ไม่ใช่ว่าเขากำลังจับเจ้ากระต่ายกดลงกับเตียง
แต่มันเป็นเพียงเสียงที่มือใหญ่รูดผ้าม่านให้แสงสว่างสาดเข้ามาในห้องเท่านั้นเอง
หวังอี้ป๋อเปิดหน้าต่างออกก่อนจะเงยหน้าสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด
ห้องนั่งเล่นที่เงียบเหงามาทั้งคืนค่อยๆตื่นจากการหลับใหล
แสงแดดยามเช้าฉาบไล้ไปทั่วห้อง ไม่ว่าจะโซฟา พรมหนานุ่ม เตาผิง
และหมอนอิงที่วางระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด
ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มให้กับสภาพห้องที่ไม่ได้เรียบร้อยนัก
แต่นั่นมันคือสิ่งที่บ่งบอกว่าห้องนั่งเล่นนี้มีการใช้งานอยู่ตลอดเวลา
จากลูกๆของเขา จากครอบครัวของเขา
นักบิดมือหนึ่งแห่งทีมยามาฮ่าก้มลงไปหยิบหมอนที่หล่นอยู่บนพื้นก่อนจะตบๆไล่ฝุ่นไปสองสามทีแล้วจึงวางเข้าที่บนโซฟา
เมื่อคืนเจ้าลูกกระต่ายกับเจ้าลูกสิงโตเถียงกันยกใหญ่
คนนึงจะดูก๊อตซิลล่าคนนึงจะดูเจ้าหญิงนิทรา
ตีกันไปตีกันมาสุดท้ายคนทั้งบ้านก็ต้องนั่งดูแม่มดใจร้ายเจ้าหญิงเจ้าชายกับเจ้าลูกกระต่ายอย่างช่วยไม่ได้…
ถ้าไม่มีลูก
คิดเหรอว่าคูลกายอย่างเขาจะมานั่งดูนิทานหวานแหววอะไรพวกนี้
แล้วเจ้าตัววุ่นวายก็ไม่ยอมดูคนเดียวด้วยนะ เป็นต้องไปลากเขากับเจ้ากระต่ายมาดูด้วยตลอด
จนตอนนี้เจ้าหญิงดิสนีย์มีกี่คนๆเขาก็รู้จักหมด!
"หม่าม้า ทำไมแค่เอาปากแตะกัน เจ้าหญิงถึงฟื้นได้ล่ะ?"
เขาอดขำไม่ได้เมื่อนึกถึงคำถามนี้ที่เฟยเฟยวัยห้าขวบเคยหันไปถามผู้เป็นแม่
เจ้ากระต่ายที่ตอบลูกชายไม่ได้อ้าปากพะงาบๆเลิ่กลั่กไปหมดทั้งหน้า แก้มใสค่อยๆขึ้นสีแดงจนลามไปถึงใบหู
การอธิบายให้เด็กวัยนี้เข้าใจนับเป็นความท้าทายของพ่อแม่มากๆ
"เอ่อ...อ่า...นั่นเรียกว่าการจูบครับ เป็นการแสดงความรัก
เพราะมีความรักของเจ้าชาย เจ้าหญิงเลยฟื้นขึ้นมาไง" เจ้ากระต่ายพยายามอธิบายด้วยท่าทางอึกๆอักๆ
"งั้นหม่าม้ากำลังจะตายเหรอ? เฟยเห็นปะป๊าจูบหม่าม้าทุกวันเลย"
เจ้าลูกกระต่ายเบะปากเตรียมจะร้องไห้เมื่อรู้ความจริงว่าแม่ตัวเองกำลังจะตาย
แต่คนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆอย่างเขานี่ขำจนท้องคัดท้องแข็ง
ผลั๊วะ!!
แล้วเขาก็โดนมือกระต่ายฟาดไปตามระเบียบ
"หม่าม้าบอกแล้วไง ว่าจูบคือการแสดงความรัก หม่าม้าไม่ต้องตาย
ปะป๊าก็แสดงความรักต่อหม่าม้าได้" เจ้ากระต่ายพูดไปหน้าแดงแปร๊ดไป
ส่วนเขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
"จริงนะ หม่าม้าไม่ตายจริงๆนะ"
"ครับ หม่าม้าจะอยู่กับเฟยเฟยไปจนแก่เลย~" เจ้ากระต่ายก้มลงไปคลอเคลียลูกกระต่ายที่นั่งอยู่บนตักอย่างน่ารัก
บางทีความขี้สงสัย ขี้อ้อน ขี้งอแงของอาเฟยก็มีประโยชน์เหมือนกัน
นักบิดหนุ่มอมยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต
เขาจัดโซฟาให้เรียบร้อยก่อนจะกลับมายืนมองนอกหน้าต่าง เขาเอียงคอด้วยความแปลกใจ
วันนี้เงียบดีแหะ?
ปกติจะมีเสียงดังโครมครามจากการก่อสร้าง
ทั้งเสียงตอกตะปู เสียงเจีย เสียงตัดเหล็กเชื่อมเหล็ก แต่วันนี้กลับสงบมาก
พอมองดีๆแล้วเขาก็เริ่มเข้าใจ
ดูเหมือนบ้านของเจ้าเด็กนั่นจะเสร็จแล้วแหะ
พวกคนงานหรือกองวัสดุก่อสร้างก็ถูกขนออกไปหมดแล้ว
สิ่งที่อยู่ในสายตาของเขาตอนนี้มีเพียงบ้านสไตล์ทรัสคานี่อิตาลีหลังใหญ่ใหม่เอี่ยมหลังหนึ่งเท่านั้น
นั่นคือบ้านของหวังอี้หยาง
หลานชายวายร้ายของเขาเอง
ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเจ้าเด็กนั่นถึงมาสร้างบ้านอยู่บนที่ดินของเขาได้?
คือเขาน่ะก็แค่บ้านเต็มจนไม่มีที่จะเก็บของสะสมที่เจ้ากระต่ายไปขนซื้อมาจากทุกประเทศที่ไปแข่งหรือไปเที่ยวมา
ไหนจะอุปกรณ์หนักที่ใช้สร้างชิ้นส่วนรถพวกนั้นอีก
เขาเลยกว้านซื้อที่ดินที่ติดกับบ้านของเขาทั้งหมดจนได้มาทั้งบล็อคถนน
แล้วในขณะที่กำลังขยายบ้านของตัวเอง พ่อแม่เขา พ่อแม่เจ้ากระต่าย
รวมถึงเจ้าหลานชายมาเห็นที่ดินอันกว้างใหญ่นี่เข้า จู่ๆทุกคนก็ถือแบบบ้านมาชุดหนึ่งพร้อมช่างของใครของมันแล้วก็ก่อสร้างบ้านกันเฉยโดยไม่ถามเจ้าของที่ดินอย่างเขาเลยสักคำ!
ก็รู้อยู่หรอกว่าชอบมาเล่นกับหลานที่อิตาลีแล้วการมาทีก็ต้องไปพักโรงแรมทีเพราะบ้านของเขามันแคบมันก็ลำบาก แต่เขาก็กำลังขยายบ้านให้แล้วไง แล้วไหงเกิดอยากจะได้บ้านของตัวเองที่นี่ขึ้นมาซะงั้นละเฮ้ย
ตอนนี้บนที่ดินของเขาจึงมีบ้านอยู่สี่หลังถ้วน
แล้วที่น่าหมั่นไส้กว่าใครก็คือบ้านของเจ้าหลานชายดันหลังใหญ่สุดน่ะสิ!
ที่จอดรถยาวเหยียดนั่นจะทำเต๊นท์ขายรถเร๊อะ? เกินหน้าเกินตาเจ้าของที่ดินไปมากกกก
แถมยังเป็นบ้านหลังเดียวที่มีสระว่ายน้ำอีก!
ไม่ได้คิดจะมาอยู่ที่นี่สักหน่อย
จะมาสร้างไว้ทำไมก็ไม่รู้ ถึงตอนนี้อี้หยางจะยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ในอเมริกา
แต่ดูทรงแล้วก็คงไม่พ้นต้องไปอยู่ดูไบคอยดูแล Diamond crown แทนพ่อนั่นแหละ
ใบหน้าหล่อเหลาแสยะยิ้มเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
ไหนๆกว่าเจ้าของบ้านมันจะมาก็ช่วงปิดเทอมนู่นแหละ
สระว่ายน้ำที่ไม่มีใครใช้ก็น่าสงสารออกใช่ไหมล่ะ?
ดีละ
เดี๋ยวเขาและครอบครัวจะไปเจิมให้เอง!
"ปะป๊า! จะออกไปวิ่งเหรอ? ผมไปด้วย!"
เจ้าลูกสิงโตวัยเจ็ดขวบทักเสียงใสเมื่อเห็นเขาอยู่บ้านในวันอาทิตย์แบบนี้
หวังอี้คุนกระโดดพรวดลงบันไดมาอย่างไม่กลัวจะหกล้มแข้งขาหัก
ซนตั้งแต่เกิดจนโตจริงๆ
"แล้วก็ๆ ไปขี่มอเตอร์ไซค์กับผมด้วยนะ ผมอยากให้ปะป๊าสอนอันนั้นด้วย"
อี้คุนพูดอย่างตื่นเต้น ซึ่งเขาก็ยิ้มอย่างเอ็นดู
ตอนนี้เขายังเป็นนักแข่งรถที่ต้องตระเวนไปแข่งทั่วโลกแทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์
เพราะงั้นลูกๆจะดีใจเมื่อเขาอยู่บ้านก็ไม่แปลก
"ปะป๊า? งื้อ" คราวนี้เป็นลูกกระต่ายที่ยังดูงัวเงียเดินขยี้ตาลงมาจากปลายบันได
ถ้าอี้คุนตื่นเฟยเฟยก็จะตื่นด้วย สรุป
คนที่ตื่นสายที่สุดในบ้านก็คือเมียเขาเองนี่แหละ ประตูห้องของเขายังเงียบกริบ
เจ้ากระต่ายจอมตื่นสายยังไม่ยอมลุกขึ้นมา
"จะไปไหนกัน? เฟยไปด้วย" มือเล็กเอื้อมมาจับชายเสื้อเขาทั้งๆที่ยังหาวหวอด ในใจเขาได้แต่กรีดร้อง
ทำไมลูกๆของเขาถึงได้น่ารักแบบนี้~~ เจ้าลูกสิงโตมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายส่วนเจ้าลูกกระต่ายก็จับชายเสื้อเขาไม่ปล่อย
อ๊า~น่ารักจริงๆ~นักบิดหนุ่มต้องฮึบขนานใหญ่เพื่อไม่ให้ออกอาการมากไปจนลูกไม่เคารพ
"ล้างหน้ารึยังเนี่ยเรา? วันนี้จะไม่ไปไหน
แต่เราจะฝึกว่ายน้ำที่สระบ้านพี่อี้หยางกัน" เขาพูดในขณะที่ก้มลงไปใช้สองมือประคองใบหน้าเล็กของเฟยเฟย
ปลายนิ้วโป้งปาดขี้หูขี้ตาออกให้ด้วยความเอ็นดู สองแก้มนุ่มฟูอย่างกับซาลาเปาจนอยากจะบีบไปมา
"ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมานั่งรอที่โต๊ะกินข้าวนะอี้คุน
เดี๋ยวปะป๊าไปปลุกหม่าม้ามาทำอาหารเช้าให้" เขาหันไปบอกเจ้าลูกสิงโตที่วิ่งเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย
อี้คุนชอบให้เขาสอนสิ่งต่างๆให้ บางครั้งก็เหมือนเป็นเพื่อนเล่นมากกว่าจะเป็นลูกเสียอีก
"คร้าบ~~"
ร่างสูงสง่าเปิดประตูห้องที่มีเพียงแสงสลัวๆเข้าไป
เงาร่างบนเตียงกว้างใหญ่ยังคงนิ่งสนิท ฝ่าเท้าเขาสะดุดเข้ากับกองผ้าที่อยู่บนพื้น
และเมื่อก้มลงไปหยิบขึ้นมาเขาจึงเห็นว่ามันคือเสื้อนอนฮู้ดหูกระต่ายสีแดง
ถัดไปไม่ไกลเป็นกองกางเกงขาสั้นสีเดียวกัน
ถัดออกไปอีกหน่อยเป็นกองกางเกงในสีขาว...เสื้อผ้ากองระเกะระกะอยู่ตรงนี้แน่นอนว่าตัวเจ้ากระต่ายย่อมเปลือยเปล่า
ใบหน้าหล่อเหลาลอบยิ้ม
ก็ฝีมือเขาเองแหละ
มือใหญ่หย่อนเสื้อผ้าที่เก็บขึ้นมาได้ลงไปในตะกร้าผ้าก่อนจะกลับมายืนมองร่างโปร่งบางที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม
เขามีสารพัดวิธีที่ใช้ปลุกเจ้ากระต่ายขี้เซา แต่วิธีที่เขาชอบที่สุดก็คือวิธีนี้
ร่างสูงสง่าค่อยๆล้มตัวลงนอนก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างแผ่วเบา
เขาค่อยๆขยับเข้าไปกอดแผ่นหลังบางอย่างเงียบเชียบ…
ฝ่ามือค่อยๆไต่ไปตามต้นขาเนียนนุ่มแล้วเลื้อยขึ้นไปกอดกระชับเอวบางเข้าหาตัวจนแทบไม่มีช่องว่างระหว่างแผ่นอกของเขากับแผ่นหลังบาง
เสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่เสียดสีกับผิวเปลือยเปล่าจนเกิดเสียงสวบสาบฟังแล้วทั้งนุ่มนวลทั้งอีโรติก ได้ยินเสียงอื้ออ้ามาจากใบหน้าที่เริ่มขมวดคิ้วเพราะถูกก่อกวนแต่ดวงตาคู่โตก็ยังไม่ยอมเปิด
ใบหน้าหล่อเหลาจึงขยับเข้าไปกดจูบลงบนลาดไหล่ด้านหลัง
จูบเบาๆสลับกับจูบหนักๆราวกับกำลังหยอกเย้า
เจ้ากระต่ายเริ่มขยุกขยิกหนีแต่เขาก็ยังตามไปกดจูบไล่ขึ้นไปจนถึงท้ายทอย
ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเส้นทางมาเป็นลำคอด้านข้าง
“อื้อ” เจ้ากระต่ายส่งเสียงอย่างรำคาญแต่ก็ยังดื้อจะนอนต่อให้ได้
เขาจึงต้องหาตัวช่วย
ฝ่ามือที่เคยกอดกระชับอยู่ที่เอวบางเริ่มเลื้อยไปตามหน้าท้องแบนราบ
ความหยาบของมือผู้ชายยามสัมผัสกับผิวกายเนียนนุ่มนั้นปลุกไฟปรารถนาขึ้นลึกๆในใจ
มันให้ความรู้สึกเหมือนความแข็งแกร่งที่กำลังโอบรัดความอ่อนโยน ลมร้อนๆถูกเป่ารดต้นคอพร้อมกันไปด้วย
ดูซิว่าระหว่างข้างบนกับข้างล่าง เขาจะปลุกตรงไหนได้ก่อนกัน
ริมฝีปากลอบยิ้มทั้งๆที่ยังไล่กดจูบแผ่นหลังขาวไปทั่ว
เจ้ากระต่ายเริ่มส่งเสียงขู่หนักให้เขาเลิกก่อกวน แต่สิงโตที่ไหนจะกลัวกระต่ายล่ะ?
