ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 520 CARAT

  

ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 520 CARAT

 

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au

: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน

: Romantic

: NC-17

 

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ

           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค

 

 

 




GLIDE : 2x4 It’s me : Special Episode :

 

“520 กะรัต

 

.

.

.

 

 

...ต่อให้ฟ้าดินสิ้นมลายหัวใจดวงนี้ก็จะมีเพียงนาย

 

 

.

.

.

 

 

เงาต้นสนนับพันนับหมื่นพาดผ่านลงไปบนพื้นเงาวับของรถเมอร์ซิเดสเบนซ์สีบรอนซ์เทา มันกำลังวิ่งออกจากป่าแห่งหนึ่งในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ที่เบาะหน้ามีชายฉกรรจ์ซึ่งแต่งกายด้วยสูทสีดำสนิท ร่างกายที่สูงใหญ่ทำให้หน้ารถดูคับแน่นอึดอัดไปหมด ต่างจากที่เบาะหลังซึ่งดูกว้างขวางเพราะมีเพียงชายหนุ่มรูปร่างสง่างามนั่งอยู่ตามลำพัง

 

“ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมไปรับน้องเอง”   เสียงทุ้มที่มีโทนเสียงสงบเยือกเย็นกรอกลงไปในโทรศัพท์มือถือในขณะที่สายตาคมกล้ายังคงทอดมองป่าสนสูงใหญ่ที่รถวิ่งผ่านไปเรื่อยๆ

 

“แข่งเสร็จแล้วจะพากลับไปส่งมาราเนลโล่ให้เรียบร้อยครับ...ครับ สวัสดีครับคุณอา"   บทสนทนาจบลงเพียงแค่นั้น นิ้วเรียวยาวกดวางสายก่อนจะมองชื่อที่บันทึกไว้ในหน้าจอด้วยรอยยิ้มบางๆ

 

 

เซียวจ้าน...เจ้าของชื่อนี้เคยเป็นรักแรกของเขา

 

 

ตอนนั้นเขายังเด็กมาก ไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร แต่เขาก็ชอบอาสะใภ้คนนี้ของเขามากจริงๆนั่นแหละ

 

หน้าจอโทรศัพท์ดับลงเขาจึงค่อยๆเลื่อนสายตาออกไปมองทิวทัศน์อันตระการตานอกหน้าต่าง ทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลหวังวัย 28 ปีนั่งไขว่ห้างอยู่ที่เบาะหลังก่อนจะนึกถึงคนที่ปลายสายฝากฝังเสียหนักหนา

 

หวังเฟยเฟยมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา เด็กคนนั้นอายุห่างจากเขาถึง13ปี ถ้าจะให้อธิบายละก็ ใช้คำว่า “ลูกกระต่าย” คงจะเหมาะสมที่สุด

 

เจ้าลูกกระต่ายนั่นเป็นลูกชายของอาเขา แต่เด็กคนนั้นไม่ได้เกิดมาตามลำพัง หวังเฟยเฟยยังมีฝาแฝดผู้พี่ด้วยอีกหนึ่งคน  ถ้าหวังเฟยเฟยเป็นเด็กที่ถอดแบบมาจากอาสะใภ้ของเขาแล้วละก็ หวังอี้คุนก็เหมือนอาแท้ๆของเขาแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว เด็กแฝดทั้งคู่เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนักบิดชื่อก้องโลกกับนักออกแบบรถมือหนึ่งของวงการฟอร์มูล่าวันที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เรียกว่าถูกจับตามองตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลกเลยทีเดียว

 

ถึงหวังเฟยเฟยและหวังอี้คุนจะเกิดมาโดยอาศัยวิทยาการทางวิทยาศาสตร์และคุณปู่ของเขาก็ไม่ยอมรับในทีแรก แต่ด้วยความที่เด็กแฝดคู่นั้นเหมือนพ่อกับแม่ราวกับแกะแถมยังน่ารักมาก ใช้เวลาไม่ทันถึงอาทิตย์ทั้งปู่ย่าตายายก็หลงหลานชายฝาแฝดกันขนาดหนัก

 

ปกติแล้วเขาจะได้เจอเจ้าเด็กแฝดคู่นั้นทุกๆปีช่วงวันปีใหม่ อาของเขามักจะพาทั้งสองคนกลับมาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าที่ปักกิ่งเสมอ จะมีก็สองสามปีหลังตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาดูแล Diamond crown เต็มตัวนี่แหละที่ไม่ได้เจอกันเลยเพราะเขามักจะติดงานกาล่าของสมาคมผู้ค้าเพชรโลกอยู่ตลอด

 

 

ครับ...ชื่อของผมก็คือหวังอี้หยาง...หลานชายเพียงคนเดียวของหวังอี้ป๋อนักแข่ง Moto GP ชื่อก้องโลกคนนั้นนั่นแหละ

 

 

จากเด็กชายตัวน้อยกลายเป็นเจ้าพ่อวงการค้าเพชรตั้งแต่อายุแค่นี้ ถึงแม้อันที่จริงเขาจะอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่เด็ก อยู่มามากกว่าสิบปี เขาเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจนี้มาตั้งแต่ยังตัวนิดเดียว พ่อเขาสอนให้ทุกอย่างและเขาก็สนุกกับมันด้วย

 

เขาชอบ...ที่จะยืนอยู่เหนือผู้คน 

 

ชอบ...ที่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุด

 

และเงินกับอำนาจก็สามารถประทานสิ่งนั้นให้กับเขาได้

 

เพราะงั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธเลยเมื่อคุณปู่บอกให้เขารับตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลหวังแทนอาของเขาซะ ให้เขาดูแลอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่านับแสนล้านของตระกูลหวังซะ

 

หวังอี้หยางจึงกลายเป็นนักธุรกิจที่รวยติดอันดับต้นๆของโลกทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง30ด้วยซ้ำ ก็จริงที่ว่าเขาอาจจะเกิดมาบนกองเงินกองทองอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาต่อยอดมันไม่ได้ เขาก็คงไม่ประสบความสำเร็จแบบนี้

 

“ถึงแล้วครับนาย”   คนขับรถเอ่ยเรียกเขาออกมาจากห้วงความคิด เขายังคงนั่งไขว่ห้างอยู่บนเบาะหลังอย่างไม่รีบร้อน ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองเงาของตัวเองที่สะท้อนผ่านกระจกหน้าต่าง

 

 

...ผู้คนมักจะบอกว่าพวกเรามีใบหน้าคล้ายๆกัน...เขา...พ่อของเขา...อาอี้ป๋อ...แล้วก็หวังอี้คุน...

 

 

“เดี๋ยวผมลงไปรับคุณหนูมาให้ก็แล้วกันนะครับ น่าจะแข่งเสร็จพอดี”   บอร์ดี้การ์ดคนสนิทที่นั่งอยู่บนเบาะหน้าเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวสักที

 

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมไปรับเอง”   เขาต้องไปรับเองอยู่แล้ว~ กว่าลูกกระต่ายจะหลุดออกจากกรงมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แถมมาคนเดียวไม่มีใครตามเฝ้าแบบนี้คงมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนี่แหละ

 

ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่ดูท่าทางบอร์ดี้การ์ดของเขาจะไม่ค่อยดีด้วยสักเท่าไหร่ เจ้าพวกนั้นทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทุกทีเวลาเห็นเขาทำหน้าแบบนี้

 

ร่างในสูทสีเทาเข้ารูปลงไปยืนอยู่ข้างรถเมื่อถึงเวลา  เด็กที่เดินออกมาจากอาคารหอประชุมซึ่งใช้เป็นที่แข่งขันทั้งหมดนั้นเป็นเด็กไฮสคูล...แว่นตาหนาเตอะ ผมเรียบแปล้ ติดกระดุมถึงคอ...ดูก็รู้แล้วว่าเจ้าพวกนี้เป็นเด็กเรียน แล้วก็ไม่ใช่แค่เด็กเรียนธรรมดาด้วยนะเพราะจะมาอยู่ตรงนี้ได้ต้องเป็นระดับท็อปของประเทศ

 

เพราะนี่คือการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับโลกยังไงล่ะ

 

และหวังเฟยเฟยก็เป็นตัวแทนของอิตาลีในปีนี้

 

ใบหน้าหล่อเหลามองหาคนที่ถูกฝากฝังให้ช่วยดูแล...และเขาก็หาตัวอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

 

ก็ท่ามกลางเด็กแว่นท่าทางคงแก่เรียนพวกนั้น มีเพียงหวังเฟยเฟยที่ไม่ได้ใส่แว่นและดูแตกต่างจากคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง

 

"หึ"   เขาหลุดหัวเราะในลำคอเมื่อเจอตัวเจ้าลูกกระต่ายที่ค่อยๆเดินออกมา...ท่าทางหวาดระแวงมองซ้ายทีขวาทีแบบนั้นยิ่งทำให้เขาถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหว

 

...ไม่เปลี่ยนไปเลยนะเจ้าเด็กนั่น

 

ทั้งๆที่มีพ่อแม่เป็นมาเฟียแห่งวงการมอเตอสปอร์ต มีพี่ชายเป็นเจ้าพ่อวงการค้าเพชร มีปู่เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ มียายเป็นเจ้าแม่แบรนด์เนมระดับโลก มีตารวยล้นฟ้า...แต่เจ้าตัวกลับใช้ชีวิตเหมือนสัตว์เล็กแทนที่จะคำรามเหมือนสิงโต

 

ถึงจะรู้สึกเสียของไปหน่อยแต่หวังเฟยเฟยที่เป็นแบบนี้กลับทำให้เขาละสายตาไม่ได้

 

"เฟยเฟย"   เสียงทุ้มเอ่ยเรียกร่างโปร่งบางที่ยังมองหาคนมารับเลิ่กลั่ก นี่ถ้าเขาไม่เรียก เจ้าลูกกระต่ายสายตาสั้นนี่จะหาเขาเจอไหมเนี่ย?

