ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 CARAT again.[Part 2]
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 กะรัต”
.
.
.
“วันนี้คุณแม่บ้านจะทำอะไรให้คุณพ่อบ้านกับลูกๆกินครับ?” เสียงทุ้มของหวังอี้ป๋อ
แชมป์โลกจักรยานยนต์ทางเรียบสิบเอ็ดสมัยดังรอดออกมาจากหน้าจอแท็บเล็ต
ภาพในจออย่างกับกำลังถ่ายVLOG ร่างโปร่งบางของเซียวจ้านกำลังยืนล้างอะไรบางอย่างอยู่ที่อ่างล้างจาน
ด้านหลังเป็นห้องครัวที่มีสภาพเหมือนกำลังทำอาหาร หม้อที่กำลังต้มน้ำอยู่เดือดปุดๆ
สองคนนั้นกำลังเล่นอะไรกันอยู่นะ? อาของเขา
หวังอี้หยางแอบมองหน้าจอแท็บเล็ตของหวังเฟยเฟยจากบนโซฟา
เจ้าลูกกระต่ายยังคงนอนคว่ำทำการบ้านอยู่บนพรมเหมือนทุกๆวัน
ถึงจะถูกล็อคดาวน์และนักศึกษาเกือบทั้งหมดของภาควิชาออกแบบรถจะยังติดอยู่ที่อเมริกา
แต่เจ้าเด็กเนิร์ดพวกนี้ก็ยังเรียนกันได้ตลอด
“นี่ไง~ แท่นแทนแท๊น~ วองโกเล่สปาเก็ตตี้~~”
มือบางของหม่าม้ากระต่ายยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยหอยลายสดๆที่กำลังล้างอยู่ขึ้นมาให้ดู
“อยากกินด้วยอ่ะ!!!” เสียงใสของเจ้าลูกกระต่ายตะโกนใส่หน้าจอทันที
“มีเด็กน่าสงสารอยู่ตรงนั้นด้วย โถๆๆ” ผู้เป็นพ่อยื่นหน้าเข้ามาในจอก่อนจะยิ้มหยอกล้อ
“เดี๋ยวพี่ชายจะกินเผื่อนายเองนะ ไม่ต้องห่วง” กล้องถูกดึงไปข้างๆก่อนที่หวังอี้คุนจะยื่นหน้าเข้ามายิ้มเยาะ
เจ้าลูกกระต่ายถึงกับหน้าหงิกหน้างอใส่
“แง๊~ วองโกเล่สปาเก็ตตี้ของหม่าม้าอร่อยที่สุดเลยด้วยอ่ะ
เฟยก็อยากกิน~” ใบหน้ามนโวยวาย
ร่างกายบางที่นอนคว่ำอยู่ก็แทบจะดิ้นงอแงเป็นเด็กๆ
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองอย่างเอ็นดู
“โอ๋ๆๆ กลับมาเมื่อไหร่เดี๋ยวหม่าม้าทำให้กินสามจานเลย ดีไหม?”
อาสะใภ้หันมายิ้มอ่อนโยนให้ก่อนจะหันไปหยิบเส้นสปาเก็ตตี้ใส่หม้อ
“งื้ออออ อยากกินด้วย กินตอนนี้อ่ะ กินมั่ง….” สามคนในจอขำกันยกใหญ่กับใบหน้าเง้างอดจะกินของเจ้าลูกกระต่าย
เขานั่งมองอยู่ทางนี้ยังแอบขำจนเจ็บท้องไปหมด เอาแต่ใจได้น่ารักชะมัด
“ไม่รู้แหละ เฟยจะกินด้วย” ว่าแล้วก็ลุกพรวดออกจากรังที่สร้างไว้บนพรมของเขาก่อนจะเดินดุ่มๆเข้าครัวไปเฉย
เขาวางโน้ตบุคก่อนจะแอบย่องตามไปดู
“คุณหนูจะเอาอะไรครับ? อยากทานอะไรบอกผมได้เลยครับ”
พ่อครัวที่กำลังเตรียมเครื่องปรุงสำหรับมื้อกลางวันหันมามองอย่างตกอกตกใจเมื่อเห็นเฟยเฟยเดินพรวดพราดเข้าไป
ที่จริงแล้วพ่อครัวของเขาดูจะชอบอาเฟยมาก
เพราะไม่ว่าจะทำอะไรให้กินเจ้าลูกกระต่ายก็กินหมด
ไม่เรื่องมากเอาแต่ใจเหมือนคุณหนูทั่วไป
“ขอบคุณครับ แต่เดี๋ยวเฟยจะทำเอง วองโกเล่สปาเก็ตตี้ของหม่าม้ามีสูตรพิเศษ
เฟยทำเองดีกว่า” เจ้าลูกกระต่ายหันไปบอกพ่อครัวของเขาอย่างมุ่งมั่นว่าวันนี้ยังไงก็จะกินวองโกเล่สปาเก็ตตี้พร้อมที่บ้านให้ได้
อาเฟยไม่ใช่แค่ทำอาหารเป็น แต่ยังทำอร่อยอีกด้วย
เขาเคยกินฝีมือของเจ้าตัวดีอยู่บ้างเวลาเห็นบ้านที่อิตาลีทำอะไรกินแล้วอยากจะกินกับเค้าบ้างเหมือนอย่างตอนนี้
“วองโกเล่?” พ่อครัวทวนคำอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
“ครับ”
“เอ่อ...ขอโทษนะครับคุณหนู...พอดีไม่ได้ซื้อหอยลายเอาไว้เลย
มันเสียง่ายก็เลยไม่มีกักตุนเอาไว้….” พ่อครัวก้มหัวอย่างขออภัย
ช่วงนี้แคนาดาเองก็เริ่มล็อคดาวน์เป็นเมืองๆแล้วเหมือนกัน
แวนคูเวอร์ที่เขาอยู่จึงอนุญาติให้แต่ละบ้านออกไปซื้ออาหารและของใช้จำเป็นได้แค่สัปดาห์ละสองครั้งเท่านั้น
“หะ…….” เจ้าลูกกระต่ายยืนอ้าปากค้างเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว
เขายืนขำอยู่ที่ประตู เรื่องใหญ่เลยนะเนี่ยถ้าไม่ได้กินสปาเก็ตตี้หอยลายวันนี้
หวังอี้หยางส่ายหน้าอย่างอารมณ์ดี เขาจะรอดูว่าเจ้าลูกกระต่ายจะทำยังไง เพราะวิธีแก้ปัญหาของเฟยเฟยมักจะทำให้เขายิ้มได้อยู่เสมอ
“ไม่มีหอยลายเลยเหรอ…..” เสียงลอยๆยังถามย้ำอย่างไม่ละซึ่งความหวัง
“ครับ ไม่มีเลยครับ” จะใส่อย่างอื่นก็ไม่ได้เสียด้วย
ไม่งั้นมันจะเรียกวองโกเล่สปาเก็ตตี้ได้ไง วองโกเล่เป็นภาษาอิตาลีที่แปลว่าหอยลายนั่นเอง
หลังจากวิญญาณหลุดอยู่ประมาณห้านาที
เจ้าลูกกระต่ายก็กลับมาขมวดคิ้วอย่างมุ่งมั่นอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร ไม่มีก็แค่ทำให้มีก็เท่านั้น! เดี๋ยวเฟยไปจับหอยลายเองก็ได้!”
หะ? จะไปงมหอยลายเอง? แล้วจะไปจับที่ไหนเนี่ย? นี่อยู่กลางป่าในแคนาดานะ
ไม่ใช่ปากแม่น้ำแถบเอเชียหรือตามชายฝั่ง มันจะไปมีหอยลายแถวนี้ได้ไง?
ไม่ได้มีแต่เขาที่งง พ่อครัวก็งงเหมือนกันหมด
สิบห้านาทีผ่านไป...เจ้าลูกกระต่ายก็รวบรวมลูกสมุนหรือก็คือบอร์ดี้การ์ดทั้งบ้านเขามาจนได้
ชายชุดดำทั้งสิบนายกำลังยืนแถวตรงอยู่หน้าลำธารข้างบ้านอย่างขึงขัง เขาจะห้ามก็คงไม่ทันแล้วสินะ…
“อ่ะ นี่คืออาวุธของทุกคน” สิ่งที่เจ้าลูกกระต่ายแจกจ่ายให้การ์ดของเขาไม่ใช่ปืนผาหน้าไม้
ไม่ใช่อาวุธสงครามที่ไหน
แต่มันคือตาข่ายจับแมลงกับพลั่วขนาดเล็ก...ว่าแต่เจ้าอาเธอร์เลขาของเขาจะซื้อเอาไว้ทำไมเยอะแยะเนี่ยไอ้ของแบบนี้?
ที่บ้านดันมีซะงั้น?
“วันนี้เราจะต้องได้กินหอยลายกัน! ลุยเลยทุกคน!” แขนบางชูขึ้นเหนือหัวอย่างมุ่งมั่นพร้อมกับเสียงตอบรับดังลั่นจากเหล่าลูกสมุน
นายเหนือหัวของบ้านอย่างเขาทำได้แค่ยืนมองอยู่ในห้องนั่งเล่น...เอาเถอะ
ท่าทางเจ้าลูกกระต่ายดูสนุกสนานดีเขาก็ไม่ว่าอะไร
ไม่ได้คิดจะห้ามทั้งๆที่รู้ว่ามันจะไปมีหอยลายในลำธารแบบนี้ได้ยังไง
ท็อปฟิสิกส์ก็จริงแต่น่าจะตกชีววิทยาสินะเจ้าลูกกระต่ายนั่น
"ผังห้องเจียระไนใหม่ส่งมาแล้วนะครับนาย" เสียงเนี้ยบๆของเลขาควบหน้าที่บอร์ดี้การ์ดของเขาดังอยู่ข้างหลัง
หมอนี่ชื่ออาเธอร์ เป็นซุปเปอร์เลขาที่เก่งรอบด้านทำงานได้อย่างดีเยี่ยมจนเขาเคยคิดจะส่งเข้าประกวดเลยทีเดียว
“อืม เปิดผนังที ผมจะออกไปนั่งดูข้างนอก” อาเธอร์พยักหน้ารับก่อนจะเดินไปกดแผงคอนโทรลที่หลบอยู่มุมหนึ่งของห้อง
แล้วผนังกระจกชนมุมผืนใหญ่ที่คิดว่าเป็นกระจกติดตายกลับค่อยๆเลื่อนไปซ้อนๆกันที่ด้านข้าง
ทำให้ห้องด้านในเชื่อมต่อกับระเบียงไม้ด้านนอกอย่างน่าอัศจรรย์
ในวันที่อากาศดีๆอย่างเช่นวันนี้
ออกมานั่งทำงานข้างนอกมองเจ้าลูกกระต่ายไปด้วยก็ดี
เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังมาจากลำธารทำให้เขานั่งลงที่โต๊ะไม้สีบีชด้วยรอยยิ้ม
มีเพียงร่างสีแดงเท่านั้นที่อยู่ในสายตา
เขาเฝ้ามองทุกย่างก้าวที่เจ้าลูกกระต่ายกระโดดไปตามโขดหิน มองขาผอมบางนั่งยองๆลงไป
มองแขนเล็กๆขาวผ่องค่อยๆใช้พลั่วแซะกรวดในลำธารขึ้นมา มองใบหน้าที่ก้มดูใต้แผ่นหิน
มองริมฝีปากที่ยู่เข้าหากันเมื่อไม่เจออะไร มองดวงตาสดใสที่ไม่ยอมแพ้ มองรอยยิ้มหวานๆเมื่อน้ำในลำธารกระเด็นมาโดนใบหน้า
มองทุกอิริยาบถที่เหมือนรวมความน่ารักทั้งโลกมาไว้ตรงนี้ มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
“นายครับ” คนข้างๆเอ่ยเรียกเมื่อเห็นเขาตกอยู่ในภวังค์
เขาจึงก้มลงไปมองแฟ้มเอกสารที่อยู่ตรงหน้า
เขาไม่ได้ซื้อขายแค่เพชรที่เจียระไนทำเป็นเครื่องประดับแล้วเพียงอย่างเดียว
แต่Diamond
crownยังมีเหมืองเพชรดิบอยู่ทั่วโลกอีกด้วย
และตอนนี้จำนวนเหมืองที่มีก็ยังเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ
เพราะตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาบริหารงานเต็มตัว
พ่อของเขาก็ว่างแสนว่างจนมีเวลาออกตามล่าเหมืองเพชรจนได้มาอีกไม่ใช่น้อย ตาแก่นั่นไม่ชอบทำงานนั่งโต๊ะมาแต่ไหนแต่ไรแต่ชอบออกไปผจญภัยข้างนอกมากกว่า
เหมืองเพชรสีน้ำเงินชื่อดังในแอฟริกานั่นก็ถูกพ่อเขาซื้อมานานแล้วและการเพิ่มมูลค่าให้เพชรดิบเหล่านี้ก็เป็นหน้าที่ของเขาด้วย
Diamond
crownจึงมีช่างเจียระไนฝีมือดีและมีห้องเจียระไนระดับพรีเมี่ยมอยู่ทั่วโลก
มือใหญ่รับแบบแปลนของห้องเจียระไนใหม่ที่กำลังจะสร้างในเบลเยี่ยมมาดู
การเจียระไนเพชรไม่ใช่ว่าจะทำในห้องแบบไหนก็ได้
มันต้องเป็นห้องที่สามารถป้องกันแรงสั่นสะเทือนจากภายนอกที่อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อเพชรตอนเจียระไนได้
เขาถึงกับต้องจ้างแล็ปคอยทดลองและค้นหาวิธีเจียระไนแบบใหม่เพื่อให้ได้เพชรน้ำงามที่สุดอยู่เสมอ
“เท่าที่ดูก็ไม่มีปัญหาอะไร” ดวงตาคมกล้าเหลือบมองลายเซ็นต์ของหัวหน้าสถาปนิกประจำ
Diamond crown ก่อนจะหยิบปากกาเซ็นต์อนุมัติการก่อสร้างไป
เขามีแผนกออกแบบเป็นของตัวเองอยู่ในสำนักงานใหญ่เอาไว้ออกแบบห้องเจียระไนและโชว์รูมเพชรของDiamond
crownโดยเฉพาะ เขาไม่ได้ขายเฟรนชายน์แต่ดูแลเองทุกสาขาทั่วโลก
สถาปนิกของเขาจึงไม่เคยว่างเว้น มีงานให้ทำจนหัวฟูอยู่ตลอดเวลา
“อันนี้ Final design ของเครื่องประดับสำหรับบลูไดมอนด์เม็ดล่าสุดจากเหมืองพรีเมียร์ครับ”
เอกสารแฟ้มต่อไปถูกวางลงตรงหน้า มือใหญ่หยิบมาพลิกดูผ่านๆตา
ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องดูเครื่องเพชรทุกชุดที่แบรนด์จะทำหรอกเพราะDiamond
crownมีกลุ่มดีไซน์เนอร์มือหนึ่งในเรื่องเพชรที่ไว้ใจได้คอยออกแบบให้
แต่เพชรสีน้ำเงินนั้นค่อนข้างพิเศษและเครื่องประดับชุดนี้ก็เป็นชุดใหญ่
เขาจึงต้องดู
“ชุดนี้จะวางในงานแสดงเพชรที่ลอนดอน?” เสียงทุ้มถามออกไปในขณะที่มือก็เซ็นต์ไปด้วย
เขาอาจจะออกแบบไม่เก่งเท่าดีไซน์เนอร์
แต่เขาเชี่ยวชาญเรื่องเทรนด์ในตลาดค้าเพชรและมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่าเครื่องประดับเพชรแบบไหนจะขายได้ราคาดีกว่ากัน
เสื้อผ้ายังเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เพชรเองก็เหมือนกัน
“ครับ แต่น่าจะเลื่อนจากกำหนดการเดิมออกไปเพราะติดเรื่องไวรัส”
เจ้าอาเธอร์ยังวางเอกสารลงมาไม่หยุด
ถึงจะอยู่ในช่วงสถานการณ์ไวรัสระบาดแต่ก็ไม่ได้มีผลต่อวงการค้าเพชรนัก แล้วนอกจาก Diamond
crown เขาก็ยังต้องดูแลกิจการทุกอย่างของตระกูลหวังด้วย
ช่วงนี้ยังดีหน่อย
พอปู่แต่งตั้งให้เขาเป็นทายาทลำดับที่หนึ่งแทนอาอี้ป๋อทำให้เขามีสิทธิ์ขาดในการจัดการทุกอย่าง
เขาจึงสามารถจัดการอะไรๆให้มันเรียบร้อยได้
ก่อนหน้านี้ทั้งเอกสารทั้งบัญชีสับสนวุ่นวายแบบสุดๆ มีที่ดินจำนวนไม่ใช่น้อยที่ถูกปล่อยปละละเลย
ปู่เขาไม่ใช่นักธุรกิจ พ่อก็ไม่สนใจ อาอี้ป๋อยิ่งไปใหญ่
ตอนแรกที่เขาเข้าไปดูแลจึงปวดหัวจนไมเกรนแทบขึ้น
“อันนี้เอกสารภาษีนำเข้าของแบรนด์เสื้อผ้าในอิตาลีครับ
ส่วนแบรนด์ในฝรั่งเศสจะส่งมาพรุ่งนี้ครับ นายหญิงเซียวยังฝากถามมาอีกว่าที่ดินในเซี่ยงไฮ้ที่เคยเป็นช็อปเสื้อผ้า
นายจะเอาไปทำอะไรไหมครับ ถ้าไม่เอาจะได้ปล่อยเช่า” มือใหญ่รับเอกสารอีกปึกมาเปิดดู
กิจการทั้งหมดของตระกูลเซียวแทบจะโอนเป็นชื่อหวังเฟยเฟย
ซึ่ง...เจ้าลูกกระต่ายนั่นเคยรู้เรื่องที่ไหน
ยังวิ่งเล่นงมหอยงมปูอยู่ในลำธารนู่นไง ก็เป็นเขาอีกนี่แหละที่ต้องคอยดูแลให้
เพราะคุณตาคุณยายบ้านเซียวก็อายุมากแล้ว
ถึงจะยังมีพลังงานล้นเหลือแต่ก็อยากเกษียณไปเที่ยวเล่นหรืออยู่บ้านเลี้ยงหลานเต็มที
“ผมขอคิดดูก่อน ปล่อยเช่าอาจจะไม่คุ้ม” เขาตอบด้วยเสียงสุขุม
ก็ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกันที่คุณตาคุณยายบ้านเซียวให้สิทธิ์เขาในการตัดสินใจขนาดนี้
แรกๆก็เหมือนพยายามจะฝากฝังไว้กับอี้คุนและเฟยเฟย
แต่เจ้าเด็กแฝดก็คือไม่เอาไม่สนใจเลย
สอนให้ดูแลบัญชีเจ้าลูกกระต่ายก็ตอบกลับไปด้วยสมการฟิสิกส์
สอนให้ดูเรื่องการนำเข้ารถเจ้าลูกสิงโตก็หนีออกไปหมกตัวอยู่ตามสนามแข่ง...หลายครั้งที่เขาบังเอิญผ่านเข้าไปตอนสองตายายกำลังเคี่ยวเข็ญเจ้าหลานแฝดพอดี
ลูกกระต่ายหัวหมอจึงเนียนเอางานตัวเองมาให้เขาช่วย
ช่วยไปช่วยมาคุณตาคุณยายเลยคิดว่าคุยกับเขาง่ายกว่าต้องไปผ่านเจ้าลูกกระต่ายมึนงงนั่น
แถมแผนงานที่เขาช่วยคิดยังทำให้ดัชนียอดขายเพิ่มขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์
หลังๆมานี้มีอะไรจึงส่งตรงมาที่เขาแทน
“ครับ ผมจะแจ้งให้” เจ้าอาเธอร์ยังคงเดินกลับไปกลับมาระหว่างห้องนั่งเล่นของเขากับห้องทำงานของตัวเอง
เอกสารยังคงไหลมาเทมายิ่งกว่าน้ำบ่า
“สำนักงานใหญ่ส่งรูปเพชรดิบมาให้ดูครับ เผื่อนายมีคอมเม้นต์อะไร”
คราวนี้เป็นแท็บเล็ตวางลงข้างๆแฟ้มเอกสาร
“ตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหน?” เขาถามออกไปเมื่อนึกขึ้นได้
ดวงตาคมกล้าไล่มองรูปเพชรดิบจำนวนไม่น้อยที่ถูกส่งมาที่สำนักงานใหญ่ในดูไบ
ล็อตนี้มีเพชรน่าสนใจเยอะแหะ
“ไนจีเรียครับ” เลขาตอบเมื่อพลิกดูรายชื่อเหมืองที่ส่งเพชรดิบพวกนั้นมา
“บอกให้กลับบ้านได้แล้ว รู้เรื่องไวรัสระบาดกับเค้าไหมเนี่ย? จริงๆเลย”
“ครับ แล้วผมจะแจ้งนายใหญ่ให้ครับ” เขาปิดเอกสารแฟ้มสุดท้ายลงหลังจากเซ็นต์ทุกอย่างเรียบร้อย
แป๊บๆเวลาก็ผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ เสียงจากลำธารเงียบลงไปถนัดตา สงสัยจะหมดแรงแล้วละสิเจ้าลูกกระต่ายนั่น
ร่างสูงสง่าลุกขึ้นอย่างอารมณ์ดี
เขาเดินเข้าห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะลงไปดูอาเฟยที่ลำธาร
เจ้าลูกกระต่ายนั่งทำแก้มป่องพองลมอยู่หน้าธารน้ำตกหลังจากผ่านไปสองชั่วโมงกว่าก็ยังหาหอยลายไม่ได้สักตัว
ก้อนกรวดสีดำถูกพลั่วเล็กๆนั่นแซะขึ้นมากองเป็นหย่อมๆ
มีแต่ปลาตัวน้อยเท่านั้นที่ว่ายมาดูอย่างสงสัย
“ได้กี่ตัวแล้ว?” เขาแกล้งถามไปงั้น
ใบหน้ามนกลับหันมาตอบด้วยความประหลาดใจ
“ไม่มีซักตัวเลย ทำไมอ่ะ? งงมาก? ที่ลำธารหลังบ้านเฟยยังมีเลย??? หม่าม้าก็งมจากในนั้น?”
………..โอเค….เขาเข้าใจแล้ว
ว่าใครกันที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้....อาอี้ป๋อ!
ไม่มีทางที่หอยลายจะโตได้ในลำธารเทียมนั่น
นอกเสียจากจะมีเจ้าคนคลั่งรักสปอยด์เมียแอบเอาหอยลายที่ซื้อมาจากตลาดไปเทใส่ไว้ให้นั่นแหละ!
แล้วเขาต้องทำแบบนั้นด้วยไหมเนี่ย?!
“ลอง...ไปหาทางต้นน้ำดูไหมล่ะ?” เขารู้สึกเพลียกับบรรทัดฐานที่ผู้เป็นอาสร้างเอาไว้
ที่เจ้าลูกกระต่ายมึนงงขนาดนี้ก็ต้องโทษอาของเขาด้วยนี่แหละ
“ต้นน้ำ?” ใบหน้ามนหันมามองอย่างสนใจ
อันที่จริงเขารู้ดีว่าหายังไงมันก็ไม่มีหรอกในลำธารแบบนี้
เพียงแต่เขาอยากจะล่อเจ้าลูกกระต่ายออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าง
วันๆก็เดินวนๆเวียนๆอยู่ในบ้านเดี๋ยวก็ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อกันพอดี
“ในเขามีน้ำตกที่เป็นตาน้ำของลำธารนี้อยู่ ลองไปดูไหม?”
“ไป!!” ร่างโปร่งบางกระโดดผึงขึ้นมาทันที
ร่างสูงสง่าเดินนำไปยังโรงจอดรถ
ขายาวที่อยู่ในกางเกงสีดำกับเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีดำเช่นกันทำให้นายใหญ่ของ Diamond crown ดูลึกลับแต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ ดูอันตรายแต่ก็เย้ายวนชวนให้อยากเข้าหา
ถึงจะมีใบหน้าคล้ายกันแต่หวังอี้หยางไม่ได้ดูแบดบอยเหมือนพ่อลูกสิงโตที่มาราเนลโล่
เขาให้ความรู้สึกเหมือนลาสบอสก็อดฟาเธอร์อะไรแบบนั้นมากกว่า ดวงตากลมโตจึงชอบแอบลอบมองเขาอยู่ตลอด
"มีอะไรรึเปล่า?" ใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าแผ่นหลังถูกจ้องจนแทบจะทะลุอยู่แล้ว
“ปะ เปล่าครับ….” คนถูกจับได้ถึงกับตอบตะกุกตะกัก
ดวงตาคู่สวยรีบเสหลบหลุบต่ำ
ทำให้จากองศาที่เคยมองใบหน้าเขากลายเป็นมองไปที่คอเสื้อซึ่งปลดกระดุมสองเม็ดแทน
ผิวขาวจัดของเขาถูกขับเน้นจากสีดำสนิทของเสื้อทำเอาคนที่เผลอมองถึงกับหน้าขึ้นสี
ทุกปฏิกิริยาของอาเฟยล้วนอยู่ในสายตาเขา
มุมปากจึงลอบยิ้มเมื่อเห็นเจ้าลูกกระต่ายเสียอาการ
“ชอบใช่ไหม?” เขาก้มลงไปกระซิบถามด้วยเสียงเซ็กซี่
“เอ๊ะ?” ใบหน้ามนอึกอักเลิ่กลั่ก
มือไม้ยกขึ้นมาทัดหูบ้างลูบแขนบ้างก่อนจะทำหน้างงไปหมด
“ชอบรึเปล่า? ที่ชั้นแต่งตัวแบบนี้?” จริงๆเขาก็แต่งตัวแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร
แล้วเขาก็สงสัยมาตลอดจริงๆเพราะเจ้าลูกกระต่ายชอบหลบอยู่หลังป๊าม้าไม่ก็พี่ชายฝาแฝดแล้วแอบมองเขาอยู่เสมอ
“ก็….” เจ้าลูกกระต่ายหลบตาไม่ยอมตอบกลับมาตรงๆ
แต่เขาก็ได้คำตอบจากสองแก้มที่แดงระเรื่อ คงไม่จำเป็นต้องซักไซร้อะไรอีก
มีแต่คนชื่นชมว่าเขาหล่ออย่างงู้นดูดีอย่างงั้น
แต่มันจะมีค่าอะไรถ้าคนที่เราอยากให้ใส่ใจไม่ชอบมัน...อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่า...อาเฟยก็ชอบตัวตนของเขาในแบบที่เขาเป็น
โรงจอดรถที่เขาพาอาเฟยไปนั้นอยู่ชั้นใต้ดิน
รถที่เขาใช้ประจำไม่ได้จอดอยู่ในนี้แต่จอดอยู่ข้างบน
เพราะโรงรถแบบปิดนี่สร้างเอาไว้เพื่อเก็บรถคอลเลคชั่นของเขาเท่านั้น
พื้นที่ขนาดหลายร้อยตารางเมตรเป็นการาจทั้งหมดและรถทุกคันก็ถูกจัดแสงไฟอย่าสวยงามอย่างกับอยู่ในโชว์รูม
เรียกว่าเป็นโรงรถที่ค่าก่อสร้างแพงพอๆกับตัวบ้านเลยก็ว่าได้
เพราะงานระบบของห้องใต้ดินนั้นแตกต่างจากห้องที่อยู่บนดินโดยสิ้นเชิง
“อ๊ะ! 812 GTSที่หม่าม้าออกแบบ!” เจ้าลูกระต่ายพุ่งเข้าใส่ Ferrari 812 GTS สีพิเศษที่จอดอยู่หน้าสุด
ถัดไปยังมีม้าลำพองหลับใหลอยู่อีกหลายคันและทุกคันล้วนเป็นฝีมือการออกแบบของอาสะใภ้เขาทั้งนั้น
มีทั้งที่เขาตั้งใจซื้อเองและถูกอาแท้ๆบังคับขาย
อยากเพิ่มยอดให้ภรรยาแล้วทำไมต้องมาบังคับเขาซื้อด้วยเนี่ย? ตัวเองก็ไม่ซื้อนะ
บอกว่าผิดกฎห้ามฟุ่มเฟือยของที่บ้าน...
“ที่ว่างที่เหลือนั่น เอาไว้เก็บรถที่นายเป็นคนออกแบบ” นักสะสมรถแต่ละคนก็มีคอนเซ็ปต์ความชอบของตัวเองที่แตกต่างกันออกไป
บางคนสะสมรถโบราณ บางคนสะสมรถหายาก บางคนสะสมซุปเปอร์คาร์ราคาท็อปๆ
บางคนสะสมเฟอร์รารี่ บางคนสะสมแลมโบกินี่ คนที่สะสมเพราะนักออกแบบรถแบบเขาก็มี
เขายกยิ้มในขณะที่จีบเจ้าลูกกระต่ายตรงๆ
“ง่ะ.....” ใบหน้ามนเหลือบมองที่ว่างอีกครึ่งค่อนในโรงจอดรถก่อนจะกลบเกลื่อนอาการเขินด้วยการชักหน้าหงึใส่เขา
“งั้นพี่ต้องสร้างให้ยาวกว่านี้แล้วละ เพราะผมจะไปออกแบบรถไฟ!”