มือใหญ่จึงเริ่มลูบลงไปตามโคนขา
จากด้านนอกค่อยๆระเรื่อยเข้าไปด้านใน จากข้างล่างค่อยๆลูบขึ้นมาด้านบน
เจ้ากระต่ายเริ่มขมวดคิ้ว จากเสียงขู่เริ่มจะกลายเป็นเสียงครางในลำคอ
แต่ก่อนที่จะเฉียดเข้าใกล้ส่วนไวต่อความรู้สึก
มือเขากลับเปลี่ยนทิศไปทางบั้นท้ายแทน ชั่ววินาทีที่อีกฝ่ายเริ่มจะเคลิบเคลิ้ม
มือใหญ่ก็จับก้นลูกพีชหมับก่อนจะบีบเต็มแรง
“โอ๊ย?!” เจ้ากระต่ายสะดุ้งโหยงก่อนจะลืมตาหันมามองว่าเขาทำอะไร
และเมื่อเห็นรอยยิ้มบานแฉ่งรับอรุณของเขา มือกระต่ายก็ฟาดเอาๆใส่เขาทันที
“นายนี่มัน! เป็นคนทำชั้นไม่ได้นอนแท้ๆ ยังจะมาก่อกวนอีก! ไปไกลๆเลยนะ!
นี่แหน่ะๆๆ!” เขาต้องรีบตะครุบก่อนจะรวบลำตัวบางไว้ในอ้อมแขน
เจ้ากระต่ายแยกฟันคู่หน้าขู่พร้อมดิ้นขลุกขลักๆ...น่ารักจริงๆ
“หยุดดิ้นก่อนครับ ลูกๆหิวข้าวแล้ว ตื่นเถอะครับ
ลงไปทำอาหารเช้าให้อี้คุนกับเฟยเฟยก่อนนะ น้า~” เขาใช้ลูกอ้อนเมื่ออีกฝ่ายทำตาเขียวปั้ดใส่
“ฮึ่ม...ชั้นจะทำให้เด็กๆกินเท่านั้น ส่วนนายไม่ต้องกิน!” เขายกมือยอมแพ้แล้วยิ้มรับเพราะรู้ว่าเจ้ากระต่ายก็ขู่ไปงั้นแหละ
“แล้วทำไมกินเช้านักเนี่ย? ยังไม่เจ็ดโมงเลย?”
เจ้ากระต่ายถามอย่างมึนงงเมื่อผงกหัวขึ้นไปดูนาฬิกาแล้วพบว่ายังเช้าอยู่มาก
“วันนี้ผมจะสอนลูกว่ายน้ำ ให้กินอะไรรองท้องไปหน่อยก็ดี
สายแล้วเดี๋ยวจะร้อนด้วย”
“ว่ายน้ำ?” เจ้ากระต่ายเอียงคอสงสัยในขณะที่ลุกขึ้นนั่ง
ผ้าห่มตกกองอยู่บนหน้าตักเผยให้เห็นไหล่บอบบาง...ชักไม่อยากออกจากห้องแล้วแหะ
เขากลืนน้ำลายหนึ่งทีก่อนจะพูดออกไป “สระว่ายน้ำที่บ้านอี้หยางไง
เสร็จแล้ว”
“ไปใช้ของหลานจะดีเหรอ? เจ้าของยังไม่เคยใช้เลยด้วยนี่?”
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะเป็นบ้านเจ้าเด็กนั่น แต่มันก็ที่ดินของผมนะ”
“งั้นก็แล้วแต่นาย เดี๋ยวชั้นช่วยสอนลูกด้วยก็ได้ รอแป๊บนะ” เจ้ากระต่ายวิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำไป ตัวเองว่ายน้ำเป็นเหรอน่ะจะไปสอนลูก?
สภาพที่ลอยอยู่นิ่งๆคอยให้กระแสน้ำช่วยพัดไปนั่นเขาไม่เรียกว่าว่ายน้ำนะ…
และแล้ว
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม พ่อสิงโต แม่กระต่าย
และลูกน้อยอีกสองคนก็เดินเรียงแถวไปยังบ้านที่อยู่ในรั้วเดียวกัน
สระขนาดมาตรฐานโอลิมปิกดูน่าโดดลงไปดีแท้ เฉลียงรอบสระถูกปูด้วยกระเบื้องดินเผาตามสไตล์ทรัสคานี่ของบ้าน
เขาหย่อนตัวลงไปก่อนเพื่อตรวจสอบว่าน้ำไม่ได้เย็นเกินไป
จากนั้นจึงค่อยๆรับตัวเด็กแฝดลงมา
จริงๆแล้วถ้าจับลูกสิงโตโยนลงน้ำมันก็คงจะว่ายได้เองตามสัญชาตญาณของเจ้าป่า
แต่ถ้าจับลูกกระต่ายโยนลงน้ำก็คงไม่พ้นกลายเป็นอาหารปลาแน่ๆ...
เพราะงั้นเพื่อป้องกันเจ้าลูกกระต่ายตัวน้อยๆของเขาที่ชอบเดินทะเล่อทะล่าตาไม่เคยจะมองทางนี่เดินตกสระว่ายน้ำจนตายไปซะก่อน
เขาต้องหาทางฝึกอาเฟยให้ว่ายน้ำเป็นให้ได้!
"แง๊~~~ ไม่เอาาาา เฟยกลัว~~" แต่แค่ลงน้ำยังไม่ทันจะทำอะไร เจ้าตัววุ่นวายก็แหกปากร้องไห้โฮทันที….
"กลัวอะไรล่ะ ปะป๊าจับไว้นี่ไง ไม่จมหรอก"
"จม~~ ไม่เอาาาา เฟยกลัว~~ ขาเหยียบไม่ถึงด้วยอ่ะ
แง๊ๆๆ~" ท่อนแขนเล็กกอดเอวเขาไว้แน่น
ใบหน้าจิ้มลิ้มร้องไห้งอแงส่ายหน้าท่าเดียว
"......"
ดูท่าจะไม่ง่ายเสียแล้ว ทั้งๆที่เด็กทั่วไปแค่เห็นน้ำก็แทบจะวิ่งเข้าใส่
แต่เจ้าลูกกระต่ายขี้กลัวนี่กลับไม่เอาอย่างเดียว
เขาหันไปมองเจ้า
'เด็กทั่วไป' ที่ตีแขนตีขาอยู่ในห่วงยางจนแทบจะวนไปทั่วสระแล้ว
นั่นก็พลังงานเหลือล้นจริงๆ!
"อี้คุน อย่าไปห่างจากปะป๊า กลับมานี่!" มันวุ่นวายแท้ที่ต้องสอนเด็กสองคนที่ต่างกันมากว่ายน้ำเนี่ย
ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองเจ้าคนเป็นแม่ที่นอนอาบแดดสบายใจเฉิบอยู่บนเก้าอี้ริมสระ
ไหนใครมันบอกว่าจะช่วยกันสอนฟ๊ะ เจ้ากระต่ายไร้ความรับผิดชอบ!
"แง๊~~~"
“โอเคๆ ไม่เอาก็ไม่เอา ไม่ร้องๆ” เขาตัดใจอุ้มเจ้าลูกกระต่ายขึ้นไปนั่งบนขอบสระอย่างจนใจ
ใบหน้าเล็กยังร้องไห้สะอึกสะอื้นให้เขาต้องลูบหัวยกใหญ่ เป็นพ่อคนมันไม่ง่าย
ยิ่งมีลูกชายจอมงอแงแต่ก็ดันน่ารักจนดุไม่ลง เขาถึงได้ใจเย็นกว่าเมื่อก่อนมาก
จากหวังอี้ป๋อที่ไม่เคยสนใจใคร ใครจะเป็นยังไงก็ช่าง
กลับต้องมาคอยตะล่อมหาทางสอนเจ้าเด็กยอมโยเยคนนี้ให้ได้
“ปะป๊าดูสิ! แบบนี้ใช่ไหม?!” เจ้าลูกกระต่ายยังไม่ทันจะหยุดร้องไห้ดี
เจ้าแฝดพี่ก็ร้องเรียกให้เขาหันไปดู
ทางนู้นทีทางนี้ทีแต่เขาก็ชินแล้วเพราะต้องคอยวิ่งไล่จับทั้งคู่มาตั้งแต่เด็ก
การแยกประสาทดูลูกทีเดียวสองคนจึงกลายเป็นสกิลใหม่สำหรับเขาไป
“แบบนั้นแหละ ฝึกตีขาแล้วก็พยุงตัวให้ลอยไว้ก่อน” สมกับเป็นลูกสิงโตที่แค่โยนลงน้ำก็ว่ายได้เองจริงๆ
อี้คุนเริ่มจะจับหลักการอะไรบางอย่างได้ด้วยตัวเอง
เขาจึงมองดูอยู่ในระยะที่ไม่อันตรายได้
“งื้อ น่ากลัวจะตาย” ส่วนทางนี้ก็สมกับเป็นอาหารปลาจริงๆ!
เจ้าลูกกระต่ายหน้านิ่วคิ้วขมวดมองก้นสระที่อยู่ลึกลงไปมาก
“มาเฟยเฟย ลงมาอีกรอบ คราวนี้แค่เกาะขอบสระไว้ก็พอ
ไม่ต้องออกไปกลางน้ำก็ได้” เอาแค่ไม่จม
แค่ให้ลอยตัวได้แล้วคอยกระแสน้ำพัดเอาอย่างแม่ตัวเองก็พอแล้วแหละณ.จุดนี้
เขาเริ่มปลง
ตลอดช่วงสายยังคงเต็มไปด้วยเสียง "ไม่เอา~" “จะจมแล้ว~” “ปะป๊าช่วยด้วย~” “แง๊~” ของเจ้าลูกกระต่าย ส่วนอี้คุนก็แทบจะว่ายน้ำเป็นในการฝึกแค่เช้าเดียว
หวังอี้ป๋อยังคงต้องใช้ความพยายามในฐานะคนเป็นพ่อต่อไป…
แล้วหลังจากนั้นอีกวันสองวัน
สระว่ายน้ำที่เขาตั้งใจจะยึดไว้ตลอดซัมเมอร์นี้กลับมีรั้วมาปักล้อมเอาไว้…
คิ้วเรียวกระตุกสองสามทีก่อนจะเดินไปดู
เจ้าอี้หยางน่าจะรู้ว่าเขาแอบมาใช้สระน้ำบ้านตัวเอง
แต่เขาไม่คิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะขี้งกถึงขั้นทำรั้วล้อมไว้ไม่ให้เขาใช้
และเมื่อเปิดประตูรั้วที่สร้างไว้อย่างง่ายๆเหมือนพวกรั้วที่ใช้กันความเสียหายในการก่อสร้างเข้าไป
เขาก็มองเห็นรถแบล็กโฮและกองวัสดุก่อสร้าง
อ่อ...เข้าใจละ
อี้หยางไม่ได้จะกันเขาและลูกๆมาใช้สระ
แต่ว่ากำลังต่อเติมสระเพิ่มอีกอันอยู่ข้างๆกัน
แล้วดูจากความลึกก็น่าจะเป็นสระเด็ก...
