ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 32
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
เมอร์ซิเดสเบนซ์คันงามจอดลงที่หน้าคอนโดของหวังอี้ป๋อ
ร่างระหงของนายหญิงตระกูลหวังก้าวขาลงมาจากรถก่อนจะเงยหน้ามองตึกสูงลิบที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง...เธอไม่เคยหนักใจเลยว่าตระกูลหวังจะล่มสลาย
ถึงจะไม่ยอมเป็นทหารตามอย่างบรรพบุรุษแต่ลูกชายของเธอก็ไม่ใช่คนไม่เอาไหน
อี้ป๋อหัวไวแล้วก็หัวดีทีเดียว
ในขณะที่หนีไปทำตามความฝันแต่ก็รู้ตัวอยู่ตลอดว่าอาชีพนักแข่งรถนั้นมีขีดจำกัดอยู่แค่ช่วงหนึ่งของอายุเท่านั้นเอง
อี้ป๋อจึงใช้ต้นทุนของตระกูลหวังที่ตนมีอยู่ต่อยอดทำโครงการอสังหาริมทรัพย์มากมายทิ้งเอาไว้
อายุเท่านี้ถึงได้เป็นเจ้าของคอนโดทำเลทองไม่รู้กี่ตึกต่อกี่ตึก
รองเท้าคัทชูสีเขียวหยกอ่อนๆสีเดียวกับชุดกี่เพ้าที่สวมอยู่ก้าวขาเข้าไปในคอนโด
ถึงจะไม่ได้มานานแล้วแต่รปภ.ทุกคนก็จำหน้าเธอได้และรีบทำความเคารพทันที
ใบหน้าสวยพยักให้อย่างไม่ต้องมีพิธีรีตอง ปลายนิ้วเรียวกดลิฟท์ไปชั้น 45 โดยไม่จำเป็นต้องวีดีโอคอลขึ้นไปบอกล่วงหน้า
แล้วก็เพราะไม่ได้ยืนยันล่วงหน้าว่าจะมานั่นแหละ
เธอถึงต้องมากดออดอยู่หน้าห้องนานสองนาน
สองหูได้ยินเสียงก่อกแก่กอยู่หลังบานประตู
ก่อนจะมีเสียงวิ่งตึงตังจากไป แล้วก็วิ่งตึงตังกลับมาใหม่
จากนั้นก็เงียบไปอีกพักใหญ่จนเธอต้องกดออดซ้ำ
ประตูไม้บานหนาถึงค่อยๆแง้มเปิดออกจนได้
แล้วคนที่ออกมาเปิดประตูให้ก็ทำให้เธอชะงักค้างน้อยๆ
ถึงจะเตรียมใจเพื่อจะมาพบแต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอหน้ากันตั้งแต่ที่หน้าประตูแบบนี้
เจ้าของมือบางที่กุมลูกบิดอยู่นั้นคือเซียวจ้านไม่ผิดแน่…เธอจำอีกฝ่ายได้ดีเพราะเธอเห็นในโซเชียลของลูกชายแทบทุกวัน
ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็คงต้องเรียกว่าลูกสะใภ้สินะ?
“เอ่อ....คุณแม่ของอี้ป๋อใช่ไหมครับ?” ต่างฝ่ายต่างอ้ำอึ้ง
เธอเหลือบไปเห็นกรอบรูปในมือบาง
เมื่อกี้คงจะวิ่งไปหยิบรูปมาดูเทียบสินะว่าเธอเป็นใครและควรจะเปิดประตูให้ไหม...หรือว่า...อี้ป๋อจะไม่อยู่?
“...ใช่ ฉันคือคุณแม่ของหวังอี้ป๋อ…” เธอตอบรับไปแบบยังทำตัวไม่ถูก
ต่างฝ่ายต่างไม่เคยเจอกันมาก่อนแถมไม่มีคนกลางอย่างลูกชายเธออีก
เลยไม่รู้จะพูดจะทักทายกันยังไง
“เอ่อ...เชิญข้างในก่อนครับ” ร่างโปร่งบางที่ดูเลิ่กๆลั่กๆขยับหลบให้เธอเข้าไป
“เชิญนั่งที่โซฟาก่อนนะครับ งื้ออออ อี้ป๋อ~” ร่างโปร่งบางที่อยู่ในเสื้อฮู้ดตัวใหญ่สีแดงสดที่มีหูกระต่ายห้อยลงมาจากฮู้ดด้วยวิ่งวนกลับไปที่ห้องนอนอย่างลนลาน...สงสัยอี้ป๋อจะไม่อยู่จริงๆ
แล้วก็ไม่ได้บอกเซียวจ้านเอาไว้ด้วยว่าเธอจะมา
เธอมองตามลูกสะใภ้ที่พยายามแอบไปโทรศัพท์อยู่ในครัว
ถึงจะนั่งยองๆหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์แต่หูกระต่ายสีแดงก็ยาวละพื้นโผล่ออกมาให้เห็น
เธอมองภาพนั้นอย่างอึ้งๆ
ที่อี้ป๋อชอบใส่แคปชั่นว่า RED Rabbit นั้นไม่เกินจริงเลย
เพราะเจ้าคนที่กำลังกระโดดดึ๋งๆแอบคุยโทรศัพท์อยู่นั้นไม่ต่างจากกระต่ายสีแดงเลยจริงๆ
ตอนนี้มีความรู้สึกหลากหลายโผล่เข้ามาในใจเธอ ทั้งอึ้ง ทั้งผงะ ทั้งงง
ทั้งไม่คาดคิด แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เธอลดอาการเกร็งที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้าลงไปได้บ้าง
“อี้ป๋อ นายอยู่ไหนแล้ว?” เสียงใสกระซิบกระซาบกรอกลงไปในโทรศัพท์มือถือ
แต่ที่น่าขำคือเธอก็ได้ยิน ไม่รู้จะแอบไปทำไม แถมยังไม่รู้ตัวด้วยนะว่าเธอรู้แล้ว
ใบหน้ามนยังแอบเหลือบมองมาทางเธอเป็นระยะๆอีกแหน่ะ
“ผมเพิ่งถึงแวนคูเวอร์ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“แม่นายมาหาน่ะสิ”
“อ่า จริงด้วย ผมชวนแม่มาหาพี่ มัวแต่รีบจนลืมเลย”
“แล้วจะให้ทำไง?”
