ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 CARAT
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 กะรัต”
.
.
.
...ต่อให้ฟ้าดินสิ้นมลาย…หัวใจดวงนี้ก็จะมีเพียงนาย…
.
.
.
เงาต้นสนนับพันนับหมื่นพาดผ่านลงไปบนพื้นเงาวับของรถเมอร์ซิเดสเบนซ์สีบรอนซ์เทา
มันกำลังวิ่งออกจากป่าแห่งหนึ่งในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ที่เบาะหน้ามีชายฉกรรจ์ซึ่งแต่งกายด้วยสูทสีดำสนิท
ร่างกายที่สูงใหญ่ทำให้หน้ารถดูคับแน่นอึดอัดไปหมด ต่างจากที่เบาะหลังซึ่งดูกว้างขวางเพราะมีเพียงชายหนุ่มรูปร่างสง่างามนั่งอยู่ตามลำพัง
“ไม่ต้องห่วงนะครับ
เดี๋ยวผมไปรับน้องเอง” เสียงทุ้มที่มีโทนเสียงสงบเยือกเย็นกรอกลงไปในโทรศัพท์มือถือในขณะที่สายตาคมกล้ายังคงทอดมองป่าสนสูงใหญ่ที่รถวิ่งผ่านไปเรื่อยๆ
“แข่งเสร็จแล้วจะพากลับไปส่งมาราเนลโล่ให้เรียบร้อยครับ...ครับ
สวัสดีครับคุณอา" บทสนทนาจบลงเพียงแค่นั้น
นิ้วเรียวยาวกดวางสายก่อนจะมองชื่อที่บันทึกไว้ในหน้าจอด้วยรอยยิ้มบางๆ
เซียวจ้าน...เจ้าของชื่อนี้เคยเป็นรักแรกของเขา
ตอนนั้นเขายังเด็กมาก
ไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร แต่เขาก็ชอบอาสะใภ้คนนี้ของเขามากจริงๆนั่นแหละ
หน้าจอโทรศัพท์ดับลงเขาจึงค่อยๆเลื่อนสายตาออกไปมองทิวทัศน์อันตระการตานอกหน้าต่าง
ทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลหวังวัย 28 ปีนั่งไขว่ห้างอยู่ที่เบาะหลังก่อนจะนึกถึงคนที่ปลายสายฝากฝังเสียหนักหนา
หวังเฟยเฟยมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา
เด็กคนนั้นอายุห่างจากเขาถึง13ปี ถ้าจะให้อธิบายละก็ ใช้คำว่า “ลูกกระต่าย”
คงจะเหมาะสมที่สุด
เจ้าลูกกระต่ายนั่นเป็นลูกชายของอาเขา
แต่เด็กคนนั้นไม่ได้เกิดมาตามลำพัง หวังเฟยเฟยยังมีฝาแฝดผู้พี่ด้วยอีกหนึ่งคน ถ้าหวังเฟยเฟยเป็นเด็กที่ถอดแบบมาจากอาสะใภ้ของเขาแล้วละก็
หวังอี้คุนก็เหมือนอาแท้ๆของเขาแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว เด็กแฝดทั้งคู่เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนักบิดชื่อก้องโลกกับนักออกแบบรถมือหนึ่งของวงการฟอร์มูล่าวันที่ไม่มีใครไม่รู้จัก
เรียกว่าถูกจับตามองตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลกเลยทีเดียว
ถึงหวังเฟยเฟยและหวังอี้คุนจะเกิดมาโดยอาศัยวิทยาการทางวิทยาศาสตร์และคุณปู่ของเขาก็ไม่ยอมรับในทีแรก
แต่ด้วยความที่เด็กแฝดคู่นั้นเหมือนพ่อกับแม่ราวกับแกะแถมยังน่ารักมาก
ใช้เวลาไม่ทันถึงอาทิตย์ทั้งปู่ย่าตายายก็หลงหลานชายฝาแฝดกันขนาดหนัก
ปกติแล้วเขาจะได้เจอเจ้าเด็กแฝดคู่นั้นทุกๆปีช่วงวันปีใหม่
อาของเขามักจะพาทั้งสองคนกลับมาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าที่ปักกิ่งเสมอ
จะมีก็สองสามปีหลังตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาดูแล Diamond crown เต็มตัวนี่แหละที่ไม่ได้เจอกันเลยเพราะเขามักจะติดงานกาล่าของสมาคมผู้ค้าเพชรโลกอยู่ตลอด
ครับ...ชื่อของผมก็คือหวังอี้หยาง...หลานชายเพียงคนเดียวของหวังอี้ป๋อนักแข่ง Moto GP ชื่อก้องโลกคนนั้นนั่นแหละ
จากเด็กชายตัวน้อยกลายเป็นเจ้าพ่อวงการค้าเพชรตั้งแต่อายุแค่นี้
ถึงแม้อันที่จริงเขาจะอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่เด็ก อยู่มามากกว่าสิบปี
เขาเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจนี้มาตั้งแต่ยังตัวนิดเดียว
พ่อเขาสอนให้ทุกอย่างและเขาก็สนุกกับมันด้วย
เขาชอบ...ที่จะยืนอยู่เหนือผู้คน
ชอบ...ที่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุด
และเงินกับอำนาจก็สามารถประทานสิ่งนั้นให้กับเขาได้
เพราะงั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธเลยเมื่อคุณปู่บอกให้เขารับตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลหวังแทนอาของเขาซะ
ให้เขาดูแลอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่านับแสนล้านของตระกูลหวังซะ
หวังอี้หยางจึงกลายเป็นนักธุรกิจที่รวยติดอันดับต้นๆของโลกทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง30ด้วยซ้ำ
ก็จริงที่ว่าเขาอาจจะเกิดมาบนกองเงินกองทองอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาต่อยอดมันไม่ได้
เขาก็คงไม่ประสบความสำเร็จแบบนี้
“ถึงแล้วครับนาย” คนขับรถเอ่ยเรียกเขาออกมาจากห้วงความคิด เขายังคงนั่งไขว่ห้างอยู่บนเบาะหลังอย่างไม่รีบร้อน
ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองเงาของตัวเองที่สะท้อนผ่านกระจกหน้าต่าง
...ผู้คนมักจะบอกว่าพวกเรามีใบหน้าคล้ายๆกัน...เขา...พ่อของเขา...อาอี้ป๋อ...แล้วก็หวังอี้คุน...
“เดี๋ยวผมลงไปรับคุณหนูมาให้ก็แล้วกันนะครับ
น่าจะแข่งเสร็จพอดี” บอร์ดี้การ์ดคนสนิทที่นั่งอยู่บนเบาะหน้าเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวสักที
“ไม่ต้องหรอก
เดี๋ยวผมไปรับเอง” เขาต้องไปรับเองอยู่แล้ว~
กว่าลูกกระต่ายจะหลุดออกจากกรงมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
แถมมาคนเดียวไม่มีใครตามเฝ้าแบบนี้คงมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนี่แหละ
ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
แต่ดูท่าทางบอร์ดี้การ์ดของเขาจะไม่ค่อยดีด้วยสักเท่าไหร่
เจ้าพวกนั้นทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทุกทีเวลาเห็นเขาทำหน้าแบบนี้
ร่างในสูทสีเทาเข้ารูปลงไปยืนอยู่ข้างรถเมื่อถึงเวลา เด็กที่เดินออกมาจากอาคารหอประชุมซึ่งใช้เป็นที่แข่งขันทั้งหมดนั้นเป็นเด็กไฮสคูล...แว่นตาหนาเตอะ
ผมเรียบแปล้ ติดกระดุมถึงคอ...ดูก็รู้แล้วว่าเจ้าพวกนี้เป็นเด็กเรียน
แล้วก็ไม่ใช่แค่เด็กเรียนธรรมดาด้วยนะเพราะจะมาอยู่ตรงนี้ได้ต้องเป็นระดับท็อปของประเทศ
เพราะนี่คือการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับโลกยังไงล่ะ
และหวังเฟยเฟยก็เป็นตัวแทนของอิตาลีในปีนี้…
ใบหน้าหล่อเหลามองหาคนที่ถูกฝากฝังให้ช่วยดูแล...และเขาก็หาตัวอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
ก็ท่ามกลางเด็กแว่นท่าทางคงแก่เรียนพวกนั้น
มีเพียงหวังเฟยเฟยที่ไม่ได้ใส่แว่นและดูแตกต่างจากคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง
"หึ" เขาหลุดหัวเราะในลำคอเมื่อเจอตัวเจ้าลูกกระต่ายที่ค่อยๆเดินออกมา...ท่าทางหวาดระแวงมองซ้ายทีขวาทีแบบนั้นยิ่งทำให้เขาถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหว
...ไม่เปลี่ยนไปเลยนะเจ้าเด็กนั่น…
ทั้งๆที่มีพ่อแม่เป็นมาเฟียแห่งวงการมอเตอสปอร์ต
มีพี่ชายเป็นเจ้าพ่อวงการค้าเพชร มีปู่เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่
มียายเป็นเจ้าแม่แบรนด์เนมระดับโลก มีตารวยล้นฟ้า...แต่เจ้าตัวกลับใช้ชีวิตเหมือนสัตว์เล็กแทนที่จะคำรามเหมือนสิงโต…
ถึงจะรู้สึกเสียของไปหน่อยแต่หวังเฟยเฟยที่เป็นแบบนี้กลับทำให้เขาละสายตาไม่ได้…
"เฟยเฟย" เสียงทุ้มเอ่ยเรียกร่างโปร่งบางที่ยังมองหาคนมารับเลิ่กลั่ก
นี่ถ้าเขาไม่เรียก เจ้าลูกกระต่ายสายตาสั้นนี่จะหาเขาเจอไหมเนี่ย?