โอ้โห
เจ้าหลานชายวายร้ายนั่น…
เขาไม่เคยสงสัยเลยเรื่องที่ว่าหวังอี้หยางเป็นหลานชายในสายเลือดของเขาแน่ๆ
สายเปย์เหมือนกันเปี๊ยบแบบนี้
ว่าแต่มันรู้ได้ไงว่าเจ้าลูกกระต่ายของเขาไม่ยอมว่ายน้ำเพราะกลัวที่สระลึกเกินไป? ใบหน้าหล่อเหลาหันมองรอบตัวอย่างระแวงๆ
สิงอยู่ต้นพุทราหน้าบ้านเร๊อะถึงได้รู้ไปหมดแบบนี้?
สระเด็กเสร็จพร้อมใช้ในสองอาทิตย์ให้หลัง
แม่ลูกกระต่ายก็เลยได้เล่นน้ำลั้นลาอยู่ในนั้น
ส่วนเขากับเจ้าลูกสิงโตก็ว่ายน้ำแข่งกันอยู่ในสระผู้ใหญ่
สระว่ายน้ำของบ้านข้างๆยังคงเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกของครอบครัวเขาไปจนหมดซัมเมอร์นู่นแหละ
เช้าวันนี้อากาศเริ่มเปลี่ยนจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงอย่างเห็นได้ชัด
ความเย็นแผ่มาสัมผัสร่างกายทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ก๊อกๆๆ
มือใหญ่เคาะลงไปที่ประตูห้องนอนของลูกชายสองสามทีก่อนที่จะหมุนลูกบิดแล้วเปิดเข้าไป
“อี้คุน เฟยเฟย ตื่นได้แล้ว ออกไปวิ่งกับปะป๊าครับ” พออากาศเริ่มเย็น เจ้าเด็กแฝดก็จะเริ่มตื่นสายจนเขาต้องขึ้นมาปลุก
ดวงตาคมกล้าทอดมองก้อนผ้าห่มที่อยู่บนเตียงอย่างเอ็นดู
“......”
เจ้าลูกสิงโตลุกขึ้นมานั่งอย่างไม่ต้องเรียกซ้ำสอง
หัวหูชี้ฟู ตาก็ยังไม่ค่อยจะเปิดดีแต่กระนั้นก็ส่งเสียงตอบรับ
“ครับ…”
“เฟยเฟย...ตื่นได้แล้วลูก” เสียงทุ้มจึงปลุกซ้ำแค่คนเดียว
เจ้าลูกกระต่ายส่งเสียงงื้อง่าไม่อยากจะตื่นแต่ก็จำต้องลืมตาเมื่อท่อนแขนของพี่ชายที่กอดไว้ทั้งคืนกำลังลุกจากเตียงทำให้ตัวเองโดนลากออกจากผ้าห่มด้วย...เขายืนขำกับความลูกกระต่ายของอาเฟย
อยากนอนก็อยาก แต่ก็ไม่อยากห่างจากตัวอุ่นๆของอี้คุน
เจ้าลูกสิงโตลงมายืดแข้งยืดขาอยู่หน้าบ้านอย่างคนตื่นเต็มตาและพร้อมจะออกไปวิ่งเต็มที่
ต่างจากเจ้าลูกกระต่ายที่ยังยืนละล้าละลังมองรองเท้าอย่างกับยังไม่อยากใส่ไม่อยากออกไปวิ่ง
เขาส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าไปหยิบรองเท้าใส่ให้ ถ้ารอก็คงพรุ่งนี้แหละกว่าจะได้วิ่ง
ร่างสูงสง่าย่อตัวนั่งลงไปเพื่อผูกเชือกรองเท้าของเจ้าตัววุ่นวายให้แน่นๆ
รองเท้าคู่นี้เล็กกว่ามือของเขาอีก
แชะ
เขาหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ท่ามกลางความสงสัยของเจ้าลูกกระต่าย
“ถ่ายรูปรองเท้าเฟยทำไมอ่ะ?”
“เก็บไว้ดูในอีกยี่สิบปี” ว่าเขาคอยเฝ้ามองการเติบโตของลูกกระต่ายตัวน้อยๆนี้อยู่เสมอ
เขายังเก็บรองเท้าคู่แรกของอี้คุนกับเฟยเฟยเอาไว้อยู่เลย
มันเล็กเสียจนวางอยู่บนฝ่ามือเขาได้ทั้งคู่
“ไปวิ่งกันได้แล้ว” เขาลุกขึ้นก่อนจะวิ่งนำออกไป
บรรยากาศยามเช้าในมาราเนลโล่ยังคงสงบสุขเหมือนทุกๆวัน
เขาวิ่งเหยาะๆก่อนจะค่อยๆลดความเร็วลงเมื่อรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเขากับเจ้าลูกกระต่ายที่วิ่งรั้งท้ายเริ่มมากจนเกินไป
"ปะป๊า
แฮ่ก...แฮ่ก...รอด้วย...แฮ่ก...เฟยเหนื่อยแล้วอ่ะ...วิ่งไม่ไหวแล้วอ่ะ…"
ยังไม่ทันจะวิ่งพ้นรั้วบ้านตัวเองเลยนะเฮ้ย
เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย~!!
"....."
เขาหันไปมองร่างเล็กบางที่วิ่งอย่างเชื่องช้าแถมยังหอบแฮ่กด้วยสีหน้าปลงๆ
"ปะป๊า เร็วๆสิ!" ส่วนอีกคนก็วิ่งไปถึงดาวอังคารแล้วนั่น
หวังอี้คุนตะโกนเรียกเขาอยู่ไกลลิบ
"มา ขี่หลังปะป๊าไปแล้วกัน" เขานั่งยองๆลงไปรับเมื่อเจ้าลูกกระต่ายวิ่งมาถึง
วิ่งยังไม่ทันจะถึง300เมตรทำไมมันดูเหนื่อยนักเนี่ย?
"เหะเหะ" เจ้าลูกกระต่ายยิ้มร่าเมื่อเขายอมตามใจ
แขนเล็กกอดคอเขาอย่างว่าง่ายก่อนที่เขาจะแบกร่างที่เบาหวิวนั่นขึ้นหลัง
"ปะป๊าแบกไปถึงสวนสาธารณะเท่านั้นนะ จากตรงนั้นเฟยเฟยต้องวิ่งเองนะ"
สองขาเริ่มออกเดิน ข้างหน้าก็มีแผ่นหลังเล็กของเจ้าลูกสิงโตอยู่ในสายตา
"อื้อ!" เสียงใสตอบกลับมา
เขาไม่เคยเบื่อที่ต้องคอยแบกเจ้าลูกกระต่ายไม่เอาไหนนี่
ไม่เคยเบื่อที่ต้องคอยเคี่ยวเข็ญให้อาเฟยออกกำลังกาย
การทำเพื่อใครสักคนโดยไม่เคยเบื่อหน่ายนี้คงเป็นความรู้สึกที่พ่อทุกคนคงจะมีเหมือนเขาแน่ๆ
"ปะป๊า แวะซื้อโดนัทไปให้หม่าม้าด้วยดีไหม? เดี๋ยวเฟยไปต่อแถวเอง!"
ยังไม่ทันจะได้วิ่งก็หาเรื่องทำอย่างอื่นซะงั้นนะ
เรื่องฉลาดเป็นกรดนี่ต้องยกให้จริงๆ
อีกทางก็คงจะเป็นเพราะกลิ่นขนมปังหอมๆที่ลอยมากับอากาศยามเช้านี่แน่ๆ
"เอาสิ แต่ต้องไปวิ่งก่อนนะ" เขาพูดอย่างรู้ทันเจ้าลูกกระต่ายจอมอู้
สองขาเดินเข้าไปในสวนสาธารณะ ลุงป้าน้าอาต่างออกมาวิ่งบ้าง พาหมามาเดินเล่นบ้าง
และเขาก็คุ้นหน้าคุ้นตากับทุกคนดี
"หงึ เฟยไม่ชอบวิ่งเลยอ่ะ" เขาปล่อยเจ้าลูกกระต่ายลงจากหลัง
ใบหน้าเล็กทำแก้มป่องช้อนตามองเผื่อว่าเขาจะใจอ่อน
"ไม่ได้ อย่างน้อยต้องวิ่งหนึ่งรอบ มา เดี๋ยวปะป๊าวิ่งเป็นเพื่อน"
มือใหญ่เอื้อมไปจับข้อมือจอมงอแงให้ออกวิ่งไปด้วยกัน
ส่วนหวังอี้คุนนั้น...น่าจะวิ่งไปสองรอบสวนแล้วมั้งนั่น
เขาเหลือบมองเจ้าลูกสิงโตที่วิ่งอยู่อีกฝั่งของสระน้ำ
สองขาปรับจังหวะให้วิ่งช้าลงกว่าปกติมากเพื่อให้อาเฟยวิ่งตามทัน
เจ้าลูกกระต่ายนั้นอ่อนแอมากแต่ก็ดันมีหน้าตาน่ารักมาก
ถึงจะสู้ใครไม่ได้อย่างน้อยเขาต้องฝึกให้วิ่งหนีทัน ต้องมีสกิลในการเอาตัวรอดที่เพียงพอ
“นี่นายเป็นกระต่ายหรือเป็นเต่ากันแน่เนี่ย? วิ่งช้าขนาดนี้”
แฝดผู้พี่เอ่ยแซวเมื่อวิ่งผ่านเป็นรอบที่สาม
“งื้อ!” เจ้าลูกกระต่ายเงื้อกำปั้นทำท่าจะวิ่งไล่แต่ก็ยอมแพ้ในสองก้าวซะงั้น
ก็นะ ลำพังแค่วิ่งธรรมดาก็ช้าพอๆกับหอยทากแล้ว เขาลอบหัวเราะอย่างเอ็นดู
“เร็วเข้าเจ้าหอยทากน้อยของปะป๊า อีกนิดเดียว สู้ๆ” เขาส่งเสียงเชียร์หลังจากที่ตัวเองไปยืนรออยู่ที่ม้านั่งนานแล้ว
เจ้าลูกกระต่ายวิ่งเหมือนภาพสโลโมชั่นเข้ามาหา แต่นั่นไม่ใช่ภาพช้าแต่อย่างใด
เป็นการวิ่งปกติของอาเฟยนั่นแหละ
“เอ้า พักก่อน” เขาหยุดที่ม้านั่งเมื่อวิ่งครบหนึ่งรอบ
เจ้าลูกกระต่ายถึงกับทรุดนั่งลงไปกับพื้นหญ้า ใบหน้าขาวบัดนี้กลับเปล่งปลั่งไปด้วยสีแดงระเรื่อ
เหงื่อเกาะพราวไปทั่วขมับ
เอาเถอะ
นี่ก็ถือว่าพัฒนาแล้วนะ เมื่อก่อนแม้แต่หอยทากยังเดินไวกว่า…
“หายเหนื่อยรึยัง? ไปซื้อโดนัทนมสดให้หม่าม้ากัน
วันนี้น่าจะทัน” เจ้าลูกกระต่ายหูผึ่งยิ้มแฉ่งทันทีที่ไม่ต้องวิ่งต่อแล้ว
“ไปกันปะป๊า” มือเล็กรีบดึงมือเขาให้ออกเดินทันทีอย่างกับกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ
ไม่ชอบออกกำลังกายขนาดหนักจริงๆเจ้าลูกกระต่าย
“อี้คุน!” เขาตะโกนเรียกเจ้าลูกสิงโตในขณะที่มือยังคงถูกเจ้าลูกกระต่ายลากไปข้างหน้า
ในที่สุดสองขาก็ก้าวมาถึงหน้าโบสถ์กลางเมืองมาราเนลโล่จนได้
“คนเยอะสุดๆเลยอ่ะ” เจ้าลูกกระต่ายทำตาโตเมื่อมองเห็นปลายแถวยาวออกมานอกถนนแต่ก็ยังลากเขาไปต่อปลายแถว
เด็กๆมักสนุกสนานกับการมาต่อแถวซื้อโดนัทเสมอ
“ยืนดีๆ” มือใหญ่จับไหล่เล็กให้มายืนซ้อนอยู่ข้างหน้า
หัวสีดำสูงเลยเอวเขามาไม่เท่าไหร่ มือสองข้างจึงพาดไหล่เล็กบางเอาไว้
เจ้าลูกกระต่ายก็เอนหลังพิงเขาก่อนจะโยกตัวไปมาตามประสาเด็ก
สองมือเล็กยกขึ้นมาจับมือเขาไว้แล้วพูดอะไรเจื้อยแจ้วไปเรื่อย
อี้คุนวิ่งมายืนอยู่ข้างๆเขาจึงคว้าตัวลูกชายคนโตหลบให้พ้นถนน
ภาพสามพ่อลูกเวลามาต่อแถวซื้อโดนัทจึงเป็นอะไรที่น่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของชาวเมืองมาราเนลโล่เสมอ
เพราะเป็นที่รู้กันว่าโดนัทซึ่งทั้งสามคนมาต่อแถวซื้อนั้น
มันคือของที่เอาไปให้ผู้เป็นแม่
ไม่ได้ซื้อไปกินเองแต่เอาไปให้คนที่ตัวเองรักต่างหาก
ใครเห็นใครก็ยิ้มให้
ใครเห็นใครก็ทักทายอย่างเป็นกันเอง เขาจึงรู้สึกปลอดภัยที่จะให้ลูกๆของเขาได้เติบโตในเมืองนี้
“ปะป๊า เฟยแวะซื้อแยมสตอเบอรี่ด้วยดีไหม? ปะป๊าว่าโดนัทนมสดกินกับแยมจะอร่อยไหม?”
