ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 520 CARAT again.[Part 1]

 

 ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 520 CARAT again.[Part 1]

 

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au

: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน

: Romantic

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ

           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค

 

 


GLIDE : 2x4 It’s me : Special Episode :

 

“520 กะรัต

 

.

.

.

 

 

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ได้ลุกลามไปทั่วยุโรป ทำให้ในหลายๆประเทศตอนนี้ได้ตัดสินใจล็อคดาวน์ทั้งประเทศ ล่าสุดทางรัฐบาลของอิตาลีก็ได้ออกมาแถลงการแล้วว่าจะเริ่มทำการปิดประเทศตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป งดการเดินทางเข้าออกโดยเฉพาะทางภาคเหนือซึ่งเป็นจุดแพร่ระบาดหลักของไวรัสอย่างมิลาน

 

เสียงของผู้ประกาศข่าวดังหึ่งๆอยู่ตามทีวีLEDที่ติดอยู่ตามมุมต่างๆของสนามบินซีแอตเทิล-ทาโคม่า ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นไม่ได้เรียกร้องความสนใจของใครได้เลยเพราะทุกคนที่เดินอยู่ในอาคารผู้โดยสารตอนนี้ต่างก็กำลังเร่งรีบ โดยเฉพาะที่หน้าเคาน์เตอร์ของสายการบินที่จะเดินทางไปประเทศในแถบยุโรปต่างก็กำลังวุ่นวายถึงขีดสุด

 

ขอโทษนะคะ เที่ยวบินของคุณเพิ่งออกไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วนี่เอง…”   พนักงานของสายการบินพยายามอธิบายอย่างใจเย็นให้คณะทัวร์กลุ่มหนึ่งซึ่งมีราวๆ20กว่าชีวิตฟัง ลูกทัวร์ที่ได้ยินต่างก็ยังไม่ทันได้แสดงสีหน้าตกใจเพราะตอนนี้ทุกคนกำลังพยายามกอบโกยอากาศเข้าปอดอยู่ พวกเขาวิ่งลากกระเป๋าเดินทางจากรถบัสจนมาถึงนี่ก็ราวๆหนึ่งกิโลได้ จะไม่ให้เหนื่อยเจียนตายได้ยังไง

 

แฮ่ก...แฮ่ก...ครับ ผมทราบแล้วครับ เป็นความผิดพลาดของพวกผมเอง...แฮ่ก แฮ่ก...ที่ผมอยากรู้ก็คือ...ยังมีเที่ยวบินไปมิลานอีกไหมครับ”   คนที่ดูเป็นผู้นำเอ่ยถามพลางหอบหายใจหนักหน่วง ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อไหลเยิ้ม ดวงตาภายใต้แว่นกรอบหนาจ้องมองพนักงานสาวอย่างมีความหวังและลุ้นระทึกไปพร้อมกัน แต่พนักงานสาวแทบจะไม่ต้องคีย์ข้อมูลหา ริมฝีปากสีแดงก็ตอบกลับมาแทบจะทันที

 

ไม่มีแล้วค่ะ”  คำตอบที่ได้รับทำเอาคนที่ได้ยินต่างมองหน้ากันอย่างหวาดหวั่น นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ถ้าหาตั๋วกลับบ้านไม่ได้แล้วต้องติดอยู่ที่นี่คงแย่แน่ๆ

 

ถ้างั้น...แฮ่ก แฮ่ก...ลงที่ไหนในอิตาลีก็ได้ครับ”   หัวหน้ากลุ่มยังคงถามออกไปอย่างไม่หมดหวัง

 

ต้องขออภัยด้วยจริงๆนะคะ แต่เที่ยวบินเที่ยวสุดท้ายที่บินไปอิตาลีเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ ตอนนี้อิตาลีปิดพรมแดนและงดเดินทางเข้าออกแล้ว เราจึงไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบินได้แล้วจริงๆค่ะ

 

งั้นก็หมายความว่า….”   พวกเขาทั้งหมดต้องติดอยู่ในสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลาที่สถานการณ์เลวร้ายไปทั่วโลกแบบนี้? คำตอบที่น่ากังวลต่างแพร่กระจายอยู่ในสมองของลูกทัวร์ทุกคนที่กำลังยืนนิ่งค้าง

 

เอ่อ...ทางเราต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย…”   พนักงานขอโทษขอโพยทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ผิดอะไร ถ้าจะถามกันตรงๆละก็คนที่ผิดมันก็คือพวกเขาเองที่มาไม่ทันทั้งๆที่มีตั๋วเครื่องบินอยู่แล้ว

 

หัวหน้ากลุ่มถอยออกมาอย่างคอตก ที่วิ่งมายังไม่ทันจะหายเหนื่อยก็ต้องมาพบกับข่าวร้ายซ้ำอีก เพราะงั้นต่อให้เป็นศาสตราจารย์ทางด้านอากาศพลศาสตร์ที่เก่งกาจเพียงใด มาเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าก็ต้องมีหัวตื้อกันบ้างเป็นธรรมดา

 

พวกเธอพักเหนื่อยกันก่อน ขออาจารย์คิดก่อนว่าจะเอายังไงดี”   คนที่ดูมีอายุสองสามคนหันไปปรึกษาหารือกันปล่อยให้ที่เหลือนั่งบ้างยืนบ้างรอบๆกองกระเป๋าเดินทาง

 

ถ้ามองดูให้ดีๆก็จะเห็นว่าคณะทัวร์กลุ่มนี้มีแต่หนุ่มๆสาวๆอายุราวๆ20ปีแทบทั้งนั้น ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่กรุ๊ปทัวร์ท่องเที่ยวธรรมดา แต่พวกเขาคือนักศึกษาภาควิชาออกแบบรถ คณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังในอิตาลี ทั้งกลุ่มนี้คือนักศึกษาชั้นปีที่สองที่เดินทางมาดูงานในซีแอตเทิลตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

 

โทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้เจ้าของมันค่อยๆปลีกตัวออกมาเพื่อรับโทรศัพท์  ตอนนี้ใบหน้ามนเต็มไปด้วยความเครียด กังวล กลุ้มใจ แต่ถึงจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดยังไง หวังเฟยเฟยวัย20ปีก็ยังงดงามไร้ที่ติ ปากนิดจมูกหน่อยลงตัวน่ามองไปหมด

 

อี้คุน…”   เสียงนุ่มกระซิบเบาๆใส่โทรศัพท์ ไม่ต้องดูก็รู้ว่าใครโทรมา คนที่จะคอยโทรเช็คเขาสามเวลาหลังอาหารก็มีอยู่แค่คนเดียวนี่แหละ และตอนนี้การที่ได้ยินเสียงของพี่ชายฝาแฝดก็ทำให้เขาเบาใจขึ้น

 

เจ้าลูกกระต่าย?”  เสียงทุ้มตอบกลับมาแบบมึนงง

 

อื้อ…”

 

เดี๋ยวนะ ชั้นแค่จะโทรมาเช็คเฉยๆ แต่ทำไมนายถึงรับโทรศัพท์ได้ล่ะ? ไม่ใช่ว่าตอนนี้นายต้องอยู่บนเครื่องบินแล้วหรอกเหรอ? นายควรจะต้องบินอยู่เหนือมหาสมุทรแอตแลนติกแล้วสิ?”   หวังอี้คุนมีน้ำเสียงประหลาดใจ

 

ก็ไม่ได้อยู่บนเครื่องน่ะสิ…”   มือบางยื่นโทรศัพท์ออกห่างๆใบหูอย่างรู้ทันเมื่อพูดจบ

 

ห๊าาาาาา!!!”   นั่นไง เจ้าพี่ชายฝาแฝดตะโกนดังลั่นจริงๆด้วย

 

อย่าแหกปากสิ หูจะแตกแล้วเนี่ย…”

 

ทำไมถึงยังไม่ขึ้นเครื่อง? เที่ยวสุดท้ายที่จะบินมาอิตาลีมันออกมาแล้วไม่ใช่เหรอ?!”

 

ก็มัวแต่ตามหาเพื่อนที่หลงทาง ก็เลยตกเครื่องกันทั้งคณะเลยเนี่ย...ทำไงดีอ่ะอี้คุน…”   มือบางยกขึ้นมาป้องปากพลางหันไปกระซิบกระซาบเพื่อไม่ให้คนอื่นๆในกลุ่มได้ยิน

 

บ้าเอ้ย! คิดว่าชั้นอุตส่าห์รีบจองตั๋วเครื่องบินให้พวกนายทันทีหลังจากรู้ข่าวไปเพื่ออะไรเนี่ยรู้งี้ชั้นกลับพร้อมนายก็ดี!"   อันที่จริงอี้คุนตามเขามาด้วยและอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อเช้า เจ้าลูกสิงโตต้องกลับไปก่อนเพราะโดนทีมแข่งF1ของตัวเองเร่งเร้าให้รีบกลับเข้าอิตาลีจะได้ไม่มีปัญหา อี้คุนเลยต้องกลับไฟล์ทเช้าสุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังไม่วายจองตั๋วให้พวกเขาก่อนที่ตัวเองจะกลับไปด้วย

 

"ไอ้เวรตัวไหนมันหลงทางวะ?!”   อี้คุนยังไม่เลิกโวยวาย ดูท่าทางคงหงุดหงิดน่าดู เพื่อนๆในภาควิชาของเขาต่างก็เคยชินกับการที่อี้คุนคอยวนเวียนอยู่ข้างๆเขาประหนึ่งมาเรียนด้วยกัน กิตติศัพท์ความหวงน้องของหวังอี้คุนนั้นดังกระฉ่อนไปทั่วอาณาจักรจนไม่มีใครไม่รู้

 

ก็หมอนั่นแหละ…”   เขาเอ่ยด้วยเสียงหน่ายๆ แน่นอนว่าอี้คุนรู้จักเพื่อนร่วมภาควิชาของเขาทุกคนและเมื่อเขาพูดออกไปแบบนี้ พี่ชายฝาแฝดก็เข้าใจทันที

 

อ่อ ไอ้%&!%##!!!…..”   ไม่แปลกที่อี้คุนจะด่าหยาบคายเมื่อพูดถึงเพื่อนคนนั้นของเขา

 

เพราะหมอนั่นแอบชอบเขา

 

ตลอดมาก็คอยมองเขาด้วยสายตาแปลกๆชวนขนลุก เขาไม่ชอบเลยจึงพยายามอยู่ห่างๆ อี้คุนเองก็คอยกันให้ตลอดแต่หมอนั่นก็ยังไม่เลิกลา

 

เขาไม่อยากจะคิดในแง่ร้าย แต่มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าหมอนั่นจะแกล้งหลงทางจนพวกเขาตกเครื่องบินกันทั้งคณะ เพื่อที่พวกเขาจะได้ติดอยู่ที่นี่ ในที่ที่อี้คุนจะคอยมาขวางให้ไม่ได้อีก

 

มือบางยกขึ้นมาลูบแขนให้ขนที่ลุกชันนอนลงไป ถ้าหมอนั่นโรคจิตขนาดนี้แล้วเขาจะทำยังไงดี เพื่อนคนอื่นๆก็คงจะปกป้องเขาไม่ได้มากนัก ไม่มีอี้คุนอยู่ด้วยแล้วเขาจะทำยังไงให้รอดไปได้กัน

 

อาจารย์เริ่มไล่ต้อนพวกเขาให้เข้าไปรวมกลุ่ม ดูท่าคงหาข้อสรุปได้แล้วสินะ

 

ต้องไปขึ้นรถกลับเข้าเมืองแล้ว ต้องวางสายแล้ว ชั้นไม่อยากติดอยู่นี่เลยอ่ะอี้คุน ชั้นกลัว ทำไงดี…”   น้ำเสียงของเขาบ่งบอกว่าเขากังวลจริงๆ

 

“....ไว้ชั้นจะลองหาทางดู อย่าปิดมือถือล่ะ”   อี้คุนตอบกลับมาด้วยเสียงหนักแน่นและพึ่งพาได้ ถึงจะพอทำให้รู้สึกไม่เคว้งคว้างแต่ก็ยังกังวลอยู่ดี

 

อื้อ

 

 

 

 

 

 



หวังอี้คุนวางสายไปด้วยความหงุดหงิดจนอยากจะฟาดงวงฟาดงา นี่ถ้าปะป๊ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคงได้มีคนโดนหักคอแน่ๆ

 

เจ้าลูกกระต่ายยิ่งโตก็ยิ่งเนื้อหอม ใบหน้าสวยหวานและบุคคลิกน่าแกล้งน่ารังแกดึงดูดทั้งผู้ชายและผู้หญิง ดึงดูดทั้งคนปกติและคนแปลกๆ และเขาบอกได้เลยว่าเจ้าแว่นที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องนี้มันไม่ปกติ!