"พี่…" ใบหน้ามนหมดจดที่มีความคล้ายนักออกแบบรถของเฟอร์รารี่ถึง98%
หันมามองเขาก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
หวังเฟยเฟยค่อมหัวให้เขาอย่างเป็นกันเองก่อนจะวิ่งด๊อกแด๊กๆมาหา...ถึงจะสายตาสั้นมากแล้วก็เป็นเด็กเรียนแต่จะปล่อยให้ทายาทตระกูลหวังสวมแว่นตาหนาเตอะหัวกระเซอะกระเซิงวันๆใส่แต่ชุดหมีสีแดงแบบคนเป็นแม่ที่แก่และดื้อเกินจะเยียวยาได้ยังไง
เพราะฉะนั้นทั้งคุณย่าของเขาและคุณยายบ้านเซียวถึงได้คอยจับเจ้าหลานแฝดคนเล็กที่ยังเด็กและว่านอนสอนง่ายแต่งเนื้อแต่งตัวราวกับเป็นตุ๊กตาอยู่เสมอ
สภาพแบบเด็กเนิร์ดจึงแทบไม่มีอยู่บนตัวหวังเฟยเฟยเลยแม้แต่น้อย
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาสง่างามสมวัยสมแล้วที่เป็นคุณหนูเล็กของตระกูลหวัง
ถึงจะแต่งตัวตามแฟชั่นแต่ก็เป็นแฟชั่นที่มีรสนิยม ดูสูงค่าราคาแพงราวกับเพชร
ทว่า
ถึงแม้จะไม่ได้สวมแว่นตาหนาเตอะแต่เชื่อเถอะว่าหวังเฟยเฟยนั้นถอดแบบมาจากอาสะใภ้ของเขาเป๊ะๆ
ทั้งรูปร่าง หน้าตาและนิสัย เหมือนอาเซียวจ้านของเขาแบบสุดๆ
แล้วยิ่งโตก็ยิ่งเหมือน...เหมือนเสียจนเขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาแท้ๆของเขากับเจ้าแฝดคนพี่ถึงได้หวงนักหวงหนา
นี่ถ้าไม่ติดธุระจริงๆคงไม่มีทางปล่อยให้ใครดูแลแทนแน่ๆ
วันนี้อาสะใภ้แข่ง
F1 อยู่ที่รัสเซีย...อาอี้ป๋อแข่ง Moto GP อยู่ที่ญี่ปุ่น...หวังอี้คุนที่เป็นเด็กฝึกจากเฟอร์รารี่อาคาเดมี่ก็ต้องไปแข่งฟอร์มูล่าทูหรือ
F2 อยู่ที่รัสเซียเช่นกัน อายุย่าง16ปีแค่นั้นแต่เด็กนั่นก็ทำผลงานได้ดีทีเดียว
อนาคตที่จะได้เป็นนักขับ F1 คงไม่ใช่ความฝัน
ก็นั่นแหละ...ไม่มีใครว่างเลย…
โอกาสอันหาได้ยากนี้ถึงได้ตกเป็นของเขา
เพราะปกติแล้วไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องมีพ่อแม่หรือพี่ชายฝาแฝดไปด้วยตลอด
ถึงจะมีบอร์ดี้การ์ดคอยประกบแต่ลูกกระต่ายที่ไม่เคยไปไหนมาไหนคนเดียวคนทั้งบ้านก็เลยอดห่วงไม่ได้
ยังดีที่ฟิสิกส์โอลิมปิกปีนี้แข่งในแคนาดา
เขาจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่อาสะใภ้พอจะไว้ใจฝากให้ดูแล...ส่วนคนเป็นพ่อกับเจ้าแฝดพี่นั่นก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ...ประมาณว่าสัตว์กินเนื้อย่อมได้กลิ่นสัตว์กินเนื้อด้วยกันเองอะไรแบบนั้น
สองคนนั่นถึงได้ไม่ค่อยลงรอยกับเขาเท่าไหร่…
เขาพยักหน้าให้การ์ดของเจ้าลูกกระต่ายที่คุ้นเคยกันดีก่อนจะหันไปบอกหวังเฟยเฟย "กลับบ้านกันเถอะ"
“ครับ…”
เปล่าหรอก
เขาไม่ได้พาเจ้าลูกกระต่ายกลับไปส่งอิตาลีในวันนี้หรอก เพราะดูเหมือนการแข่งขันจะแบ่งเป็นสองวัน
วันแรกแข่งภาคทฤษฎี วันที่สองปฏิบัติ เขาก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดนักแต่อาสะใภ้บอกเอาไว้ว่าเด็กนั่นต้องค้างคืนที่นี่อย่างน้อยหนึ่งคืน
เขาลอบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆผ่านเงาสะท้อนบนกระจก
ผิวพรรณชั้นดีนั่นยังขาวราวกับหิมะไม่เปลี่ยน อาจจะเป็นเพราะขาวมากปลายจมูกโด่งรั้นเล็กๆนั่นถึงได้แดงระเรื่อง่ายเวลาที่เจออากาศเย็น
แล้วเวลาเผลอๆริมฝีปากอวบอิ่มก็มักจะเผยอออกจากกันจนมองเห็นฟันกระต่ายคู่หน้า
ดวงตากลมโตก็มักจะจดจ้องอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ อย่างเช่นตอนนี้...ดวงตาที่สวยงามคู่นั้นกำลังมองตามป้ายบอกทางที่รถวิ่งผ่านและร่างโปร่งบางก็เริ่มมีอาการลุกลี้ลุกลนจนเขาต้องแอบหันมายิ้มอีกทาง
เขากำลังรออยู่เลย...ว่าจะรู้ตัวเมื่อไหร่
เจ้าลูกกระต่ายทำหน้าเหมือนจะหันมาถามแต่ก็หันกลับไป
ดวงตาคู่โตมองป้ายบอกทางอีกรอบด้วยสีหน้ากังวลแล้วเม้มริมฝีปากราวกับตัดสินใจได้ก่อนจะหันมาหาเขา
แล้วก็หันกลับไปในชั่ววินาที...วนเวียนอยู่แบบนี้จนเขากลั้นหัวเราะจนเจ็บท้องไปหมด
เพราะถึงจะรู้จักกันดีและนับว่าเป็นพี่น้องที่ไปมาหาสู่กันพอสมควร...แต่ที่จริงแล้วเจ้าลูกกระต่ายนั่นกลัวเขา...
คงจะเป็นสัญชาตญาณของกระต่ายที่รู้ตัวว่าถูกสิงโตจ้องอยู่?
เฟยเฟยจึงมีท่าทางหวาดระแวงทุกครั้งที่อยู่กับเขาสองต่อสอง
แต่ก็นั่นแหละ
ในขณะที่คนทั้งบ้านคอยประคบประหงมราวกับไข่ในหินกลับมีเพียงเขาที่คอยแอบแหย่แอบแกล้งเจ้าลูกกระต่ายนี่มาตั้งแต่เด็ก
จะกลัวเขาก็ไม่แปลก
“ไหนพี่...บอกหม่าม้าผมว่าจะพากลับบ้านที่แวนคูเวอร์ไม่ใช่เหรอครับ...แต่นี่ไม่ใช่ทางเข้าเมืองนี่ครับ…”
ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าถามออกมาจนได้ ถึงจะดูอ่อนแอเหมือนสัตว์เล็กแต่ก็นับว่าเจ้าลูกกระต่ายนี่ฉลาดและหูตาไวเอาเรื่อง
ขนาดอยู่ในถิ่นที่ไม่คุ้นเคยก็ยังรู้อีกแหน่ะว่าเขากำลังพาออกนอกเส้นทาง
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ...เพราะคืนนี้...ชั้นจะลักพาตัวนายไปฆ่าหมกป่า”
เขาแกล้งหันไปขู่
แต่เจ้าลูกกระต่ายกลับสะดุ้งโหยงอย่างคิดเป็นจริงเป็นจัง
ร่างผอมบางถอยครูดจนติดประตูรถอีกฝั่งจนเขาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว
“ฮ่าๆๆๆ” ก็ดูสิ แกล้งแล้วน่ารักขนาดนี้ใครจะไม่อยากแกล้ง
“งื้อ!!” พอรู้ตัวว่าถูกแกล้งก็หันมาทำหน้าดื้อใส่ ใบหน้างอนๆสะบัดกลับไปจ้องถนนเขม็งตามเดิม
ในหัวซับซ้อนนั่นคงกำลังจดจำเส้นทางสินะ? เผื่อว่าถ้าเขาพาไปฆ่าจริงๆจะได้หนีได้?