“พี่อยู่กับแม่ผมไปก่อนนะ แม่ไม่ดุหรอก ผมเสร็จธุระแล้วจะรีบบินกลับไป
แล้วก็อยู่แต่ในคอนโดก็พอ ไม่ต้องออกไปไหนนะ”
“อื้อ เข้าใจแล้ว”
“จ้านเกอ...ห้ามออกไปไหนเด็ดขาดเลยนะ”
“รู้แล้วน่า...นี่ประเทศบ้านเกิดชั้นนะ นายจะห่วงอะไรนักหนา”
เพราะเป็นพี่นี่แหละถึงได้น่าห่วง
จะอยู่ประเทศไหนก็เถอะ!...เหมือนเธอจะได้ยินเสียงแว่วออกมาจากที่ที่ไม่มีเสียงเลย?
แล้วก็ดูท่าทางจะสื่อสารกับอี้ป๋อเสร็จแล้วสินะ
ร่างโปร่งบางในฮู้ดสีแดงจึงค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากหลังเคาน์เตอร์
ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นหัวเราะแหะๆก่อนจะเดินมาหาเธอ
“อี้ป๋อไม่อยู่เหรอ?” เสียงนุ่มนวลถามออกไป
“อี้ป๋อบินไปแคนาดาเมื่อคืนครับ พอดีมีงานด่วน ตอนนี้อยู่แวนคูเวอร์
คืนนี้ก็น่าจะกลับแล้วครับ” เสียงใสเอ่ยรายงาน
“อ่ะ! ลืมแนะนำตัวเลย ผมเซียวจ้านครับ” ร่างโปร่งบางแนะนำตัวอย่างกระตือรือร้น
เธอพยักหน้ารับเบาๆ
ถึงนิสัยจะผิดคาดไปเล็กน้อยเพราะเธอคิดมาตลอดว่าเด็กคนนี้น่าจะอ่อนหวานเรียบร้อย...
แต่อย่างน้อยหน้าตาก็แทบจะถอดมาจากไอจีของอี้ป๋อเป๊ะๆ...อี้ป๋อคงไม่ได้แต่งรูปเลยสินะ
เพราะงั้นที่เธอเคยเห็นว่าในรูปน่ารักยังไง ตัวจริงยิ่งน่ารักกว่า
แต่สิ่งที่เธอสัมผัสไม่ได้จากในไอจีคือเด็กคนนี้ผิวพรรณดีมาก
ใบหน้าทั้งเนียนทั้งใส เครื่องหน้าทุกอย่างได้รูปสวยงามไปหมด
เหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบชั้นสูงเลยทีเดียว...นับว่าอี้ป๋อตาดีมาก
แล้วยิ่งตอนยิ้ม...หัวใจของคนที่ได้มองใกล้ๆอดไม่ได้เลยจริงๆที่จะหวั่นไหว
เธอถึงกับนิ่งค้างไปเมื่อเซียวจ้านยิ้มให้
เป็นรอยยิ้มที่สวยมากจริงๆ...
นี่ถ้าเป็นผู้หญิง
ท่านนายพลคงรีบยกขันหมากไปสู่ขอให้แล้ว
“เอ่อ...คุณแม่มีอะไรที่อยากทำหรืออยากไปไหมครับ? วันนี้ผมจะรับหน้าที่แทนอี้ป๋อเอง!
ไว้ใจได้เลยครับ!” เอ๋? เมื่อกี้อี้ป๋อไม่ได้สั่งไว้หรอกเหรอ
ว่าห้ามออกไปไหน? เหมือนเธอจะได้ยินแว่วๆนะ?
แต่เหนือสิ่งอื่นใด
ถ้อยคำที่ทำให้เธอใจเต้นแรงก็คือ จู่ๆเด็กคนนี้ก็เรียกเธอว่า “แม่”
มันทั้งรู้สึกแปลกๆ ทั้งไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่าจะห้ามดีไหม
หรือจะชอบดี? แล้วในขณะที่เธอยังไม่ทันมีเวลาคิด
เจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อก็วิ่งพรวดพราดเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องไปแล้ว
ทำไมไวเหมือนกระต่ายขนาดนี้เนี้ย?
“ความจริงผมมีที่ที่อยากไปอยู่ครับ กว่าอี้ป๋อจะกลับมาก็คงไม่มีเวลาไปแล้ว
ถ้ายังไงเราไปกันวันนี้ดีไหมครับ?” ใบหน้ามนที่ล้อมกรอบด้วยผมหน้าม้าสีดำเอ่ยบอกเธอตาแป๋วที่เห็นแล้วก็ปฏิเสธไม่ลง
เธอจึงพยักหน้ารับแบบงงๆ
ร่างโปร่งบางเปลี่ยนจากฮู้ดชุดนอน?สีแดงเป็นเสื้อคอเต่าสีขาวกับโค้ทเข้ารูปสีดำ
ถึงเธอจะไม่รู้เรื่องแบรนด์ของต่างประเทศมากนักแต่ก็ต้องชมเลยว่าเซียวจ้านใส่ออกมาแล้วดูดีมากจริงๆ
มือบางหยิบกุญแจรถก่อนจะเดินนำออกไป
จนกระทั่งลงมาถึงที่จอดรถ
เธอก็ต้องแปลกใจอีกรอบ
“ไม่ใช้รถอี้ป๋อเหรอ?” เธอจำได้ว่ารถของลูกชายเป็นออร์ดี้สีออกดำๆ
แต่คันที่จอดอยู่ตรงหน้าคือ Ferrari Portofino M รุ่นใหม่ล่าสุด
สีขาวงาช้าง
“อี้ป๋อเอารถไปสนามบินด้วยครับ”
“แล้วคันนี้...”
“ปะป๊าส่งมาให้ผมใช้ที่นี่ครับ เพราะขับซุปเปอร์คาร์มาตลอด
ผมเลยมีความมึนงงกับเกียร์ธรรมดาเล็กน้อย
ปะป๊ากลัวจะไปสอยตูดใครเข้าเลยส่งซุปเปอร์คาร์ของที่บ้านมาให้ใช้ไปก่อนครับ
ห่วงอะไรนักหนาก็ไม่รู้? รถธรรมดาผมก็ขับได้ แค่งงหน่อยเอง”
ใบหน้ามนบ่นงึมงำ
เธอถึงกับยืนนิ่ง….แค่ก้าวขาออกจากบ้าน
แวววุ่นวายก็มาเยือนแล้วไหม?...จะยังไปต่อดีไหมนะ? หรือกลับขึ้นห้องดี? เธอลอบคิดอยู่ในใจ
“ว้าว~ ชุดคุณแม่เข้ากับรถผมมากเลย
เป็นความคอนทราสต์ที่ลงตัวมาก เหมือนงานอาร์ตเลย!” แล้วจู่ๆเจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อก็เปลี่ยนเรื่อง
ดวงตากลมโตมองชุดกี่เพ้าสีเขียวหยกอ่อนๆของเธอด้วยแววระยิบระยับประทับใจ
เธอก็ไม่รู้หรอกนะว่าคลาสสิคไชนีสแบบเธอไปเข้ากับรถคันนี้ได้ยังไง
แต่พอถูกชมตรงๆก็อดเขินไม่ได้
“ไปกันเลยไหมครับ?” เธอพยักหน้าเงียบๆก่อนจะมองไปยังรถที่มีเพียงสองเบาะ
เครื่องหมายคำถามวิ่งวนเต็มหน้า แล้วจะให้เธอนั่งตรงไหน?
