ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 N.
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 นิวตัน”
.
.
.
“หวัง-เฟย-เฟย~ ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าลูกกระต่าย!”
เสียงทุ้มที่ตะโกนเรียกอยู่หน้าห้องทำให้ใบหน้ามนจำต้องละออกจากจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะหันไปยู่หน้าใส่เจ้าคนที่ยืนอยู่หลังประตู
“อะไรเล่า?! กำลังทำการบ้านอยู่นะ!” ทายาทลำดับที่ 4 ของตระกูลหวังวัย19ปีตะโกนตอบกลับไปด้วยความรำคาญ
เจ้าพี่ชายฝาแฝดนั่นจะเลิกยุ่งกับเขาสักนาทีได้ไหม!
“วันนี้เวรนายทำความสะอาดบ้านนะ! ถ้าคิดจะอู้ละก็ พ่อจะดีดหน้าผากให้
ออกมา!” อ่ะ...จริงด้วย...วันนี้เวรเขานี่นา…
ใบหน้ามนหัวเราะแหะๆก่อนจะปิดโน้ตบุคซึ่งกำลังเขียนรายงานค้างเอาไว้
เขาเพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ยังไม่ถึงปีดี
แล้วก็ตัดสินใจเรียนสาขาออกแบบรถเหมือนหม่าม้า แต่ว่าที่เขาเลือกก็เพราะว่าเขาชอบหรอกนะ
ไม่ได้ทำตามหม่าม้าเสียหน่อย อีกอย่างในโลกนี้ก็ไม่ได้มีแต่รถยนต์
เขาอาจจะไม่ได้ทำงานในวงการ F1 อย่างที่ใครๆคิดก็ได้
เพราะรายงานที่กำลังเขียนอยู่นี้ก็ทำให้เขารู้ว่าการออกแบบรถไฟชินคันเซ็นก็สนุกดีเหมือนกัน!
“เอ้า” มือใหญ่ของพี่ชายฝาแฝดยื่นไม้ปัดขนไก่ให้ทันทีที่เขาโผล่หน้าออกมาจากห้อง
“ใส่แมสด้วย เดี๋ยวสูดฝุ่นเข้าไปแล้วป่วยขึ้นมาเดือดร้อนชั้นต้องคอยดูแลอีก”
หวังอี้คุนสวมหน้ากากอนามัยให้เขาเสร็จสรรพ
ก่อนจะออกไปตัดต้นไม้ในสวนต่อ เขาแยกเขี้ยวใส่แผ่นหลังกว้างนั่นอย่างคนดื้อ
ไม่รู้จะห่วงอะไรนักหนาถึงแม้ว่าบางครั้งจะดูห่วงตัวเองมากกว่าก็เถอะ
เพราะถ้าเขาป่วยขึ้นมาคนที่ต้องเดือดร้อนคอยเฝ้าไข้ก็คือหมอนั่นเองจริงๆนั่นแหละ
ร่างโปร่งบางเดินมึนๆมาหยุดยืนอยู่หน้าโซฟา
เขาก็แค่ตั้งใจจะย้ายอาม่าแพนด้ายักษ์ไปวางที่อื่นก่อน จะได้ปัดฝุ่นตรงนี้
เขาก็ว่าเขาประเมินเรี่ยวแรงตัวเองอย่างดีแล้วนะ แต่ใครจะคิดว่าต่อให้ผ่านมา 19 ปีเขาก็ยังยกหมีนี่ไม่ขึ้น!
“เหวอ~~!” แล้วไม่ใช่แค่ยกไม่ขึ้นธรรมดา
ฝ่าเท้ายังเสียหลักจนร่างทั้งร่างเซแท่ดๆล้มลงไปในซอกโต๊ะ
สัญชาติญาณบอกให้เขาคว้าอะไรก็ได้เป็นที่พึ่ง
แต่ก็ดันนึกไม่ถึงว่าจะไปคว้าแขนอาม่ามา แล้วแทนที่จะเป็นที่พึ่ง
เจ้าหมียักษ์ที่ถูกดึงกลับล้มกลิ้งมาทับตัวเขาไว้ซะอย่างงั้น อ๊า! นี่มันอะไรกัน!
“โอ๊ย! อาม่า ลุกก่อน~” ร่างบางที่ติดแหง่กอยู่ในซอกโต๊ะพยายามดันเจ้าหมีแพนด้ายักษ์ขึ้นมา
แต่ว่าเจ้าหมีที่หนักหลายๆสิบกิโลกลับยังนอนมองเขาด้วยสายตาสงสาร...
“แง~ ช่วยด้วย~ อี้คุน~ นายอยู่ไหน~~” เนี่ย
ถึงอยากจะให้พี่ชายเลิกยุ่งกับเขาสักนาทีแต่มันก็เป็นเพราะแบบนี้แหละเขาถึงยังต้องมีอีกฝ่ายอยู่ด้วย!
“เกิดอะไรขึ้น?!” หวังอี้คุนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาและเมื่อเห็นสภาพเขา...ใบหน้าหล่อเหลาก็ถอนหายใจอย่างเอน็จอนาถทันที
เขายังดิ้นขลุกขลักอยู่ใต้หมีแพนด้า แขนขาตีอากาศพั่บๆเหมือนปลาที่กำลังขาดน้ำ
“เฮ้อ...นายนี่มันจริงๆเลยนะเจ้าลูกกระต่าย!” มือใหญ่จับอาม่ายกขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ
เขาจึงค่อยๆคลานออกจากซอกโต๊ะมาได้ เกือบตายแล้วไหมล่ะ!
ไม่ต้องประหลาดใจหรอกว่าทำไมหมอนี่แข็งแรงกว่าเขามาก
เพราะตอนนี้อี้คุนเป็นนักขับF1แล้ว ร่างกายที่ต้องทนแรงGที่มากกว่าคนธรรมดาถึง5เท่าจึงต้องแข็งแรงมากเป็นธรรมดา
“โอ๊ย หลังชั้น…” มือบางทุบหลังที่เจ็บแปลบๆ
เจ้าลูกสิงโตจึงส่ายหน้าเพลียๆก่อนจะอุ้มหมีแพนด้าไปวางไว้ในที่ปลอดภัย
ก็อาม่าตัวเท่าตึกแฝดเซี่ยงไฮ้ เขาจะโดนทับตายแล้วมันแปลกตรงไหน!
