ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 km/hr.
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 กิโลเมตรต่อชั่วโมง”
.
.
.
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองถุงใส่คุกกี้ที่วางอยู่บนโต๊ะเรียนอย่างไม่ใส่ใจ
โบว์สีสันสดใสที่ดูแล้วน่าจะถูกเลือกมาอย่างดีนั้นบ่งบอกว่าคนที่ส่งมันมาให้เขาตั้งใจขนาดไหน
ทายาทลำดับที่
3 ของตระกูลหวังวัย17ปียักไหล่
ก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อเขาเป็นถึงผู้ชายที่ป๊อปที่สุดในโรงเรียนไฮสคูลประจำเมืองมาราเนลโล่ประเทศอิตาลีแห่งนี้
ร่างสูงสง่าลุกจากโต๊ะเรียนก่อนจะเดินออกมาจากห้อง
ถุงคุกกี้ยังคงถูกวางไว้อย่างนั้นถึงแม้ว่าคนที่ส่งมันมาจะเป็นถึงนางฟ้าของโรงเรียน...เทเรซ่า
เบอร์นี่ อะไรซักอย่าง เขาก็จำชื่อยัยนั่นไม่ค่อยจะได้หรอก
“ไง” เสียงทักทายที่มีให้ตลอดทางบ่งบอกว่าเขาเป็นคนดังขนาดไหน
หวังอี้คุน เพียงพยักหน้าน้อยๆให้
สาวน้อยสาวใหญ่ที่ยืนมองอยู่แถวนั้นก็หันไปกรี๊ดใส่กันเป็นทิวแถว
แล้วเดินออกจากห้องเรียนของเขามาได้ไม่เท่าไหร่
เขาก็เจอกับคนที่ส่งคุกกี้ให้ราวกับว่าเด็กสาวมาดักรอเขาอยู่นานแล้ว ถ้าเขาเป็นคิงของโรงเรียนนี้
ยัยนี่ก็คงจะเป็นควีนเพราะเป็นผู้หญิงที่ป๊อปที่สุดในโรงเรียน
แต่ป๊อปแล้วยังไง? สวยแล้วยังไง?
รวยแล้วยังไง? มีอิทธิพลแล้วยังไง? ของพวกนี้เจ้าลูกกระต่ายของเขาก็มี มีเยอะกว่าด้วย เพราะงั้นคนที่ไม่สวย
รวย เก่งกว่า หวังเฟยเฟย ฝาแฝดของเขา
เขาจึงไม่เคยแล...ก็นั่นแหละ...เพราะสเปคอยู่บนยอดเขาเอเวอร์เรสแบบนั้น
เขาถึงไม่เคยสนใจใครและไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน
ใบหน้าหล่อเหลาเพียงแค่หันไปยิ้มหว่านเสน่ห์ให้เด็กสาวแล้วเดินผ่านไป
ถึงเขาจะไม่ได้สนใจแต่การผูกมิตรกับผู้คนมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
แต่แล้วจู่ๆท่อนแขนของเขาก็ถูกใครบางคนดึงเอาไว้จนต้องเบรกหัวตั้ง
เขาหันไปมองก่อนจะต้องยิ้มแห้งๆเพราะคนที่กระชากตัวเขาไว้ด้วยใบหน้าบูดสนิทนั้นไม่ใช่ยัยเทเรซ่า...แต่เป็นฝาแฝดคนน้องของเขาเอง
...ได้กลิ่นไวเชียวนะเจ้าลูกกระต่ายนี่…
หวังเฟยเฟยทำหน้าหงิกใส่เขาก่อนจะหันไปประจัญหน้ากับเทเรซ่า
เบอร์นี่
"เธอให้คุกกี้หวังอี้คุนเหรอ?" ทั่วทั้งโรงเรียนรู้และเขาเองก็รู้ว่าเจ้าลูกกระต่ายหวงเขาขนาดไหน
เหตุการณ์นี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยเพราะมันก็เคยเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีคนมาสารภาพรักกับเขา
"เธอชอบหมอนี่เหรอ? อย่าเสียเวลาเลย!
ไปชอบคนอื่นเถอะ! หมอนี่ต้องดูแลชั้นไปทั้งชีวิต ไม่มีเวลาไปรักใครหรอก
แค่ชั้นคนเดียวก็วุ่นวายจะตายอยู่แล้ว" …..รู้ตัวเสียด้วยนะเจ้าลูกกระต่ายตัวยุ่งเอ้ย
เขายกยิ้มมุมปากในขณะที่เหลือบตามองเฟยเฟยซึ่งขยับมากอดแขนเขาอย่างหวงแหน
แน่นอนว่าเขาให้สิทธิ์หมอนี่หวงเขาได้เต็มที่
เขาจึงพอใจเมื่อได้เห็นใบหน้าบูดๆของเจ้าลูกกระต่ายยามเมื่อมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น
แล้วก็คงจะมีแต่เจ้าลูกกระต่ายนี่แหละที่กล้าต่อกรกับแก๊งนางฟ้าของยัยเทเรซ่าที่คนทั้งโรงเรียนต่างไม่อยากจะมีปัญหาด้วย
ถึงปกติแล้วจะเป็นลูกกระต่ายขี้กลัวเอาตัวไม่ค่อยจะรอด
แต่เวลาเอาจริงขึ้นมาก็จะแสบสันใช่ย่อยเลยละ
อีกอย่าง...เพราะเป็น "หวังเฟยเฟย" ด้วยแหละที่ทำให้เพื่อนๆแก๊งนางฟ้าของยัยเทเรซ่ายังไม่กรูกันเข้ามาหาเรื่องเอา
...ฝาแฝดตระกูลหวังเองก็เป็นคนที่ไม่มีใครอยากมีปัญหาด้วยเช่นกัน…
เจ้าลูกกระต่ายทำหน้าหงึใส่กลุ่มเด็กสาวก่อนจะพยายามลากเขาออกไปจากตรงนั้น
"ชั้นไม่ได้ชอบหวังอี้คุน" แต่แล้วจู่ๆก็เหมือนฟ้าเปลี่ยนฝั่ง
ยัยเทเรซ่าตะโกนเสียงดังทำให้เขาถึงกับชะงัก
"แต่ชั้นชอบนายต่างหาก หวังเฟยเฟย! คุกกี้นั่นชั้นให้นายนะ
แต่ดูท่าจะส่งผิด?"
อ้าวเฮ้ย!
แบบนี้ก็สวยดิ!
มือใหญ่รีบดึงเจ้าลูกกระต่ายมาหลบหลังก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเด็กสาวทันที
"นี่เธอ! อยากตายเร๊อะ?!" กลายเป็นเจ้ากระต่ายต้องคว้าแขนเขาไม่ให้เข้าไปกระชากคอเด็กสาวแทนซะงั้น
เขาเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังเท้ากันเลยทีเดียว
"ถ้าอยากจะอยู่สวยๆของเธอไปละก็...อย่ามายุ่งกับหมอนี่
ไม่มีใครเอาลูกกระต่ายไปจากชั้นได้หรอก บอกไว้เลย!" แล้วจากที่คิงกับควีนของโรงเรียนควรจะคู่กันก็ดันกลายเป็นว่าประกาศสงครามใส่กันซะงั้น
ทั่วทั้งโรงเรียนต่างหัวเราะชอบใจในความตีกันนี้เพราะนานๆทีจะมีมาให้เห็น
แล้วยิ่งคิงกับควีนตีกันเพราะแย่งลูกกระต่ายมึนๆตัวนึงยิ่งไม่เคยมีในหน้าประวัติศาสตร์ไฮสคูลมาก่อน
เสียงออดเลิกเรียนทำให้ทางเดินหน้าห้องที่เคยเงียบสงบเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกทันที
เด็กฝรั่งที่ส่วนใหญ่มีสัญชาติอิตาลีกระโดดกอดคอกันออกมาเป็นกลุ่มบ้าง เป็นคู่บ้าง
ออกมาคนเดียวบ้างก็มี
และคนที่ถือสองสัญชาติทั้งอิตาลีทั้งจีนอย่างหวังเฟยเฟยเองก็กำลังจะก้าวขาออกจากห้องเรียนเหมือนกัน...ถ้าไม่ติดที่ว่า...
"จะไปไหนเจ้าลูกกระต่าย?!" ประตูที่กำลังจะเปิดออกถูกมือใหญ่ปิดไปต่อหน้าต่อตา
ฝ่ามือของหวังอี้คุนยังยันประตูไว้ไม่ให้หวังเฟยเฟยเปิดมันได้
"หื๋อ? ไปห้องวิทยาศาสตร์ไง" ใบหน้ามนเงยขึ้นตอบพี่ชายฝาแฝดงงๆ
"ไม่ให้ไป มานี่เลย" และแล้วมือใหญ่ก็ลากร่างโปร่งบางกลับไปที่นั่งหลังห้องของตัวเอง
"นายต้องไปสนามบาสกับชั้น" เขาเริ่มดึงชายเสื้อฮู้ดสีดำขึ้นก่อนจะถอดมันออกผ่านหัว
"ได้ไงอ่ะ วันนี้ชั้นก็มีชมรมนะ" ปั่บ!