 

เขารู้มานานแล้วว่าเจ้าแว่นนั่นชอบอาเฟย แต่จะให้ทำยังไงได้ จะไปไล่มันออกจากคณะก็ไม่ได้ จะให้มันเลิกมาเรียนก็ไม่ได้ เขาเลยทำได้แค่คอยอยู่ข้างๆอาเฟยเพื่อข่มขู่มันและใครก็ตามที่คิดจะเข้ามาจีบ 

 

เจ้าลูกกระต่ายก็รู้ตัวและพยายามอยู่ห่างๆแล้ว แต่คิดว่าหมอนั่นน่าจะตั้งใจใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าใกล้เฟยเฟย เพราะเขากับคนที่บ้านก็ถูกล็อคดาวน์อยู่ในอิตาลี อาเฟยก็จะอยู่ตามลำพัง 

 

หวังอี้คุนกำหมัดแน่น ไอ้บ้านั่นคิดว่าชนะแล้วสินะ? ดี เดี๋ยวเขาจะทำให้รู้จักคำว่า "ไม่มีวันชนะ" มันเป็นยังไง! 

 

มือใหญ่หยิบโทรศัพท์ออกมากดอีกครั้ง ชื่อที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอก็คือ...หวังอี้หยาง

 

"พี่อยู่ไหน?"  เขากรอกเสียงลงไปโดยไม่มีคำทักทายใดๆทั้งนั้น ถึงจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานแต่เขาก็สนิทกับพี่ชายคนนี้ที่สุด

 

"แคนาดา กำลังจะขึ้นเครื่องไปอิตาลี น่าจะเป็นเที่ยวสุดท้ายที่เข้าบ้านนายได้แล้วเสียงทุ้มเยือกเย็นตอบกลับมาอย่างไม่ถือสา

 

"ไม่ต้องมา ไปรับอาเฟยที เจ้าลูกกระต่ายมึนนั่นยังติดอยู่ที่ซีแอตเทิล"   ถึงจะรู้สึกเสียหน้านิดหน่อยที่ต้องพึ่งพาอีกฝ่าย แต่หวังอี้หยางก็เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่เขายอมรับและเป็นคนเดียวที่เขาจะยอมยกเจ้าลูกกระต่ายให้ คนที่จะปกป้องอาเฟยได้บางทีก็คงต้องเป็นคนอันตรายพรรณนี้แหละ

 

".........."   พี่ชายเขานิ่งเงียบไปราวกับกำลังใช้ความคิด

 

"ถ้าชั้นเดาไม่ผิด...นี่น่าจะเป็นความจงใจของใครบางคนสินะ? อย่างอาเฟยไม่น่าจะตกเครื่องได้?"   สมเป็นลาสบอสแห่ง Diamond crown ไอ้เรื่องชั่วร้ายกลโกงใดๆนี่ทันเกมไปหมด!

 

"ครับ

 

"หึ โอเค"

 

"กระทืบหน้ามันแทนผมด้วย"

 

"อืมแค่นี้หวังอี้คุนก็สบายใจแล้ว ที่ผ่านมาเขาแค่เตือนเบาๆเพราะไม่อยากให้อาเฟยมีปัญหาจนเรียนไม่จบ ไอ้แว่นบ้านั่นเลยคิดว่าพวกเขาทำได้แค่นี้สินะ? ได้...เดี๋ยวเขาจะส่งของจริงไปให้ดู มันจะได้รู้ว่าผู้ชายตระกูลหวังจัดการศัตรูยังไง

 

 

หวังอี้หยางวางโทรศัพท์ก่อนจะหันไปสั่งการลูกน้อง

 

เปลี่ยนไปซีแอตเทิลแทน ถ้าไม่มีเที่ยวบินก็ขับรถไป เดี๋ยวนี้

 

ครับ”   ลูกน้องต่างขานรับกันอย่างฉุกละหุก ยังดีที่ซีแอตเทิลของสหรัฐอเมริกาห่างจากแวนคูเวอร์ของแคนาดาแค่สองชั่วโมงกว่าๆถ้าใช้รถยนต์ แล้วทางฝั่งอเมริกาเองก็ยังไม่ปิดน่านฟ้ายังไม่ล็อคดาวน์ เขาจึงมีทางเลือกให้ใช้หลายทาง

 

ร่างสูงสง่าก้าวขาออกจากสนามบินอย่างไม่ลังเลและไม่เสียดายค่าตั๋วชั้นธุรกิจราคาเป็นแสนนั่นเลยสักนิด

 

 

 

 

 

 

 

 

ร่างโปร่งบางของหวังเฟยเฟยลากกระเป๋าเดินทางตามเพื่อนๆไป เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมาจากข้างหลัง ขนของเขาลุกชันตั้งแต่ปลายแขนจนถึงหลังคอ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครจ้องเขาอยู่

 

มันเป็นสายตาที่น่าขนลุก ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่ถูกมองหรอกนะ เพราะเขาถูกมองมาตั้งแต่เด็กจนชินแล้ว แต่สายตาแบบที่หมอนั่นมองเขา เขาไม่ชอบเลยจริงๆ มันน่ากลัวยังไงบอกไม่ถูก มองเหมือนจะชำแหละเขาเป็นชิ้นๆด้วยความหลงใหลแล้วเก็บใส่กล่องเอาไว้ยังไงอย่างงั้น...

 

แรกๆเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายคงอยากเป็นเพื่อนกับเขาเหมือนเพื่อนคนอื่นๆในคณะ เขาไม่ได้ตั้งแง่กับใครอยู่แล้ว ไม่ว่าจะยากดีมีจน รูปร่างหน้าตายังไงเขาก็มอบความเป็นเพื่อนมนุษย์ให้ได้ทั้งนั้น

 

แต่ยิ่งทำความรู้จัก หมอนั่นกลับยิ่งตามติดจนเขาอึดอัด นอกจากมองเขาเหมือนจะจับกลับบ้านตลอดเวลาแล้ว หมอนั่นยังชอบเก็บของของเขาไปด้วย ไม่ว่าจะหลอดที่เขาใช้แล้ว แก้วน้ำพลาสติกที่เขาดื่ม ดินสอ ยางลบ ปากกา อะไรก็แล้วแต่ที่เขาสัมผัสและหมอนั่นจะขนกลับไปได้...แบบนี้มันไม่ปกติแล้ว

 

ที่หนักสุดคือมีวันหนึ่งที่หมอนั่นพยายามชวนเขาไปบ้าน พยายามอ้างเรื่องทำรายงาน ไม่ว่ายังไงก็จะให้เขาไปให้ได้ ทั้งอ้อนวอนทั้งบังคับ เขารู้สึกว่ามันมากเกินไปแล้ว เขากลัว เขาจึงโทรบอกอี้คุน วันนั้นหมอนั่นเลยได้แก๊งเพื่อนเลวของอี้คุนไปช่วยทำรายงานที่บ้านแทน

 

หมอนั่นมาเรียนอีกครั้งในหนึ่งสัปดาห์ให้หลังพร้อมด้วยใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำจางๆ แล้วตั้งแต่นั้นมา พี่ชายฝาแฝดที่รู้ว่ามีอันตรายอยู่ในคณะจึงตามเฝ้าเขาอยู่ตลอดทำให้หมอนั่นถอยห่างจากเขาได้บ้าง หมอนั่นไม่กล้าเข้าใกล้เขามานานแล้ว ไม่คิดว่าจะใช้โอกาสนี้สร้างเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นด้วย

 

"ยังดีที่รถบัสของโรงแรมยังไม่กลับไปซะก่อน เอ้า ขึ้นเลยๆ"   เสียงของอาจารย์ทำให้เขาเงยหน้าจากความหวาดหวั่นในใจ เพื่อนๆต่างทยอยเดินขึ้นรถ...แย่ละสิ!

 

ดวงตากลมโตรีบกวาดมองไปตามเบาะ ถ้าไม่มีอี้คุนอยู่ด้วย ที่นั่งข้างๆเขาก็จะยิ่งอันตราย เขามองเห็นเงาของหมอนั่นสะท้อนอยู่บนกระจก สายตายังคงจ้องเขาไม่ลดละและเดาได้เลยว่าถ้าเขานั่งลงตรงไหนหมอนั่นก็จะรีบมานั่งข้างๆทันที

 

"อาจารย์ ผมขอนั่งด้วยนะครับ เรามาคุยเรื่องหลักอากาศพลศาสตร์ของรถบัสกันไปตลอดทางเลยเถอะครับ~"   เขาสไลด์ตัวนั่งลงไปบนเบาะข้างๆอาจารย์ที่ปรึกษาที่ทำหน้างงๆ เขาส่งยิ้มหวานจนอาจารย์พยักหน้าอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะอยากนั่งกับคนแก่มากกว่าจะอยากไปเฮฮากับเพื่อนๆข้างหลัง

 

ยังไงเสียเขาก็ไม่ได้เพิ่งโดนคนโรคจิตไล่ตามครั้งนี้เป็นครั้งแรก เขามีสกิลการเอาตัวรอดอยู่พอสมควร ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้กำลังเขาก็ยังฉลาดพอที่จะหนีได้

 

"เฟยเฟย ไม่ไปนั่งด้วยกันเหรอ…"  แต่อีกฝ่ายดันใช้กำลังนี่สิ!  

 

เขานึกว่าหมอนั่นจะเดินผ่านไป แต่เจ้าบ้านั่นจู่ๆก็จับข้อมือเขาก่อนจะใช้แรงบีบ นี่ถ้าดึงให้ลุกได้ก็คงกระชากตัวเขาออกมาแล้วไหมเนี่ย?! 

 

แง๊ ปะป๊า หม่าม้า ช่วยเฟยด้วย~

 

เขาพยายามขืนไว้สุดแรงจนอาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างๆมองอย่างสงสัย

 

"มีอะไรกันรึเปล่า?"  เขายิ้มแหยๆก่อนจะพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือ

 

"จะถามอะไรอาจารย์ล่ะ? ที่เมื่อกี้บอกมาน่ะ ส่วนเธอ เดินเข้าไปได้แล้ว คนข้างหลังจะได้ขึ้นรถเขาลอบถอนหายใจที่อาจารย์รู้ทันและยอมช่วยเขา หลังจากหมอนั่นเดินเข้าไปอย่างเสียมิได้เขาจึงหันไปโค้งให้อาจารย์

 

แล้วหมอนั่นก็นั่งมองเขาตลอดทาง มองจนหวังเฟยเฟยรู้สึกเหมือนโดนสูบวิญญาณยังไงอย่างงั้น...เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนและเริ่มจะทนไม่ไหว ขนาดเขานั่งอยู่ข้างๆอาจารย์ หมอนั่นก็ยังกล้า แล้วถ้าเขาอยู่คนเดียวจะเป็นยังไงเนี่ย~

 

 

ครืด...ครืด….