“นายปัดฝุ่นบนเตาผิงอย่างเดียวแล้วกัน
เดี๋ยวชั้นตัดต้นไม้เสร็จจะมาดูดฝุ่นเอง
จะมีชีวิตรอดจนโตไหมเนี่ยเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย…” พี่ชายฝาแฝดบ่นอย่างละเหี่ยใจขณะที่เดินกลับเข้าสวนไป
“หงึ” เขาเบะปากก่อนจะหันมาสนใจพื้นที่บนเตาผิงแทน
คนเรามันก็ต้องมีทั้งเรื่องที่ทำได้และทำไม่ได้แหละน่า
อย่างนายก็ออกแบบรถไฟชินคันเซ็นสู้ชั้นไม่ได้เหมือนกัน!
ไม้ขนไก่ปัดละเรื่อยไปตามกรอบรูปหลายอันที่ตั้งอยู่บนเตาผิง
เขาหยิบมันขึ้นมาก่อนจะใช้ผ้าเช็ดเบาๆ รูปบางรูปก็ทำให้คิดถึงเหมือนกันน้า...ดวงตากลมโตจ้องมองกรอบรูปที่อยู่ในมือ
ในรูปมีหม่าม้ากำลังนอนคว่ำหน้าเล่นหุ่นมือตุ๊กตากระต่ายกับเขาที่ยังเป็นเบบี๋อยู่
ส่วนด้านหลังก็มีปะป๊ากำลังเล่นสูง~สูง~กับอี้คุนตามประสาพ่อสิงโตกับลูกสิงโต
สูง~สูง~ของสองคนนั่นถึงได้สูงจนจะถึงเพดานอยู่แล้ว!
หม่าม้าบอกว่าเขาเป็นเด็กอารมณ์ดี
เลี้ยงง่าย ยิ้มง่าย แค่หุ่นมือรูปคุณกระต่ายเขาก็เล่นได้ทั้งวันแล้ว
ต่างจากเจ้าลูกสิงโตที่พลังงานเยอะมาตั้งแต่เด็ก
เพราะงั้นกว่าจะทำให้ยอมนอนได้บางทีปะป๊าก็แทบจะสลบเสียเอง
ช่วงปีแรกที่พวกเขาเกิด
หม่าม้าแทบจะไม่ได้ไปแข่งที่สนามเพราะต้องคอยเลี้ยงพวกเขา
เพราะเป็นเด็กแฝดเลยต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าแต่หม่าม้าก็ยังอยากจะเลี้ยงเอง
หม่าม้าบอกว่าชอบเวลาที่พวกเขาหลับแล้วมือน้อยๆนั่นก็จะจับนิ้วหม่าม้าเอาไว้มากๆ
ถึงจะไม่ได้ไปสนามแต่ก็ยังทำให้ประชากรม้าแดงในพิตกรีดร้องด้วยความอิจฉาจากรูปพวกนี้ได้
ส่วนปะป๊าที่เห่อลูกมากถึงจะไปแข่งก็จะวีดีโอคอลมาเกือบ24ชม.
ต่อให้หลับด้วยกันทั้งคู่แต่ก็ยังอยากได้ยินเสียงหายใจของกันอยู่
พวกลุงๆน้าๆอาๆในพิตม้าลำพองก็ขยันหาของเล่นสุดครีเอท(?)มาให้พวกเขา
ทั้งตัวต่อไม้รูปรถF1เอย พวงโมบายรูปรถF1เอย กุ๊งกิ๊งรูปรถF1เอย... แม้แต่ตุ๊กตาก็ยังจะเป็นรูปรถF1เลย! หลังๆปะป๊าเลยนั่งควบคุมรถบังคับวิทยุให้อี้คุนวิ่งไล่เอา
เจ้าลูกสิงโตเลยหลับง่ายและไม่ค่อยตื่นมากวนเพราะได้ใช้พลังจนหมด
ที่จริงแล้วหม่าม้าก็ไม่ถึงกับเลี้ยงพวกเขาตามลำพังหรอก...เขามองไปที่กรอบรูปอีกอันที่อยู่ข้างๆ...คุณย่ากับคุณยายของเขากำลังช่วยกันจับหลานแฝดอาบน้ำอยู่…
หม่าม้าเคยนินทาให้ฟังว่า
ตอนที่ตัดสินใจจะให้กำเนิดพวกเขาสองคนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ทางคุณปู่นั้นคัดค้านหัวชนฝา บอกว่ายังไงก็จะไม่มีทางยอมรับ
ปะป๊าเลยได้แต่ทำใจเพราะยังไงก็จะไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ทั้งสองคนอยากสร้างครอบครัวของตัวเองอยากให้พวกเขาทั้งคู่เกิดมาจากใจจริง
แต่พอพวกเขาเกิดได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์
คุณปู่ก็ทนคุณย่ารบเร้าไม่ไหวจนต้องพามาดูหน้าหลานแฝดถึงอิตาลี
ก่อนจะโดนความน่ารักน่าชังของพวกเขาตกจนไปไหนไม่รอด…
หม่าม้าบอกว่าคุณปู่ชอบอุ้มเขานั่งไว้บนตักแล้วก็เล่นด้วยโดยไม่พูดอะไร
อาจจะชอบมองตากลมแป๋วของเขาก็ได้ อีกอย่าง
คงเป็นเพราะเขาไม่งอแงถึงแม้จะเห็นหน้าโหดๆของคุณปู่
แล้วอี้คุนเองก็ไม่เคยอยู่นิ่งให้จับได้เสียด้วย
ส่วนคุณตากับคุณยายนั้นมาตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาเกิดแล้ว
เห่อยิ่งกว่าปะป๊าก็ตายายเขานี่แหละ
รูปตอนเล็กๆของพวกเขาถูกวางไว้ใกล้ๆกัน...รูปใบหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำล้ำค่าของใครอีกคนจึงตั้งอยู่ตรงนี้ด้วย
มันคือรูปของหวังอี้หยางในวัยเยาว์ที่ถ่ายกับพวกเขาสองคนที่ยังเป็นแค่เบบี๋…
ถ่ายที่บ้านหลังนี้...