แล้วผู้เป็นสะใภ้ก็เดินมาเปิดประตูรถให้
เธอจึงต้องก้าวขาเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับอย่างเก้ๆกังๆ...ต้องเข้าใจนะว่าเธอเป็นภริยาผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดมาตลอด
ย่อมไม่เคยนั่งเบาะหน้าข้างๆคนขับรถอยู่แล้ว
แถมรถที่เธอนั่งล้วนเป็นรถรุ่นพ่อแบบหรูหราวิ่งช้าๆ
แต่เจ้าคันนี้คือม้าลำพองที่วิ่งด้วยความเร็วดุจจรวด...จะรู้สึกแปลกใหม่จนตื่นเต้นก็ไม่น่าแปลกใจ
“ไปกันเล้ย!” เสียงใสเอ่ยออกมาอย่างร่าเริง
สองมือของเธอเผลอจับเบาะแน่น แต่เจ้าเฟอร์รารี่สีขาวคันนี้กลับแล่นออกไปช้าๆ
ไม่รู้เป็นเพราะมีเธอนั่งไปด้วยหรือยังไง
แต่เซียวจ้านก็ไม่ได้ขับเร็วจนน่ากลัวอย่างที่คิด
ถึงภายนอกเธอจะนิ่งเฉยแต่เธอก็แอบลอบมองเจ้ารถที่ปราดเปรียวคันนี้อย่างทึ่งๆ
เสียงมันไม่เหมือนรถทั่วไป ภายในก็ไม่เหมือนรถทั่วไป
เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้จะได้มานั่งรถที่เค้าเรียกกันว่าซุปเปอร์คาร์
ยิ่งเจ้าคันนี้เห็นอาจ้านบอกว่ามันสามารถเปิดประทุนได้ด้วยเพียงแต่ตอนนี้หนาวเกินไปที่จะทำแบบนั้น
“เลี้ยวซ้าย ตรงไปอีก500เมตร” เสียงGPSนำทางบอกเป็นระยะๆ นี่ก็อีก...เธอไม่เคยใช้มาก่อน
เพราะคนขับรถที่บ้านต้องศึกษาเส้นทางมาเป็นอย่างดีถึงจะมาขับรถให้เธอได้
ไอ้ที่จะไปแบบด้นสดแบบนี้เพิ่งเคยทำ
“เลี้ยวขวา อีก200เมตร” เซียวจ้านขับรถตามที่ระบบนำทางบอก
แรกๆมันก็ดูเวิร์คดีหรอก แต่อย่าลืมไปว่าที่นี่คือมหานครเซี่ยงไฮ้
ถนนหนทางจึงไม่ได้มีแค่เลเยอร์เดียว
“ตรงไป ขึ้นสะพานแล้วข้ามแยก”
“ห๋า? สะพานไหนอ่ะ? มีสะพานอยู่บนหัวตั้งกี่อันเนี่ย?”
….เธอรู้สึกถึงหายนะที่เริ่มจะมาเยือน...เสียงใสร้องโวยวาย
ใบหน้ามนนั่นมองขึ้นไปด้านบน ตรงนี้มีทั้งสะพานข้ามแยก สะพานกลับรถ
และที่ร้ายที่สุดคือสะพานข้ามแม่น้ำ!
ถ้าขับไม่ถูกหลงเข้าขดวงกลมนั่นละก็...ได้ไปโผล่อีกทีที่ฝั่งผู่ตงแน่ๆ
เธอเริ่มเหลือบมองเจ้าลูกสะใภ้อย่างหวั่นใจ
แล้วเจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
“เดี๋ยวนะครับ ผมขอจอดดูแผนที่หน่อย” แล้วมือบางก็หักเลี้ยวเข้าข้างทางทันที
“เอ่อ...” เธอจะบอกก็ไม่ทันแล้ว...ว่าตรงนี่มีป้ายห้ามจอดปักอยู่
แล้วเจ้ารถเฟอร์รารี่คันนี้ก็ดันจอดหน้าป้ายนั่นพอดีเป๊ะ ไม่เห็นหรือไงเนี่ย?!!
วี๊หว่อ
วี๊หว่อ~
ไม่นานเกินรอ
เสียงวี๊หว่อๆก็แว่วเข้ามาในหู “เอ่อ….” เธอพยายามจะบอกเจ้าสะใภ้ที่ยังก้มหน้าก้มตาถ่างแผนที่ในโทรศัพท์ดูอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
วี๊หว่อ
วี๊หว่อ~
เธอได้แต่ยิ้มแห้งเมื่อเสียงไซเรนดังตามติดมาใกล้
รถมอเตอร์ไซค์ตำรวจจอดลงข้างๆ ส่วนคนที่กำลังขยายแผนที่ดูก็ยังไม่รู้ตัวอีกนะ
ก๊อกๆๆ
คุณตำรวจถึงกับลงมาเคาะกระจกเรียก
“หื๋อ? มีอะไรหรือเปล่าครับคุณตำรวจ?” ยังมีหน้าหันไปถามเค้าอี๊ก~เจ้าลูกสะใภ้ของเธอ...
“ตรงนี้ห้ามจอดนะครับ” คุณตำรวจเอามือจิ้มป้ายให้ดู
“อ้าว? มีป้ายมาปักตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ใบหน้ามนเอียงคอสงสัยเมื่อมองเห็นป้าย
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นจ้องมองมันเหมือนเพิ่งจะเห็นนี่แหละ...เธอถึงกับมีเหงื่อหยดที่หน้าผาก...จะไหวไหมเนี่ย??.....
“ปักมาเป็นร้อยปีแล้วครับ” คุณตำรวจก็ยังอุตส่าห์รับมุก
“เอาใบสั่งนี่ไปเสียค่าปรับที่สถานีเลยครับ” คุณตำรวจยื่นใบสั่งเข้ามาให้
“ห๊ะ?”
“ไม่ต้องมาห๊ะ เอาไป” คุณตำรวจยัดใบสั่งใส่มือบาง
“งื้อ~ อีกแล้วเหรอ~” ใบหน้ามนเงยร้องงอแงกับพวงมาลัย
ว่าแต่...อีกแล้วเหรอ นี่มันยังไงกัน?