เจ้าลูกกระต่ายยังคงเจื้อยแจ้วเรื่องของกินต่อไป
“ปะป๊าสอนขับเข้าโค้งตัวเอสหน่อย ทำยังไงมันถึงจะไวกว่านี้อ่ะ?”
ส่วนเจ้าลูกสิงโตก็ลากเขาเข้าสนามแข่งในจินตนาการของตัวเอง
ถึงจะแค่เจ็ดขวบแต่อี้คุนก็ขับเป็นทั้งรถคาร์ทและมอเตอร์ไซค์รุ่นเล็ก
เริ่มลงแข่งในรุ่นอายุ7-10ขวบแล้วด้วย
ในขณะที่เขาจะหันไปสอนอี้คุน
เฟยเฟยก็รบเร้าให้เขาหันไปสนใจแยมสตอเบอรี่ แล้วเดี๋ยวอี้คุนก็จะลากเขากลับสนามต่อ เป็นอยู่อย่างงี้แหละ…
แต่เขากลับไม่เคยรำคาญทั้งยังพยายามจะอยู่กับลูกให้มากที่สุด
พยายามรับฟังและเข้าไปอยู่ในโลกเล็กๆใบนั้นด้วยกัน
เพราะชีวิตในวัยเด็กของเขา...เขาไม่เคยรู้จักกับความรู้สึกแบบนี้เลย
ไม่เคยได้เล่นกับพ่อ ไม่เคยเข้าหากัน
และเขาก็ไม่อยากให้ลูกของตัวเองได้รับความรู้สึกที่ห่างเหินแบบนั้น
ช่วงปิดเทอมฤดูหนาวเป็นช่วงที่เขามักจะใช้เวลาอยู่กับลูกๆแทบทั้งวันเพราะการแข่งขันจบลงแล้ว
แต่เจ้ากระต่ายยังคงต้องเข้าโรงงานของเฟอร์รารี่เพื่อทำรถแข่งของปีหน้า
ส่วนใหญ่ตอนกลางวันเขาจึงอยู่กับเจ้าเด็กแฝดตามลำพัง
มือใหญ่ปิดประตูห้องทำงานอย่างเงียบเชียบเพราะรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลานอนกลางวันของเจ้าลูกสิงโตกับเจ้าลูกกระต่าย
เขากำลังเช็ดหมวกกันน็อคแล้วน้ำยาทำความสะอาดก็หมดพอดี
เจ้าของแชมป์โลกรถจักรยานยนต์ทางเรียบของปีนี้จึงต้องค่อยๆย่องออกจากห้องเก็บคอลเลคชั่นหมวกเพื่อไปหยิบน้ำยาทำความสะอาดขวดใหม่
เขาเดินผ่านพรมหนานุ่มหน้าเตาผิงที่ซึ่งเด็กๆนอนหลับอยู่
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองภาพน่าเอ็นดูนั้นด้วยรอยยิ้ม
เจ้าลูกสิงโตนอนหงายเหยียดแขนเหยียดขาเต็มที่อย่างคนไม่กลัวอะไร
ส่วนเจ้าลูกกระต่ายก็นอนตะแคงขดตัวซุกอยู่ข้างๆ
แค่ลักษณะการนอนก็บ่งบอกนิสัยใจคอได้แล้ว
สองขาเดินต่อไป
เขาเจอน้ำยาทำความสะอาดขวดใหม่แต่ในขณะที่กำลังจะหยิบมันขึ้นมันก็ดันหลุดมือจนร่วงลงพื้นเสียงดัง
ตุ้บ!
เจ้าลูกกระต่ายสะดุ้งตื่นเด้งผึงขึ้นมานั่งมองไปรอบๆเหมือนกระต่ายตื่นตูม เขาจึงยืนนิ่งๆแอบดูว่าจะทำยังไงต่อ
ดวงตากลมโตเปิดแค่ครึ่งเดียวเหมือนคนที่ยังไม่ตื่นดีแต่ก็ระแวงเสียงที่ได้ยิน
ใบหน้ามนกวาดตามองแบบเบลอๆแล้วพอไม่เห็นอะไรเคลื่อนไหวก็ค่อยๆไหลลงไปนอนใหม่
ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาอย่างเอ็นดู
เขาเดินไปหยิบผ้าห่มแล้วเดินกลับมาใหม่
เจ้าลูกกระต่ายนอนตูดโด่งเอาหน้าลงพื้นในท่าทางน่าพิศวง
คงจะเพราะลุกขึ้นนั่งเมื่อกี้แล้วก็ไหลลงมานอนทั้งๆอย่างงั้น? เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะจับแขนขาผอมบางให้นอนดีๆแล้วค่อยกางผ้าห่มคลุมให้พร้อมกับอี้คุน
มือใหญ่ลูบหัวสีดำเบาๆพร้อมกับทอดสายตาที่เต็มไปด้วยความรักมองเด็กทั้งสองคน
มือย้ายไปลูบหัวอี้คุนด้วยก่อนจะกลับมาทำงานต่อ
มันอาจจะดูเป็นหนึ่งวันที่แสนธรรมดา
แต่มันกลับเป็นอีกหนึ่งวันที่มีค่าสำหรับเขามาก
ครอบครัวที่อบอุ่น
ความรักและสิ่งเล็กๆน้อยๆที่มอบให้แก่กัน ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
นอกจากชีวิตประจำวันแล้ว
บางครั้งเขาก็เลือกที่จะสร้างความทรงจำและเรื่องราวดีๆกับครอบครัวด้วยการไปเที่ยว
แคมปิ้ง ขับรถหรือไปไหนไกลๆด้วยกัน
จากที่เคยจองห้องสวีทในโรงแรมก็กลายเป็นต้องจองห้องแบบแฟมมิลี่ไป
ดวงตาคมกล้าทอดมองสถานที่แปลกใหม่ที่เพิ่งมาถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า
โซนที่อยู่เหนือ
Arctic
circle ของแต่ละประเทศในแถบสแกนดิเนเวียก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป
ในประเทศฟินแลนด์จะเรียกพื้นที่ที่อยู่บนละติจูดเหนือสุดนี้ว่าเขต Lap
Land
พระอาทิตย์เที่ยงคืน...กับวันที่ไม่มีทางตื่นจากความมืดมิด…
Midnight
Sun and Polar Night เราสามารถพบวันแบบนั้นได้ในเขตนี้
เขาใช้เวลาบินจากมิลานประเทศอิตาลีมาลงที่เฮลซิงกิเมืองหลวงของฟินแลนด์ก่อนจะต่อเครื่องมาที่เมืองโรวาเนียมิ(Rovaniemi)ในเขต Lap Land ถึง 6 ชั่วโมงกว่าๆ
แต่ก็ถือว่าเวลาที่เสียไปนั้นคุ้มค่ามากทีเดียวกับวิวทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้า
ทุกอย่างขาวโพลนไปหมด
หิมะที่ตกซ้อนทับกันเรื่อยๆเรื่อยๆทำให้ป่าสนถูกย้อมจนกลายเป็นดั่งภาพวาดในการ์ดคริสต์มาส
เหมือนรูปในส.ค.สที่จะมีคุณลุงซานต้ายืนอยู่หน้ากระท่อมและป่าสนสีขาวยาวสุดลูกหูลูกตา
อุณหภูมิตอนนี้คือ
-10
cํ และคงจะลดต่ำกว่านี้ในตอนกลางคืน
“อร๊าย~ หิมะ~~” เจ้าลูกกระต่ายที่ถูกจับใส่เสื้อและผ้าพันคอจนตัวกลมวิ่งด๊อกแด๊กๆก่อนจะชนแปะเข้ากับกองหิมะที่ถูกโกยไว้ข้างทาง
“เหมือนฟองสบู่ในอ่างอาบน้ำเลย” เจ้าลูกสิงโตตะกุยหิมะจนเป็นละอองใส่เจ้าลูกกระต่ายที่วิ่งหลบพร้อมกับส่งเสียงร้องวี๊ดว๊าย
ที่อิตาลีมีหิมะตกก็จริงแต่ไม่หนานุ่มขาวผ่องเท่านี้ เด็กๆจึงตื่นเต้นและชอบมันมาก
“ยังไม่ทันจะไปไหนเลย คลุกหิมะทั้งตัวแล้วเนี่ย” หม่าม้ากระต่ายหิ้วหูลูกกระต่ายของตัวเองออกมาจากกองหิมะที่สูงท่วมเข่า
สงสัยเขาคงต้องคอยดูดีๆ
เดินๆอยู่อาจจะโดนหิมะถมไปไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ได้เจ้าลูกกระต่ายนั่น
“มา จับมือปะป๊าไว้” เขาเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆในถุงมือเอาไว้
มืออีกข้างของเจ้าลูกกระต่ายจับมืออี้คุน
ส่วนมืออีกข้างของเจ้าลูกสิงโตก็จับมือจ้านเกอ พ่อแม่ลูก4คนกำลังเดินจากกระท่อมบ้านพักไปยังล็อบบี้ที่อยู่ตรงกลาง
โรวาเนียมิเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของฟินแลนด์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นเพียงเมืองเล็กๆในภูเขา
รีสอร์ทที่เขาเลือกพักเป็นรีสอร์ทแบบเปิด
จะมีล็อบบี้และส่วนเซอร์วิสต่างๆอยู่ตรงกลาง
ห้องพักมีลักษณะเป็นกระท่อมไม้ซุงแยกเป็นหลังใครหลังมัน
แล้วแต่ละหลังก็จะอยู่ห่างไกลกันมากทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง สามารถก่อกองไฟหรือทำอาหารกินเองได้
ขาสี่คู่หยุดอยู่ที่หน้าลานน้ำแข็งขนาดใหญ่
ที่นี่คือลานสเก็ต
ถึงแม้แม่น้ำและทะเลสาปแถวนี้จะแข็งไปหมดแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะทะเล่อทะล่าไปเล่นได้เสียเมื่อไหร่
เขาจึงพาลูกๆมาเล่นในที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้และมีความปลอดภัย
เจ้าเด็กแฝดเพิ่งเคยเล่นไอซ์สเก็ตเป็นครั้งแรก
หวังอี้คุนผู้ไม่เคยเกรงกลัวอะไรโดดเข้าใส่ทันที ค่อยๆเกาะรั้ว ค่อยๆทรงตัวได้เอง
ค่อยๆเดิน ค่อยๆออกวิ่งโดยที่เขาแทบไม่ต้องสอนอะไร
....ส่วนเจ้าอาหารหมีที่กอดเอวเขาอยู่นี่ก็ยังคงสมเป็นหวังเฟยเฟยไม่เคยเปลี่ยน!
“กอดเอวปะป๊าแน่นแบบนี้แล้วจะวิ่งได้ไหมล่ะ? จับที่มือปะป๊านี่”
หลังจากแหย่ขาจิ้มพื้นน้ำแข็งอยู่นาน
พอเขาลากลงมาก็เกาะเอวเขาไม่ยอมปล่อย
“ไม่เอา เฟยกลัว~”
“กลัวอะไรล่ะ ปะป๊าจับไว้ไม่ลื่นล้มหรอก” บทสนทนาคุ้นๆแหะ...
เขาได้แต่มองใบหน้าเล็กที่ส่ายไปมาอย่างปลงๆ
“ลื่น~ ล้มด้วย~” แขนเล็กยังไม่ยอมปล่อยเอวเขา
เล่นเอากว่าจะตะล่อมจนเจ้าตัววุ่นวายยอมจับมือเขาได้นี่ก็ปวดขมับยกใหญ่
ไม่กลัวอะไรบ้างเนี่ยชีวิตนี้? เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย
แน่นอนว่าเขาไม่หวังให้เจ้าคนเป็นแม่ที่ยืนเชียร์อยู่ริมลานสเก็ตช่วย
ขืนให้เจ้ากระต่ายลงมาอีกคนก็คงเหมือนเขามีลูกสามนั่นแหละ
“เหวอ~~” ขาเล็กสั่นพั่บๆๆ
เดี๋ยวสไลด์ไปข้างหน้า เดี๋ยวไถลไปข้างหลัง
เขาต้องจับมือเล็กทั้งสองข้างก่อนจะสเก็ตตัวเคลื่อนที่ไปช้าๆ
"ปะป๊าอย่าปล่อยมือเฟยนะ! ห้ามปล่อยเลยนะ!"