เขาหลุดหัวเราะกับความคิดของเจ้าลูกกระต่าย อาจจะเป็นเพราะใครๆต่างก็คิดและคาดหวังว่าเฟยเฟยคงไม่พ้นต้องอยู่กับเฟอร์รารี่
ออกแบบรถซุปเปอร์คาร์ให้ม้าลำพองเหมือนแม่
อาเฟยจึงมีอาการต่อต้านเล็กๆและบอกอยู่เสมอว่าจะไปออกแบบรถไฟ ไม่ทำซุปเปอร์คาร์
ทั้งๆที่ใจจริงก็รักเฟอร์รารี่ไม่แพ้ใคร
“ขึ้นรถสิ ชั้นขับเอง” เจ้าลูกกระต่ายทำตาโตก่อนจะถามเขาด้วยใบหน้าบ้องแบ๊ว
“พี่ขับรถเป็นด้วยเหรอ?” เขาเหล่มอง
ใช่สิ ปกติจะเห็นแต่เขานั่งอยู่ที่เบาะหลังมีคนขับให้
แต่เขาก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งไหม ขับรถเป็นแล้วมันแปลกตรงไหน?
เขาส่ายหน้าก่อนจะก้าวขาเข้าไปในรถ Ferrari
812 GTS สี azzurro california ค่อยๆเปิดหลังคาออกจนกลายเป็นรถเปิดประทุน
เขาเอียงคอถามเจ้าลูกกระต่ายที่ยังทำหน้าอึ้งๆ
“จะไปไหม?”
“ไป!....แต่เดี๋ยวก่อนนะ รอก่อนนะ พี่อย่าเพิ่งไปนะ!” เจ้าลูกกระต่ายก้มมองตัวเองก่อนจะมองเขากับรถ
แล้วจู่ๆเจ้าตัววุ่นวายก็วิ่งปรู๊ดเข้าบ้านไปซะงั้น? เขาหันไปมองด้วยความมึนงง
ตกลงจะไปไหมเนี่ย?
ไม่นานเฟยเฟยก็วิ่งกลับมาใหม่
จากชุดนอนฮู้ดหูกระต่ายสีแดงมอมแมมเพราะไปงมหอยลายมาถูกเปลี่ยนเป็นเชิ้ตบางเบาสีฟ้ากับกางเกงห้าส่วนสีขาวเข้ากับรถแบบสุดๆ
"ไปได้" เจ้าลูกกระต่ายยิ้มร่าส่วนเขาก็มองอย่างเพลินตา
ก็นับว่ามีจุดนี้แหละที่ต่างจากหม่าม้ากระต่ายของตัวเอง
อาเฟยจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองดูไม่ดีถ้าต้องออกนอกบ้าน
สมแล้วที่คุณย่ากับคุณยายจับอบรมบ่มนิสัยตั้งแต่เด็ก
เฟอร์รารี่สีฟ้าเลี้ยวออกจากจุดที่มันจอดอยู่ก่อนจะตรงไปยังผนังที่ดูเหมือนทางตัน
เขาเชื่อว่าถ้ามีขโมยขึ้นบ้านพวกมันคงเอารถเขาออกไปไม่ได้แน่เพราะไม่มีถนนที่จะขึ้นสู่ด้านบนเหมือนที่จอดรถใต้ดินทั่วไป
ที่ค่าก่อสร้างมันแพงก็เพราะเขาใช้เป็นระบบลิฟท์ไฮโดรลิคนี่แหละ
เจ้าม้าสีฟ้าจอดในจุดที่เป็นลิฟท์ซึ่งถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน
ก่อนที่พื้นมันจะค่อยๆถูกเลื่อนขึ้นช้าๆ ทิวทัศน์ภายนอกค่อยๆปรากฏแก่สายตา
เจ้าลูกกระต่ายร้องหู๋ห๋าอย่างตื่นตาตื่นใจ และเมื่อเขาขับรถออกไป
ลิฟท์ก็เลื่อนลงตัดการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกทันที
เสียงม้าลำพองดังก้องไปทั่วป่า...
Ferrari
812 GTS สีฟ้าแล่นไปตามถนนเส้นเล็กที่ตัดลัดเลาะเข้าไปในป่าฝนของแคนาดา
สองข้างทางเป็นต้นสนสูงใหญ่ ปลายใบยังคงชุ่มฉ่ำไปด้วยหยดน้ำเล็กๆ
เนินดินที่โคนต้นก็เต็มไปด้วยหญ้ามอสหนานุ่มเป็นหย่อมๆ พอทอดสายตามองไกลออกไปก็จะเห็นกลุ่มหมอกปกคลุมอยู่บนยอดไม้ให้ความรู้สึกลึกลับราวกับอยู่ในเทพนิยาย
มือใหญ่เพียงข้างเดียวหมุนพวงมาลัยให้เจ้าม้าสีฟ้าวิ่งทะยานต่อไปด้วยความคุ้นเคย
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆซึ่งกำลังเกยคางไว้กับขอบหน้าต่าง สายลมอ่อนๆพัดวนเข้ามาจนผมหน้าม้าพลิ้วไหวแต่เจ้าของใบหน้ามนก็ยังหลับตาพริ้มรับกลิ่นไอของธรรมชาติแสนบริสุทธิ์นั้นต่อไป
เหมือนกำลังนั่งอยู่ใกล้ๆแก้วน้ำแข็งใส่น้ำ ทั้งเย็นฉ่ำทั้งสดชื่น
แรงเหวี่ยงขณะเข้าโค้งทำให้ไหล่บางเซมากระทบไหล่เขา
ดวงตากลมโตเหลือบมามองด้วยความเอียงอายก่อนดวงตาคู่นั้นจะต้องเบิกกว้างเมื่อคุ้งน้ำที่ซ่อนอยู่หลังโค้งทอประกายระยิบระยับให้เห็น
เจ้าม้าลำพองส่งเสียงคำรามในขณะวิ่งลัดเลาะเลียบทะเลสาบที่ถูกล้อมรอบด้วยทิวเขาสูงต่ำสวยงามราวกับภาพวาด
ลำธารสายหนึ่งถูกเชื่อมจากทะเลสาบแห่งนี้เข้าไปในป่าและเจ้าม้าสีฟ้าก็กำลังวิ่งขนาบข้างมันไป
น้ำในลำธารลึกและแรงกว่าที่อยู่ข้างบ้านเขามาก
มันทั้งใสทั้งเย็นจนถ้าเอาเบียร์แช่ลงไปคงกินได้ในเวลาไม่นาน
Ferrari
812 GTS หยุดลงบนลานหญ้าเล็กๆแห่งหนึ่งเพราะไม่มีทางให้รถวิ่งต่อไปได้แล้ว
รอบๆกายมีเพียงต้นสนและต้นสน จากตรงนี้ไปพวกเขาต้องเดินด้วยเท้า
“จับไว้” มือใหญ่เอื้อมออกไปให้เจ้าลูกกระต่ายจับ
ใบหน้ามนเหลือบมองพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้ชื้นแฉะ หญ้ามอส ตะไคร่และใบเฟิร์น
มือบางจึงต้องยื่นมาจับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ปกติก็เดินง๊อกๆแง๊กๆสะดุดได้แม้ไม่มีอะไรขวางอยู่แล้ว
สภาพพื้นที่ลื่นขนาดนี้ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่ล้ม
“งื้อ ทางเดินอยู่ไหนเนี่ย?” เจ้าลูกกระต่ายที่เดินไปไถลไปบ่นงึมงำ
ตรงนี้ไม่มีแม้แต่ร่องรอยการเดินผ่านด้วยซ้ำ มันถึงได้ลื่นทีเดียว
จากที่เคยจับมือเดียวตอนนี้มือบางทั้งสองข้างจึงต้องช่วยกันยึดแขนเขาเอาไว้
“.....”
เขาเกร็งแขนเพื่อฉุดรั้งไม่ให้เจ้าลูกกระต่ายล้มหัวทิ่มก่อนจะก้าวเดินอย่างคุ้นทางผ่านป่าฝนที่มีละอองน้ำพร่างพรมอยู่ตลอดเวลา
เสียงซ่าๆของน้ำตกเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“ให้ชั้นอุ้มไหม?” เขาหันไปยิ้มเอ็นดูเจ้าคนที่เซแท่ดๆมาปะทะกับไหล่เขาเมื่อลื่นจนเบรกไม่อยู่
เพราะเจ้าลูกกระต่ายหลักไม่ค่อยดีกว่าจะถึงลำธารจึงใช้เวลามากกว่าปกติหลายเท่า
แต่เขากลับไม่รู้สึกรำคาญเลยสักนิด
“อุ้มอะไรเล่า...นี่ทางไปน้ำตกแน่เหรอเนี่ย? ทำไมเหมือนไม่ใช่ทางเดินเลย?
เหมือนไม่มีคนใช้มานานแล้วเลยอ่ะ? พี่ไม่ได้ลวงผมมาฆ่าหมกป่าใช่ป่ะ?
ทำไมมันเดินยากอย่างงี้เนี่ย งึ้ย!” ริมฝีปากสีระเรื่อบ่นเป็นหางว่าวในขณะที่พยายามทรงตัวไม่ให้หงายหน้าหงายหลัง
ขาผอมบางสั่นหงึกๆเพราะเกร็งจัด
ในที่สุดก็เดินทะลุป่าออกมาจนได้…
เวิ้งน้ำที่อยู่ตรงหน้าทำให้ดวงตาคู่สวยตื่นตะลึงและลืมความเหน็ดเหนื่อยตลอดทางเดินที่ผ่านมาไปจนสิ้น
ถึงจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนน้ำตกชื่อดัง
แต่สายน้ำที่พวยพุ่งลงมาจากหน้าผาตัดจนเกิดเป็นสีขาวฟุ้งไปทั่วก็สะกดสายตาได้เต็มเปา แอ่งน้ำใสที่รองรับอยู่เบื้องล่างก็กลายเป็นลำธารไหลผ่านโขดหินกลายเป็นน้ำตกเล็กๆอีกหลายชั้น
“สวยจัง…” เสียงนุ่มเอ่ยออกมาจากใบหน้าที่ตกอยู่ในภวังค์
เจ้าลูกกระต่ายปีนป่ายขึ้นไปยืนอยู่บนโขดหินใหญ่หน้าน้ำตกก่อนจะยื่นมองม่านน้ำสีขาวนั้นอย่างไม่วางตา
เขาเองก็มองอีกฝ่ายไม่วางตาเช่นกัน…
หวังเฟยเฟยที่มีม่านน้ำตก
นกน้อย และผืนป่าสีเขียวเป็นฉากหลังนั้นดุจดั่งภูต น่ารักอย่างกับเทวดา
บริสุทธิ์เหมือนนางฟ้า...
กลีบดอกไม้ปลิวลงมา...เขาทอดสายตามองมือบางสีขาวผ่องที่ยกขึ้นไปรับมัน
รอยยิ้มหวานๆปรากฏอยู่บนใบหน้าที่สวยงามทุกส่วน
เขามองเส้นจมูกโด่งรั้นที่ไล่เรียงลงมาเป็นริมฝีปาก
มองผิวหน้าฉ่ำน้ำที่ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกสดชื่น
มองดวงตาที่เปล่งประกายและอ่อนโยนต่อทุกสิ่ง
บางครั้งเขาก็คิดจริงๆนะว่าอาเฟยเป็นมนุษย์แน่หรือเปล่า...
“ที่นี่สวยมากเลยครับ” เสียงนุ่มพูดกับเขา
หลังจากยืนซึมซับบรรยากาศจนพอใจ
เจ้าลูกกระต่ายก็พยายามปีนลงมาจากก้อนหินใหญ่ เขาจึงยื่นมือไปรับและช่วยพยุง
"ว่าแต่ทำไมไม่ใครสักคนเลยอ่ะ? เป็นเพราะล็อคดาวน์อยู่เหรอ?
แล้วเราออกมาเที่ยวแบบนี้จะดีเหรอครับ?" เจ้าลูกกระต่ายถามเมื่อลงมายืนบนพื้นได้สำเร็จ ร่างบางละออกไปจากอ้อมแขนเขาแล้วมองไปรอบๆ
ไม่มีนักท่องเที่ยวสักคน
"จะมีคนอื่นได้ไง? ภูเขาลูกนี้เป็นของหวังอี้หยาง
เป็นที่ดินส่วนบุคคล คนอื่นจะเข้ามาไม่ได้ แล้วเราก็ไม่ได้มาเที่ยว
เราแค่ออกมาเดินเล่นในสวนหลังบ้าน ไม่ถือว่าผิดกฎ" เขาพูดไปก้มมองทางไป พาเจ้าลูกกระต่ายขึ้นไปยังลานหินด้านบน
แรกเริ่มจริงๆแล้วพ่อของเขาก็แค่อยากจะซ่อนเขาไม่ให้ปู่กับอาอี้ป๋อหาเจอ
แล้วประเทศที่ปลอดภัยพอจะทิ้งเด็กตัวเล็กๆเอาไว้คนเดียวได้ ประเทศที่ไม่โดดเด่น
ไม่เป็นที่จับตามองแต่มีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับสูง
แคนาดาจึงกลายเป็นตัวเลือกเดียวของพ่อเขา
จากที่ดินหนึ่งผืนกับบ้านหนึ่งหลังค่อยๆงอกเงยขึ้นเรื่อยๆ
จากเคยเป็นแค่ที่ซ่อนกลับกลายเป็นรากฐานของเขาไป เขาค่อยๆซื้อที่ดินเก็บสะสมเอาไว้
จนได้ภูเขามาทั้งลูกได้ยังไงก็ไม่รู้
"หงึ รวยจริงนะ!" เจ้าลูกกระต่ายเบะปากอย่างหมั่นไส้
ซึ่งมันน่าแปลกใจที่เขากลับยิ้มรับทั้งๆที่ถ้าเป็นคนอื่นมาทำแบบนี้กับเขา
เขาคงไม่เอามันไว้แน่
"แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่เงินของชั้นซื้อไม่ได้" เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยอย่างสื่อความหมายจนคนถูกจ้องเป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องเสหน้าหลบแทน
"อะ อะไร…"
"หัวใจของนายไง"
"....."
ใบหน้ามนชะงักก่อนจะเลิ่กลั่กไปหมด
แก้มใสเริ่มขึ้นสีราวกับถูกเบอร์รี่ป่าทาทับไว้
"ชั้นคงต้องใช้ความรักของชั้นไปแลกมันมา" เขายังรุกไม่หยุด
"งื้อ….หยุดเดี๋ยวนี้นะ~ เดี๋ยวฟ้องปะป๊าเลยว่าพี่จีบผม"
เจ้าลูกกระต่ายที่ไม่รู้จะรับมือยังไงเลยได้แต่ถอยหนีด้วยใบหน้าเขินอาย
"รู้ตัวก็ดี ว่าโดนจีบอยู่"
“ไม่คุยด้วยแล้ว! หาหอยลายดีกว่า!” ยังไม่ลืมหอยลายนั่นอีกเร๊อะ?
เขามองเจ้าคนที่ก้มหน้างุดหนีไปจนได้
ใบหน้ามนหันซ้ายหันขวาหาที่เหมาะๆที่คิดว่าจะมีหอยลาย
มือบางพับขากางเกงขึ้นก่อนจะเดินลงน้ำ “หว๋า~ น้ำเย็นมากเลย~” เขายืนมองจนคิดว่าปลอดภัยพอจึงปล่อยเจ้าลูกกระต่ายก้มๆเงยๆหาหอยลายตามลำพัง
ร่างสูงสง่าเดินไปนั่งรอที่โต๊ะไม้ซีดาร์
และเมื่อเจ้าลูกกระต่ายเห็นเขาไม่ตามลงไปเลยตะโกนถามอย่างสงสัย
“พี่ไม่ลงมาช่วยกันหาล่ะ?”