 

 

โทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้มือบางรีบคว้าออกมา และชื่อที่อยู่บนหน้าจอก็ทำให้เขาแทบร้องไห้

 

หวังอี้หยาง

 

เขารู้ทันทีว่าเขาจะปลอดภัย ต่อให้อี้คุนจะทำอะไรไม่ได้มากนักแต่ถ้าเป็นพี่อี้หยางแล้วละก็...ไม่เคยอยู่ใต้กฎเกณฑ์ใดๆถ้าเป็นเรื่องของเขา  

 

เขาโล่งใจ หายเครียด หายกังวลทันที ปลายนิ้วเรียวกดรับสาย และเสียงทุ้มที่ได้ยินก็ทำให้หัวใจรู้สึกผ่อนคลาย ก็พี่อี้หยางชอบมาปรากฎตัวตอนที่เขากำลังเดือดร้อน กำลังต้องการความช่วยเหลือแบบนี้เป็นประจำ แล้วจะให้ใจเขาไม่หวั่นไหวได้ยังไง

 

"เฟยเฟย อยู่ไหน? ชั้นจะไปรับหลังจากเข้ามานั่งในรถได้ มือใหญ่ของหวังอี้หยางก็กดโทรศัพท์หาคนที่เป็นดั่งดวงใจทันที

 

"พี่อี้หยาง ทำไงดี ตอนนี้ติดอยู่ที่ซีแอตเทิล แง๊~"   เจ้าลูกกระต่ายกระซิบกระซาบร้องงอแงทันทีที่ได้ยินเสียงเขา คิดแล้วก็เจ็บใจ หมอนั่นมันเป็นใครถึงได้บังอาจมาสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้เฟยเฟยของเขาแบบนี้

 

"รู้แล้ว ถึงได้บอกว่าจะไปรับไง"   เสียงทุ้มเอ่ยปลอบด้วยเสียงอ่อนโยนจนลูกน้องที่นั่งอยู่หน้ารถอมยิ้มปนอิจฉา เพราะว่าทั้งโลกนี้ไม่เคยมีใครได้รับความอ่อนโยนแบบนี้จากผู้ชายที่ชื่อหวังอี้หยางเลยสักคน...ไม่มีเลย...

 

"มารับ?"

 

"อืม อย่างน้อยมาอยู่บ้านชั้นที่แคนาดาก็ดีกว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ใช่ไหมล่ะ? อี้คุนโทรมาบอก ชั้นถึงได้ยกเลิกเที่ยวบินที่จะบินไปอิตาลี"

 

"....ค่อยยังชั่ว…"  เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากปลายสาย เจ้าลูกกระต่ายเองก็คงกำลังเครียดหนักเลยสินะ ถ้าไม่มีไม้กันหมาอย่างหวังอี้คุนอยู่ด้วย กระต่ายน้อยนั่นจะรอดมือหมาจิ้งจอกไปได้สักกี่ชั่วโมงกัน

 

"แล้ว...จะพาพวกเราทั้งคณะไปด้วยรึเปล่าครับ? อยู่แคนาดาในถิ่นพี่ย่อมดีกว่า"   พอโล่งใจเข้าหน่อยก็กลับสู่โหมดจอมวุ่นวายทันที

 

"เปล่า แค่นาย หวังเฟยเฟย ชั้นจะไปรับแค่นายคนเดียว"

 

"ห๊ะ? ไหงงั้นล่ะ? ถึงจะมีคนที่ไม่ค่อยน่าคบแต่อาจารย์และเพื่อนคนอื่นก็ดีกับผมนะ พาพวกเค้าไปด้วยไม่ได้เหรอครับ?"   หึ สมเป็นลูกกระต่ายจิตใจดี สถานการณ์แบบนี้ก็ยังเป็นห่วงคนอื่น

 

"พวกนั้นไม่มีวีซ่าเข้าแคนาดา แล้วจะมาอยู่นี่ได้ไงล่ะ?"   เขาอธิบายด้วยเหตุด้วยผล

 

"แต่ผมก็ไม่มีเหมือนกัน?"

 

"สำหรับนาย ชั้นจัดการให้ได้อยู่แล้ว"   แล้วเขาก็ทำลายเหตุผลนั่นไป เพราะหวังเฟยเฟยอยู่เหนือทุกเหตุผล

 

"แต่จะให้ผมทิ้งอาจารย์กับเพื่อนๆไว้ได้ไงอ่ะสถานการณ์จะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่รู้ ทั้งไวรัสทั้งการกินอยู่ ต้องติดอยู่นี่อีกนานไหมก็ไม่รู้..."   เจ้าลูกกระต่ายดื้อพยายามต่อรองกับเขา เพราะถูกคนรอบตัวตามใจอยู่เสมอทำให้เฟยเฟยเป็นคนเดียวที่กล้าต่อรองกับเขา ทั้งๆที่รู้ว่าจะถูกเขาแกล้งด้วยการไม่ยอมตามใจ

 

"ในเมื่อมีคนถ่วงเวลาไม่อยากกลับอิตาลีเอง แล้วทำไมชั้นต้องรับผิดชอบมันด้วย? ปล่อยให้มันตายอย่างช้าๆอยู่ที่นั่นแหละ ชั้นไม่เอาปืนเป่าหัวมันซะเดี๋ยวนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว"   ปลายสายเงียบไปไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังหน้าซีดกับคำพูดของเขา หวังอี้หยางนั้นจะไม่แหกปากโวยวายเหมือนหวังอี้คุน จะไม่ข่มขู่ให้ศัตรูรู้ตัวก่อน แต่มักจะลงมือแบบไม่บอกกล่าว ถ้าจะฆ่าก็คือต้องตาย100%

 

"พี่...แต่คนอื่นไม่ได้ผิดนะ ช่วยหน่อยไม่ได้เหรอ…"  เจ้าลูกกระต่ายพยายามอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน

 

"......"   ผิดสิ พวกนั้นไม่มีใครคิดจะห้ามปรามมัน ไม่มีใครกระตือรือร้นที่จะกลับบ้านให้ทัน แล้วทำไมเขาต้องช่วยด้วย? เขาไม่ใช่องค์กรการกุศล แต่เขาคือเจ้าพ่อวงการค้าเพชร คนที่เด็ดขาดเสมอกับคนที่พยายามจะขโมย "เพชร" ของเขา 

 

"พี่อี้หยาง….."   เสียงอ้อนยังไม่ละความพยายาม

 

"แล้วเจอกันเขาตัดบทไปห้วนๆแบบนั้นและปลายสายก็คงรู้ว่าเขาไม่ใจอ่อน เจ้าลูกกระต่ายถึงได้โวยวายด้วยความเอาแต่ใจ

 

"ถ้าเพื่อนผมไม่ไป ผมก็ไม่ไป!"

 

-ติ้ด-

 

เขากดวางสาย ถึงจะไม่มายังไงนายก็ต้องมา กระต่ายน้อยของฉัน

 

อ่ะ ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าลูกกระต่ายนั่นอยู่ที่ไหน...โทรหาอาอี้ป๋อแล้วถามตำแหน่งให้ที”   ประโยคหลังเขาพูดกับเลขาควบหน้าที่บอร์ดี้การ์ดที่นั่งอยู่ที่เบาะหน้า ดวงตาคมกล้าทอดมองข้างทางอย่างไม่ได้หนักใจอะไรนัก

 

 

 

 

 

 

 

กลุ่มดูงานจากภาควิชาออกแบบรถยังนั่งรอกันอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมที่เคยเข้าพักเพราะตอนนี้ยังเจรจาเรื่องห้องพักไม่สำเร็จ  คณะไม่ได้มีเงินมากพอจะออกค่าที่พักให้นักศึกษาตั้งยี่สิบกว่าคนได้นานมากนักจึงต้องต่อรองเรื่องราคากันพอสมควร

 

ร่างโปร่งบางที่ได้คะแนนสูงสุดของชั้นปีมันสองปีซ้อนแล้วก็ยังเป็นคะแนนสูดสุดทำลายทุกสถิติตั้งแต่ก่อตั้งคณะมาบ่งบอกให้รู้ว่าหวังเฟยเฟยนั้นไม่ได้มีดีแค่รูปร่างหน้าตาหรือฐานะทางบ้านเท่านั้น แต่หัวสมองเองก็เข้าขั้นอัจฉริยะเลยด้วย แล้วทำไมคนที่เก่งกาจปานนั้นถึงได้กำลังนั่งห่อไหล่อย่างพยายามเร้นกายให้หายไปจากโลกขนาดนี้?

 

นั่นก็เพราะหวังเฟยเฟยกำลังอยากจะบ้าตายกับปากดีๆของตัวเองที่ดันไปปฏิเสธความช่วยเหลือจากพี่ชายต่างสายเลือดคนนั้นน่ะสิ...บ้าจริง! เขาพูดออกไปได้ไงว่าถ้าคนอื่นไม่ไปเขาก็จะไม่ไปด้วยน่ะ! หวังว่าพี่อี้หยางคงจะไม่ถือสากับความดื้อดึงของเขาหรอกนะ! เขาทนอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าพี่อี้หยางเลี้ยวรถกลับเพราะคำพูดไม่คิดของเขาจะทำยังไงดีเนี่ย!

 

อ๊า!! เขาได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ ส่วนร่างกายนั้นต้องคอยขยับหลบสายตาที่กำลังจ้องเขาราวกับจะจับใส่ขวดโหล ทางนี้ก็น่ากลัวชะมัด แง๊

 

เฟยเฟย...เรานอนห้องเดียวกันนะ…”   หมอนั่นรีบเดินมาบอกเขาทันทีที่ลงจากรถได้ ขนาดเขาบอกไปตรงๆว่าจะนอนคนเดียวแล้วจะจ่ายค่าห้องพักเอง หมอนั่นก็ยังจะขออยู่ห้องข้างๆ...นี่มันหลอนเกินไปแล้ว!

 

ในขณะที่เขาเริ่มกัดเล็บด้วยความเครียด  รถสีดำจอดลงที่ drop off เรียงต่อกันสามคันก็เรียกความสนใจให้คนในล็อบบี้หันไปมอง  แล้วเงาร่างที่เขาเห็นอยู่หลังกระจกก็ทำให้ดีใจจนน้ำตาแทบไหล...

 

ชายหนุ่มสวมสูทท่าทางสง่างามคนหนึ่งก้าวขาลงมาจากรถ เส้นผมสีดำอมน้ำตาลและใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับลูกรักของพระเจ้าทำให้สาวๆต่างมองกันตาค้าง

 

หวังอี้หยางก้าวขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางสบายๆแต่แรงกดดันมหาศาลก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา 

 

นายใหญ่ของ Diamond crown เดินตรงเข้าไปหากลุ่มของคณะนักศึกษาจากอิตาลีทันที หนึ่งในนั้นดูโล่งใจมากเมื่อเห็นอีกฝ่ายแต่ก็ต้องชักหน้าหงิกด้วยเพราะยังงอนที่เค้าไม่ยอมตามใจอยู่ บุคคลิกที่ดูสับสนนั้นทำให้หวังอี้หยางลอบยิ้มมุมปาก เจ้าลูกกระต่ายเวลาโดนแกล้งนี่น่ารักมากจริงๆ

 

"สวัสดีครับ ผมหวังอี้หยาง พี่ชายของหวังเฟยเฟย"   เขายื่นมือให้อาจารย์ที่เป็นหัวหน้าคณะดูงานกลุ่มนี้ อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาจับกลับอย่างงงๆ

 

"ผมเสียใจด้วยเรื่องเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ทุกคนพลาดเที่ยวบินที่จะกลับอิตาลี"

 

"อ้อ...ครับ…"   อาจารย์ดูยังไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรและมาที่นี่ทำไม  การเจรจาเรื่องห้องพักก็ยังไม่สำเร็จบนใบหน้าของชายวัยกลางคนจึงยังเต็มไปด้วยแววเคร่งเครียด

 

"ผมทราบมาว่าทางอาจารย์กำลังมีปัญหาเรื่องที่พักอยู่?"