"ปะป๊าไม่ปล่อยหรอก ค่อยๆก้าวตามมา ไม่ต้องกลัว"
"กลัวอ่ะ~ ถ้าลื่นล้มจะไถลไปถึงไหนเนี่ย~ ต้องทะลุภูเขาไปโผล่ที่แปลกๆแน่เลย~" …...พลังในการจินตนาการเรื่องเหนือมนุษย์มนานี่ไม่มีใครเกินเลยจริงๆ
เขาจับมือเล็กโดยที่ตัวเองสเก็ตถอยหลัง
หลายต่อหลายรอบกว่าเจ้าลูกกระต่ายจะเริ่มทรงตัวได้ แต่ไม่ว่าจะลื่นไถลแค่ไหน
จะโอนไปเอนมายังไง อาเฟยก็ไม่ล้มเพราะมีมือที่แข็งแรงของพ่ออย่างเขาจับเอาไว้เสมอ
ถึงจะง๊อกๆแงกๆแต่ในที่สุดอาเฟยก็ค่อยๆทรงตัวได้เอง
ใบหน้าเล็กเริ่มสนุกไปกับการวิ่งบนลานน้ำแข็งอย่างเด็กทั่วไป
เขาจึงหันไปเรียกลูกชายคนโต
"อี้คุน ดูน้องที" เขาส่งมือเล็กของเจ้าลูกกระต่ายให้พี่ชายฝาแฝด
สองคนจึงวิ่งเล่นไปด้วยกัน
"พี่ก็ลงมาด้วยสิครับ" มือใหญ่เอื้อมมือไปหาคนที่ยืนทำหน้าเลิ่กลั่กอยู่ริมลานสเก็ต
"เอ๋? ชั้นเหรอ?" ในขณะที่เจ้ากระต่ายยังอึกๆอักๆ
ท่อนแขนแข็งแรงของเขาก็รวบเอวบางเข้าสีข้างแล้วดึงลงมายังลานน้ำแข็ง
เจ้ากระต่ายยังเล่นสเก็ตไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม
แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเพราะว่าแขนของเขาจะกอดเอาไว้เอง
“พี่นี่เล่นสเก็ตได้แย่กว่าอาเฟยอีกนะเนี่ย หึๆ” เขามองคนที่อยู่ในอ้อมแขนพร้อมเอ่ยแซว
“หงึ ก็คนเราไม่จำเป็นต้องมาวิ่งบนลานน้ำแข็งนี่ ทำไมชั้นจะต้องฝึกด้วย?”
เจ้ากระต่ายดื้อเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ครับๆ ถึงพี่จะเล่นไม่เป็นก็ไม่เป็นไรหรอก
เพราะสิ่งที่พี่ต่างจากอาเฟยก็คือ...พี่มีผมอยู่” เขายิ้มแก้มยกในขณะที่ก้มมองอีกฝ่าย
เจ้ากระต่ายอ้าปากพะงาบๆ
เขินจนหูแดงไปหมด มือบางทำได้แค่ทุบสีข้างเขาแก้เขิน
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องไปทั่วท้องน้ำแข็ง
สีขาวที่สะท้อนทุกอย่างกลับไปทำให้ทั่วทั้งลานกลายเป็นสีทอง
เงาร่างสองร่างที่ตระคองกอดกันค่อยๆหมุนวนไปทั่วลานน้ำแข็งเหมือนตุ๊กตาคู่รักที่อยู่บนกล่องดนตรี
ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองใบหน้าขาวซึ่งขึ้นสีแดงระเรื่อตามปลายจมูกและสองแก้มเมื่อโดนลมหนาว
เขาจ้องมองใบหน้าที่รักสุดหัวใจนั้นด้วยสายตาที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยมาเป็นสิบๆปี
“จ้านเกอ กอดเอวผมไว้นะ” เขาขยับเข้าไปกระซิบแผ่วเบา
สองมือที่เคยกอดเอวบางไว้ค่อยๆคลายออกทั้งๆที่ยังอยู่กลางลานน้ำแข็ง
“เอ๊ะ?” เจ้ากระต่ายทำท่าทางงุนงงก่อนที่แขนบางต้องรีบเป็นฝ่ายกอดเอวเขาแทนเพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้มลงไป
“.....”
เขายิ้มในขณะที่สองแขนค่อยๆกางออก
แสงสีทองที่สาดลงมาทำให้รอยยิ้มของเขาดูราวกับรอยยิ้มของเทพเจ้า
เงาจากสองแขนก็คล้ายกับปีกที่สยายออก
ดวงตากลมโตจ้องมองเขาไม่วางตา
เขาเองก็จ้องใบหน้าแสนรักนั้นกลับไปเช่นกัน
มือใหญ่ขยับมาประคองสองแก้มใสก่อนจะล็อคไว้ไม่ให้ขยับได้
ริมฝีปากจู่โจมกดจูบลงไปบนกลีบปากนุ่มโดยอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งตัว
ดวงตาคู่สวยจึงเบิกกว้าง
ไออุ่นจากลมหายใจที่ผสมผสานกันกลายเป็นควันสีขาว
ดวงตาที่เคยตื่นตระหนกค่อยๆหรี่ลงจนเขามองเห็นแพขนตาค่อยๆปิดละลงไปบนแก้มใส
หัวใจสองดวงยังคงเต้นกระหน่ำไม่ต่างไปจากวันแรกที่จูบกันเลย
พวกเราไม่ได้เป็นแค่คู่รัก
แต่นี่คือคู่ชีวิต
นี่คือความรักเพียงหนึ่งเดียวของกันและกัน...จากนี้และตลอดไป...
“อะไร?!!” จู่ๆมือเล็กของลูกสิงโตก็ปิดหมับลงไปบนดวงตาของแฝดผู้น้อง
“ไม่มีอะไร” มือลูกสิงโตลากมืออีกข้างของลูกกระต่ายให้สเก็ตออกไปห่างๆ
หวังอี้คุนยิ้มหน่ายๆที่มุมปาก ปะป๊าหม่าม้าของเขานี่ก็จริงๆเลยนะ
นึกจะหวานกันกลางลานสเก็ตงี้ก็ได้เหรอ? รู้จักอายลูกชายอย่างพวกเขาบ้างเถอะ…
“ไม่มีอะไรได้ไง? หมีเหรอ? หรือปีศาจน้ำแข็ง?
นายปิดตาชั้นแล้วชั้นจะวิ่งหนียังไงเนี่ย?” เจ้าลูกกระต่ายยังคงวิ่งตามมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
“เถอะน่า ยังไงนายก็วิ่งตามที่ชั้นจับมือนายอยู่แล้วนี่”
“งื้อ! อะไรของนายเนี่ย?” เจ้าลูกกระต่ายยังคงมึนงงต่อไป
ต้องขอบใจเขาเชียวนะที่ช่วยรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องในจิตใจของเด็กน้อยเอาไว้~
ฤดูหนาว
ที่ไหนในยุโรปก็มืดไวอยู่แล้ว ยิ่งเขต Lap Land ซึ่งใกล้จะถึงช่วง
Polar Night เวลากลางวันจึงยิ่งสั้นเต็มที
นี่เพิ่งจะบ่ายสี่โมงเย็นเองแต่รอบกายกลับมืดสลัว
เขาพาลูกๆกลับไปยังกระท่อมที่พัก
แต่เนื่องจากยังห่างไกลจากเวลานอนมาก
เขาจึงปล่อยเจ้าเด็กแฝดวิ่งเล่นหิมะกันอยู่ข้างนอก
เสียงกรี๊ดกร๊าดของเจ้าลูกกระต่ายยามเมื่อถูกพี่ชายวิ่งไล่จับดังคละเคลาไปกับเสียงผ่าฟืนของเขา
เป็นรีสอร์ทที่เป็นกันเองขนาดไหนก็คิดดูแล้วกัน
แขกสามารถเรียนรู้วิถีชีวิตด้วยการผ่าฟืนเองเนี่ย
ตุบ
ฟืนถูกผ่าเป็นสองซีกก่อนจะหล่นลงไปบนหิมะ
มือใหญ่วางขวานพิงไว้กับท่อนไม้ก่อนจะหยิบฟืนที่ผ่าไว้ขึ้นมาแล้วเดินเข้าบ้าน
“อย่าวิ่งไปไหนไกลจากบ้านนะอี้คุน เฟยเฟย” ลูกสิงโตกับลูกกระต่ายเปลี่ยนมาเล่นปาหิมะกัน
ไม่รู้ทำอิท่าไหนเจ้าแฝดน้องถึงได้ละอองหิมะติดเต็มหัวเต็มตัวแบบนั้น
สู้เค้าสิเจ้าอาหารหมี
“คร้าบ~” สองคนหันมาขานรับก่อนจะหันไปวิ่งเล่นกันต่อ
เสียงเจี๊ยวจ๊าวทำให้เขารู้ว่าเด็กๆยังอยู่ใกล้ๆถึงแม้ว่าเขาจะเดินเข้าบ้านมาแล้ว
ฟืนถูกวางเรียงไว้ในเตาผิง
น่าจะพอสร้างความอบอุ่นสำหรับค่ำคืนนี้ เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะตบมือไล่ฝุ่น
ได้ยินเสียงน้ำเดือดปุดๆกับกลิ่นหอมของสตูว์เนื้อลอยมาจากส่วนที่เป็นเคาน์เตอร์ครัว
เจ้ากระต่ายยืนทำอาหารเย็นอยู่ตรงนั้น
“หอมจัง” ท่อนแขนแข็งแรงสวมกอดเอวบางจากทางด้านหลัง
เขาสูดกลิ่นอาหารผ่านซอกคอระหงก่อนจะพลิกใบหน้ามาจูบลำคอนั่นเบาๆในชั่ววินาที
“เดี๋ยวก็ฟาดด้วยทัพพีเลย” เจ้ากระต่ายแยกเขี้ยวขู่
“ผมก็อยากอ้อนพี่บ้าง” เสียงสองสามสี่ถูกใช้ออกไป
เขายังไม่ละไปไหน คางยังคงเกยไว้บนไหล่บาง
เจ้ากระต่ายก็ไม่ได้ขัดขืนซ้ำยังยืนให้เขากอดแต่โดยดี
“ตัวนายเย็นมากเลย ผ่าฟืนเสร็จแล้วเหรอ?” เขากอดร่างโปร่งบางทั้งเสื้อโค้ท
ผิวอุ่นๆจึงสัมผัสกับความเย็นที่ติดตามตัวเขาโดยตรง
“ขอโทษครับ หนาวไหม?”
“ไม่หนาวหรอก นายนั่นแหละ รีบไปทำให้ตัวอุ่นๆสิ”
“กอดพี่ได้ไหม”
“ไปผิงไฟไม่ดีกว่ารึไง? กอดชั้นกว่าจะอุ่น”
“ไม่เอาอ่ะ อยากกอดพี่”
“ตามใจ”
“อยากจูบพี่ด้วย”
“เดี๋ยวเถอะ” เขาหัวเราะเบาๆ
ผู้ชายเวลาที่อยู่กับคนรักก็จะเป็นเหมือนเด็กแบบนี้แหละ อยากอ้อนอยากเอาใจอยากวอแว
เขาจึงยังกอดอีกฝ่ายต่อไป
“หม่าม้า หิวแล้ว~” จนกระทั่งเสียงใสดังขัดจังหวะ
ประตูถูกเปิดผลัวะเขาจึงหันไปมองเจ้าเด็กแฝดทั้งที่ยังไม่ปล่อยเอวบาง สองคนก็คุ้นเคยกับความสวีทของพวกเขาดีจึงไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร
เจ้าลูกสิงโตหันไปช่วยเจ้าลูกกระต่ายปัดปุยหิมะออกจากตัวด้วยความเคยชินกับภาพตรงหน้า
“พาลูกไปอาบน้ำสิ” จนเจ้ากระต่ายต้องกระทุ้งสีข้างนั่นแหละปลิงตัวใหญ่อย่างเขาถึงจะยอมถอยออกมา
เขาพาฝาแฝดไปอาบน้ำ
จากนั้นก็กินข้าวด้วยกัน นั่งดูรายการทีวีท้องถิ่นด้วยกัน
จนเจ้าลูกสิงโตกับลูกกระต่ายหลับพับไปคาตัก เล่นทั้งวันคงจะเหนื่อยสินะ
“ผมพาลูกไปนอนก่อนนะ” แขนแข็งแรงอุ้มลูกชายขึ้นทีละคน
ในบ้านสไตล์คอทเทจหลังนี้มีสองห้องนอน
เขาจึงอุ้มเด็กๆไปนอนด้วยกันในห้องเล็ก กว่าจะห่มผ้าให้ ปิดไฟ
เจ้าคนที่นั่งดูทีวีก็ไม่อยู่แล้ว
เขาเปิดเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
เจ้ากระต่ายเตรียมห่มผ้าปิดตาเรียบร้อย เดี๋ยวสิ จะทิ้งกันไปงี้เลยเหรอ?
“จ้านเกอ….” ร่างสูงสง่าโถมทับลงไปบนคนที่นอนห่มผ้าจนถึงคอ
เขาเลี้ยงลูกมาทั้งวัน ให้รางวัลเขาหน่อยสิ~
“......”