“ไม่ละ”
“งื้อ! คอยดูเถอะ ถ้าหาได้จะไม่แบ่งให้กินซักตัวเลยด้วย! ห้ามมาแย่งเลยนะ!”
เจ้าลูกกระต่ายงอนตุ๊บป่องสะบัดก้นหนีไปอีกทาง
เขายอมรับว่าเขาเป็นผู้ชายนิสัยเสีย ชอบแกล้งคนที่ตัวเองรัก
ที่ไม่ลงไปช่วยก็เพราะอยากเห็นท่าทางแง่งอนแบบนี้แหละ
“เย็นๆๆ” เจ้าลูกกระต่ายกระโดดหย๋องแย๋งๆอยู่ในน้ำแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้
มือบางยังพลิกก้อนหินหาอย่างตั้งใจต่อไป ส่วนเขาก็นั่งมองตรงๆอย่างไม่คิดจะปิดบัง
ไม่ว่าจะผ่านไปหนึ่งนาที สิบนาที ครึ่งชั่วโมง เขาก็ยังไม่ละสายตาไปไหน
ถึงแม้ดวงตาคู่โตจะเหลือบมาเห็นแล้วทำหน้ายู่ใส่
เขาก็ยังไม่เลิกมอง ยิ่งนานเข้าเจ้าคนที่รู้ตัวว่าถูกมองก็ยิ่งเริ่มเกร็งจนต้องหันมาทำท่างอแงใส่เพราะทำอะไรเขาไม่ได้
“มองอะไรนักหนาเล่า เลิกมองเดี๋ยวนี้นะ!” เขินแหละดูออก
เขายกยิ้มอย่างชอบใจ เจ้าลูกกระต่ายแยกฟันคู่หน้าขู่ก่อนจะวิดน้ำใส่เขาหนึ่งที
แขนแข็งแรงยกขึ้นมากันได้ทัน
เขาอุตส่าห์นั่งมองอย่างสงบแล้วนะแต่เจ้าลูกกระต่ายตัวดีก็ปลุกสัญชาตญาณเจ้าป่าของเขาออกมาเอง
ร่างแข็งแกร่งลุกพรวดจากเก้าอี้กระโจนเข้าใส่เจ้าลูกกระต่ายที่คิดจะแกล้งเขา
“อ๊า! อย่าเข้ามาน้า~!” มือกระต่ายวิดน้ำใส่เขาราวกับมันจะช่วยป้องกันตัวเองได้
แต่เปล่าประโยขน์ มือใหญ่คว้าเอวบางก่อนจะดึงเข้ามาอย่างง่ายดาย
หน้าท้องแบนเรียบจึงปะทะเข้ากับหน้าท้องซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขา
“บอกแล้วไง ไม่ว่านายจะแกล้งจะด่าชั้นยังไง ชั้นก็ไม่โกรธ แต่จะลงโทษ”
เสียงทุ้มเน้นย้ำบอกด้วยรอยยิ้มอย่างผู้ที่เหนือกว่า
“เฟยแค่วิดน้ำหาหอยลายอ่ะ พี่มานั่งอยู่ตรงนั้นทำไมล่ะ? ปล่อยนะะะะ” ริมฝีปากช่างเจรจาแถไปเรื่อย
แขนแข็งแรงจึงกอดเอวบางแล้วเหวี่ยงไปมา อยากน่าหมั่นเขี้ยวดีนัก
“อ๊า! หยุดนะ~~ เฟยผิดไปแล้ว~ ปล่อยเฟยไปเถอะ~”
เจ้าลูกกระต่ายตีขาดิ้นไปมาพร้อมกับร้องขอชีวิต
แล้วจังหวะที่เขาจะคลายอ้อมแขนให้ เจ้าคนหลักไม่ดีก็ก้าวไปเหยียบโขดหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่
“อ๊ะ?!” แขนบางตีอากาศอย่างพยายามพยุงร่างกายไม่ให้ล้มคมำ
เขาตวัดแขนรอบเอวบางโดยอัตโนมัติ ชั่วพริบตาแผ่นหลังบางจึงปะทะเข้ากับแผ่นอกของเขา
เจ้าลูกกระต่ายรอดพ้นจากการล้มหน้าทิ่มแต่กลับเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขาแทน
“.......”
เป็นเพราะตกใจจึงทำให้พวกเขานิ่งค้างไปหลายวินาที
“เป็นไรไหม?
เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
เสียงทุ้มถามออกไปอย่างห่วงใยและยังไม่ปล่อยร่างโปร่งบางออกจากอ้อมกอด
“.....” ใบหน้ามนส่ายเบาๆ
ดูท่าทางเจ้าลูกกระต่ายจะยังตกใจอยู่
เพราะโขดหินตรงนี้ต่างระดับกับลำธารด้านล่างพอสมควร
ถ้าลื่นล้มลงไปคงไม่ใช่แค่บาดเจ็บเล็กน้อยแน่
อ้อมแขนแข็งแรงจึงกอดอีกฝ่ายไว้อย่างมั่นคงเพื่อปลอบโยน
ดวงตาคมกล้าทอดมองคนที่ยังมีท่าทางตื่นตระหนกในอ้อมแขน
บรรยากาศที่เป็นใจทำให้เขามองอีกฝ่ายราวกับต้องมนต์ จากที่ไม่ได้คิดจะทำอะไรแต่ผิวเนื้อที่นุ่มนิ่มก็ทำให้เขาเผลอกอดกระชับร่างบางโดยไม่รู้ตัว
กลิ่นกายหอมหวานก็ทำให้เขาเผลอขยับใบหน้าลงไปสูดดมใกล้ๆ...ริมฝีปาก...เผลอกดจูบลงไปบนต้นคอด้านหลังราวกับไม่ผ่านการสั่งการจากสมองแต่เป็นคำสั่งของหัวใจ…
หวังเฟยเฟยชะงักค้างเมื่อสัมผัสได้ถึงรอยจูบที่ต้นคอ
ร่างทั้งร่างแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูกมีเพียงเสียงของหัวใจที่เต้นกระหน่ำราวกับจะแข่งกับเสียงน้ำตก
แผ่นหลังบางก็รับรู้ได้ถึงแรงเต้นของหัวใจคนที่โอบกอดตนไว้เช่นกัน
ไหล่บางสะดุ้งน้อยๆเมื่อรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ที่เริ่มสอดเข้ามาใต้เสื้อเชิ้ต
ต้นคอด้านหลังยังคงถูกฝังจูบเอาไว้อีกหลายรอยแต่ริมฝีปากสีระเรื่อกลับเอ่ยห้ามไม่ออก
เขาในตอนนี้เหมือนกระต่ายที่แพ้ทางสิงโต
ไม่อาจหนีไปไหนได้แม้จะรู้ตัวว่ากำลังจะโดนกินก็ตาม
ริมฝีปากของพี่อี้หยางเริ่มละเรื่อยมาถึงซอกคอ
เขารู้ดีว่าคงจะมีสักวันที่พี่อี้หยางจะทนไม่ไหว
การสะกดกลั้นสัญชาติญาณของนักล่าและความปรารถนาในตัวเขานั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ยากมากโดยเฉพาะกับผู้ชายที่รักเขามาเป็นสิบยี่สิบปี
เขารู้ว่ามันจะต้องมีวันนี้...ทั้งๆที่รู้แต่เขาก็ไม่ยอมหนี…
นี่คงจะเป็นคำตอบของหัวใจเขาสินะ?
มือใหญ่ร้อนเริ่มลากไล้ไปตามหน้าท้องแบนเรียบแล้วขยับขึ้นมาเรื่อยๆ
ซอกคอระหงถูกกดจูบซุกไซร้คลอเคลียอย่างนุ่มนวลจนดวงตาคู่โตเผลอปิดลงอย่างเคลิบเคลิ้ม
ทุกสัมผัสล้วนอ่อนโยน เอาใจ เต็มไปด้วยความรัก
ร่างสองร่างที่กอดกันอยู่หน้าน้ำตกนั้นราวกับลุ่มหลงซึ่งกันและกันจนไม่มีฝ่ายไหนคิดจะห้ามหรือต่อต้าน
ตรู้ด….ตรู้ด…..
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก
ร่างสองร่างรีบผละออกจากกันก่อนที่นายใหญ่แห่ง
Diamond
crownจะล้วงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูอย่างคนเสียอาการ
ส่วนคนที่เกือบจะโดนกินถึงกับหันหน้าไปอีกทาง
มือบางยกขึ้นมาปิดปากดวงตาสั่นสะท้าน… ”กะ เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบไปแล้วๆ…”
หวังอี้หยางถอนหายใจเบาๆ
เมื่อกี้เขาเหมือนคนถูกสะกด
นับวันเขาก็ยิ่งต่อต้านความต้องการของตัวเองได้ยากเต็มที
ยังดีที่เจ้าลูกกระต่ายดูเหมือนจะไม่ได้กลัวเขาเท่าไหร่
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังดังไม่หยุดอย่างพยายามเรียกสติเข้าร่าง
“ว่าไง?” เสียงทุ้มกรอกลงไปอย่างคุ้นเคยเพราะคนที่โทรมาคือเลขาของเขานั่นเอง
“นายครับ….” เสียงของอาเธอร์ฟังดูตื่นเต้นแต่ก็ยังพยายามเก็บความรู้สึกไว้ไม่ให้หลุดมาดเลขาผู้สุขุม
"....."
เรื่องที่เลขาควบหน้าที่บอร์ดี้การ์ดบอกเขาทำให้ดวงตาคมกล้าถึงกับเบิกกว้าง
เจ้าอาเธอร์จะตื่นตระหนกก็ไม่น่าแปลกใจ ข่าวนี่มันสั่นสะเทือนวงการค้าเพชรได้เลยนะ
"เข้าใจแล้ว เดี๋ยวชั้นกลับไป" เขากดวางสาย
ถึงจะเสียดายเนื้อกระต่ายหอมหวานแต่เขายังมีโอกาสอีกมาก
“กลับกันเถอะ ชั้นมีงาน” แต่แทนที่จะเดินกลับดีๆ
แขนแข็งแรงกลับรวบลำตัวบางขึ้นพาดบ่า
“อื้อ?!” เจ้าลูกกระต่ายร้องอย่างตกใจ
“อยู่นิ่งๆ นายเดินช้า เรื่องเมื่อกี้ไว้กลับไปต่อที่บ้านนะ”
เขาแกล้งหยอกคนบนบ่าให้ตัวแข็งทื่อไปอีกรอบ
เฟอร์รารี่สีฟ้าพุ่งทะยานกลับถึงบ้านในชั่วพริบตา
เจ้าลูกกระต่ายถูกอุ้มไปโยนไว้บนเตียงก่อนที่นายใหญ่ของบ้านจะออกไปจัดการเรื่องงาน
ขายาวรีบก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น
เลขาที่นั่งรออย่างร้อนลนอยู่ก่อนแล้วรีบลุกขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าเขา
“นี่ครับนาย” มือใหญ่รีบรับแท็บเล็ตจากอาเธอร์มาดู...เป็นมันจริงๆด้วย…
The
Pink Moon.
“หาเจอได้ยังไง? ตลาดมืด?” เขายังจ้องมองรูปในแท็ปเล็ตไม่วางตา
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เจ้าพ่อวงการค้าเพชรอย่างเขาสนใจได้ย่อมต้องเป็น “เพชร”
“มันไม่ได้หายไปครับนาย แต่มันอยู่ที่บ้านหลังนั้นมาตลอด” ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับหันไปมองหน้าเลขาก่อนจะนิ่งค้างไปหลายวินาที
สมองอันชาญฉลาดประมวลผลอย่างรวดเร็วก่อนจะพ่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อได้ข้อสรุป
“หึ...แบบนี้นี่เอง...เป็นวิธีการซ่อนเพชรที่ดีที่สุดจริงๆนั่นแหละ”
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองเพชรสีชมพูที่อยู่ในรูปอย่างถูกใจ
“แล้วยังไง? เจ้าของต้องการอะไร บอกมาให้ละเอียด”
ที่คุยกันทางโทรศัพท์เลขาแจ้งเขาเพียงแค่มีคนติดต่อมาว่าจะเอาเพชรในตำนานที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยออกมาขายให้
เรื่องสำคัญและเป็นความลับระดับโลกของวงการค้าเพชรแบบนี้ไม่เหมาะที่จะคุยทางโทรศัพท์
เขาจึงยังไม่ทราบรายละเอียดและที่มาที่ไปของเรื่อง
“ท่านดยุกผู้ครอบครองเพชรเม็ดนี้ในสมัยนั้นเป็นคนปล่อยข่าวเองครับว่าเพชรถูกขโมยไปและหายสาปสูญ
สร้างเรื่องราวเสียใหญ่โตจนเป็นที่กล่าวถึงกันไปทั่ว
แต่จริงๆแล้วเพชรมันไม่ได้หายไป
แต่ถูกเก็บไว้ในบ้านอย่างเป็นความลับที่สุดเพื่อป้องกันการโจรกรรม
เพชรเม็ดนี้จึงยังคงตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลเรื่อยมา แต่ว่าเจ้าของคนปัจจุบันต้องการจะขายมันเพื่อเอาเงินไปช่วยพยุงธุรกิจการบินของครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากโควิดครับ
เธอจึงติดต่อมา” อาเธอร์สไลด์หน้าจอไปที่รูปของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถือเพชรเม็ดนี้อยู่
นี่คงจะเป็นเจ้าของเพชรคนปัจจุบันและต้องการจะขายมันให้เขา
ดวงตาคมกล้าไม่ได้สนใจหญิงสาวในรูปแต่กำลังพินิจพิจารณาเพชรที่อยู่ในมือของเธอ
จากรูปก็มีความเป็นไปได้ที่น่าจะเป็นเพชร the pink moon ถึงเขาจะไม่เคยเห็นของจริงแต่เขาก็ศึกษาเพชรทุกชนิดมาตั้งแต่เด็ก
รวมถึงพวกเพชรในตำนานเหล่านี้ด้วย
ดวงตาคมกล้าทอดมองเพชรสีชมพูทรงหยดน้ำที่อยู่ในรูป
ปกติเพชรสีชมพูก็เป็นเพชรที่หายากมากและมีราคาสูงลิ่วเหนือเพชรทั่วๆไปอยู่แล้ว แต่
The
pink moon เม็ดนี้มีความใสสะอาดอยู่ในระดับสูงแถมยังหนักถึง 65
กะรัต แล้วยังเป็นเพชรที่มี story มีคนพยายามค้นหามานานนับปี
ไม่ต้องคิดเลยว่าราคาจะมหาโหดขนาดไหน
"ทางนั้นเสนอมารึเปล่า เรื่องราคา?"