Ferrari
Portofino M ขับตามรถมอเตอร์ไซค์ตำรวจไปจนถึงสถานีตำรวจ
เธอเดินลงไปเป็นเพื่อนลูกสะใภ้อย่างเขินอายนิดหน่อย
ก็ปกติภรรยาท่านนายพลเคยโดนตำรวจจับมาแบบนี้ที่ไหน มีแต่เธอติดตามสามีไปแล้วนายตำรวจทั้งสถานีต้องลุกทำความเคารพทั้งนั้น
ยังดีที่นายตำรวจส่วนใหญ่มัวแต่วุ่นวายจนไม่มีใครสังเกตุเห็นเธอ
ว่าแต่...ลูกสะใภ้ที่เจอกันวันแรกก็พาแม่สามีมาทัวร์โรงพักเลยนี่มันยังไงกันนะ? เธอได้แต่ส่ายหน้าให้กับเจ้ากระต่ายน้อยของลูกชายที่เดินทำหน้ายุ่งตามคุณตำรวจไป
แต่ก็นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน
ความรู้สึกซุกซนเหมือนคนทำความผิดเล็กๆมันเป็นประมาณนี้เองเหรอ
ผู้หญิงที่อยู่ในกรอบมาตลอดอย่างเธอไม่เคยรู้จักเลย
“จอดรถในที่ห้ามจอด เสียค่าปรับ 500 หยวน”
คุณตำรวจอธิบายโทษ
“รับบัตรเครดิตไหมครับ?” เจ้าลูกสะใภ้ถามเสียงใส
คุณตำรวจคิ้วกระตุกก่อนพยายามสงบใจแล้วตอบกลับมา “......รับแต่เงินสดครับ ที่นี่สถานีตำรวจนะไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อ!”
“ผมไม่มีเงินสดอ่ะ ปกติหวังอี้ป๋อเป็นคนจ่ายให้”
“งั้นก็ไปเรียกหวังอี้ป๋อมา”
“หวังอี้ป๋ออยู่แคนาดา”
“โว้ยยย นี่ชั้นไปจับตัวอะไรมากันฟ๊ะ?!” คุณตำรวจทำท่าเหมือนอยากจะบีบคอลูกสะใภ้ของเธอเสียเต็มประดา
แต่เพราะใบหน้าน่ารักนั่นตอบตามความจริงอย่างใสซื่อไม่ได้ตั้งใจกวนประสาทมันจึงให้ความรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นสัตว์เล็กที่กำลังโต้เถียงมากกว่า
ทั้งน่าเอ็นดูและน่าหมั่นเขี้ยวไปพร้อมๆกัน
เธอแอบขำจนท้องคัดท้องแข็ง
ทั้งๆที่ควรจะเครียดกับความไม่ได้เรื่องได้ราวของเด็กคนนี้แต่ต้องยอมรับว่าท่าทางที่น่ารักอย่างเป็นธรรมชาตินั้นมันกลับน่ามองจนโกรธหรือรำคาญไม่ลงจริงๆ
กลับกันมันยังทำให้ละสายตาไม่ได้อีกต่างหาก
แล้วในขณะที่มือเรียวตั้งใจจะล้วงกระเป๋าถือเพื่อจ่ายเงินให้
เสียงใสก็โพล่งออกมาก่อน
“อ่ะ! เดี๋ยวผมไปดูในรถให้นะ ปะป๊าอาจจะเตรียมไว้ให้” แล้วร่างโปร่งบางก็วิ่งปรู๊ดออกไป
“มีจริงๆด้วย!” ก่อนจะกลับมาใหม่พร้อมเงินสดในมือ
“พ่อนายนี่...รู้เลยใช่ไหมว่านายจะโดนตำรวจจับแล้วก็จะไม่มีเงินจ่าย?”
คุณตำรวจรับเงินไปอย่างปลงๆ
“คงรู้มั้งครับ เพราะผมกลับบ้านทีไรก็โดนตำรวจจราจรจับตลอดเลย ไม่รู้ทำไม?
งงมาก?”
“ชั้นว่าไม่น่างงนะ....ดูสภาพแล้วเนี่ย...” คุณตำรวจส่ายหน้า ส่วนเธอถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น
ตอนนี้กลั้นหัวเราะจนเจ็บท้องไปหมดแล้ว
“คุณตำรวจ” เสียงใสยังไม่หมดปัญหา
“หื๋อ?”
“มีคูปองค่าปรับไหมครับ? วันนี้ไม่รู้จะโดนอีกกี่รอบ
ถ้าต้องกลับมาที่สถานีตำรวจทั้งวันก็ไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี
ผมจะได้เสียล่วงหน้าไปก่อนเลย เนี่ย ปะป๊าใส่เงินสดไว้ให้อีกหลายพันหยวนเลย”
แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ~~ เธอแอบหัวเราะจนไหล่สั่น
“นายนี่มัน...ก็ขับรถให้มันดีๆสิโว้ย! ป้ายห้ามจอดก็มี ก็หัดมองซะบ้างสิ!
อ๊าก ไอ้ความกระต่ายนี่มันอะไรกัน?!!” คุณตำรวจถึงกับหันไปเขย่าเก้าอี้
“หงึ ต้องโทษถนนของคุณตำรวจนั่นแหละ ซ้อนไปซ้อนมาจนผมงงไปหมดแล้ว แค่จอดดูGPSเอง ทำไมต้องจับกันด้วย”
“ไปๆ รีบๆไปเลย แล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีกนะ!”
“ถ้าคุณตำรวจให้คูปองค่าปรับ ผมคงไม่กลับมาอีก” คุณตำรวจกุมขมับพลางโบกมือไล่ เธอจึงต้องพยายามหยุดหัวเราะแล้วพาเจ้าลูกสะใภ้ตัวดีออกมาจากสถานีตำรวจ
เข้าใจแล้วจริงๆว่าทำไมอี้ป๋อถึงได้ดูห่วงนักหนา
คนทั่วไปคงไม่มีใครเป็นแบบนี้หรอกไหม ไอเดียประหลาดๆพวกนี้นี่คิดได้ยังไง
เธอยังขำไม่หาย
“เดี๋ยวแม่...คอยช่วยดูให้แล้วกันว่าตรงไหนห้ามจอด...” เธอเอ่ยบอกในขณะคาดเข็มขัดนิรภัย
“ขอบคุณครับ ไม่รู้ถนนในจีนนี่จะซับซ้อนไปไหน ขนาดผมกลับจีนปีละสองครั้ง
ตำรวจทั้งป้อมที่ฉงชิ่งยังรู้จักผมหมดเลย” ….นี่โดนจับบ่อยขนาดไหนกันเนี่ย?