เจ้ากระต่ายยังคงตีเนียนทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าเขาต้องการอะไร
ดวงคู่สวยหลับพริ้มจนเขายิ้มกระตุก กล้าท้าทายเจ้าป่า...ต้องทำให้สำนึกบ้างแล้วววว
มือใหญ่ตลบผ้าห่มออกไป
แขนขาคร่อมทับกักขังร่างโปร่งบางเอาไว้ เจ้ากระต่ายยังแกล้งหลับนิ่ง
ลมหายใจร้อนจึงถูกเป่าทักทายลำคอระหงหนึ่งที
เขาบรรจงกดริมฝีปากลงไปบนผิวเนื้อนุ่มใต้กกหู
จูบเม้มย้ำๆจนไหล่บางสะดุ้งน้อยๆ เขาจูบซ้ำย้ำน้ำหนักลงไปบนลำคอขาว
จากตรงนี้ไล่ไปตรงนั้น จูบจนเจ้าคนแกล้งหลับเริ่มจะแกล้งหลับต่อไปไม่ไหว
ปลายเท้ากระต่ายเริ่มขยุกขยิกเหยียดยืดเสียดสีกับผ้าปูเตียงจนเกิดเสียงสวบสาบ
เขายิ้มทั้งๆที่ยังจูบลำคออุ่น
เขารู้ว่ากำแพงที่พยายามจะสร้างมาป้องกันเขากำลังจะแตกพ่าย
เขาจึงเร่งเร้ามันด้วยการแล่บลิ้นเลียลำคอระหงเหมือนแมวเลีย
“อ๊ะ ฮะฮะ” เจ้ากระต่ายหลุดหัวเราะเมื่อรู้สึกจั๊กจี้
มือที่เคยวางสงบบนหน้าอกยกขึ้นมากอดคอเขาอย่างยอมแพ้
ในที่สุดดวงตากลมโตก็ยอมเปิดขึ้นมาจนได้
“อี้ป๋อเดี๋ยวก่อน~ ฮะฮะ” เสียงนุ่มร้องห้ามทั้งเสียงหัวเราะเมื่อเขายังแล่บลิ้นเลียต่อ
มือบางยันตัวเขาออกก่อนจะจ้องตาพร้อมยิงคำถามใส่
“ถุงยางล่ะ?” เมื่อไม่นานมานี้เจ้ากระต่ายได้ตั้งกฎไว้ว่าถ้าจะทำนอกสถานที่ที่ไม่ใช่ที่บ้าน
จะต้องใช้ถุงยางอนามัยด้วย
เพราะวันหนึ่งตอนไปพักที่โรงแรมในต่างประเทศด้วยกันแล้วเจ้ากระต่ายดันตื่นขึ้นมากลางดึก
หลังจากพบสภาพห้องสภาพเตียงก่อนที่เขาจะได้เก็บกวาดทำความสะอาดเหมือนทุกที
ก็ถึงขั้นช็อคจนต้องตั้งกฎพวกนี้ขึ้นมา
“ลืมครับ...” เขาทำหน้าหมาหงอยอ้อน
“นายนี่มัน…ตั้งใจจะเนียนใช่ไหม?” บ่นไปมือก็ฟาดต้นแขนเขาไป
“แต่ชั้นก็คิดเอาไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ลุกไปหยิบเลย
อยู่ที่ซิปในกระเป๋าเดินทาง” เขาได้แต่ยิ้มแห้งหัวเราะแหะๆ
เตรียมมาเองด้วยแหะ
เขาลุกไปหยิบอย่างช่วยไม่ได้
อะไรเนี่ย?
ดูเร็กซ์ สมูท? สัมผัสมันก็นุ่มนวลดีอยู่หรอกนะ
แต่เขารู้ว่าทำไมเจ้ากระต่ายถึงเลือกถุงยางรุ่นนี้มา
นั่นก็เพราะว่าในกล่องมันมีแค่สองชิ้นเองน่ะสิ!
เป็นแบบที่มีปริมาณน้อยที่สุดแล้วถ้าเทียบกับแบบอื่นๆ!
คิดจะจำกัดแค่สองรอบสินะ? ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งรู้ทันเขาไปเสียหมดจริงๆ!
ริมฝีปากคาบปลายข้างหนึ่งของซองสี่เหลี่ยมเอาไว้
ใบหน้าหล่อเหลาชายตามองคนที่นอนอยู่กลางเตียงด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
มือใหญ่ฉีกซองก่อนจะสวมใส่มันเข้าไป ของเขาน่ะพร้อมตั้งแต่เดินเข้าห้องมาแล้ว
“อ้า~” ริมฝีปากสีระเรื่อครางเบาๆเมื่อท่อนแขนแข็งแรงของเขาเอื้อมโอบรอบเอวบางแล้วดึงร่างโปร่งขึ้นมานั่งบนหน้าตัก
ความเป็นชายสอดใส่เข้าไปในช่องทางด้านหลังอย่างคุ้นชิน
สารหล่อลื่นที่ถุงยางช่วยให้ทุกอย่างสมูท~สมชื่อ
“อื้อ~” แต่ขนาดของเขาก็สร้างความลำบากจนเจ้ากระต่ายมักจะขยับตัวยากทุกครั้งหลังจากที่เพิ่งแทรกกายเข้าไป
ร่างโปร่งที่สั่นอย่างเสียวกระสันน้อยๆทิ้งน้ำหนักเอนซบโอบกอดเขาไว้
“ฮ้า…..” เขาเงยหน้ามองคนที่นั่งคร่อมอยู่ข้างบนพลางหอบหายใจ
ข้างในเริ่มบีบรัดราวกับกำลังสรวจสิ่งแปลกปลอม
เขาถึงกับต้องกลืนน้ำลายอย่างพยายามข่มสัญชาตญาณดิบไม่ให้จับสะโพกมนนั่นสับลงมาตามแต่ใจ
เขาต้องข่มใจรอให้เจ้ากระต่ายพร้อมก่อน
ริมฝีปากเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งจุมพิตแสนหวาน
ปลายลิ้นไล้เลียริมฝีปากอิ่มราวกับกำลังขออนุญาติ
และเมื่อมันยอมเปิดออกเพียงเล็กน้อย เขาก็สอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากหวานๆนั่นทันที
เสียงจูบดังจุ๊บๆตามจังหวะที่เรียวลิ้นแลกกันอย่างลุ่มหลง
เขากอดแผ่นหลังบางพลางสอดมือเข้าไปในเสื้อนอนฮู้ดตัวใหญ่
เจ้ากระต่ายเองก็กอดหัวเขาพร้อมกับสอดนิ้วเขามาในกลุ่มผมสีน้ำตาลอย่างนุ่มนวล
มือใหญ่ถอดเสื้อฮู้ดหูกระต่ายออกทางหัวโดยริมฝีปากยังพัวพันไม่ห่าง ร่างกายที่นั่งคร่อมอยู่บนหน้าตักจึงเปลือยเปล่า มือบางเองก็ละจากหัวเขามาดึงชายเสื้อยืดสีดำขึ้นไปเหมือนกัน ไม่นานมันก็ถูกโยนไว้ที่ไหนสักแห่งในห้อง
“อื้อ~ อื้ม~” เขาเริ่มจับสะโพกมนโยกไปมา
สิ่งที่ค้างคาอยู่ข้างในเสียดสีกับผนังร้อนเรียกความเสียวซ่านให้พลุ่งพล่านอยู่ในท้องน้อย
ริมฝีปากละมากดจูบอยู่ที่ต้นคอระหง บัดนี้ต่างฝ่ายต่างเปลือยเปล่า
ผิวเนื้อที่เริ่มมีเหงื่อซึมน้อยๆจึงบดเบียดเข้าหากัน
เขาใช้กล้ามแผงอกแข็งๆบดขยี้เม็ดเชอร์รี่สีแดงที่แผ่นอกบาง
ทุกจังหวะขยับโยกสอดประสานรู้งานกันเป็นอย่างดี
“อะ อ้า…” ใบหน้ามนสะบัดเงยหน้าในขณะที่เปล่งเสียงครางเครืออยู่ข้างหูเขา
แรงกระตุ้นเร้าจากริมฝีปากที่ขบกัดไปทั่วลำคอ
ลาดไหล่และไหปลาร้าทำให้ความรู้สึกดีล้นปรี่ออกมา
อ้อมแขนบางกอดยึดแผ่นหลังของเขาเอาไว้มั่นเมื่อมือใหญ่เริ่มขยับสะโพกมนถี่ขึ้น
เขาเป็นประเภทดุดันเพราะงั้นทุกครั้งจึงออกสุดและกดลงมาสุดเช่นเดียวกัน ถึงแม้เจ้ากระต่ายจะเป็นฝ่ายอยู่บนแต่คนที่คุมเกมคือเขา
“อ๊ะ อี้ป๋อ~” อ้อมแขนบางกอดคอเขาแน่นเมื่อแกนกายที่อยู่ภายในกระแทกโดนจุดไวสัมผัสจุดหนึ่งเข้า
ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าเจ้ากระต่ายจะร้องครางแทบขาดใจตายแค่ไหนเมื่อเขาไปแตะต้องมัน
“อี้ป๋อ อ๊า~” ใบหน้ามนซุกลงมาที่ซอกคอเขาอย่างทนไม่ไหวเมื่อมือใหญ่จงใจขยับสะโพกมนให้ความเป็นชายเสียดสีโดนจุดนั้นถี่ๆขึ้น
เขาเองก็ต้องกัดฟันเพราะแรงบีบรัดอันร้ายกาจนั่น
“ไม่ไหวแล้ว...อ๊ะ...จะออกแล้ว…” เจ้ากระต่ายครางด้วยลมหายใจหอบกระชั้น
พวกเราแลกจูบอย่างมัวเมากันอีกรอบก่อนที่มือใหญ่ดึงกายบางออกจนสุดแล้วกระแทกกลับเข้ามารวดเดียว
“อ๊า~!!” เสียงครางสูงดังพร้อมกับน้ำอุ่นๆสีขาวขุ่นสาดกระเซ็นเต็มหน้าท้องเขา
ร่างกายที่กอดกันแน่นแข็งเกร็งกระตุกเบาๆ
ต่างฝ่ายต่างถึงจุดสูงสุดและปลดปล่อยใส่กันและกัน
เจ้ากระต่ายถูกดึงขึ้นจากความเป็นชายของเขาทั้งๆที่ยังอยู่ในภวังค์
เขาปล่อยใบหน้าเปล่งปลั่งนั่นลงไปนอนหอบอยู่บนพื้นเตียงเพราะเขาต้องจัดการตัวเองก่อน
มือรูดถุงยางที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่นร้อนอยู่ภายใน
เขามัดแล้วโยนมันไว้สักที่บนเตียงก่อนจะหยิบซองใหม่ออกมาจากกล่อง
“เอ๊ะ?” หัวสีดำผงกขึ้นมาดูด้วยดวงตาลอยๆเมื่อช่องทางที่เพิ่งจะว่างเว้นไปถูกความใหญ่โตเติมเต็มกลับมาในไม่ถึงนาที
ร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสไลด์ตัวลงไปกดคร่อมร่างโปร่งที่นอนหมดแรงอยู่บนเตียงไว้
รอบใหม่กำลังจะเริ่มในไม่กี่อึดใจ
“เดี๋ยว อื้อ~” มือบางพยายามผลักหัวสีน้ำตาลที่ก้มลงไปซุกไซร้ที่ลำคอออก
แต่แรงกระต่ายยังไงก็สู้สิงโตหิวโหยไม่ได้
เขากดจูบปลุกปั่นสันคอไล่ลงมาจนถึงหน้าอก
“อี้ป๋อ อ้ะ~” ปลายลิ้นร้อนแลบเลียยอดอกชูชันก่อนจะดูดกลืนมันเข้าไปในปาก
ไม่ว่าจะส่วนไหนในร่างกายนี้ก็รสชาติดีไปเสียหมด แล้วจะให้เขาอดใจไม่กินได้ไง
ร่างโปร่งบางสั่นสะท้านด้วยความเสียวซ่าน
เบื้องล่างเริ่มขยับโยกต่อเพลงรักบทที่สองทันที
เขาใช้ปลายลิ้นหยอกเย้าเจ้าเม็ดเชอร์รี่จนแดงจัด
มือบางยกขึ้นไปปิดปากอย่างทนไม่ไหว ร่างกายบิดเร่าๆรับความสุขสมถึงใจที่เขามอบให้
แกนกายสอดใส่ไม่หยุด สองขาเรียวขาวทำได้แค่อ้ากว้างให้เขาแนบชิดมากยิ่งขึ้น
เตียงไม้ส่งเสียงเอี๊ยดๆคละเคล้าไปกับเสียงคราง
ถึงแม้เบื้องล่างจะรุกไล่รุนแรง แต่ข้างบนกลับหวานละมุน
ริมฝีปากจูบกันอย่างเร่าร้อนแต่ก็อ่อนโยน
อ้อมแขนต่างกอดก่ายจนผิวกายแทบจะหลอมรวมกัน
จังหวะรักดำเนินต่อไปอีกหลายสิบนาทีกว่าที่เสียงครางไม่ได้สรรพจะหยุดลงพร้อมกับความต้องการทั้งหมดทั้งมวลที่มอบให้แก่กัน
ร่างโปร่งบางนอนหมดแรี่ยวหมดแรงอยู่บนเตียงในขณะที่ดวงตาก็ทอดมองกองกระดาษทิชชูที่ถูกทิ้งเกลื่อนกลาดโดยฝีมือของหวังอี้ป๋อ
ชั่ววินาทีนั้นวิศวกรหัวกะทิของเฟอร์รารี่ตั้งใจจะปิดตาลงเพราะคิดว่าคืนนี้คงจบลงแล้ว
แต่เขาประมาทหวังอี้ป๋อเกินไป...
สิงโตที่พละกำลังเหลือเฟือยังไงมันก็ยังเป็นสิงโตวันยังค่ำ
เสียงกรอบแกรบทำให้ดวงตาคู่โตเปิดขึ้นมองอย่างสงสัย
ทันได้เห็นมือใหญ่เหวี่ยงถุงพลาสติกใส่อะไรบางอย่างทิ้งลงพื้นไป
“....?”