 

"เอ่อ ครับ...ไม่รู้ว่าเราต้องติดอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน นักศึกษาก็ค่อนข้างเยอะด้วย…"

 

"จะรังเกียจไหมครับ ถ้าผมอยากจะเชิญทุกท่านไปพักที่โรงแรมในเครือตระกูลหวังของเรา ผมไม่คิดค่าใช้จ่าย จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ ผมจะให้เตรียมอาหารให้ทุกมื้อด้วย ผมอยากตอบแทนที่ดูแลเฟยเฟยของเราให้เป็นอย่างดี"   เขาจงใจพูดออกไปด้วยเสียงที่คิดว่าทุกคนในกลุ่มจะได้ยิน และนั่นก็ทำให้เขารู้ทันทีว่าเจ้าแว่นคนไหนที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องนี้เพราะหมอนั่นเป็นคนเดียวที่ทำหน้าเหมือนเห็นผีทั้งๆที่คนอื่นต่างกระโดดดีใจ

 

เขาไปทำลายแผนการที่จะได้ใกล้ชิดอาเฟยของมัน มันย่อมไม่ยินดีเป็นธรรมดา

 

"จริงเหรอครับ? ขอบคุณมากนะครับ!อาจารย์จับมือเขาเขย่าด้วยดวงตาซาบซึ้ง เป็นเพราะทุกคนต่างรู้กันดีว่าหวังเฟยเฟยเป็นใคร บ้านรวยแค่ไหน จึงไม่มีใครปฏิเสธที่จะได้รับความช่วยเหลือแบบนี้จากพวกเขาเพราะรู้ว่าพวกเขาไม่เดือดร้อนเลย

 

"แล้วก็ ผมจะขอรับตัวเฟยเฟยกลับบ้านที่แคนาดา หวังว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไร?"  เขาไม่ได้ขออนุญาติแต่นี่คือประโยคคำสั่ง ทั้งน้ำเสียงทั้งบุคคลิกของเขาบ่งบอกได้อย่างดี แน่นอนว่าระดับอาจารย์ในอิตาลีดินแดนแห่งมาเฟียย่อมเข้าใจ อีกฝ่ายจึงยิ้มแหยๆพร้อมพยักหน้า

 

"ไม่ได้นะครับ!"   จะมีก็แต่คนที่ถูกทำลายแผนการเท่านั้นที่ตะโกนคัดค้านขึ้นมาทันที ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยแววดำมืดจึงค่อยๆหันไปมองผู้ชายใส่แว่นที่มีสภาพราวกับผ้ายับๆซึ่งยืนหลบอยู่หลังเสา แรงกดดันจากเขาทำให้หมอนั่นต้องรีบระล่ำระลักแก้ตัว

 

"กะ ก็ พะ พวกเรามาด้วยกัน แล้วจะปล่อยหวังเฟยเฟยไปกับใครก็ไม่รู้ได้ไง…"   ขนาดจะตอบโต้เขายังไม่มีความมั่นใจเลยแล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาทำให้ตัวเองเหมาะสมกับเฟยเฟย  นายไม่รู้เหรอว่านายจะต้องเจอกับสิงโตของตระกูลหวังที่ดุร้ายถึงสี่ตัว แค่พี่ชาย พ่อ ปู่ นี่ก็ตายแล้วไม่ต้องคิดถึงฝั่งแม่กระต่ายโหดที่มีเฟอร์รารี่เป็นแบ็กทั้งโรงงานนั่นอีก

 

"ใครก็ไม่รู้? หึ ฮ่าๆๆเขานึกอยากจะขำเสียเต็มประดา ไม่ได้เจอเรื่องตลกขนาดนี้มาตั้งนานแล้ว ลูกน้องของเขาที่ยืนอยู่รอบๆต่างลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่นแทนเจ้าแว่นนั่นกันเป็นแถว

 

ร่างสูงสง่าเดินช้าๆแต่เต็มไปด้วยจิตสังหารก่อนจะหยุดยืนเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย สายตาคมกล้าที่เหยียดมองลงมานั้นราวกับพญาเหยี่ยวจ้องมองหนูท่อสกปรก

 

ผมคือหวังอี้หยาง ทายาทลำดับที่หนึ่งของตระกูลหวัง ประธานและเจ้าของDiamond crownแต่เพียงผู้เดียว ถ้านายไปเสิร์จดูก็จะรู้ว่าชั้นกับเจ้าลูกกระต่ายนั่นเกี่ยวข้องกันยังไง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่อยู่กับหวังเฟยเฟยมาตั้งแต่ตัวเท่าฝ่ามือ

 

ฉัน...อยู่ข้างๆเฟยเฟยมา20ปี รู้จักเฟยเฟยดีกว่านายแน่นอน”   เสียงทุ้มเน้นย้ำทุกคำพูดให้รู้ว่าเขาคือคนที่เหนือกว่า

 

"แล้วก็...สำหรับนาย ชั้นจะจองห้องพักในโรงพยาบาลให้ก็แล้วกัน นายอาจจะบังเอิญเดินไปชนเสาไฟจนได้แผลไฟไหม้ทั้งตัวเข้าก็ได้ ใครจะรู้?"   แววตาเย็นยะเยือกมองอีกฝ่ายอย่างกดดันก่อนที่ร่างสง่าจะหันกลับไป เขาไม่จำเป็นต้องลงมือตรงนี้ในเมื่อคำสั่งของเขานั้นถูกเอ่ยออกไปแล้วและลูกน้องทุกคนก็ได้ยิน

 

"ไปกันเถอะเฟยเฟย"   เขาหันไปเรียกเจ้าลูกกระต่ายที่กำลังขมวดคิ้วมองเจ้าแว่นนั่นด้วยสายตาหน่ายๆ

 

"อื้อ"   ร่างโปร่งบางก้มหัวให้อาจารย์ก่อนจะรีบเดินตามเขาออกมา

 

"อาจารย์! อาจารย์จะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้นะครับ! อย่างน้อยก็ควรโทรเช็คกับผู้ปกครองของหวังเฟยเฟยก่อน"   เสียงเจ้าแว่นยังโวยวายน่ารำคาญอยู่ข้างหลัง มันยังพยายามรั้งอาเฟยไว้สุดฤทธิ์ ก็แหงล่ะอุตส่าห์สร้างความเดือดร้อนให้คนทั้งกลุ่มตั้งขนาดนี้เพื่อที่จะใช้การล็อคดาวน์ขังเฟยเฟยไว้กับตัวเอง แต่กลับโดนใครก็ไม่รู้มาฉกตัวไปต่อหน้าต่อตา แถมตัวเองยังไปไหนไม่ได้ต้องถูกกักตัวอยู่ในบ้านในเมืองที่ไม่รู้จัก จะตามไปก็ตามไม่ได้ จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ หึ สมน้ำหน้าแล้ว 

 

หมอนั่นหลับหูหลับตาวิ่งเข้ามาเหมือนคนสติแตก แล้วก่อนที่มือเหม็นๆของมันจะได้จับแขนอาเฟย 

 

 

โครม!!

 

 

ร่างผอมแห้งที่เหมือนผ้ายับๆนั่นก็ถูกเลขาควบหน้าที่บอร์ดี้การ์ดของเขาจับทุ่มลงพื้นจนหลังแทบหัก ข้อมือข้างที่คิดจะจับคนของเขาถูกบิดจนต้องร้องโอดโอย และเมื่อเขาไม่สั่งให้หยุด ลูกน้องของเขาก็จะไม่หยุด

 

ดวงตาเย็นยะเยือกเหยียดมองคนที่ร้องโหยหวนอยู่ที่พื้น...นายไม่รู้หรือไงว่าชั้นสั่งให้ลูกน้องทุกคนดูแลอาเฟยให้ดีกว่าที่ดูแลตัวชั้นเสียอีก ถ้ามีผู้ร้ายวิ่งเข้ามา เจ้าพวกนี้จะปกป้องเฟยเฟยก่อน

 

เพราะงั้นอย่าได้คิดจะแตะต้องคนของเขา

 

เขาหันไปก้มหัวให้อาจารย์ของเจ้าลูกกระต่ายที่ยืนมองตาค้าง มือใหญ่คว้าแขนของเฟยเฟยแล้วพาเดินออกไปท่ามกลางเสียงร้องอย่างเจ็บปวดที่ยังไม่สิ้นสุด 

 

ทุกคนในล็อบบี้ต่างชะงักงันอย่างลืมไปแล้วว่าควรจะทำอะไร พวกเขาเคยชินกับการข่มขู่ของหวังอี้คุนก็จริงแต่หนักสุดก็แค่ชกต่อย แต่ไม่เคยรู้เลยว่าคนตระกูลหวังแท้จริงแล้วน่ากลัวขนาดนี้

 

"อาจารย์ว่า...ไม่ต้องโทรถามหรอก ดูหน้าก็รู้แล้วว่าคงเป็นญาติกันจริงๆ เหมือนหวังอี้ป๋ออย่างกับแกะอาจารย์เอ่ยลอยๆออกมาในขณะที่มองตามรถสีดำที่แล่นออกไป

 

อาจารย์ในแผนกออกแบบรถรู้จักเซียวจ้านเป็นอย่างดี นักเรียนอัจฉริยะในรอบร้อยปีจะมีอาจารย์คนไหนลืมได้ลง เจ้าเด็กเอเชียที่ก่อวีรกรรมร้อยแปดพรรณนั้น ขนาดออกไปอยู่กับเฟอร์รารี่อาจารย์ทุกคนก็ยังคอยตามข่าวอยู่เสมอจนรู้จักหวังอี้ป๋อไปโดยปริยาย พอหวังเฟยเฟยเข้ามาเรียนที่นี่อีกคนจึงยิ่งเป็นที่จดจำ หนำซ้ำหวังอี้คุนพี่ชายฝาแฝดก็ยังคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆตลอด และพี่ชายฝาแฝดคนนั้นก็คล้ายกับผู้ชายที่กำลังพาหวังเฟยเฟยออกไปมาก

 

 

 

 

 

 

 

"ถึงจะพาไปแคนาดาด้วยไม่ได้ แต่พักอยู่ในโรงแรมของชั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก ป่านนี้เลขาคงจัดการพาไปเรียบร้อยแล้ว"   เสียงทุ้มกลับมาอ่อนโยนอีกครั้งเมื่อพูดกับเจ้าลูกกระต่ายที่เอนหลังสบายใจเฉิบอยู่ข้างๆ

 

"......ขอบคุณนะครับ นึกว่าพี่จะไม่ยอมช่วยอาจารย์กับเพื่อนเฟยแล้ว...เผลอด่าไปซะเยอะเลย แหะแหะ"   นิ้วเรียวยกขึ้นมาเกาแก้ม นี่กำลังก่อกวนเขาอยู่รึเปล่า? เมื่อก่อนยังกลัวเขาตัวสั่นอยู่เลยแท้ๆ แต่ยิ่งโตก็ยิ่งกล้ากับเขามากขึ้นนะ