เขามองใบหน้าจริงใจนั่นอย่างเอ็นดู
อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ต้องจำหรอก เพราะไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็หนีไปจากเขาไม่พ้นอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะตอนนี้...หรือตอนไหน...
เมอร์ซิเดสเบนซ์สีบรอนซ์เทาวิ่งเข้าไปในถนนที่มีแต่ป่าและป่า
แล้วยิ่งไกลขึ้นเท่าไหร่ต้นสนที่ล้อมรอบกายก็มีแต่จะยิ่งสูงใหญ่มากขึ้นเท่านั้น
ในขณะที่เขาเอนหลังพิงเบาะอย่างสบายใจ
เจ้าลูกกระต่ายกลับเลิ่กลั่กไปหมดแล้ว
เขาไม่บอกหรอกว่านี่ก็คือทางกลับบ้านเช่นกันเพราะปฏิกิริยาแบบนั้นก็น่ารักดี
เขามีบ้านอยู่ที่แวนคูเวอร์หลายหลัง
ส่วนใหญ่พวกที่อยู่ในเมืองก็เอาไว้บังหน้าและใช้เจรจาธุรกิจ
อย่างบ้านหลังที่ครอบครัวของเจ้าลูกกระต่ายเคยมาพักก็ใช่
หวังเฟยเฟยถึงได้คิดว่าเขาจะพาไปบ้านหลังนั้นเพราะเข้าใจว่ามันเป็นบ้านที่เขาอยู่ประจำ
แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่
บ้านที่เขาอยู่จริงๆนั้นเขาไม่เคยพาใครเข้าไป...มันเป็นเหมือนเซฟเฮ้าส์
มันถูกซุกซ่อนอยู่ในเงาสนสูงใหญ่ของป่าในแคนาดา
มันถูกตัดขาดจากโลกภายนอกพอสมควรเพราะไม่มีบ้านหลังอื่นอยู่ใกล้
มันปลอดภัยเพราะไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
และคนแรกที่เขาจะพาไป...ก็คือเจ้าลูกกระต่ายที่กำลังนั่งสวดภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่ข้างๆนี่แหละ
ใบหน้าหล่อเหลาส่ายน้อยๆทั้งๆที่ยังอมยิ้ม
นักสืบและศัตรูของเขาต่างหาบ้านหลังนี้กันแทบเป็นแทบตาย
แต่เจ้าคนที่กำลังได้รับเกียรติให้เข้าไปกลับนั่งหลับตาปี๋สวดอะไรงึมงำๆเนี่ยนะ?
เขาอารมณ์ดีจริงๆนั่นแหละเวลาอยู่กับเด็กนี่
“เอ้า
ถึงแล้ว จะลงมาเองหรือจะให้ชั้นอุ้ม?”
เขาเอ่ยเรียกเมื่อรถจอดสนิทแต่เป็นเพราะยังสวดมนต์อยู่เจ้าคนข้างๆถึงได้ไม่รู้ตัวเลยว่าถึงที่หมายแล้ว
“ถะ
ถึงแล้วเหรอ? ผะ ผม ลงเองได้...”
เจ้าลูกกระต่ายค่อยๆแหย่ขาออกจากรถก่อนจะค่อยๆก้าวลงมาด้วยท่าทางระแวดระวัง
คิ้วเรียวขมวดมุ่นส่วนดวงตาคู่โตก็กวาดมองไปรอบๆราวกับกำลังหาทางหนีทีไล่
ยิ่งมองเขาก็ยิ่งขำ
ก็มันมีอะไรน่ากลัวเสียที่ไหนล่ะ
ที่ที่พวกเรายืนอยู่ก็เป็นเพียงบ้านสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่หลังหนึ่งก็เท่านั้นเอง
“อ้าว ก็บ้านนี่นา?...??” เสียงใสเอ่ยออกมาอย่างแปลกใจก่อนจะมองสำรวจบ้านที่สร้างอย่างกลมกลืนกับต้นไม้และป่าเขา
“ก็บ้านน่ะสิ
นายคิดว่าเป็นที่ไหน?”
“ก็พี่บอกว่าจะพาผมมาฆ่า...ผมก็นึกว่าจะเป็นหน้าผา...อะไรแบบนั้น...” เขาส่ายหน้าก่อนจะเดินนำเข้าบ้าน
เจ้าลูกกระต่ายยู่หน้าเมื่อคิดว่าถูกเขามองว่าไร้สาระก่อนจะรีบเดินตาม...กลัวเขา
แต่ก็กลัวอย่างอื่นด้วยเลยไม่ยอมห่างจากเขา จะมีใครน่ารักได้เท่านี้อีกไหม
เขาเดินผ่านห้องที่มีโซฟาเบดตัวใหญ่ยาวเกือบเต็มห้อง
บ้านหลังนี้ไม่มีห้องรับแขกเพราะเขาไม่คิดจะเชิญใครมาที่นี่
เขาจึงเปลี่ยนเป็นห้องนั่งเล่นแทนและเขาก็มักจะใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้ ทั้งทำงาน
พักผ่อน นอนดูโทรทัศน์ ผนังด้านหนึ่งจึงเป็นชั้นหนังสือและเตาผิง
ส่วนผนังฝั่งตรงข้ามเป็นหน้าต่างกระจกทั้งผนัง
ตั้งแต่พื้นจรดฝ้าไม่มีสิ่งใดมาบดบัง มันสร้างยื่นเข้าไปในลำธารที่ไหลผ่านข้างบ้าน
เบื้องหลังยังเต็มไปด้วยป่าสนที่ขึ้นแทรกไปกับแนวโขดหิน
กิ่งและใบของพวกมันแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน
นับเป็นห้องที่วิวอลังการมากทีเดียว
เจ้าลูกกระต่ายยืนมองตาค้าง
ประกายวิบวับๆในดวงตาคู่โตไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเด็กนั่นชอบห้องนี้มากแค่ไหน เขาจึงยกยิ้มอย่างพอใจ
คิดถูกแล้วจริงๆที่จ้างลูกศิษย์ของแฟรงค์ ลอยด์ไลท์มาออกแบบบ้านหลังนี้ให้
เขาเดินต่อไปยังห้องด้านใน
บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียว แต่แต่ละห้องก็ไล่สเต็ปลดหลั่นกันลงไปเพื่อให้ทุกห้องมองเห็นวิวจากลำธารได้หมด
และทุกครั้งที่เขาเดินนำลงบันไดที่มีเพียงสองสามขั้น
เจ้าลูกกระต่ายก็จะเดินชนหลังเขาได้ทุกครั้งเช่นกัน
ตุบ...
“อื้อ...ขอโทษครับ...” อีกแล้ว?
เขาเหลือบมองร่างโปร่งบางที่ขยับถอยหลังก่อนจะยกมือลูบหน้าผากตัวเอง เขาไม่ได้ว่าอะไร
เจ้าลูกกระต่ายอาจจะไม่คุ้นกับบ้านที่มีสเต็ปแปลกๆแบบนี้?
ทั้งๆที่คิดว่าจะเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ
แต่นอกจากแผ่นหลังของเขาแล้ว เจ้าลูกกระต่ายยังเดินชนขอบประตู ตู้
เตียงและอีกสารพัด...แบบนี้มันไม่ธรรมดาแล้วไหม?
ตุบ...
“หื๋อ???” เดินชนเสร็จยังจะยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆอีกแน่ะ
เหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชนอะไรเข้าไป
“นาย...มองไม่เห็นเหรอ?” เขาถามตรงๆทำให้อีกฝ่ายจำต้องสารภาพด้วยท่าทางอายๆ
“...ผมทำคอนแทคเลนส์หลุดหาย...ก็เลยมองไม่ค่อยเห็น...แต่ก็เห็นนะ! แบบเบลอๆหน่อย...” ………เป็นลูกกระต่ายที่น่าเป็นห่วงจริงๆนั่นแหละ
จะมีชีวิตรอดจนโตเต็มวัยไหมสภาพนี้ ไปทำอิท่าไหนให้คอนแทคเลนส์มันหลุดหายได้เนี่ย?
“มีคอนแทคสำรองรึเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
หวังเฟยเฟยส่ายหัวไปมา
“แต่ผมมีแว่นนะ”
“แล้วแว่นนายอยู่ไหน?”
“น่าจะอยู่ในกระเป๋าเดินทางมั้งครับ
แต่ผมมองไม่เห็น”
เจ้าลูกกระต่ายตาบอดเอ้ย...
“เกาะแขนชั้นไว้
เดี๋ยวขาก็เขียวหมดหรอก”
เจ้าลูกกระต่ายขยับมา “กอดแขน” เขาไว้ตามความเคยชิน
แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ใช่ป๊าม้าหรือพี่ชายฝาแฝดของตัวเองจึงค่อยๆคลายอ้อมแขนออกกลายเป็นเกาะแขนเขาเฉยๆก่อนจะหัวเราะแหะๆ
ขายาวก้าวไปช้าๆ
กลิ่นกายหอมหวานลอยมาแตะจมูกเมื่ออยู่ใกล้กัน
กลิ่นเหมือนลูกกวาดขนาดนี้ยิ่งทำให้น่ากินเข้าไปใหญ่ เขาควรจะต้องบอกคุณย่าให้เปลี่ยนโคโลญจน์ให้เฟยเฟยใหม่
ขนาดเขายังแทบจะหน้ามืดแล้วคนอื่นจะทนไหวได้ยังไง
“ถึงแล้ว
ห้องของนาย” เขาพาเจ้าลูกกระต่ายไปยังห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนอนของเขา
กระเป๋าเดินทางถูกพ่อบ้านยกมาให้เรียบร้อยแล้วเขาจึงถือวิสาสะเปิดให้
“เอาแว่นไว้ตรงไหน?”
กระเป๋าเดินทางถูกจัดมาอย่างเรียบร้อยเหมือนคนเดินทางบ่อยๆเป็นคนจัด
“ไม่รู้อ่ะ?” ซึ่งไม่น่าใช่เจ้าลูกกระต่ายนี่แน่...เพราะแม้แต่แว่นยังไม่รู้ว่าใส่ไว้ตรงไหน
“ให้ผมโทรถามอี้คุนไหม?” อ่อ...เจ้าแฝดพี่จัดกระเป๋าให้สินะ
เขากวาดตามองเสื้อฮู้ดหูกระต่ายสีแดงที่ถูกพับไว้อย่างนึกเอ็นดู
ตอนกลับปักกิ่งช่วงปีใหม่
เขามักจะได้เห็นหม่าม้ากระต่ายกับลูกกระต่ายใส่ชุดนอนฮู้ดสีแดงของเฟอร์รารี่เดินไปเดินมาอยู่ในบ้านกันสองคน
มันเป็นภาพที่น่ารักมาก
ไม่นานนักเขาก็เจอกล่องใส่แว่นราวกับคนจัดกระเป๋าตั้งใจให้มันหาง่ายๆ
หวังอี้คุนคงจะรู้สินะว่าเจ้าลูกกระต่ายสายตาสั้นอาจจะทำคอนแทคหายแล้วก็ต้องมาควานหาแว่นในกระเป๋าเดินทางแบบนี้
“เจอแล้ว” เขาหยิบแว่นกรอบหนาสีแดงส่งให้เจ้าคนที่นั่งอยู่ปลายเตียง
“ขอบคุณครับ...” พอใส่แว่นเท่านั้นแหละ
มาดคุณชายเล็กของตระกูลหวังก็หายวับกลับไปเป็นเจ้าเด็กเนิร์ดเหมือนแม่ขึ้นมาทันที
เขาปล่อยหวังเฟยเฟยง่วนอยู่กับตำราฟิสิกส์เล่มใหญ่ที่แค่เห็นเขาก็ปวดหัวแล้ว
เขาไม่สนใจหลักอากาศพลศาสตร์อะไรนั่นหรอก เขาสนใจแค่ตัวเลขมูลค่าอสังหาริมทรัพย์กับเหมืองเพชรของเขามากกว่า
ร่างสง่าเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น
สูทถูกถอดพาดไว้บนโซฟา มือใหญ่คลายเนคไทขณะที่เดินไปยืนอยู่กลางหน้าต่างผืนใหญ่
สีเขียวสดของป่าสนทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นายใหญ่แห่ง Diamond crown จึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
“เจอตัวรึยัง?”
เสียงที่กรอกใส่โทรศัพท์นั้นเย็นเฉียบฟังดูก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี นี่ขนาดหวังเฟยเฟยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมากแล้วนะ
ไม่อย่างนั้นปลายสายคงจะโดนหนักกว่านี้
“จับตัวได้แล้วครับนาย” ปลายสายรีบตอบกลับมาอย่างกลัวโทษ
“ดี
เอามันไปขังไว้ที่ทะเลทรายอาหรับ...แล้วก็อย่าให้มันตายเสียก่อนล่ะ ผมจะไปจัดการเอง” มือใหญ่กดวางสายพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงไปบนโซฟา
เขาก็ไม่ได้อยากจะทำเรื่องโหดร้ายพวกนี้เสียหน่อย ถ้าทุกคนอยู่กันดีๆ
ทำหน้าที่ของตัวเองไป เขาจะต้องกลายร่างเป็นซาตานแบบนี้ไหม
แต่ก็อย่างว่าแหละ
ของที่เขาถือครองอยู่มันก็ราคามหาศาลเสียด้วย ใครก็อยากจะขโมย
ดวงตาคมกล้าทอดมองตุ๊กตากระต่ายเซรามิกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา...ใช่สิ
ใครๆก็อยากจะขโมย “เพชร” ของเขาทั้งนั้น...แน่นอนว่าพวกมันไม่มีทางทำได้
ถึงจะดูเหมือนคุณชายและเป็นสุภาพบุรุษแต่เขาก็โหดกว่าพ่อเขาเยอะ
ใครจะทรยศเขาไม่ว่า แต่อย่ามายุ่งกับ “เพชร” ของเขา เพราะงั้นพวกที่ยักยอกเพชรจึงไม่ตายดีสักคน
แค่นึกถึงก็หงุดหงิดแล้ว
ร่างสูงสง่าจึงลุกขึ้นอย่างตั้งใจจะเดินไปคลายเครียด...แน่นอนว่าเป้าหมายของเขาก็คือห้องของเจ้าลูกกระต่ายนั่นแหละ
แต่ก่อนที่มือใหญ่จะได้เคาะลงไปบนประตูห้อง
ก็มีเสียงพูดคุยลอดออกมา ฝ่ามือเลยชะงักเพราะบทสนทนานั้นดูเหมือนจะมีเขาเข้าไปเกี่ยวด้วย?
“แพลนกล้องไปรอบๆห้องซิ” เสียงหวังอี้คุน?
เจ้าเด็กแฝดวีดีโอคอลคุยกันอยู่สินะ
“งื้อ! แพลนมาสามรอบแล้วนะ นายจะดูอะไรนักหนา!”
“นายไม่กลัวรึไงเจ้าลูกกระต่าย!”
“กลัวสิ อย่ามาขู่นะ!”
“กลัวก็รีบๆแพลนกล้องให้ชั้นดูรอบห้องนายเดี๋ยวนี้!
มีใครแอบอยู่นอกหน้าต่างรึเปล่า?!” เขาถึงกับหัวเราะในลำคอ
เวลาเจ้าเด็กแฝดคุยกันจะเหมือนทะเลาะกันอยู่ตลอดแหละ แต่ไม่ต้องห่วง
พี่น้องคู่นี้รักกันดีแล้วก็หวงกันมากด้วย ต่างฝ่ายเลยต่างไม่เคยมีแฟนเพราะโดนแฝดอีกคนราวีจนไม่มีใครกล้าจีบหรือยุ่งด้วย
“พอใจรึยัง! นายคิดว่าจะมีใครกล้าบุกบ้านของหวังอี้หยางรึไง? หมอนั่นสั่งขังใครก็ไม่รู้อ่ะเมื่อกี้ชั้นแอบได้ยินมา พี่ชายพวกเราต่างหากที่น่ากลัวกว่าใคร!”
หึ...เขากลั้นขำจนไหล่สั่น
เจ้าลูกกระต่ายตัวแสบนั่นแอบได้ยินด้วยเหรอเนี่ย สงสัยคราวหน้าต้องเข้าไปคุยในห้องนอนซะแล้ว
“ก็หมอนั่นแหละที่นายควรจะกลัว! จะโดนจับกินยังไม่รู้ตัวอีก!
ล็อคประตูรึยัง?”
“งื้อ! นายอย่ามาขู่สิ! แล้วก็ประตูบ้านนี้ก็แปลก ไม่มีที่ล็อคซักบาน
แล้วนายโง่รึเปล่า ชั้นอยู่ในบ้านหมอนั่นล็อคประตูไปจะมีความหมายอะไรเล่า
เจ้าของบ้านจะไม่มีกุญแจได้ไง”
“ถ้าชั้นโง่ คนฉลาดๆอย่างนายก็เตรียมถูกกินได้เลย!”