แล้วไม่นานทุกความสงสัยก็ไขกระจ่าง เมื่อกล่องสีดำเล็กๆของดูเร็กซ์
ดูอัล เพลย์เชอร์ สองกล่องถูกวางลงข้างๆหมอน
ห๊ะ? เดี๋ยวนะ?
ทำไมมีกล่องถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้นมาได้ล่ะ? เขาไม่ได้ซื้อมา?
ถ้างั้นก็หมายความว่า...
“หวังอี้ป๋อ...ไหนว่าลืมไง?” คนที่คิดว่าจะได้นอนแล้วผงะไปเมื่อนึกถึงปริมาณของในกล่อง
“ที่บอกว่าลืมน่ะ ไม่ใช่ว่าลืมเอามาครับ แต่ลืมว่าซุกไว้ตรงไหนต่างหาก”
แล้วตอนนี้เนี่ยยย ก็เกิดจำได้ขึ้นมากะทันหันเลยแหละ~~
ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแก้มยกให้คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าหลงกลเข้าไปเต็มๆ
“เจ้าหมาป่าเจ้าเล่ห์!” มือกระต่ายฟาดเขาผลั๊วะๆ
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจแรงตีที่ไม่แสบไม่ร้อนอะไรนั่นแล้วหันไปจัดการถุงยางอนามัยกล่องใหม่แทน
“อื้อ~” ฝ่ามือดึงต้นขาขาวเข้ามาก่อนจะสอดใส่กลับเข้าไปรวดเดียว
ใบหน้ามนถึงกับกัดฟัน ขมวดคิ้ว แล้วแยกเขี้ยวให้เขา
“อ๊า!” เขาไม่รอให้อีกฝ่ายได้บ่นอะไรแต่เริ่มขยับกายรอบใหม่ทันที
ปิดริมฝีปากแดงช้ำนั้นด้วยเสียงครางอย่างไม่ปล่อยให้หยุดพัก
เขาคงจะเสพติดร่างกายของเจ้ากระต่ายขนาดหนัก
กินเท่าไหร่ถึงไม่เคยพอ...
ภาพสุดท้ายก่อนที่สติของเซียวจ้านจะออกจากร่างก็คือหัวสีน้ำตาลซึ่งยังซุกไซร้อยู่ที่ลำคอ...กับซองถุงยางอนามัยที่เกลื่อนเต็มเตียง…
คงไม่ได้ใช้หมดสามกล่องหรอกนะ
เจ้าสิงโตนี่!
มืออยากจะยกมาฟาดสักทีแต่เขาก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว
ดวงตากลมโตจึงค่อยๆปิดลงไปพร้อมกับค่ำคืนที่แสนยาวนาน
ดวงตาคู่โตกระพริบปริบๆท่ามกลางแสงสว่างที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา
เสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลปลุกให้เขาตื่นเหมือนทุกที
เจ็ดแปดปีหลังมานี้ก็เป็นแบบนี้ตลอด…
ร่างโปร่งบางค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียงที่เต็มไปด้วยร่องรอยการร่วมรักที่ดุเดือด
ใบหน้ามนเบะปากใส่หมอนว่างเปล่าที่วางอยู่ข้างๆอย่างหมั่นไส้
ทำแบบนั้นกับเขาทั้งคืนแล้วยังจะตื่นเช้าไปเล่นกับลูกได้อีกนะ
เอาแรงมาจากไหนนักเนี่ย?!
นักออกแบบรถมือหนึ่งแห่งวงการฟอร์มูล่าวันค่อยๆขยับร่างกายที่เมื่อยล้าไปที่ขอบเตียง
หยิบเสื้อผ้าที่ถูกพาดไว้ให้ที่เก้าอี้มาสวมใส่
อี้ป๋อมักจะตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปดูลูกๆแทนเขาเสมอ เขาจึงไม่ต้องรีบเร่งลุกจากเตียงเท่าไหร่
เมื่อฝ่าเท้าแตะลงที่พื้นไม้ขนทั่วร่างก็ลุกพรึ่บ “หนาวๆๆ” เสียงนุ่มบ่นเบาๆก่อนจะรีบหยิบผ้าคลุมผืนหนามาห่มไหล่เอาไว้
เสียงโหวกเหวกดังมาจากหน้าบ้าน สงสัยเจ้าเด็กแฝดคงจะออกไปเล่นหิมะกันแล้วละมัง
แอ๊ด…
ประตูห้องนอนถูกเปิดออกแต่ในบ้านกลับไม่มีใครอยู่
อี้ป๋อคงออกไปอยู่กับลูกด้วย พวกเขามีลูกกระต่ายที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงในหลายๆเรื่อง
อี้ป๋อเลยไม่เคยปล่อยให้เด็กๆคลาดสายตา
มือบางเปิดประตูหน้าบ้านออกไป
สิ่งแรกที่เข้ามาทักทายก็คือความหนาวเย็น จากนั้นเขาจึงมองเห็นหิมะที่ขาวโพลน…
แต่ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลนเหล่านั้น
กลับมีสิ่งที่เด่นสะดุดตาลอยออกมา
มันคือตุ๊กตาหิมะสี่ตัว
เป็นตุ๊กตาหิมะพ่อแม่ลูก…
อี้คุน
เฟยเฟย แล้วก็อี้ป๋อ กำลังช่วยกันปั้นครอบครัวตุ๊กตาสีขาวพวกนั้นขึ้นมา
เขาเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว…
เพราะมีความสุขก็เลยยิ้ม...
เป็นเรื่องง่ายๆที่ใครก็เข้าใจ
“หม่าม้า!” เจ้าลูกกระต่ายหันมาส่งเสียงเรียกเขาเป็นคนแรก
“หม่าม้าตื่นแล้ว พวกเรากำลังปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่เลย” เจ้าลูกสิงโตหันมายิ้มสดใส
“ที่นี่มีหิมะเต็มเลย ก็เลยปั้นตัวใหญ่ๆได้” เจ้าลูกสิงโตกางแขนกว้างในขณะที่พูด
จริงสิ เจ้าตุ๊กตาหิมะสี่ตัวนี้ใหญ่กว่าที่พวกเขาเคยปั้นที่อิตาลีมาก
“นี่ปะป๊านะ นี่หม่าหม้า นี่อี้คุน แล้วก็นี่เฟยเฟย หม่าม้า!
หม่าม้าก็มาปั้นด้วยกันสิ!” เจ้าลูกกระต่ายกระโดดตัวกลมเข้ามาลากแขนเขาออกไป
“ผ้าพันคอลากพื้นแล้วเราเนี่ย” เขานั่งลงไปจับผ้าพันคอพันให้เจ้าลูกกระต่ายใหม่
ใบหน้าเล็กยิ้มให้เขาอย่างน่ารัก
“ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียงทุ้มของหวังอี้ป๋อเอ่ยทักเขาจึงพยักหน้าให้
เขายืนมองสามพ่อลูกปั้นตุ๊กตาหิมะด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวต่อไป
เจ้าลูกกระต่ายช่างเจรจามาก บ้านเขาถึงไม่เคยเงียบเหงา
ดวงตากลมโตทอดมองหวังอี้ป๋อเล่นกับลูกด้วยรอยยิ้ม
แรกๆเขาก็กังวลนะว่าอี้ป๋อจะเข้ากับเด็กได้หรือเปล่า เพราะอี้ป๋อเป็นพวกไม่สนใจใคร
อารมณ์ร้อน แถมยังพูดน้อยอีก แต่พอได้อยู่กับลูกจริงๆกลับใจเย็นลงมาก
คอยดูแลเอาใจใส่เด็กๆ มีความอดทนค่อยๆสอนเรื่องต่างๆให้ลูกที่ยังซนบ้าง ดื้อบ้าง
งอแงบ้าง
เขาคิดไม่ผิดจริงๆที่รักผู้ชายคนนี้
ผู้ชายที่ดูแลครอบครัวของเราได้
“ถ่ายรูปแล้วส่งให้ปะป๊าหม่าม้าดูด้วยสิ” เขาเอ่ยออกไปเมื่อเห็นอี้ป๋อถ่ายรูปครอบครัวตุ๊กตาหิมะโดยมีเจ้าเด็กแฝดยืนชูสองนิ้วอยู่ข้างๆ
“ไว้จะกลับค่อยส่งให้ดู ขืนส่งตอนนี้เดี๋ยวได้ตามมาหมดบ้านอ่ะ”
เขาหัวเราะกับความหวังอี้ป๋อ แต่พ่อแม่เขา พ่อแม่อี้ป๋อ
แล้วก็หลานชายอย่างหวังอี้หยางนี่ก็จริงๆเลยเหมือนกัน พวกเขาไปไหนไม่ได้
ถ้ารู้นี่มีแอบตามไปตลอด
วันนี้ที่รีสอร์ทมีกิจกรรมหลายอย่างให้เลือกทำ
แต่ยังไม่ถึงคริสต์มาสพวกเขาเลยยังไม่ไปบ้านคุณลุงซานตาครอส การขี่สโนว์โมบิลก็ดูจะเร็วไปสำหรับครอบครัวลูกเล็กอย่างพวกเขา
เพราะงั้นกิจกรรมน่ารักแสนชิลที่พวกเขาเลือกก็เลยเป็นการไปนั่งสุนัขลากเลื่อนหิมะกัน
“น้องหมา~” เจ้าลูกกระต่ายถลาเข้าหาไซบีเรียนฮัสกี้ฝูงใหญ่
แต่ละตัวหน้าตาหล่อเหลาสมเป็นหมาที่หล่อที่สุดในโลกจริงๆ
หวังอี้ป๋อปล่อยเด็กๆเข้าไปเล่นและทำความรู้จักกับสุนัขตัวใหญ่พวกนั้น ดวงตาคมกล้าหันไปมองสำรวจเลื่อน มันดูแข็งแรงและน่าจะปลอดภัยดี
เจ้าลูกกระต่ายดูท่าทางจะชอบมาก
กอดหมาใหญ่พวกนั้นไม่ปล่อยแถมยังหันมาอ้อนผู้เป็นพ่อ
“เฟยอยากเลี้ยงบ้างจังเลย~ อยากมีน้องหมาแบบนี้ซักฝูงนึงจังเลย~”
พอเลย~~ สุดท้ายแล้วคนที่ต้องคอยดูแลมันก็เขาทั้งนั้น~
ดูได้จากเจ้าหมีแพนด้ากับปลาเทราส์ยักษ์ที่บ้านไง
“ปะป๊าดูสิ~ น้องหมาน่ารักเน้อ~ ตัวใหญ่กอดได้ด้วย~ เนี่ยอุ๊นอุ่น~”
ถึงจะเอ็นดูภาพตรงหน้าแต่ก็ต้องตัดใจ
“บ้านเราที่แคบ เลี้ยงไม่ได้หรอก
ถ้าฝูงขนาดนี้ต้องหาที่ให้พวกมันวิ่งเล่นด้วย” ไซบีเรียนฮัสกี้เป็นหมาพลังงานเยอะ
อย่างเจ้าลูกกระต่ายคงพาหมาไปวิ่งไม่ไหวแน่ น่าจะโดนหมาลากไปมากกว่า อันตรายๆ
“งื้อ…” เจ้าลูกกระต่ายทำหน้าหงอยแต่ก็ไม่ได้ขอว่าจะเลี้ยงแค่ตัวเดียวก็ได้เสียด้วยนะ
นี่กะจะเลี้ยงทั้งฝูงจริงๆเร๊อะ?!
“ลูกลองบอกพี่อี้หยางดูสิ เลี้ยงไว้ที่แคนาดาได้ไหม” เท่าที่เขารู้ เหมือนเจ้าเด็กนั่นจะซื้อภูเขาในแวนคูเวอร์เอาไว้ลูกนึงนะ?
“จริงเหรอ?” เจ้าลูกกระต่ายดวงตาเป็นประกาย
เขาก็ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้อาเฟยจะลืมแล้วนะ ไม่งั้นจะหาว่าเขาโบ่ยงานให้เจ้าหลานชายไม่ได้นะ
แต่ไซบีเรียนฮัสกี้มันเหมาะกับที่อากาศหนาวๆอย่างแคนาดามากกว่าไง…
“มาขึ้นเลื่อนเถอะ พี่เค้ารอแล้ว” เขาหันไปค่อมหัวให้เจ้าหน้าที่ที่ยืนมองยิ้มๆอย่างเกรงใจ
เลื่อนไม่ได้อันใหญ่จึงนั่งได้แค่สองคน เขาจึงให้อี้คุนไปกับจ้านเกอ
ส่วนเจ้าตัววุ่นวายนี่อยู่กับเขาแทน
เจ้าลูกกระต่ายเดินมานั่งตักเขาอย่างว่าง่าย
เลื่อนค่อยๆขยับออกไปโดยแรงลากของหมากว่าสิบตัว
สำหรับเขาความเร็วแค่นี้ไม่ถือว่าตื่นเต้นอะไร
แต่เจ้าลูกกระต่ายกลับวี๊ดว๊ายตลอดทาง ใบหน้าเล็กดูสนุกสนานกับการได้นั่งเลื่อนฝ่าหิมะ
ทิวทัศน์ข้างทางก็สวยงามจับใจ ได้มาผจญภัยเล็กๆกับลูกแบบนี้ก็สนุกดี
เลื่อนถูกลากไปตามทางที่เป็นหิมะ
เจ้าฝูงหมาไฮเปอร์ข้างหน้ายังคงวิ่งกันด้วยท่าทางกระตือรือล้น
เดี๋ยวพาพวกเขาขึ้นเดินบ้าง ลงเนินบ้าง วิ่งไกลออกไปหลายต่อหลายกิโล
จนในที่สุดก็หยุดลงที่ลานหิมะแห่งหนึ่งบนยอดเขา ตรงนี้น่าจะเป็นจุดพัก?