 

"พี่…"   ใบหน้ามนหมดจดที่มีความคล้ายนักออกแบบรถของเฟอร์รารี่ถึง98% หันมามองเขาก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

หวังเฟยเฟยค่อมหัวให้เขาอย่างเป็นกันเองก่อนจะวิ่งด๊อกแด๊กๆมาหา...ถึงจะสายตาสั้นมากแล้วก็เป็นเด็กเรียนแต่จะปล่อยให้ทายาทตระกูลหวังสวมแว่นตาหนาเตอะหัวกระเซอะกระเซิงวันๆใส่แต่ชุดหมีสีแดงแบบคนเป็นแม่ที่แก่และดื้อเกินจะเยียวยาได้ยังไง 

 

เพราะฉะนั้นทั้งคุณย่าของเขาและคุณยายบ้านเซียวถึงได้คอยจับเจ้าหลานแฝดคนเล็กที่ยังเด็กและว่านอนสอนง่ายแต่งเนื้อแต่งตัวราวกับเป็นตุ๊กตาอยู่เสมอ สภาพแบบเด็กเนิร์ดจึงแทบไม่มีอยู่บนตัวหวังเฟยเฟยเลยแม้แต่น้อย

 

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาสง่างามสมวัยสมแล้วที่เป็นคุณหนูเล็กของตระกูลหวัง ถึงจะแต่งตัวตามแฟชั่นแต่ก็เป็นแฟชั่นที่มีรสนิยม ดูสูงค่าราคาแพงราวกับเพชร

 

ทว่า ถึงแม้จะไม่ได้สวมแว่นตาหนาเตอะแต่เชื่อเถอะว่าหวังเฟยเฟยนั้นถอดแบบมาจากอาสะใภ้ของเขาเป๊ะๆ ทั้งรูปร่าง หน้าตาและนิสัย เหมือนอาเซียวจ้านของเขาแบบสุดๆ

 

แล้วยิ่งโตก็ยิ่งเหมือน...เหมือนเสียจนเขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาแท้ๆของเขากับเจ้าแฝดคนพี่ถึงได้หวงนักหวงหนา นี่ถ้าไม่ติดธุระจริงๆคงไม่มีทางปล่อยให้ใครดูแลแทนแน่ๆ

 

วันนี้อาสะใภ้แข่ง F1 อยู่ที่รัสเซีย...อาอี้ป๋อแข่ง Moto GP อยู่ที่ญี่ปุ่น...หวังอี้คุนที่เป็นเด็กฝึกจากเฟอร์รารี่อาคาเดมี่ก็ต้องไปแข่งฟอร์มูล่าทูหรือ F2 อยู่ที่รัสเซียเช่นกัน อายุย่าง16ปีแค่นั้นแต่เด็กนั่นก็ทำผลงานได้ดีทีเดียว อนาคตที่จะได้เป็นนักขับ F1 คงไม่ใช่ความฝัน

 

ก็นั่นแหละ...ไม่มีใครว่างเลย

 

โอกาสอันหาได้ยากนี้ถึงได้ตกเป็นของเขา

 

เพราะปกติแล้วไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องมีพ่อแม่หรือพี่ชายฝาแฝดไปด้วยตลอด ถึงจะมีบอร์ดี้การ์ดคอยประกบแต่ลูกกระต่ายที่ไม่เคยไปไหนมาไหนคนเดียวคนทั้งบ้านก็เลยอดห่วงไม่ได้

 

ยังดีที่ฟิสิกส์โอลิมปิกปีนี้แข่งในแคนาดา เขาจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่อาสะใภ้พอจะไว้ใจฝากให้ดูแล...ส่วนคนเป็นพ่อกับเจ้าแฝดพี่นั่นก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ...ประมาณว่าสัตว์กินเนื้อย่อมได้กลิ่นสัตว์กินเนื้อด้วยกันเองอะไรแบบนั้น สองคนนั่นถึงได้ไม่ค่อยลงรอยกับเขาเท่าไหร่

 

เขาพยักหน้าให้การ์ดของเจ้าลูกกระต่ายที่คุ้นเคยกันดีก่อนจะหันไปบอกหวังเฟยเฟย  "กลับบ้านกันเถอะ"

 

ครับ…”

 

 

 

 

 

เปล่าหรอก เขาไม่ได้พาเจ้าลูกกระต่ายกลับไปส่งอิตาลีในวันนี้หรอก เพราะดูเหมือนการแข่งขันจะแบ่งเป็นสองวัน วันแรกแข่งภาคทฤษฎี วันที่สองปฏิบัติ เขาก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดนักแต่อาสะใภ้บอกเอาไว้ว่าเด็กนั่นต้องค้างคืนที่นี่อย่างน้อยหนึ่งคืน

 

เขาลอบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆผ่านเงาสะท้อนบนกระจก ผิวพรรณชั้นดีนั่นยังขาวราวกับหิมะไม่เปลี่ยน อาจจะเป็นเพราะขาวมากปลายจมูกโด่งรั้นเล็กๆนั่นถึงได้แดงระเรื่อง่ายเวลาที่เจออากาศเย็น แล้วเวลาเผลอๆริมฝีปากอวบอิ่มก็มักจะเผยอออกจากกันจนมองเห็นฟันกระต่ายคู่หน้า ดวงตากลมโตก็มักจะจดจ้องอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ อย่างเช่นตอนนี้...ดวงตาที่สวยงามคู่นั้นกำลังมองตามป้ายบอกทางที่รถวิ่งผ่านและร่างโปร่งบางก็เริ่มมีอาการลุกลี้ลุกลนจนเขาต้องแอบหันมายิ้มอีกทาง

 

เขากำลังรออยู่เลย...ว่าจะรู้ตัวเมื่อไหร่

 

เจ้าลูกกระต่ายทำหน้าเหมือนจะหันมาถามแต่ก็หันกลับไป ดวงตาคู่โตมองป้ายบอกทางอีกรอบด้วยสีหน้ากังวลแล้วเม้มริมฝีปากราวกับตัดสินใจได้ก่อนจะหันมาหาเขา แล้วก็หันกลับไปในชั่ววินาที...วนเวียนอยู่แบบนี้จนเขากลั้นหัวเราะจนเจ็บท้องไปหมด

 

เพราะถึงจะรู้จักกันดีและนับว่าเป็นพี่น้องที่ไปมาหาสู่กันพอสมควร...แต่ที่จริงแล้วเจ้าลูกกระต่ายนั่นกลัวเขา...

 

คงจะเป็นสัญชาตญาณของกระต่ายที่รู้ตัวว่าถูกสิงโตจ้องอยู่? เฟยเฟยจึงมีท่าทางหวาดระแวงทุกครั้งที่อยู่กับเขาสองต่อสอง

 

แต่ก็นั่นแหละ ในขณะที่คนทั้งบ้านคอยประคบประหงมราวกับไข่ในหินกลับมีเพียงเขาที่คอยแอบแหย่แอบแกล้งเจ้าลูกกระต่ายนี่มาตั้งแต่เด็ก จะกลัวเขาก็ไม่แปลก

 

ไหนพี่...บอกหม่าม้าผมว่าจะพากลับบ้านที่แวนคูเวอร์ไม่ใช่เหรอครับ...แต่นี่ไม่ใช่ทางเข้าเมืองนี่ครับ…”   ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าถามออกมาจนได้  ถึงจะดูอ่อนแอเหมือนสัตว์เล็กแต่ก็นับว่าเจ้าลูกกระต่ายนี่ฉลาดและหูตาไวเอาเรื่อง ขนาดอยู่ในถิ่นที่ไม่คุ้นเคยก็ยังรู้อีกแหน่ะว่าเขากำลังพาออกนอกเส้นทาง

 

ก็ไม่ใช่น่ะสิ...เพราะคืนนี้...ชั้นจะลักพาตัวนายไปฆ่าหมกป่า”   เขาแกล้งหันไปขู่ แต่เจ้าลูกกระต่ายกลับสะดุ้งโหยงอย่างคิดเป็นจริงเป็นจัง ร่างผอมบางถอยครูดจนติดประตูรถอีกฝั่งจนเขาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว

 

“ฮ่าๆๆๆ”   ก็ดูสิ แกล้งแล้วน่ารักขนาดนี้ใครจะไม่อยากแกล้ง

 

งื้อ!!”   พอรู้ตัวว่าถูกแกล้งก็หันมาทำหน้าดื้อใส่ ใบหน้างอนๆสะบัดกลับไปจ้องถนนเขม็งตามเดิม ในหัวซับซ้อนนั่นคงกำลังจดจำเส้นทางสินะ? เผื่อว่าถ้าเขาพาไปฆ่าจริงๆจะได้หนีได้?