เสื้อฮู้ดสีดำถูกโยนใส่หัวเจ้าลูกกระต่ายที่กำลังโวยวาย
มือบางพยายามแหวกเสื้อตัวใหญ่นั่นออกมาอย่างน่าเอ็นดู
เขาหยิบเสื้อกล้ามบาสเกตบอลมาสวมก่อนจะถอดกางเกงยีนส์แล้วโยนใส่หัวเจ้าคนที่อุตส่าห์หาทางออกมาจากเสื้อฮู้ดได้
"โอ๊ย! จะโยนใส่หัวชั้นทำไมเนี่ย? เหม็นเหงื่อด้วย!"
มือกระต่ายพยายามหยิบเสื้อกับกางเกงเขาออกจากหัวตัวเอง
"หยิบเสื้อผ้าชั้นแล้วตามมา" เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและเตรียมตัวจะไปสนามบาส
เขาอยู่ชมรมบาสเกตบอลแล้วก็มีซ้อมตอนเย็นทุกวัน
"ไม่เอาอ่ะ ชั้นจะไปชมรมของชั้น" แต่เจ้าลูกกระต่ายดื้อก็ไม่ยอมทำตาม
มือบางเตรียมจะโยนเสื้อผ้าเขาคืนมา
"นายไม่กลัวรึไงเจ้าลูกกระต่าย! ถ้ายัยนั่นลักพาตัวนายไปจะว่ายังไงห๊ะ?"
"ชั้นเป็นผู้ชายนะ ทำไมต้องกลัวผู้หญิงด้วย? แล้วใครเค้าก็ไม่มาลักพาตัวกันกลางวันแสกๆกลางโรงเรียนงี้หรอก!"
ปากสีแดงเถียงฉอดๆทำเอาเส้นเลือดที่ขมับกระตุกยิกๆเลย
"อย่างนายไม่นับว่าเป็นผู้ชาย เป็นได้แค่กระต่ายเท่านั้นแหละ!
แล้วยัยนั่นก็ไม่ใช่ผู้หญิงด้วย แต่เป็นจิ้งจอก!"
"งื้อ!" เจ้าลูกกระต่ายทำหน้าดื้อใส่
เขาจึงตัดปัญหาด้วยการคว้าทั้งตัวบางทั้งเสื้อผ้าก่อนจะอุ้มทั้งหมดนั่นพาดบ่าเอาไว้
"หวังอี้คุน! ปล่อยชั้นนะ! ชั้นจะไปชมรม! ชั้นไม่ไปสนามบาสกับนาย!"
เจ้าลูกกระต่ายดิ้นขลุกขลักๆอยู่บนบ่า
ขายาวก้าวไปโรงยิมอย่างไม่สนใจเสียงโวยวาย
เขายกมือทักทายเพื่อนๆที่เดินหัวเราะผ่านไป
เพราะสภาพแบบนี้มีให้เห็นกันแทบทุกวันจนไม่มีใครคิดจะจะช่วยลูกกระต่ายที่น่าสงสารนั่นแล้ว
"ปล่อยสิ! ถ้าไม่ปล่อยชั้นจะฟ้องหม่าม้า~ จะฟ้องปะป๊าด้วยว่านายแกล้งชั้น~
ปล่อยชั้นลงนะ~"
"อยากให้ปะป๊าขังนายไว้ในบ้านรึยังไง? จะโดนยัยจิ้งจอกนั่นจับกินยังไม่รู้ตัวอีก"
ร่างสูงสง่ายังคงก้าวขาสบายๆ
บางครั้งเขาก็สงสัยนะว่ากระพุ้งแก้มของหมอนี่เก็บอาหารเอาไว้หรือยังไง
มันถึงได้ไม่ลงไปเพิ่มน้ำหนักให้ร่างกายเลยเนี่ย ผอมแห้งจนแทบจะเบาเท่าขนนกแล้ว
"งื้อ! ไม่มีใครจับชั้นกินได้หรอกน่า~ ปล่อย~"
ร่างโปร่งบางถูกวางอีกทีก็ที่ข้างสนามบาสในโรงยิมนู่นแหละ
เสียงกรี๊ดเบาๆดังต้อนรับทันทีที่เขาก้าวขาเข้าไป
ก็อย่างว่าแหละ หวังอี้คุนคือผู้ชายที่ป๊อปที่สุดในโรงเรียน
จะมีแฟนคลับตามเชียร์แม้จะเป็นแค่วันซ้อมธรรมดาๆก็ไม่น่าแปลกใจ
“นั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ ถ้าเห็นว่าแอบหนีไปละก็ คืนนี้นายโดนทับตายแน่”
เขาขู่แล้วเจ้าลูกกระต่ายก็ทำหน้าหงึใส่ทันที
เขามักจะมีวิธีทำโทษอีกฝ่ายสารพัด หนึ่งในนั้นก็คือนอนทับเอาไว้
เขาหนักกว่าเป็นสิบกิโลเพราะงั้นตัวบางๆแทบหักนั่นจึงต้องร้องขอชีวิตเลยแหละถ้าถูกเขาทับเอา
เจ้าลูกกระต่ายทำปากขมุบขมิบ
คงจะแอบด่าเขาอยู่ละสิ แต่กระนั้นก็ยอมนั่งกอดเข่าอยู่ข้างสนามบาสแต่โดยดี
เสียงนกหวีดส่งสัญญาณเริ่มซ้อมและเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นทันทีที่ร่างสูงสง่าของหวังอี้คุนเลี้ยงลูก
ส่งลูก หรือแม้แต่ชู้ตลูกบาส ไม่ว่าขยับไปท่าไหนเสียงชัตเตอร์ก็มักจะตามไปเสมอ
ใบหน้าจริงจังที่มองไปยังคู่ต่อสู้เอย
เส้นผมสีน้ำตาลที่สะบัดตามจังหวะการวิ่งเอย
ร่างกายสูงยาวสมส่วนที่เท่ห์ทุกท่วงท่าเอย
ไม่ว่าจะตรงไหนของหวังอี้คุนก็ดูดีไปเสียหมด
ถึงจะถูกเรียกว่าคูลกายแต่กับเพื่อนฝูงแล้วก็ยิ้มแย้มเฮฮาเล่นหัวกันได้ มือใหญ่ถึงได้ไฮทัชกับเพื่อนๆยามที่ใครสักคนชู้ตบาสลงห่วงไปได้
เขาคอยหันไปมองเจ้าลูกกระต่ายเป็นระยะๆ
คงเลิกคิดที่จะหนีแล้วสินะถึงได้หยิบสมุดสเก็ตมาขีดๆเขียนๆอะไรยิกๆ
“ทำอะไรน่ะ?” เขาชะโงกหน้ามองลงไปบนหน้ากระดาษเมื่อได้เวลาพัก
เหงื่อหยดแหมะใส่กระดาษจนเจ้าของมันเงยหน้าขึ้นมาทำตาขวางใส่
มือใหญ่จึงหยิบผ้าขนหนูที่วางอยู่บนกระเป๋ามาเช็ดหน้าก่อนจะเป่าลมใส่ผมหน้าม้าเส้นเล็กสีดำขลับของเจ้าลูกกระต่ายจนมันปลิวขึ้นมา
“งื้อ!” เขาชอบเวลาที่เจ้าลูกกระต่ายฟึดฟัดหลังจากโดนแหย่เป็นที่สุด
เขาจึงยิ้มร่าถึงแม้ว่าจะโดนมือบางนั่นยันหน้าออกมา
“ตกลงว่าทำอะไร? วางแผนร้ายอยู่ใช่ไหมเจ้าตัวดี”
เขาเหลือบมองกระดาษอีกที เจ้าลูกกระต่ายไม่ได้กำลังวาดรูปเล่นอย่างคนทั่วไป
แต่ในกระดาษที่มีรอยขีดฆ่ามากมายนั้นกลับเป็นสูตรทางฟิสิกส์ว่าด้วยเรื่องการคำนวณตำแหน่งชู้ตบาสของเขาซะงั้น
"อี้คุน นายควรจะถอยห่างจากเส้นสามคะแนนไปอีกคืบนึง แรงนายเยอะไป
ไม่ต้องใกล้เส้นมากนักก็ได้" คนอื่นเค้ามีแต่ให้ยืนชิดๆเส้น
แต่เจ้าลูกกระต่ายกลับบอกให้เขาถอยออกไปหน่อย?
