ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 bpm.
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 Beats per minute.”
.
.
.
การเติบโตนั้นเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์
และการที่เราสามารถเฝ้ามองสิ่งที่เป็นดั่งดวงใจค่อยๆเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆก็เป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุขมาก
ทั้งชีวิตของเขาได้เฝ้ามองรถยนต์ที่รักดั่งลูกค่อยๆเติบโตมาไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน
ตอนที่มันยังเป็นแค่ลายเส้นก็คงเหมือนทารกตอนอยู่ในครรภ์
มันค่อยๆถักทอก่อร่างสร้างตัวจากหัวใจอย่างเครื่องยนต์จนค่อยๆพัฒนาคลอดออกมาเป็นรถทั้งคัน ตอนที่มันได้ลองวิ่งครั้งแรกก็คงเหมือนกับเด็กที่เพิ่งเริ่มหัดเดิน
มันค่อยๆแข็งแรงขึ้นจนในที่สุดก็สามารถไปไหนต่อไหนได้ด้วยตัวเอง
เขาเคยคิดว่าการมีลูกก็คงไม่ต่างไปจากการสร้างรถทุกคันของเขา
แต่เปล่าเลย…
เขาไม่ได้สร้างเด็กสองคนนั้นขึ้นมา
แต่เป็นเด็กสองคนนั้นมากกว่าที่ค่อยๆสร้างหัวใจที่เต็มไปด้วยความสุขดวงนี้
หวังเฟยเฟยกับหวังอี้คุนนั้นราวกับสมบัติล้ำค่า
เป็นมากกว่าชีวิตของเขาเองเสียอีก
มือบางดันแว่นตาที่เริ่มตกลงมาอยู่ที่ปลายจมูกให้กลับเข้าที่
อีกมือหนึ่งก็ยังไม่ละไปจากโปรแกรมที่ใช้เขียนแบบอยู่
ทางฝั่งฟอร์มูล่าวันก็ใกล้จะปิดฤดูกาลเต็มที
สนามท้ายๆนี้จึงดุเดือดเลือดพล่านอย่าบอกใคร
ฝั่งรถซุปเปอร์คาร์คันใหม่ก็คอนเซ็ปต์ผ่านหมดแล้ว
ตอนนี้จึงอยู่ในขั้นพัฒนาแบบสำหรับการสร้างรถตัวต้นแบบต่อไป
กล่าวได้ว่าหัวหน้าฝ่ายออกแบบอย่างเซียวจ้านนั้นแทบจะไม่มีเวลาพักหายใจหายคอเลยทีเดียว
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่างานจะยุ่งขนาดไหน
เขาก็ยังยกให้เจ้าลูกกระต่ายที่คอยวุ่นวายอยู่ข้างๆมาก่อนเสมอ
“หม่าม้า~ หน้าเฟยเป็นอะไรไม่รู้อ่ะ
คันไปหมดแล้วเนี่ย” หวังเฟยเฟยวัย13ขวบเดินเกาแก้มแกร่กๆเข้ามาหา ใบหน้าเล็กๆที่คล้ายเขามากทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนเขาต้องละจากหน้าจอโน้ตบุคไปมอง
“ไหนมาดูซิ?” งานทุกอย่างชะงักค้างเมื่อเจ้าตัวยุ่งนั่งลงข้างๆ
มือบางประคองใบหน้าของลูกชายก่อนจะจ้องมองอย่างพินิจพิจารณา
“คันอ่ะ” เจ้าลูกกระต่ายบ่นง้องแง้งๆอย่างไม่สนใจจะรักษามาดอะไรทั้งนั้น
เฟยเฟยใช้ชีวิตมาอย่างตรงไปตรงมา กลัวก็บอกว่ากลัว ทำอะไรไม่ได้ก็ให้พวกเขาทำให้
มาดคุณชายอะไรไม่เคยมีกับใครเค้า
ยอมรับความอ่อนแอของตัวเองและยอมรับความช่วยเหลือจากพวกเขา
รู้ตัวอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นใครและจะส่งผลอย่างไรต่อคนรอบข้าง ถึงจะเป็นตัววุ่นวายประจำบ้านแต่เพราะอาเฟยเป็นแบบนี้พวกเขาถึงได้รักจนหมดหัวใจ
“อย่าเกา...อืม...หน้าลอกเป็นขุยเลย ไปตากแดดมารึเปล่า? แต่ช่วงนี้ก็ใกล้จะหนาวแล้วด้วย น่าจะเพราะอากาศเปลี่ยนมั้ง?”
ดวงตากลมโตมองรอยแตกขาวๆบนใบหน้าของลูกชายฝาแฝดผ่านเลนส์แว่น
เจ้าลูกกระต่ายเองตอนอยู่บ้านก็ใส่แว่นเหมือนกัน
อาเฟยถึงได้มีสภาพราวกับจับเขาย่อส่วนยังไงอย่างงั้น
“ทำไงอ่ะ?” ใบหน้าเล็กเอียงคอถาม
จุกหน้าม้าที่มัดไว้ด้วยยางรัดผมรูปกระต่ายผงกลงมาจนแทบจะชนกับจุกหน้าม้าของเขาอยู่แล้ว
“ทาครีมก็น่าจะช่วยได้ รอเดี๋ยวนะ…” เขาลุกจากโซฟาไปเปิดตู้ที่มีสารพัดครีมตั้งเรียงราย
ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้ครีมบำรุงผิวเสียที่ไหน แต่ตั้งแต่มีลูก
ในบ้านก็มีครีมแทบจะทุกชนิด เพราะผิวเด็กทั้งบอบบางและอ่อนนุ่ม
เขาไม่อยากให้ลูกๆระคายเคืองเวลาโดนเขาสัมผัส เพราะงั้นจึงต้องดูแลตัวเองให้ดี
แถมผิวอาเฟยยังแพ้ง่าย ครีมพวกนี้บางทีก็ช่วยได้
“นี่ ครีมสำหรับทาหน้าแตกลอกในฤดูหนาว” เขาไม่ต้องโทรถามคะชูหรือหม่าม้าของเขาเหมือนช่วงแรกๆแล้ว
ตอนนี้เขาจำได้หมดว่าครีมอะไรใช้ตอนไหน
“หม่าม้าทาให้หน่อย” เจ้าลูกกระต่ายทำหน้าอ้อนก่อนจะเอียงแก้มให้
"มาสิ" เขาไม่เคยคิดจะปฏิเสธเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ตราบใดที่คนที่อยากให้เขาทำให้คืออาเฟย
จริงๆแล้วก่อนที่เด็กสองคนนี้จะเกิดมาเขาก็เคยกังวลอยู่เหมือนกัน เขากลัวว่าทั้งคู่ที่ไม่ได้เกิดมาจากท้องของเขาอาจจะไม่สนิทใจกับเขาหรือเปล่า
กลัวว่าจะเข้ากันไม่ได้ กลัวลูกจะเหินห่างจากเขา แต่จนแล้วจนรอดก็เปล่าเลย อาเฟยกับอี้คุนสนิทกับเขาและอี้ป๋อมาก
ร่างโปร่งบางนั่งลงข้างๆแล้วจึงป้ายครีมลงไปบนปลายจมูกโด่งรั้นนั่นเบาๆอย่างหยอกเย้า
ครีมสีขาวค่อยๆถูกแต้มกระจายลงไปบนใบหน้าเล็ก
เขาอมยิ้มมองเจ้าตัววุ่นวายที่หลับตาพริ้มรอให้เขาทาครีมให้ อ๊า~~ ทำไมลูกชายเขาถึงได้น่ารักขนาดนี้เนี่ย~~ ทนไม่ไหวแล้ว~
“งื้ม~” ปลายนิ้วเกลี่ยครีมลงไปบนแก้มใสพลางนวดไปมา
ถ้าน้วยได้เขาคงจะน้วยไปแล้วแต่ต้องแข็งใจทาครีมให้เสร็จก่อน
"ฮิๆ…" เจ้าลูกกระต่ายหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
รอยลอกขาวๆค่อยๆผสานเป็นผิวเนียนนุ่มตามเดิม
"ยังคันอยู่ไหม?" หัวเล็กส่ายน้อยๆ
"เย็นจัง หอมด้วย~" ดูท่าทางจะชอบสินะ?
มือบางจึงไล้วนครีมเนื้อนุ่มซ้ำลงไปอีกรอบ
แก้มที่เหมือนมาชเมลโล่นี่มันน่าบีบเล่นดีจริงๆ
และเพราะมัวแต่เพลิดเพลินไปกับแก้มนิ่มๆเลยไม่ทันเห็นว่าใครบางคนกำลังเดินเข้าบ้าน...หวังอี้ป๋อกลับมาแล้ว
“ไปซนจนผื่นขึ้นมาอีกล่ะสิ?” นักบิดรุ่นใหญ่แห่งวงการ
Moto GP วางหมวกกันน็อคลงก่อนจะเดินมาดู
ถึงแม้จะเป็นพ่อคนแล้วแต่หวังอี้ป๋อก็แทบไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
คงจะมีแค่ความรู้สึกที่ดูเป็นผู้ใหญ่
ดูเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ทำให้นักบิดหนุ่มดูโตขึ้น ดูแข็งแกร่งขึ้นอย่างพ่อที่ปกป้องลูกๆของตนได้
“เปล่าซนซักหน่อย อยู่ๆมันก็ลอกเอง” เจ้าลูกกระต่ายหันมาเถียงในขณะที่ผู้เป็นแม่เว้นจังหวะรอครีมแห้ง
“กลับมาแล้วเหรออี้ป๋อ? กินอะไรมารึยัง?”
เป็นเจ้ากระต่ายที่หันมาถาม
ใบหน้าหล่อเหลาจึงพยักให้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปแหย่ลูกชายต่อ
“ให้ปะป๊าทาให้ไหม?” ร่างสูงสง่าขยับมายืนอยู่ด้านหลังโซฟา
แขนแข็งแรงท้าวลงไปที่พนักเพื่อชะโงกหน้าดูแก้มใสให้ชัดๆ
จะว่าพวกเขาประคบประหงมเจ้าเด็กแฝดสองคนนี้เกินไปก็ยอมรับแหละ
แต่พ่อแม่ที่ไหนก็คงไม่อยากให้ลูกมีแผล แค่รอยนิดเดียวเขาก็แทบจะทนเห็นไม่ได้
“ไม่เอา...มือปะป๊าสากยิ่งกว่ามืออี้คุนอีก
ใครจะอยากเอากระดาษทรายมาลูบหน้าล่ะ” เดี๋ยวเถอะเจ้าลูกกระต่ายนี่
มือสากๆแบบนี้ไหมที่เลี้ยงมาจนโตเนี่ย?
“มือหม่าม้านิ่มที่สุด~ งื้ม~” หน้าฟินเชียวนะ เขาอดยื่นมือไปโยกหัวเล็กนั่นอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้
ร่างสูงสง่านั่งลงบนโซฟาพลางมองดูกระต่ายแว่นมัดจุกหน้าม้าสองตัวทาครีมงุ้งงิ้งๆให้กัน
หม่าม้ากระต่ายกับลูกกระต่ายในเสื้อฮู้ดสีแดงทั้งคู่นั้นมันน่ารักน่าเอ็นดูจนเขาต้องยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายอย่างห้ามตัวเองไม่ไหว
ใครทนความน่ารักนี้ได้ก็ต้องเรียกพระอิฐพระปูนแล้ว
แชะ
“แล้วอี้คุนไปไหน?” เสียงทุ้มทักขึ้นเมื่อไม่เห็นเจ้าลูกสิงโตที่ควรจะวนเวียนอยู่แถวนี้
อาเฟยหน้าลอกเป็นแถบๆไม่มีทางที่เจ้าแฝดพี่จะปล่อยไว้แน่
“หลับเป็นตายอยู่บนห้องนู่น เขี่ยเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น” เฟยเฟยเบะปากอย่างไม่ได้ดั่งใจ แสดงว่าคงไปก่อกวนพี่ชายมาก่อนแล้วสินะ
“อะคาเดมี่จะสอบนักขับเยาวชนพรุ่งนี้ใช่ไหม?” เขาเอนหลังพิงพนักโซฟาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทำไมอี้คุนถึงมานอนหลับเอาตอนเย็นๆแบบนี้...พรุ่งนี้ที่โรงเรียนนักขับจะมีการสอบ
มันคือก้าวสำคัญของนักแข่งรถทุกคน
เพราะใช่ว่าเข้าไปอยู่ในเฟอร์รารี่อะคาเดมี่ได้แล้วทุกคนจะได้ที่นั่งนักขับ
มีเพียงที่หนึ่งของที่หนึ่งในหมู่หัวกะทิเท่านั้นถึงจะได้รับสิทธิ์นี้
“อื้อ ก็เลยไปซ้อมมาตั้งแต่เมื่อวาน
พรุ่งนี้ปะป๊ากับหม่าม้าก็จะไปดูอี้คุนด้วยใช่ไหม?”