"เปล่าครับ ทางนั้นอยากให้เราเป็นคนเสนอราคาไปครับ
เธอกล่าวว่าเธอไม่ค่อยรู้เรื่องการตีราคาเพชรเท่าไหร่เลยอยากให้ทางเราเป็นที่ปรึกษาด้วย"
"คงจะสอบถามพ่อค้าเพชรไปหลายเจ้าสินะ?"
"ไม่ครับ เธอติดต่อไปที่สำนักงานใหญ่ของเราที่ดูไบแล้วเจาะจงขอเบอร์ติดต่อของผมมา
เธอบอกว่าต้องการจะพบนายเพื่อเอาเพชรมาให้ดูครับ
และไม่ได้ติดต่อผู้ค้าเพชรรายอื่นอีกครับ"
"อยากพบผม?" นิ้วยาวเคาะลงไปบนหน้าจอแท็บเล็ตในขณะที่ในหัวกำลังใช้ความคิด
ถึงจะเป็นเพชรในตำนานและราคาซื้อขายน่าจะสูงกว่าสามพันล้านบาท แต่ Diamond
crownเป็นองค์กรค้าเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลก
และที่พวกเขายิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้เพราะอะไร? เพราะเขามีผู้เชี่ยวชาญด้านการดูเพชร
ซื้อขายเพชรเป็นร้อยๆคนเลยน่ะสิ ถึงจะเป็นเพชรราคาหมื่นล้านแค่ลูกน้องเขาก็พอ
เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปดูด้วยตัวเองก็ได้ แต่เจ้าของเพชรรายนี้กลับจงใจไม่เสนอราคามาแต่ต้องการพบเขามากกว่า…
"หึ…" ใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะในลำคออย่างรู้ทัน
มีผู้หญิงต้องการจะจับเขาและหาวิธีเข้าหาสารพัดสารเพ
เรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะไม่เข้าใจ
คิดว่าจะเอาเพชรในตำนานมาตกเบ็ดเขาได้อย่างงั้นสินะ?
ดวงตาคมกล้าทอดมองเพชรสีชมพูในรูปอีกครั้ง...เหมาะกับเฟยเฟยดีแหะ? เพราะกระต่ายย่อมคู่ควรกับดวงจันทร์…
ก็ดี...
เขาจะเอา pink
moon ดวงนี้มาให้ลูกกระต่ายของเขาก็แล้วกัน
"สามพันห้าร้อยล้าน ผมให้ราคานี้ หลังส่งให้GIAตรวจสอบแล้วว่าเป็นของจริง
ส่วนเรื่องนัด นายก็จัดการเลยแล้วกัน" มือใหญ่วางแท็บเล็ตลงบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา
เขาไม่จำเป็นต้องใช้เวลาตัดสินใจเยอะเพราะเรื่องราคาเพชรนั้นอยู่ในหัวของเขาอยู่แล้ว
เขาเคยทำProfilingของตัวเองเอาไว้
ว่าถ้าเพชรในตำนานเม็ดไหนปรากฎตัวขึ้นเขาจะให้ราคามันเท่าไหร่
นอกจากนี้เขาก็เห็นเพชรมามากมาย เพชรที่ประเมินราคาไม่ได้อย่างเม็ดที่ห้อยอยู่ที่คอเจ้าลูกระต่ายเขาก็เป็นเจ้าของมาแล้ว
เพราะงั้นเขาจึงตีราคาเพชรทั่วๆไปได้ในชั่ววินาที
ใช่...ถ้าเทียบกับเพชรแห่งหัวใจที่อยู่บนคอหวังเฟยเฟย
เพชรเม็ดอื่นก็เป็นได้แค่ของทั่วๆไปเท่านั้น…
น้ำหนัก520กะรัตหลังเจียระไนไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ สี D color เป็นเพชรน้ำ100ซึ่งมีระดับความขาวใสสูงสุด ความสะอาดก็อยู่ในระดับFlawlessหรือไม่มีตำหนิเลย ทุกอย่างเป็นระดับสูงสุดทั้งหมด
ทั้งยังเป็นฝีมือช่างเจียระไนอันดับหนึ่งในโลก เขาใช้เวลาถึง10ปีในการตามหาเพชรเม็ดนี้...เพื่อมอบมันให้แก่เจ้าของหัวใจของเขา
"ครับ" อาเธอร์ตอบรับเมื่อเขาลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกจากห้อง
"อ้อ...อาจจะมีคนตามไปด้วยนะ" เขาหันไปยิ้มมุมปาก
ส่วนเลขาผู้สุขุมก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
"ครับ ผมจะเลือกเล้าจ์โรงแรมที่มีของโปรดคุณหนูไว้ก็แล้วกัน"
เขาหันหลังเดินออกจากโซฟาด้วยใบหน้าที่เคลือบด้วยรอยยิ้ม
สมเป็นเลขาของเขาจริงๆ ทำงานดีไม่มีที่ติเลย
"เอ้อ มีอีกเรื่องครับนาย" เลขาเรียกเขาอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
เขาจึงหันกลับไป
"เรื่องสัญญาณติดตามตัวของคุณหนูเฟยเฟย ทีมเทคนิคหาเจอแล้วครับ…"
"หนีดีไหม?”
“ที่น้ำตกเมื่อกี้...อีกนิดเดียวก็จะโดนกินแล้วนะ? อ๊าาาา
อยู่ต่อไปต้องโดนกินแน่ๆเลย แง๊~~~ แต่ว่าจะหนีไปไหนได้อ่ะ?
ก็ภูเขาทั้งลูกนี้เป็นของพี่อี้หยางนี่ งื้อออ" หวังอี้หยางยืนกอดอกพิงประตูพลางอมยิ้มในขณะที่มองไปยังเจ้าลูกกระต่ายตัวแข็งทื่อนอนบ่นงึมงำอยู่ในท่าเดิม
อาการเหมือนกระต่ายแพ้ทางสิงโตทำให้เขานึกเอ็นดูจนอยากแกล้ง
ขายาวจึงเดินเข้าไปแล้วโดดลงนอนซ้อนข้างหลัง ร่างโปร่งบางสะดุ้งโหยง
แขนแข็งแรงดึงลำตัวบางเข้ามาก่อนริมฝีปากจะจูบหัวไหล่หยอกไปหนึ่งที "มาต่อเรื่องเมื่อกี้กันเถอะ" เสียงทุ้มกระซิบหยอกเย้า
เจ้าคนที่ตัวแข็งทื่ออยู่แล้วยิ่งแข็งเป็นท่อนไม้
มือใหญ่เลื้อยไปตามขอบกางเกงอย่างไม่สนใจเสียงร้องห้าม
“อื้อ?! เดี๋ยว?!” มือบางไล่ตะบปไปตามจุดที่มือเขาลากผ่าน
มือใหญ่จึงยิ่งกดลำตัวบางให้แนบชิดกับแผ่นอกและหน้าท้องของเขามากขึ้นจนเจ้าลูกกระต่ายต่อต้านไม่ถนัด
ทำได้แค่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนเขา
ฝ่ามือร้อนค่อยๆสอดเข้าไปในชายเสื้อทำเอากระต่ายน้อยขี้ตกใจถึงกับหัวใจเต้นโครมคราม
แขนบางพยายามยันตัวเองออกมาจากอ้อมแขนเขาแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้
ดิ้นยังไงก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุด
กลับเป็นมือใหญ่ที่ยังคงลากผ่านหน้าท้องแบนเรียบขึ้นไปอย่างไม่สะทกสะท้านจากแรงต่อต้าน
“พี่อี้หยาง...เดี๋ยวก่อน…” เจ้าลูกกระต่ายพยายามร้องห้าม
แต่ผิวเรียบเนียนนุ่มนิ่มก็ทำเอาแทบยั้งสติไม่ได้เลยจริงๆ
เขาพ่นลมหายใจอุ่นร้อนใส่กกหูบางก่อนจะดึงเสื้อเชิ้ตสีฟ้าผ่านหัวเฟยเฟยออกรวดเดียว
ผิวกายขาวราวกับหิมะอวดโฉมแก่สายตาของเขาจนแทบหยุดหายใจ ไหล่เล็กๆ ไหปลาร้าเล็กๆ
แผ่นอกเล็กๆ เอวเล็กๆ ทุกอย่างขาวเนียนไปหมด ยกเว้นสองจุดที่เป็นสีชมพู...
“งื้อ!” เจ้าลูกกระต่ายยังไม่ยอมแพ้
หลังจากแยกเขี้ยวขู่เขาก็รีบคว้าผ้าห่มมาพันตัวแล้วพยายามจะกลิ้งหนีไปอีกฝั่งของเตียง
มือใหญ่จับปลายผ้าห่มไว้ได้ทันก่อนจะออกแรงดึงทั้งก้อนนั่นเข้ามารวดเดียว
แค่ชั่วพริบตากระต่ายน้อยก็กลับมาอยู่ในอ้อมแขนเขาตามเดิม
“หยุดนะ!” เจ้าลูกกระต่ายดิ้นสู้ เขาก็จับกดไว้ราวกับเป็นเรื่องสนุกสนาน
มือใหญ่ล้วงเข้าไปในผ้าห่มก่อนจะปลดกระดุมกางเกงสีขาวออกอย่างง่ายดาย
ถึงจะมีมือบางพยายามยื้อแย่งแต่ก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้น ส่วนเจ้าคนที่คิดจะเอาผ้าห่มมาปกป้องร่างกายกลับถูกผ้าห่มนั่นแหละพันตัวไว้จนดิ้นไปไหนไม่ได้เสียเอง
ไม่รู้จะน่าอนาถใจหรือน่าเอ็นดูดี
“อื้อ?!!” เจ้าลูกกระต่ายถึงกับผงะไปชั่วขณะเมื่อกางเกงถูกดึงผ่านเรียวขาออกมารวดเดียว
เขายกมันขึ้นมาดูทำให้เจ้าลูกกระต่ายมีโอกาสหนี
เขายังถือกางเกงสีขาวไว้ในมือก่อนจะเหล่มองใบหน้าตื่นๆของเจ้าคนที่พยายามจะขดตัวเข้าไปในผ้าห่ม...นี่ตั้งใจหนีแล้วใช่ไหมเนี่ย?
ร่างสูงสง่าค่อยๆกางแขนคร่อมทับลงไปอย่างอารมณ์ดี
ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้าไปสบตาดวงตาคู่สวยใกล้ๆ อีกฝ่ายก็ส่งสายตาดุๆแต่ก็กลัวๆกลับมา
"นะ ไหนพี่บอกว่าจะไม่ทำไงถ้าผมไม่ยอม ละ แล้วก็ มะ หม่าม้าบอกว่า
ห้ามชิงสุกก่อนห่าม ห้ามเสียตัวให้ใครจนกว่าจะได้แต่งงาน" เดี๋ยวนะ หม่าม้าของนายนี่มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมสอนลูกชายแบบนี้???
"ห้ามดื่มแชมเปญด้วย….? เฟยก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน?"
เจ้าลูกกระต่ายพูดงึมงำอย่างงงๆกับคำสอนของแม่ตัวเอง
"แล้วคิดว่าชั้นจะทำอะไรนายกันล่ะ หื๋ม?" เขาแกล้งนอนทับลงไปพร้อมกับพยายามดึงผ้าห่มออก
"พะ พี่...มะ ไม่ได้อยากจะทำ...เรื่องแบบนั้นกับผมงั้นเหรอ…"
เขาหัวเราะในลำคอให้ได้ยินก่อนจะกระซิบด้วยเสียงหยอกเย้า
"เจ้าลูกกระต่ายลามก"
"ลามกอะไรเล่า! คนที่จับคนอื่นแก้ผ้าต่างหากที่ลามก!" ใบหน้ามนหันมาโวยวายก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องกลัวเขาแล้วหดหัวเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง
"ชั้นแค่จะปลดเครื่องส่งสัญญาณติดตามตัว"
"เครื่องส่งสัญญาณ….ห๊ะ? อะไรนะ?
พี่ว่าเครื่องส่งอะไรนะ?" คราวนี้เจ้าลูกกระต่ายเป็นฝ่ายแหวกผ้าห่มออกมาเอง
"เครื่องส่งสัญญาณติดตามตัวนายไง" เขาลุกออกจากเตียงก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าของเฟยเฟยที่แขวนอยู่ในตู้ออกจนหมด
เขายังก้มหยิบเชิ้ตสีฟ้าที่เพิ่งถอดออกมาหยกๆนั่นไปด้วย ร่างสูงสง่าก้าวขาออกจากห้องทิ้งให้คนตัวเปล่านอนทำหน้างงอยู่บนเตียง
“ละ แล้วพี่จะเอาเสื้อผ้าผมไปไหน?! แล้วจะให้ผมใส่อะไร?
นี่! เอาคืนมานะ!” เสียงนุ่มตะโกนปาวๆอยู่ในห้องแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงผ้าห่มผืนเดียว
“งื้อ...หรือพี่อี้หยางจะเป็นโรคจิต ชอบให้คนที่ตัวเองชอบ
นอนแก้ผ้าอยู่ในบ้าน? อ๊า~ ไม่น๊า~~”
ได้ยินเสียงร้องดังอู้อี้อยู่ในโปงผ้าห่ม
“ด่าอะไรชั้นอีกแล้วใช่ไหม? เดี๋ยวพี่จะลงโทษนาย”
หวังอี้หยางเดินกลับเข้ามาในห้องใหม่พร้อมเสื้อผ้าในไม้แขวนเป็นสิบชุด
“ปะ เปล่า….” ใบหน้ามนบ่นงึมงำก่อนจะขดตัวหนีจนโผล่มาแค่ลูกตา
หวังเฟยเฟยมองนายใหญ่แห่ง Diamond crownอย่างไม่ไว้ใจนัก
“ตอนอยู่ที่นี่ ใส่ชุดที่ชั้นเตรียมให้ไปก่อน
ส่วนเสื้อผ้าของนายชั้นจะคืนให้วันที่นายกลับ” มือใหญ่แขวนเสื้อผ้าแบรนด์ที่คุ้นตาเข้าไปในตู้เสื้อผ้า
ชุดพวกนี้หวังเฟยเฟยก็คุ้นเคยดีเพราะเป็นสไตล์ที่ตนสวมใส่ประจำอยู่แล้ว
“ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยอ่ะ บางตัวก็เหมือนของผมเลย?” หวังอี้หยางยิ้มบางๆก่อนจะเดินมานั่งลงขอบเตียง
“เพราะเสื้อผ้าของนายทุกตัวเป็นชุดที่สั่งทำพิเศษน่ะสิ
นายคงไม่รู้ว่าป๊าม้านายแอบติดเครื่องส่งสัญญาณติดตามตัวเอาไว้ในเสื้อผ้าของนาย
แล้วแต่ละตัวก็มีปริมาณการส่งข้อมูลมากกว่าเครื่องส่งสัญญาณติดตามตัวปกติถึงสามเท่า
เรียกว่านายจะไม่มีทางหายไปจากจอเรดาห์แน่ๆถึงแม้จะมีระบบรบกวนสัญญาณของบ้านชั้นก่อกวนอยู่”
“ง่ะ...ทำไมปะป๊าหม่าม้าไม่เคยบอก? แบบนี้มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลกันชัดๆ!