"คืบของชั้นนะ ไม่ใช่คืบของนาย" ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมามองด้วยสายตาจริงจังจนเขานึกขำระคนเอ็นดู
"ไหนมาวัดซิ" แล้วเขาก็กางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเทียบกับคืบหนึ่งของอีกฝ่าย
เขาไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เฟยเฟยทำเป็นเรื่องไร้สาระ
เขาจึงมักจะเออออกับเจ้าลูกกระต่ายด้วยเสมอ
มือที่ใหญ่กว่าจรดปลายนิ้วลงไปบนมือที่เล็กกว่า
แค่ปลายนิ้วสัมผัสกันก็กลายเป็นความผูกพันอีกขั้นหนึ่งแล้ว
เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าจะมีวันแยกจากกันและกันได้
ไม่คิดเลยว่าจะมีทางไหนหรือใครที่จะมาพรากเจ้าลูกกระต่ายไปจากเขาได้
เขากลับไปซ้อมบาสต่อและลองทำตามที่เจ้าลูกกระต่ายบอก
แล้วก็ชู้ตสามแต้มลงห่วงได้มากกว่าเดิม
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้กระเด้งกระดอนออกไปหมดแท้ๆ...เก่งไม่เบานี่เจ้าตัวดี
หลังจากซ้อมเสร็จสมาชิกส่วนใหญ่ก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องพักชมรมบาสเกตบอล
ในนี้มีล็อคเกอร์ผุๆที่ใช้กันมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย
เจ้าลูกกระต่ายถูกลากติดมือมาด้วยและตอนนี้ก็กำลังนั่งหน้าบูดรออยู่ที่ม้ายาวกลางห้อง
"มึงว่าคัพอะไรวะ? กูว่า B แน่นอน"
เจ้าพวกเพื่อนร่วมชมรมกำลังคุยกันเรื่องขนาดหน้าอกของผู้หญิงสักคนข้ามหัวกันไปมา
ในห้องมีแต่ผู้ชายเถื่อนๆที่กำลังถอดเสื้อผ้าเหม็นกลิ่นเหงื่อคละคลุ้ง
เจ้าลูกกระต่ายเลยกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมพอสมควร
แต่ถึงกระนั้นการที่อีกฝ่ายมานั่งรอเขาแบบนี้ก็เป็นเรื่องชินตา
ตรู๊ด...ตรู๊ด…
โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นมาทำให้เพื่อนฝูงโบกมือให้แล้วทิ้งเขาไว้กับเจ้าลูกกระต่ายตามลำพัง
"กลับก่อนนะเว้ยกัปตัน เจอกันว่ะ"
"เออ เจอกันพรุ่งนี้" เขาโบกมือโดยไม่ได้สนใจพวกมันนักเพราะตอนนี้สายตากำลังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองชื่อคนที่โทรมาก่อนจะกดรับ
เป็นสายจากทีมบอส Prema
Racing ทีมแข่งรถ Formula2 ที่เขาสังกัดอยู่
"ครับ"
“ครับ...ครับ...เข้าใจแล้วครับ!” เสียงทุ้มตอบรับอย่างแข็งขันใส่โทรศัพท์มือถือจนใบหน้ามนของคนที่นั่งรออยู่ข้างๆหันมามอง
เขากดวางสายไปเมื่อบทสนทนาจบลง
“เรื่องไรน่ะ?” เจ้าลูกกระต่ายถามออกมาอย่างสงสัยเมื่อเห็นเขายิ้มอย่างตื่นเต้นดีใจ
“เรื่องสัญญาน่ะสิ บอสโทรมาบอกว่าชั้นอาจจะได้ไปขับทดสอบให้ทีม Alfa
Romeo ช่วงทดสอบรถก่อนปิดฤดูกาลนี้!
นายรู้ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง?!” เขาเขย่าสองมือของเจ้าลูกกระต่ายอย่างเก็บอาการไม่อยู่
“นายจะได้ขับF1เหรออี้คุน?!” เจ้าลูกกระต่ายตาโตตะโกนตอบกลับมาอย่างตื่นเต้นไม่แพ้กัน
เพราะอัลฟ่าโรเมโอเป็นทีมแข่งใน F1
“ใช่!”
“เย้!!!” เขาอุ้มเจ้าลูกกระต่ายหมุนจนตัวลอย
เพราะนี่คือก้าวแรกแห่งความฝันของเขา
ตอนนี้เขาเป็นเด็กฝึกของ
Ferrari
Driver Academy ซึ่งมีโอกาสได้ลงขับฟอร์มูล่าทูให้กับทีม Prema
Racing ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับเฟอร์รารี่และเป็นเสมือนสถานอนุบาลสำหรับนักขับเยาวชนอย่างพวกเขา
เฟอร์รารี่อะคาเดมี่จะป้อนนักขับรุ่นเยาว์ที่เฟ้นหามาแต่เด็กที่มีพรสวรรค์อยู่แล้วให้ทีม
Prema
Racing ซึ่งมีทีมแข่งตั้งแต่ F3 ไปจนถึง F2
ให้ทีมสีแดงทีมนี้เคี่ยวกรำเด็กน้อยทั้งหลายจนกลายเป็นแชมป์รถสูตรสองและพร้อมที่จะขยับขึ้นไปขับรถที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารอย่าง
F1
ตำนานในวงการฟอร์มูล่าวันส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นแบบนี้ทั้งนั้น
“โทรบอกหม่าม้าก่อนๆๆ” เจ้าลูกกระต่ายดูจะตื่นเต้นกว่าเขาเสียอีก
มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะโทรคุยกับหม่าม้าเสียงดัง
แต่อย่างหม่าม้าน่าจะรู้อยู่แล้ว เพราะอัลฟ่าโรเมโอเป็นทีมน้องของเฟอร์รารี่
ข่าววงในต่างๆหัวหน้าวิศวกรระดับสูงอย่างหม่าม้าน่าจะรู้ดี
เพราะเติบโตมาในครอบครัวนักแข่งรถทำให้เขารักความเร็ว
รักเสียงแหวกอากาศของรถแข่ง
เขาหลงใหลทั้งเจ้ารถสีแดงของหม่าม้าและรถสีน้ำเงินของปะป๊า
เขาขับได้หมดทั้งสองล้อและสี่ล้อ
ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ฉลาดน้อยกว่าเฟยเฟยเลย
แต่ที่เขาไม่เลือกที่จะเป็นวิศวกรหรือนักออกแบบรถเหมือนหม่าม้า
ก็เพราะว่าเขาเห็นมาตลอดน่ะสิว่าหม่าม้างานยุ่งขนาดไหน
เทียบกันแล้วนักแข่งรถอย่างปะป๊ายังพอจะมีเวลาว่างมากกว่า
ช่วงปิดฤดูกาลหม่าม้ายังต้องเข้าโรงงานคอยทำรถคันใหม่
แต่ปะป๊ากลับได้พักและมีเวลาคอยดูแลหม่าม้าได้...เขาเองก็อยากจะดูแลเจ้าลูกกระต่ายแบบนั้นบ้าง...เขาจึงเลือกที่จะเป็นนักแข่งรถแบบปะป๊า
ถึงแม้ว่าจะต้องเสี่ยงกว่าแต่มันก็เป็นสิ่งที่เขารักจากใจจริง
"หม่าม้าบอกว่าปะป๊าเตรียมฉลองให้ที่บ้านแล้ว ให้รีบกลับ"
เจ้าลูกกระต่ายเงยหน้าจากโทรศัพท์มายิ้มให้เขา
"อื้อ" เขาจึงตอบรับพร้อมกับขยี้หัวคนที่ยังยิ้มแฉ่งอย่างเอ็นดู
เขาเองก็ยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะทำผลงานตอนทดสอบรถได้ดีแค่ไหน
ฝีมือจะเตะตาทีมในF1บ้างไหมเขาก็ไม่แน่ใจ แต่แค่มีโอกาส
แค่ได้รับโอกาสนี้ที่น้อยคนนักจะได้รับมันก็ดีมากแล้ว
และที่ดียิ่งไปกว่านั้นก็คือมีคนที่คอยยิ้มคอยดีใจไปกับเขาด้วย
ถึงแม้จะเป็นแค่ก้าวเล็กๆแต่ครอบครัวที่อบอุ่นของเขาก็คอยยินดีไปกับทุกๆก้าวทุกๆความสำเร็จของเขา
แค่นี้เขาก็ถือเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแล้ว
หวังอี้คุนที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยเดินออกมาจากโรงยิมโดยมีแฝดผู้น้องเดินตามมาติดๆ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเกิดมาจากท้องเดียวกันและคล้ายกันมากแต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
เป็นฝาแฝดที่คนทั่วไปแยกออกได้ทันทีว่าใครเป็นใคร
เราอาจจะเป็นฝาแฝดแค่เพราะว่าเราเกิดมาพร้อมกันเท่านั้นก็ได้
เพราะทั้งเขาทั้งเจ้าลูกกระต่ายต่างเป็นเด็กหลอดแก้วด้วยกันทั้งคู่
เขาโตจนรู้ภาษาแล้วว่าอะไรมันเป็นอะไร
เขากับเจ้าลูกกระต่ายอาจจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันด้วยซ้ำ...