 

เขามองใบหน้าจริงใจนั่นอย่างเอ็นดู อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ต้องจำหรอก เพราะไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็หนีไปจากเขาไม่พ้นอย่างแน่นอน

 

ไม่ว่าจะตอนนี้...หรือตอนไหน...

 

 

 

 

เมอร์ซิเดสเบนซ์สีบรอนซ์เทาวิ่งเข้าไปในถนนที่มีแต่ป่าและป่า แล้วยิ่งไกลขึ้นเท่าไหร่ต้นสนที่ล้อมรอบกายก็มีแต่จะยิ่งสูงใหญ่มากขึ้นเท่านั้น

 

ในขณะที่เขาเอนหลังพิงเบาะอย่างสบายใจ เจ้าลูกกระต่ายกลับเลิ่กลั่กไปหมดแล้ว เขาไม่บอกหรอกว่านี่ก็คือทางกลับบ้านเช่นกันเพราะปฏิกิริยาแบบนั้นก็น่ารักดี

 

เขามีบ้านอยู่ที่แวนคูเวอร์หลายหลัง ส่วนใหญ่พวกที่อยู่ในเมืองก็เอาไว้บังหน้าและใช้เจรจาธุรกิจ อย่างบ้านหลังที่ครอบครัวของเจ้าลูกกระต่ายเคยมาพักก็ใช่ หวังเฟยเฟยถึงได้คิดว่าเขาจะพาไปบ้านหลังนั้นเพราะเข้าใจว่ามันเป็นบ้านที่เขาอยู่ประจำ

 

แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่

 

บ้านที่เขาอยู่จริงๆนั้นเขาไม่เคยพาใครเข้าไป...มันเป็นเหมือนเซฟเฮ้าส์  มันถูกซุกซ่อนอยู่ในเงาสนสูงใหญ่ของป่าในแคนาดา มันถูกตัดขาดจากโลกภายนอกพอสมควรเพราะไม่มีบ้านหลังอื่นอยู่ใกล้ มันปลอดภัยเพราะไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน

 

และคนแรกที่เขาจะพาไป...ก็คือเจ้าลูกกระต่ายที่กำลังนั่งสวดภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่ข้างๆนี่แหละ

 

ใบหน้าหล่อเหลาส่ายน้อยๆทั้งๆที่ยังอมยิ้ม นักสืบและศัตรูของเขาต่างหาบ้านหลังนี้กันแทบเป็นแทบตาย แต่เจ้าคนที่กำลังได้รับเกียรติให้เข้าไปกลับนั่งหลับตาปี๋สวดอะไรงึมงำๆเนี่ยนะ? เขาอารมณ์ดีจริงๆนั่นแหละเวลาอยู่กับเด็กนี่

 

“เอ้า ถึงแล้ว จะลงมาเองหรือจะให้ชั้นอุ้ม?”   เขาเอ่ยเรียกเมื่อรถจอดสนิทแต่เป็นเพราะยังสวดมนต์อยู่เจ้าคนข้างๆถึงได้ไม่รู้ตัวเลยว่าถึงที่หมายแล้ว

 

“ถะ ถึงแล้วเหรอ? ผะ ผม ลงเองได้...”   เจ้าลูกกระต่ายค่อยๆแหย่ขาออกจากรถก่อนจะค่อยๆก้าวลงมาด้วยท่าทางระแวดระวัง คิ้วเรียวขมวดมุ่นส่วนดวงตาคู่โตก็กวาดมองไปรอบๆราวกับกำลังหาทางหนีทีไล่ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งขำ

 

ก็มันมีอะไรน่ากลัวเสียที่ไหนล่ะ ที่ที่พวกเรายืนอยู่ก็เป็นเพียงบ้านสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่หลังหนึ่งก็เท่านั้นเอง

 

“อ้าว  ก็บ้านนี่นา?...??”   เสียงใสเอ่ยออกมาอย่างแปลกใจก่อนจะมองสำรวจบ้านที่สร้างอย่างกลมกลืนกับต้นไม้และป่าเขา

 

“ก็บ้านน่ะสิ นายคิดว่าเป็นที่ไหน?”

 

“ก็พี่บอกว่าจะพาผมมาฆ่า...ผมก็นึกว่าจะเป็นหน้าผา...อะไรแบบนั้น...”   เขาส่ายหน้าก่อนจะเดินนำเข้าบ้าน เจ้าลูกกระต่ายยู่หน้าเมื่อคิดว่าถูกเขามองว่าไร้สาระก่อนจะรีบเดินตาม...กลัวเขา แต่ก็กลัวอย่างอื่นด้วยเลยไม่ยอมห่างจากเขา จะมีใครน่ารักได้เท่านี้อีกไหม

 

เขาเดินผ่านห้องที่มีโซฟาเบดตัวใหญ่ยาวเกือบเต็มห้อง บ้านหลังนี้ไม่มีห้องรับแขกเพราะเขาไม่คิดจะเชิญใครมาที่นี่ เขาจึงเปลี่ยนเป็นห้องนั่งเล่นแทนและเขาก็มักจะใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้ ทั้งทำงาน พักผ่อน นอนดูโทรทัศน์ ผนังด้านหนึ่งจึงเป็นชั้นหนังสือและเตาผิง ส่วนผนังฝั่งตรงข้ามเป็นหน้าต่างกระจกทั้งผนัง ตั้งแต่พื้นจรดฝ้าไม่มีสิ่งใดมาบดบัง มันสร้างยื่นเข้าไปในลำธารที่ไหลผ่านข้างบ้าน เบื้องหลังยังเต็มไปด้วยป่าสนที่ขึ้นแทรกไปกับแนวโขดหิน กิ่งและใบของพวกมันแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน นับเป็นห้องที่วิวอลังการมากทีเดียว

 

เจ้าลูกกระต่ายยืนมองตาค้าง ประกายวิบวับๆในดวงตาคู่โตไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเด็กนั่นชอบห้องนี้มากแค่ไหน เขาจึงยกยิ้มอย่างพอใจ คิดถูกแล้วจริงๆที่จ้างลูกศิษย์ของแฟรงค์ ลอยด์ไลท์มาออกแบบบ้านหลังนี้ให้

 

เขาเดินต่อไปยังห้องด้านใน บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียว แต่แต่ละห้องก็ไล่สเต็ปลดหลั่นกันลงไปเพื่อให้ทุกห้องมองเห็นวิวจากลำธารได้หมด และทุกครั้งที่เขาเดินนำลงบันไดที่มีเพียงสองสามขั้น เจ้าลูกกระต่ายก็จะเดินชนหลังเขาได้ทุกครั้งเช่นกัน

 

 

ตุบ...

 

 

“อื้อ...ขอโทษครับ...”   อีกแล้ว? เขาเหลือบมองร่างโปร่งบางที่ขยับถอยหลังก่อนจะยกมือลูบหน้าผากตัวเอง เขาไม่ได้ว่าอะไร เจ้าลูกกระต่ายอาจจะไม่คุ้นกับบ้านที่มีสเต็ปแปลกๆแบบนี้?

 

ทั้งๆที่คิดว่าจะเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แต่นอกจากแผ่นหลังของเขาแล้ว เจ้าลูกกระต่ายยังเดินชนขอบประตู ตู้ เตียงและอีกสารพัด...แบบนี้มันไม่ธรรมดาแล้วไหม?

 

 

ตุบ...

 

 

“หื๋อ???”   เดินชนเสร็จยังจะยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆอีกแน่ะ เหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชนอะไรเข้าไป

 

“นาย...มองไม่เห็นเหรอ?”    เขาถามตรงๆทำให้อีกฝ่ายจำต้องสารภาพด้วยท่าทางอายๆ

 

“...ผมทำคอนแทคเลนส์หลุดหาย...ก็เลยมองไม่ค่อยเห็น...แต่ก็เห็นนะ! แบบเบลอๆหน่อย...”    ………เป็นลูกกระต่ายที่น่าเป็นห่วงจริงๆนั่นแหละ จะมีชีวิตรอดจนโตเต็มวัยไหมสภาพนี้  ไปทำอิท่าไหนให้คอนแทคเลนส์มันหลุดหายได้เนี่ย?