“ต้องไปสิ ป๊าม้าเคยพลาดเสียที่ไหน
ขนาดตอนเฟยเฟยแสดงเป็นเจ้าหญิงเบลล์สมัยอนุบาลสาม ป๊าม้ายังไปดูเลย”
พูดจบทั้งเขาทั้งเจ้ากระต่ายก็หลุดขำพร้อมกัน
มีแค่เจ้าตัววุ่นวายเท่านั้นแหละที่อ้าปากค้างก่อนจะโวยออกมาทันที
“งื้อ! เจ้าหญิงอะไรเล่า! รีบๆลืมไปได้แล้ว!” เจ้าลูกกระต่ายแทบจะร้องงอแง
มือเล็กหยิบหมอนอิงมาพยายามปิดปากเขา
“พูดแล้วก็จำได้แม่นเลย เฟยเฟยของหม่าม้าน่ารักม๊าก~ ใส่กระโปรงสุ่มสีเหลืองด้วย
วีดีโอที่นายถ่ายไว้อยู่ไหนนะอี้ป๋อ เอามาเปิดดูกันดีกว่า” เจ้ากระต่ายหัวเราะแซวซะจนโดนลูกกลิ้งทับไปมา
“บอกให้รีบๆลืมไปไง แง๊~”
เขายิ้มแก้มแทบแตกก่อนจะส่ายหน้า จริงๆแล้วอาเฟยแสดงเป็นระฆัง แต่ด้วยความที่ออกเสียงว่าเบลล์เหมือนกัน
คุณยายผู้รับหน้าที่หาชุดให้หลานชายดันฟังผิดคิดว่าเป็นเจ้าหญิงเบลล์ใน Beauty
and the Beast จากชุดระฆังเลยได้มาเป็นชุดเจ้าหญิงฟรุ้งฟริ้งติดแบรนด์Gucciซะอย่างงั้น ไม่พอ
คุณครูยังยอมเปลี่ยนบทให้หน้าตาเฉย เจ้าหญิงเบลล์ที่ไม่ควรจะมาอยู่ในเรื่องลูกหมูสามตัวเลยได้รับหน้าที่คอยไปบอกลูกหมูว่าหมาป่ามาแล้วแทนระฆังไปอย่างมึนงง
"คุณยายนี่ก็จริงๆเลย ต้องหาชุดหมาป่าให้อี้คุนด้วยแท้ๆ
ทำไมถึงไม่เอะใจบ้างว่า Beauty and the Beast มันมีหมาป่าเสียที่ไหน?!"
"ฮ่าๆๆ" นักออกแบบรถมือหนึ่งของเฟอร์รารี่ยังหัวเราะไม่หยุดก่อนจะมองลูกชายด้วยสายตาหยอกเย้า เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย~ นายคิดว่าทั้งนายทั้งชั้นได้เชื้อความมึนแบบนี้มาจากไหนกันล่ะ?
ถึงจะเป็นกระต่ายสายโหดแต่หม่าม้าของชั้นหรือยายของนายนั้นก็ยังเป็นกระต่ายอยู่วันยังค่ำ
นอกจากเรื่องงานแล้วอย่างอื่นก็ไม่รอดเหมือนกันนั่นแหละ
ร่างโปร่งบางเดินไปล้างมือทำให้เหลือหวังเฟยเฟยนั่งอยู่กับหวังอี้ป๋อตามลำพัง
“ปะป๊านี่ก็ยังไม่เลิกถ่ายรูปหม่าม้าอีกนะ
ฮาร์ดดิสเต็มไปไม่รู้กี่ลูกแล้วเนี่ย ถ่ายอยู่ได้” เจ้าลูกกระต่ายพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเขากำลังสไลด์จอมือถือเพื่อเลือกรูปอยู่
“ก็ดูสิ น่ารักไหมล่ะ?” มือใหญ่ยื่นโทรศัพท์มือถือให้
เจ้าลูกกระต่ายยื่นหน้ามามองรูปของตัวเองกับผู้เป็นแม่ก่อนจะตอบรับด้วยเสียงชินๆ
“อื้อ” มีแค่คนถ่ายอย่างเขานี่แหละที่ก้มมองรูปในจอมือถือด้วยรอยยิ้ม
“มนุษย์เราน่ะนะอาเฟย มีเรื่องให้คิดมากมายจนภาพที่เห็นเมื่อกี้นี้มันอาจจะหายไปในวันหนึ่งก็ได้...ปะป๊าถึงได้พยายามเก็บมันเอาไว้ในรูปถ่ายพวกนี้...เพราะหม่าม้าของลูกน่ะ
สำคัญต่อปะป๊าในทุกวินาที แล้วภาพเหล่านี้มันก็จะคงอยู่กับปะป๊าตลอดไป
ปะป๊าจะไม่มีวันลืมทุกวินาทีที่เราอยู่ด้วยกัน” เขามองสองคนที่อยู่ในรูปด้วยสายตาอ่อนโยน
“....ปะป๊า...ทำยังไงเฟยถึงจะมีคนที่รักเฟยม๊าก~มากอย่างที่หม่าม้ามีปะป๊าบ้าง?”
เสียงใสถามออกมาทำให้เขาหลุดหัวเราะ
“หึ ลูกกระต่ายอย่างเราน่ะ ยังไม่ต้องคิดเรื่องนี้หรอก”
มือใหญ่ขยี้หัวเล็กๆของเจ้าลูกชายฝาแฝดอย่างหมั่นเขี้ยว
อาเฟยเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขากับจ้านเกอ
ใครที่คิดจะเอาไปก็ต้องผ่านด่านนรกจากพวกเขาก่อนแน่นอน
“งื้อ~ นี่อยากรู้จริงๆนะ อย่าขยี้สิ
หัวยุ่งหมดแล้วเนี่ย~” มือเล็กปัดมือเขา
เขานิ่งไปเล็กน้อยเพื่อเรียงร้อยถ้อยคำก่อนจะพูดออกมา
“เฟยเฟย ลูกน่ะเกิดมาด้วยความรัก และจะคงอยู่ต่อไปด้วยความรัก
สักวันลูกจะเจอคนที่เป็นของลูก รักแต่ลูกเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน
ปะป๊าเชื่อแบบนั้น” เจ้าลูกกระต่ายยู่หน้าก่อนจะทิ้งตัวลงไปในโซฟา
“เฟยไม่อยากเชื่อเรื่องความรักหรอก
เพราะที่ผ่านมาคนที่บอกว่าชอบเฟยก็มักจะสร้างความเดือดร้อนให้ตลอด
เอาแต่ทำให้เฟยกลัว...แต่พอเห็นปะป๊ากับหม่าม้าทีไร...มันก็ทำให้เฟยคิดว่าในโลกนี้ยังมีความรักจริงๆอยู่น้า~”
“หึ” มือใหญ่เปลี่ยนจากขยี้เป็นลูบหัวเล็กนั่นอย่างเอ็นดู
“ใครจะไปซุปเปอร์กับหม่าม้าบ้าง?!” เจ้ากระต่ายที่คงเลยไปสำรวจตู้เย็นเดินกลับเข้ามาพร้อมกับถามเสียงใส
“เฟยเฟย!” เจ้าลูกกระต่ายรีบยกมือทิ้งเรื่องที่กำลังคุยกับเขาไปหน้าตาเฉย
เขาส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะหันไปถามจ้านเกอ
“ให้ผมไปด้วยไหม?”
“ไม่เป็นไรนายพักเถอะเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ซื้อแต่เนื้อกับผัก ไม่หนัก
นายอยู่ดูเจ้าลูกสิงโตนั่นเถอะ ตื่นมาต้องบ่นปวดกล้ามเนื้อแน่ๆ”
“ครับ”
Ferrari
Portofino วิ่งออกจากบ้านโดยมีกระต่ายสีแดงสองตัวนั่งไปด้วยกัน
มาราเนลโล่ทั้งเมืองก็เหมือนกับบ้านของพวกเขา
เพราะงั้นการที่จะออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วยสภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แล้วก็ไม่ได้มีแต่บ้านเขานะที่เป็นแบบนี้
บางทีก็ยังเจอพวกบ้านในเขตป่ามาทั้งชุดนอนลายหมีก็ยังมี เจอคะชูที่มาทั้งโรลม้วนผม
เจอศิษย์พี่ที่ไม่ได้อาบน้ำมาสามวัน เจอบอสที่มากับหมาทั้งฝูงก็ยังมี
แต่ละคนก็คือไม่เข้ากับเฟอร์รารี่ที่ขับมาแบบสุดๆ
“เอาหัวนี้!” เพราะมัวแต่สนใจว่ากะหล่ำปลีหัวไหนถูกหลักอากาศพลศาสตร์และสมมาตรกว่ากัน
กว่าจะหันมาเห็นว่ารถเข็นโดนขโมยไปแล้ว ร่างโปร่งบางก็ต้องเดินตามหาไปเสียหลายล็อค
ใบหน้ามนอมยิ้มน้อยๆเมื่อมองเห็นเจ้าลูกกระต่ายหัวขโมยกำลังกอบโกยถุงคุกกี้ใส่ลงไปในรถ
เขาก้าวไปหาก่อนจะดึงรถเข็นกลับมา
"พอเลยเจ้าตัวยุ่ง ขนมเรานี่ปาไปค่อนรถแล้วนะ" เขาเหลือบมองสารพัดขนมขบเคี้ยวที่เกือบจะเต็มรถเข็นอยู่รอมร่อ
เพราะแบบนี้แหละอาเฟยถึงชอบมาซื้อของกับเขา
จะขนซื้อขนมกลับไปซุกไว้ในรังกระต่ายของตัวเองแค่ไหนเขาก็ตามใจ
ไม่เหมือนผู้เป็นพ่อ
เพราะถ้ามากับอี้ป๋อ
ซื้อขนมกลับไปเท่าไหร่ก็ต้องออกกำลังกายคืนเท่านั้น
เจ้าลูกกระต่ายถึงกับวิ่งรอบบ้านไปร้องขอชีวิตไป
เป็นพวกใช้แต่สมองไม่ถนัดใช้แรงขนาดหนัก ตัวถึงได้เล็กบางอย่างกับจะหักได้แบบนี้
“ขอซื้อช็อกโกแลตอีกสามแท่งนะ น้า~หม่าม้า~”
ดวงตากลมโตใสแจ๋วช้อนขึ้นมอง
เจอลูกอ้อนแบบนี้เข้าไปต่อให้เป็นหม่าม้าที่ดุขนาดไหนก็คงต้องใจอ่อน
“รีบๆไปหยิบมา” เขาตอบพลางถอนหายใจ
เผลอตามใจตลอด
“เย้~” เจ้าลูกกระต่ายกระโดดดึ๋งๆอย่างดีใจกลับไปที่ล็อคขนม
และเพราะเขามองตามร่างเล็กบางนั่นไปแบบไม่ให้คลาดสายตา
จึงทันเห็นแสงสว่างกระพริบแว่บๆตามลูกชายของเขาไปได้อย่างอย่างชัดเจน
แสงแฟลช?
ขายาวก้าวตรงดิ่งตามเฟยเฟยไปอย่างรีบเร่ง
ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงแชะๆดังชัด มีคนตามถ่ายรูปลูกชายเขา!