ร่างสูงสง่าก้าวขาเข้าไปในโรงจอดจักรยาน
ทั่วทุกพื้นที่ถูกทาทับได้ด้วยแสงแดดสีส้ม
โรงเรียนไฮสคูลที่เคยเต็มไปด้วยเสียงดังโหวกเหวกโวยวายกลับเงียบสงบเพราะแทบไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว
จักรยานแบบผู้ชายคันหนึ่งถูกจูงออกมา
เขาก้าวขาคร่อมและแน่นอนว่าอย่างเจ้าลูกกระต่ายที่ขี่ได้แต่จักรยานสามล้อย่อมต้องนั่งซ้อนอยู่ข้างหลังเขาอยู่แล้ว
"นายว่าปะป๊าจะเตรียมอะไรไว้ให้? ไก่งวงไหม? ชั้นอยากกินไก่งวงแล้วอ่ะ" ถึงนั่นมันจะเป็นอาหารที่ใช้ในการเฉลิมฉลองแต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ไหม?
เขาปั่นจักรยานไปอมยิ้มไป
ปล่อยให้เจ้าลูกกระต่ายพูดเรื่องของกินต่อไป
พอออกจากโรงเรียนมาได้สัญลักษณ์ม้าลำพองก็มีให้เห็นตลอดทางสมกับที่เป็นมาราเนลโล่
พวกเขาเกิดและเติบโตขึ้นมาในเมืองเล็กๆที่แสนสงบสุขแห่งนี้
มีคนรู้จักมากมายจนแทบจะกลายเป็นครอบครัวขนาดใหญ่
ไม่ว่าจะไปที่ไหนในเมืองก็จะมีแต่คนทักเพราะคนส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในโรงงานของเฟอร์รารี่และทุกคนก็รู้จักหม่าม้าของเขาดี
เขาปั่นจักรยานผ่านหน้าอนุสาวรีย์ม้าพยศสีดำนั่นไปก่อนจะเลี้ยวเข้าเขตที่อยู่อาศัย
บ้านของพวกเขาตั้งอยู่ตรงนี้มานานแล้ว แต่ส่วนที่ต่อขยายออกไปนั้นกลับดูจะไม่มีจุดสิ้นสุด…
ปะป๊ากว้านซื้อที่ดินของแปลงที่ติดกันจนมันกลายของพวกเขาไปทั้งบล็อค
ตัวบ้านเองก็ต่อเติมจนมีอาคารแยกออกมาอีกหลายหลัง
เพราะตอนที่เขากับเฟยเฟยยังแบเบาะ
คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายก็ขยันมาเยี่ยมเยียนจนถึงขั้นอยู่เลี้ยงพวกเขาให้ตอนป๊าม้าต้องไปแข่ง
บ้านหลังเดิมหลังเล็กของพวกเราจึงไม่พออีกต่อไป
ไหนจะเจ้าพี่ชายตัวร้ายของเขาที่ชอบเห็นที่นี่เป็นที่พักระหว่างทางไปแคนาดากับดูไบนั่นอีกคน
พวกเขาต้องสร้างโรงจอดรถไว้ให้หมอนั่นอีกตั้งไม่รู้กี่คัน!
ปี๊น…
เสียงแตรที่คุ้นเคยทำให้เขาหันไปมอง
เขาเจอกับ
Ferrari
Portofino สีแดงที่หน้าบ้านพอดี
ปะป๊าขับมันไปรับหม่าม้าแบบนี้มาตั้งแต่เขาจำความได้
ถ้าจะถามว่าใครมีความรักที่น่าอิจฉาที่สุดในโลกก็คงต้องตอบว่าสองคนนี้นี่แหละ!
"หม่าม้า~" เจ้าลูกกระต่ายกระโดดผลอยลงจากจักรยานหลังจากเข้าบ้านมาได้
"อาเฟย~ มาให้หม่าม้ากอดหน่อย~" แล้วกระต่ายสองตัวก็เข้าไปนัวเนียกันอย่างกับไม่ได้เจอกันมาแรมปีทั้งๆที่เพิ่งแยกกันเมื่อเช้านี้นี่เอง…
เขากับปะป๊าได้แต่ยืนมองน้ำลายย้อยอย่างอยากจะเข้าไปร่วมวงด้วย
ก็ภาพตรงหน้าไม่ว่าจะเห็นมากี่ครั้งมันก็ยังอดเอ็นดูไม่ได้เลยนี่นา
"อี้คุนด้วย~" หม่าม้าดึงตัวเขาไปกอดก่อนจะน้วยแก้มเบาๆ
เขาชินแล้วกับการแสดงความรักออกมาตรงๆแบบนี้เลยยืนนิ่งๆให้กอดไป
"ผมล่ะ?" แล้วเขาก็ชินเช่นกันที่จะเห็นปะป๊าทวงสิทธิ์กอดของตัวเองบ้าง
ก่อนจะโดนหม่าม้าฟาดเข้าให้สักทีสองที
"ขนของเข้าบ้านไปสิ นายนี่ไม่อายลูกๆเลยหรือไง" หม่าม้าบ่นตาเขียว แต่ปะป๊ากลับยิ้มแก้มแตก
เขาช่วยปะป๊าขนของสดเข้าบ้าน
ถึงจะมีชื่อเสียงมากในวงการมอเตอร์สปอร์ตแล้วก็เป็นครอบครัวที่รวยมากแต่พวกเขากลับใช้ชีวิตกันธรรมดาๆ
พยายามทำทุกอย่างกันเอง อย่างอาหาร หม่าม้าก็เป็นคนทำเองทั้งหมดโดยมีเจ้าลูกกระต่ายคอยช่วย
ส่วนแก๊งสับแตงกวาด้วยปังตออย่างเขากับปะป๊าก็ทำสวนไปเลี้ยงเจ้าปลาเทราส์ยักษ์นั่นไป
พูดแล้วก็อย่าตกใจที่ในสวนหลังบ้านเขามีปลาเทราส์ที่ตัวใหญ่อย่างกับปลาบึกอยู่ด้วย
ไม่รู้ว่าป๊าม้าไปเอามันมาจากไหนและมันอายุเท่าไหร่แล้วกันแน่?
แต่วันนี้พิเศษหน่อย
เขากับปะป๊าจึงต้องคอยช่วยจัดโต๊ะ
"มาแล้วๆ" ปะป๊าถือจานใส่ปลาราดซอสตัวใหญ่มาจากในครัว
เขาเองก็ช่วยขยับจานอื่นๆเพื่อหาที่ลงให้กับมัน...ไม่นานอาหารก็เต็มโต๊ะ
"ยินดีด้วยนะ หวังอี้คุน!" เสียงสดใสนั้นเป็นของหม่าม้า
หลังจากที่ทั้งสี่คนมานั่งประจำที่
"ขอบคุณครับ ปะป๊า หม่าม้า นายด้วย" เขาแก้เขินด้วยการหันไปขยี้หัวเจ้าลูกกระต่าย
เขามีวันนี้ได้ก็เพราะการสนับสนุนจากครอบครัวที่อบอุ่นและเข้าใจเขา
ป๊าม้าให้กำเนิดเขาขึ้นมาและตั้งใจจะสร้างครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักจริงๆ
เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไร ทั้งสองคนจึงให้โอกาสและรับฟังเขาเต็มที่
เขาจึงไม่รู้สึกขาดสิ่งใดเลย
มื้ออาหารผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
หม่าม้ากระต่ายกับลูกกระต่ายที่อิ่มจัดจึงไปนั่งตาปรือดูโทรทัศน์อยู่ข้างอาม่าที่โซฟา หน้าที่เก็บกวาดจึงเป็นของเขากับปะป๊าเอง
"ตอนช่วงแรกๆที่ปะป๊าแข่งรถ...คุณปู่ไม่เห็นด้วยเหรอครับ?"