“แง๊! นายยังเป็นคนอยู่มั๊ย ห๊ะ นายยังเป็นคนอยู่รึเปล่า?!”
“แกล้งอะไรน้องอีกแล้วอี้คุน?” เสียงนุ่มๆที่แทรกเข้ามานั้นเขาจำได้ดีว่ามันเป็นเสียงใคร...อาสะใภ้ของเขานั่นเอง
“หม่าม้า~”
“อาเฟย~ ไหน~ มาให้กอดหน่อย~”
แค่ได้ยินเสียงอยู่ตรงนี้เขาก็ยิ้มตามแล้ว
ถ้าคุณเคยเห็นสองแม่ลูกนั่นกอดกันเหมือนกำลังฟัดตุ๊กตาหมีแพนด้าอยู่
คุณก็จะรู้เลยว่ามันน่ารักน่าเอ็นดูขนาดไหน น่าอิจฉาอาอี้ป๋อชะมัด
“เป็นไงบ้าง ทำข้อสอบได้ไหม? พรุ่งนี้แข่งภาคปฎิบัติก็สู้ๆนะกระต่ายน้อยของหม่าม้า”
“อื้อ”
“พี่อี้หยางดูแลลูกดีอยู่ใช่ไหม?”
“อื้อ พี่มารับด้วยตัวเองเลย”
“ดีแล้ว แล้วก็อย่าไปก่อเรื่องให้พี่เค้านะเจ้าตัวแสบ”
“รู้แล้วน่า...คนชอบก่อเรื่องมันอี้คุนต่างหาก”
“ว่าไงนะเจ้าลูกกระต่าย!
นายไม่ใช่รึไงที่ทำห้องทำงานหม่าม้าระเบิดเมื่อวันก่อนน่ะ!”
“.........ผมจะนอนแล้ว หม่าม้าราตรีสวัสดิ์น้า ม๊วฟๆ”
“ครับ ฝันดีน้า ม๊วฟๆ”
“เฮ้ อย่าหนีนะเจ้าลูกกระต่ายตัวร้าย-ติ้ด-” บทสนทนาถูกตัดไปราวกับหนีความผิด เขายืนอมยิ้มมองลูกบิดประตู...ที่จริงแล้วหวังเฟยเฟยถือเป็นตัวแสบคนนึงเลยทีเดียว
ถึงได้บอกไงว่าเหมือนอาสะใภ้ของเขามาก
ต่อหน้าก็เหมือนจะว่านอนสอนง่ายให้ทำอะไรก็ทำ
แต่ก็จะมีความดื้อเล็กๆแล้วก็ชอบแอบไปทำไปทดลองอะไรตามที่ตัวเองคิดว่าถูกนั่นแหละและหลายๆครั้งมันก็ทำเอาป่วนไปหมด
ยามเมื่อความมืดมาเยือน
ป่าสนที่ห่างไกลจากผู้คนก็ยิ่งเงียบสงัดมากขึ้น
นายใหญ่ของบ้านยังคงนั่งอ่านเอกสารอยู่ในห้องนั่งเล่น
ดวงตาคมกล้าไล่ไปตามตัวหนังสืออย่างถี่ถ้วน เขาไม่เคยปล่อยให้รายละเอียดใดๆตกหล่นไป
เพราะแค่ความผิดพลาดเล็กๆก็อาจจะทำให้ยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลหวังและ Diamond crown สะดุดล้มได้
ยิ่งตอนนี้เขากำลังสนใจธุรกิจใหม่
เรื่องที่ต้องศึกษาจึงมีมากมาย
เขาอาจจะเป็นนักแข่งรถไม่ได้
เป็นวิศวกรหรือนักออกแบบรถไม่ได้...แต่เขาก็เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การจัดแข่งรถได้ถ้ามีเงินมากพอ
แฟ้มกรณีศึกษาของบริษัทลิเบอร์ตี้มีเดียเจ้าของลิขสิทธิ์การจัดการแข่งขันฟอร์มูล่าวันแต่เพียงผู้เดียวจึงกองระเกะระกะเต็มโต๊ะ...เขายังอยู่ในช่วงศึกษา
เพราะเขาไม่รู้ว่าหวังเฟยเฟยจะเลือกทางไหน...F1 หรือ Moto GP
ฟึ่บ!!
แต่แล้วจู่ๆห้องที่เคยสว่างไสวก็มืดสนิท
เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เปิดไว้ก็หยุดลงเช่นกัน...ไฟดับ?
“เกิดอะไรขึ้น?”
เขาหันไปถามบอร์ดี้การ์ดคนสนิทที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง
“ไฟดับครับ
กำลังเปลี่ยนไปใช้เครื่องปั่นไฟสำรอง รอสักครู่นะครับนาย” ใบหน้าหล่อเหลาพยักอย่างเข้าใจ
ที่นี่อยู่ในป่าและทางขึ้นเขาก็เป็นแค่ถนนเส้นเล็กๆ เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละตั้งแต่ดินถล่ม
ต้นไม้ล้ม รถชนเสาไฟเพราะมันมืด
ไฟจึงดับอยู่บ่อยๆจนเขาต้องติดตั้งเครื่องปั่นไฟไว้ใช้เอง
มือใหญ่วางเอกสารลงบนโต๊ะอย่างช่วยไม่ได้
ตอนนี้มีเพียงแสงสะท้อนจากดวงดาวที่ส่องสกาวเข้ามาในบ้านทำให้ยังพอจะมองเห็นอะไรอยู่บ้าง
เขานึกอะไรบางอย่างก่อนจะเอ่ยบอกการ์ด
“สักยี่สิบนาทีค่อยเปิดระบบไฟสำรองก็แล้วกัน” บอร์ดี้การ์ดทำหน้างงแต่ก็ทำตามคำสั่ง
ร่างสูงใหญ่หันไปสั่งการผ่านหูฟัง
ส่วนเจ้าของบ้านกลับลุกเดินออกจากห้องนั่งเล่นมาแล้ว
ไหนๆก็อ่านเอกสารต่อไม่ได้
เดินไปดูเจ้าลูกกระต่ายเสียหน่อยดีกว่า
ก๊อกๆ
เขาเคาะประตูแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ
อย่างลูกกระต่ายนั่นยังไม่น่าจะหลับตอนนี้? มือใหญ่จึงหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไป
บ้านหลังนี้เขาตั้งใจจะเอาไว้เลี้ยงลูกกระต่ายอยู่แล้วจึงไม่ติดทั้งอุปกรณ์ล็อคหรือกลอนใดๆทั้งสิ้น
ภายในห้องไม่ถือว่ามืดสนิทเพราะหน้าต่างกระจกผืนใหญ่นั่นรับแสงจันทร์เข้ามา
เขาจึงมองเห็นว่าเจ้าลูกกระต่ายยังไม่หลับแต่กลับนอนคลุมโปงสวดงึมงำอะไรอยู่บนเตียง
“หึ...”
เขาถึงกับหลุดหัวเราะกับความน่ารักน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย กลัวผีงั้นเหรอ? หรือว่ากลัวความมืด?
“เฟยเฟย” พอเขาเอ่ยเรียก หัวสีดำจึงค่อยๆโผล่ออกมาจากผ้าห่ม
ดวงตากลมโตค่อยๆเหลือบมองเขา ท่าทางหวาดระแวงนั่นมันทำให้เขาลอบยิ้ม
เลี้ยงมาอีท่าไหนถึงได้น่าแกล้งขนาดนี้นะอาของเขา
ร่างสูงสง่าก้าวขาไปนั่งลงที่ขอบเตียง
เขานั่งมองป่าสนดำมืดนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่ไปเรื่อยๆโดยไม่ได้พูดอะไร เจ้าลูกกระต่ายที่โผล่หัวจากผ้าห่มมาเพียงครึ่งหน้าก็ได้แต่มองเขาตาแป๋วโดยไม่พูดอะไรเหมือนกัน
ร่างที่อยู่ในโปงผ้าห่มค่อยๆขยับมาหาเขาทีละคืบ เดี๋ยวขยับ เดี๋ยวหยุด เดี๋ยวขยับ เดี๋ยวหยุด
อยู่แบบนั้นจนในที่สุดที่สีข้างของเขาก็รับรู้ถึงไออุ่นที่แนบชิดเข้ามา
ริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆ...การจู่โจมในทันทีจะทำให้ลูกกระต่ายตื่นตระหนกตกใจแล้วหนีไป
เขาจึงค่อยๆล่อลวงให้เข้ามาหาเขาเอง แบบนี้ต่างหากคือวิธีล่าของเขา
หมับ!