มือบางรีบดึงลูกกระต่ายเข้ามากอดไว้ก่อนจะใช้แผ่นหลังบังกล้อง
ใบหน้าเล็กเงยมองเขาจากแผ่นอกอย่างมึนงง
แชะๆๆ
และเมื่อได้ยินเสียง
คิ้วเรียวของเฟยเฟยก็ขมวดเข้าหากันทันที
เด็กน้อยมองเขาอย่างกังวลแต่มือบางก็ลูบหัวลูกชายอย่างปลอบโยน เขายิ้มบางๆเพื่อบอกลูกว่าไม่ต้องกลัว
เพราะไม่ว่าจะยังไงหม่าม้าก็จะปกป้องเฟยเฟยเอง
เขายังใช้อ้อมแขนป้องกันลูกชายไว้กับแผ่นอก
ถึงจะไม่ใช่ราชสีห์ที่น่ากลัวเหมือนอี้ป๋อ
แต่ก็ขอให้รู้ไว้ว่ายามที่ต้องปกป้องลูกของมัน แม้จะเป็นแค่กระต่ายก็ดุร้ายได้!
ใบหน้ามนตวัดหันกลับไปมองคนที่ยังถ่ายรูปไม่หยุด
เขาส่งสายตาแข็งกร้าวใส่แทนคำเตือนให้หยุดถ่าย
การที่หมอนี่ตามถ่ายรูปพวกเขาแสดงว่าไม่ใช่คนที่นี่ อาจจะเป็นแค่แฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตที่บังเอิญผ่านมาเจอ
เพราะถ้าเป็นคนในมาราเนลโล่หรือเป็นแฟนๆของเฟอร์รารี่จะเป็นที่รู้กันดีและจะไม่มีใครถ่ายรูปครอบครัวของเขาโดยเฉพาะหวังเฟยเฟยแฝดคนเล็กของบ้าน
เจ้าลูกกระต่ายยังเด็กเกินกว่าจะป้องกันตัวเองได้
ทั้งเขาทั้งอี้ป๋อจึงไม่เคยโพสรูปอาเฟยลงในโซเชียลเลย
นานๆทีถึงจะมีรูปลงสื่อบ้างเวลาที่เขาพาไปสนามแข่ง
เขากับอี้ป๋อพยายามให้อาเฟยออกสื่อน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
พยายามปกป้องเอาไว้ให้ใครต่อใครเห็นน้อยที่สุด
เพราะรูปร่างหน้าตาของเฟยเฟยนั้นอันตรายมาก
น่ารักเสียจนอยากก่ออาชญากรรมนั่นคือคำที่หลายๆคนบอกมา
เพราะงั้นคนในเฟอร์รารี่จึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีที่จะไม่เผยแพร่รูปอาเฟย
แล้วก็อย่างที่รู้กันว่าเมืองนี้ทั้งเมืองแทบจะเป็นคนของม้าลำพอง
อาเฟยจึงใช้ชีวิตที่นี่ได้อย่างสบายใจมากกว่าที่ไหนๆ
เพิ่งมีครั้งแรกนี่แหละที่ถูกตามถ่ายถึงนี่
เขาหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยใบหน้าดุดัน
แขนบางดันลูกกระต่ายให้หลบอยู่ข้างหลัง เขาก็ไม่อยากจะทำรุนแรงกับอีกฝ่าย
แต่ถ้ายังไม่ยอมหยุดถ่ายก็คงต้องเรียกบอร์ดี้การ์ดที่ตามเฝ้าอยู่ห่างๆให้มาจัดการ...
“รูปละ 1 ล้านยูโร สำหรับค่าถ่ายโปสเตอร์ 1ใบ 5 ล้านยูโรสำหรับคลิปวีดีโอ 1 นาที นี่คือเรทค่าจ้างสำหรับนักออกแบบรถตัวท็อปของ Ferrari กรุณาติดต่อไปที่PRของสำนักงานใหญ่ก่อน
ไม่งั้นผมจะเอาฝ่ายกฎหมายไปคุยกับคุณ” แล้วจู่ๆเสียงกดดันทรงพลังกับแผ่นหลังกว้างที่คุ้นตาก็มายืนขวางหน้า
ประโยคข่มขู่ที่ไม่สนใจว่าจะเสียฐานแฟนๆไปกับใบหน้าหยิ่งทระนงที่เหยียดมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเรื่องก็ทำให้เสียงชัตเตอร์หยุดลงทันที
นี่มัน...คุณครูเทโอ้?
“เอาเบอร์โทรศัพท์กับที่อยู่มา ฝ่ายกฎหมายของเฟอร์รารี่จะไปหาถึงที่
ไม่ต้องห่วง” เพราะชอบไปขู่ชาวบ้านเค้าด้วยใบหน้าอย่างกับท่านเคานต์แบบนี้แหละ
ใครต่อใครถึงได้กลัวจนตัวสั่น
“เอ่อ…” คนถ่ายรูปเริ่มเลิ่กลั่กเพราะไม่คิดว่าการตามถ่ายรูปคนดังแห่งวงการมอเตอร์สปอร์ตจะต้องจ่ายเงินแบบนี้ด้วย
อีกฝ่ายพยายามจะถอยหนีแต่เงาปีศาจหมีขาวขั้วโลกที่คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆก็ทำให้จำต้องละล่ำละลักจดชื่อที่อยู่ลงกระดาษส่งมาให้
“แล้วก็บอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้ารูปพวกนี้หลุดออกมาเมื่อไหร่
ไม่ใช่แค่ฝ่ายกฎหมายแน่ที่จะไปหาคุณ...ไปซะ” ชายคนนั้นรีบวิ่งหนีไปทันที
ส่วนเจ้าคนที่ไปข่มขู่ชาวบ้านเค้าไว้ก็เก็บกระดาษนั่นใส่กระเป๋ากางเกงราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น...ก็คงแค่ขู่ไปอย่างงั้นแหละ
เพราะถ้าตามไปรีดไถ เอ้ย ตามไปเก็บค่ารูปอย่างที่พูดจริงๆ
ป่านนี้เฟอร์รารี่คงไม่ต้องทำรถขายแล้ว ขายแค่รูปเขากับลูกก็คงมีกินไปทั้งชาติ!
หมอนี่มันเป็นปีศาจ
แต่ถึงจะเป็นปีศาจยังไงเขาก็ต้องขอบคุณที่โผล่มาช่วยไล่คนที่ตามถ่ายรูปให้
“ขอบคุณครับ…” เขาบ่นงึมงำอย่างไม่เต็มใจนักซึ่งซีอีโอหนุ่มก็ดูจะไม่ได้ถือสาเพราะว่ารบรากันมานานจนชิน
ใบหน้าหยิ่งทระนงจึงพยักส่งๆไป
เขาเหลือบมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า
ทำไมหมอนี่ถึงยังใส่เสื้อเชิ้ตกับกั๊กสูทแม้แต่ในวันอาทิตย์แบบนี้เนี่ย? ทั้งๆที่คนอื่นในทีมมาซุปเปอร์ด้วยสภาพเหมือนเดินไปโรงรถข้างบ้าน
แต่เจ้าซีอีโอปีศาจกลับมาซุปเปอร์เหมือนเดินอยู่ในปราสาทยังไงอย่างงั้น...
“หวังเฟยเฟย” เจ้าครูเทโอ้ก้มหน้าลงมาคุยกับลูกกระต่ายของเขา
และแทบไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าท่านซีอีโอจะพูดอะไร
"เธอน่ะ คิดเอาไว้หรือยังว่าจะเซ็นต์สัญญากับเราเมื่อไหร่? จะเรียนสาขาออกแบบรถใช่ไหม?" นั่นไง
เจอหน้าอาเฟยเมื่อไหร่ก็ถามแต่เรื่องนี้นี่แหละ เขารู้นะว่าจ้องจะเอาลูกชายเขามาเป็นจุดขายรถซุปเปอร์คาร์เหมือนเขาละสิ!
"ผมจะออกแบบรถไฟ ไม่ทำรถซุปเปอร์คาร์หรอก" เจ้าลูกกระต่ายเองก็เงยหน้าตอบอย่างไม่กลัวเกรง ลูกเขาคุ้นเคยกับคนในเฟอร์รารี่ดีโดยเฉพาะเจ้าซีอีโอปีศาจนี่
"ยังจะพูดแบบนั้นอยู่อีกนะ รถไฟอย่างน้อยก็ห้าหกปีถึงจะทำใหม่สักซีรี่ย์
ไม่เหมือนซุปเปอร์คาร์ที่ออกใหม่ทุกปี ปีละหลายรุ่นด้วย ยังไงก็กำไรมากกว่าเห็นๆ
เธออาจจะท็อปฟิสิกส์แต่ในแง่บริหารเธอควรจะต้องเชื่อชั้น"
“คุณครูเทโอ้! อยู่นี่นี่เอง แล้วนี่ไปขู่อะไรเด็กอีกแล้วเนี่ย”
สเลน ทรอยยาร์ดเข็นรถผ่านมาพอดี
ก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเจ้าครูเทโอ้อยู่นี่สเลนก็น่าจะมาด้วย
“ขู่ที่ไหน?” ใบหน้าหยิ่งทระนงเชิดขึ้นอย่างไม่ยอมรับ
“อาสเลน!” เสียงใสของเฟยเฟยเอ่ยเรียกนักขับมือหนึ่งของเฟอร์รารี่อย่างคุ้นเคย
ตอนนี้สเลนขยับขึ้นมาเป็นมือหนึ่งแล้วหลังจากที่โกคุเดระเลิกขับ F1ไปเมื่อไม่นานมานี้
"เฟยเฟย ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหม?" ใบหน้าอ่อนหวานยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
"ครับ สบายดีครับ"
"ทำไมช่วงนี้ไม่ค่อยมาที่สนามเลยล่ะ? ลุงๆพวกนั้นหงอยเลยนะไม่ได้เจอเฟยเฟย"
“อี้คุนใกล้จะสอบนักขับแล้วน่ะครับ ผมเลยไปไหนไม่ได้”
“งั้นเหรอ ฝากบอกอี้คุนด้วยนะว่า สู้ๆ”
“ครับ”
“แล้วตกลงเธอจะว่ายังไง?” ลาสบอสแห่งค่ายม้าลำพองยังไม่ยอมแพ้ที่จะสอยตัวลูกกระต่ายของเขาเข้าไปอยู่ในค่าย
ใบหน้าหยิ่งทระนงจึงก้มลงมาถามอาเฟยอีกครั้ง
“โธ่ คุณครูเทโอ้นี่ละก็ หลานยังเด็กอยู่เลย ไป กลับบ้านกันเถอะครับ
ผมซื้อของเสร็จแล้ว” สเลนหันมาผงกหัวพลางยิ้มแห้งให้เขาก่อนจะรีบลากเจ้าซีอีโอปีศาจออกไป
เขาก็ดีใจอยู่หรอกนะที่ลูกชายจะมีอนาคตที่สดใสถูกจองตัวเข้าค่ายรถตั้งแต่เด็ก
แต่บางทีมันก็เด็กไปไหม?
“เราก็กลับกันเลยดีไหม? ลูกจะเอาอะไรอีกหรือเปล่า?”
ใบหน้าเล็กส่ายไปมา ของในรถเข็นจึงย้ายไปอยู่ที่ท้ายรถแทน
Ferrari
Portofino วิ่งตรงกลับบ้าน
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสีแดงของกระโปรงรถมันสะท้อนขึ้นมาหรือยังไง
ใบหน้าของเจ้าลูกกระต่ายที่นั่งอยู่ข้างๆถึงได้ดูแดงระเรื่อผิดปกติ?
“อาเฟย...หน้าลูกแดงๆหรือเปล่า? เป็นอะไรไหม?”
“มึนๆยังไงไม่รู้…” มือบางจึงเอื้อมไปแตะหน้าผากใสในขณะที่รถจอดติดไฟแดง
“ตัวร้อนนี่?” ไอร้อนไหลเข้าสู่มือของเขาจนรู้สึกได้
“หื๋อ?” เจ้าลูกกระต่ายมีท่าทางเซื่องซึมลง
สงสัยจะไม่สบาย
“กลับไปรีบกินข้าวกินยาแล้วนอนซะนะ”
“ครับ…”
เฟอร์รารี่สีแดงเพลิงรีบตรงดิ่งกลับบ้านทันที
ในใจนึกห่วงเจ้าลูกกระต่ายที่นั่งตาปรืออยู่ข้างๆ
“เดี๋ยวหม่าม้าต้มข้าวต้มให้เฟยเฟยก่อน กินแล้วจะได้กินยา” เขาเอ่ยบอกในขณะที่ขนของเข้าบ้าน ใบหน้าเล็กพยักหงึกๆ ดวงตากลมโตหรี่ปรือ
หน้าก็แดงกว่าเดิม เป็นอะไรไปเนี่ยจู่ๆไข้ก็ขึ้น?