 

มีคอนแทคสำรองรึเปล่า?”  เสียงทุ้มเอ่ยถาม หวังเฟยเฟยส่ายหัวไปมา

 

แต่ผมมีแว่นนะ”  

 

“แล้วแว่นนายอยู่ไหน?”

 

“น่าจะอยู่ในกระเป๋าเดินทางมั้งครับ แต่ผมมองไม่เห็น”   เจ้าลูกกระต่ายตาบอดเอ้ย...

 

“เกาะแขนชั้นไว้ เดี๋ยวขาก็เขียวหมดหรอก”   เจ้าลูกกระต่ายขยับมา “กอดแขน” เขาไว้ตามความเคยชิน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ใช่ป๊าม้าหรือพี่ชายฝาแฝดของตัวเองจึงค่อยๆคลายอ้อมแขนออกกลายเป็นเกาะแขนเขาเฉยๆก่อนจะหัวเราะแหะๆ

 

ขายาวก้าวไปช้าๆ กลิ่นกายหอมหวานลอยมาแตะจมูกเมื่ออยู่ใกล้กัน กลิ่นเหมือนลูกกวาดขนาดนี้ยิ่งทำให้น่ากินเข้าไปใหญ่ เขาควรจะต้องบอกคุณย่าให้เปลี่ยนโคโลญจน์ให้เฟยเฟยใหม่ ขนาดเขายังแทบจะหน้ามืดแล้วคนอื่นจะทนไหวได้ยังไง

 

“ถึงแล้ว ห้องของนาย”   เขาพาเจ้าลูกกระต่ายไปยังห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนอนของเขา กระเป๋าเดินทางถูกพ่อบ้านยกมาให้เรียบร้อยแล้วเขาจึงถือวิสาสะเปิดให้

 

“เอาแว่นไว้ตรงไหน?”   กระเป๋าเดินทางถูกจัดมาอย่างเรียบร้อยเหมือนคนเดินทางบ่อยๆเป็นคนจัด

 

“ไม่รู้อ่ะ?”   ซึ่งไม่น่าใช่เจ้าลูกกระต่ายนี่แน่...เพราะแม้แต่แว่นยังไม่รู้ว่าใส่ไว้ตรงไหน

 

“ให้ผมโทรถามอี้คุนไหม?”   อ่อ...เจ้าแฝดพี่จัดกระเป๋าให้สินะ 

 

เขากวาดตามองเสื้อฮู้ดหูกระต่ายสีแดงที่ถูกพับไว้อย่างนึกเอ็นดู ตอนกลับปักกิ่งช่วงปีใหม่ เขามักจะได้เห็นหม่าม้ากระต่ายกับลูกกระต่ายใส่ชุดนอนฮู้ดสีแดงของเฟอร์รารี่เดินไปเดินมาอยู่ในบ้านกันสองคน มันเป็นภาพที่น่ารักมาก

 

ไม่นานนักเขาก็เจอกล่องใส่แว่นราวกับคนจัดกระเป๋าตั้งใจให้มันหาง่ายๆ หวังอี้คุนคงจะรู้สินะว่าเจ้าลูกกระต่ายสายตาสั้นอาจจะทำคอนแทคหายแล้วก็ต้องมาควานหาแว่นในกระเป๋าเดินทางแบบนี้

 

“เจอแล้ว”   เขาหยิบแว่นกรอบหนาสีแดงส่งให้เจ้าคนที่นั่งอยู่ปลายเตียง

 

“ขอบคุณครับ...”   พอใส่แว่นเท่านั้นแหละ มาดคุณชายเล็กของตระกูลหวังก็หายวับกลับไปเป็นเจ้าเด็กเนิร์ดเหมือนแม่ขึ้นมาทันที

 

เขาปล่อยหวังเฟยเฟยง่วนอยู่กับตำราฟิสิกส์เล่มใหญ่ที่แค่เห็นเขาก็ปวดหัวแล้ว เขาไม่สนใจหลักอากาศพลศาสตร์อะไรนั่นหรอก เขาสนใจแค่ตัวเลขมูลค่าอสังหาริมทรัพย์กับเหมืองเพชรของเขามากกว่า

 

ร่างสง่าเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น สูทถูกถอดพาดไว้บนโซฟา มือใหญ่คลายเนคไทขณะที่เดินไปยืนอยู่กลางหน้าต่างผืนใหญ่ สีเขียวสดของป่าสนทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นายใหญ่แห่ง Diamond crown จึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

 

“เจอตัวรึยัง?”   เสียงที่กรอกใส่โทรศัพท์นั้นเย็นเฉียบฟังดูก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี นี่ขนาดหวังเฟยเฟยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมากแล้วนะ ไม่อย่างนั้นปลายสายคงจะโดนหนักกว่านี้

 

“จับตัวได้แล้วครับนาย”   ปลายสายรีบตอบกลับมาอย่างกลัวโทษ

 

“ดี เอามันไปขังไว้ที่ทะเลทรายอาหรับ...แล้วก็อย่าให้มันตายเสียก่อนล่ะ ผมจะไปจัดการเอง”   มือใหญ่กดวางสายพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงไปบนโซฟา เขาก็ไม่ได้อยากจะทำเรื่องโหดร้ายพวกนี้เสียหน่อย ถ้าทุกคนอยู่กันดีๆ ทำหน้าที่ของตัวเองไป เขาจะต้องกลายร่างเป็นซาตานแบบนี้ไหม

 

แต่ก็อย่างว่าแหละ ของที่เขาถือครองอยู่มันก็ราคามหาศาลเสียด้วย ใครก็อยากจะขโมย

 

ดวงตาคมกล้าทอดมองตุ๊กตากระต่ายเซรามิกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา...ใช่สิ ใครๆก็อยากจะขโมย “เพชร” ของเขาทั้งนั้น...แน่นอนว่าพวกมันไม่มีทางทำได้

 

ถึงจะดูเหมือนคุณชายและเป็นสุภาพบุรุษแต่เขาก็โหดกว่าพ่อเขาเยอะ ใครจะทรยศเขาไม่ว่า แต่อย่ามายุ่งกับ “เพชร” ของเขา เพราะงั้นพวกที่ยักยอกเพชรจึงไม่ตายดีสักคน

 

แค่นึกถึงก็หงุดหงิดแล้ว ร่างสูงสง่าจึงลุกขึ้นอย่างตั้งใจจะเดินไปคลายเครียด...แน่นอนว่าเป้าหมายของเขาก็คือห้องของเจ้าลูกกระต่ายนั่นแหละ

 

 

 

 

 

 

แต่ก่อนที่มือใหญ่จะได้เคาะลงไปบนประตูห้อง ก็มีเสียงพูดคุยลอดออกมา ฝ่ามือเลยชะงักเพราะบทสนทนานั้นดูเหมือนจะมีเขาเข้าไปเกี่ยวด้วย?

 

แพลนกล้องไปรอบๆห้องซิ”   เสียงหวังอี้คุน? เจ้าเด็กแฝดวีดีโอคอลคุยกันอยู่สินะ

 

งื้อ! แพลนมาสามรอบแล้วนะ นายจะดูอะไรนักหนา!”   

 

นายไม่กลัวรึไงเจ้าลูกกระต่าย!

 

กลัวสิ อย่ามาขู่นะ!”    

 

กลัวก็รีบๆแพลนกล้องให้ชั้นดูรอบห้องนายเดี๋ยวนี้! มีใครแอบอยู่นอกหน้าต่างรึเปล่า?!”    เขาถึงกับหัวเราะในลำคอ เวลาเจ้าเด็กแฝดคุยกันจะเหมือนทะเลาะกันอยู่ตลอดแหละ แต่ไม่ต้องห่วง พี่น้องคู่นี้รักกันดีแล้วก็หวงกันมากด้วย ต่างฝ่ายเลยต่างไม่เคยมีแฟนเพราะโดนแฝดอีกคนราวีจนไม่มีใครกล้าจีบหรือยุ่งด้วย

 

พอใจรึยัง! นายคิดว่าจะมีใครกล้าบุกบ้านของหวังอี้หยางรึไง? หมอนั่นสั่งขังใครก็ไม่รู้อ่ะเมื่อกี้ชั้นแอบได้ยินมา พี่ชายพวกเราต่างหากที่น่ากลัวกว่าใคร!”    หึ...เขากลั้นขำจนไหล่สั่น เจ้าลูกกระต่ายตัวแสบนั่นแอบได้ยินด้วยเหรอเนี่ย สงสัยคราวหน้าต้องเข้าไปคุยในห้องนอนซะแล้ว

 

ก็หมอนั่นแหละที่นายควรจะกลัว! จะโดนจับกินยังไม่รู้ตัวอีก! ล็อคประตูรึยัง?”

 

งื้อ! นายอย่ามาขู่สิ! แล้วก็ประตูบ้านนี้ก็แปลก ไม่มีที่ล็อคซักบาน แล้วนายโง่รึเปล่า ชั้นอยู่ในบ้านหมอนั่นล็อคประตูไปจะมีความหมายอะไรเล่า เจ้าของบ้านจะไม่มีกุญแจได้ไง

 

ถ้าชั้นโง่ คนฉลาดๆอย่างนายก็เตรียมถูกกินได้เลย!