“ไม่ใช้คนขับรถเหรอ?” เธอเริ่มคุยกับคนข้างๆมากขึ้น
“เกรงใจครับ ต้องให้ใครมารอผมทั้งวัน อีกอย่างผมนึกอยากจะไปไหนก็ไป
หลังๆมานี้ยิ่งไม่ค่อยได้ขับรถเพราะอี้ป๋อคอยไปรับไปส่งตลอด
แถมถนนในอิตาลีก็ไม่ซับซ้อนด้วย” เสียงใสบ่นงึมงำ
พวงมาลัยที่มีโลโก้ม้าลำพองติดอยู่ยังคงหมุนไปหมุนมาเมื่อรถเลี้ยวไปตามถนน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้หัวใจของเธออุ่นวาบขึ้นมาเมื่อได้ฟังก็คือ
ในที่สุดเธอก็รู้ว่าลูกชายของเธอสามารถดูแลคนที่ตัวเองรักได้แล้ว
อี้ป๋อต้องเอาใจใส่เซียวจ้านมากๆถึงได้คอยไปรับไปส่งแบบนั้นทั้งๆที่ไม่เคยทำให้ใคร
“เมื่อกี้...ถ้าอ้างชื่อท่านนายพล พ่อของอี้ป๋อออกไป
เธอก็จะไม่ต้องเสียค่าปรับแล้วก็จะไม่มีใครกล้าจับเธออีก” เส้นสายอาจจะไม่ใช่เรื่องดี แต่บางทีมันก็ทำให้สะดวกสบาย
“หื๋อ? ผมทำผิดแล้วทำไมต้องอ้างชื่อคนอื่นล่ะครับ?
ถ้าทำแบบนั้นคุณพ่อก็จะดูไม่ดีไปด้วย ไม่เป็นไรหรอกครับ”
แล้วเจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อก็ทำให้เธอยิ้มบางๆออกมา
“อ๊ะ ถึงแล้ว!” เสียงใสอุทานเบาๆก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอด
“ตรงนี้จอดได้” เธอหันไปยิ้มให้เหมือนจะหยอกล้ออยู่ในที
ซึ่งปกติแล้วเธอแทบไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใคร ก็ดูลูกชายและสามีผู้จริงจังของเธอสิ
มีโอกาสให้ล้อเล่นด้วยเสียที่ไหน
“แหะแหะ” ต่างจากลูกสะใภ้ที่หัวเราะสดใสก่อนจะชวนกันลงจากรถคนนี้
แล้วสถานที่ที่อาจ้านพาเธอมาก็ทำเอาอึ้งไปอีกรอบ
ตอนนี้เธอยืนอยู่หน้าวัดจิ้งอัน วัดใหญ่ชื่อดังอันดับต้นๆของเซี่ยงไฮ้
“ไม่นึกว่าเด็กๆอย่างเธอจะชอบมาวัด...” นึกว่าจะพาไปย่านช็อปปิ้งอะไรพวกนั้นเสียอีก
“ผมมาขอพรครับ ในอิตาลีไม่มีวัดจีนแบบนี้ ผมเลยอยากมาที่นี่”
“ขอพร?”
“ครับ” ใบหน้ามนยิ้มแฉ่งอย่างน่าเอ็นดูก่อนจะเดินนำเข้าไปในวัดจีนที่มีอายุหลายร้อยปี
ควันธูปลอยโขมงอยู่ในมือบาง
ใบหน้าหวานตั้งจิตอธิษฐานอย่างสงบก่อนจะเอาธูปนั้นไปปักในกระถาง
ร่างโปร่งบางยังเดินขึ้นไปขอพรจากพระใหญ่ในวิหารต่ออีก
วงหน้าที่กำลังหลับตาประสานสองมือไว้ตรงหน้าอย่างตั้งใจนั้นชวนให้เธออยากรู้เสียจริงๆว่ายังมีสิ่งใดที่ต้องการอีกเหรอถึงได้ต้องมาขอต่อพระท่านแบบนี้?
เท่าที่เธอดูจากสายตา
เซียวจ้านก็น่าจะมีครบหมดแล้ว ไม่ว่าจะรูปร่าง หน้าตา ฐานะ เงินทอง หัวสมอง สุขภาพ
หรือแม้แต่คู่ชีวิตที่ดีอย่างลูกชายของเธอ
“คนเมื่อกี้บอกว่า
ถ้าโยนเหรียญเข้าเจดีย์ธูปที่อยู่กลางลานได้ก็จะขอพรได้ด้วยนะครับ ผมจะโยน”
ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นมุ่งมั่นเหมือนเด็กๆ
จนเธอยิ่งข้องใจมากกว่าเดิมว่ามีเรื่องอะไรให้ต้องขอพรหนักหนา
ถึงได้ขอมันตั้งแต่หน้าประตูวัดจนจะกลับออกไปอีกรอบ
ร่างโปร่งบางโยนเหรียญอยู่ห่างๆแต่ก็ยังไม่เข้าสักที
เสียงแก๊งๆดังอยู่นับสิบรอบเพราะมันไม่ใช่ง่ายๆที่จะโยนเหรียญใส่ช่องที่อยู่สูงเหนือหัวไปมากขนาดนั้น
เธอมองเห็นกระต่ายน้อยกระโดดเหยงๆอย่างพยายามเต็มที่อยู่หน้ากระถางธูปยักษ์
ใบหน้าน่ารักนั่นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนเธอเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ
ไม่รู้เช้านี้เธอหลุดหัวเราะเพราะใบหน้างุ้ยๆหงึๆนั่นมากี่รอบกันแล้ว
ไม่แปลกใจเลยที่อี้ป๋อจะหลงรัก
แก๊ง...
เสียงก้องกังวานดังขึ้นเมื่อเหรียญหล่นลงไปในกระถางธูปจนได้
“เย้! เข้าแล้ว! หม่าม้าดูสิ! เข้าแล้ว!” เจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อกระโดดอย่างดีใจเข้ามาหา
เสียงใสเผลอเรียกเธอว่าหม่าม้าซึ่งมันทำให้หัวใจของเธอกระตุกไปวูบหนึ่ง
สิ่งที่แผ่ซ่านอยู่ในใจอย่างควบคุมไม่ได้นี้คือความดีใจหรือเปล่า? เธอรู้สึกดีที่ถูกเรียกอย่างสนิทสนมแบบนั้น?