“ลูกเป็นอะไร?” เสียงทุ้มถามเมื่อออกมาช่วยเขายกของ
“น่าจะเป็นไข้ นายพาลูกขึ้นไปนอนข้างบนก่อนไป เดี๋ยวชั้นยกข้าวต้มตามไป”
เขาบอกอี้ป๋อด้วยใบหน้ากังวล
“ครับ” อี้ป๋อก็ตอบรับด้วยเสียงกังวลเช่นกัน
อาเฟยไม่ใช่เด็กแข็งแรงอะไรมากมายอยู่แล้ว
เวลาป่วยทีพวกเขาเลยค่อนข้างจะเป็นห่วงกันมาก
ไม่นานข้าวต้มหอมกรุ่นก็มาจ่ออยู่ที่ริมฝีปากแดงอิ่มของคนป่วย
มือบางที่เคยจับแต่น็อตแต่ประแจกำลังค่อยๆประคองช้อนเข้ามาเป่าเบาๆก่อนจะยื่นไปหาริมฝีปากเล็กเมื่อมันเย็นพอ
ลูกกระต่ายอ้าปากรับมันเข้าไปก่อนจะส่ายใบหน้าเซื่องซึมช้าๆแทนคำบอกว่าพอแล้ว
“ตัวร้อนมากเลยนะครับ”
คนเป็นพ่อที่นั่งอยู่ขอบเตียงเอื้อมมือที่ใหญ่กว่าใบหน้าลูกชายมาสัมผัสที่หน้าผาก
ไอความร้อนมากมายหลั่งไหลเข้ามาจนน่ากังวล คิ้วของหวังอี้ป๋อจึงขมวดมุ่น
“กินยาก่อนนะ
เดี๋ยวหม่าม้าเช็ดตัวให้ ไข้จะได้ลด”
มือบางวางถ้วยข้าวต้มลงก่อนจะย้ายมาลูบหัวเล็กอย่างห่วงใย
ใบหน้าที่ดูสลึมสลือกลืนยาที่ถูกซ่อนไว้อย่างดีในขนมเค้กชิ้นเล็กๆจากนั้นจึงค่อยๆนอนลง
“หม่าม้า...” มือเล็กจับชายเสื้อของเขาไว้แน่นราวกับจะยึดไว้ไม่ให้ไปไหน
ใบหน้ามนจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“หลับซะ
หม่าม้าอยู่ตรงนี้แหละ”
มือบางลูบหัวเล็กไปมา ดวงตากลมโตมองเขาทั้งที่ปรือปอย ง่วงก็ง่วง
แต่ก็กลัวเขาจะหนีไป เขาจึงต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วลูบหัวสีดำอยู่อย่างนั้น
ปกติเจ้าลูกกระต่ายก็ขี้อ้อนอยู่แล้ว
เวลาป่วยจึงยิ่งอ้อนหนักกว่าเดิม
เพราะอ่อนแอจึงรู้สึกไม่ปลอดภัยหากไม่มีเขาหรืออี้ป๋ออยู่ด้วย
เวลาอาเฟยป่วยพวกเขาสองคนจึงไปไหนไม่ได้ต้องคอยอยู่ข้างๆแบบนี้ตลอด
เขาเข้าใจความรู้สึกกลัวของเฟยเฟยดี
เพราะตอนที่เขายังเด็กปะป๊ากับหม่าม้าของเขายุ่งมากจนบางทีก็แทบไม่ได้กลับบ้าน ช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของปะป๊าหม่าม้าเช่นกัน
ทั้งสองคนเพิ่งจะเริ่มลงทุนธุรกิจนำเข้าแบรนด์ต่างๆ เขาจึงถูกปล่อยให้อยู่กับพ่อบ้านแม่บ้านบ่อยๆ
ตอนเขาป่วยแค่จะได้เห็นหน้าป๊าม้ายังยากเย็นแสนเข็ญเลย ตอนนั้นเขากลัวมากจริงๆ
มันเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลก ยามเมื่อร่างกายและจิตใจคนเราอ่อนแอ
มีแค่มือของคนที่รักและไว้ใจเท่านั้นแหละที่จะช่วยขจัดความกลัวนี้ได้
มือของเขาถึงได้จับมือเล็กๆของอาเฟยไว้ไม่ยอมปล่อย...
ใบหน้าแดงระเรื่อหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันราวกับกำลังทรมานจากพิษไข้
เขาจึงหันไปมองหวังอี้ป๋อที่อยู่ใกล้ๆ ร่างสูงสง่าลุกออกไปโดยไม่ต้องเอ่ยอะไร
ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกะละมังและผ้าหมาดๆผืนหนึ่ง
เขาค่อยๆดึงมือออกจากมือเล็กอย่างระมัดระวัง
ยิ่งเห็นเจ้าลูกกระต่ายดูไม่ดีขึ้นเลยในใจเขาก็ยิ่งไม่สงบ มือหนึ่งลูบหัวเล็กอีกมือหนึ่งก็บรรจงซับผ้าหมาดๆลงไปบนใบหน้าอาเฟยด้วยหวังว่าจะทำให้อุณหภูมิลดลงได้บ้าง
อี้ป๋อยังคงเฝ้ามองเขากับลูกไม่ห่าง
มือใหญ่สอดเข้าไปจับมือเล็กๆนั่นไว้แทนเขา
อี้ป๋อก็เป็นอีกคนที่เข้าใจความกลัวนี้เป็นอย่างดี
เพราะทั้งเขาทั้งอี้ป๋อต่างก็ต้องจากบ้านมาอยู่ตามลำพังตั้งแต่เด็ก
เขาย้ายมาอยู่อิตาลีตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย
ส่วนอี้ป๋อก็ออกจากบ้านมาตั้งแต่ยังไม่ทันจะจบม.ต้นเช่นกัน
พวกเขาเองก็ไม่มีใครคอยจับมือไว้ตอนที่นอนป่วยแบบนี้
มันทั้งเหงาทั้งอ้างว้างและพวกเขาก็ไม่อยากให้ลูกของตัวเองต้องพบกับความรู้สึกแบบนั้น
“ป๊า
ม้า...อาเฟยเป็นไรครับ?” เสียงหนึ่งเอ่ยแทรกบรรยากาศน่ากังวลขึ้นมาเขาจึงหันหน้าไปมอง
หวังอี้คุนเดินขยี้ตาผ่านบานประตูด้วยใบหน้าที่ยังงัวเงีย เจ้าลูกสิงโตตื่นแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอ?
น้องเป็นไข้”
หวังอี้ป๋อหันไปบอกเจ้าแฝดคนโต เขาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองกับอี้ป๋อมีใบหน้าคล้ายกันมากจากเด็กแฝดคู่นี้นี่แหละ
ทั้งๆที่คนหนึ่งเป็นสายเลือดของเขา คนหนึ่งเป็นของอี้ป๋อ แต่พอบอกว่าเป็นฝาแฝดกันกลับไม่มีใครติดใจสงสัยอะไร
“เมื่อเช้ายังดีๆอยู่เลย?”
เจ้าลูกสิงโตขยับมายืนข้างเตียงก่อนจะมองอาเฟยด้วยสายตาเป็นกังวล
ความห่วงใยและสายสัมพันธ์ของเด็กแฝดนั้นไม่ธรรมดา
อาจจะเพราะว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่อยู่ในท้องทั้งสองคนเลยติดกันมาก
โดยเฉพาะอี้คุนเจ้าบราค่อนตัวพ่อนี่
“ลูกอย่าเข้ามาใกล้เดี๋ยวจะติดไปด้วย” อี้ป๋อพยายามกันอี้คุนออกไปเพราะพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ
จะปล่อยให้เป็นไข้ตามน้องชายไปไม่ได้ แต่เจ้าลูกสิงโตกลับยังดื้อดึง
“แต่ว่า...”
“นักแข่งรถ...ต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและทีมแข่ง...แกต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมที่สุดอยู่เสมอ
เข้าใจใช่ไหมอี้คุน” อี้ป๋อหันไปสอนลูก อี้ป๋อมักจะเข้มงวดกับอี้คุนเสมอซึ่งเขาก็เข้าใจ
เพราะอี้ป๋อรักและวางใจในตัวลูกชายคนนี้จึงต้องการที่จะฝึกฝนให้แข็งแกร่งพอที่จะฝากเขากับเฟยเฟยไว้ได้
“ครับ…” เจ้าลูกสิงโตตอบรับหน้าหงอยก่อนจะทอดสายตามองเจ้าลูกกระต่ายตาละห้อย
“ปวดกล้ามเนื้อหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกชาย
ใบหน้าเล็กๆแต่คมคายส่ายปฏิเสธ
“งั้นก็ดีแล้ว ไปหาอะไรกินแล้วก็เข้านอนแต่หัวค่ำ ทำใจให้สงบ ป๊ากับม้าอยู่
ไม่ปล่อยให้พวกแกสองคนเป็นอะไรไปหรอก เดี๋ยวป๊ากับม้าดูน้องเอง”
“ครับ…” อี้ป๋อไล่อี้คุนออกไปจากห้อง
เพราะยังไม่รู้ว่าเจ้าลูกกระต่ายป่วยเป็นอะไร จะให้อี้คุนอยู่นานกว่านี้ก็คงไม่ดี
ผ้าขนหนูที่เช็ดไปตามท่อนแขนเล็กถูกจุ่มลงไปในกะละมัง
จากน้ำในอุณหภูมิปกติกลับร้อนระอุขึ้นทันที และนี่ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่ายาลดไข้ที่กินเข้าไปไม่ได้ผลเลย
ดูท่าทางเจ้าลูกกระต่ายจะป่วยหนักกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้
“อี้ป๋อ อาเฟยไข้ไม่ยอมลดเลยอ่ะ ทำไงดี?” เขาหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างเริ่มร้อนลน
แต่อี้ป๋อกลับประเมินสถานการณ์อย่างใจเย็น
ดวงตาคมกล้าทอดมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทรมานของลูกชายก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“ผมว่า...พาไปโรงพยาบาลเถอะครับ”
“แต่ว่า...ถ้าออกไปตอนนี้ ถ้ามีเสียงดัง อี้คุนจะตื่นเอานะ” เขาหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาตีหนึ่งครึ่ง
กว่าอี้คุนจะกลับไปนอนได้ เจ้าลูกสิงโตนั่นก็เดินวนเวียนอยู่หน้าห้องตั้งนานสองนาน
ถ้าพวกเขาเอารถออกตอนนี้รับรองว่าต้องตื่นขึ้นมาแน่และคงจะกังวลจนไม่ได้หลับได้นอนซึ่งไม่ส่งผลดีต่อการทดสอบในวันพรุ่งนี้
“......” อี้ป๋อนิ่งคิดก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“เอารถอี้หยางไปก็แล้วกัน จอดอยู่ในโรงรถบ้านนู้น ไกลพอ น่าจะไม่เป็นไร
รถนั่นเสียงไม่ดังเหมือนรถเราด้วย”
บ้านของเขาต่อเติมไปจากของเดิมมาก
จากที่เคยมีแค่หลังเดียวเดี่ยวๆตอนนี้ก็มีเรือนรับรองงอกมาอีกสามหลัง
หนึ่งในนั้นเป็นบ้านของหวังอี้หยางหลานชายของอี้ป๋อ
ถึงจะไม่ได้อยู่ประจำแต่ก็ทิ้งรถไว้ที่นี่4-5คัน
เพราะเจ้าเด็กนั่นใช้ชีวิตแบบอันตรายๆจึงต้องมีลูกน้องติดตามไม่ใช่น้อย
รถพวกนี้จึงไว้ใช้ในอิตาลี
“เอางั้นก็ได้ นายอุ้มลูกไหวไหม?”