 

แง๊! นายยังเป็นคนอยู่มั๊ย ห๊ะ นายยังเป็นคนอยู่รึเปล่า?!”

 

แกล้งอะไรน้องอีกแล้วอี้คุน?”    เสียงนุ่มๆที่แทรกเข้ามานั้นเขาจำได้ดีว่ามันเป็นเสียงใคร...อาสะใภ้ของเขานั่นเอง

 

หม่าม้า~”

 

อาเฟย~ ไหน~ มาให้กอดหน่อย~”   แค่ได้ยินเสียงอยู่ตรงนี้เขาก็ยิ้มตามแล้ว ถ้าคุณเคยเห็นสองแม่ลูกนั่นกอดกันเหมือนกำลังฟัดตุ๊กตาหมีแพนด้าอยู่ คุณก็จะรู้เลยว่ามันน่ารักน่าเอ็นดูขนาดไหน น่าอิจฉาอาอี้ป๋อชะมัด

 

เป็นไงบ้าง ทำข้อสอบได้ไหม? พรุ่งนี้แข่งภาคปฎิบัติก็สู้ๆนะกระต่ายน้อยของหม่าม้า

 

อื้อ

 

พี่อี้หยางดูแลลูกดีอยู่ใช่ไหม?”

 

อื้อ พี่มารับด้วยตัวเองเลย

 

ดีแล้ว แล้วก็อย่าไปก่อเรื่องให้พี่เค้านะเจ้าตัวแสบ

 

รู้แล้วน่า...คนชอบก่อเรื่องมันอี้คุนต่างหาก

 

ว่าไงนะเจ้าลูกกระต่าย! นายไม่ใช่รึไงที่ทำห้องทำงานหม่าม้าระเบิดเมื่อวันก่อนน่ะ!

 

“.........ผมจะนอนแล้ว หม่าม้าราตรีสวัสดิ์น้า ม๊วฟๆ

 

ครับ ฝันดีน้า ม๊วฟๆ

 

เฮ้ อย่าหนีนะเจ้าลูกกระต่ายตัวร้าย-ติ้ด-”    บทสนทนาถูกตัดไปราวกับหนีความผิด เขายืนอมยิ้มมองลูกบิดประตู...ที่จริงแล้วหวังเฟยเฟยถือเป็นตัวแสบคนนึงเลยทีเดียว ถึงได้บอกไงว่าเหมือนอาสะใภ้ของเขามาก

 

ต่อหน้าก็เหมือนจะว่านอนสอนง่ายให้ทำอะไรก็ทำ แต่ก็จะมีความดื้อเล็กๆแล้วก็ชอบแอบไปทำไปทดลองอะไรตามที่ตัวเองคิดว่าถูกนั่นแหละและหลายๆครั้งมันก็ทำเอาป่วนไปหมด

 

 

 

 

 

 

 

ยามเมื่อความมืดมาเยือน ป่าสนที่ห่างไกลจากผู้คนก็ยิ่งเงียบสงัดมากขึ้น

 

นายใหญ่ของบ้านยังคงนั่งอ่านเอกสารอยู่ในห้องนั่งเล่น ดวงตาคมกล้าไล่ไปตามตัวหนังสืออย่างถี่ถ้วน เขาไม่เคยปล่อยให้รายละเอียดใดๆตกหล่นไป เพราะแค่ความผิดพลาดเล็กๆก็อาจจะทำให้ยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลหวังและ Diamond crown สะดุดล้มได้

 

ยิ่งตอนนี้เขากำลังสนใจธุรกิจใหม่ เรื่องที่ต้องศึกษาจึงมีมากมาย

 

เขาอาจจะเป็นนักแข่งรถไม่ได้ เป็นวิศวกรหรือนักออกแบบรถไม่ได้...แต่เขาก็เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การจัดแข่งรถได้ถ้ามีเงินมากพอ

 

แฟ้มกรณีศึกษาของบริษัทลิเบอร์ตี้มีเดียเจ้าของลิขสิทธิ์การจัดการแข่งขันฟอร์มูล่าวันแต่เพียงผู้เดียวจึงกองระเกะระกะเต็มโต๊ะ...เขายังอยู่ในช่วงศึกษา เพราะเขาไม่รู้ว่าหวังเฟยเฟยจะเลือกทางไหน...F1 หรือ Moto GP

 

 

ฟึ่บ!!

 

 

แต่แล้วจู่ๆห้องที่เคยสว่างไสวก็มืดสนิท เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เปิดไว้ก็หยุดลงเช่นกัน...ไฟดับ?

 

“เกิดอะไรขึ้น?”   เขาหันไปถามบอร์ดี้การ์ดคนสนิทที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง

 

“ไฟดับครับ กำลังเปลี่ยนไปใช้เครื่องปั่นไฟสำรอง รอสักครู่นะครับนาย”    ใบหน้าหล่อเหลาพยักอย่างเข้าใจ ที่นี่อยู่ในป่าและทางขึ้นเขาก็เป็นแค่ถนนเส้นเล็กๆ เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละตั้งแต่ดินถล่ม ต้นไม้ล้ม รถชนเสาไฟเพราะมันมืด ไฟจึงดับอยู่บ่อยๆจนเขาต้องติดตั้งเครื่องปั่นไฟไว้ใช้เอง

 

มือใหญ่วางเอกสารลงบนโต๊ะอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้มีเพียงแสงสะท้อนจากดวงดาวที่ส่องสกาวเข้ามาในบ้านทำให้ยังพอจะมองเห็นอะไรอยู่บ้าง เขานึกอะไรบางอย่างก่อนจะเอ่ยบอกการ์ด

 

“สักยี่สิบนาทีค่อยเปิดระบบไฟสำรองก็แล้วกัน”   บอร์ดี้การ์ดทำหน้างงแต่ก็ทำตามคำสั่ง ร่างสูงใหญ่หันไปสั่งการผ่านหูฟัง ส่วนเจ้าของบ้านกลับลุกเดินออกจากห้องนั่งเล่นมาแล้ว

 

ไหนๆก็อ่านเอกสารต่อไม่ได้ เดินไปดูเจ้าลูกกระต่ายเสียหน่อยดีกว่า

 

 

ก๊อกๆ

 

 

เขาเคาะประตูแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ อย่างลูกกระต่ายนั่นยังไม่น่าจะหลับตอนนี้? มือใหญ่จึงหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไป บ้านหลังนี้เขาตั้งใจจะเอาไว้เลี้ยงลูกกระต่ายอยู่แล้วจึงไม่ติดทั้งอุปกรณ์ล็อคหรือกลอนใดๆทั้งสิ้น

 

ภายในห้องไม่ถือว่ามืดสนิทเพราะหน้าต่างกระจกผืนใหญ่นั่นรับแสงจันทร์เข้ามา เขาจึงมองเห็นว่าเจ้าลูกกระต่ายยังไม่หลับแต่กลับนอนคลุมโปงสวดงึมงำอะไรอยู่บนเตียง

 

“หึ...”    เขาถึงกับหลุดหัวเราะกับความน่ารักน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย กลัวผีงั้นเหรอ? หรือว่ากลัวความมืด?

 

เฟยเฟย”   พอเขาเอ่ยเรียก หัวสีดำจึงค่อยๆโผล่ออกมาจากผ้าห่ม ดวงตากลมโตค่อยๆเหลือบมองเขา ท่าทางหวาดระแวงนั่นมันทำให้เขาลอบยิ้ม เลี้ยงมาอีท่าไหนถึงได้น่าแกล้งขนาดนี้นะอาของเขา

 

ร่างสูงสง่าก้าวขาไปนั่งลงที่ขอบเตียง เขานั่งมองป่าสนดำมืดนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่ไปเรื่อยๆโดยไม่ได้พูดอะไร เจ้าลูกกระต่ายที่โผล่หัวจากผ้าห่มมาเพียงครึ่งหน้าก็ได้แต่มองเขาตาแป๋วโดยไม่พูดอะไรเหมือนกัน

 

ร่างที่อยู่ในโปงผ้าห่มค่อยๆขยับมาหาเขาทีละคืบ  เดี๋ยวขยับ เดี๋ยวหยุด เดี๋ยวขยับ เดี๋ยวหยุด อยู่แบบนั้นจนในที่สุดที่สีข้างของเขาก็รับรู้ถึงไออุ่นที่แนบชิดเข้ามา

 

ริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆ...การจู่โจมในทันทีจะทำให้ลูกกระต่ายตื่นตระหนกตกใจแล้วหนีไป เขาจึงค่อยๆล่อลวงให้เข้ามาหาเขาเอง แบบนี้ต่างหากคือวิธีล่าของเขา

 

 

หมับ!