“เหวอ?!!” เขาหันไปคว้าเจ้าลูกกระต่ายติดกับก่อนจะอุ้มร่างบอบบางนั่นพาดบ่าทั้งผ้าห่ม
หวังเฟยเฟยร้องตะโกนอย่างตกอกตกใจแต่ก็ดิ้นได้ไม่ถนัดนักเพราะถูกผ้าห่มพันเอาไว้ทั้งตัว
“พี่?! จะทำอะไร? พาผมไปไหน?
ปล่อยนะ!!” เขาอุ้มเจ้าลูกกระต่ายเดินผ่านหน้าบอดี้การ์ดนับสิบที่ยืนมองพลางลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น
ถึงจะไม่มีใครกล้าทักท้วงแต่ทั้งหมดก็อดห่วงไม่ได้หากเขาเกิดไปทำอะไรหวังเฟยเฟยขึ้นมา
เพราะแม้แต่คุณปู่ก็คงคุ้มกะลาหัวเขาไม่ได้ เขาคงถูกผู้เป็นอาเล่นงานปางตายแน่
ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะก้าวขาออกจากบ้าน
ขายาวก้าวลัดเลาะลำธารที่ไหนผ่าน เงาต้นสนสูงใหญ่กลับไม่น่ากลัวเมื่อต้องแสงจันทร์นวลตา
เขาวางร่างที่ดิ้นขลุกขลักอยู่บนไหล่ลงไปนั่งบนโขดหิน
สายน้ำตื้นเขินไหลรินอยู่รอบๆ
“อ๊ะ! เย็นๆๆ!” ถึงน้ำจะสูงแค่คืบแต่มันก็เย็นพอที่จะทำให้คนที่ไม่ได้สวมรองเท้าถึงกับสะดุ้งเมื่อเผลอหย่อนเท้าลงไปถูก
เท่านี้เจ้าลูกกระต่ายก็โดนสายน้ำเย็นเฉียบกักขังเอาไว้แล้ว
นายใหญ่แห่ง
Diamond
crown นั่งลงข้างๆก่อนจะกระชากลำตัวบางมากอดโดยไม่บอกกล่าวทำเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่สะดุ้งโหยง
“อื้อ?”
ร่างโปร่งบางเริ่มขัดขืนเมื่อมือของเขาเริ่มลูบคลำไปตามลำตัว
“พี่...ทำอะไรเนี่ย?...ปล่อย...” มือกระต่ายไล่ตะบปเมื่อมือของเขาลากไล้ไปตามจุดล่อแหลม
เขาใช้ปลายคางเกยล็อคไหล่บางเอาไว้
อ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดแผ่นหลังที่ไม่ได้กว้างใหญ่
ฝ่ามือคลำลงไปจนถึงบั้นท้ายกลมกลึงราวกับลูกพีช
เจ้าลูกกระต่ายพยายามถอยหนีแต่ก็ไม่มีประโยชน์
ลูกพีชถูกเขาเคล้นคลึงเบาๆจนเจ้าของมันถึงกับสั่นสะท้าน
“สัญญาณติดตามตัว” จู่ๆเขาก็กระซิบที่ใบหูซึ่งเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ
“หื๋อ?” เจ้าลูกกระต่ายสะบัดหน้ามามองอย่างสงสัย
“อุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณติดตามตัวของนายอยู่ตรงไหน?” ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อหาข้ออ้างให้การกระทำชวนเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางนี้ว่ามันเป็นการค้นหาอุปกรณ์ส่งสัญญาณติดตามตัว
เจ้าลูกกระต่ายขมวดคิ้วอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะรีบดันตัวเขาออกไป
“มีที่ไหนล่ะ?” หวังเฟยเฟยทำหน้าหงิกก่อนจะปฏิเสธเสียงแข็ง
“มีสิ” เขามั่นใจว่ามีแน่ๆเพียงแต่ไม่รู้ว่ามันถูกฝังไว้ในอะไร
เจ้าลูกกระต่ายไม่ได้ใส่แว่นตลอดเวลาเพราะงั้นไม่น่าจะอยู่ที่แว่นตา
“ไม่มี
อุปกรณ์แบบนั้นมันเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวนะครับ? ใครจะเอามาติดที่ตัวผมล่ะ?” ดูท่าจะไม่รู้ตัวสินะว่าป๊าม้านายไม่มีทางปล่อยนายออกมาโดยไม่ติดสัญญาณติดตามตัวไว้หรอก
ถึงที่คลำหาเมื่อกี้เขาจะไม่เจออะไรที่น่าสงสัยเลย แต่ระบบป้องกันการจารกรรมข้อมูลที่เขาใช้รอบๆบ้านก็ร้องเตือนไม่หยุดว่ามีการส่งสัญญาณเป็นจำนวนมากออกไป...ไม่ใช่แค่จุดเล็กๆด้วยแต่เป็น
‘จำนวนมาก’
แบบนี้...ต่อให้บ้านเขาจะมีระบบรบกวนสัญญาณแต่ก็ไม่น่าจะซุกซ่อนเจ้าลูกกระต่ายไว้ได้แน่
มีแต่ต้องหาอุปกรณ์ส่งสัญญาณนั่นให้เจอ
“ไอเท็มประจำตัวของนายคืออะไร?” เขายังคงคาดคั้นเจ้ากระต่ายน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“อืม....ตำราฟิสิกส์?” ไม่ใช่แล้ว ใครจะพกของแบบนั้นติดตัวกันเล่า...
“หรือหนังสือหลักอากาศพลศาสตร์ของหม่าม้า?”
“.......ช่างเถอะ” เขามองใบหน้ามนอย่างปลงๆ
เดี๋ยวค่อยหาอีกทีก็ได้
อ้อมแขนที่เคยกอดรัดเนื้อตัวนุ่มนิ่มจึงย้ายมายันโขดหินที่นั่งอยู่เอาไว้
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เจ้าลูกกระต่ายจึงมองตาม
“สวยจัง...”
ใบหน้าหวานยิ้มกว้างจนหัวใจเขากระตุกไปวูบหนึ่ง
“ใช่ไหมล่ะ
ถ้าอยู่ในเมืองก็ไม่มีทางได้เห็นหรอก”
เขาต้องรีบละจากใบหน้าที่กำลังยิ้มให้ท้องฟ้าก่อนจะตบะแตก
“จะว่าไปก็เหมือนเพชรเลยนะ
เพชรเต็มท้องฟ้าไปหมด~ พี่ดูสิ” เสียงใสเอ่ยอย่างร่าเริง
เมื่อกี้ยังกลัวตัวสั่นอยู่เลยแท้ๆนะเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย
“นายยังจำนี่ได้ไหม?” มือใหญ่ค่อยๆปล่อยสร้อยเส้นหนึ่งออกจากฝ่ามือที่กำมันไว้
ล็อคเก็ตสีดั่งเพชรห้อยอยู่ตรงหน้าหวังเฟยเฟย
“นี่มัน...” ดวงตาคู่โตเบิกกว้างเพราะจำล็อคเก็ตอันนี้ได้...ถึงมันจะเคยเป็นแค่ล็อคเก็ตที่ถูกสเก็ตไว้บนกระดาษเท่านั้นก็เถอะ
“เอาไปสิ
ชั้นทำมาให้นาย” มือใหญ่ปล่อยมันลงไปบนมือบางที่ยกขึ้นมารับ
ดวงตาสุกใสเปล่งประกายยามเมื่อจ้องมองล็อคเก็ตอันนั้น
หวังเฟยเฟยวัย
8 ขวบเคยวาดมันให้เขา ตอนที่เขายังไม่เป็นที่ยอมรับของระดับผู้บริหารDiamond
crownนัก ไม่เคยมีใครเชื่อว่าเด็กแบบเขาจะดูแลแบรนด์ระดับโลกอย่างDiamond
crownได้ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเขา หวังเฟยเฟยกลับเดินเข้ามาหาด้วยความไร้เดียงสาและเชื่อมั่นสุดใจว่าพี่ชายอย่างเขาจะทำได้
ไม่มีใครรู้หรอกว่าเบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของหวังอี้หยางจะเป็นเพียงรอยยิ้มเล็กๆของเด็กแปดขวบคนหนึ่ง
ไม่มีใครรู้หรอกว่าสำหรับเขาแล้วลายเส้นแบบเด็กๆนั่นจะเป็นดีไซน์เครื่องประดับเพชรหนึ่งเดียวที่อยู่ในใจ
ไม่มีใครรู้หรอกว่าสายตาที่เขามองหวังเฟยเฟยเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนนั้น
เขาไม่ได้รักเฟยเฟยแบบน้องชายมาตั้งแต่แรกและเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้เขามั่นใจ
“ข้างในก็เป็นเพชรแบบที่ผมสเก็ตไว้จริงๆเหรอเนี่ย?” มือบางเปิดล็อคเก็ตดูจึงรู้ว่านอกจากภายนอกแล้ว
ภายในก็ยังเหมือนที่ตัวเองเคยวาดเอาไว้ด้วย ล็อคเก็ตทั่วไปเปิดมาก็จะเป็นรูปหรือของสำคัญที่เจ้าของมันอยากพกติดตัว
แต่ล็อคเก็ตอันนี้เปิดมาก็จะเจอเพชร
มันเป็นเพชรล้วนๆ
เพชรเม็ดเดียวที่มีความบริสุทธิ์100%
มันหนัก
520 กะรัต เพราะมันเต็มไปด้วยความรักของเขา
“พี่...เม็ดนี้มันกี่กะรัตกันแน่?