เขาถามผู้เป็นพ่อซึ่งยืนล้างจานอยู่ด้วยกัน
"อืม...กว่าจะยอมรับก็นานพอดู
ฉันถึงไม่อยากให้แกกับอาเฟยต้องเจอความรู้สึกแบบนั้น" เสียงทุ้มตอบราบเรียบราวกับมองเรื่องในวันวานเป็นเพียงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
"คงทรมานน่าดู…" ความรู้สึกคงเหมือนอยู่คนเดียวในโลก
ไม่มีคนข้างๆคอยรับฟังและปลอบใจในเวลาที่ต้องการใครสักคน เขานึกไม่ออกเลยว่าคนคนหนึ่งจะผ่านมันมาได้ยังไงเพราะเขาถูกพ่อยอมรับทุกอย่าง...สิ่งที่พ่อเขาเจอมาคงจะสาหัสน่าดู
"ยังดีที่มีหม่าม้าแกคอยอยู่ข้างๆ" เวลาที่ปะป๊าพูดถึงหม่าม้าทีไร
ดวงตาที่เฉยชานั่นก็มักจะอ่อนโยนเสมอ
“พวกเราถึงให้แกเกิดมาพร้อมเฟยเฟยไง แกจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว”
ใบหน้าที่คล้ายเขามากยิ้มบางๆให้และเขาก็ขอบคุณเรื่องนี้จากใจจริงๆ
เพราะมีเจ้าลูกกระต่าย เขาถึงได้เป็นเขาในแบบทุกวันนี้
"อีกคนที่ไม่อยากจะยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับแหละว่าถูกเจ้าเด็กนั่นช่วยเอาไว้…"
ปะป๊าวางจานที่ล้างแล้วลงไปบนชั้นก่อนจะพูดต่อด้วยใบหน้านิ่ง
"หวังอี้หยาง พี่ชายของแก" ...เพราะแบบนั้นพี่ชายคนนี้ถึงยังได้มีอิทธิพลต่อครอบครัวของเขาเรื่อยมา
เพราะปะป๊ากับหม่าม้ารู้สึกติดค้างอะไรบางอย่างต่อพี่อี้หยางมาตลอด
วันเสาร์ที่ไม่ต้องไปโรงเรียนและไม่มีแข่ง
F2 เขาจึงต้องอยู่บ้าน
และการจะให้เขานอนแกร่วไม่ทำอะไรนั้นมันก็ไม่ใช่วิสัยของเขาเสียด้วย
เพราะงั้นเมื่อแก๊งเพื่อนเลวแชทมาชวนไปแข่งรถเขาจึงตอบตกลงทันที
ร่างสง่าที่มีเพียงผ้าขนหนูพันท่อนล่างชะงักฝ่าเท้าเมื่อกำลังจะก้าวเข้าไปในห้องน้ำในห้องนอนตัวเอง...ลืมไปว่าฝักบัวพังยังไม่ได้ซื้อมาเปลี่ยนเลยนี่หว่า
สองขาจึงเดินไปห้องข้างๆแทน
เสียงซ่าๆที่ดังมาจากห้องน้ำทำให้รู้ว่าเจ้าลูกกระต่ายเองก็กำลังอาบน้ำอยู่เช่นกัน
แต่หวังเฟยเฟยเป็นพวกที่อาบน้ำช้าถึงช้ามากกกกก
และเขาก็มักจะรอไม่ไหวเลยมีหลายต่อหลายครั้งที่เขาบุกเข้าไปอาบน้ำด้วย
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
มือใหญ่ผลักประตูเข้าไปก่อนจะมองเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่ายืนอยู่ในห้อง
Shower
หัวสีดำนั้นเต็มไปด้วยแชมพูไหลละเรื่อยลงมาจนถึงลาดไหล่บอบบาง
เจ้าลูกกระต่ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเข้ามาเพราะฟองสีขาวที่ติดเต็มหน้า
"ขยับไปหน่อย" เขาดันแผ่นหลังขาวให้ขยับเข้าไป
เจ้าลูกกระต่ายเงี่ยหูฟังทั้งๆที่โดนดันจนตัวเซ
"อะไรเล่า โอ๊ย มองไม่เห็นแล้วเนี่ย แชมพูเข้าตาหมดแล้ว"
"นายนี่...แม้แต่อาบน้ำก็ยังมีปัญหาอีกนะเจ้าลูกกระต่าย"
เขาหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดู
มือใหญ่หันฝักบัวมาหาตัวเองก่อนจะถูสบู่เหลวไปตามกล้ามเนื้อแข็งแรง
ถึงจะเกิดมาพร้อมกันแต่ร่างกายของเขากับเจ้าลูกกระต่ายกลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ผิวสีขาวราวกับน้ำนมนั่นไม่มีแม้แต่กล้ามซักมัด
แต่มันกลับนุ่มลื่นเรียบเนียนน่าสัมผัสแทน
"ก็เพราะนายนั่นแหละ จะเข้ามาทำไมเนี่ย?" เจ้าลูกกระต่ายส่งเสียงเง้างอด
"ชั้นรีบ ขืนมัวรอนายอาบเสร็จ ชาวบ้านคงแข่งกันจบแล้ว
จะอะไรนักหนากับแค่อาบน้ำเนี่ย"
"งื้อ! ฝักบัวอยู่ไหนเนี่ย?...???" มือบางคลำหาฝักบัว
คนที่สูงกว่าจึงหยิบมันแล้วฉีดใส่หัวคนที่ยังมองไม่เห็น
"โอ๊ย ฉีดเบาๆสิ เข้าเต็มหน้าแล้ว!"
"ฮ่าๆๆๆ" เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นเจ้าลูกกระต่ายตกน้ำพยายามปัดป้องสายน้ำจากฝักบัวในมือเขา
เขาล้างฟองแชมพูออกให้เฟยเฟยรวมถึงฟองสบู่บนตัวเขาเองด้วย
เขามองร่างเปลือยเปล่าของเจ้าลูกกระต่ายที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก
คงจะมีแต่คนอิจฉาแล้วก็คงจะมีแต่คนอยากเห็นภาพที่เขากำลังมองอยู่นี้
แต่ไม่มีวันเสียหรอกที่เขาจะยอมให้ใครได้ดู
ผิวขาวอมชมพูเมื่อถูกน้ำอุ่นนี้มันเป็นของเขาคนเดียว
"อ๊า! อย่ามาลูบสิ มันจั๊กจี้!" เจ้าลูกกระต่ายเริ่มดิ้นเมื่อเขาบีบครีมอาบน้ำแล้วละเลงลงไปบนผิวกายขาวเนียน
"ขืนปล่อยให้นายอาบเอง วันนี้คงไม่เสร็จแน่ ชั้นต้องรีบไปสนาม"
"ไม่ได้ช้าขนาดนั้นซักหน่อย"
"ช้า!!" เขาฉีดน้ำใส่เพื่อล้างฟองสบู่ออกโดยไม่สนใจเสียงโวยวายจากเจ้าของร่างกายขาวผ่อง
มือใหญ่ปิดก๊อกฝักบัวก่อนจะหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาห่อตัวเจ้าลูกกระต่ายไว้ก่อนจะดันออกจากห้องน้ำ
เจ้าลูกกระต่ายยังทำหน้าฮึ่มๆใส่โทษฐานที่เขาเข้าไปขัดความสุขในเวลาอาบน้ำของเจ้าตัว
“ใส่เสื้อผ้าให้มันเร็วๆสิ ต้องเป่าผมอีก
นายนี่มันทำไมเอ้อระเหยได้ขนาดนี้นะ?” จริงๆต้องบอกว่าหวังเฟยเฟยนั้นใช้ชีวิตตามแบบลูกคุณหนูที่ถูกต้องแล้ว
เขานี่เองแหละที่ผิดแผกออกไปจากคำสั่งสอนของคุณย่าคุณยายเพราะเลือกที่จะใช้ชีวิตตามแบบพวกทีมแข่งรถมากกว่า
“ห๊ะ? ทำไมชั้นต้องรีบด้วย? ชั้นไม่ได้จะไปกับนายซักหน่อย?”