ปะป๊าเคยเล่าให้ฟังว่ามีอยู่ครั้งนึงหม่าม้าต้องไปแข่ง
F1 ที่แคนาดาแล้วปะป๊าก็ตามไปด้วย
หลังจากแข่งเสร็จทั้งสองคนจึงชวนกันไปเยี่ยมพี่อี้หยางเพราะไม่ได้เจอกันมานาน
แล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวของผู้เป็นหลานชายเลยด้วย
พี่อี้หยางอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่ในแวนคูเวอร์
ถึงจะมีคนรับใช้คอยดูแลแต่เด็กชายก็ไม่ใช่คนที่จะยอมฟังใคร
ปะป๊าบอกว่าพี่อี้หยางเป็นพวกดื้อเงียบ
เพราะงั้นต่อให้กำลังเป็นไข้ขนาดหนักก็ยังไม่ยอมไปโรงพยาบาล
ต่อให้นอนซมอยู่บนเตียงก็ยังพยายามศึกษาเพชรที่ผู้เป็นพ่อทิ้งไว้ให้
ปะป๊าทนความดื้อดึงนั้นไม่ไหวจึงตัดสินใจอุ้มไปส่งโรงพยาบาลทั้งอย่างนั้น
หมอยังบอกเลยว่าดีที่ส่งตัวมาทัน
ไม่งั้นพี่อี้หยางอาจจะตายด้วยไข้หวัดใหญ่ก็เป็นได้
ปะป๊าถึงกับโทรไปโวยวายใส่คุณลุงว่าปล่อยลูกชายเอาไว้แบบนี้ได้ยังไง? คุณลุงรับโทรศัพท์ด้วยเสียงที่ขาดๆหายๆ
คุณลุงอยู่คาซัคสถานเพราะเจอเหมืองเพชรใหม่จึงต้องไปตรวจดูก่อนจะเซ็นต์สัญญาลงไป
คุณลุงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่อี้หยางไม่สบายเพราะเด็กชายห้ามไม่ให้ใครโทรไปรายงาน
ปะป๊าโมโหจนทนไม่ไหว
พอพี่อี้หยางอาการดีขึ้นหน่อยเลยพากลับอิตาลีด้วยกัน
แล้วบังคับว่าตลอดปิดเทอมนั้นต้องอยู่ที่มาราเนลโล่
หวังอี้หยางอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของตัวเองที่ต้องสืบทอดตระกูลที่ทุกคนต่างทิ้งขว้าง
เด็กตัวแค่นั้นอาจจะไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบเพียงแต่ถูกบอกว่า “ให้เป็น”
จึงคิดว่ามันคือสิ่งที่ตัวเองชอบ
ด้วยภาระและหน้าที่ทำให้เด็กชายละทิ้งชีวิตในวัยเด็กไปและกลายเป็นคนไร้หัวใจ
หวังอี้หยางไม่เคยเรียกร้องให้พ่อแม่มาหา ไม่เคยอยากได้ครอบครัว มีแค่ Diamond crown กับตระกูลหวังที่กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ปะป๊าของเขารับไม่ได้
ปะป๊าจึงรู้สึกผิดต่อพี่อี้หยางเรื่อยมาที่ผลักภาระไปให้
ปะป๊าจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พี่อี้หยางรู้ว่าครอบครัวที่แท้จริงมันเป็นยังไง
แต่ก็ใช่ว่าหวังอี้หยางจะยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
พี่อี้หยางเคยพยายามจะหนีกลับแคนาดาหลังจากที่หายป่วยแล้ว...เพียงแต่...ยังไม่ทันจะก้าวขาไปไหนหรือเตรียมจะหนีได้
ความวุ่นวายในบ้านของเขานั้นก็ทำให้เด็กชายจำต้องอยู่ช่วยอย่างมึนงง
“ถือนี่ไว้หน่อยอี้หยาง” หม่าม้ายัดเยียดอะไรบางอย่างใส่อกของพี่อี้หยาง
แล้ว “นี่” ของหม่าม้าก็คือตัวเขานี่แหละ!
หวังเฟยเฟยเบบี๋ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเข้าไปนั่งตาแป๋วอยู่ในอ้อมแขนของเด็กชายอี้หยางที่ไม่เคยแม้แต่จะอุ้มเด็กมาก่อน
เปล่าหรอก หม่าม้าเขาไม่ได้ประมาทเลินเล่อแต่เป็นเพราะกำลังรีบมากอยู่ต่างหาก
ร่างโปร่งบางต้องวิ่งไล่จับหวังอี้คุนเจ้าลูกสิงโตซนมากที่คลานไปทั่วก่อนที่จะตกเฉลียงบ้านไป
การเลี้ยงเด็กแฝดนั้นไม่ง่ายแถมวุ่นวายสุดๆ
โชคดีที่เขาไม่ดื้อไม่ซน
จับนั่งตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น
ทำให้หม่าม้ามักจะให้เขาอยู่กับพี่อี้หยางเสมอในขณะที่ตัวเองต้องไปวิ่งไล่จับอี้คุนที่แรงเยอะพลังงานล้นเหลือมาตั้งแต่เด็ก
สัมผัสนุ่มนิ่มของเขาทำให้เด็กชายหวังอี้หยางรู้สึกประหลาดใจ
ดวงตาที่เคยเฉยชากลับมีแววแปลกใจเมื่อได้จ้องมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆในอ้อมแขน...เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความอบอุ่น
ต่างจากเพชรที่มีแต่ความเย็นชา...