ไม่ใช่น้อยๆเลยนะ เอามาให้ผมจะดีเหรอ? กลัวหายอ่ะ”
“ก็ลองทำหายดูสิ” เขากดดันทั้งรอยยิ้ม
“งื้อ” เจ้าลูกกระต่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เก็บไว้ให้ดี”
“ถ้ามีคนรู้แล้วดักฆ่าผมเพื่อชิงเพชรจะทำไงอ่ะ?
ผมอาจจะตายเพราะมีเพชรนี่อยู่ในครอบครองก็ได้นะ
คิดๆดูแล้วมันเป็นของอันตรายหรือเปล่า?
ปะป๊ายิ่งบอกว่าห้ามรับของจากคนแปลกหน้าอยู่ด้วย?...???” โอ๊ย เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย
กังวลลนลานไปล้านปีแสงแล้วไหมน่ะ อีกอย่าง ปะป๊านายก็แค่หวงลูกชายที่มักจะได้ดอกไม้เอย
คุกกี้เอย ช็อกโกแลตเอยเป็นประจำเลยห้ามนายรับของจากใคร
เพราะล่าสุดนี่ก็เริ่มมีให้รถให้บ้านให้โฉนดที่ดินกันแล้ว!
“ชั้นเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนายหรือไง
ห๋า” มือใหญ่ดึงแก้มใสทั้งสองข้างจนยืดออกอย่างหมั่นเขี้ยว
“อ้ออี่ออยแอ่อ่ะแอ้งอ๋มอ่ะ” คำแปล...ก็พี่คอยแต่จะแกล้งผมอ่ะ
“แต่นอกจากนาย
ชั้นก็ไม่เคยแกล้งใคร ไม่รู้ตัวรึไงว่านายเป็นคนพิเศษ” แก้มใสขึ้นสีแดงทันทีที่ได้ฟัง
ใบหน้ามนหดลงไปในผ้าห่มที่พันตัวอยู่ก่อนจะบ่นงึมงำ
“เป็นคนพิเศษเลยโดนแกล้งเนี่ยนะ?
มันยังไงเนี่ย ไม่เห็นจะเข้าใจเลย?”
เขาอมยิ้มก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า
“สักวันนายจะเข้าใจ...อีกไม่นานหรอก...เฟยเฟย...”
ดวงดาวเคลื่อนคล้อยไปดวงแล้วดวงเล่า
คนขี้เซาเองก็หลับซบอยู่ที่ไหล่ของเขา ผ้าห่มที่เฟยเฟยแบ่งให้คลุมไหล่เขาไว้ข้างหนึ่ง
ไออุ่นที่ส่งผ่านมาจากการแนบชิดทำให้ชีวิตที่เคร่งเครียดรู้สึกผ่อนคลาย
เขาจะไม่ใช่ผู้ชายเย็นชาถ้าเขามีเฟยเฟยอยู่ข้างๆ
เขาจำเป็นต้องมีเฟยเฟยอยู่ข้างๆ
ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปมองใบหน้าหลับปุ๋ยที่เอนซบอยู่ที่ไหล่
มือใหญ่ยังคงกอบกุมมือบางไว้เพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่กัน
มันไม่ง่ายแน่หากคนที่เขารักและต้องการคือหวังเฟยเฟย
บางครั้งเขาก็ยังสงสัยว่าทำไมเขาไม่เลือกคนอื่น
ผู้ชายที่แสนเพอร์เฟ็คอย่างหวังอี้หยางจะเลือกใครก็ได้และคนเหล่านั้นคงยินดีที่ถูกเขาเลือก
คนอื่นๆก็คงจะมองอย่างชื่นชมระคนอิจฉา แต่ในสายตาเขากลับมีแต่คนที่ไม่ควรรักไม่ควรเลือกอย่างหวังเฟยเฟย
คนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของเขา
มือใหญ่ค่อยๆประคองใบหน้ามนก่อนจะค่อยๆช้อนลำตัวบางขึ้นอุ้มอย่างนุ่มนวล
ขายาวเดินกลับเข้ามาในบ้านแต่ไม่ได้เดินเข้าไปในห้องนอนของเฟยเฟยแต่เลยเข้าไปในห้องนอนของเขาเอง
ร่างบอบบางถูกวางลงบนเตียงกว้างใหญ่
เจ้าลูกกระต่ายส่งเสียงอืออาแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว
เขานั่งเท้าคางมองใบหน้าหลับใหลนั้นอยู่ข้างเตียง
สำหรับเขาแล้ว...นี่คือเพชรเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในใจเสมอมา
จากสายตาคนที่มองเพชรมาตั้งแต่เกิด...หวังเฟยเฟยคืออัญมณีที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเขา
แชะ...
เขามองรูปคนหลับที่อยู่ในหน้าจอมือถือด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
นิ้วยาวกดส่งเข้าไปในกรุ๊ปแชทของบ้านตระกูลหวัง
แล้วไม่นานเสียงเตือนข้อความเข้าก็ดังรัวๆ
อาเซียวจ้าน
: อาเฟย~ นางฟ้าตัวน้อยๆของหม่าม้า~ งื้อ~ ทำไมน่ารักขนาดนี้~ อี้ป๋อ~ไปหาลูกกัน~~
คุณย่า
: อี้หยาง ห่มผ้าให้น้องด้วยนะลูก
คุณยายบ้านเซียว
: หลานยายน่ารักที่สุด~ // อี้หยาง
ชุดนอนก็ต้องกุชชี่นะลูก อย่าปล่อยให้ใส่เสื้อยืดกระต่ายคอย้วยนั่นล่ะ
อาเซียวจ้าน
: หม่าม้า! ต้องเฟอร์รารี่สิ!
คุณตาบ้านเซียว
: หลับปุ๋ยเชียว ฝากน้องด้วยนะอี้หยาง
หวังอี้คุน
: แก! เอ้ย เกอ!
ที่ข้างๆเจ้าลูกกระต่ายตอนหลับนั่นเป็นของผมนะ! ออกไปเลย!
อาอี้ป๋อ
: ใช่! ใครอนุญาติให้แกเข้าไปในห้องเฟยเฟยได้ฟ๊ะ
ออกไปเดี๋ยวนี้! // ปล1.กระต่ายน้อยของปะป๊าน่ารักที่สุดในสามโลกเลย
จุ๊บๆ~ // ปล2.จ้านเกอของผมก็น่ารักที่สุดในสามโลกเช่นกัน
จุ๊บๆ~
คุณยายบ้านเซียว
: สติ๊กเกอร์ –เขตปลอดคนคลั่งรัก-
คุณปู่
: แข่งเสร็จแล้วก็พาเลยมาปักกิ่งสิ เดี๋ยวปิดสนามบินรอ
เขาอมยิ้มกับทุกข้อความที่เด้งขึ้นมา
ทุกคนในบ้านยังตีกันบ้างคุยกันบ้างตามปกติ...เพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาถ่ายรูปนี้ด้วยความรู้สึกที่เกินกว่าความเป็นพี่ชาย
ไม่มีใครรู้ว่าเขารู้สึกแบบไหนกับเจ้าลูกกระต่ายกันแน่
แต่ถ้าวันหนึ่งรู้ขึ้นมา...เขาก็พอจะเดาได้ว่าเขาจะเจอกับอะไรบ้าง
มันไม่ง่าย...มันไม่ง่ายอย่างแน่นอน
ร่างสูงสง่าขยับนอนลงไปข้างๆ
และแค่รับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกาย เจ้าลูกกระต่ายก็ขยับเข้ามาซุกเขาทันที...
เท่าที่เขารู้
ถึงจะแยกห้องนอนกันแล้วแต่เจ้าเด็กแฝดก็ยังเดินข้ามห้องมานอนด้วยกันประจำ
คงจะเคยชินกับการมีอีกฝ่ายอยู่ข้างๆเหมือนตอนอยู่ในท้อง
เพราะงั้นงานหนักที่สุดของเขาก็คือการแยกหวังอี้คุนออกไปจากเจ้าลูกกระต่าย...เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าจะถูกเจ้าเด็กวายร้ายนั่นตามราวีขนาดไหน
อี้คุนไม่เคยกลัวใครแถมแข็งแรงอย่างกับเจ้าป่า
ถ้าต่อยกันซึ่งๆหน้าเขายังไม่แน่ใจเลยว่าจะชนะเจ้าเด็กนั่นได้
‘นายต้องอยู่กับชั้นไปทั้งชีวิตนั่นแหละเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย
อย่าหวังว่าจะไปจากชั้นได้ล่ะ’
‘นายให้ชั้นอยู่กับนายทั้งชีวิต แล้วนายจะมีคนอื่นได้ไง! ชั้นไม่ยอมหรอกนะ!’