“ต้องไปสิ”
“ไม่ไป~” เสียงนุ่มร้องงอแงออกมา
เป็นอีกครั้งที่มือใหญ่ลากเจ้าลูกกระต่ายออกจากบ้านและร่างโปร่งบางก็แทบจะคลานกลับโพรงกระต่ายท่าเดียว
“นายจะอยู่คนเดียวได้ไง? เดี๋ยวทำอะไรระเบิดอีกบ้านได้วอดวายทั้งหลังกันพอดี
ใส่ซะ” มือใหญ่สวมหมวกกันน็อคให้เรียบร้อย
เจ้าลูกกระต่ายยังอิดออดแต่ก็ยอมซ้อนมอเตอร์ไซค์เขาด้วยความคุ้นชิน
สุดสัปดาห์นี้ปะป๊ากับหม่าม้าไปแข่งทั้งคู่
นานๆสองคนนั้นจะมีแข่งตรงกันสักทีถึงไม่อยู่บ้านพร้อมกันแบบนี้
เขาจึงต้องเอาเจ้าลูกกระต่ายนี่ไปด้วย พวกเราไม่เคยปล่อยให้เฟยเฟยอยู่คนเดียว
เพราะหวังเฟยเฟยนั้นมีหน้าตาน่ารักมากมาตั้งแต่เด็กแถมยังอ่อนแอเหมือนสัตว์เล็ก
ก็เลยโดนอุ้มโดนลักพาตัวโดยลุงป้าน้าอาที่ไม่รู้จักกันมาตั้งแต่เริ่มหัดเดินจนกระทั่งขึ้นอนุบาล
เรียกว่าเผลอมองอย่างอื่นไม่ได้เลย
ปะป๊ากับบอร์ดี้การ์ดต้องคอยวิ่งไล่กวดเจ้าพวกหัวขโมยนั่นแทบทุกครั้งที่พาเฟยเฟยออกไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะ
เจ้าลูกกระต่ายเลยเข็ดขยาดและจะหวาดระแวงทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้านคนเดียว
Yamaha
YZF-R1 วิ่งออกจากบ้าน บิ๊กไบต์คันใหญ่แล่นไปตามถนนที่คุ้นเคย
หวังอี้คุนนั้นใจกล้าและเท่ห์เหมือนผู้เป็นพ่อ
เพราะฉะนั้นเวลาขับมอเตอร์ไซค์จึงทำให้ใครๆเผลอเหลียวมองตามได้ไม่ยาก
มือใหญ่บิดคันเร่งให้รถพุ่งทะยานผสานไปกับสายลม
เขาเอียงตัวเข้าโค้งไปมาอย่างไม่กลัวเลยว่าจะล้มลงไป
ต่างจากเจ้าคนที่ซ้อนอยู่ข้างหลังซึ่งกำลังกอดเอวเขาแน่น
ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคจึงยกยิ้มอย่างพอใจ
เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ดังก้องไปทั้งถนนก่อนที่มันจะหายเข้าไปในสนามโกคาร์ทของมาราเนลโล่ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองมาพอสมควร
ด้วยกฎของการแข่งขันรถสูตรต่างๆในยุคใหม่ทำให้แทบจะไม่มีการลงซ้อมในสนามจริงๆกันแล้ว
เขาจะซ้อมขับF2ได้ก็ต่อเมื่อมีแข่งและใช้การซิมูเลเตอร์เอา เขาขับรถอยู่กับจอจนเบื่อแล้ว
เพราะงั้นมีเวลาเมื่อไหร่เขาจึงมักออกมาขับโกคาร์ทเล่น
เขาชอบเวลาที่ร่างกายได้สัมผัสอากาศ เขาถึงจะรับรู้ความเร็วของมันได้เต็มที่
“นึกว่านายไปแข่งซะอีก เห็นอาทิตย์นี้มีแข่งF1?” แก๊งเพื่อนเลวของเขาทักขึ้นทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ
“เปล่า สนามนี้ไม่มีF2” เขาถอดหมวกกันน็อควางไว้บนเบาะรถ
ปกติแล้วF2จะใช้สนามเดียวกันกับการแข่งF1
เพราะงั้นF1ไปแข่งที่ไหนพวกเขาก็จะไปด้วย
เพียงแต่พวกเขาจะแข่งในน้อยกว่าราวๆครึ่งนึง นั่นก็หมายความว่าจะมีบางสนามที่F1แข่งแต่F2ไม่ได้แข่ง
ก็อย่างที่บอกแหละว่าพวกเขายังเป็นแค่รุ่นเล็ก
การแข่งF2จึงแทรกอยู่ในตารางเวลาของพวกF1และจะไม่ได้วิ่งระยะยาวเหมือนพวกรุ่นใหญ่
การแข่งแต่ละรอบเขาจะวิ่งประมาณครึ่งนึงของพวกF1ได้
แต่นั่นก็ยังนับว่าเป็นงานหนักของกล้ามเนื้ออยู่ดี
“อ้าว แฟนสาวของอี้คุนก็มาด้วยเหรอ เชิญจ้ะๆ” พวกเพื่อนเลวทักอย่างเป็นกันเองเมื่อเห็นหน้าเจ้าลูกกระต่าย
เป็นเพราะถูกเขาลากมานั่งเฝ้าอยู่ข้างสนามประจำทำให้พวกเพื่อนๆของเขาต่างขนานนามให้แบบนั้น
“งื้อ! ชั้นจะฟ้องตำรวจให้หมดเลยคอยดู!” เจ้าลูกกระต่ายแยกฟันคู่หน้าขู่ก่อนจะกระแทกตัวนั่งลงไปบนม้านั่งข้างสนาม
ก็นั่นแหละ
ที่เรียกพวกมันว่าเพื่อนเลวนั่นก็เพราะเขาไม่ได้มาแข่งโกคาร์ทกันเล่นๆ แต่มาแข่งแบบมีเงินพนันมีการเดิมพันกันด้วย
จะได้ลุ้นและตื่นเต้นมากกว่าเดิม...ถึงแม้ว่าแต่ละคนที่ยืนอยู่ตรงนี้จะมีหน้าที่การงานในวงการแข่งรถที่ดีก็เถอะนะ
เขาเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนจะกลับออกมาด้วยชุดหมีสีแดงของนักขับ
ที่อกซ้ายปักตรา Ferrari
Driver Academy เอาไว้ ธงชาติจีนปักอยู่ที่เอวตามด้วยคำว่า WANG
ซึ่งเป็นชื่อของเขา
เขายื่นหมวกกันน็อคให้เจ้าลูกกระต่ายถือเอาไว้
มันเป็นหมวกคนละใบกับที่ใช้ตอนขี่มอเตอร์ไซค์ธรรมดา เพราะหมวกของพวกนักขับF1จะหนากว่าและต้องแข็งแรงกว่ามาก
มือใหญ่รวบผมด้านหน้าขึ้นไปก่อนจะดึงยางรัดผมที่ข้อมือขึ้นมามัดมันไว้กลางหัว
ถึงเขาจะทำไปตามธรรมชาติแต่ในสายตาคนอื่นกลับเท่ห์จนเจ้าพวกเพื่อนเลวโห่ร้องกันด้วยความหมั่นไส้
เขาจึงสงบปากพวกมันไปด้วยแบงก์500ยูโรหลายใบ
“โว้~ คุณชายหวังยังกระเป๋าหนักเหมือนเดิมเลยนะครับคุณชายหวัง~”
เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เพราะยังไงเดี๋ยวเงินทั้งกองนั่นมันก็ต้องกลับเข้ากระเป๋าเขาอยู่ดี
ไอ้พวกเพื่อนเลวทยอยวางเงินกันลงไปคนละใบสองใบ
ก่อนที่ต่างคนจะต่างเดินยืดแขนคลายกล้ามเนื้อไปที่รถของตัวเอง
“เอามาสิ” เขาแบมือขอหมวกกันน็อคจากเจ้าลูกกระต่าย
“ระวังด้วย…” เจ้าลูกกระต่ายมักจะยืนมองด้วยสายตาเป็นกังวลอยู่เสมอเวลาเขาแข่งรถ
เพราะถึงจะเป็นโกคาร์ทแต่พวกเขาก็ขับกันด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดาเพราะว่าทุกคนต่างก็เป็นนักขับมืออาชีพ
เขายิ้มให้เฟยเฟยพร้อมกับเอามือลูบแก้มใสเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ชั้นจะปลอดภัยกลับมาถ้านายยืนอยู่ตรงนี้” ใบหน้ามนยังมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงแต่ก็ยอมส่งหมวกให้แต่โดยดี
เขาสวมมันลงบนหมวกกันไฟก่อนจะก้าวเข้าสู่สนามด้วยจิตใจมั่นคง
เขาไม่มีวันแพ้หรอก...ต่อหน้าหวังเฟยเฟยเขาจะไม่แพ้เด็ดขาด...