ตัวเขาเองอาจจะจำไม่ได้แต่รอยยิ้มร่าเริงและเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากของเขากลับทำให้แก้มของด็กชายแดงระเรื่อ
หัวใจที่เคยทำหายไปค่อยๆถูกดึงกลับมาอีกครั้ง…
แล้วจากที่แค่ให้นั่งตักอยู่เฉยๆ
พี่อี้หยางก็ต้องช่วยอุ้มบ้างบางที นานๆเข้าก็ต้องช่วยป้อนข้าว ป้อนน้ำ ให้นม
พานอน….
จากที่ว่าจะหนีกลับแคนาดากลับไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดเพราะเด็กแฝดนั้นซนพอสมควร
ถึงเขาจะไม่เท่าอี้คุนแต่ยังไงก็ยังเป็นเด็ก
เขาชอบคลานสำรวจช้าๆแต่ก็คลาดสายตาไม่ได้เหมือนกัน
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาคลานเล่นจนเกือบจะตกชานบ้าน พี่อี้หยางที่เดินไปหยิบขวดนมมาต้องสไลด์ตัวไปรับแทบไม่ทัน
เขาหล่นตุ้บลงไปอยู่ในอ้อมแขนพี่ชายแบบเส้นยาแดงผ่าแปดถึงแม้ว่าตัวเด็กชายเองจะตกลงไปนอนแอ้งแม้งบนสนามหญ้าแทนก็เถอะ
ไม่พอ เจ้าลูกสิงโตตัวแสบนึกว่าพวกเขาเล่นกันก็จะมาเล่นด้วย
หวังอี้คุนกระโดดจากบนชานลงมาใส่ตัวพี่อี้หยางเล่นเอาเด็กชายถึงกับร้องแอ้ก
"ตกลงพาฉันมารักษาอาการป่วยหรือพาฉันมาช่วยเลี้ยงพวกนายกันแน่
ฉันก็ยังงงอยู่จนทุกวันนี้" นั่นคือพูดคำที่พี่อี้หยางเคยบอก
ถึงจะวุ่นวายมากแต่ฤดูร้อนนั้นก็เต็มไปด้วยความสุขและหล่อหลอมหวังอี้หยางให้ยังมีหัวใจเฉกเช่นมนุษย์เอาไว้
เรื่องราวของหวังอี้หยางในความทรงจำเขายังไม่หมดแค่นี้...มือบางวางกรอบรูปนี้ลงก่อนจะหยิบกรอบรูปที่วางอยู่ข้างๆกันขึ้นมา
มันเป็นรูปของหวังเฟยเฟยวัย
8 ขวบที่ยืนอยู่หน้าตึกเบิร์จคาลิฟาในดูไบ…
คนถ่ายมันก็คือพี่อี้หยางเอง...
เขาตามไปเชียร์หม่าม้าแข่ง
F1 ที่อาบูดาบี ซึ่งปะป๊าติดงานก็เลยจะตามมาช้า
หม่าม้าเลยฝากให้เขากับอี้คุนไปอยู่กับพี่อี้หยางก่อนในระหว่างที่หม่าม้ากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในพิต
ตอนนั้นหวังอี้หยางวัย
20 ปีเริ่มก้าวเข้าสู่วงการค้าเพชรเต็มตัวแล้ว
พี่ชายของเขากำลังฝึกงานอยู่ในส่วนบริหารของ Diamond crown ที่ดูไบ
ถึงจะเป็นลูกชายของประธานบริษัทแต่ด้วยอายุที่น้อยมากบวกกับความที่ไม่มีประสบการณ์
พวกผู้บริหารระดับสูงของแบรนด์เพชรระดับโลกนั่นจึงไม่มีใครเชื่อถือในตัวพี่ชายของเขาเลยสักคน
แผนงานที่เสนอไปครั้งแล้วครั้งเล่าถูกตั้งคำถามมากมาย เพราะเป็นแผนงานแนวใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนจึงยิ่งต้องการบทพิสูจน์ที่มากกว่าเดิม
แล้วไม่ใช่แค่ส่วนบริหารเท่านั้นที่มีปัญหา
ช่วงนั้นยังมีคดีการยักยอกเพชรครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของDiamond crownอีกด้วย หวังอี้หยางที่อายุแค่ 20 ปีต้องเป็นคนลงไปจัดการเรื่องนี้แทนพ่อที่หายตัวไปในเหมืองเพชรแห่งหนึ่งในแอฟริกา
เด็กหนุ่มที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับความรุนแรงต้องลับหัวใจตนเองให้แข็งแกร่งดั่งเพชรถึงจะผ่านมันไปได้
คำสั่งโหดร้ายต่างๆนานาจำเป็นต้องพูดออกไปทั้งที่ในใจแทบแหลกสลายขนาดไหนไม่เคยมีใครรู้เลย
ปกติหวังอี้หยางก็ไม่ใช่คนยิ้มง่ายอยู่แล้ว
เจอกันครั้งนั้นพี่ชายจึงแทบไม่เคยยิ้มเลยแม้แต่กับเขา
ใบหน้าหล่อเหลามีแต่ความเหนื่อยล้าถึงแม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่เขาก็รู้สึกได้
ทำไมล่ะ? ทำไมคนอื่นถึงไม่เชื่อมั่นในตัวพี่ชายเขา
ทั้งๆที่พี่อี้หยางนั้นทุ่มเทให้กับ Diamond crown ยิ่งกว่าใคร
เกือบจะทิ้งหัวใจของตัวเองไปก็เพราะเพชรพวกนี้ไม่ใช่เหรอ? เขาเห็นมาตั้งแต่จำความได้ว่าคนคนนี้พยายามมากขนาดไหน
แต่ตอนนั้นเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กแปดขวบที่ทำได้แค่โมโหใครต่อใครที่ไม่เชื่อในตัวพี่ชายเขาเท่านั้น
เขาไม่อาจจะไปบอกกับทุกคนได้ว่าให้เชื่อพี่เขา
ไม่อาจจะเอาอะไรมาเรียกความเชื่อมั่นนั้นได้ เขาทำอะไรไม่ได้เลย
มือเล็กๆจึงหยิบดินสอขึ้นมาแล้วตั้งใจว่าจะออกแบบเครื่องประดับเพชรที่ดีที่สุดในโลกให้พี่อี้หยาง
เขาวาดมันด้วยความไร้เดียงสา
วาดมันด้วยความเชื่อมั่นเต็มที่ว่าสักวันหนึ่งผู้ชายที่ไม่มีใครเชื่อคนนี้จะทำให้สเก็ตอันนี้โด่งดังไปทั่วโลก
ตอนที่เขาเอากระดาษสเก็ตแผ่นนั้นไปให้พี่อี้หยางพร้อมกับการให้กำลังใจแบบเด็กๆ
พี่อี้หยางถึงได้ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก...