 

 

เหวอ?!!”   เขาหันไปคว้าเจ้าลูกกระต่ายติดกับก่อนจะอุ้มร่างบอบบางนั่นพาดบ่าทั้งผ้าห่ม หวังเฟยเฟยร้องตะโกนอย่างตกอกตกใจแต่ก็ดิ้นได้ไม่ถนัดนักเพราะถูกผ้าห่มพันเอาไว้ทั้งตัว

 

พี่?! จะทำอะไร? พาผมไปไหน? ปล่อยนะ!!”   เขาอุ้มเจ้าลูกกระต่ายเดินผ่านหน้าบอดี้การ์ดนับสิบที่ยืนมองพลางลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น ถึงจะไม่มีใครกล้าทักท้วงแต่ทั้งหมดก็อดห่วงไม่ได้หากเขาเกิดไปทำอะไรหวังเฟยเฟยขึ้นมา เพราะแม้แต่คุณปู่ก็คงคุ้มกะลาหัวเขาไม่ได้  เขาคงถูกผู้เป็นอาเล่นงานปางตายแน่

 

ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะก้าวขาออกจากบ้าน ขายาวก้าวลัดเลาะลำธารที่ไหนผ่าน เงาต้นสนสูงใหญ่กลับไม่น่ากลัวเมื่อต้องแสงจันทร์นวลตา 

 

เขาวางร่างที่ดิ้นขลุกขลักอยู่บนไหล่ลงไปนั่งบนโขดหิน สายน้ำตื้นเขินไหลรินอยู่รอบๆ

 

อ๊ะ! เย็นๆๆ!”   ถึงน้ำจะสูงแค่คืบแต่มันก็เย็นพอที่จะทำให้คนที่ไม่ได้สวมรองเท้าถึงกับสะดุ้งเมื่อเผลอหย่อนเท้าลงไปถูก เท่านี้เจ้าลูกกระต่ายก็โดนสายน้ำเย็นเฉียบกักขังเอาไว้แล้ว

 

นายใหญ่แห่ง Diamond crown นั่งลงข้างๆก่อนจะกระชากลำตัวบางมากอดโดยไม่บอกกล่าวทำเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่สะดุ้งโหยง

 

“อื้อ?”   ร่างโปร่งบางเริ่มขัดขืนเมื่อมือของเขาเริ่มลูบคลำไปตามลำตัว

 

“พี่...ทำอะไรเนี่ย?...ปล่อย...”    มือกระต่ายไล่ตะบปเมื่อมือของเขาลากไล้ไปตามจุดล่อแหลม เขาใช้ปลายคางเกยล็อคไหล่บางเอาไว้ อ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดแผ่นหลังที่ไม่ได้กว้างใหญ่ ฝ่ามือคลำลงไปจนถึงบั้นท้ายกลมกลึงราวกับลูกพีช เจ้าลูกกระต่ายพยายามถอยหนีแต่ก็ไม่มีประโยชน์ ลูกพีชถูกเขาเคล้นคลึงเบาๆจนเจ้าของมันถึงกับสั่นสะท้าน

 

“สัญญาณติดตามตัว”   จู่ๆเขาก็กระซิบที่ใบหูซึ่งเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ

 

“หื๋อ?”    เจ้าลูกกระต่ายสะบัดหน้ามามองอย่างสงสัย

 

“อุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณติดตามตัวของนายอยู่ตรงไหน?”   ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อหาข้ออ้างให้การกระทำชวนเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางนี้ว่ามันเป็นการค้นหาอุปกรณ์ส่งสัญญาณติดตามตัว เจ้าลูกกระต่ายขมวดคิ้วอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะรีบดันตัวเขาออกไป

 

“มีที่ไหนล่ะ?”    หวังเฟยเฟยทำหน้าหงิกก่อนจะปฏิเสธเสียงแข็ง

 

“มีสิ”   เขามั่นใจว่ามีแน่ๆเพียงแต่ไม่รู้ว่ามันถูกฝังไว้ในอะไร เจ้าลูกกระต่ายไม่ได้ใส่แว่นตลอดเวลาเพราะงั้นไม่น่าจะอยู่ที่แว่นตา

 

“ไม่มี อุปกรณ์แบบนั้นมันเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวนะครับ? ใครจะเอามาติดที่ตัวผมล่ะ?”    ดูท่าจะไม่รู้ตัวสินะว่าป๊าม้านายไม่มีทางปล่อยนายออกมาโดยไม่ติดสัญญาณติดตามตัวไว้หรอก ถึงที่คลำหาเมื่อกี้เขาจะไม่เจออะไรที่น่าสงสัยเลย แต่ระบบป้องกันการจารกรรมข้อมูลที่เขาใช้รอบๆบ้านก็ร้องเตือนไม่หยุดว่ามีการส่งสัญญาณเป็นจำนวนมากออกไป...ไม่ใช่แค่จุดเล็กๆด้วยแต่เป็น จำนวนมาก

 

แบบนี้...ต่อให้บ้านเขาจะมีระบบรบกวนสัญญาณแต่ก็ไม่น่าจะซุกซ่อนเจ้าลูกกระต่ายไว้ได้แน่ มีแต่ต้องหาอุปกรณ์ส่งสัญญาณนั่นให้เจอ

 

“ไอเท็มประจำตัวของนายคืออะไร?”    เขายังคงคาดคั้นเจ้ากระต่ายน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

“อืม....ตำราฟิสิกส์?”   ไม่ใช่แล้ว ใครจะพกของแบบนั้นติดตัวกันเล่า...

 

“หรือหนังสือหลักอากาศพลศาสตร์ของหม่าม้า?”

 

“.......ช่างเถอะ”   เขามองใบหน้ามนอย่างปลงๆ เดี๋ยวค่อยหาอีกทีก็ได้ อ้อมแขนที่เคยกอดรัดเนื้อตัวนุ่มนิ่มจึงย้ายมายันโขดหินที่นั่งอยู่เอาไว้ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เจ้าลูกกระต่ายจึงมองตาม

 

“สวยจัง...”   ใบหน้าหวานยิ้มกว้างจนหัวใจเขากระตุกไปวูบหนึ่ง

 

“ใช่ไหมล่ะ ถ้าอยู่ในเมืองก็ไม่มีทางได้เห็นหรอก”   เขาต้องรีบละจากใบหน้าที่กำลังยิ้มให้ท้องฟ้าก่อนจะตบะแตก

 

“จะว่าไปก็เหมือนเพชรเลยนะ เพชรเต็มท้องฟ้าไปหมด~ พี่ดูสิ”   เสียงใสเอ่ยอย่างร่าเริง เมื่อกี้ยังกลัวตัวสั่นอยู่เลยแท้ๆนะเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย

 

“นายยังจำนี่ได้ไหม?”    มือใหญ่ค่อยๆปล่อยสร้อยเส้นหนึ่งออกจากฝ่ามือที่กำมันไว้ ล็อคเก็ตสีดั่งเพชรห้อยอยู่ตรงหน้าหวังเฟยเฟย

 

“นี่มัน...”   ดวงตาคู่โตเบิกกว้างเพราะจำล็อคเก็ตอันนี้ได้...ถึงมันจะเคยเป็นแค่ล็อคเก็ตที่ถูกสเก็ตไว้บนกระดาษเท่านั้นก็เถอะ

 

“เอาไปสิ ชั้นทำมาให้นาย”   มือใหญ่ปล่อยมันลงไปบนมือบางที่ยกขึ้นมารับ ดวงตาสุกใสเปล่งประกายยามเมื่อจ้องมองล็อคเก็ตอันนั้น

 

 

หวังเฟยเฟยวัย 8 ขวบเคยวาดมันให้เขา ตอนที่เขายังไม่เป็นที่ยอมรับของระดับผู้บริหารDiamond crownนัก ไม่เคยมีใครเชื่อว่าเด็กแบบเขาจะดูแลแบรนด์ระดับโลกอย่างDiamond crownได้ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเขา หวังเฟยเฟยกลับเดินเข้ามาหาด้วยความไร้เดียงสาและเชื่อมั่นสุดใจว่าพี่ชายอย่างเขาจะทำได้

 

ไม่มีใครรู้หรอกว่าเบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของหวังอี้หยางจะเป็นเพียงรอยยิ้มเล็กๆของเด็กแปดขวบคนหนึ่ง

 

ไม่มีใครรู้หรอกว่าสำหรับเขาแล้วลายเส้นแบบเด็กๆนั่นจะเป็นดีไซน์เครื่องประดับเพชรหนึ่งเดียวที่อยู่ในใจ

 

ไม่มีใครรู้หรอกว่าสายตาที่เขามองหวังเฟยเฟยเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนนั้น

 

เขาไม่ได้รักเฟยเฟยแบบน้องชายมาตั้งแต่แรกและเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้เขามั่นใจ

 

 

“ข้างในก็เป็นเพชรแบบที่ผมสเก็ตไว้จริงๆเหรอเนี่ย?”   มือบางเปิดล็อคเก็ตดูจึงรู้ว่านอกจากภายนอกแล้ว ภายในก็ยังเหมือนที่ตัวเองเคยวาดเอาไว้ด้วย ล็อคเก็ตทั่วไปเปิดมาก็จะเป็นรูปหรือของสำคัญที่เจ้าของมันอยากพกติดตัว แต่ล็อคเก็ตอันนี้เปิดมาก็จะเจอเพชร