เสียงรถคาร์ทสี่ห้าคันยังคงดังต่อเนื่องตลอดช่วงบ่าย
จากแสงอันแรงกล้าค่อยๆอ่อนโรยราลงเรื่อยๆเมื่อสรรพสัตว์ต่างบินกลับรัง
เงาที่เคยอยู่รอบฝ่าเท้าก็ทอดยาวออกไปเรื่อยๆ
เหล่าชายหนุ่มที่เคยรบราฆ่าฟันกันอยู่ในรถมาหลายชั่วโมงต่างก็เดินถือหมวกกันน็อคกลับมาด้วยใบหน้าชุ่มเหงื่อ
ดูจากมือที่ต่างก็ขยี้หัวหวังอี้คุนอย่างหมั่นไส้นั่นแล้วก็คงไม่ต้องบอกว่าเงินเดิมพันพวกนั้นตกเป็นของใคร
แต่ใบหน้าของทุกคนกลับยิ้มร่าเริงเมื่อได้เสียเหงื่อ
“ถ่ายรูปกัน” เพื่อนคนหนึ่งยกมือถือขึ้นมาพวกเขาจึงลงไปนั่งเรียงกันอยู่ที่ราวกั้นข้างสนามท่ามกลางพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน
“มานี่” เขาลากคอเจ้าลูกกระต่ายที่ยืนมองอยู่มาถ่ายด้วยกัน
ท่อนแขนแข็งแรงที่พาดอยู่ลำคอระหงนั้นให้ความรู้สึกที่หลากหลาย
ทั้งแสดงความเป็นเจ้าของ ทั้งหวงแหน
ทั้งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจนคนที่เห็นรูปผ่านโซเชียลถึงกับยิ้มกระตุก
เขาชอบรูปนี้...แต่ก็คงมีคนบางคนที่ไม่ชอบ
อาจจะเห็นว่าชีวิตของหวังอี้คุนนั้นช่างมีความสุขแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีเรื่องที่ต้องกังวล...และคนที่คอยกวนใจเขาก็ไม่ใช่ใครเลย...
“หวังอี้หยาง? พี่มาทำอะไรอีกแล้วเนี่ย? เพิ่งมาเมื่ออาทิตย์ก่อนเองไม่ใช่เร๊อะ?” วันดีคืนดีก็จะมีรถ4-5คันแล่นเข้ามาจอดในบ้านอย่างกับถูกมาเฟียบุก
เขามองเจ้าสิงโตวายร้ายที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกนั่นอย่างไม่ไว้วางใจ
หมอนี่มันเผลอไม่ได้ มันคอยแต่จะล่อลวงเจ้าลูกกระต่ายของเขา!
“ชั้นก็มาหาพ่อนายน่ะสิ มีเอกสารต้องให้อาเซ็นต์
ยังไงอาอี้ป๋อก็ยังมีสิทธิ์อีกครึ่งนึงในการตัดสินใจดำเนินการทางธุรกิจใดๆของตระกูลหวังอยู่แล้วนี่”
เหอะ! ข้ออ้างทั้งเพ!
“คุณปู่ก็บอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าให้พี่จัดการไปคนเดียวเลยก็ได้
แต่พี่ก็ยังไม่ยอมถอดชื่อปะป๊าออกอีก” ถึงได้ต้องคอยแวะเวียนหาเรื่องเอาเอกสารมาให้ปะป๊าเซ็นต์มันแทบจะทุกอาทิตย์ขนาดนี้!
แล้วประธานบริษัทอย่างนายก็ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้ด้วย! เขามีหรือจะไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของหมอนี่คืออะไร!
“พี่อี้หยางมาเหรอ?” เจ้าลูกกระต่ายโผล่หน้าออกมาจากห้องทำงานของหม่าม้า...นั่นไง...เป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าสิงโตวายร้ายนั่น!
“เฟยเฟย มานี่สิ ชั้นซื้อมองบลังค์เจ้าดังของฝรั่งเศสมาให้นาย”
แล้วกล่องขนมสีหวานก็ถูกยื่นมาล่อตาล่อใจ
เจ้าลูกกระต่ายที่ชอบกินแต่ขนมมีหรือจะทนได้
“ขอบคุณครับ…” มือบางไม่รับเปล่า
แก้มใสๆนั่นยังแดงระเรื่ออีก
เขามองเจ้าคนที่กอดกล่องขนมไว้ในอ้อมแขนด้วยอาการคิ้วกระตุก
“ลองเปิดดูสิ” เสียงทุ้มของนายใหญ่แห่ง Diamond
crown ที่ใช้พูดกับเจ้าลูกกระต่ายมักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ
ทั้งๆที่หมอนี่คือตัวอันตรายยิ่งกว่าใคร
อยู่บ้านเดียวกันมีหรือเขาจะไม่รู้ว่าพี่ชายทำอะไรไว้บ้าง
ฉายาเจ้าพ่อวงการค้าเพชรของหมอนี่ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเล่นๆนะ
“อื้อ” เจ้าลูกกระต่ายตอบรับก่อนจะค่อยๆเปิดกล่องขึ้นช้าๆ
แต่แทนที่จะเห็นเป็นขนมกลับเป็นตุ๊กตาสิงโตตัวน้อยติดสปริงเด้งออกมาจุ๊บปลายจมูกของหวังเฟยเฟยแทน
“เหวอ?!!” เจ้าลูกกระต่ายตกใจจนเกือบจะปากล่องทิ้งแล้วไหมน่ะ
และเมื่อดวงตาคู่โตมองดีๆว่ามันคืออะไร ใบหน้ามนก็หันไปโวยใส่หวังอี้หยางที่นั่งขำรออยู่ก่อนแล้ว
“งื้อ! พี่แกล้งผมอีกแล้ว!” มือบางฟาดผลั๊วะๆใส่คนที่นั่งอยู่บนโซฟา
ยื้อยุดกันไปมาอีท่าไหนไม่รู้แหละแต่จนแล้วจนรอดเจ้าลูกกระต่ายกลับถูกดึงไปนั่งคร่อมอยู่บนตักเค้าซะอย่างงั้น
โว้ย!!
นี่มันเกินไปแล้ว! เกินไปมาก!!
เขาตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อเจ้าลูกกระต่ายอย่างไม่ทนอีกต่อไป
มือแข็งแรงดึงหวังเฟยเฟยขึ้นก่อนจะลากออกมาให้ห่างๆเจ้าสิงโตวายร้ายนั่น
“เอ้า ของจริงอยู่นี่” คราวนี้หวังอี้หยางยื่นกล่องใส่ขนมของจริงให้พร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
หมอนี่ชอบแหย่เฟยเฟยเล่นก่อนจะลูบหลังด้วยบรรยากาศละมุนละไมแบบนี้เสมอ
ความจริงถ้าคนที่ถูกกระทำด้วยเป็นผู้หญิง
ร้อยทั้งร้อยต้องตกหลุมรักหมอนี่แน่ๆ
แต่ที่เขาอยากตื้บหมอนี่ให้ตายนั่นก็เพราะหวังอี้หยางดันทำตัวอ่อนโยนเฉพาะกับเฟยเฟยเท่านั้นน่ะสิ!
รอยยิ้มแบบนี้เอาไปให้คนอื่นทีได้ไหม เขาจะได้ไม่ต้องคอยเฝ้าเจ้าลูกกระต่ายอย่างกับจงอางหวงไข่ขนาดนี้!
“นายมีการบ้านต้องทำไม่ใช่เหรอ~ ไปทำการบ้านสิ~
เดี๋ยวไม่เสร็จก็ไม่ได้นอนกันพอดี~~” เขารีบหิ้วเจ้าลูกกระต่ายพร้อมกล่องขนมเข้าไปไว้ในห้องทำงานหม่าม้า
“ส่วนพี่ก็รออยู่กับเจ้าหมีนี่นะ เดี๋ยวปะป๊าก็มา” เขาแสยะยิ้มราวกับปิศาจส่งให้ผู้เป็นพี่ชาย
หวังอี้หยางก็ยิ้มเย็นๆก่อนจะยักไหล่นั่งจิบชาอยู่กับอาม่าในห้องรับแขกตามลำพัง
เขาลอบมองแผ่นหลังตั้งตรงที่อยู่ในชุดสูทภูมิฐานนั่นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ฮึ่ย! ต่อให้นายจะร้ายกับคนทั้งโลกแล้วดีกับอาเฟยแค่คนเดียว
ยังไงเขาก็ไม่มีวันยกเจ้าลูกกระต่ายให้แน่
ต่อให้นายจะเป็นผู้ชายที่เพอร์เฟ็คที่สุดในจักรวาลชั้นก็ไม่ยกให้!