มือบางเลื่อนมากุมล็อกเกตที่เคยอยู่ในแบบสเก็ตนั่น
เขาสวมมันไว้ตลอดตั้งแต่ได้มันมา...ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไงกับเขา
ในเมื่อที่ผ่านมาพี่อี้หยางไม่เคยยิ้มให้ใครเลยนอกจากเขา นอกจากDiamond crownกับตระกูลหวังแล้วพี่อี้หยางก็ไม่เคยสนใจอะไร ไม่เคยมองใคร
ไม่เคยให้ความสำคัญกับอะไรอีก...นอกจากเขา
ดวงตาที่อ่อนแสงลงเหม่อมองไปในอากาศที่ว่างเปล่า...เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่ารู้สึกยังไงกับพี่อี้หยางกันแน่
ทั้งชีวิตที่ผ่านมาเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ชายมาตลอด...เป็นพี่ชาย...แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วจะปลอดภัยหายห่วงเหมือนตอนที่อยู่กับอี้คุน...
เขาวางกรอบรูปนั้นลงด้วยแววตาเหม่อลอยน้อยๆ
ถ้าเทียบกับอี้คุน
ความรู้สึกที่มีต่อพี่อี้หยางก็ต่างไปนิดหน่อยจริงๆ
เพราะหวังอี้คุนคือพี่ชายฝาแฝดที่เขาวางใจได้ยามเมื่ออยู่ใกล้ๆ...ว่าเขาจะไม่ถูกจับกินแน่นอน
ต่อให้หมอนั่นจะเป็นสิงโตที่ดุร้ายและชอบใช้กำลังบังคับเขาต่างๆนานา
ต่อให้จะหวงเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ว่าทั้งหมดล้วนมาจากความหวังดี หวังให้เขาเติบโตอย่างมีความสุขจากใจจริงโดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝงเจือปน
ดวงตากลมโตเหลือบไปมองกรอบรูปอันหนึ่งซึ่งเห็นทีไรเขาก็จะหัวเราะออกมาทุกที
มันเป็นรูปของอี้คุนที่กำลังถลึงตาแยกเขี้ยวข้างหนึ่งใส่กล้อง
ในมือถือค้อนอันใหญ่เอาไว้ด้วยความโมโห
......หมอนั่นกำลังประชดชีวิตด้วยการจะเดินไปตอกตะปูปิดห้องของเขาทิ้งไปซะ
ในเมื่อเขาไม่เคยไปนอนในห้องของตัวเองเลย
รูปนี้ถ่ายตอนที่พวกเรา
10 ขวบ ปะป๊ากับหม่าม้าให้พวกเราแยกห้องนอนกันได้แล้วเพราะต่างก็โตแล้ว
ควรจะต้องมีพื้นที่ส่วนตัว
แต่เรานอนอยู่ข้างๆกันมาสิบปีนะ
แล้วในวันที่เขาต้องมานอนคนเดียว ลืมตาขึ้นมาก็ไม่เจอใคร ไม่ได้ยินเสียงลมหายใจ
ไม่ได้ยินเสียงเบาๆจากแผ่นอกซ้ายของอี้คุน มันทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้าง
รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลกที่กว้างใหญ่
รู้สึกเหมือนจะมีปีศาจร้ายโผล่ออกมาจากตรงไหนก็ได้
"แง๊~ อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว~ ปีศาจแมงมุมต้องโผล่มากินเราแน่~"
แค่คืนแรกเขาก็เด้งผึงออกจากที่นอน
มือคว้าหมอนก่อนจะรีบวิ่งไปห้องข้างๆ
"อะไรของนายเนี่ย?" อี้คุนงัวเงียตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรมุดเข้ามาในผ้าห่ม
"กลัวอ่ะ" เขาดันอีกฝ่ายให้ขยับไปก่อนจะนอนลงข้างๆ
"เฮ้อ...จริงๆเล้ย~ ปีศาจแมงมุมมันมีที่ไหนเล่า!
นายเอารองเท้าตบมันก็ตายแล้ว" อี้คุนบ่นพลางหาวหวอด
"ไม่รู้แหละ ชั้นจะนอนที่นี่"
"ตามใจ…"
ก็นั่นแหละ...กว่าเขาจะนอนคนเดียวได้ก็หลังจากนั้นมาหลายปี
ก็ความมืดมันน่ากลัว...การอยู่คนเดียวก็น่ากลัว...