ถึงว่า รู้ตลอดว่าเฟยอยู่ไหนทำอะไร ฮึ่ม...แบบนี้ต้องโทรไปโวยวายซักหน่อยแล้ว!”
“เค้าเป็นห่วงนาย ชั้นก็เห็นด้วยกับที่ป๊าม้านายทำนะ
ไม่งั้นชั้นจะตามตัวนายที่ซีแอตเทิลถูกได้ไง ปะป๊านายเป็นคนบอกให้ว่านายอยู่ที่ไหน”
“แต่ที่ชั้นต้องจำกัดการส่งสัญญาณติดตามตัวของนายตอนอยู่ที่นี่เพราะที่บ้านหลังนี้คือเซฟเฮ้าส์ของชั้น
ในป่าเขาแบบนี้ไม่ควรจะมีสัญญาณอะไรส่งออกไป
ถ้ามีใครจับสัญญาณได้ก็จะรู้ที่ซ่อนตัวของชั้นทันที” เจ้าลูกกระต่ายถึงกับหูผึ่งกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน
“....หมายความว่า...ไม่มีใครรู้เลยเหรอว่าพี่อยู่ที่ไหน?”
“ใช่”
"คุณลุงคุณป้าก็ไม่รู้?"
"ใช่" พ่อแม่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่
“มีแต่ผมที่รู้?”
“ใช่”
“......”
ใบหน้ามนนิ่งอึ้งไป
หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นเพราะรู้ความหมายของการกระทำเหล่านี้ดี
ความร้อนผ่าวลามขึ้นใบหน้าก่อนจะรีบพูดเล่นกลบเกลื่อน
“หึๆๆ เอาข้อมูลนี้ไว้แบล็กเมล์ดีมั๊ยน้า~” ใบหน้าหล่อเหลาจึงยื่นเข้าไปใกล้ๆ
เหลือบมองริมฝีปากอวบอิ่มด้วยสายตาไม่น่าไว้วางใจก่อนจะค่อยๆขยับใบหน้าขึ้นมาจับจ้องสายตาในระยะที่รับรู้ถึงลมหายใจของกันและกัน
ทำเอาหัวใจดวงน้อยถึงกับสั่นสะท้าน
“ถ้ากล้าก็ลองดู”
“อย่างที่บอก...ชั้นไม่โกรธนาย แต่จะลงโทษ”
“หงึ” ใบหน้ามนแยกฟันกระต่ายขู่ก่อนจะรีบขดตัวหนีไปไกลๆ
“ใส่เสื้อผ้าซะ เดี๋ยวไม่สบาย” มือใหญ่โยนชุดใหม่มาให้
“ก็ใครถอดเล่า…บอกกันดีๆก็ได้ ผมหัวใจแทบวายแล้วเนี่ย”
มือบางดึงเสื้อผ้าเข้าไปในผ้าห่มก่อนจะโวยวายชุดใหญ่ ดวงตาสุกใสมองเขาอย่างเคืองๆแต่เขากลับชอบใจ
ก็น่ารักแบบนี้ไงเขาถึงอดใจไม่แกล้งไม่ได้สักที
มือบางกดสวิตซ์ทำให้ไฟที่ฉายออกมาทั่วโต๊ะดราฟปิดลง
ปลายนิ้วเรียวดึงกระดาษแบบร่างออกมาจากใต้กระดาษวาดรูปที่ใช้จริง
นอกจากใช้ในการเขียนแบบแล้วพวกเขายังใช้โต๊ะดราฟไฟในการลอกลายอีกด้วย
หลักการก็ง่ายๆ ในโต๊ะดราฟจะมีหลอดนีออนอยู่3ดวง
ตัวโต๊ะเป็นกระจกหนากระจายแสง
เวลาใช้ก็เอากระดาษสเก็ตที่เต็มไปด้วยลายเส้นวุ่นวายพวกนั้นวางลงไปก่อนแล้วซ้อนทับด้วยกระดาษวาดรูปจริง
แสงที่ส่องผ่านโต๊ะกระจกออกมาจะทำให้มองเห็นลายเส้นที่อยู่บนกระดาษสเก็ตแผ่นล่างได้
เราก็ลากเส้นตามหรือจะปรับเส้นสายให้สวยกว่าเดิมก็ยังได้
ร่างโปร่งบางก้มลงไปหมุนปรับโต๊ะดราฟท์ให้เอนนอนลง
เขากำลังทำสเก็ตดีไซน์ส่งอาจารย์อยู่ มือบางเอื้อมไปหยิบโคปิคก่อนจะเริ่มลงสีรถซุปเปอร์คาร์ที่ออกแบบ
ทั้งคำอธิบายคอนเซ็ปต์ แรงกระทำที่ส่งผลกับการออกแบบ รูปด้าน perspective ถูกจัดวางอยู่ในหน้ากระดาษอย่างลงตัวและเข้าใจง่าย
ใบหน้ามนเหลือบมองกล่องใส่โคปิคแล้วก็ยิ้มแห้ง
นี่ไม่ใช่ของเขา
แต่เป็นของที่อยู่ในห้องนี้ซึ่งเขาเข้าใจทันทีว่านี่มันเป็นของที่เตรียมเอาไว้เพื่อเขา!
เพราะโคปิคไม่ใช่สีที่คนทั่วไปจะใช้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักวาด
ดีไซน์เนอร์ไม่ก็นักเรียนออกแบบอย่างเขานี่แหละที่จะใช้
แล้วปกติก็ไม่มีใครซื้อโคปิคมันทุกเฉดสีแบบนี้เพราะว่ามันแพง!
ดวงตากลมโตเหลือบมองผนังห้องข้างๆอย่างหมั่นไส้
สายเปย์จริงๆนะพี่ชายเขา เดี๋ยวก็ปอกลอกให้หมดตัวซะเลยนี่ หึๆๆ
เจ้าลูกกระต่ายหัวเราะอย่างชั่วร้ายอยู่ในมุมมืดโดยไม่เคยเอะใจเลยว่าใครกันแน่ที่จะ(โดนกิน)หมดตัว?
มือบางหยิบแท่งสีชอล์คขึ้นมาก่อนจะใช้คัตเตอร์ขูดจนผงมันกระจายเต็มกระดาษ
ทิชชูถูกขยุ้มเป็นก้อนก่อนจะขยี้ผงสีพวกนั้นจนทั้งกระดาษกลายเป็นสีที่สวยงาม...คิดดูสิ
ขนาดสีชอล์คยังมี
เขาจะเจอลามี่รุ่นลิมิเต็ดสีชมพูวางอยู่บนชั้นหนังสือก็ไม่แปลกละงานนี้!
เขาส่ายหน้าให้กับความใช้เงินเป็นกระดาษของผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย
มือบางหยิบปากกาตัดเส้นเน้นย้ำเงาในสเก็ตอีกนิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ดวงตาคู่สวยเหลือบมองนาฬิกาซึ่งบ่งบอกว่ายังเหลือเวลาอีกพอสมควรกว่าจะถึงเวลาส่งงาน
ส่วนใหญ่แล้วเขาใช้เวลาไม่นานในการทำสเก็ตดีไซน์
ไม่เหมือนคนอื่นที่ทำกันวินาทีสุดท้าย
ร่างโปร่งบางนั่งแกว่งขาอยู่หน้าโต๊ะดราฟ
ดวงตากลมโตเหลือบมองแท่งโคปิคอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้
มือบางจึงหยิบกระดาษออกมาวาดดอกกุหลาบลงไป
โคปิคเบอร์
R29
Lipstick Red ถูกหยิบมาใช้
แล้วไม่นานกระดาษขาวที่เคยว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีแดง…
ร่างในชุดนอนฮู้ดหูกระต่ายของกุชชี่วิ่งปรู๊ดถือกระดาษแผ่นนั้นไปยังห้องนั่งเล่น
หัวสีดำแอบยื่นไปมองอีกฝ่ายอยู่หน้าประตู พี่อี้หยางยังนั่งทำงานอยู่ที่โซฟาเหมือนเดิม
“เข้ามาสิ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเมื่อเห็นเจ้าตัววุ่นวายมาเอี้ยงๆมองๆแต่ไม่ยอมเดินเข้ามาสักที
ร่างโปร่งบางเหมือนพยายามซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง หวังอี้หยางจึงมองมันด้วยความสงสัย
ดวงตากลมโตช้อนมองเขาอย่างเอียงอายก่อนจะตัดสินใจยื่นกระดาษแผ่นนั้นมาให้...กุหลาบช่อใหญ่เบ่งบานอยู่ในนั้น…
"ผมไม่มีดอกไม้จริงจะให้...ผมเลยวาดมันขึ้นมา…" เจ้าลูกกระต่ายยืนบิดไปบิดมาในขณะที่เขานั่งอึ้ง
ที่หัวใจกำลังเต้นอย่างรุนแรงกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้
มันอาจจะเป็นสิ่งเล็กๆที่ไม่มีราคาในสายตาคนอื่น
แต่สำหรับเขาแล้วมันมีค่ามากมายเหลือเกิน…
อย่าลืมว่าเขาเคยตกหลุมรักและปักใจต่อหวังเฟยเฟยเพราะกระดาษสเก็ตแผ่นหนึ่งมาแล้ว
"ผมอยากขอบคุณพี่...ที่ช่วยผม…" ใบหน้ามนพูดกับเขาอย่างเขินอาย
เขามองทุกการขยับบนใบหน้าใสนั้นอย่างหลงใหล เขาจะรักอีกฝ่ายได้มากขนาดไหนกัน
เขาเองก็อยากรู้ เพราะทุกวันที่ผ่านมา เขายังคงรักเฟยเฟยมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อวานว่ารักมากแล้ว วันนี้ยังรักมากขึ้นไปอีก
“ชั้นจะเก็บกุหลาบช่อนี้ไว้อย่างดี…” เขาตอบด้วยเสียงสั่นน้อยๆ
“อ่ะ แล้วพี่ก็ไม่ต้องไปหาเพชรสีแดงมาทำกุหลาบช่อนี้นะ
ผมแค่วาดมันให้พี่เฉยๆ” คงจะนึกถึงสเก็ตล็อคเกตที่คอตัวเองได้สินะถึงได้พูดดักทางเขาไว้
เขาจึงยิ้มให้
"แล้วนี่พี่ทำอะไรอยู่? ผมมากวนรึเปล่า?"
ดวงตากลมโตเหลือบมองรูปถ่ายที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา
"เปล่า มานั่งนี่สิ" มือใหญ่ส่งรูปใบหนึ่งให้ดู
"สวยไหม?" เขาจงใจส่งรูปเจ้าของเพชร The
pink moonให้
"หื๋อ? ผู้หญิงคนนี้น่ะเหรอ?" หวังอี้หยางมองคนตรงหน้าพลางยกยิ้มรอดูว่าเฟยเฟยจะทำอะไร
"เดี๋ยวนะ พี่บอกว่าชอบเฟยไม่ใช่รึไง? แล้วมีรูปผู้หญิงคนอื่นได้ไง?
ไม่ได้นะ แค่เฟยคนเดียวก็วุ่นวายจะตายอยู่แล้ว
พี่จะมีบ้านเล็กบ้านน้อยไม่ได้นะ!"
"พรืด ฮ่าๆๆๆๆ" เขาถึงกับขำพรืดออกมาก่อนจะหัวเราะยกใหญ่
ปฏิกิริยาของเจ้าลูกกระต่ายเหนือความคาดหมายของเขาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
"งื้อ! หัวเราะอะไรเล่า! ถ้าคิดว่าผมจะใจดียอมให้พี่มีเมียน้อยละก็
เลิกคิดไปเลยนะ! ผู้ชายตระกูลหวังต้องรักเดียวใจเดียวแบบปะป๊าสิ!"
เจ้าลูกกระต่ายหน้านิ่วคิ้วขมวดและจริงจังในความเข้าใจผิดของตัวเองต่อไปจนเขาหยุดหัวเราะไม่ได้
ตัวเองเป็นเมียหลวงรึไง? ไม่ยอมให้เขากินแท้ๆนะเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย
เขาสูดลมหายใจเข้าช้าๆเพื่อเรียกความเยือกเย็นกลับคืนมา
ถ้าความสุขของคนเราคือการได้ยิ้มได้หัวเราะ
ก็คงมีแต่เฟยเฟยคนเดียวที่ทำให้เขามีความสุขได้
แค่อาทิตย์เดียวที่อยู่ด้วยกันมานี้ เขาก็หัวเราะเท่ากับสองปีที่อยู่กับคนอื่นแล้ว เขาหันไปจับจ้องดวงตาใสก่อนจะถามออกไปด้วยความจริงจัง
"บอกชั้นได้ไหม...ว่านายหึง รึว่านายหวงเหมือนที่หวงอี้คุน?"
"........"
เจ้าลูกกระต่ายหูผึ่งตอนได้ยินคำว่าหึง
แก้มใสมีสีแดงลามขึ้นมาเล็กน้อย ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มเข้าหากันอย่างใช้ความคิด
"สำหรับนาย...ชั้นกับอี้คุนต่างกันไหม?" เสียงทุ้มถามซ้ำอย่างต้องการคำตอบแต่ก็พยายามไม่กดดัน
ดวงตาคู่โตหลุบต่ำมองพื้นก่อนจะกรอกไปมา
อาการเหมือนจะอายๆมากกว่า
".....ก็ต้องต่างสิ...อี้คุนเป็นพี่ชายเฟยนะ แต่พี่ไม่ใช่ซักหน่อย…"
เสียงใสพูดงึมงำก่อนจะหันหน้าหนี
"งั้นก็ต้องเรียกว่าหึง?" เขาตามไปช้อนมองใบหน้าที่ก้มงุด
".........."
เขาอมยิ้มกับปฏิกิริยาที่เริ่มชัดเจนขึ้นทุกวันๆ
และเมื่อดวงตาโตเหลือบขึ้นมาอย่างเขินๆอายๆแล้วเจอสายตาเขาจ้องอยู่
มือกระต่ายก็รีบผลักเขาออกก่อนจะรีบทำตาดุเพื่อกลบเกลื่อนความเขินนั้น
"ไม่รู้แหละ ตลอดเวลาที่ชอบผม ห้ามชอบคนอื่น!" เขาพยายามหุบยิ้มแต่มันก็ทำไม่ได้จริงๆ
เจ้าลูกกระต่ายหึงได้น่ารักเกินไปแล้ว
"ครับๆ เข้าใจแล้วครับ หวังอี้หยางจะมีแค่หวังเฟยเฟยคนเดียวครับ พอใจไหม?"
"ดีมาก"
"ส่วนรูปนี่ ชั้นให้นายดูเพชรที่ผู้หญิงคนนี้ถืออยู่ต่างหาก"
เพล้งงงง...ได้ยินเสียงคนหน้าแตก...หลังจากนั้นเจ้าลูกกระต่ายก็อ้าปากค้างไปห้าวินาที
"ห๊ะ? ให้ดูเพชรหรอกเหรอ?!"