 

"มีแค่นายคนเดียวนะ ที่ด่าหวังอี้หยางได้"   เขาแกล้งพูดออกไปให้อีกฝ่ายได้ใจ

 

"พี่ไม่โกรธเหรอ? ถ้าผมด่า"   เจ้าลูกกระต่ายยื่นหน้าเข้ามาด้วยดวงตาเป็นประกายน่าหมั่นเขี้ยว

 

"ไม่โกรธ แต่จะลงโทษ"

 

"งื้อ!"   แล้วเจ้าตัวดีก็ถอยกลับไปแทบไม่ทัน  เขาหัวเราะในลำคอ จะผ่านไปกี่ปีความน่าเอ็นดูนี้ก็ไม่เปลี่ยนไปเลย

 

"ที่จริง นายก็ควรจะต้องรู้ไว้บ้างนะว่าตระกูลหวังมีโรงแรมหรือคอนโดอยู่ที่ไหนบ้าง แค่นายเดินเข้าไป จะพักซักกี่วันกี่ห้องก็ย่อมได้อยู่แล้ว นายคือหวังเฟยเฟย ทายาทลำดับที่สี่ของเรานะ อย่าลืมซะสิเขาหันไปสอนเจ้าคนที่ไม่สนใจเรื่องเงินๆทองๆ คงจะไม่รู้เลยสินะว่าตัวเองก็มีชื่อเป็นเจ้าของตึกอยู่หลายหลัง อาอี้ป๋อสร้างไว้ให้ตั้งเยอะ

 

"จริงด้วย! ลืมสนิทเลย!"   นายใหญ่แห่ง Diamond crown ส่ายหน้าน้อยๆ 

 

เสียงพูดคุยดังไปตลอดทางจนถึงแวนคูเวอร์ ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนช่างพูด แต่พออยู่กับอาเฟยแล้วกลับมีเรื่องให้คุยกันมากมาย การได้อยู่กับอีกฝ่ายเขาจึงไม่เคยเบื่อเลย

 

 

 

 

 

 

 

ห้าปีแล้วที่ไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้

 

ห้าปีมาแล้วที่เพชรแห่งหัวใจดวงนี้อยู่กับเขา

 

ร่างโปร่งบางยืนมองเงาของตัวเองในกระจกก่อนจะหยิบล็อกเกตสีดั่งเพชรนั่นใส่กลับเข้าไปในเสื้อนอน...เขาสวมมันไว้แม้แต่เวลานอน

 

สองขาเดินออกมาจากห้องน้ำ ปอยผมสีดำยังชื้นอยู่เลยแต่เขาก็เหนื่อยจนไม่อยากจะสนใจอะไรแล้ว ร่างโปร่งบางจึงทิ้งตัวนอนหงายลงไปบนเตียง 

 

งื้ม...นิ่มจัง สบายสุดๆ…”   เพราะต้องใช้งบของมหาวิทยาลัยในการไปดูงานจึงไม่ได้พักโรงแรมระดับห้าดาว ห้องพักก็ห้องธรรมดา อาทิตย์ที่ผ่านมาเขาจึงต้องนอนบนเตียงแข็งๆ ขนาดอี้คุนอัพเกรดห้องเอาตามใจชอบแล้วนะเตียงก็ยังไม่นิ่มเท่านี้เลย

 

ท่อนแขนผอมบางยกขึ้นมาทำให้แขนเสื้อตัวโคร่งไหลลงมากองที่ข้อพับแขน...นี่ไม่ใช่ชุดนอนของเขา แต่เป็นชุดนอนของพี่อี้หยาง

 

เพราะอันที่จริงวันนี้ถึงกำหนดกลับอิตาลีพอดีอยู่แล้ว เสื้อผ้าที่เตรียมมาใส่จึงหมดเกลี้ยงไปแล้ว พอมาถึงบ้านนี้ได้พ่อบ้านก็หอบเสื้อผ้าทั้งกระเป๋าของเขาไปซักจนไม่เหลือหลอ ก็เลยต้องไปขอยืมชุดนอนของพี่อี้หยางมาใส่

 

ตัวใหญ่จัง

 

พี่อี้หยางสูงกว่าเขา ทั้งขากางเกง ทั้งแขนเสื้อจึงต้องพับแล้วพับอีกหลายตลบกว่าจะพอดี

 

แต่กลิ่นนี้หอมจัง

 

เขาดึงคอเสื้อขึ้นมาดม กลิ่นพวกนี้ผสมผสานกับกลิ่นน้ำหอมจนกลายเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของพี่อี้หยาง ไม่รู้ทำไมแค่ได้กลิ่นก็ทำเอาใจเต้นแปลกๆ ร่างโปร่งบางจึงพลิกกายเอาหน้าซุกหมอนไว้ก่อนจะสะบัดไล่ความคิดน่าอายในหัว

 

ใบหน้ามนพลิกตะแคงเพื่อมองไปรอบๆห้องที่เคยมาอยู่ช่วงหนึ่ง ทุกอย่างยังเหมือนเดิม  ไม่มีใครใช้ห้องนี้ต่อจากเขาเลยหรือไงนะ? ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นห้องที่เอาไว้รับรองแขก? แต่การตกแต่งกลับให้ความรู้สึกว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขา?

 

ก็จะมีแขกที่ไหนใช้โต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ขนาดนี้กันล่ะ? แล้วแขกก็ไม่น่าจะต้องใช้โต๊ะดร๊าฟด้วย? ชั้นหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยสารานุกรม ตำราการออกแบบและตำราฟิสิกส์นั่นก็อีก ห้องนี้มันแทบจะจำลองมาจากห้องนอนของเขาในมาราเนลโล่ไม่มีผิด แค่เปลี่ยนจากสไตล์อิตาลีเป็นโมเดิร์นเท่านั้น

 

บ้านหลังนี้เองก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านที่พี่อี้หยางอยู่จริงๆ ไม่เหมือนบ้านที่เอาไว้รับแขก...เพราะงั้น...การที่ตั้งใจทำห้องเอาไว้ให้เขาแบบนี้ก็

 

หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามอย่างห้ามไม่อยู่  งื้อ! ทำไมพี่ชายคนนี้ถึงชอบทำให้เขาใจเต้นแบบนี้กันนะ!

 

ร่างโปร่งบางพลิกไปนอนคว่ำอย่างหวังว่าหมอนจะทำให้อาการร้อนๆบนใบหน้าลดลงได้บ้าง ดวงตากลมโตปิดลงอย่างพยายามข่มให้หลับ แต่จนแล้วจนรอดมันก็เปิดพรึ่บขึ้นมาอีกจนได้

 

หงึ นอนไม่หลับเฉยเลย?

 

ปกติเขาไม่ใช่คนนอนยาก ถึงจะอยู่ต่างที่เขาก็นอนได้...แต่ต้องมีอี้คุนนอนอยู่ข้างๆนะ...

 

เพราะถ้าไม่มีหมอนข้างมนุษย์อย่างพี่ชายฝาแฝดแล้ว...หวังเฟยเฟยก็เป็นตัวปัญหาเรื่องการนอนดีๆนี่เอง!

 

ที่เดียวที่เขาสามารถนอนหลับตามลำพังได้ก็คือที่บ้านในมาราเนลโล่ของเขาเท่านั้น ขนาดวันนี้เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ระบบประสาทของเขามันยังสั่งให้หลอนมากกว่าจะสั่งให้นอนเลย!

 

“..........”    ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆมองไปในความมืดที่ไม่คุ้นชิน ไม่มีเสียงเต้นของหัวใจแต่กลับเป็นเสียงกรีดร้องของหริ่งเรไร ไม่มีไออุ่นๆที่แผ่ออกมาจากร่างกายแต่เป็นความเย็นยะเยือกที่คืบคลานเข้ามา หน้าต่างกระจกทั้งผืนนั่นตอนกลางวันมันก็สวยดีอยู่หรอกแต่พอตกดึกแบบนี้มันกลับน่ากลัวสุดๆ มีอะไรจ้องเขาอยู่ในชายป่าตรงนั้นหรือเปล่า? ยิ่งคิดก็ยิ่งหลอนจนนอนไม่ได้ ร่างโปร่งบางเด้งผึงขึ้นมาก่อนจะรีบก้าวขาไปหาหน้าต่างบานใหญ่ มือดึงผ้าม่านมาปิดมันไว้จนมองไม่เห็นข้างนอกอีก

 

เขากลับมาล้มตัวลงนอนแต่ก็ยังข่มตาหลับไม่ได้ สายตาจึงทอดมองผ้าม่านที่พริ้วไหว แล้วเงาต้นไม้ที่พาดผ่านลงมานั่นก็อย่างกับเงาของปีศาจร้าย...อ๊าก แบบนี้มันหลอนยิ่งกว่าเดิมอีก!

 

ร่างโปร่งพลิกกายไปอีกฝั่งทันทีแต่เงาพวกนั้นก็ยังสาดกระทบลงมาบนผนังจนมือบางต้องดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว แง๊ แล้วแบบนี้จะนอนได้ไง น่ากลัวเกินไปแล้วห้องนี้! จะมีปีศาจโผล่มาไหม? เจ้าปีศาจแมงมุมตัวนั้นนั่นไง! เงายึกยือๆบนผนังนี่ใช่มันมั๊ย?!

 

แล้วในขณะที่เขากำลังขดตัวอย่างหวาดกลัวอยู่ในผ้าห่ม เสียงเคาะประตูก็ดังให้ได้ยิน

 

 

ก๊อกๆๆ

 

 

ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันที มือรีบตลบผ้าห่มออกก่อนจะวิ่งแจ้นไปหาเพราะกลัวว่าคนที่มาเคาะประตูจะกลับไปเสียก่อน  แน่นอนว่าเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ในบ้านหลังนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาแน่ถ้าไม่ใช่พี่อี้หยาง

 

“....”   เขาเปิดประตูและคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือหวังอี้หยางอย่างที่คิด ดวงตากลมโตช้อนมองอีกฝ่ายด้วยความโล่งใจโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามันมีแววออดอ้อนแค่ไหนในสายตาของหวังอี้หยาง

 

แค่จะแวะมาดู...ว่านายนอนได้ไหม…”    ใบหน้าหล่อเหลาชะงักไปน้อยๆ ต้องพยายามแข็งใจไม่ให้ออกอาการมากไป

 

“.....”    เจ้าลูกกระต่ายไม่ได้พูดอะไรแต่ยังมองเขาไม่ละสายตา

 

ถ้านอนได้ ชั้นก็ไม่กวนแล้ว ไปนอนเถอะ”   แล้วในขณะที่เขาเตรียมจะหันหลังเดินกลับมา ที่ชายเสื้อก็รู้สึกถึงแรงดึงรั้งเอาไว้

 

ดวงตาคมกล้าเหลือบลงไปมองมือบางที่เอื้อมออกมาจับชายเสื้อเขาไว้ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้ามน

 

นอนได้ที่ไหนเล่า...กลัวจะตายอยู่แล้วเนี่ย…”   คราวนี้เจ้าลูกกระต่ายยอมรับออกมาตรงๆ เขาหลุดยิ้มในความหวังเฟยเฟยของคนตรงหน้า เจ้าลูกกระต่ายไม่เคยอายที่จะบอกว่ากลัว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ใครก็ได้ที่เด็กคนนี้จะยอมให้เข้าใกล้ นอกจากพ่อแม่และพี่ชายฝาแฝดแล้ว อาจจะมีแค่เขาคนเดียวที่เฟยเฟยยอมให้อยู่ข้างๆ...ทั้งๆที่รู้ว่าเขาคิดยังไง