จากบ้านเขาไปโรงรถของอี้หยางก็หลายสิบเมตรอยู่นะ
“อาเฟยหนักแค่40กิโลเอง ไหวน่า มา” เขาขยับหลีกทางให้อี้ป๋อ
ท่อนแขนแข็งแรงสอดเขาใต้ลำตัวเล็กก่อนจะอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย
ขนาดเขาที่หนักกว่ามากอี้ป๋อยังอุ้มไหว นับประสาอะไรกับลูกกระต่ายตัวเล็กๆ
เขารีบเดินนำไปเปิดประตูให้
ขาทั้งสองคู่ก้าวเดินไปตามcorridorอย่างรีบเร่ง เขามองเห็นมัดกล้ามบนแขนแข็งแรงสั่นสะท้านยามที่ต้องแบกรับน้ำหนักที่ไม่ใช่น้อยของลูกชาย
ระยะทางที่ไม่ใช่ใกล้แต่ใบหน้าของอี้ป๋อกลับไม่ได้แสดงถึงความเหน็ดเหนื่อย
เขามองตามแผ่นหลังกว้างนั่นไปอย่างภาคภูมิใจ เขาเลือกคนไม่ผิด
เพราะแผ่นหลังนี้ปกป้องเขาและลูกๆอย่างห้าวหาญเสมอมาและคงจะตลอดไป
Mercedes-Benz
S-Class สีบรอนซ์เทาแล่นออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล
อาการกระสับกระส่ายของเจ้าลูกกระต่ายที่หนุนหัวอยู่บนตักทำให้เขาเริ่มอยู่เฉยไม่ได้
สายตาสลับไปมองถนนอย่างร้อนลน ทำไมวันนี้ถนนมันถึงได้ดูยาวนัก
ทั้งๆที่ใช้เวลาแค่สิบนาทีแต่มันยาวนานเหมือนเป็นปี
ขนาดอี้ป๋อเหยียบฝ่ามันทุกไฟแดงก็ยังไม่ทันใจเขา
“เฟยเฟย”
เสียงนุ่มเอ่ยเรียกคนในอ้อมแขนเรื่อยๆแต่ก็มีเพียงเสียงอืออาอย่างไร้สติตอบกลับมาให้ร้อนใจ
อาการของเจ้าลูกกระต่ายมีแต่จะหนักขึ้น ตัวก็ร้อนเป็นไฟ
ขนาดเขาเช็ดตัวอยู่ตลอดก็ไม่ดีขึ้น
มือบางแทบจะเปิดประตูตั้งแต่รถเลี้ยวเข้าไปในโรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินต่างวิ่งกรูเข้ามาช่วยอุ้มเฟยเฟยลงจากรถแล้วเข็นเข้าไปในห้องที่ยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายแม้จะผ่านมาค่อนคืนแล้ว
พยาบาลรีบเข้ามาวัดไข้วัดความดัน
เขาทำได้แค่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยความกังวลใจ
ใบหน้ามนชะเง้อมองเตียงของลูกชายที่ตอนนี้มีหมอกำลังตรวจอาการอยู่
“เป็นไงบ้าง?” อี้ป๋อที่เอารถไปจอดตามมาสมทบ
เขาส่ายหน้าก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น
มือใหญ่จึงรวบจับมือเขาไว้ทำให้อาการร้อนลนในใจค่อยๆสงบลง
“อาเฟยจะไม่เป็นอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยบอกทั้งกับตัวเองและกับเขา
พวกเราทำได้แค่เชื่อมั่นเท่านั้น
“ลูกดูทรมานมากเลย
อี้ป๋อ ทำไงดี”
เขาบีบมือที่จับกุมไว้ด้วยความไม่สบายใจ
ดวงตายังไม่ยอมละไปจากร่างเล็กๆที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงคนไข้
หมอวัดค่าอะไรมากมายและมันล้วนเป็นเรื่องที่เขาช่วยไม่ได้ อาเฟยไม่ใช่รถ
เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย
“หมอต้องรักษาได้
ผมจะไม่ยอมให้ลูกเป็นอะไร”
อี้ป๋อบีบมือเขากลับพร้อมคำมั่นที่หนักแน่น เพราะมีอี้ป๋ออยู่เขาถึงได้ไม่สติแตกไปเสียก่อน
พวกเขานั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉินทั้งคืน
ไม่รู้เลยว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีทองตั้งแต่เมื่อไหร่
จนกระทั่งหมอวินิจฉัยโรคและทำให้อาเฟยหลับลงได้นั่นแหละพวกเขาถึงเริ่มรับรู้ว่ารอบกายมีคนอยู่มากมายเพียงใด
“อีสุกอีใส?” เสียงทุ้มทวนคำที่หมอเอ่ยบอกมา
“ครับ
ดีที่พามาไว มันเลยไม่ลามไปขึ้นอวัยวะสำคัญอย่างดวงตาหรือที่อื่นๆ
แต่ตามใบหน้าหรือแขนขาอาจจะมีจุดประปราย ไม่ต้องห่วงนะครับ พอแผลแห้งตกสะเก็ดรอยมันก็จะหายไปเอง” เขากับอี้ป๋อต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
อย่างน้อยก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหากควบคุมได้ เขาเองก็เคยเป็น
“ขอบคุณครับหมอ” คุณหมอยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป
เจ้าลูกกระต่ายกำลังจะถูกย้ายไปห้องพิเศษแล้วในช่วงเช้านี้
เขาเดินตามเตียงคนไข้ไป
เฟยเฟยหลับปุ๋ยอยู่บนนั้น บนใบหน้าเริ่มมีตุ่มขึ้นสองสามตุ่ม
“ตื่นมาเห็นหน้าตัวเองคงงอแงแย่
พี่คอยรับมือเถอะ”
อี้ป๋อที่เดินอยู่ข้างๆเริ่มยิ้มออกมาได้บ้างหลังจากมีสีหน้าเครียดขมึงมาทั้งคืน
“บนแขนนี่ก็มีหลายจุดเลย” เขาลูบแขนเล็กๆของลูกชายหลังจากย้ายมานอนบนเตียงในห้องพิเศษเดี่ยว
ถึงจะยังเป็นห่วงอยู่แต่พอนึกภาพเจ้าจอมวุ่นวายที่คงงอแงแน่ๆหากเห็นทั้งแขนทั้งขาทั้งใบหน้าของตัวเองเต็มไปด้วยจุดแบบนี้
เขาก็อดอมยิ้มไม่ได้
“อี้ป๋อ
โทรบอกอี้คุนก่อนไป เดี๋ยวลูกก็ไม่เป็นอันสอบกันพอดี” และพวกเขาคงต้องกันอี้คุนไว้ไม่ให้มาเยี่ยม
เพราะเจ้าลูกสิงโตไม่เคยเป็นอีสุกอีใส เดี๋ยวจะติดเอาได้
“โทรมาพอดี”
อี้ป๋อบอกในขณะที่ก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ขึ้นชื่อหวังอี้คุนเป็นสายเรียกเข้า
“ป๊าม้า?
อยู่ไหนกันครับ?! แล้วอาเฟยล่ะ? เป็นยังไงบ้าง? ป๊าม้าพาอาเฟยไปไหน? หรือว่าอาการจะหนัก
บอกผมมาสิผมจะบ้าตายแล้วเนี่ย!” เจ้าลูกสิงโตโวยวายอย่างที่คิด
อี้ป๋อจึงกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ด้วยความใจเย็น
“อี้คุน
ใจเย็นๆ น้องไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล หมอบอกว่าเป็นอีสุกอีใส
นอนพักไม่กี่วันก็หายแล้ว ลูกไม่ต้องห่วง”
“อีสุกอีใส?”
“ใช่
ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ลูกจะมาเยี่ยมไม่ได้ เดี๋ยวจะติดไปด้วย”
“แต่ผมอยากไปหา...”
“ฮึ
เจ้าลูกกระต่ายคงไม่อยากให้นายเห็นหรอก ต้องงอแงแน่ถ้านายเอาไปล้อ” หวังอี้ป๋อพูดแบบติดตลกให้ลูกชายสบายใจขึ้น
“ผมไม่ล้อหรอกน่า....” แต่ปลายสายก็ยังดูลังเลถึงแม้ว่าจะสงบจากตอนแรกมาก
“หวังอี้คุน...วันนี้ลูกมีหน้าที่อะไร?”
“ทดสอบนักขับครับ...” เจ้าลูกสิงโตเสียงอ่อนลง
“ลูกมีปะป๊ามีหม่าม้า
ปล่อยวางเรื่องอาเฟยให้พวกเราแล้วไปทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด โอเคไหม? น้องต้องงอนแน่ถ้ารู้ว่าลูกเสียงานเสียการเพราะตัวเองน่ะ
อาเฟยเองก็รอวันที่จะได้เห็นลูกเป็นนักแข่งรถเต็มตัวมาตลอดเหมือนกันนะ”
“ครับ...”
“ยังไงก็...ฝากอาเฟยด้วยนะครับ
ไม่ต้องห่วงผม”
“อืม
ทำให้เต็มที่นะ” เจ้าลูกสิงโตวางสายไปอย่างจนใจ
อี้ป๋อหันมามองหน้าเขาอย่างหนักใจ เขาเองก็หันไปมองอาเฟยที่ยังหลับอยู่อย่างไม่รู้จะทำยังไง
ความจริงวันนี้พวกเขาควรจะไปให้กำลังใจอี้คุน ควรจะไปอยู่ข้างๆในวันที่สำคัญแบบนี้
แต่ก็ทำไม่ได้แล้ว...ในใจจึงรู้สึกผิดต่อลูกชายคนโตไม่น้อย
หวังอี้ป๋อออกไปซื้อของเขาจึงนั่งอยู่กับเฟยเฟยตามลำพัง
มือบางยังคงลูบหัวเล็กอย่างห่วงใย เขามองสายน้ำเกลืออย่างปวดใจ
จนกระทั่งมีเสียงเคาะอยู่ที่ประตูเขาจึงยอมละจากใบหน้าหลับใหลนั่นไป
ประตูเปิดออกพร้อมการมาเยือนของร่างในชุดสูทสีดำสองสามคน
ใต้แขนเสื้อข้างขวาคงจะมีรอยสักกันทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย คนพวกนี้เขารู้จักดี
คนของ Diamond
crown
ร่างสูงสง่าในสูทสีเทาเข้มดูภูมิฐานแม้อายุยังน้อยก้าวเดินตามบอร์ดี้การ์ดมาติดๆ
ออร่าที่เปล่งประกายแม้จะดูอันตรายแต่ก็ทำให้ใครๆไม่สามารถละสายตาได้
แล้วยิ่งนับวันเด็กหนุ่มยิ่งคล้ายหวังอี้ป๋อมากขึ้นจนบอกว่าเป็นพ่อลูกกันก็ยังได้...นี่คือหวังอี้หยาง
หลานชายคนเดียวของพวกเขา
“อี้หยาง?” เขาทักเด็กหนุ่มอย่างสงสัยเพราะไม่คิดว่าหลานชายจะรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่
“เฟยเฟยเป็นยังไงบ้างครับ?”
ถึงท่าทางจะยังเยือกเย็นแต่เด็กหนุ่มก็เก็บความกังวลในแววตาไว้ไม่มิด
คนที่ทำให้หวังอี้หยางนั่งไม่ติดเก้าอี้ได้ก็คงมีแต่เจ้าตัววุ่นวายลูกชายคนเล็กของเขานี่แหละ
“หลับไปได้สักพักแล้วละ หมอให้ยาก็เลยอาการดีขึ้นมาหน่อย
ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไงเนี่ย? อายังไม่ได้บอกคุณปู่คุณย่าเลย
กลัวเค้าเป็นห่วง”
“คนขับรถรายงานมาน่ะครับ” อ่อ
อี้หยางไม่ได้ทิ้งไว้แค่รถ แต่ทิ้งคนขับเอาไว้ด้วย หมอนั่นจะคอยมาเช็ดถูทำความสะอาดรถรอเอาไว้แทบทุกวัน
เมื่อเช้าเห็นรถไม่อยู่เลยรายงานไปหาเจ้าหลานชายสินะ
“น้องไม่เป็นไรแล้วละ ไม่ต้องห่วงนะ”
“ครับ” เด็กหนุ่มมีสีหน้าโล่งใจที่เห็นลูกชายของเขานอนหลับอย่างสงบอยู่บนเตียง
ร่างในชุดสูทภูมิฐานขยับมายืนข้างๆโดยไม่ยอมละสายตาไปจากใบหน้าที่ยังหลับใหล
“นั่งก่อนสิ” พวกเขาอยู่ในห้องวีไอพีจึงมีที่นั่งเหลือเฟือ
แต่กระนั้นหวังอี้หยางก็ยังไม่ยอมไปไหน
“จริงสิ ผมให้คนซื้อคัพเค้กมาให้ อาเฟยยังกินยายากเหมือนเดิมสินะครับ?”