เพราะงั้นอี้คุนจึงไม่เคยปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว
ต่อให้ตัวเองจะไม่อยู่แต่ก็จะมีคนคอยช่วยดูเขาให้ตลอด
เขาเผลอยิ้มเมื่อมองกรอบรูปที่อยู่ข้างๆกัน
มันเป็นรูปที่เขาถ่ายกับแก๊งเพื่อนเลวของอี้คุนที่สนามโกคาร์ท
ตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแล้วบ้างนะเจ้าพวกนั้น? อย่างน้อยในรายการแข่งขันรถยนต์ระดับโลกแต่ละรายการก็มักจะมีชื่อเจ้าพวกนี้ร่วมแข่งอยู่ด้วย
ทั้ง Nascar , WRC , SuperGT รวมถึงF1ของอี้คุณด้วย
ทั้งที่เมื่อก่อนอยู่ด้วยกันตลอดแท้ๆ…
พวกเขาเรียนไฮสคูลมาด้วยกัน
เจ้าพวกนั้นก็ชื่อดังไม่แพ้อี้คุนหรอก และเขาก็ได้เจ้าพวกนั้นช่วยไว้ในหลายๆครั้ง
ก็อย่างที่รู้แหละว่าตอนเด็กๆเขามักจะถูกคนแปลกหน้าอุ้มไปเสมอ
ขนาดโตแล้วเขาก็ยังโดนสตอล์กเกอร์ตามอีก…
ในวันที่อี้คุนไม่อยู่มักจะเป็นวันที่น่ากลัวสำหรับเขา
แต่ทุกครั้งที่มีคนเดินตามอย่างน่าสงสัยหรือมีคนพยายามจะเข้ามาทำอะไร
คนเหล่านั้นก็มักจะถูกแก๊งเพื่อนเลวของอี้คุนลากคอออกไปหรือไม่ก็โดนต่อยคว่ำเลยก็มี
อี้คุนยอมให้เขาถ่ายรูปกับเจ้าพวกนั้นทั้งๆที่ปกติแล้วจะไม่ยอมให้ถ่ายรูปกับใคร
นั่นก็เพราะจะป่าวประกาศเอาไว้ว่าใครยุ่งกับเขาก็จะโดนเจ้าพวกนี้กระทืบเอาด้วย
เพราะเขามักจะดึงดูดคนแปลกๆที่มีอันตราย
พี่ชายฝาแฝดของเขาถึงต้องดุและแสดงออกว่าหวงเขามาก
ไม่อย่างงั้นเขาอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอย่างที่เป็นอยู่
อี้คุนมักจะขู่ให้คนพวกนั้นกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้เขาอีก
แต่ก็ยังมีอยู่อีกคนที่ความน่ากลัวของอี้คุนไม่มีผลอะไรต่อคนคนนั้น
และมันก็ทำให้อี้คุนเป็นกังวลอยู่เสมอ...หวังอี้หยาง พี่ชายของพวกเขานั่นแหละ
มันคงเป็นสัญชาตญาณของเจ้าป่าที่จะรู้ตัวว่าใครแข็งแกร่งกว่ากันและอี้คุนก็รู้มาตลอดว่าตนเองนั้นสู้พี่อี้หยางไม่ได้...ถ้าพี่อี้หยางคิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ
ตนคงปกป้องเขาไม่ได้…
อี้คุนจึงคอยบอกเขาตลอดว่าให้ระวัง
อี้คุนไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่พี่อี้หยางมีให้เขา ไม่เคยสงสัยเลยว่าเขาเป็นโลกทั้งใบของนายใหญ่แห่งDiamond crown เพียงแต่...พี่ชายคนนี้ของพวกเขานั้นอันตรายเกินไป หากเขายอมมอบหัวใจให้
เขาอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตที่ปกติสุขอีกเลยก็ได้
“ถึงเวลานั้น...ชั้นตามไปดูแลนายไม่ได้แล้วนะ ใช้หัวใจของนายเลือกให้ดีๆ”
เสียงทุ้มบอกกับเขาในวันที่รู้เรื่องล็อกเกต
อี้คุนเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องล็อกเกตและไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนอี้คุนก็คงเป็นคนแรกและอาจจะเป็นคนเดียวที่ยอมรับได้...ถึงแม้เส้นทางนั้นใครต่อใครในสังคมคงยากที่จะยอมรับ
ใบหน้ามนถอนหายใจ...ถ้าเขายังเป็นแค่เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรต่อไปได้ก็คงจะดี...แต่ตอนนี้เขาโตแล้ว...และก็รู้ดีทุกอย่าง...
เขาพยายามกลับไปโฟกัสกับการเช็ดกรอบรูปต่อ
รูปของเขากับหวังอี้คุนไม่ได้มีแต่รูปบ้าๆบอๆหรือแยกเขี้ยวใส่กันอย่างเดียว
รูปที่ดูละมุนละไมนั้นก็มี
มันเป็นรูปที่เขาลงไปนั่งอยู่ในค็อกพิตของรถฟอร์มูล่าทรี
มันเป็นรถแข่งคันแรกที่อี้คุนได้ขับ…
ถึงจะดูเหมือนหวังอี้คุนมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
มีครอบครัวที่ดี มีฐานะ มีชื่อเสียง มีเพื่อนฝูงมากมาย มีแต่คนยอมรับ
มีหน้าที่การงานที่น่าอิจฉา
แต่ว่าอี้คุนเองก็มีมุมที่อ่อนแออยู่เหมือนกัน
และเขาน่าจะเป็นคนเดียวที่เคยเห็นมุมนั้น
อี้คุนอาจจะใช้ความแข็งแกร่งปกป้องเขาเสมอมา
แต่ว่าเขาเองก็ใช้ความอ่อนโยนคอยปกป้องอีกฝ่ายอยู่เช่นกัน
สมัยที่ยังเป็นเด็ก
อี้คุนมีเพื่อนที่สนิทกันมากอยู่คนหนึ่ง ทั้งสองคนไปทดสอบเพื่อคัดเลือกเข้าโปรแกรมนักขับเยาวชนของเฟอร์รารี่อะคาเดมี่ด้วยกัน
ซึ่งจะคัดเอาแค่คนเดียวจากบรรดาเด็กเกือบสามสิบคน
เพื่อนคนนั้นของอี้คุนมีฐานะค่อนข้างขัดสน
แต่ถ้าได้เป็นเด็กฝึกอย่างน้อยก็จะมีเบี้ยเลี้ยงพอจะช่วยจุนเจือครอบครัวได้บ้าง
หมอนั่นก็เลยมาขอร้องอี้คุนให้ช่วยถอนตัวได้ไหม
ถึงอี้คุนจะไม่ได้เป็นเด็กฝึกครอบครัวก็ไม่ได้ลำบากอะไรต่างจากตนที่อาจจะต้องลาออกจากโรงเรียน
แล้วนอกจากเฟอร์รารี่อะคาเดมี่
ค่ายฝึกนักขับเยาวชนอื่นๆอย่างเรดบูลหรือเมอร์ซิเดสก็ยังมี
ด้วยชื่อเสียงป๊าม้าของอี้คุนยังไงก็ต้องเอาเข้าได้อยู่แล้ว
แน่นอนว่าพี่ชายฝาแฝดเขาฟังแล้วก็โมโหมากเพราะเหมือนกำลังโดนดูถูกความรักที่ตนมีต่อการแข่งรถ
ถึงจะมีภาษีที่มีครอบครัวดีแต่อี้คุนเองก็พยายามเลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกันกว่าจะเก่งแบบนี้ได้
หมอนั่นต้องเสียเลือดเสียเนื้อเหงื่อไปตั้งเท่าไหร่ เสียพลังกายพลังใจจนบางครั้งก็ถึงกับอ้วกออกมากว่าจะขับได้ขนาดนี้ อี้คุนจึงไม่ยอม
แล้วผลการคัดเลือกก็เป็นไปตามคาด...หวังอี้คุนได้รับเลือกเพราะฝีมือโดดเด่นกว่าใคร
ก็เลยทะเลาะกับเพื่อนคนนั้น…
หมอนั่นหายหน้าไปเลย
หายไปจากชีวิตของอี้คุนอย่างไร้ร่องรอยเลย…
จากนั้นอีกเป็นปี
อี้คุนถึงไปเจอหมอนั่นเข้า...ปรากฏว่าหมอนั่นไม่ได้เรียนหนังสือแล้วเพราะต้องออกไปทำงานช่วยเหลือที่บ้าน...ไม่ได้แข่งรถอีกต่อไปแล้ว...