 

เขาดันตัวเฟยเฟยกลับเข้าไปในห้องนอนก่อนจะเดินตามเข้าไป มือใหญ่กดไหล่ให้ร่างโปร่งนอนลงบนเตียงกว้าง เขาลากเก้าอี้มาแล้วนั่งลงข้างๆเตียง

 

ชั้นจะนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่านายจะหลับ นอนเถอะ”   เสียงทุ้มเอ่ยออกไปในขณะที่ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ เจ้าลูกกระต่ายยังมองเขาตาแป๋ว

 

พี่ไม่นอนด้วยกันเหรอ...นอนด้วยกันก็ได้เตียงออกจะกว้าง”   เขายิ้มบางๆ ทั้งเอ็นดูทั้งปวดใจในความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย ถึงจะรู้ว่าเขาไม่เหมือนหวังอี้คุนพี่ชายฝาแฝดที่จะนอนกอดได้อย่างสบายใจ แต่เจ้าลูกกระต่ายก็ยังเชื่อใจเขามาก ว่าเขาจะไม่ทำอะไร

 

ชั้นแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ชั้นรับรองความปลอดภัยของนายไม่ได้หรอกถ้าชั้นนอนลงไป”   เขาพูดออกไปตรงๆและใบหน้าที่ชะงักค้างของเฟยเฟยก็แทนคำตอบว่าอีกฝ่ายรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร

 

ถ้าได้นอนข้างๆคนที่ตัวเองชอบแล้วไม่รู้สึกอะไร ไม่อยากทำเรื่องแบบนั้น...นั่นต่างหากที่แปลก”    ตั้งแต่วันที่มอบเพชรแห่งหัวใจให้อีกฝ่าย เขาก็ไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกอีก จะจีบก็จีบกันตรงๆเจ้าลูกกระต่ายมึนงงจะได้เข้าใจ

 

“.......”    หัวสีดำหดเข้าไปในโปงผ้าห่ม ดวงตากลมโตยังคงกระพริบมองไปที่พื้นราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

 

ความเงียบโรยตัวลงมาเมื่อเวลาผ่านไป เจ้าลูกกระต่ายยังไม่หลับและเขาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

 

พี่...ไม่ทรมานบ้างเหรอ...ผมกำลังนึกถึงสิงโตที่เอาแต่เฝ้ามองอาหาร...ทั้งๆที่หิวจนอาจจะตายได้แต่ก็ยังไม่ยอมกิน”    เปรียบเทียบซะเห็นภาพเชียว เขายิ้มบางๆ ถ้าจะบอกว่าไม่ทรมานเลยก็คงจะเป็นเรื่องโกหก

 

ถ้าอย่างงั้นชั้นก็อยากจะถามนาย...ว่ากระต่ายจะยอมเป็นอาหารให้สิงโตรึเปล่าล่ะ?”

 

งื้อ ใครจะอยากเป็นอาหารล่ะ”   ดวงตากลมโตจ้องเขาเขม็งมาจากในโปงผ้าห่ม 

 

ก็นั่นแหละ เหตุผลที่ทำไมชั้นถึงไม่กินมันสักที เพราะกระต่ายน้อยมันยังไม่อยากเป็นอาหาร มันยังไม่เต็มใจให้สิงโตกิน

 

“......”   เจ้าลูกกระต่ายเงียบไป ใบหูที่โผล่พ้นผ้าห่มแดงระเรื่อ 

 

หวังอี้หยางในตอนนี้ไม่มีใครเทียบได้แล้ว เขามีทั้งอำนาจ เงินตรา ฐานะ ชาติตระกูล เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะนักธุรกิจหนุ่มหน้าตาดีที่มีมูลค่าทางการเงินติดท็อป5 เขามีอิทธิพลต่อตลาดและวงการค้าเพชรในฐานะเจ้าพ่อ เขาพูดอะไรทำอะไรก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านแล้ว ถ้าเขาจะเอาอะไรมีหรือสิ่งที่หมายตาจะหลุดรอดไปได้ แต่ที่เขาไม่ทำก็เพราะเขารักอีกฝ่ายยิ่งกว่าอะไร เขาเฝ้าทะนุถนอมเอาไว้เพราะไม่อยากให้บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ เขาให้เกียรติเพราะนี่คือเพชรหนึ่งเดียวในใจเขา

 

จนกว่าเฟยเฟยจะยอมเขาด้วยใจจริง รักเขาด้วยหัวใจของตัวเอง เขาก็จะไม่บังคับ ไม่ใช้กำลังข่มเหง

 

อีกอย่าง...กระต่ายตัวนั้นมันก็ยังไม่โตเต็มที่ซะด้วย กินตอนนี้ก็ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุด อดใจไว้รอตอนที่เนื้อของมันหอมหวานเต็มที่แล้วดีกว่า”   เขาแกล้งพูดหยอกเย้า

 

หงึ ยังไงก็ตั้งใจจะกินให้ได้เลยสินะ?”

 

อืม

 

แค่ประชด ไม่ต้องยอมรับก็ได้!”   ใบหน้าที่ซุกอยู่ในโปงผ้าห่มแดงเถือก  เสียงเต้นของหัวใจได้ยินชัดจนต่างฝ่ายต่างไม่ต้องพูดอะไร ความเงียบจึงผ่านเข้ามาอีกพักใหญ่

 

เขาเหลือบมองใบหน้ามนที่หนุนอยู่บนหมอน ดวงตากลมโตนั่นจะปิดมิปิดแหล่ ดูท่าทางจะง่วงมากแต่พอเปลือกตาเริ่มปิดเข้าหากัน จู่ๆมันก็เปิดขึ้นมาใหม่ เหมือนเจ้าลูกกระต่ายพยายามฝืนไว้ไม่ยอมนอน

 

"........ทำไมยังไม่หลับอีก?"   เสียงทุ้มถามออกไปด้วยความสงสัย

 

".....ก็ผมกลัวว่าถ้าหลับไป...พี่ก็จะกลับไปใช่ไหมล่ะ...แล้วถ้าผมตื่นขึ้นมากลางดึกจะทำไงอ่ะ…"    เขายิ้มพลางส่ายหน้าน้อยๆ เป็นลูกกระต่ายที่วุ่นวายและมีปัญหาได้แม้แต่เวลานอนจริงๆ

 

"ถ้างั้นชั้นจะนั่งอยู่นี่ทั้งคืนเลยก็แล้วกัน"   เขาตอบด้วยเสียงอบอุ่นระคนหยอกเย้า

 

"....แบบนั้นก็ไม่ดีพี่ก็ต้องนอนเหมือนกัน..."    เสียงเจ้าลูกกระต่ายงัวเงียเต็มที่

 

"ถ้างั้นก็เหลือทางเดียวแล้ว...ให้ชั้นนอนลงไปแล้วนายก็ยอมให้ชั้นกิน"   

 

"ไม่..."

 

"งั้นชั้นก็ต้องนั่งอยู่ตรงนี้"

 

"พี่ก็นอนเฉยๆสิ ห้ามหิว..."

 

"ความหิวมันห้ามกันได้ด้วยเหรอ?"

 

ได้สิ….”   จู่ๆเสียงที่โต้เถียงกับเขาก็ขาดหายไป คงจะไม่ไหวแล้วจริงๆ เจ้าลูกกระต่ายจึงชัตดาวน์ไปดื้อๆ ริมฝีปากสีระเรื่อเผยอออกน้อยๆในขณะที่ลมหายใจเข้าออกด้วยจังหวะสม่ำเสมอ...ในที่สุดก็หลับได้เสียที

 

เขาค่อยๆแกะมือที่กำชายเสื้อเขาออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งพิงหัวเตียงเอาไว้ ใบหน้ามนขยับซุกต้นขาของเขาราวกับกระต่ายน้อยที่ขยับหาไออุ่น คืนนี้เขาอาจจะปวดคอหน่อย แต่หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความสุข

 

คงจะมีแค่คนเดียวนี่แหละที่ทรมานหวังอี้หยางแบบนี้ได้

 

มือใหญ่ลูบเส้นผมนิ่มดั่งแพรไหมด้วยหัวใจที่เต้นช้าๆทว่ามั่นคง ค่อยๆเกลี่ยไล้ให้ปอยผมออกไปพ้นใบหน้า

 

เขาไม่ใช่เกย์ ไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองชอบผู้หญิงได้ไหม 

 

เพราะตั้งแต่รู้ว่าตัวเองหายใจได้ ...หัวใจของเขาก็มีเพียงหวังเฟยเฟยคนเดียว 

 

เขาไม่เคยมองใคร ไม่คิดจะรักใครอีกแล้วในชีวิตนี้ จะไม่มีตัวเลือกอื่นอีกสำหรับเขา

 

น่าแปลก คืนนี้เขาไม่ง่วงเลยสักนิด ราวกับว่าการได้นั่งมองใบหน้ายามหลับใหลของอีกฝ่ายกลายเป็นพลังงานมหาศาลให้เขา 

 

รักมาก...เขารักเฟยเฟยมาก

 

มากเสียจนบางครั้งเขาก็คิดว่าเขาอาจจะรักคนคนนี้มาตั้งแต่ชาติปางไหน เวลา20ปีอาจจะเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งที่เขาเคยใช้รักอีกฝ่ายก็ได้

 

 

 

 

 

 



บ้านของเขา เขาจะวางกับดักยังไงก็ได้

 

เพราะงั้นตอนกลางวันเจ้าลูกกระต่ายจึงต้องอพยพตัวเองมาอยู่ด้วยกันที่ห้องนั่งเล่น เพราะสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เนตแถวๆห้องนอนอาเฟยไม่ค่อยดีตามที่เขาจงใจให้มันเป็นแบบนั้น  เจ้าลูกกระต่ายที่ต้องวีดีโอคอลกับคนที่บ้านตลอดเวลาจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องย้ายมาอยู่กับเขาตรงนี้ที่ที่สัญญาณดีที่สุดในบ้าน

 

อย่างที่เคยบอกไปว่าเขาเองก็ใช้ห้องนี้ในการทำงานด้วย ตอนกลางวันเขาจึงอยู่ที่นี่เป็นหลัก

 

อ๊ะ! เข้าใจแล้ว หม่าม้าสอนเข้าใจง่ายกว่าอาจารย์ตั้งเยอะ เมื่อกี้ฟังที่อาจารย์กับคนอื่นๆเรียนเสริมกันอยู่ที่โรงแรมแล้วงงมาก ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”    เจ้าลูกกระต่ายกำลังให้หม่าม้ากระต่ายสอนเรื่องอากาศพลศาสตร์ของรถซุปเปอร์คาร์ให้  ในโลกนี้จะมีใครเก่งกว่าอาสะใภ้ของเขาอีก 

 

เดี๋ยวเฟยขึ้น3Dแล้วส่งให้หม่าม้าตรวจแบบนะ หม่าม้ายังไม่ต้องเข้าโรงงานใช่ไหม?”   เสียงใสคุยกับคนที่อยู่อีกฝั่งของจอ ทางอิตาลีไวรัสระบาดขนาดหนักทำให้ทั้งประเทศถูกล็อคดาวน์ไปหมด แค่จะออกจากบ้านยังทำไม่ได้ เขาถึงได้เห็นคนสามคนเดินวนเวียนกันอยู่ในหน้าจอนั่นแหละ 

 