ร่างสง่าหันไปรับกล่องเค้กจากมือบอร์ดี้การ์ดมาส่งให้เขา
ก็นะ ดูจากกล่องชิฟฟ่อนเอย
สปันจ์เค้กเอยที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงคนไข้แล้วก็เป็นหลักฐานได้อย่างดีแหละว่าเจ้าลูกกระต่ายของเขากินยายากเย็นแค่ไหน
ถ้าไม่ยัดไว้ในขนมละก็ ไม่มีทางกินได้เลย
“ขอบใจนะ” เขารับกล่องเค้กมาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
อี้หยางนั้นเรียกได้ว่าจับพลัดจับผลูมาช่วยเขาเลี้ยงเด็กแฝดเบบี๋อย่างมึนงงก็ว่าได้
แต่หลังจากนั้นเด็กชายกลับติดอาเฟยแจ
ถึงจะทำเป็นปากแข็งอ้างนู่นอ้างนี่แต่ทุกปิดเทอมก็มาอยู่กับพวกเขาที่อิตาลีตลอด
ถ้าเป็นเรื่องของอาเฟย อี้หยางจะมีรีแอคชั่นที่รวดเร็วและดุดันเสมอ
“อาอี้ป๋อล่ะครับ?” ผู้เป็นหลานชายย้ายไปนั่งลงที่โซฟาชุดใหญ่ในห้อง
“ลงไปซื้อขนมมาให้อาเฟยกินยานี่แหละ เดี๋ยวก็มา” ว่าไม่ทันจะขาดคำ เสียงเคาะประตูเบาๆก็ดังขึ้น ร่างสูงสง่าเดินเข้ามาแล้วส่งเสียงทักทายหลานชายทันทีตั้งแต่ยังไม่ทันจะเห็นตัวดี
“นาย...มาจากไหนยังไงเนี่ย?”
ถึงวิธีการพูดจาจะดูเหมือนยียวนกวนประสาทกันอยู่ในที
แต่บอกได้ว่าอาหลานคู่นี้ศีลเสมอกันโดยแท้
“มาจากดูไบโดยเครื่องบินส่วนตัวครับ”
“เออ รู้แล้ว! แล้วงานการไม่มีให้ทำรึไง? ถึงมานั่งเอ้อระเหยอยู่นี่ได้”
“ผมยึดอำนาจบริหารทั้งหมดมาจากพ่อเรียบร้อยแล้วครับ รวมถึงตำแหน่งประธานของDiamond
Crownด้วย
เพราะงั้นผมจะทำงานที่ไหนในโลกก็ได้เพราะผมใหญ่ที่สุดในบริษัทแล้ว”
“สมน้ำหนักเจ้าพี่บ้านั่น
มัวแต่ขุดหาเพชรจนโดนลูกชายวายร้ายอย่างนายยึดอำนาจเอาซะได้” หวังอี้หยางยักไหล่ก่อนจะนั่งมองอาเฟยต่อไป หวังอี้ป๋อไล่สายตามองหลานชายที่คมคายขึ้นทุกวัน
ไม่ใช่แค่หน้าตาแต่ที่ยิ่งกว่าก็คือความสามารถ อายุแค่ 25 ปีกลับกุมบังเหียนของแบรนด์เพชรระดับโลกนั่นอยู่หมัดแล้ว
ถ้าไม่เรียกว่าปีศาจก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเรียกเจ้าเด็กนี่ได้อีก
“พวกอากลับไปนอนกันก่อนเถอะครับ เห็นคนขับรถว่าอาไม่ได้นอนกันมาทั้งคืน
เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าเฟยเฟยเอง” เขากับอี้ป๋อมองหน้ากัน
เรื่องอาเฟยพอจะเบาใจได้แล้วก็จริงแต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเขายังนอนไม่ได้ ทั้งเขาทั้งอี้ป๋อต่างเข้าใจกันดี
ใบหน้าจึงพยักให้กัน
“เรื่องนอนน่ะไม่สำคัญหรอก แต่ที่พวกเราคงต้องฝากอาเฟยไว้กับนายสักพักน่ะ
เพราะว่าอันที่จริงแล้ว…”
เมอร์ซิเดสเบนซ์คันหรูวิ่งออกจากโรงพยาบาลแต่ไม่ได้ตรงกลับบ้าน
มันยังคงวิ่งต่อไปจนกระทั่งไปหยุดลงที่หน้าสนามฟิโอราโน่...วันนี้เฟอร์รารี่อะคาเดมี่จะใช้สนามแข่งรถส่วนตัวนี้ในการทดสอบนักขับเยาวชนของค่ายม้าลำพองนั่นเอง
ถึงจะบอกว่าอยู่คนเดียวได้
ถึงจะบอกว่าไม่ต้องห่วง...แต่ยังไงหวังอี้คุนก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กอายุ13ปี
ต่อให้พยายามทำเป็นเข้มแข็งขนาดไหน ลูกสิงโตก็ยังคงเป็นเพียงแค่ลูกสิงโตวันยังค่ำ
แล้วยิ่งหวังอี้คุนถูกเลี้ยงมาด้วยความรัก
ไม่เคยโดดเดี่ยวหรือต้องเผชิญโลกอย่างเดียวดายเลยสักครั้ง การที่ต้องผ่านบททดสอบอันกดดันนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะฝ่าฟันไปตามลำพังได้
เขากับอี้ป๋อเดินไปตามทางอย่างคุ้นเคย
เมื่อก่อนเขานอนอยู่ที่นี่ประจำและเมื่อก่อนอี้ป๋อก็มาลากเขากลับบ้านประจำเช่นกัน
เพราะงั้นทุกซอกทุกมุมของสนามนี้พวกเขาจึงรู้จักเป็นอย่างดี
เด็กคนอื่นๆมีพ่อแม่มาให้กำลังใจอย่างที่คิด
ในห้องพักจึงมีกลุ่มผู้ปกครองนั่งอยู่กับลูกหลานตัวเองอยู่หลายกลุ่ม
ไม่มีเด็กคนไหนนั่งอยู่คนเดียวเลย...
พวกเขามองหาหวังอี้คุนแต่กลับไม่พบตัวลูกชายฝาแฝดแม้แต่เงา
แต่เขาก็พอจะเข้าใจว่าทำไมอี้คุนถึงไม่อยากนั่งอยู่ในห้องนี้
ในที่ที่เด็กคนอื่นต่างมีพ่อแม่อยู่เคียงข้างแต่ตัวเองกลับต้องอ้างว้าง
ดวงตากลมโตเหลือบมองหวังอี้ป๋อที่ขมวดคิ้วน้อยๆ
อี้ป๋อคงจะเข้าใจความรู้สึกโดดเดี่ยวของอี้คุนในยามนี้เป็นอย่างดีเพราะว่าตัวเองก็เคยผ่านมันมา
อี้ป๋อต้องผ่านเรื่องเหล่านี้มาตามลำพังและคงไม่อยากให้ลูกชายของตัวเองต้องพบเจอมัน...
“ไปหาลูกกัน” เขาจับมือใหญ่ของอี้ป๋อไว้แทนคำปลอบโยน
ใบหน้าที่เครียดขมึงจึงคลายออก อี้ป๋อพยักหน้าเบาๆก่อนจะพากันเดินตามหาลูกสิงโตของพวกเขา
แล้วก็คิดไม่ผิดจริงๆที่มา
เพราะว่าสถานที่ที่อี้คุนนั่งอยู่ก็คือหน้าพิตการาจที่ปิดสนิท...มันคือห้องทำงานของเขา
มันคือที่ที่เขาอยู่หากมาทดสอบรถที่นี่
อี้คุนคงอยากได้รับกำลังใจจากพวกเขา
อยากให้พวกเขาอยู่ข้างๆแต่ก็พูดออกมาไม่ได้เพราะน้องก็ไม่สบาย
เจ้าลูกสิงโตถึงได้เลือกมานั่งอยู่ในที่ที่จะทำให้รู้สึกเหมือนมีเขาอยู่ใกล้ๆ
หัวใจของเขาหน่วงน้อยๆเมื่อเห็นลูกชายนั่งเอาหลังพิงประตูพิตเอาไว้
ใบหน้าเล็กก้มซบกับหัวเข่าที่ยกชันขึ้นมาราวกับว่ากำลังพยายามเรียกขวัญและกำลังใจอยู่
“อี้คุน” เป็นเสียงทุ้มของหวังอี้ป๋อที่เอ่ยเรียก
ใบหน้าเล็กสะบัดเงยขึ้นมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“ป๊า
ม้า?”
เสียงของอี้คุนเอ่ยออกมาราวกับอยู่ในภวังค์ เข็มวินาทีเดินผ่านไป
จู่ๆเจ้าลูกสิงโตก็พุ่งพรวดขึ้นมาเหมือนเพิ่งรู้ตัว
“ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้?!”
ใบหน้าเล็กดูตื่นๆดูประหลาดใจแต่ในนั้นก็เก็บความดีใจไว้ไม่มิด
เจ้าลูกสิงโตพยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้ใบหน้าจริงจังแล้วหันมาถามพวกเขา
“แล้วอาเฟยล่ะ?” ถึงจะดีใจที่พวกเขามาหาแต่ถ้าเฟยเฟยถูกทิ้งไว้คนเดียวอี้คุนคงไล่พวกเขากลับไปแน่
อีกเรื่องที่ทำให้เจ้าลูกสิงโตไม่มีสมาธิก็คือกังวลกับอาการป่วยของน้องชายนี่แหละ
“อยู่กับอี้หยาง
พี่ชายเราคอยเฝ้าให้ เฟยเฟยไม่เป็นไรหรอก”
เขาเดินเข้าไปวางมือบนหัวเล็กๆนั่นก่อนจะยิ้มให้
ใบหน้าของอี้คุนดูดีกว่าเมื่อกี้นี้มาก
“ง่ะ
ทำไมหมอนั่นไวอย่างกับปรอทขนาดนี้? อยู่ดูไบแน่เหรอเนี่ย?