อี้คุนเลยรู้สึกผิดมาก...และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหวังอี้คุนร้องไห้…
ลูกสิงโตที่มีแต่ความมั่นใจในตัวเองและไม่เคยเกรงกลัวใคร
ก็ยังมีช่วงเวลาที่ทุกข์ใจจนอยากจะย้อนเวลากลับไปใหม่เหมือนกัน
เขาทำได้แค่ปกป้องอี้คุนจากความเจ็บปวดพวกนั้น...ผ่านอ้อมแขนที่อ่อนโยนของเขา
“เพราะความฝันของชั้นทำให้หมอนั่นต้องทิ้งการแข่งรถไป
ถ้าชั้นยอมยกที่นั่งนี้ให้หมอนั่น ป่านนี้หมอนั่นอาจจะยังได้เรียนและเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่”
อี้คุนระบายออกมาด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“แต่ถ้าเป็นฉัน...ฉันไม่มีเสียยังดีกว่าเพื่อนแบบนั้น” เขาพูดออกไปตรงๆตามที่คิด
“ทุกคนมีเส้นทางเป็นของตัวเอง
แต่เส้นทางนั้นก็ไม่ควรจะไปทำลายฝันของคนอื่นด้วยวิธีการที่มันไม่แฟร์นะอี้คุน”
“นายจะรู้เหรอว่าหากวันนั้นนายยอมยกตำแหน่งนี้ให้หมอนั่นไป
หมอนั่นจะยังเป็นเพื่อนนายอยู่และไม่หาทางเอาเปรียบนายอีก? นายจะรู้เหรอว่าอะคาเดมี่อื่นจะรับนายไหม?
นายอาจจะไม่ได้เป็นนักขับไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ถ้านายพลาดโอกาสนั้นไป...แล้วนายก็จะกลายมาเป็นพวกมืดมน
เก็บกด วันๆไม่กล้าออกไปเจอหน้าใคร กลายเป็นขยะ เป็นภาระสังคม ทำให้ป๊าม้าปวดหัว
ทำให้ชั้นต้องคอยดูแลเสียการเสียงานไปด้วย”
“เดี๋ยวเถอะ ต่อให้ชั้นไม่ได้เป็นนักขับก็ไม่ทำตัวแย่ขนาดนั้นหรอก”
ใบหน้าหมองๆยิ้มจางๆ
“ใครจะรู้ล่ะ” ใช่...ใครจะรู้ล่ะว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง
หลังจากนั้นอี้คุนก็มองหน้าเขาอย่างนิ่งคิดก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง
“......นายเป็นแบบนี้ไงถึงได้ไม่มีเพื่อนสักคน หัดไว้ใจคนอื่นเค้าบ้างสิอาเฟย”
จากเศร้าอยู่ดีๆกลับมาสั่งสอนเขาซะงั้น
สักวันเขาคงต้องเรียกหมอนี่ว่าปะป๊าหมายเลขสองแล้วมั้ง
“นายไง ชั้นมีนายเป็นเพื่อนคนเดียวก็พอแล้ว”
“มันจะไปพอได้ไงเล่า ถ้าชั้นตายขึ้นมานายจะทำยังไง?...เฮ้อ...ทำไมคนอย่างชั้นต้องมาให้นายปลอบด้วยเนี่ย เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย”
หวังอี้คุนส่ายหน้าก่อนจะขยี้หัวเขาด้วยความหมั่นเขี้ยว
เขารู้ว่าเขาเองก็เป็นพื้นที่ปลอดภัยของอี้คุนเหมือนกัน
เพราะถ้าไม่มีเขา
เจ้าลูกสิงโตที่ใครต่อใครก็คิดว่าต้องแข็งแกร่งอยู่เสมอก็คงจะได้อกแตกตายเพราะไม่สามารถจะระบายความอ่อนแอของตัวเองให้ใครฟังได้
“นายจะให้ชั้นไว้ใจใครได้! นายไม่ได้ถูกอุ้มไป ไม่ได้ถูกสตอล์กเกอร์ตามเหมือนชั้นนี่!