โรงงานปิดยาวเลย เราสามคนก็ถูกห้ามออกไปเจอกับใครนอกจากคนในบับเบิล เผื่อเริ่มแข่งได้เมื่อไหร่ก็จะได้พร้อมทันที”   อันที่จริงช่วงเวลานี้ของทุกปี การแข่งรถไม่ว่าจะ F1หรือ Moto GP ก็เริ่มเปิดสนามแรกกันแล้ว แต่ปีนี้กลับยังทำไม่ได้เพราะติดเรื่องไวรัสระบาดนี่แหละ ทีมแข่งทั้งหลายจึงต้องกักตัวเองอยู่บ้านเพื่อให้ปลอดเชื้อร้อยเปอร์เซ็นต์ อาสะใภ้ของเขาถึงได้มีเวลามานั่งสอนเจ้าลูกกระต่ายได้ทั้งวันแบบนี้

 

ส่งสเก็ตมาให้หม่าม้าดูก่อน เรื่องแรงกระทำไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว ยังขาดก็แค่เรื่องดีไซน์”    มีหัวหน้าฝ่ายออกแบบรถของ Ferrari Design center คอยตรวจแบบให้แล้วจะไม่ท็อปของชั้นปีได้ไง เขาอมยิ้มอย่างเอ็นดูเจ้าลูกกระต่ายที่นอนคว่ำหน้าสเก็ตอะไรง่วนอยู่บนพรมหนานุ่มหน้าโซฟา

 

มือใหญ่ปิดโน้ตบุคที่ใช้ทำงานลงก่อนจะทอดสายตามองลำตัวบางที่มีความพยายามในการนอนคว่ำทำการบ้าน เจ้าลูกกระต่ายใช้หมอนอิงใบใหญ่หนุนตามส่วนต่างๆของร่างกายไว้ในท่าที่สบายสุดๆ และหมอนที่รองอยู่ใต้สะโพกก็ทำให้ก้นลูกพีชงามงอนโด่งขึ้นมา ระหว่างขอบกางเกงขาสั้นกับชายเสื้อที่ร่นลงไปมองเห็นเอวบางรำไรๆ ปลายเท้าที่ยกขึ้นสับไปมานั่นก็ทำให้ต้นขาขาวเนียนขยับน้อยๆจนบางทีก็มองเห็นไปถึงไหนต่อไหน นี่มันบททดสอบจากพระเจ้าหรือยังไง? จะว่าไปเจ้าชุดนอนฮู้ดหูกระต่ายสีแดงของเฟอร์รารี่ที่สองแม่ลูกคู่นี้ใส่ก็แอดว๊านซ์ขึ้นทุกวัน เขาถึงได้มองเห็นหางกระต่ายสีแดงกลมฟูติดอยู่ที่ก้นด้วย

 

ฝีมืออาอี้ป๋อสินะ?

 

เพราะดูท่าแล้วเจ้าตัวอาจจะไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ามีหางงอกออกมาเมื่อไหร่ แต่ในสายตาเขาหางกระต่ายน้อยๆนั้นมันน่าบีบให้ร้องสุดๆ

 

ดวงตาคมกล้าต้องรีบปิดลงเพื่อระงับสัญชาติญาณดิบที่พุ่งพล่านอยู่ในใจ...เขาอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว กางเกงขาสั้นอันร้ายกาจตัวนี้กำลังเรียกปิศาจหิวกระหายในตัวเขาออกมา 

 

แต่ก่อนที่จะก้าวขาเดินผ่านไป มือใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะฟาดก้นกลมกลึงน่าหมั่นเขี้ยวนั่นไปสักที

 

โอ๊ย??!”   เจ้าลูกกระต่ายสะดุ้งโหยงก่อนจะหันมามองอย่างสงสัย

 

งื้อ!”   และพอรู้ว่าเป็นฝีมือเขา  ใบหน้ามนก็แยกเขี้ยวใส่ก่อนจะทำปากขมุบขมิบ คงอยากจะด่าแต่ก็กลัวเขาจะทำโทษเอา

 

ว่าแต่แยกมาอยู่คนเดียวแบบนี้แล้วจะเรียนทันเพื่อนไหมเนี่ย?”   เสียงหม่าม้ากระต่ายดังมาจากในหน้าจอทำให้ใบหน้ามนหันกลับไป

 

ทันไม่ทันไม่รู้แหละ แต่อยู่นี่ปลอดภัยกว่าเยอะเลย สบายกว่าเยอะด้วย~”    แขนบางยืดบิดขี้เกียจก่อนจะเอาหน้าถูไถกับหมอนอิงขนเป็ดที่ตัวเองนอนทับอยู่อย่างเกียจคร้าน อยู่นู่นนอกจากประสาทจะกินจากสายตาของหมอนั่นแล้ว ที่โรงแรมก็ไม่ได้กว้างขวางร่มรื่นอยู่สบายจะนอนคว่ำตรงไหนก็ได้อย่างที่บ้านนี้ด้วย อาหารโรงแรมก็ซ้ำๆไม่อร่อยหลากหลายเหมือนที่นี่ ว่าแล้วมือบางก็หยิบคุกกี้ที่พ่อครัวเพิ่งอบมาให้ใหม่ๆเข้าปาก...งื้ออออ อร่อยมาก~

 

อย่ามัวแต่ชะล่าใจล่ะ เจ้าสิงโตแถวนั้นก็อันตรายอยู่นะ”   เสียงคนเป็นพ่อดังลอดออกมา  หวังอี้หยางยิ้มให้กล้องก่อนจะเดินผ่านไป 

 

ว่าแต่ลูกจะสบายใจเกินไปแล้วหรือเปล่าอาเฟย? ปะป๊าบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเอาแต่กินขนม นี่นอนอ่านหนังสือไปกินคุกกี้ไปอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย?”   ใบหน้าหล่อเหลาของปะป๊าขยับมามองเขาเต็มจอ

 

คะ คุกกี้อะไร…”    ดวงตากลมโตเสหลบอย่างพยายามกลบเกลื่อน เขาว่าเขาเอาจานใส่คุกกี้ออกไปพ้นมุมกล้องแล้วนะ...

 

ไม่ต้องมาแก้ตัว เสียงกร๊อบๆที่ดังอยู่ตลอดเวลานี่ไงหลักฐาน กินแต่ขนมแล้วยังเอาแต่นั่งๆนอนๆเดี๋ยวก็อ้วนหรอก เสียสุขภาพด้วย ไปออกกำลังกายซะ บ้านอี้หยางน่าจะมีห้องฟิตเนสนะ

 

อะไรเล่า หม่าม้าก็ทำงานไปกินขนมไป ปะป๊าไม่เห็นว่าอะไรเลย”   ใช่ อีกฝั่งของหน้าจอ หม่าม้ากระต่ายก็มีสภาพไม่ได้ต่างไปจากลูกชายนัก มันฝรั่งถุงใหญ่กองเป็นพะเนินอยู่ไม่ไกล

 

ก็หม่าม้าของลูกมีปะป๊าคอยเบิร์นให้ไง กินขนมมากแค่ไหนปะป๊าก็เบิร์นให้มากแค่นั้นไง”   ผลั๊วะๆๆๆ!!  มือหม่าม้ากระต่ายยื่นมาฟาดปะป๊าผลั๊วะๆอยู่ในหน้าจอ

 

หวังอี้ป๋อ! นายนี่มันเป็นคนยังไง! พูดเรื่องแบบนั้นต่อหน้าลูกได้ไง! อ๊า!! เดี๋ยวตีให้ตายเลย นี่แหน่ะๆๆ!”   ปะป๊ายิ้มแก้มยกในขณะที่เอี้ยวตัวหลบมือหม่าม้า อี้คุนที่นั่งยกเวทอยู่ไกลๆส่ายหน้าก่อนจะยิ้มเขินๆ 

 

ว่าแต่เบิร์นอะไร?...ทำไมมีแต่เขาที่ไม่เข้าใจ?

 

เขาทำหน้างง แต่เห็นปะป๊ากับหม่าม้าตีกันด้วยความรักแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ ปะป๊าชอบแหย่หม่าม้าแล้วก็จบด้วยการโดนตีแบบนี้แต่ไม่เคยเข็ด แถมยังยิ้มชอบใจอีกแหน่ะ 

 

"งั้นถ้าเฟยหาคนมาเบิร์นให้บ้างล่ะ? ก็จะนอนกินขนมไปอ่านหนังสือไปได้แล้วใช่ไหม?"

 

"ไม่ได้!!!!!!"    สามคนในจอหันหน้าพรึ่บพร้อมตะโกนเป็นเสียงเดียวกันจนเขาถึงกับสะดุ้ง

 

"เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย...นายรู้ความหมายของมันไหมเนี่ย?"   พี่ชายฝาแฝดถึงกับกุมศรีษะส่ายหน้า

 

"หื๋อ? ไม่ได้หมายถึงเทรนเนอร์ช่วยออกกำลังกายอะไรงี้หรอกเหรอ?"   ใบหน้าเล็กเอียงคออย่างสงสัย สองคนในหน้าจอยิ้มแห้งอย่างลำบากใจที่จะต้องอธิบาย ยกเว้นผู้เป็นพ่อที่ตอบกลับมาหน้าตาเฉย

 

"มันหมายถึงมีเซ็กส์กันต่างหาก"

 

"อ๊ากกกก!!! หวังอี้ป๋อ~~~!!!"   คราวนี้หม่าม้ากระต่ายฟาดปะป๊าด้วยอาม่าหมีแพนด้าจนปะป๊าหายไปจากหน้าจอ สองคนนั้นหายไปตีกันด้วยเสียงหัวเราะร่าคละเคล้ากับเสียงด่าทอ ปล่อยให้เขาอ้าปากพะงาบๆอยู่ตามลำพัง หน้าเน้อร้อนเป็นไฟไปหมดแล้วเนี่ย

 

"ซักวันลูกก็ต้องรู้ จ้านเกอ หยุดตีก่อน ไม่หยุดผมจะจูบนะ"  

 

"อ๊า!!! หวังอี้ป๋อ! นายยังเป็นคนอยู่มั๊ย? นายยังเป็นคนอยู่รึเปล่า~!"   เสียงตุ้บตั้บดังมาจากหน้าจอที่มีเพียงหวังอี้คุนที่เดินหนีไปเสียไกลโพ้น

 

"งั้นก็หมายความว่า ทุกครั้งที่หม่าม้ากินขนมเยอะ...ปะป๊าก็จะ………"   เขาพูดไม่จบด้วยความร้อนบนใบหน้ามันทำให้รู้สึกอายๆยังไงก็ไม่รู้

 

"ใช่ โอ๊ย!"   ปะป๊าผงกหัวมาตอบแต่ก็โดนหม่าม้าที่คร่อมทับเอาหมอนฟาดจนหายไปจากหน้าจออีก รักกันดีจริงๆป๊าม้าของเขา

 

หวังเฟยเฟย เดินไปห้องออกกำลังกายเดี๋ยวนี้ อย่างน้อยต้องวิ่งจนกว่าเหงื่อจะออกนะ เข้าใจไหม?”   หลังจากรวบมือรวบแขนหม่าม้าได้ ปะป๊าก็ยังไม่วายหันมาสั่งเขาอีก

 

รู้แล้วน่า…”    ปากก็ตอบไปแต่มือยังหยิบคุกกี้ไม่หยุด

 

เฟยเฟย”   ปะป๊าเอ่ยดุเสียงเข้ม

 

งื้อ ก็ได้”    เขายู่หน้าใส่ก่อนจะลุกจากรังที่แสนสบายอย่างเสียมิได้ ขาเรียวก้าวออกจากห้องไปอย่างงอนๆ...แน่นอนว่าเขายังหยิบหนังสือกับคุกกี้ติดมือไปด้วย...