 

มันเป็นเพชรล้วนๆ เพชรเม็ดเดียวที่มีความบริสุทธิ์100%

 

มันหนัก 520 กะรัต เพราะมันเต็มไปด้วยความรักของเขา

 

 

“พี่...เม็ดนี้มันกี่กะรัตกันแน่? ไม่ใช่น้อยๆเลยนะ เอามาให้ผมจะดีเหรอ? กลัวหายอ่ะ”

 

“ก็ลองทำหายดูสิ”    เขากดดันทั้งรอยยิ้ม

 

“งื้อ”   เจ้าลูกกระต่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

 

“เก็บไว้ให้ดี”

 

“ถ้ามีคนรู้แล้วดักฆ่าผมเพื่อชิงเพชรจะทำไงอ่ะ? ผมอาจจะตายเพราะมีเพชรนี่อยู่ในครอบครองก็ได้นะ คิดๆดูแล้วมันเป็นของอันตรายหรือเปล่า? ปะป๊ายิ่งบอกว่าห้ามรับของจากคนแปลกหน้าอยู่ด้วย?...???”   โอ๊ย เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย กังวลลนลานไปล้านปีแสงแล้วไหมน่ะ อีกอย่าง ปะป๊านายก็แค่หวงลูกชายที่มักจะได้ดอกไม้เอย คุกกี้เอย ช็อกโกแลตเอยเป็นประจำเลยห้ามนายรับของจากใคร เพราะล่าสุดนี่ก็เริ่มมีให้รถให้บ้านให้โฉนดที่ดินกันแล้ว!

 

“ชั้นเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนายหรือไง ห๋า”   มือใหญ่ดึงแก้มใสทั้งสองข้างจนยืดออกอย่างหมั่นเขี้ยว

 

“อ้ออี่ออยแอ่อ่ะแอ้งอ๋มอ่ะ”    คำแปล...ก็พี่คอยแต่จะแกล้งผมอ่ะ

 

“แต่นอกจากนาย ชั้นก็ไม่เคยแกล้งใคร ไม่รู้ตัวรึไงว่านายเป็นคนพิเศษ”   แก้มใสขึ้นสีแดงทันทีที่ได้ฟัง ใบหน้ามนหดลงไปในผ้าห่มที่พันตัวอยู่ก่อนจะบ่นงึมงำ

 

“เป็นคนพิเศษเลยโดนแกล้งเนี่ยนะ? มันยังไงเนี่ย ไม่เห็นจะเข้าใจเลย?”   เขาอมยิ้มก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า

 

“สักวันนายจะเข้าใจ...อีกไม่นานหรอก...เฟยเฟย...”

 

 

 

 

 

ดวงดาวเคลื่อนคล้อยไปดวงแล้วดวงเล่า คนขี้เซาเองก็หลับซบอยู่ที่ไหล่ของเขา ผ้าห่มที่เฟยเฟยแบ่งให้คลุมไหล่เขาไว้ข้างหนึ่ง ไออุ่นที่ส่งผ่านมาจากการแนบชิดทำให้ชีวิตที่เคร่งเครียดรู้สึกผ่อนคลาย เขาจะไม่ใช่ผู้ชายเย็นชาถ้าเขามีเฟยเฟยอยู่ข้างๆ

 

เขาจำเป็นต้องมีเฟยเฟยอยู่ข้างๆ

 

ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปมองใบหน้าหลับปุ๋ยที่เอนซบอยู่ที่ไหล่ มือใหญ่ยังคงกอบกุมมือบางไว้เพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่กัน

 

มันไม่ง่ายแน่หากคนที่เขารักและต้องการคือหวังเฟยเฟย

 

บางครั้งเขาก็ยังสงสัยว่าทำไมเขาไม่เลือกคนอื่น ผู้ชายที่แสนเพอร์เฟ็คอย่างหวังอี้หยางจะเลือกใครก็ได้และคนเหล่านั้นคงยินดีที่ถูกเขาเลือก คนอื่นๆก็คงจะมองอย่างชื่นชมระคนอิจฉา แต่ในสายตาเขากลับมีแต่คนที่ไม่ควรรักไม่ควรเลือกอย่างหวังเฟยเฟย

 

คนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของเขา

 

 

มือใหญ่ค่อยๆประคองใบหน้ามนก่อนจะค่อยๆช้อนลำตัวบางขึ้นอุ้มอย่างนุ่มนวล ขายาวเดินกลับเข้ามาในบ้านแต่ไม่ได้เดินเข้าไปในห้องนอนของเฟยเฟยแต่เลยเข้าไปในห้องนอนของเขาเอง

 

ร่างบอบบางถูกวางลงบนเตียงกว้างใหญ่ เจ้าลูกกระต่ายส่งเสียงอืออาแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว เขานั่งเท้าคางมองใบหน้าหลับใหลนั้นอยู่ข้างเตียง

 

สำหรับเขาแล้ว...นี่คือเพชรเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในใจเสมอมา

 

จากสายตาคนที่มองเพชรมาตั้งแต่เกิด...หวังเฟยเฟยคืออัญมณีที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเขา

 

 

แชะ...

 

 

เขามองรูปคนหลับที่อยู่ในหน้าจอมือถือด้วยรอยยิ้มเอ็นดู นิ้วยาวกดส่งเข้าไปในกรุ๊ปแชทของบ้านตระกูลหวัง แล้วไม่นานเสียงเตือนข้อความเข้าก็ดังรัวๆ

 

 

อาเซียวจ้าน : อาเฟย~ นางฟ้าตัวน้อยๆของหม่าม้า~ งื้อ~ ทำไมน่ารักขนาดนี้~ อี้ป๋อ~ไปหาลูกกัน~~

 

คุณย่า : อี้หยาง ห่มผ้าให้น้องด้วยนะลูก

 

คุณยายบ้านเซียว : หลานยายน่ารักที่สุด~ // อี้หยาง ชุดนอนก็ต้องกุชชี่นะลูก อย่าปล่อยให้ใส่เสื้อยืดกระต่ายคอย้วยนั่นล่ะ

 

อาเซียวจ้าน : หม่าม้า! ต้องเฟอร์รารี่สิ!

 

คุณตาบ้านเซียว : หลับปุ๋ยเชียว ฝากน้องด้วยนะอี้หยาง

 

หวังอี้คุน : แก! เอ้ย เกอ! ที่ข้างๆเจ้าลูกกระต่ายตอนหลับนั่นเป็นของผมนะ! ออกไปเลย!

 

อาอี้ป๋อ : ใช่! ใครอนุญาติให้แกเข้าไปในห้องเฟยเฟยได้ฟ๊ะ ออกไปเดี๋ยวนี้! // ปล1.กระต่ายน้อยของปะป๊าน่ารักที่สุดในสามโลกเลย จุ๊บๆ~ // ปล2.จ้านเกอของผมก็น่ารักที่สุดในสามโลกเช่นกัน จุ๊บๆ~

 

คุณยายบ้านเซียว : สติ๊กเกอร์ เขตปลอดคนคลั่งรัก-

 

คุณปู่ : แข่งเสร็จแล้วก็พาเลยมาปักกิ่งสิ เดี๋ยวปิดสนามบินรอ

 

 

เขาอมยิ้มกับทุกข้อความที่เด้งขึ้นมา ทุกคนในบ้านยังตีกันบ้างคุยกันบ้างตามปกติ...เพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาถ่ายรูปนี้ด้วยความรู้สึกที่เกินกว่าความเป็นพี่ชาย

 

ไม่มีใครรู้ว่าเขารู้สึกแบบไหนกับเจ้าลูกกระต่ายกันแน่

 

แต่ถ้าวันหนึ่งรู้ขึ้นมา...เขาก็พอจะเดาได้ว่าเขาจะเจอกับอะไรบ้าง

 

มันไม่ง่าย...มันไม่ง่ายอย่างแน่นอน

 

 

ร่างสูงสง่าขยับนอนลงไปข้างๆ และแค่รับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกาย เจ้าลูกกระต่ายก็ขยับเข้ามาซุกเขาทันที...

 

เท่าที่เขารู้ ถึงจะแยกห้องนอนกันแล้วแต่เจ้าเด็กแฝดก็ยังเดินข้ามห้องมานอนด้วยกันประจำ คงจะเคยชินกับการมีอีกฝ่ายอยู่ข้างๆเหมือนตอนอยู่ในท้อง

 

เพราะงั้นงานหนักที่สุดของเขาก็คือการแยกหวังอี้คุนออกไปจากเจ้าลูกกระต่าย...เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าจะถูกเจ้าเด็กวายร้ายนั่นตามราวีขนาดไหน อี้คุนไม่เคยกลัวใครแถมแข็งแรงอย่างกับเจ้าป่า ถ้าต่อยกันซึ่งๆหน้าเขายังไม่แน่ใจเลยว่าจะชนะเจ้าเด็กนั่นได้

 

 

 

นายต้องอยู่กับชั้นไปทั้งชีวิตนั่นแหละเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย อย่าหวังว่าจะไปจากชั้นได้ล่ะ

 

นายให้ชั้นอยู่กับนายทั้งชีวิต แล้วนายจะมีคนอื่นได้ไง! ชั้นไม่ยอมหรอกนะ!’