“อ๊ะ! รีบขอพรก่อน!” แล้วร่างโปร่งบางก็คุกเข่าลงไป
สองมือพนมไว้ตรงหน้า ดวงตากลมโตปิดลง
แต่คราวนี้ด้วยความรีบร้อนจึงเผลอออกเสียงคำอธิษฐานเหล่านั้นออกมา
“ขอให้อี้ป๋อขับรถอย่างปลอดภัย
ไม่ว่าจะในสนามแข่งหรือที่ไหนๆก็ไม่มีภยันอันตรายใดๆ
ขอให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุทั้งปวงนะครับ” เธอถึงกับตัวชา...ที่แท้คำขอพรทั้งหมดของเซียวจ้านก็มีเพื่อลูกชายของเธอทั้งนั้น
เธอมองคนที่ยังคุกเข่าด้วยสายตาอึ้งๆ
คนเป็นแม่อย่างเธอต้องรู้สึกยังไง
ที่มีคนห่วงใยลูกชายของตัวเองถึงขนาดนี้
น้ำตารื้นขึ้นมาจนต้องรีบกระพริบตาไล่
หัวใจนั้นเต็มตื้นไปหมด
“ไปแตะหยกตรงนั้นแล้วขอพรด้วยสิพ่อหนุ่ม” ชายวัยกลางคนที่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของวัดตะโกนบอกอาจ้านด้วยรอยยิ้มชอบใจ
“อ๊ะ ขอบคุณครับ!” แล้วเจ้าคนที่เพิ่งขอพรตรงนี้เสร็จก็วิ่งไปที่หน้าหินหยกต่อ
เธอยืนมองตามด้วยความตื้นตันใจ คงจะไปขอพรให้อี้ป๋ออีกสินะ
แล้วเธอจะหักห้ามใจ
ไม่ให้หลงรักเด็กคนนี้ได้ยังไง?
“หม่าม้าหิวหรือยังครับ? อี้ป๋อเคยส่งรีวิวร้านเสี่ยวหลงเปามาให้
ว่าจะไปกินด้วยกัน แต่กว่าอี้ป๋อจะกลับมาคงไม่ทันแล้ว
พวกเราต้องไปฉงชิ่งกันต่อ...อืม...อยู่ไหนนะ ผมหาก่อน” มือบางไล่หาจากข้อความในโทรศัพท์มือถือ พอได้ยินว่าทั้งสองคนจะต้องไปฉงชิ่งต่อก็เลยเกิดความสงสัยขึ้นมา
ที่นั่นคือบ้านเกิดของเซียวจ้านไม่ใช่เหรอ?
“ที่บ้านเธอ...รู้เรื่องเธอกับอี้ป๋อแล้วใช่ไหม?” เธอก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าพ่อแม่เซียวจ้านเป็นใคร
ตั้งแต่ที่เริ่มประกาศว่าคบกัน ท่านนายพลก็สืบประวัติของเซียวจ้านมาหมดแล้ว
“ครับ ป๊ากับม้ารู้แล้วครับ เมื่อเดือนก่อนยังไปหาที่อิตาลีอยู่เลย
ปีใหม่ปีนี้ผมไม่ต้องอยู่กับพวกเฟอร์รารี่
ป๊าม้าเลยบังคับว่ายังไงก็ต้องกลับบ้านให้ได้” เธอเงียบฟัง
“อ้อ ไม่ต้องกังวลนะครับ อี้ป๋อเข้ากับป๊าม้าได้ดีครับ” อาจ้านหันมายิ้มให้ ความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้นในใจของเธอ
ดีใจและคลายกังวลที่อี้ป๋อได้รับการยอมรับจากพ่อแม่อีกฝ่าย
ในขณะเดียวกันเธอก็เสียใจที่ทำแบบนั้นให้เซียวจ้านไม่ได้
เธอเอง...ก็อยากให้ที่บ้านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาในวันปีใหม่เหมือนกัน
นานแค่ไหนแล้วที่มีเพียงเธอกับสามีอยู่ในบ้านที่เงียบเหงากันตามลำพัง
“หม่าม้า?” เสียงใสเอ่ยเรียก
เธอจึงหลุดจากภวังค์
“มีอะไรเหรอ?” เธอหันไปถามคนที่จ้องเธอด้วยดวงตาใสแจ๋ว
“ถ้าหม่าม้าว่าง จะไปเที่ยวบ้านผมที่ฉงชิ่งด้วยกันก็ได้นะครับ
ปะป๊ากับหม่าม้าผมคงดีใจมาก” ใบหน้ามนยิ้มให้จากใจจริงและทุกถ้อยคำนั้นก็ทำให้เธอถึงกับชะงักค้าง
อีกครั้งกับคำถามที่ว่า...สิ่งที่แผ่ซ่านอยู่ในใจอย่างควบคุมไม่ได้นี้คือความดีใจหรือเปล่า?
และรอยยิ้มที่ค่อยๆเบ่งบานอยู่บนใบหน้าของเธอก็แทนคำตอบของคำถามนี้แล้ว...
เฟอร์รารี่สีขาวจอดลงในตรอกแห่งหนึ่ง
ดูเหมือนเซียวจ้านจะหาร้านเสี่ยวหลงเปาในรีวิวเจอจนได้
“เหว๋อ~ ทำไมคนเยอะจัง~ แถวยาวออกมาเป็นกิโลเลย!”
ร่างโปร่งบางแทบจะถอยครูดเมื่อมองเห็นแถวที่ยาวออกมาจากหน้าร้านเสี่ยวหลงเปาในตำนาน
ดวงตากลมโตจ้องมองหางแถวด้วยแววเสียดายก่อนจะค่อยๆหันมามองหน้าเธอแล้วถามความเห็นด้วยเสียงอ่อยๆ
“หม่าม้า...ต่อแถวไหวไหม?...หรือว่า...เปลี่ยนไปกินร้านอื่นดี?...งืม…” แต่ดูจากใบหน้าที่แทบจะมีน้ำลายไหลย้อยออกมาก็คืออยากกินร้านนี้จริงๆสินะเจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อ?