บอกว่าสิงอยู่ที่ต้นพุทราหน้าบ้านยังเชื่อเลยนะครับ” พอเริ่มสบายใจขึ้นมาหน่อยก็เริ่มกัดอี้หยางทันที
แล้วเรื่องนี้สองพ่อลูกก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว
“ป๊าก็ว่างั้น
ทำเนียนว่าทิ้งคนขับรถเอาไว้ ที่แท้ก็เป็นสายสืบคอยส่องพวกเราอยู่ มีอะไรคงรีบโทรไปรายงานเลยล่ะสิ
ถึงได้มาไวปานนี้ ร้ายนักเจ้าเด็กนั่น”
“เดี๋ยวเถอะสองคนนี้นี่
ถ้าอี้หยางไม่มาเราจะได้มาดูอี้คุนไหมล่ะ? ต้องขอบคุณหลานสิถึงจะถูก
ยอมทิ้งการทิ้งงานมาเลยนะ” เขาต้องห้ามปรามบ้าง
ไม่รู้เจ้าพ่อลูกสิงโตคู่นี้จะอะไรกับอี้หยางนัก และทุกครั้งที่เขาเข้าข้างอี้หยาง
อี้คุนก็จะมองกลับมาด้วยสายตาเพลียๆ
“........ลูกกระต่ายของม้าจะโดนกิน
ม้ายังไม่รู้ตัวอีกเหรอเนี่ย...เชื่อเค้าเลย ผมเดาว่าตอนปะป๊าจะจับหม่าม้ากิน
หม่าม้าคงไม่รู้ตัวเลยสินะ?” หวังอี้คุนหันไปส่ายหน้าให้หวังอี้ป๋อที่ยิ้มร่าอย่างน่าหมั่นไส้จนเขาต้องกระทุ้งสีข้างไปหนึ่งที
“เดี๋ยวเถอะ
ว่าแต่เรานี่ เตรียมตัวอะไรเสร็จรึยัง? กลับห้องพักกันดีไหม?” ผู้เป็นลูกชายพยักหน้าให้
“ครับ” คราวนี้หวังอี้คุนก้าวเข้าไปในห้องพักอย่างภาคภูมิใจและเต็มไปด้วยพลัง
แน่นอนว่าการปรากฏตัวของเขาและอี้ป๋อก็ข่มขวัญเด็กคนอื่นไปโดยปริยาย มีพ่อเป็นนักแข่งเบอร์หนึ่งของ
Moto GP มีแม่เป็นวิศวกรออกแบบรถหัวกะทิของวงการฟอร์มูล่าวัน มีนักแข่งรถคนไหนไม่อยากได้พ่อแม่แบบนี้บ้าง
“ป๊าม้าคอยดูอยู่ตรงนี้
ไปทำให้เต็มที่เถอะ”
หวังอี้ป๋อตบไหล่ลูกชายเมื่อได้เวลา ใบหน้าเล็กพยักให้
ในยามนี้หวังอี้คุนไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
ร่างในชุดหมีก้าวเดินออกไปด้วยความมั่นใจและจิตใจที่มั่นคง
เขามองตามแผ่นหลังที่ยังไม่กว้างใหญ่ด้วยความเต็มตื้นในหัวใจ
หวังอี้คุนเดินอยู่ท่ามกลางแสงสว่างที่สาดส่องลงมา
เมื่อไม่กี่ปีก่อนยังเป็นแค่ลูกสิงโตจอมซนตัวนิดเดียวแท้ๆ แต่ตอนนี้ลูกชายของเขากำลังเติบโตอย่างสง่างาม
และนี่ก็คืออีกหนึ่งความสุขที่หวังอี้ป๋อมอบให้เขา
การทดสอบผ่านไปโดยแทบไม่ต้องลุ้นว่าใครจะได้ที่หนึ่ง
ถึงจะเป็นเด็กในวัยเดียวกันแต่ฝีมือกลับห่างชั้นมาก
หวังอี้คุนเดินกลับมาหาพวกเขาด้วยใบหน้าชุ่มเหงื่อ เขาอ้าแขนรับพร้อมกับใช้แผ่นอกซึมซับหยาดเหงื่อแห่งเกียรติยศพวกนี้ไว้
“อี้คุนของหม่าม้าเก่งที่สุด!” เขายิ้มจนหน้าบานด้วยความดีใจ
ส่วนอี้ป๋อถึงจะยิ้มบางๆแต่สายตาก็มองลูกชายด้วยความภาคภูมิใจ
มือใหญ่ขยี้หัวเล็กในอ้อมแขนเขาไปมา
“คอลหาอี้หยางกันดีกว่า
เผื่อน้องตื่นแล้ว”
มือบางละอ้อมแขนออกมาก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์มือถือ
ไม่นานปลายสายก็กดรับวีดีโอคอลจากเขา
“สักครู่นะครับคุณเซียวจ้าน
นายกำลังป้อนข้าวต้มคุณหนูเฟยเฟยอยู่”
คนที่รับโทรศัพท์คือเลขาควบหน้าที่บอร์ดี้การ์ดของหวังอี้หยาง
ร่างสูงใหญ่เดินไปหาผู้เป็นนายซึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้
“นายครับ
วีดีโอคอลจากคุณเซียวจ้านครับ”
“อืม
หันมาทางนี้เลย” และเมื่อกล้องแพลนไปจึงมองเห็นภาพที่ดูแปลกตาทว่าน่ารัก
ประธานแบรนด์เพชรที่มีมูลค่าเป็นแสนๆล้านกำลังนั่งป้อนข้าวคนป่วยที่นั่งหน้าหงิกอยู่บนเตียง
สูทที่เคยสวมใส่เสมอกลับถูกถอดพาดไว้บนโซฟา แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้นมาจนถึงข้อศอก
มือสะอาดสะอ้านกำลังจ่อช้อนข้าวต้มไปที่ริมฝีปากแดงระเรื่อ
“เฟยเฟยเป็นยังไงบ้างอี้หยาง
น้องกินข้าวได้แล้วเหรอ?” เขาถามออกไปเพราะไม่คิดว่าเจ้าลูกกระต่ายจะฟื้นตัวไวขนาดนี้
“อ๊ะ?
หม่าม้าเหรอ? เดี๋ยวก่อนๆอย่าเพิ่งแพลนกล้องมา อ๊า” มีเสียงโวยวายอย่างแหบแห้งของเจ้าลูกกระต่ายพร้อมกับมือที่ปัดกล้องกุกกัก
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ
อี้หยาง?” พวกเขาสามคนทั้งสงสัยทั้งตกใจ
ส่วนหวังอี้หยางที่ยังถือถ้วยข้าวต้มอยู่ได้แต่ยิ้มบางๆ
“โอเค
หันกล้องมาได้แล้ว” และเมื่อกล้องหันไปหาเจ้าลูกกระต่ายอีกครั้ง
พวกเขาสามคนก็พ่นหัวเราะพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“พรืด
ฮ่าๆๆๆๆ” แล้วก็เป็นเจ้าลูกสิงโตที่หัวเราะดังกว่าใคร
ก็เจ้าคนป่วยไม่เจียมสังขารดันเอาผ้ามาโพกปิดใบหน้าจนเหลือแค่ลูกกะตา
ไม่รู้ว่าเป็นคนไข้หรือผู้ก่อการร้ายกันแน่ มีตุ่มแค่สามเม็ดแท้ๆไม่รู้จะอายอะไร
แบบนี้มันน่าขำกว่าตั้งเยอะ
“ไหนนายบอกปะป๊าว่าจะไม่ล้อชั้นไงเล่า! แง๊
นายยังเป็นคนอยู่ไหมห๊ะหวังอี้คุน! นายยังเป็นคนอยู่รึเปล่า! หม่าม้าต้องจัดการอี้คุนให้เฟยนะ! แค่กๆๆ” เจ้าลูกกระต่ายโวยวายพร้อมเสียงไอ
ป่วยก็ป่วยยังจะแหกปากลั่นอีก
“รู้แล้วๆ
แล้วนี่ยังเป็นไข้อยู่ไหม หม่าม้านึกว่าเรายังหลับอยู่”
“ตื่นเพราะมีคนกวนเนี่ย”
ดวงตากลมโตเหลือบมองคนข้างๆอย่างเคืองๆ
“ได้เวลาทานยาแล้วต่างหาก
เลยต้องปลุก” เสียงสุขุมที่มีแววหยอกเย้าของอี้หยางดังแทรกเข้ามา
ไม่รู้ว่าปลุกกันอิท่าไหนเจ้าลูกกระต่ายถึงได้ง๊องแง้งใส่แบบนั้น
“ตัวไม่ร้อนแล้วแต่ยังมึนๆอยู่
ปะป๊าหม่าม้ารีบกลับมานะ ทิ้งอี้คุนไว้คนเดียวเลย!”
“ชั้นสอบเสร็จแล้วต่างหาก”
เสียงที่เคยหัวเราะอย่างกวนประสาทกลับทุ้มนุ่มน่าฟังยามเมื่อเอ่ยเรื่องจริงจัง
เจ้าลูกสิงโตมองเข้าไปในหน้าจอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เจ้าลูกกระต่ายตกตะลึงก่อนจะเบิกตากว้าง
“งั้นก็หมายความว่า...”
“อืม...ปีหน้าชั้นจะได้ขับ
F3 นายจะได้นั่งในรถของชั้นเป็นคนแรก รีบๆหายเข้าล่ะเจ้าลูกกระต่าย” อี้คุนยิ้มให้เฟยเฟยทั้งดวงตา
ภาพของสองพี่น้องตรงหน้าทำให้เขามีความสุขมาก
“ให้น้องกินข้าวเถอะ
จะได้กินยา ยิ่งกินยายากเย็นกว่าใครอยู่”
อี้ป๋อยิ้มให้เจ้าลูกกระต่ายที่ทำหน้าหงึใส่
“อี้หยาง
อาฝากน้องด้วยนะ อาจะกลับไปนอนหน่อย เดี๋ยวค่ำๆอาค่อยไปเปลี่ยน” เขาเอ่ยบอกคนที่ยังถือถ้วยข้าวต้มค้างเอาไว้
“ครับ” วีดีโอคอลถูกปิดไป
พอหมดห่วงหนังตาเขาก็แทบจะปิดลงทันที
ความง่วงงุนเริ่มโจมตีเพราะไม่ได้นอนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ
พอกลับถึงบ้านได้เขาก็ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
มีแต่หวังอี้ป๋อนี่แหละที่เดินตามเก็บเสื้อผ้าที่เขาถอดทิ้งเรี่ยราดไว้ตามพื้น
“แก๊งเพื่อนเลวของอี้คุนมาหิ้วตัวลูกไปฉลองแล้ว...จ้านเกอ
อาบน้ำก่อนสิ เชื้อโรคเต็มตัวไปหมด”
มือใหญ่พยายามลากเขาที่เหลือแต่เสื้อกล้ามกับกางเกงในให้ลุกไปอาบน้ำ
“นอนก่อนค่อยอาบ...บอกลูกด้วยว่าอย่ากลับดึก...แล้วก็ห้ามแอบแวะ...ไปโรงพยาบาล...”