เขาก้าวขาลงจากเลื่อนก่อนจะมองสำรวจไปรอบๆ
นี่ไม่ใช่แค่จุดพักธรรมดาแต่ยังเป็นจุดชมวิวอีกด้วย
ภาพหุบเขาสีขาวราวกับอยู่ในดินแดนของเอลฟ์ทำให้ดวงตาของเขาถึงกับเบิกกว้าง
“สวยจัง…” เป็นเสียงนุ่มของเจ้ากระต่ายที่เอ่ยอยู่ข้างๆ
ใบหน้ามนนิ่งค้างไปไม่ต่างจากเขาเลย
มือบางยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายภาพต้นสนและหุบเขาหิมะที่แสนงดงามนั่น
ส่วนเขาก็ไม่พ้นหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายอีกฝ่ายอีกที...ไอจีของหวังอี้ป๋อยังคงมีแต่รูปของเซียวจ้านไม่เคยเปลี่ยน
พวกเขาใช้เวลากลางวันอันแสนสั้นหมดไปกับฝูงหมาบ้าพลังพวกนั้น
แต่แต่ละที่ที่พวกมันพาเขาไปก็สวยจับใจเลยจริงๆ
นอกจากนี้เด็กๆยังดูจะชอบมากอีกด้วย
พวกเขากลับกระท่อมที่พักในตอนที่แสงลาลับขอบฟ้าพอดี
วันนี้เขาก่อกองไฟอยู่นอกบ้านเพื่อรออะไรบางอย่าง
สี่คนพ่อแม่ลูกนั่งเบียดๆกันอยู่บนขอนไม้เพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กัน
พอมืดเข้าเมืองเล็กๆที่มีบ้านอยู่ไม่กี่ร้อยหลังก็แทบจะไม่มีแสงไฟรบกวน
ท้องฟ้าจึงเต็มไปด้วยดวงดาวให้เจ้าลูกกระต่ายถามเจื้อยแจ้วว่านั่นดาวอะไรนี่ดาวอะไร
เขาอมยิ้มในขณะที่เจ้ากระต่ายพยายามตอบลูกชายขี้สงสัย
ถูกบ้างมั่วบ้างผสมๆกันไป อย่างดาวลูกไก่น่ะใช่แน่ๆแต่ดาวลูกเป็ดเนี่ยไม่น่ามีนะ?
มือใหญ่ใช้ไม้เขี่ยไฟให้ลุกโชนจนมีเสียงแตกดังเปรี๊ยะๆ
เขาเงยหน้ามองฟ้าเพราะสิ่งที่เขารอคอยไม่ใช่แค่ดวงดาวพวกนี้หรอก
มันเป็นอะไรที่พบเจอได้ยากยิ่งกว่าเพชรเสียอีก
บางคนตามหามันทั้งชีวิตแต่ก็อาจจะไม่เคยเห็นเลยก็ได้
สิ่งที่เขารอก็คือ
แสงเหนือ
ร่างสูงสง่าลุกไปหยิบผ้าห่มออกมาจากในบ้านก่อนจะยื่นปลายข้างนึงให้เจ้ากระต่าย
พวกเขาสี่คนใช้ผ้าผืนเดียวห่มด้วยกัน
ดูคล้ายกับลูกสัตว์ตัวเล็กๆที่โผล่หัวออกมาจากใต้ตัวกลมฟูของพ่อแม่
ยิ่งดึกท้องฟ้าก็ยิ่งมืด
เจ้าลูกกระต่ายกับลูกสิงโตไม่รู้เรื่องรู้ราวหรอกว่าพวกเขากำลังรออะไรอยู่
แต่เด็กๆเห็นกองไฟ เห็นหิมะ เห็นดวงดาว ได้อยู่กับพ่อแม่ แค่นั้นก็สนุกแล้ว
เจ้าเด็กแฝดเล่นเป่ายิงฉุบกันอยู่ในผ้าห่ม
ส่วนเขากับเจ้ากระต่ายก็นั่งมองท้องฟ้าอย่างผ่อนคลาย
จริงๆแล้วต่อให้จะไม่ได้เห็นแสงเหนือเขาก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร
เพราะการได้อยู่กับครอบครัวคือเรื่องที่ไม่เสียดายเวลาที่สุดแล้ว
“อี้ป๋อ นั่นใช่รึเปล่า?!” แล้วจู่ๆเสียงนุ่มก็ทักให้เขามองไปที่ขอบฟ้าด้านหนึ่ง
“เหมือนจะใช่เลยครับ?” ดวงตาคมกล้าเพ่งมองอย่างไม่แน่ใจ
แต่แล้วแสงสีเขียวที่มีแค่เส้นเดียวก็ค่อยๆเรืองรองแผ่ขยายเป็นสายจนเต็มขอบฟ้า
“มันคือแสงเหนือจริงๆครับ!” เขาหันไปบอกเจ้ากระต่ายด้วยความตื่นเต้น
แสงสีเขียวที่วูบไหวไปมาราวกับคลื่นบนฟ้าสะกดสายตาจนใบหน้ามนนิ่งมองอย่างตื่นตะลึง
“อี้คุน เฟยเฟย ออกมาดูสิลูก นั่นคือแสงเหนือ เป็นสิ่งที่หายากมากที่จะได้เห็น”
เด็กแฝดมุดผ้าห่มออกมายืนดูด้วยกัน
“สวยจังเลย เฟยชอบมากๆ” มือเล็กของสองพี่น้องจับกันไว้ในขณะที่ยืนมองแสงสีเขียวที่พาดผ่านท้องฟ้า
แสงเหล่านั้นดิ้นไปมาจึงยิ่งสวยงามตระการตา
ถือว่าครอบครัวของเขาโชคดีมากจริงๆที่ได้มาเห็นมัน…
แสงเหนือเรืองรองอยู่ราวๆยี่สิบนาทีก็หายไป
พวกเขาเข้าบ้านด้วยความปลื้มปริ่มในใจ เหมือนมิชชั่นคอมพลีทแล้ว
“คืนนี้ใครอยากมานอนกับหม่าม้าบ้าง?” จู่ๆเจ้ากระต่ายก็หันไปถามเด็กๆ
หื๋ม? ไม่ใช่ว่ารู้ทันและกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเมื่อคืนเลยชวนเด็กๆมานอนด้วยนะ?
“เฟย!” เจ้าลูกกระต่ายรีบยกมือ
“ผมด้วย!”
“นอนด้วยกัยเยอะๆสนุกดี ผีไม่กล้ามาหลอกด้วย! เฟยจะนอนกับหม่าม้า!”
“งั้นก็ตกลงตามนี้ ไปอาบน้ำกันก่อนไป” ในขณะที่ดันหลังเล็กให้เข้าห้องน้ำ
เจ้ากระต่ายก็หันมาแสยะยิ้มให้เขา...ชัดเลย...ตั้งใจจะขัดขวางถุงยางที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเดินทางอีกสองสามกล่องนั่นชัดๆเลย!
เขาทำได้แค่ยกยิ้มมุมปาก...ก็ได้...จะปล่อยไปสักคืนก็ได้~
เตียงในห้องนอนเขานั้นกว้างใหญ่พอให้เราสี่คนพ่อแม่ลูกนอนด้วยกันได้
ตอนนี้เจ้ากระต่ายนอนหลับปุ๋ยอยู่กับลูกตัวน้อยไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนเขายังนั่งอยู่ที่โซฟาหน้าเตาผิง
เหล็กในมือยังเขี่ยฟืนไปมา
“ปะป๊า?” เสียงงัวเงียดังมาจากข้างหลัง
และเมื่อเขาหันไปมองก็เห็นเจ้าลูกสิงโตยืนขยี้ตาอยู่
“ทำไมตื่นแล้วล่ะ?”
“ผมปวดฉี่”
“ไปเข้าห้องน้ำคนเดียวได้ไหม?”
“อื้อ” เจ้าลูกสิงโตที่ไม่เคยกลัวอะไรพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ผีสางนางไม้ทำอะไรเจ้าเด็กจิตแข็งนี่ไม่ได้เลย
เหมือนความกลัวผีของเขาไปตกอยู่ที่เจ้าลูกกระต่ายหมด
สักพักเจ้าลูกสิงโตก็กลับมา
ร่างเล็กยืนลังเลอยู่ข้างเตียงเหมือนไม่แน่ใจว่าจะนอนดีไหม
เหมือนจะอยากอยู่กับเขามากกว่า
“มานี่สิ” เขาจึงกวักมือเรียก อี้คุนจึงเดินมานั่งลงข้างๆ
“ปะป๊าไม่ง่วงเหรอ?”
“ปะป๊าคอยดูไฟ ห้องจะได้อุ่นๆ หม่าม้ากับลูกจะได้หลับสบายไง”
เจ้าลูกสิงโตมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
พวกเรานั่งมองไฟอยู่เงียบๆด้วยกัน
เขาไม่เคยมีเวลาได้นั่งอยู่กับอี้คุนตามประสาพ่อกับลูกชายแบบนี้เลย
ส่วนใหญ่จะมีเจ้าตัววุ่นวายคอยก่อกวนตลอด
เสียงทุ้มจึงพูดออกไปในขณะที่ดวงตายังไม่ละไปจากประกายไฟ
“ลูกน่ะ แข็งแรงกว่าน้อง แข็งแรงกว่าหม่าม้า
เพราะงั้นลูกต้องคอยปกป้องเฟยเฟยกับหม่าม้านะ”
“ครับ...” อี้คุนรับคำแต่เขาก็รู้ว่าในใจของลูกชายยังมีความสงสัย
เพราะอี้คุนก็ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งซึ่งต้องการให้คนรักและคอยดูแลเช่นกัน
ใบหน้าเหล่อเหลาจึงหันไปมองลูกชายก่อนจะวางมือไว้บนหัวเล็ก
“ส่วนอี้คุน ปะป๊าจะเป็นคนปกป้องลูกเอง” เขายิ้มให้ด้วยความอ่อนโยนก่อนจะลูบหัวลูกชายเบาๆ
“....”
เจ้าลูกสิงโตยิ้มอย่างมีกำลังใจแต่ก็ยังไม่วายถามต่อ
“แล้วใครจะเป็นคนปกป้องปะป๊าล่ะ?”
“ก็หม่าม้า เฟยเฟย แล้วก็อี้คุนไง ครอบครัวของเราจะเป็นคนปกป้องปะป๊า
จะคอยส่งพลังให้ปะป๊าชนะทุกสิ่ง”
“ว้าว เท่ห์จัง”
“เพราะงั้นลูกต้องดูแลน้องให้ดีๆนะ”
“ครับ”
นั่นอาจจะเป็นสัญญาระหว่างเราสองพ่อลูก
เป็นสัญญาที่ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยนและเป็นสัญญาที่จะฝังอยู่ในใจของเราตลอดไป
“ไปนอนไหม? ปะป๊าก็ง่วงแล้ว” เจ้าลูกสิงโตพยักหน้าตาปรือ
เขานอนลงข้างๆเจ้ากระต่าย
ดึงเอวบางเข้ามากอดไว้
เสียงหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอของคนในอ้อมแขนทำให้เขายังคงมีชีวิตต่อไปได้
เสียงหัวใจของเจ้าเด็กน้อยสองคนที่นอนอยู่ใกล้ๆก็เช่นกัน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
520
Beats per minute.
Story
Never End.
หายไปนาน
ขอประทานอภัย // ซบ // ได้เห็นเม้นต์ถามไถ่ในหลายๆเรื่องที่แต่งคาไว้แล้วก็อยากจะขอบคุณมากๆๆๆเลยค่ะ
>/////<
ส่วนตอนพิเศษตอนนี้ก็ไม่มีไรมาก
อยากเล่าเรื่องน่ารักๆของครอบครัวสิงโตกาตุ่ยให้ฟัง~ ปะป๊าเลี้ยงมายังไงถึงได้โตมาน่าอุ้มกลับบ้านขนาดนั้น ยังไงอ่านไปก็อย่าเพิ่งหลับกันซะก่อนน้า555
มีโลเคชั่นที่ฟินแลนด์มาให้ดูด้วยค่ะ
คือถ้าพูดถึงฟินแลนด์จะนึกถึงโฆษณาตัวนี้ของ คิมี่ ไรโคเน่น
ก่อนเลยค่ะ =q= ต้นฉบับคูลกาย ดิไอซ์แมนของแท้555
อันนี้ก็อีกสองคลิปที่ใช้ประกอบการจิ้นได้
เอิ้ก ^
^
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจนะคะ จริงๆยังมีตอน 520 km/hr.ของอี้คุน
ที่ยาวนรกอยู่อีกตอน แต่ยังแต่งไม่จบซักทีก็เลยยังไม่ได้ลง//ปาดน้ำตา
แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าน้าาา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น