เธอหันไปมองการต่อคิวพวกนั้นอย่างไม่คุ้นเคยเท่าไหร่นัก
ภรรยาท่านนายพลเคยต้องมาต่อแถวแบบนี้เสียที่ไหน? ร้านส่วนใหญ่แทบจะปิดร้านเพื่อต้อนรับหรือไม่ก็เตรียมโต๊ะเป็นพิเศษให้หากเธอและสามีไปกิน
การต้องมายืนขาแข็งเพื่อรอคิวแบบนี้เธอจึงไม่เคยทำ
แต่พอหันไปเห็นเจ้ากระต่ายน้อยที่มองตาละห้อยแล้วเธอก็ถึงกับถอนหายใจ
“ลงไปกันเถอะ แค่ต่อแถวเอง” อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้ทำหมดเมื่ออยู่กับเจ้าลูกสะใภ้คนนี้
ดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้แหละ แต่เธอก็ทนสายตาอ้อนๆนั่นไม่ไหวจริงๆ
“ครับ!” เสียงใสตอบอย่างกระตือรือร้นทันที
สองแม่ลูกจึงเข้าไปต่อแถวที่มีไม่ต่ำกว่า 20 คิว
อากาศที่หนาวเย็นทำให้เธอต้องยกสองมือขึ้นมาถูกันไปมา
อาจ้านขยับมายืนบังลมให้เท่าที่ไหล่แคบๆนั่นจะทำได้ ดูจะห่วงแม่สามีอย่างเธอก็ห่วง
แต่ห่วงกินก็ห่วง...เจ้ากระต่ายน้อยเอ้ย...เธอไม่เคยเจอลูกหลานนักธุรกิจพันล้านคนไหนเป็นแบบนี้เลย
เด็กสาวส่วนมากจะพยายามทำตัวเรียบร้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ
ส่วนเด็กหนุ่มส่วนใหญ่ก็จะไว้ตัวเพื่อในสมฐานะ ไม่มีหรอกที่จะมายืนน้ำลายยืดเมื่อได้กลิ่นเสี่ยวหลงเปาเนี่ย
เธอแอบขำ
ในขณะที่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
เซียวจ้านหยิบมือถือของตัวเองมาดูก่อนจะทำหน้าเหยเก
“หง่ะ”
“หง่ะอะไร? ทำผิดอยู่ใช่ไหม?” อาจ้านยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเสียงเฮี้ยบๆของลูกชายเธอก็ดังออกมาจนเธอได้ยิน
“เปล๊า….ไม่ได้ทำอะไรเล้ย….” ดวงตากลมโตล่อกแล่กอย่างมีพิรุธ เสียงก็มีพิรุธ ใครจับไม่ได้ก็แปลกแล้ว
แต่เธอขำเจ้าลูกสะใภ้นี่มากกว่าที่ยังเชื่อมั่นว่าจะหลอกอี้ป๋อได้
“ผมได้ยินเสียงเรียกคิวร้านเสี่ยวหลงเปานะ อย่ามาแถ แอบออกไปข้างนอกใช่ไหม?
บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้อยู่แต่ในคอนโด
ขับรถในเซี่ยงไฮ้ไม่เป็นเดี๋ยวก็ได้โดนตำรวจจับอีกหรอก” ….โดนจับไปแล้วแหละ หายห่วงได้ คุณลูกชาย
“งื้อ! ก็ได้ๆ ชั้นออกมาไหว้พระแล้วก็แวะกินเสี่ยวหลงเปากับหม่าม้า
นายอิจฉาล่ะสิเลยห้ามไม่ให้ชั้นออกมา แบร่~”
“เดี๋ยวเถอะ กลับไปจะตีให้ตูดลายเลย” เสียงอี้ป๋อหมั่นเขี้ยวเสียเต็มประดา
ส่วนทางนี้ก็กลัวเสียที่ไหน
“เหอะ แน่จริงก็มาสิ! รีบๆกลับมาเลย!”
“กำลังจะไปสนามบินเนี่ย เตรียมก้นรอไว้เลย”
“จะกลับแล้วเหรอ? เดินทางดีๆนะ!” จากเมื่อกี้ยังก่อกวนเค้าอยู่เลยแต่พอเค้าบอกกำลังจะมา เสียงใสก็เปลี่ยนโหมดเป็นดีใจเสียแบบนั้น
“ครับ พี่ก็ขับรถระวังๆด้วย ฝากบอกแม่ว่าให้ช่วยดูแลพี่ด้วยนะ”
“งื้อ! ชั้นสิต้องดูแลหม่าม้า! ชั้นพึ่งพาได้สุดๆเลยนะ!”
“ครับๆ ฝากดูแลคุณแม่ผมด้วย แล้วเจอกันนะ คิดถึง”
“ชั้นก็คิดถึงนาย~ รีบๆมานะ”
“ครับ บายนะ”
“อื้อ บาย” ใบหน้ามนยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่โทรศัพท์
ส่วนคนที่ยืนฟังอยู่ข้างๆอย่างเธอนี่แทบจะสำลักน้ำเชื่อมตายแล้ว
สองมือยกขึ้นมาลูบแขนอย่างอุปทานว่ามีมดเป็นร้อยตัวไต่ขึ้นมาเก็บน้ำตาลที่หกเรี่ยราดอยู่แถวนี้
จากที่ตีกันอยู่ดีๆดันเปลี่ยนเป็นหวานเฉย เล่นเอาแม่สามีอย่างเธอทำตัวไม่ถูกเลยเนี่ย
“ถ้าเธอมากับอี้ป๋อ ก็มารอต่อแถวแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม?” เธอถามออกไปอย่างอยากรู้
เพราะเธอไม่เคยรู้เลยว่าปกติแล้วอี้ป๋อใช้ชีวิตยังไง
“ครับ มายืนรอด้วยกันก็สนุกดี ระหว่างที่รออยู่ก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย
แป๊บเดียวก็ถึงคิวแล้ว ผมว่ามันก็ดีนะ เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ
ดีกว่าไปร้านว่างๆ รีบๆกินรีบๆกลับ” ใบหน้ามนยิ้มอย่างไม่ถือสาว่าเป็นถึงคนดังแต่ยังต้องมาต่อแถวอยู่ในตรอกแคบๆแบบนี้
ดูท่าว่าลูกชายของเธอก็ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดากว่าที่คิด
แล้วฟังจากโทรศัพท์เมื่อกี้เธอก็เชื่อว่าต่อให้เข้าแถวรอเป็นชั่วโมงๆ
ทั้งสองคนก็คงหาเรื่องมาคุยกันได้ตลอดนั่นแหละ
“ตอนอยู่บ้านที่อิตาลี อี้ป๋อก็ไปต่อแถวซื้อโดนัทนมสดตอนเช้าให้ผมบ่อยๆ
ผมไม่เคยตื่นทันเลย แต่อี้ป๋อออกไปวิ่งทุกวันก็เลยทัน แหะๆ”
เธอได้ฟังเรื่องของลูกชายหลายเรื่องในระหว่างที่รอ เธอไม่เคยรู้เลยว่าอี้ป๋อก็มีมุมน่ารักๆยามเมื่ออยู่กับคนรัก
เพราะถ้าเป็นนายน้อยตระกูลหวังที่ใครๆรู้จักคงไม่มีวันทำแบบนี้แน่
แถวขยับไปเรื่อยๆโดยแทบไม่รู้ตัว
เป็นอย่างที่เซียวจ้านว่าจริงๆ ยืนคุยกันไป แค่แป๊บเดียวก็ถึงคิวแล้ว
ในร้านแน่นขนัดไปด้วยโต๊ะ
เก้าอี้ และผู้คน ทั้งกลิ่นทั้งควันทั้งไอน้ำทั้งเสียง ดังโขมงโฉงเฉงไปหมด
ไม่บ่อยนักที่เธอได้มาร้านแบบนี้
ร่างระหงในชุดกี่เพ้าที่ดูไม่เข้ากับที่นี่จึงค่อยๆหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างเกร็งๆ
“เอาไส้หมู ไส้ปู ไส้ผสม เอามาอย่างละสิบเลยครับ!” แต่เสียงใสของเจ้ากระต่ายน้อยที่สั่งรัวราวกับไปตายอดตายอยากที่ไหนมาก็ทำให้เธอสะดุ้งโหยงหลุดจากอาการเกร็งทันที
สั่งไปขนาดนี้จะกินหมดเหรอ???