 

 

 

 

 

 

 

 

ใบหน้ามนชะโงกเข้ามาในประตูห้องออกกำลังกายทำให้นายใหญ่ของบ้านที่กำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งหันไปมองอย่างสงสัย  เจ้าลูกกระต่ายจอมวุ่นวายค่อยๆเดินเอี้ยงๆมองๆมาทางเขาทีมองเครื่องออกกำลังกายในห้องทีก่อนจะนั่งแหมะลงไปบนเครื่องยกน้ำหนักแล้วอ่านหนังสือต่อ?

 

มีอะไรรึเปล่า?”    เขากดหยุดลู่วิ่งก่อนจะถามออกไปอย่างสงสัย เพราะไม่น่าจะมีใครในบ้านไปก่อกวนเจ้าลูกกระต่ายได้ เขาสั่งการ์ดและพ่อบ้านทุกคนแล้วว่าห้ามยุ่งหรือรบกวนอาเฟย

 

"ปะป๊าบังคับให้มาออกกำลังกาย"   แล้วสภาพนั่งหยิบคุกกี้เข้าปากเคี้ยวหมุบหมับๆไปอ่านหนังสือไปนี่มันออกกำลังกายตรงไหน? เขาถึงกับส่ายหัว เจ้าตัวแสบนี่แอบหนีพ่อมาอู้นี่เอง 

 

แล้วไม่นานก็มีวีดีโอคอลเข้ามา...

 

"นี่ไง อยู่ห้องออกกำลังกายแล้วเนี่ย"   เจ้าลูกกระต่ายแพลนกล้องให้ดูพร้อมพูดด้วยเสียงแง่งอน เฟยเฟยเป็นพวกชอบอยู่บ้าน อ่านหนังสือ วาดรูป มากกว่าจะออกไปวิ่งโล้ดโผนให้เหงื่อออกเพราะงั้นจึงไม่ชอบออกกำลังกายขนาดหนัก

 

"ปะป๊าอย่าไปเชื่อ ออกกำลังกายยังไงไม่มีเหงื่อซักเม็ดอี้คุนชะโงกหน้าเข้ามาในจอ

 

"งื้อ! ไม่เชื่อก็ถามพี่อี้หยางสิ!"   แล้วเจ้าตัวดีก็สะบัดหน้ามาแอบถลึงตาให้เขา เขาจึงได้แต่ยิ้มมุมปากให้กล้องโดยไม่ได้พูดอะไร

 

"แค่นี้ก่อนนะเฟยจะวิ่งแล้วเจ้าลูกกระต่ายรีบตัดบทปิดกล้องวางสายไปทันที  แล้วก็กลับไปนั่งกินคุกกี้อ่านหนังสือสบายใจเฉิบต่อ... 

 

"ทำไมยังนั่งอยู่นี่อีกล่ะ?"  เขาถามพลางเดินลงมาจากลู่วิ่ง มือใหญ่หยิบผ้าขนหนูมาซับเหงื่อในขณะที่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าลูกกระต่าย หลอกลวงปะป๊ากับพี่ชายฝาแฝดสำเร็จแล้วไม่ใช่รึไง? ไม่กลับไปนอนในรังดีๆล่ะ?

 

"เดี๋ยวปะป๊าต้องวีดีโอคอลมาเช็คอีกแน่ เฟยขี้เกียจวิ่งมาใหม่"    ดูความแสบ ความดื้อ ความฉลาดเป็นกรดของเจ้าลูกกระต่ายนี่สิ  

 

เขายกยิ้ม แบบนี้คงต้องสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว 

 

จู่ๆมือใหญ่ก็ดึงตัวคนที่ยังมึนงงลงนอนบนเบาะยางอย่างรวดเร็ว หวังอี้หยางขยับไปคร่อมทับทำให้คนที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้แต่มองหน้ากระพริบตาปริบๆ สองแขนแข็งแรงกางกั้นร่างโปร่งบางไว้ใต้ร่างก่อนจะจ้องมองกลับไป เจ้าลูกกระต่ายตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับไปไหน ใบหน้าหล่อเหลาจึงยิ้มเจ้าเล่ห์

 

ชั้นจะวิดพื้น”   เสียงทุ้มเฉลยออกไป

 

เดี๋ยว? แล้ว? อะ?”   กว่าเจ้าลูกกระต่ายจะจับใจความได้ก็หนีไม่ทันแล้ว

 

ฝ่ามือและปลายเท้าของเขายันพื้นกักขังเจ้าลูกกระต่ายเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆกดตัวลงมาช้าๆ….สายตายังคงจับจ้องสบประสานอยู่กับดวงตาคู่โตที่มีแววตื่นตระหนกน้อยๆ

 

ลำตัวที่ซิกแพ็คขึ้นชัดอยู่ภายใต้เสื้อออกกำลังกายค่อยๆขยับลงไปใกล้ลำตัวบางมากขึ้น มากขึ้นเช่นเดียวกับใบหน้าที่ค่อยๆขยับลงไปหาใบหน้ามน ดวงตาที่แสดงออกว่ารัก ว่าหลงใหล ว่าอยากได้ยังคงจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยราวกับกำลังร่ายมนต์  เขาค่อยๆขยับลงไป...ขยับลงไป....จนลมหายใจต้องสองแก้ม

 

ดวงตากลมโตเบิกค้างมองสวนกลับมา เขาได้ยินเสียงหัวใจดวงน้อยเต้นระรัวและหัวใจของเขาเองก็เช่นกัน ร่างกายของเขาร้อนไปหมด ถึงแม้จะทำเพื่อแกล้งอีกฝ่ายแต่ตัวเขาเองก็ต้องอดทนขนาดหนักเหมือนกันเพื่อให้ใบหน้ายังนิ่งเฉยได้ขนาดนี้

 

เขายังคงขยับลงไปอย่างเชื่องช้า ใบหน้าหล่อเหลาเอียงเข้าหาเมื่อปลายจมูกชนกัน  ริมฝีปากขยับเข้าไปอย่างอ้อยอิ่งอยู่เหนือริมฝีปากสีระเรื่อแลดูนุ่มนิ่มคล้ายเยลลี่นั่น...หัวใจยิ่งสั่นสะท้านและได้ยินชัดถึงความต้องการซึ่งกันและกัน

 

เขานิ่งค้างอยู่แบบนั้นหลายวินาที...นิ่งค้างเอาไว้โดยไม่ได้แตะสัมผัสเพราะเขาจงใจหยอกเย้า เจ้าลูกกระต่ายดูเหมือนจะหยุดหายใจไปแล้ว...

 

จนกระทั่งริมฝีปากของเขาเคลื่อนผ่านกลีบปากรสสตอเบอร์รี่ไป  สองแขนดันตัวขึ้น  เจ้าคนที่ตัวแข็งทื่อจึงอ้าปากพะงาบๆเลิ่กลั่กน่ารักน่าเอ็นดูจนเขาอดยิ้มไม่ได้

 

พี่! อะ!”    และเขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้อ้าปากโวยวายได้หรอก เขากดตัวเองลงไปใหม่ กล้ามที่แขนขึ้นเป็นไลน์สวยงาม ส่วนคนใต้ร่างก็กลับไปแข็งทื่อตามเดิม

 

ดวงตาสบประสานอย่างลึกซึ้งปลายจมูกค่อยๆขยับเข้าใกล้ก่อนจะค่อยๆลากผ่านแก้มใส...เกือบจะแตะโดน...แต่ก็ไม่โดน

 

มีเพียงลมหายใจของเขาที่ได้สัมผัสผิวใสและมันก็ทำให้ใบหน้ามนเริ่มปั่นป่วน หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำจากการกระทำอันแสนเซ็กซี่เหล่านี้ บรรยากาศรอบกายทั้งหอมหวานทั้งมัวเมาราวกับอยู่ในไวน์แดง

 

กลีบปากสีระเรื่อเผลอเผยอออกโดยไม่รู้ตัว เขาจึงขยับริมฝีปากเข้าหา...เกือบจะสัมผัส...แต่ก็ผ่านเลยไป….

 

ร่างแข็งแกร่งยันกายขึ้นอีกครั้ง เจ้าลูกกระต่ายที่อยู่ใต้ร่างเริ่มมีเหงื่อแตกพลั่ก ร่างกายดูจะสั่นสะท้านน้อยๆจากการยั่วเย้าของเขา และทุกปฏิกิริยาก็ทำให้เขาลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ

 

 

อาเฟยรักเขา...เขามั่นใจ

 

 

เพราะถ้าไม่ได้คิดอะไรด้วยก็จะไม่มีทางตื่นเต้นขนาดนี้แน่

 

เพียงแต่เจ้าลูกกระต่ายยังเด็กและยังไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร

 

เพราะงั้นเขารอได้...รอวันที่เฟยเฟยจะเรียกมันว่าความรักได้เต็มปากเต็มคำ

 

สองแขนแข็งแรงยันกายไว้เหนือร่างโปร่งบางก่อนจะทอดมองลงมาด้วยรอยยิ้ม

 

"เหงื่อออกแล้วนี่ แค่นี้ก็ตบตาปะป๊าได้แล้วมั้งถ้าคอลมาอีกเสียงทุ้มเอ่ยออกไปอย่างหยอกเย้าแถมท้ายด้วยเสียงหัวเราะในลำคอทำเอาคนถูกแซวถึงกับหน้าแดงเป็นลูกเชอร์รี่ ใบหน้ามนเลิ่กลั่กไปหมดก่อนที่สองมือจะพยายามดันเขาออกไป

 

งื้อ เล่นอะไรเนี่ย…”   ใบหน้ายุ่งๆหันมาค้อนให้ก่อนจะขยับไปนั่งขดตัวอยู่บนเครื่องยกน้ำหนัก ใบหน้าที่ยังแดงเถือกก้มซุกหัวเข่าที่ยกชันขึ้นมาอย่างเขินอาย

 

ก็ช่วยนายตบตาปะป๊าไง? หรือถ้าจะให้ชั้นช่วยเบิร์นให้ก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ”   เขายิ้มมุมปากในขณะที่เจ้าลูกกระต่ายอ้าปากพะงาบๆพูดอะไรไม่ออกลนลานไปหมด

 

แง๊~ อย่ามาแกล้งเฟยนะ!!”   มือบางฟาดมั่วๆใส่เขาในขณะที่ร้องงอแง หน้าเน้อแดงแปร๊ด แดงไปจนถึงใบหู เขาได้แต่ยืนยิ้มอย่างเอ็นดู 

 

ก็ดูสิ น่ารักขนาดนี้แล้วจะไม่ให้เขารักแทบเป็นแทบตายได้ยังไง?

 

 

เจ้าเพชรแห่งหัวใจดวงนี้ของเขา

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

To be con.

 

 

เห็นมีคอมเม้นต์ถามถึงคู่นี้มาเยอะเลยแอบแต่งเพิ่มซักหน่อย เหะๆๆ ส่วนจะแยกเป็นเรื่องใหม่ไหมเด่วขอคิดดูก่องนะคะ ในหัวคือพล็อตล้านแปดมากแต่มันไม่ค่อยจะมีเวล๊าาาาา แง๊ 

 

มีคนถามเรื่องรวมเล่มมาด้วย ยังไม่ได้เปิดพรีนาคะ ยังไม่เสร็จ5555 ไม่เป็นไร คุณกวางไม่รีบ // หัวเราะทั้งน้ามตา จะมีอะไรเสร็จบ้างปีนี้ถถถ 

 

ยังไงก็ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามมากๆนะคะ =/////= ความวุ่นวายของเจ้าลูกกระต่ายยังไม่จบค่ะ ยังมีอีกพาร์ทนึงน้า แล้วเจอกันค่า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น