"ใช่ ผู้หญิงคนนี้จะขายเพชรเม็ดนี้ให้ชั้น มันชื่อว่า The pink moon
เป็นเพชรในตำนานที่สูญหายไปตั้งแต่สมัยพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษ"
"งื้อ! จะขายเพชรก็ถ่ายรูปเพชรมาสิ จะถ่ายรูปตัวเองมาทำไมเนี่ย?! ไม่บริสุทธิ์ใจชัดๆ!" ถึงได้บอกว่าเจ้าลูกกระต่ายนี่ทันคนและฉลาดเป็นกรด
เขาไม่ต้องอธิบายอะไรก็รู้เองได้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอื่นแอบแฝงในการซื้อขายเพชรกับเขา
"แล้วยังแต่งหน้าแต่งตัวจัดเต็มแบบนี้อีก
จงใจพรีเซ็นต์ตัวเองมากกกว่าเพชรแน่ๆ! ระวังโดนจับเถอะ!" เจ้าลูกกระต่ายทำหน้าแง่งๆใส่ผู้หญิงในรูปได้อย่างน่ารัก
"ทำไงดีล่ะ อาทิตย์หน้าชั้นนัดเจอกับเค้าเพื่อดูเพชรเสียด้วย"
"ฮึ่ม พี่เนี่ยน่าเป็นห่วงจริงๆ ไม่ทันมารยาหญิงเลยนะ! ไม่เป็นไร
เฟยจะไปด้วย พี่ไม่ต้องกลัวนะ เฟยจะปกป้องพี่เอง!" เขากลั้นขำจนไหล่สั่น นั่นไง ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน
ถึงเจ้าลูกกระต่ายจะทันคนอื่นแต่ไม่ทันเขาหรอก เขาอมยิ้มอย่างเอ็นดู
เพราะถูกเลี้ยงมาอย่างคุณหนูและมีทุกอย่างเหนือคนอื่นทำให้ลึกๆแล้วอาเฟยเป็นคนที่ไม่กลัวใคร
เพราะรู้อยู่ตลอดว่าตัวเองเป็นที่รักจึงไม่เคยสนว่าจะมีใครมาแย่งของของตนไปได้
กับเขาเองก็เหมือนกัน ถึงจะหึงได้น่ารักน่าชังแบบนี้แต่เจ้าลูกกระต่ายก็รู้ดีว่าจะไม่มีใครมาแย่งเขาไปจากตนได้
"ว่าแต่นายชอบไหม The pink moon เม็ดนี้"
เขาส่งรูปที่ถ่ายแต่เพชรชัดๆให้ดู
"สวยจัง…" ดวงตาของเจ้าลูกกระต่ายเป็นประกาย
เพราะมีพื้นฐานเป็นดีไซน์เนอร์อยู่แล้ว เฟยเฟยจึงรสนิยมดี
รู้ว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่างามล้ำค่า สวยแบบมีระดับ
"แพงไหมอ่ะ?"
"สามพันห้าร้อยล้านบาท" แท็บเล็ตในมือบางถึงกับร่วงผล็อยแต่เขาก็ยื่นมือไปรับไว้ได้ทัน
เจ้าลูกกระต่ายอ้าปากค้างกับราคาเพชรที่แพงหูฉี่...นี่คงไม่เคยรู้เลยสินะว่าไอ้ที่ห้อยอยู่ที่คอตัวเองน่ะ
มันแพงกว่านี้มาก
"ซื้อมาแล้วจะขายได้ไหมเนี่ย แพงขนาดนี้" เจ้าคนที่รู้ค่าของเงินบ่นใส่รูป
"สำหรับนักสะสมเพชร ราคาขนาดนี้ไม่ถือว่าแพงไปหรอก
แต่ชั้นก็ไม่ได้คิดจะขายต่อเสียด้วย"
"ห๊ะ? แล้วจะเก็บไว้ทำไม?"
"เก็บไว้ทำแหวนหมั้น"
"แค่ก!......." เจ้าลูกกระต่ายถึงกับสำลักอากาศ
ก่อนจะอ้าปากค้างจนฟันกระต่ายโผล่
"อะ เอาไปขายเลย แหวนหมั้นแค่กะรัตสองกะรัตก็พอแล้ว
ไม่ต้องแพงขนาดนี้ก็ได้!" พอได้สติกลับคืนมาก็บ่นทันที
"ช่วยออกความเห็นแบบนี้...แสดงว่าจะเป็นคนสวมแหวนหมั้นของชั้นให้สินะ?"
เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์
"ง่ะ…." ส่วนเจ้าลูกกระต่ายติดกับก็ได้แต่อ้าปากค้างอีกรอบ
เขามองใบหน้าคนถูกแกล้งอย่างเอ็นดู
“ไม่คุยด้วยแล้ว! ชอบเอาเปรียบเฟยตลอดเลย งื้อ!” เจ้าตัวดีปากยื่นปากยาวใส่ก่อนจะสะบัดหน้าหนี
มือบางหยิบหมอนอิงขนเป็ดของเขาเตรียมทำรังบนพรมหน้าโซฟา ทว่า…
“อ๊ะ…” จู่ๆเจ้าลูกกระต่ายก็ร้องออกมาเบาๆก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะๆลงไปบนริมฝีปาก
“เป็นอะไร?” เขาถามออกไป เจ้าลูกกระต่ายคว้าแท็บเล็ตก่อนจะใช้ส่องหน้าแทนกระจก
“ปากแห้งนี่เอง แตกลอกเป็นแผ่นๆเลยอ่ะ ทำไงดี ไม่ได้เอาลิปมันมาด้วย
พี่มีบ้างไหม?” เขาจะไปมีได้ไงล่ะ? เจ้าลูกกระต่ายบ่นง้องแง้งใส่แท็บเล็ตในขณะมองสำรวจริมฝีปากตัวเองไปทั่ว
เริ่มแล้วสินะเจ้าตัววุ่นวายประจำบ้าน เดี๋ยวหน้าลอก เดี๋ยวปากแตก เดี๋ยวผมแห้ง
เดี๋ยวคันแขน เดี๋ยวคันขา เดี๋ยวผื่นขึ้นหน้า
เรียกว่าอาสะใภ้ของเขาแทบไม่ต้องทำอะไร
แค่คอยดูแลเจ้าตัววุ่นวายนี่ก็หมดไปวันๆนึงแล้ว
“ไม่มีใครมีลิปมันบ้างเลยเหรอ? อยู่กันตั้งเยอะ?”
เจ้าลูกกระต่ายหันมามองเขาอย่างขอความช่วยเหลือแต่เขาก็มองกลับอย่างจนใจ...ถึงจะมีคนอยู่เยอะในบ้านหลังนี้แต่ก็เป็นผู้ชายล้วนๆไหม
แล้วนายดูหน้าโฉดๆของเจ้าพวกนั้นก่อนจะถามว่ามีลิปสติกไหมดีกว่า
เขาหันไปมองเจ้าอาเธอร์อย่างขอความช่วยเหลือต่ออีกทอด
ขนาดเจ้าคนที่เตรียมพร้อมทุกอย่าง มีแม้กระทั่งตาข่ายจับแมลงในบ้านยังส่ายหน้า
ก็คงไม่ต้องไปถามหาจากใครแล้ว
“ตอนบ่ายต้องออกไปซื้อของใช้กับอาหารเข้าบ้านนี่? งั้นก็ฝากซื้อลิปมาให้เฟยเฟยด้วยก็แล้วกัน”
เขาเอ่ยสั่ง
“ครับ” เลขาตอบรับก่อนจะหันไปถามเฟยเฟย
“คุณหนู...ใช้แบบไหนหรือยี่ห้ออะไรอยู่ครับ?” เขามองเจ้าอาเธอร์อย่างเข้าใจ
เพราะถึงพวกเขาจะแยกประเภทเพชรออกทันทีที่เห็น ตีราคาเพชรได้ในชั่ววินาที
แต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าลิปสติกมันมีกี่แบบกี่สีกี่ยี่ห้อ
เรื่องเครื่องสำอางค์ของผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องไกลตัวพวกเขามากๆ
“แบบไหนก็ได้ เจออะไรก็ซื้อมาเถอะ ร้านค้าน่าจะเปิดไม่เยอะ? ผมใช้แบบไหนก็ได้” ด้วยความไม่อยากเรื่องมากเจ้าลูกกระต่ายเลยตอบแบบนั้นไป
สถานการณ์แบบนี้แค่หาซื้อก็ลำบากแล้ว
เจ้าคนที่ยังส่องกระจกมองปากตัวเองจึงตอบอย่างไม่ใส่ใจ
โดยไม่รู้ตัวเลยว่านั่นคือการกระทำที่พลาดมหันต์!!
Mercedes-Benz
S-Class สีดำที่บรรทุกผักมาเต็มหลังรถกำลังวิ่งกลับบ้าน
นอกจากของสดที่ดูไม่ค่อยจะเข้ากับรถ
พวกน้ำยาทำความสะอาดเอยไม้ขัดส้วมเอยยังลามมาถึงเบาะหลังจนเหลือที่ไว้ให้คนนั่งได้เพียงคนเดียว
เดิมทีถ้าแค่อาหารหรือของใช้ในบ้าน
มีแค่พ่อครัวกับพ่อบ้านไปซื้อกันตามลำพังก็พอ
แต่เพราะวันนี้มีภาระกิจพิเศษที่สำคัญพอๆกับการซื้อขายเพชร
คุณเลขาอาเธอร์ผู้มีอำนาจเป็นรองแค่นายใหญ่ของบ้านถึงกับต้องออกมาจัดการเอง
จะปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด ริมฝีปากของคุณหนูเฟยเฟยนั้นสำคัญยิ่งกว่าเหมืองเพชรทั้งโลกเสียอีก!
ครึ่ก…
มือใหญ่ปัดไม้ขนไก่ที่เอียงมาโดนใบหน้าจากแรงสั่นสะเทือนของรถออกไป
ปกติไม่ได้ใช้รถนี่ในการออกไปซื้อของหรอก
แต่เพราะเขาต้องไปด้วยนี่แหละเลยต้องใช้มัน ภาพลักษณ์ของแบรนด์นั้นสำคัญ
ถึงเขาจะเป็นแค่เลขาแต่ว่านายก็บังคับให้เขาใช้แต่ของที่ดูดีมีระดับเท่านั้น
ใบหน้าคมคายทอดมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
นานแค่ไหนกันแล้วนะที่เขาติดตามคนคนนี้
เดิมทีเขาเป็นเพียงบอร์ดี้การ์ดที่นายใหญ่จ้างให้มาคอยคุ้มกันดูแลเด็กชายที่อยู่ตามลำพังในแคนาดา
เขาอยู่ข้างๆหวังอี้หยางมาตั้งแต่เด็ก ในความรู้สึกของเขาอีกฝ่ายเป็นทั้งเจ้านายเป็นทั้งน้องชายและยังเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขามี
เพราะฉะนั้นไม่ว่าหวังอี้หยางต้องการอะไร เขาก็พร้อมจะใช้ทั้งชีวิตของเขาหามาให้
และเขาก็รู้ว่าที่เจ้านายทำมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น หวังอี้หยางมีเป้าหมายที่ชัดเจนในใจมาตั้งแต่เด็กแล้ว
เด็กชายไม่ได้ก้าวเข้าสู่วงการค้าเพชรเพราะเป็นหน้าที่
ไม่ได้รับสืบทอดตระกูลหวังเพราะไม่มีใครเอา
แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อหวังเฟยเฟยเพียงคนเดียว
เขายังจำคำถามหนึ่งได้ดี
เด็กชายถามเขาหลังจากถูกอาแท้ๆพาตัวไปรักษาอาการป่วยที่อิตาลี
‘อาเธอร์...ถ้าผมอยากได้สิ่งหนึ่งซึ่งยากมากๆมาไว้ในครอบครอง...ผมควรจะต้องทำยังไง…’
‘นายน้อยก็จะต้องทำให้โลกนี้ไม่อาจปฏิเสธนายน้อยได้
แล้วสิ่งที่นายน้อยต้องการก็จะไม่มีวันหลุดมือไปไหน’
‘โลก...ที่ไม่อาจปฏิเสธผมได้...สินะ…’
ตั้งแต่วันนั้นมา
เขาก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเจ้านายตัวน้อย
เด็กชายไม่ได้ดันทุรังที่จะทำเรื่องต่างๆจนไม่สนใจอะไรอีก
แต่กลับค่อยๆวางแผนและทำตามเป้าหมายของตัวเองอย่างสุขุมและใจเย็น
ค่อยๆผ่านการเจียระไนจนกลายเป็นเพชรยอดมงกุฏอย่างแท้จริง
ใบหน้าคมคายอมยิ้มอย่างเต็มภาคภูมิ
ความรู้สึกเหมือนแม่ที่ได้เห็นลูกชายเติบใหญ่คงไม่หนีไปจากนี้เท่าไหร่?
ผู้ที่ได้ชื่อว่ามือขวาของหวังอี้หยางก้มมองกล่องใส่ลิปสติกอย่างภาคภูมิใจ
นี่ก็คืออีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดงที่เขาและคนทั้งบ้านช่วยกันออกความเห็นแล้วเลือกมาให้
ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน
ถึงจะเป็นหนุ่มโสดกันทั้งบ้านและยังไม่มีใครเคยมีภรรยา
แต่แค่พี่สาวน้องสาวแม่น้าหรือย่ายาย ชายโฉดอย่างเจ้าพวกนั้นก็ต้องมีบ้างแหละไหม? เขาถามมาหมดทุกคนแล้วว่าอาเจ้อาม่าอาม้าของเจ้าพวกนั้นใช้ลิปสติกแบบไหนกัน
นี่คือการระดมความคิดของคนทั้งบ้านเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นเขายังหาข้อมูลในเนตมาอย่างดี
เข้าไปดูทั้งเรตติ้ง สถิติ ความนิยม คุณสมบัติ
นี่คือลิปสติกที่เหมาะกับความต้องการของคุณหนูเฟยเฟยที่สุดในโลกแล้ว!
“ได้ลิปมาให้เฟยไหมคุณอาเธอร์~” ว่าที่นายหญิงของเขากระโดดเป็นกระต่ายเข้ามาหาด้วยท่าทางร่าเริงเมื่อเขากลับถึงบ้าน
“ครับ” เลขามือพระกาฬหยิบกล่องลิปสติกยื่นให้ด้วยความภาคภูมิใจ
แต่คนที่ยื่นมือมารับนี่สิถึงกับผงะไปห้าวินาที….
หวังเฟยเฟยมองกล่องพลาสติกใสที่ใส่ลิปเอาไว้ด้วยอาการนิ่งค้าง...ทำไมลิปมันไม่เป็นแท่งแต่เป็นขวด?
เดี๋ยวนะ...นี่มันลิปกลอสไม่ใช่เหรอ?
ทำไมถึงได้ลิปกลอสมาซะงั้นละเฮ้ย?!
ฝากให้ซื้อลิปมันไม่ใช่เร๊อะ??!