หวังอี้หยางกลับแคนาดาไปนานแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกครุกรุ่นอยู่ในใจ
ถึงตอนนี้สายตาจะพยายามโฟกัสอยู่ที่ข้อมูลการแข่งรถที่อยู่ในหน้าจอโน้ตบุคแต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่มีสมาธิเลยจริงๆ
แกร่ก…
จนกระทั่งร่างโปร่งบางของเจ้าลูกกระต่ายเปิดประตูเข้ามา
เฟยเฟยเดินก็หอบหมอนของตัวเองมาพร้อม
เจ้าลูกกระต่ายหน้าง่วงตรงดิ่งไปที่เตียงโดยไม่ต้องพูดต้องบอกอะไร
มือบางจัดการขยับหมอนเขาก่อนจะวางหมอนตัวเองลงข้างๆเสร็จสรรพ
คืนนี้ก็จะมานอนที่นี่อีกแล้วเร๊อะ
“นี่นาย...จะไม่ให้ชั้นมีเวลาช่วยตัวเองบ้างเลยหรือไง?” เขาเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้ม
“หงึ อยากทำก็ไปทำในห้องน้ำสิ” เจ้าลูกกระต่ายหันมาเบะปากใส่ก่อนจะนอนลงไปบนเตียงเขาอย่างไม่สนใจอะไร
แล้วไม่นานดวงตาคู่โตก็ปิดลงอย่างง่ายดาย
มันไม่ได้มีโอกาสพิเศษอะไร
ไม่ได้ฝันร้ายหรือกำลังต้องการคนปลอบใจ
แต่ที่พวกเขายังเดินมานอนด้วยกันเสมอมันน่าจะเป็นเพราะความเคยชินเสียมากกว่า...การที่มีกลิ่นของอีกคนอยู่ข้างๆ
มีอุณหภูมิอุ่นๆ
มีเสียงเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายให้ได้ยิน...มันทำให้รู้สึกปลอดภัยและนอนหลับสนิท
เขาละสายตาจากใบหน้าหลับปุ๋ยก่อนจะหันมาปิดโน้ตบุค
มือใหญ่ปิดโคมไฟที่โต๊ะอ่านหนังสือก่อนจะเดินไปที่เตียง
เขาแหวกผ้าห่มก่อนจะนอนลงไปข้างๆคนหลับใหล
ดวงตายังคงเฝ้ามองวงหน้าสวยอย่างไม่คิดจะละสายตาไปไหน
ร่างกายที่หนากว่าขยับเข้าไปกอดเอวบางเอาไว้
เขาซบหน้าลงไปบนแผ่นอกแบนเรียบและการก่อกวนของเขาก็ทำให้เฟยเฟยตื่น
“หื๋อ? เป็นไร?” เจ้าลูกกระต่ายผงกหัวขึ้นมาดูก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงงัวเงีย
“นายต้องอยู่กับชั้นตลอดไปนะ เฟยเฟย” เขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัยแบบนี้ทุกครั้งที่หวังอี้หยางมาหา
“อือ…ชั้นจะไปไหนได้ล่ะ?” นายไปเองไม่ได้อยู่แล้ว แต่ชั้นกลัวแค่จะมีคนมาพานายไป
ถ้าพี่อี้หยางคิดจะทำอะไรขึ้นมา ชั้นจะสู้ไหวได้ยังไง...
“ร้องเพลงให้ฟังหน่อย…” เขากระชับอ้อมแขนก่อนจะกดใบหน้าลงไปบนแผ่นอกบางอย่างอ้อนน้อยๆ
เจ้าลูกกระต่ายเงียบไปเหมือนกำลังนึกว่าจะร้องเพลงอะไร
“I’m
telling you…” แล้วเสียงแว่วหวานก็ค่อยๆร้องออกมาเบาๆ
เจ้าลูกกระต่ายกดจมูกลงมาบนกลุ่มผมของเขา
พวกเราอยู่ใกล้กันแค่นี้...บทเพลงที่มีแต่เสียงร้องจึงสั่นเข้าไปถึงภายใน
เขาสูดกลิ่นกายของอีกฝ่ายก่อนจะทอดสายตามองแผ่นอกที่อยู่ใกล้แสนใกล้
“I
softly whisper...tonight...tonight…” ...ฉันจะบอกเธอเบาๆ
คืนนี้...ในคืนนี้...
“You
are my angel...” ...เธอคือนางฟ้าของฉัน...
“Aishiteru
yo…” ...ฉันรักเธอนะ...
“Futari
wa hitotsu ni…” ...สองเราเป็นหนึ่งเดียวกัน...
“Tonight...Tonight…”
...คืนนี้...ในคืนนี้...
“I
Just say…” ...ฉันแค่เอ่ย...
“Wherever
you are...I always make you smile…” ...ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน...ฉันจะทำให้เธอยิ้มเสมอ...
“Wherever
you are...I’m always by your side…” ...ไม่ว่าเธอจะอยู่หนใด...ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ...
“Whatever
you say...Kimi o omou kimochi…” ...ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร...ความรู้สึกที่มีให้เธอ...
“I
promise you forever right now…” ...ฉันขอสัญญา...นับจากนี้ตลอดไป...
เสียงเพลงยังคงดังต่อไปในหัวใจของเขา...พร้อมกับภาพของสองเราตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลกพร้อมกัน….
ไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่คิดถึงกันและกัน…
ภาพของเจ้าลูกกระต่ายตัวเล็กๆที่ปาเป็ดยางใส่หัวเขาเขาก็ยังจำได้...ภาพของอีกฝ่ายที่ร้องไห้งอแงเพราะเขาขี่จักรยานสามล้อหนี...ภาพที่เราก่อปราสาททรายด้วยกันตอนที่ป๊าม้าพาไปทะเลครั้งแรก...ภาพเจ้าลูกกระต่ายที่แหกปากร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนหัวขโมยโดยมีปะป๊าวิ่งไล่...ภาพหม่าม๊าจูงมือเขาข้างนึงจูงมือเจ้าลูกกระต่ายข้างนึงเข้าไปในโรงงานของเฟอร์รารี่... ภาพที่พวกเราไปวิ่งเล่นอยู่ในสนามฟิโอราโน่...ภาพที่เจ้าลูกกระต่ายขดตัวหลับอยู่บนพุงอาม่าส่วนเขาคว่ำหน้าพาดอยู่บนหัวหมีแพนด้า...ภาพที่เขากับเจ้าลูกกระต่ายนั่งซ้อนกันอยู่บนตัวถังมอเตอร์ไซค์โดยมีปะป๊านั่งจับเอาไว้...ภาพวันแรกในโรงเรียนอนุบาลที่เขาถูกเพื่อนๆตั้งให้เป็นหัวหน้าแก๊งกับเจ้าลูกกระต่ายที่จะหนีกลับบ้านท่าเดียว...ภาพวันแรกที่ป๊าม้าพาเข้าไปในสนามแข่งรถจริงๆ...ภาพวันเกิดตอนสี่ขวบที่หม่าม้าให้ชุดหมีเป็นของขวัญและพวกเราก็ใส่ไปฝึกโกคาร์ทด้วยกัน...ภาพวันที่พวกเราเข้าไฮสคูล...ภาพที่เขาไล่กระทืบผู้ชายที่มาตามจีบเจ้าลูกกระต่าย...ภาพที่เจ้าตัวร้ายคว้าดอกไม้ที่สาวๆกำลังจะยื่นให้เขาปาทิ้งไปต่อหน้าต่อตา
“Kokoro
kara aiseru hito…” ...คนที่ฉันรักจากหัวใจ…
“Kokoro
kara itoshii hito…” ...คนที่ฉันมอบให้หมดหัวใจ…
“Kono
boku no ai no mannaka ni wa itsumo kimi ga iru kara…” ...ส่วนลึกของหัวใจฉัน มีเธออยู่เสมอ...
...ภาพที่เขาอุ้มเจ้าลูกกระต่ายลงไปนั่งในรถF3คันแรกที่เขาได้ขับ….
ภาพเหล่านั้นหมุนวนอยู่ในหัวพร้อมๆกับบทเพลงที่เจ้าลูกกระต่ายร้องออกมา…
Wherever
you are…
ไม่ว่านายจะอยู่ที่ไหน…
ฉันก็จะวิ่งด้วยความเร็ว
520
กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปหานาย
I
promise you forever right now…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
520
km/hr.
Story
Never End.
ตอนเพิเศษนาคะ
อันนี้ก็เป็นแค่ตอนพิเศษษษษ 555 แบบว่ามาดูฝั่งลูกสิงโตกันบ้าง
ดูท่าทางจะลำบากแล้วพี่อี้หยางของเรา หวงมากขนาดนี้555 ส่วนคุณกวางก็พยายามห้ามตัวเองเต็มที่แบ้ว
แฝดคู่นี้เป็นแค่พี่น้อง...พี่นว้องงงงง // เอาหัวโขกกำแพงแห่งศีลธรรม
เพราะอี้ป๋อในเรื่องไม่เคยมีชีวิตวัยเด็กที่มีความสุขเลย
พอมีครอบครัวก็เลยอยากให้ลูกชายได้ใช้ชีวิตแบบเด็กธรรมดา มีเพื่อนฝูง
มีครอบครัวที่รักและพร้อมจะให้การสนับสนุน แต่งตอนนี้ไปก็อบอุ่นหัวใจไป =q=b
ส่วนเพลงตอนท้ายที่ลูกกระต่ายร้องก็เพลง
Wherever
you are
ของ one ok rock ที่เคยแปะไปเมื่อตอนก่อนๆนั่นแหละค่ะ
แปะอีกรอบอันนี้มีคำแปลด้วย กราบบบ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามมากๆนะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น