ถึงตาใกล้จะปิดมิปิดแหล่แต่สัญชาติญาณของคนเป็นแม่ก็ทำให้เขาบ่นออกไปยาวเหยียด
“ไม่ได้
โรงพยาบาลมีแต่เชื้อโรคทั้งนั้น จะนอนได้ยังไง มา ผมอาบให้” ในเมื่อลากไม่ไปเจ้าสิงโตดุร้ายจึงอุ้มเขาพาดบ่าไปแทน...อยากทำอะไรก็ตามใจ
เขาลืมตาไม่ไหวแล้ว~
หวังอี้ป๋อวางเขาลงที่ข้างอ่างอาบน้ำ
ความเย็นของมันแนบมาตามแขนตามขาแต่เขาก็ยังไม่ยอมลืมตา ใบหน้าแทบจะซุกไปกับผนังอ่างเซรามิกถ้าไม่ติดที่มือใหญ่ประคองหน้าเขากลับไป
มันลูบแก้มเขาเบาๆก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ
“ถอดเสื้อก่อนครับ”
บางครั้งเขาก็สงสัยนะว่าทำไมหวังอี้ป๋อถึงยังมีแรงเหลือเฟือทั้งๆที่ไม่ได้นอนเหมือนกัน
มือใหญ่จับเขาถอดเสื้อกล้ามราวกับจับตุ๊กตาถอดเสื้อผ้า เขาไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตา
จึงปล่อยให้กางเกงในตัวเล็กถูกรูดออกไปตามเรียวขา
เสียงซ่าๆดังมาจากกระแสน้ำที่พวยพุ่งออกมาจากก๊อกสแตนเลส
หวังอี้ป๋อเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างและระหว่างที่รอให้มันเต็มพอที่เขาจะลงไปแช่ได้
มือใหญ่ก็ดึงเขาให้ลุกขึ้นยืน
เขาไม่ต้องกลัวว่าจะล้มลงถึงแม้จะไม่มีสติพอที่จะยืนด้วยตัวเองนั่นก็เพราะยังมีแผ่นอกและร่างกายแข็งแรงของหวังอี้ป๋อที่คอยรับเขาไว้
อีกฝ่ายสวมกอดเขาจากทางด้านหลัง
ผิวกายเปลือยเปล่าแนบสัมผัสกันก่อเกิดความปั่นป่วนตามสัญชาติญาณ
ต่อให้กำลังเหนื่อยล้าและไม่ได้ตั้งใจจะทำเรื่องอย่างว่า แต่ยามเมื่อร่างกายแนบชิดกันแบบนี้ประกายไฟแห่งความปรารถนากลับสปาร์คติดโดยง่าย
สายน้ำจากฝักบัวค่อยๆไหลชโลมลงมาตามใบหน้า
ฝ่ามืออุ่นร้อนลูบไล้ไปตามร่างกายเขาและไม่ได้มีแค่น้ำเท่านั้นที่มันนำพามา
สัมผัสที่คุ้นเคยปลุกปั่นความวูบโหวงในท้องน้อยให้ลอยออกมาพร้อมเสียงครางเบาๆในลำคอเขา
เพราะรู้จักมันดีเขาจึงห้ามตัวเองไม่เคยได้ เพราะรู้ดีว่าหลังจากนี้มันจะรู้สึกดีแค่ไหนจึงปล่อยหวังอี้ป๋อทำต่อไป
มือใหญ่เอื้อมไปกดสบู่เหลว
สีขาวขุ่นที่พุ่งออกมาทำเอาเขาต้องเบือนหน้าหนี
ไอร้อนจากภายในเริ่มทำให้ใบหน้าเขาแดงระเรื่อ
ฟองสบู่ที่เกิดจากการถูกันของมือใหญ่ย้ายกลับมาสัมผัสลูบไล้บนหน้าท้องของเขาเป็นที่แรก
ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะลากเลื้อยขึ้นมาส่วนมืออีกข้างลากลงไปที่ต้นขา
“อื้อ...” เสียงครางเบาๆหลุดรอดออกไปเมื่อมือใหญ่วนไล้ฟองสบู่ที่นุ่มลื่นบนยอดอก
ที่ลาดไหล่สัมผัสได้ถึงแรงกดจูบซ้ำๆจากโคนแขนค่อยๆไล่ขึ้นมาจนถึงซอกคอ
เขารักษาสภาพลมหายใจให้ปกติไม่ได้อีกต่อไป
เขากำลังหายใจติดขัดในขณะที่เอียงหัวเปิดลำคอให้หวังอี้ป๋อคลอเคลียได้ถนัด
ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ...ธรรมชาติของคนที่มีหัวใจตรงกัน รักกัน
ร่างกายต่างก็เรียกร้องหากัน
เพียงแค่ได้สัมผัสเล็กน้อยก็จะไม่อาจต้านทานความต้องการในกันและกันได้
ก้นลูกพีชถูกฟองสบู่ลูบไล้จนเปียกลื่น
หวังอี้ป๋อชอบบีบคลึงมันเบาๆอย่างเมามัน
ร่องตรงกลางถูกกดลงไปให้แนบชิดกับอะไรบางอย่างที่ทั้งแข็งทั้งร้อนทั้งใหญ่
เขาไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่ามันคืออะไร ท้องน้อยวูบโหวงอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งอยากใกล้ชิดมันทั้งอยากถอยหนี เพราะอี้ป๋อมีแข่งจึงไม่ได้กลับบ้านมาเป็นอาทิตย์
ความปรารถนาทั้งหมดทั้งมวลจึงอัดแน่นอย่างที่เขารู้ว่าเขาคงจะตายได้ถ้าอี้ป๋อคิดจะทำอย่างที่ทำทุกครั้งเมื่อไม่ได้เจอกันนานๆ
“แฮ่ก...แฮ่ก...”
ฝ่ามือบางยื่นออกไปยันผนังหินอ่อนของห้องน้ำเอาไว้
รอยจูบมากมายยังคงกระจายอย่างต่อเนื่องอยู่บนแผ่นหลังราวกับอี้ป๋อกำลังระบายความต้องการออกมา
บั้นท้ายถูกนวดคลึงบีบรัดความเป็นชายที่แทรกฝังอยู่ในร่องก้น
มันแข็งมากจนเขาถึงกับหน้าแดง
“ผมจะไม่ใส่เข้าไป...แต่ขอยืมขาของพี่หน่อย...”
เสียงทุ้มเอ่ยข้างใบหูฟังดูกดต่ำราวกับกำลังสะกดกลั้นสัญชาติญาณดิบในใจ อี้ป๋อรู้ว่าเขากำลังเหนื่อยล้าจึงไม่อยากสร้างภาระให้กับร่างกายเขาอีก
แต่ความปรารถนาก็จำเป็นต้องได้รับการปลดปล่อย...
ความเป็นชายขนาดใหญ่ค่อยๆดึงผ่านร่องก้นออกมา
เขาต้องเม้มปากแน่นเพราะแค่นี้มันก็รัญจวนใจจนแทบจะร้องครางออกมาเสียให้ได้
แท่งแข็งร้อนนั้นค่อยๆเสียบทะลุโคนขาทั้งสองข้างของเขาออกมา
หัวที่โผล่พ้นต้นขาอยู่ใต้ของของเขาทำเอาใบหน้าร้อนผ่าวลามไปจนถึงใบหู
หวังอี้ป๋อเก่งทำเรื่องลามกใส่เขาจริงๆ!
“อ๊ะ
อื้อ~”
โคนขาถูกมือใหญ่บีบเข้าหากันมากขึ้น
เพราะเป็นที่ที่อ่อนนุ่มไม่แพ้ภายในร่างกายของเขา เขาจึงได้ยืนเสียงกัดฟันของหวังอี้ป๋อดังมาจากข้างหลัง
คงจะรู้สึกดีมาก
“อะ...” แกนกายใหญ่ร้อนเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ
มันไม่ได้เติมเต็มความปรารถนาแค่ของอี้ป๋อ
แต่ตัวเขาเองก็แทบจะมอดไหม้ไปกับสัมผัสรัญจวนใจนี้เช่นกัน
เจ้าแท่งแข็งร้อนนั่นลากผ่านปากทางเข้าราวกับจะลวงล่อ ก่อนที่หัวของมันจะสัมผัสถูไถไปกับของของเขาที่เบื้องหน้า
“อะ
อ้า...” เขาห้ามเสียงครางไม่ไหวอีกต่อไป
ไม่เคยคิดว่ามันจะรู้สึกดีขนาดนี้มากก่อน
ยิ่งดวงตาเหลือบลงไปเห็นทุกครั้งที่ขยับเข้าออก
มองเห็นว่ามันเสียดสีกับแกนกายเขายังไง ถูกต้นขาของเขาห่อหุ้มไว้แบบไหน ไฟราคะก็ยิ่งพุ่งสูงมากขึ้นจนแทบจะระเบิดออกมา
“อ๊า~
อี้ป๋อ อี้ป๋อ~”
หวังอี้ป๋อขยับเร็วขึ้นแรงขึ้นจนเขาได้แต่ร้องครางไม่เป็นภาษา
สองขาแทบจะทรงตัวอยู่ไม่ไหวมือใหญ่จึงต้องรั้งเอวเขาเอาไว้
บั้นท้ายและแผ่นหลังนิ่มๆถูกกล้ามหน้าท้องแข็งๆแนบชิดถูไถ ทุกสัมผัสทำให้รู้สึกคลั่งไคล้จนหายใจไม่ทัน
เขาแทบจะสำลักความสุขสมที่อีกฝ่ายมอบให้
เสียงครางเรียกชื่ออี้ป๋อจึงดังก้องไปทั่วห้องน้ำ
ไอร้อนและกลิ่นพิเศษยามที่มีเซ็กส์กันคละคลุ้งไปทั่วห้องเล็กๆจนรู้สึกมัวเมา จนเขาเผลอขยับบั้นท้ายตอบรับแรงสอดใส่นั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทันรู้ตัว
“พี่
พร้อมกันนะ”
เสียงทุ้มกระซิบอยู่ที่ซอกคอก่อนที่หวังอี้ป๋อจะดึงแกนกายออกไปจนสุดแล้วกระแทกกลับเข้ามาในรวดเดียว
“อ๊า~~”
เสียงครางสูงถูกปลดปล่อยออกไปพร้อมๆกับน้ำรักสีขาวขุ่นพุ่งกระจายเต็มผนัง
มันผสมปนเปจนไม่รู้ของใครเป็นของใคร มันมากมายแทนทุกความปรารถนาที่ต่างมีให้กัน
“...ฮ้า...ฮ้า...ฮ้า....” เขาหอบหายใจจนตัวโยน
เขาเงยหน้าทิ้งหัวลงไปบนไหล่กว้างของหวังอี้ป๋อ
ร่างแข็งแกร่งเองก็ยังยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิม ลมหายใจหอบหนักพอๆกัน
ความเป็นชายค่อยๆหดตัวลงอยู่ในโคนขาของเขาอย่างรู้สึกได้ ใบหน้าของเขาจึงไม่เลิกแดงระเรื่อได้สักที
แปะ
แปะ แปะ...
เสียงน้ำไหลล้นออกมาจากอ่างอาบน้ำทำให้พวกเขาหันไปมองก่อนจะหันมายิ้มให้กัน
แค่จะมาอาบน้ำเท่านั้นแต่ดันปล่อยให้เลยเถิดมาจนถึงนี่
“ถ้าเจ้าลูกกระต่ายรู้ว่าทำไมเราถึงไม่กลับไปซักทีคงมีงอนแน่ๆ” เสียงนุ่มเอ่ยออกไปเมื่อลมหายใจเริ่มเข้าที่
“ก็บอกอาเฟยไปว่า
เรากำลังผลิตน้องชายน้องสาวน่ารักๆให้เฟยเฟยไง”
เขาทำหน้าหมั่นไส้ก่อนจะฟาดแขนคนพูดจาหยอกเย้าไปหนึ่งที
หวังอี้ป๋อเอื้อมมือไปหยิบฝักบัวแล้วชำระล้างคราบต่างๆบนร่างกายพวกเราออก
เอาเป็นว่าในที่สุดก็อาบน้ำเสร็จสักที...
เสียงจ๋อมๆดังขึ้นเมื่อพวกเขานอนแช่ลงไปในอ่างอาบน้ำพร้อมกัน
น้ำอุ่นๆทำให้รู้สึกดีจนอยากจะปิดเปลือกตาลงทันที
ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจของหวังอี้ป๋อเต้นขับกล่อมไปด้วยแบบนี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจ
ใบหน้าหล่อเหลายังคงจูบคลอเคลียอยู่ข้างแก้มเขาจึงปิดตาลงปล่อยให้หวังอี้ป๋อทำตามใจ
เขาทิ้งกายลงไปในอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างสบายใจ ที่ตรงนี้ทำให้เขามีความสุข
“ขอบคุณนะครับ...ที่สร้างครอบครัวให้กับผม” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆอยู่ข้างใบหู
เขาจึงยิ้มก่อนจะตอบกลับไปทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา
“ชั้นก็ขอบคุณนายเหมือนกัน ที่เป็นครอบครัวให้ชั้น” เป็นความสุขให้กันและกัน
เพราะคนเรา...ยิ่งแก่ตัวไปอัตราการเต้นของหัวใจก็จะยิ่งช้าลง ยิ่งอยู่ด้วยกันนานๆไปหากไร้ความเข้าใจก็มีแต่จะยิ่งเบื่อหน่ายและค่อยๆหมดรักกันไป
แต่สำหรับเขาแล้ว...ครอบครัวและความรักที่อีกฝ่ายมีให้
ยังคงทำให้หัวใจของเขาเต้นด้วยความเร็ว 520ครั้งต่อวินาทีเสมอ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
520
Beats per minute.
Story
Never End.
โฮ่ยยยย
ไหนว่าเหลือแค่ผีเสื้อสีรุ้งแล้วไง~ แล้วตอนนี้งอกมาจากไหนนนนน
// ก็เค้าอยากเห็นหม่าม้ากระต่ายกับลูกกระต่ายอยู่ด้วยกันอีกอ่ะ งุ้ยๆๆ เอาเป็นว่า
จนกว่าผี้เสื้อสีรุ้งจะลงจบ มันก็อาจจะตบะแตกเพิ่มมาอีกก็เป็นได้ ถถถ
ขออภัยที่หายไปนานเลยค่ะ
มีหลายสิ่งหลายอย่างต้องเคลียร์ก็เลยไม่ได้แต่งฟิคต่อเลย TvT แต่เนื่องด้วย F1
ฤดูกาลใหม่กำลังจะเปิดเทอมปลายอาทิตย์นี้แล้ว
ต่อให้ตูทำอะไรอยู่ก็จะโดนลากกลับมาค่ะ555
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะค้าาา คิดถึงป๋อจ้านตลอดเวลาและยังคงติดตามป๋อจ้านตลอดไปย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น