“ตัวนี้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นมันวาวให้กับริมฝีปากด้วยนะครับ
รับรองว่าปากจะไม่แตกลอกอีกแน่นอน” คุณเลขายังมีหน้าบรรยายสรรพคุณต่อ
และเมื่อใบหน้ามนเงยมองไปรอบๆ
ได้เห็นสายตาลุ้นระทึกของการ์ดทั้งบ้านที่อุตส่าห์ช่วยกันคิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มแหยๆพลางบอกว่า
“ขะ ขอบคุณมากครับ นี่ก็ใช้ได้เลย...” ใบหน้าหวานยิ้มแห้งมีเหงื่อแตกเต็มขมับ
แล้วพอกลับมาถึงห้องได้ก็ต้องเอามือกุมหัวพลางตะโกนก้องในใจ
พลาด!!!
เขาพลาดอย่างแรงมากที่วานชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ดุโฉดโหดเถื่อนพวกนั้นไปซื้อลิปสติกให้!
ก็เขาไม่คิดว่าจะมีใครในโลกที่ไม่รู้จักลิปมันนี่!
ทีเรื่องเพชรยังเล่าได้เป็นฉากๆแล้วทำไมแค่ลิปมันถึงไม่รู้จักเนี่ย?!!
เขาจะจำไว้
ว่าอย่างเจ้าพวกนั้นให้ไปซื้อกระสุนได้อย่างเดียว! แง๊~
ดวงตากลมโตเหลือบมองลิปกลอสสีสตอเบอร์รี่ที่อยู่ในกล่องใสพลางมีเหงื่อแตกพลั่ก...แต่พอเหลือบมองปากตัวเองในกระจกแล้ว...ไม่ใช้ก็คงไม่ได้…
มือบางหยิบกล่องมาแกะอย่างจนใจ
ลิปกลอสไม่เหมือนลิปสติกทั่วไป
มันไม่ได้เป็นแท่งแต่เป็นของเหลวที่อยู่ในขวดเรียวยาว
แล้วเขารู้วิธีใช้ได้ยังไงน่ะเหรอ? นั่นก็เพราะในพิตม้าลำพองเองก็มีคนที่ทาลิปกลอสตลอดเวลาอย่างอาคะชูอยู่น่ะสิ!
ปลายนิ้วบิดปากขวดก่อนจะดึงก้านมันออกมาช้าๆ
ปลายอีกด้านที่เป็นขนฉ่ำเยิ้มไปด้วยลิปสีสตอเบอร์รี่ใส
เขาค่อยๆแตะมันลงบนริมฝีปากช้าๆ...แตะจากตรงกลางแล้วค่อยๆลากไปข้างซ้าย...แตะจากตรงกลางแล้วค่อยๆลากไปข้างขวา
ดวงตากลมโตหลุบต่ำมองริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัวว่าทุกการเคลื่อนไหวนั้นเซ็กซี่ขนาดไหนและทำให้ใครบางคนแทบจะหยุดหายใจได้…
ริมฝีปากอิ่มเผยอออกน้อยๆจนมองเห็นฟันกระต่ายน่ารัก
ก้านลิปกลอสถูกจุ่มลงไปในขวดก่อนจะดึงมันออกมาพร้อมลิปฉ่ำน้ำ
มือบางแตะมันลงกลีบปากด้านบนช้าๆ...ลากตามแนวโค้งไปทางขวา
แล้วค่อยกลับมาลากไปทางซ้าย...
เสร็จแล้วมั้ง? ใบหน้ามนเอียงซ้ายเอียงขวาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย
ประกายกลิตเตอร์และเนื้อลิปมันวาวฉาบไล้อยู่บนริมฝีปาก
สีมันสวยน่ากินยังไงบอกไม่ถูก เหมือนเยลลี่นุ่มหนึบเลย?
ขนาดดูเองยังรู้สึกใจเต้นแปลกๆ
แล้วกับคนอื่นจะเป็นยังไงนะ?
ไม่ต้องใช้เวลาพิสูจน์เยอะ
เพราะตอนนี้หวังอี้หยางที่ยืนนิ่งค้างอยู่ที่ประตูนั้นแทนทุกคำตอบ…
ดวงตาคมกล้าจ้องมองใบหน้ามนราวกับถูกสะกด….สีอมชมพูสดใสทำให้ริมฝีปากอวบอิ่มยิ่งดูชุ่มฉ่ำมันวาว
“น่าจูบ” เข้าไปใหญ่ ลำคอแกร่งลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
ในหัวเขากำลังถูกควบคุมด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าจากกลีบปากที่น่าหลงใหลนั่น...
เขาพยายามแล้ว...พยายามอดทนอย่างถึงที่สุดแล้วแต่ก็ทนต่อแรงกระตุ้นเร้าจากภายในไม่ไหว
สองขาจึงขยับเข้าไปใกล้ๆแล้วกระซิบข้างใบหู
“ทาให้ชั้นบ้างได้ไหม?”
“เอ๊ะ?” ดวงตาคมกล้าจ้องมองริมฝีปากน่าจูบนั่นราวกับต้องมนต์จนเจ้าของมันได้แต่เขินจนไม่กล้าสบสายตา
“ก็...ก็ได้อยู่หรอก…” มือบางกำลิปกลอสที่อยู่ในมืออย่างตั้งใจจะยกขึ้นมา
ทว่า ก็ไม่ทันใบหน้าหล่อเหลาที่ขยับเข้าหาอย่างรวดเร็ว
ตุบ…
ขวดลิปกลอสตกลงบนพื้นท่ามกลางทุกอย่างที่นิ่งค้างราวกับถูกหยุดเวลาไว้
ดวงตาคู่โตเบิกกว้างยิ่งกว่าไข่ห่านกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ริมฝีปากของนายใหญ่แห่งDiamond crownกำลังแตะค้างอยู่บนกลีบปากนุ่มชุ่มฉ่ำ
ลิปสีชมพูใสเหนียวหนืดทำให้ริมฝีปากค่อยๆดึงดูดแนบเข้าหากันช้าๆ...ช้าๆ….
ใต้แผ่นอกซ้ายเต้นกระหน่ำจนไม่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
เหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนคว้างอยู่ในสายไหมสีชมพูจางๆ
เพราะไม่ทันตั้งตัวมาก่อนทำให้ไม่รู้จะรับมือยังไง
ร่างโปร่งบางจึงทำได้แค่ยืนตัวแข็งทื่อทั้งๆที่ตื่นเต้นจนสติสตังลอยไปถึงดาวอังคารได้แล้ว…
ทางฝั่งหวังอี้หยางเองก็ไม่แพ้กัน
เขาไม่เคยคิดว่าจูบแรกจะเกิดขึ้นในรูปแบบนี้
เขาไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนแต่เป็นเพราะทนต่อเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเองไม่ไหว
พ่ายแพ้ต่อริมฝีปากที่น่าหลงใหลนั่น
หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดั่งภูผาถึงได้กำลังเต้นแรงราวกับพสุธาจะถล่มแบบนี้
กลีบปากที่นุ่มนิ่มนี่ก็ทำให้เขารู้สึกมึนเมายิ่งกว่าดื่มเหล้าเพียวๆเข้าไปทั้งขวด
แค่แตะไว้เฉยๆยังชวนลุ่มหลงขนาดนี้
คงไม่ต้องบอกแล้วว่าเขารักและต้องการเฟยเฟยมากขนาดไหน
เขาหลับตาลงช้าๆอย่างต้องการดื่มด่ำไปกับห้วงเวลาที่หวานล้ำและสำคัญนี้
นี่คือจูบแรกของเขาและเป็นจูบแรกของเฟยเฟยด้วยเช่นกัน เขาต้องการฝังมันไว้ในหัวใจของเราทั้งคู่ว่ามันรู้สึกดีแค่ไหน...และจะไม่มีวันลืมแลือนมันไปแน่นอน
ต่อให้ผ่านไปไม่รู้กี่นาทีแต่หัวใจทั้งสองดวงก็ยังเต้นอย่างรุนแรง
ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆถอยออกมาช้าๆ
ถอยออกมาพอให้มีระยะในการหายใจ...เขายังคงจ้องมองใบหน้ามนในระยะใกล้แสนใกล้ไม่วางตา…
ลิปสติกเนื้อมันวาวติดอยู่ที่ปากเขาจางๆ
กลิ่นหอมหวานของมันยังอบอวลอยู่รอบตัวและคงจะติดตรึงอยู่ในใจเขาไปอีกนานแสนนาน
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการจูบจะทำให้หัวใจของคนเราสามารถเข้าใกล้กันได้ขนาดนี้
เขายังไม่ได้พูดคำว่ารักแต่ก็เหมือนบอกรักออกไปจนหมดเปลือก
มันไม่ใช่แค่ริมฝีปากที่สัมผัสกันแต่มันเป็นการเชื่อมต่อระหว่างหัวใจสองดวงต่างหาก
“ขอบคุณที่ทาลิปให้นะ” เขายกยิ้มอย่างหยอกเย้าทำเอาคนที่กำลังเขินหน้าดำหน้าแดงยกมือขึ้นมาฟาดเขาเบาๆ
“วิ...วิธีทาลิปของพี่นี่มันยังไงเนี่ย…” เจ้าลูกกระต่ายก้มหน้างุด
ทั้งเขินทั้งอายทั้งตื่นเต้นตกใจ
ความรู้สึกทุกอย่างมันเปลี่ยนเป็นความร้อนที่ฉาบไล้อยู่บนใบหน้ามนจนแดงเข้มไปหมดทั้งหน้า
“วิธีนี้ชั้นให้นายทาให้แค่คนเดียวนะ” เขายังคงจ้องหน้าเฟยเฟยอย่างอารมณ์ดี
คนเขินก็เสหลบลุกลี้ลุกลนไปหมด
“งื้อ”
“จากนี้ก็มาทาให้ทุกวันดีไหม?” เสียงทุ้มหยอกล้อด้วยความอ่อนโยน
“ไม่เอา...แง๊ หน้าจะระเบิดตายอยู่แล้วเนี่ย” มือบางยกขึ้นมาปิดหน้าก่อนจะหันหนี
แม้แต่หูทั้งสองข้างก็แดงจัด
“รู้ใช่ไหม ว่ามันคือจูบ?” เขายังขยับใบหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆ
เพราะบางครั้งเจ้าลูกกระต่ายก็มึนอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาจึงต้องย้ำให้แน่ใจว่าความสัมพันธ์ของเรามันไปถึงขั้นไหนแล้ว
“รู้….” เสียงงึมงำดังรอดออกมาจากฝ่ามือที่ปิดหน้าอยู่
“จูบแรกของนาย เป็นของชั้นแล้วนะ เฟยเฟย” เสียงทุ้มจงใจกระซิบใส่ใบหู
“งื้อ! อย่าย้ำสิ! เดี๋ยวเฟยก็ตายเพราะใจเต้นแรงเกินไปหรอกเนี่ย ไปห่างๆเลย”
มือบางยันตัวเขาออกมาก่อนจะกลับไปปิดใบหน้าใหม่
เขานั่งยิ้มมองเจ้าลูกกระต่ายขี้อายอย่างอิ่มใจ
ขอแค่เวลานี้...ขอแค่มีความสุขเล็กๆน้อยๆอยู่ด้วยกัน...แค่นั้นก็เป็นแรงผลักดันมหาศาลที่จะทำให้เขาต่อสู้กับคนทั้งโลกได้แล้ว
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร…
เขาจะรักเฟยเฟยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง…
เขาจะจับมือคู่นี้เอาไว้...ต่อให้ใครจะว่ายังไงเขาก็ไม่มีวันปล่อย…
ต่อให้ฟ้าดินสิ้นมลาย...หัวใจดวงนี้ก็จะมีเพียงนายนะ
เฟยเฟย…
ที่รักของฉัน...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
แอบแปะคลิป
Ferrari
812 GTS ให้ดูด้วยค่ะ รุ่นนี้หล่อมาก
เหมาะจะขับเปิดประทุนอยู่ในป่าสนแคนาดาสุดๆ =q= นึกภาพพี่อี้หยางขับกับน้อนเฟยนั่งข้างๆแล้วแบบ...งื้ออออ
ลงไปดิ้นอีกรอบ >////< (ปล.คุณกวางไม่ใช่เซลล์ขายรถนะ555
ไม่ได้มีโฆษณาแอบแฝงแต่อย่างใด แต่ชอบคิดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของตัวละคร แบบ
คนนี้ใช้รถรุ่นไหนดีนะ สีอะไรดี ภาคก่อนๆมีแม้แต่เสียงริงโทน 555)
Ferrari 812 GTS - Official Video
แล้วก็…มีคลิปบรรยากาศของป่าฝนในแคนาดามาช่วยส่งเสริมจินตนาการด้วยค่ะ กร๊ากกกก เนี่ย รอบๆบ้านของพี่อี้หยางเป็นป่าแบบนี้ค่ะ
Great Bear Rainforest in 4K - Exploring British Columbia, Canada | DEVINSUPERTRAMP
สวยเนอะ =q=
นอกจากป่าแล้วเรายังมีต้นแบบบ้านของพี่อี้หยางมาให้ดูด้วย >////< ตอนเขียนก็คือใช้อิมเมจบรรยากาศภายนอกของบ้านหลังนี้เลยค่ะ Fallingwater
House ผลงานการออกแบบของแฟรงค์ ลอยด์ ไลท์ค่ะ
เด็กถาปัดทุกคนต้องรู้จักบ้านหลังนี้555 Place to see before you
die. ไม่เกินจริง =q=b
จริงๆอยากเขียน
520km/hr.ของอี้คุนด้วย อยากจะกลับไปสนาม F1 กันเสียหน่อย555
มีสตอรี่นึงของการแข่งF1ที่อยากเล่ามากค่ะ
เพิ่งเกิดเมื่อปลายฤดูกาลที่แล้วนี่เอง ตอนดูนี่คืออยากจะกรี๊ดมาก
ทำกับน้อนแบบนี้ได้ยังงัย แง๊ 520bpm.ของป๊าม้าก็อยากเขียน
เห็นมีคอมเม้นต์รีเควส(?)มาว่าอยากอ่านตอนปะป๊าสิงโตกับหม่าม้ากระต่ายเลี้ยงเบบี๋กันว่ามันจะเป็นยังไง
555 // คุณกวางต้องใจเย็ลๆ ถถถ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามมากๆๆนะคะ
เขินมาก ปลื้มมากทุกๆคอมเม้นต์ที่ได้อ่านเลยค่ะ >/////< คอมเม้นต์จาก
17ฝนป๋อจ้าน ก็เห็นแล้วนะคะ ขอบคุณมากๆๆ
อยากเขียนเรื่องนั้นต่อมากเลยค่ะ =q=
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า อาทิตย์นี้มีแข่งF1สนามโมนาโคค่ะ
ไม่ได้เจอสนามนี้มาหนึ่งปี คิดถึงมว๊ากกกก ปีที่แล้วเจอโควิดเลยยกเลิกสนามนี้ไปค่ะ
เป็นสตรีทเซอร์กิตที่ดีงามมากอยากให้ไปดูกัล =q=b
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น