นั่นเป็นสิ่งที่เขาได้ยินมาตลอดเวลาที่มีใครกล้าเข้าไปจีบแฝดคนใดคนหนึ่ง
เพราะงั้นมันจึงไม่ง่ายแน่ กับการไปแยกลูกกระต่ายออกมา...
ท่อนแขนแข็งแรงรวบเอวบางและร่างโปร่งเข้ามาในอ้อมแขน
เขาจุมพิตกลุ่มผมสีดำนั่นอย่างอ่อนโยน
ถึงใครๆจะเข้าใจว่าเขากับหวังเฟยเฟยเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ เขากับเฟยเฟยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยแม้แต่น้อย หวังอี้คุนต่างหากที่มีสายเลือดเดียวกับเขา
เพราะฉะนั้น…
เขาจึงไม่คิดว่าความสัมพันธ์นี้เป็นเรื่องผิดบาป…
ไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนนี้จะต้องละอายใจ
ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเสียใจในภายหลัง…
“เฟยเฟย…” เสียงทุ้มกระซิบเรียกที่ใบหู
“อือ...”
“เฟยเฟย...”
“หื๋อ?...พี่...อี้หยาง...?” รู้สินะว่าเขาไม่ใช่หวังอี้คุน
ไม่ใช่พี่ชายฝาแฝดที่จะนอนกอดได้อย่างปลอดภัย
แต่กระนั้นเจ้าลูกกระต่ายก็ไม่ถอยหนีไปไหน
“ตื่นก่อน” เสียงทุ้มกระซิบท่ามกลางแสงสลัวๆ
“อือ...” ดวงตาคู่โตยอมเปิดขึ้นอย่างงัวเงีย
“ฉันมีเพชรที่ดีที่สุดอยู่เม็ดหนึ่ง...ฉันจะใส่มันไว้ในตัวนาย
ช่วยเก็บรักษามันให้ฉันที” ดวงตาคมกล้าจับจ้องลงไปในดวงตาที่ยังปรือปรอย
“หื๋อ?
เพชรในล็อคเก็ตเหรอ?”
“มันอยู่ตรงนี้...” มือใหญ่คว้ามือบางมาวางลงบนแผ่นอกซ้ายของตัวเอง สัญญาณชีพจรที่เต้นตุบๆทำให้ความง่วงงุนหายไปจากใบหน้ามนทันที
เพชรเม็ดนี้มีชื่อ...
และชื่อของมันก็คือ
หัวใจ
หวังเฟยเฟยทำหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
ดวงตากลมโตเบิกน้อยๆเหมือนจะตกใจกับสิ่งที่เขาบอกออกไปแต่ก็ไม่ได้แปลกใจ
จะว่าสับสนแต่ก็ไม่ได้สับสน ถึงจะชะงักไปแต่ก็ไม่ได้ผลักไส
เพราะถึงจะดูเป็นลูกกระต่ายที่มึนงง
แต่หวังเฟยเฟยนั้นฉลาดมาก โดยเฉพาะเรื่องสกิลการรับรู้และเอาตัวรอดแบบกระต่าย
เด็กคนนี้มักจะรู้ว่าคนที่เข้าหารู้สึกยังไงกับตัวเองแล้วก็มักจะหาทางหลบเลี่ยงได้ตลอด
เพราะฉะนั้นปฏิกิริยาที่เฟยเฟยมีต่อเขามันจึงทำให้เขามั่นใจที่จะเดินหน้าต่อไป...
“ตอนนี้...มันอยู่ในตัวนายแล้ว...รักษามันไว้ให้ฉันที” เขาย้ายมือของพวกเราไปวางลงบนแผ่นอกซ้ายของเฟยเฟย
หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำจนรู้สึกได้
ถึงแม้เจ้าลูกกระต่ายจะยังไม่เข้าใจความหมายจากคำพูดของเขาในวันนี้
แต่มันต้องมีสักวันหนึ่ง...ที่หวังเฟยเฟยจะเข้าใจ
และเขากำลังเตรียมการทุกอย่างเพื่อให้ถึงวันนั้น
เพราะมันเป็นเรื่องต้องห้ามและยากที่ใครจะยอมรับ
เขาจึงจำเป็นต้องมีทั้งเงินทั้งอำนาจที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้
เขาจะต้องยิ่งใหญ่และยืนอยู่เหนือใครๆ
ทุกอย่างก็เพื่อเพชรแห่งหัวใจดวงนี้
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
520 กะรัต
Story
Never End.
มาแล้นค่ะ
ตอนพิเศษแบบบาปๆตอนแรก ตอนพิเศษนะไม่ใช่เรื่องใหม่ กร๊ากกกก พาไปดูเรื่องราวในอนาคตที่มีลูกกระต่ายลูกสิงโตเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว
ส่วนเรื่องราวที่เหลือของคู่นี้จะเป็นยังไงก็ทิ้งไว้ให้จินตนาการต่อกันเอาเองเด้อ
อาจจะจบลงอย่างสวยงามหรือโศกนาฏกรรมก็ได้ อิๆๆ // โดนตบ
ส่วนชื่อตอน
520
กะรัต...520
ชาวเรือป๋อจ้านก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วอ่ะเนอะ ถอดรหัส(?)กันประจำ ฮ่าๆๆ อธิบายง่ายๆ 520 เป็นตัวเลขที่คำอ่านมีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า หว่ออ้ายหนี่
ที่แปลว่าฉันรักเธอในภาษาจีนน่ะค่ะ
ส่วนกะรัต ก็เป็นน้ำหนักของเพชรนั่นเอง
ช่วงที่กำลังปั่นตอนพิเศษอยู่นี้ก็มียอดอ่านและยอดติดตามเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
>////<
ต้องขอขอบคุณหลายๆท่านที่ช่วยแนะนำช่วยบอกต่อฟิคน้อยๆเรื่องนี้ให้ด้วยนะค้า คือคุณกวางมันไม่มีทวิตเตอร์ก็จะไม่ค่อยรู้ก็จะงงๆทุกครั้งที่เห็นยอดอ่านเพิ่มขึ้น
555 //หล่อนหลุดมาจากยุคไหนห๊า
แอบแปะเพลงที่ฟังตอนแต่งตอนพิเศษนี้
จริงๆเพลงนี้เคยแปะไปแล้วแต่อันนี้เป็นเวอร์ชั่นบรรเลงอย่างเดียวค่ะ Hallucinations
(Instrumental) : Kill me Heal me ost. งื้อ ฟิลแบบดาร์กๆเท่ห์ๆของหวังอี้หยางลอยมาเลย
>////<
อีกเพลงที่ฟังก็
Homura
ของ LiSA เพลงประกอบดาบพิฆาตอสูรภาครถไฟแห่งนิรันดร์
มูฟวี่มันดีมากจริงๆ งื้อ เพลงก็เพราะมากกกกกก
แล้วก็...ถึงจะผ่านมาหลายวันแล้วแต่ก็สวัสดีปีใหม่2021นะคะ >////< ขอให้เป็นปีที่ดีๆสำหรับทุกคนนะคะ
เราจะก้าวผ่านโควิดนี้ไปด้วยกัล TvT
ขอให้เป็นปีที่ดีๆๆๆๆของป๋อจ้านด้วยนะคะ >////<
คืนข้ามปีก็คือไบโพล่ามาก ตูน่ะกลับเข้าป่าไง ก็จะมีแค่มือถือเครื่องเดียว
แล้วป๋อกับพี่จ้านก็คือมาคนละเวทีคนละช่อง สลับจอกันมันส์เลยทีนี้ แง๊
ปีหน้าขอเวทีเดียวกันได้ม๊ายยย เห็นใจติ่งในป่าทีย์ ใดๆคืออยากเห็นเค้าอยู่ด้วยกันแหละ
555 แต่เห็นหน้าพี่จ้านทุกวันตั้งแต่ปีใหม่มานี้ก็ดีใจเน้อ~
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามมากๆนะคะ
อ่านคอมเม้นต์ละดีใจไฟลุกมาก >////< ตอนพิเศษที่จะลงต่อไปคือ GLIDE
: 2x4 It’s me : ผีเสื้อสีรุ้งค่ะ
ฝากติดตามต่ออีกหน่อยน้า ขอบคุณค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น