 

 

 

นั่นเป็นสิ่งที่เขาได้ยินมาตลอดเวลาที่มีใครกล้าเข้าไปจีบแฝดคนใดคนหนึ่ง เพราะงั้นมันจึงไม่ง่ายแน่ กับการไปแยกลูกกระต่ายออกมา...

 

 

 

 

 

ท่อนแขนแข็งแรงรวบเอวบางและร่างโปร่งเข้ามาในอ้อมแขน เขาจุมพิตกลุ่มผมสีดำนั่นอย่างอ่อนโยน

 

ถึงใครๆจะเข้าใจว่าเขากับหวังเฟยเฟยเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ เขากับเฟยเฟยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยแม้แต่น้อย หวังอี้คุนต่างหากที่มีสายเลือดเดียวกับเขา

 

เพราะฉะนั้น

 

เขาจึงไม่คิดว่าความสัมพันธ์นี้เป็นเรื่องผิดบาป

 

ไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนนี้จะต้องละอายใจ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเสียใจในภายหลัง

 

เฟยเฟย…”   เสียงทุ้มกระซิบเรียกที่ใบหู 

 

“อือ...”

 

“เฟยเฟย...”

 

“หื๋อ?...พี่...อี้หยาง...?”   รู้สินะว่าเขาไม่ใช่หวังอี้คุน ไม่ใช่พี่ชายฝาแฝดที่จะนอนกอดได้อย่างปลอดภัย แต่กระนั้นเจ้าลูกกระต่ายก็ไม่ถอยหนีไปไหน

 

“ตื่นก่อน”   เสียงทุ้มกระซิบท่ามกลางแสงสลัวๆ

 

“อือ...”    ดวงตาคู่โตยอมเปิดขึ้นอย่างงัวเงีย

 

ฉันมีเพชรที่ดีที่สุดอยู่เม็ดหนึ่ง...ฉันจะใส่มันไว้ในตัวนาย ช่วยเก็บรักษามันให้ฉันที    ดวงตาคมกล้าจับจ้องลงไปในดวงตาที่ยังปรือปรอย

 

“หื๋อ? เพชรในล็อคเก็ตเหรอ?”

 

“มันอยู่ตรงนี้...”   มือใหญ่คว้ามือบางมาวางลงบนแผ่นอกซ้ายของตัวเอง  สัญญาณชีพจรที่เต้นตุบๆทำให้ความง่วงงุนหายไปจากใบหน้ามนทันที

 

 

เพชรเม็ดนี้มีชื่อ...

 

และชื่อของมันก็คือ หัวใจ

 

 

 

หวังเฟยเฟยทำหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ดวงตากลมโตเบิกน้อยๆเหมือนจะตกใจกับสิ่งที่เขาบอกออกไปแต่ก็ไม่ได้แปลกใจ จะว่าสับสนแต่ก็ไม่ได้สับสน ถึงจะชะงักไปแต่ก็ไม่ได้ผลักไส

 

เพราะถึงจะดูเป็นลูกกระต่ายที่มึนงง แต่หวังเฟยเฟยนั้นฉลาดมาก โดยเฉพาะเรื่องสกิลการรับรู้และเอาตัวรอดแบบกระต่าย เด็กคนนี้มักจะรู้ว่าคนที่เข้าหารู้สึกยังไงกับตัวเองแล้วก็มักจะหาทางหลบเลี่ยงได้ตลอด

 

เพราะฉะนั้นปฏิกิริยาที่เฟยเฟยมีต่อเขามันจึงทำให้เขามั่นใจที่จะเดินหน้าต่อไป...

 

 

“ตอนนี้...มันอยู่ในตัวนายแล้ว...รักษามันไว้ให้ฉันที”   เขาย้ายมือของพวกเราไปวางลงบนแผ่นอกซ้ายของเฟยเฟย หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำจนรู้สึกได้

 

 

ถึงแม้เจ้าลูกกระต่ายจะยังไม่เข้าใจความหมายจากคำพูดของเขาในวันนี้

 

แต่มันต้องมีสักวันหนึ่ง...ที่หวังเฟยเฟยจะเข้าใจ

 

และเขากำลังเตรียมการทุกอย่างเพื่อให้ถึงวันนั้น

 

เพราะมันเป็นเรื่องต้องห้ามและยากที่ใครจะยอมรับ

 

เขาจึงจำเป็นต้องมีทั้งเงินทั้งอำนาจที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เขาจะต้องยิ่งใหญ่และยืนอยู่เหนือใครๆ

 

 

ทุกอย่างก็เพื่อเพชรแห่งหัวใจดวงนี้

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

520 กะรัต

Story Never End.

 

 

 

มาแล้นค่ะ ตอนพิเศษแบบบาปๆตอนแรก ตอนพิเศษนะไม่ใช่เรื่องใหม่ กร๊ากกกก พาไปดูเรื่องราวในอนาคตที่มีลูกกระต่ายลูกสิงโตเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว ส่วนเรื่องราวที่เหลือของคู่นี้จะเป็นยังไงก็ทิ้งไว้ให้จินตนาการต่อกันเอาเองเด้อ อาจจะจบลงอย่างสวยงามหรือโศกนาฏกรรมก็ได้ อิๆๆ // โดนตบ

 

ส่วนชื่อตอน 520 กะรัต...520 ชาวเรือป๋อจ้านก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วอ่ะเนอะ ถอดรหัส(?)กันประจำ ฮ่าๆๆ อธิบายง่ายๆ 520 เป็นตัวเลขที่คำอ่านมีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า หว่ออ้ายหนี่ ที่แปลว่าฉันรักเธอในภาษาจีนน่ะค่ะ  ส่วนกะรัต ก็เป็นน้ำหนักของเพชรนั่นเอง

 

ช่วงที่กำลังปั่นตอนพิเศษอยู่นี้ก็มียอดอ่านและยอดติดตามเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ >////< ต้องขอขอบคุณหลายๆท่านที่ช่วยแนะนำช่วยบอกต่อฟิคน้อยๆเรื่องนี้ให้ด้วยนะค้า คือคุณกวางมันไม่มีทวิตเตอร์ก็จะไม่ค่อยรู้ก็จะงงๆทุกครั้งที่เห็นยอดอ่านเพิ่มขึ้น 555 //หล่อนหลุดมาจากยุคไหนห๊า

 

แอบแปะเพลงที่ฟังตอนแต่งตอนพิเศษนี้ จริงๆเพลงนี้เคยแปะไปแล้วแต่อันนี้เป็นเวอร์ชั่นบรรเลงอย่างเดียวค่ะ Hallucinations (Instrumental) : Kill me Heal me ost. งื้อ ฟิลแบบดาร์กๆเท่ห์ๆของหวังอี้หยางลอยมาเลย >////<

 

hHallucinations (Instrumental)


อีกเพลงที่ฟังก็ Homura ของ LiSA เพลงประกอบดาบพิฆาตอสูรภาครถไฟแห่งนิรันดร์ มูฟวี่มันดีมากจริงๆ งื้อ เพลงก็เพราะมากกกกกก

 

LiSA 『炎』 -MUSiC CLiP-


แล้วก็...ถึงจะผ่านมาหลายวันแล้วแต่ก็สวัสดีปีใหม่2021นะคะ >////< ขอให้เป็นปีที่ดีๆสำหรับทุกคนนะคะ เราจะก้าวผ่านโควิดนี้ไปด้วยกัล TvT ขอให้เป็นปีที่ดีๆๆๆๆของป๋อจ้านด้วยนะคะ >////< คืนข้ามปีก็คือไบโพล่ามาก ตูน่ะกลับเข้าป่าไง ก็จะมีแค่มือถือเครื่องเดียว แล้วป๋อกับพี่จ้านก็คือมาคนละเวทีคนละช่อง สลับจอกันมันส์เลยทีนี้ แง๊ ปีหน้าขอเวทีเดียวกันได้ม๊ายยย เห็นใจติ่งในป่าทีย์ ใดๆคืออยากเห็นเค้าอยู่ด้วยกันแหละ 555 แต่เห็นหน้าพี่จ้านทุกวันตั้งแต่ปีใหม่มานี้ก็ดีใจเน้อ~

 

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามมากๆนะคะ อ่านคอมเม้นต์ละดีใจไฟลุกมาก >////< ตอนพิเศษที่จะลงต่อไปคือ GLIDE : 2x4 It’s me : ผีเสื้อสีรุ้งค่ะ ฝากติดตามต่ออีกหน่อยน้า ขอบคุณค่า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น