งื้อออ” เขาปัดมือใหญ่ๆนั่นออกไปจากหัว
ทุกวันนี้เขาก็ยังหวาดระแวงและมักจะเผลอตั้งการ์ดกับคนอื่นอยู่เสมอ
ที่ที่ปลอดภัยสำหรับเขานอกจากป๊าม้าแล้วก็คือพื้นที่ข้างๆหวังอี้คุนเท่านั้น
เขารู้ว่าอี้คุนจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา ปัดเป่าภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงให้เขาโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน...ไม่เหมือนคนอื่น...ที่เข้าหาเขาเพราะต้องการอะไรสักอย่าง
ถึงแม้ว่ามันจะคือความรัก แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการจะมอบความรักให้กับคนทั้งโลกนี่…
เขาเองก็มีหัวใจแค่ดวงเดียว...
เขาวางกรอบรูปลงไปแล้วค่อยๆเช็ดทำความสะอาดมัน
ทั้งเขา
ทั้งอี้คุนต่างก็รู้ดีว่าพวกเราไม่อาจจะอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิตจริงๆอย่างที่ปากพร่ำบอก
การพยายามยึดอีกฝ่ายเอาไว้จึงเป็นวิธีที่เราจะรักษาพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ได้
เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าคงอีกไม่นานแล้วที่เราจะต้องแยกจากกัน...เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่เราจะได้กินด้วยกัน
เล่นด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน อาบน้ำด้วยกัน นอนด้วยกัน
พวกเราต้องเติบโต...และมีชีวิตเป็นของตัวเอง
ถึงจะสนิทกันมากขนาดไหน
เหมือนเป็นคนคนเดียวกันมากขนาดไหน…
แต่สักวันแรงเหวี่ยงขนาด
520
นิวตันก็คงจะแยกเราออกจากกันอยู่ดี…
เพราะแรงเหวี่ยงนั้นจะพาเราไปหาคนที่เป็นของเราจริงๆ…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
520
N.
Story
Never End.
ครบแล้น~ สำหรับตอนพิเศษ
520 ของสามตัวละครในอนาคต ^ ^ จริงๆเป็นเรื่องราวที่เขียนถึงเพื่อให้รู้ว่าหวังอี้ป๋อกับเซียวจ้านในภายหลังจากจบตัวเนื้อเรื่องหลักแล้วเค้าใช้ชีวิตต่อไปกันยังไง
ไม่ได้หมดรักเลิกลากันไป
แต่เค้ามีครอบครัวที่มีความสุขซึ่งเล่าผ่านมุมมองของลูกชายฝาแฝดทั้งสองคน
ถึงแม้จะพูดถึงปะป๊ากับหม่าม้าไม่มากแต่การใช้ชีวิตของเด็กแฝดก็จะบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทั้งสองคนมีครอบครัวที่อบอุ่นและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในอนาคตอย่างมีความสุขต่อๆๆไป
รวมถึงเรื่องของหลานชายที่กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทั้งสองคนได้รับการยอมรับจากครอบครัวมาก่อนด้วย
ทั้งสองคนเลยกลายมาเป็นครอบครัวของเด็กชายที่ต้องอยู่ตามลำพัง
มอบหัวใจให้กับคนที่ไร้ความรักขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ส่วนเรื่องราวของทั้งสามคนจะดำเนินต่อไปอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขาเอง
ในอนาคตของพวกเขา
ซึ่งเราก็ได้แต่ภาวนาให้พวกเขามีความสุขในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน
เรื่องราวของพวกเขายังคงดำเนินต่อไป...
จิ้นต่อกันได้ตามสะดวก
กร๊ากกก
สำหรับตอนหน้า
น่าจะเป็นตอนพิเศษตอนสุดท้ายของ GLIDE 2x4 It's me. แล้วน้า
แต่งให้เสร็จซะทีเถอะ ผีเสื้อสีรุ้งของฉันน่ะ555 กลับไปที่ป๋อจ้านกันค่า
^ ^ // แต่อาจจะมาช้าหน่อย
ช่วงนี้ก็คือโดนวอลล์มาเรียโจมตีขนาดหนักถถถ ยัยหนูเลนของแม๊~~ ไททัน(Attack on Titan)ซีซั่นสุดท้ายกำลังฉายค่ะ
เชิญชวนทุกท่านไปดูว =q=
ส่วน
GLIDE
2x4 It's me.ต้องขอแจ้งไว้ตรงนี้ว่า ในรวมเล่มจะไม่มีตอนพิเศษเพิ่มเติมแต่อย่างใดนะคะ
เพราะงั้น ผีเสื้อสีรุ้งน่าจะเป็นตอนสุดท้ายจริงๆ ^ ^ (อ้อ
ยังเหลือ 20.5 กับ 21.5อีกนี่หว่า =[
]=) แจ้งไว้ก่อยจะได้ตัดสินใจเรื่องรวมเล่มกันถูกนาคะ
ใครไม่สะดวกเก็บเล่มก็สามารถอ่านในเวปได้ทุกตอนค่ะ เปิดไว้งี้แหละ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามมากๆนะคะ
ใกล้แล้วววว อีกโค้งเดียวววว >////<
แอบแปะสันปกเรียกน้ำย่อย 555 ดูสันปกเวลาเอามาเรียงกันแล้วสิ =q= สีอย่างกะลูกกวาด ทั้งๆที่เนื้อในนี่อย่างบาปถถถ ของภาคป๋อจ้านคือเล่ม4-5ค่ะ สีแดงกับเหลือง ส่วนเล่ม1-3 นั่นตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว ^ ^
คือตอนแรกตั้งใจว่าถ้าเล่มเดียวก็จะเป็นสีเหลือง แต่ทีนี้ด้วยความหนาปานมหาคัมภีร์เลยขอแยกเป็นสองเล่ม ตอนแรกก็อ่ะ เขียวกับแดงก็ได้...แต่พอลองนึกเวลาจัดเข้าคอลเลคชั่นบาปๆของตูแล้วดันอยากให้มีสีเหลืองจะได้สดสัยยย งั้นเหลืองแดงละกัน ถถถ ^ ^a ประมาณนี้แหละค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น