“เดี๋ยว…..” เธอทำได้แค่ยกมือค้างเอาไว้เพราะพนักงานได้เดินจากไปแล้ว...เธอเหลือบมองเจ้าคนที่โยกหัวฮั่มเพลงภาษาอิตาลีอย่างอารมณ์ดีที่จะได้กินทั้งที่ตัวเธอนี่มีเหงื่อแตกพลั่ก….จะกินหมดแน่เหรอ? สั่งมา 30 เข่งนี่จะกินหมดแน่เหรอ~
จนแล้วจนรอด…
เจ้าคนที่สั่งแบบไม่บันยะบันยังนั่นก็ต้องมานั่งอมเสี่ยวหลงเปาไว้ในกระพุ้งแก้มจนสองข้างตุ่ยออกมาเพราะว่าอิ่มจนกลืนลงไปไม่ไหว...น่าเห็นใจจนเธอต้องอมยิ้มจนไหล่สั่น
“ที่ผมบอกว่าอย่างละสิบ ผมหมายถึงอย่างละสิบลูกต่างหาก
ใครจะนึกว่าจะเอามาอย่างละสิบเข่งล่ะ!” เธอมองคนที่บ่นไปเคี้ยวเสี่ยวหลงเปาในแก้มนั่นไป
สภาพเหมือนกระต่ายแก้มป่องที่กำลังเคี้ยวหญ้าไม่มีผิด
ขนาดเวลากินก็ยังน่ารักน่าเอ็นดู
เธอก็พยายามจะช่วยกินอยู่หรอกนะ
แต่ว่าเธอก็ไม่ใช่คนกินเยอะอะไร กินได้ไม่กี่ลูกก็ต้องวางตะเกียบแล้ว
“อี้ป๋อ~ ช่วยกินหน่อย~” เจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากคนที่วีดีโอคอลไปหาแทน
“พี่นี่จริงๆเลย…” ลูกชายเธอถึงกับส่ายหน้าเมื่อมองเห็นเข่งเสี่ยวหลงเปาวางซ้อนกันเกือบท่วมหัว
แต่อี้ป๋อก็ดูจะชินกับความมึนของเซียวจ้านอยู่พอสมควรจึงมีวิธีการรับมือถึงแม้ว่าจะอยู่กันคนละซีกโลก
“อิ่มแล้วก็หยุดกินได้แล้ว ที่เหลือก็สั่งให้เค้าใส่กล่องให้
ถ้าที่ร้านไม่มีกล่องก็ไปหยิบที่ท้ายรถพี่ ผมใส่ไว้ให้แล้ว” ทั้งอี้ป๋อทั้งพ่อของเซียวจ้านดูเหมือนจะรู้ดีถึงได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดขนาดนี้...แสดงว่าเจ้ากระต่ายน้อยนี่คงไปสร้างวีรกรรมเอาไว้ใช่ย่อย
ก็ขนาดออกมากับเธอแค่ครึ่งวันยังวุ่นวายได้ขนาดนี้ แค่คิดก็ยังขำไม่หาย
“จริงด้วย! ห่อกลับบ้านก็ได้นี่เนอะ”
“ตามนั้นแหละ แล้วก็อย่าไปก่อเรื่องที่ไหนอีก ผมต้องขึ้นเครื่องแล้ว
มีอะไรก็โทรหาปะป๊านะ”
“อื้อ เข้าใจแล้ว”
ทั้งๆที่บอกอี้ป๋อว่าเข้าใจแล้ว
แต่เจ้ากระต่ายน้อยตัวป่วนก็ยอมกลับบ้านดีๆเสียที่ไหน Ferrari
Portofino M ยังคงขับเลยคอนโดไปเรื่อยๆ
เธอได้แต่มองรอบกายพลางยิ้มแห้ง
แต่คราวนี้เซียวจ้านพาเธอไปในย่านที่คุ้นเคยขึ้นมาหน่อย
บ้านเรือนแบบฉือคู่เหมินผ่านเข้ามาในสายตา
ตึกแถวอายุหลายร้อยปีที่ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร คาเฟ่
สินค้าแบรนด์เก๋ๆทั้งหลายต่างถูกจัดอยู่ในอาคารก่ออิฐโชว์แนวสีเทาเหล่านั้นอย่างกลมกลืน
โค้งเว้าของหน้าบันและบานประตูหน้าต่างผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัว
ตอนนี้เธออยู่ที่ซินเทียนตี้
แลนด์มาร์กสุดฮิปของมหานครเซี่ยงไฮ้
เธอก้าวขาเข้าไปในย่านที่ถือเป็นย่านไฮโซแห่งหนึ่งของที่นี่
เพราะไม่ว่าจะอาหาร เครื่องดื่ม
หรือสินค้าแบรนด์ดังที่ขายอยู่ในย่านนี้ล้วนมีราคาสูงแทบทั้งนั้น
บรรยากาศมันจึงสงบกว่าถนนช็อปปิ้งสายอื่นๆของเซี่ยงไฮ้พอสมควร
“กลับคอนโดตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ แวะเดินเล่นที่นี่กันนะครับหม่าม้า”
เจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อหันมาบอกเธอด้วยดวงตาสุกใส
ประกายระยิบระยับที่ส่งออกมาทำให้เธอพยักหน้ารับ
ร่างโปร่งบางดูตื่นเต้นดีใจกับทุกสิ่งรอบกาย
ส่วนเธอก็แค่เดินตามเจ้าลูกสะใภ้ที่แวะถ่ายรูปตึกในซินเทียนตี้ไปเรื่อยๆ
เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมอี้ป๋อถึงได้ชอบถ่ายรูปอาจ้านนัก
เพราะภาพตรงหน้าเธอในตอนนี้นั้นราวกับผลงานศิลปะชั้นยอด
ใครจะอดใจไม่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไหว ขนาดเธอยังแอบถ่ายรูปไปสองสามรูปเลย
เซียวจ้านนั้นงดงามตามธรรมชาติแบบที่ไม่ต้องปรุงแต่งใดๆ
แค่เคลื่อนไหวก็ทำให้สิ่งที่อยู่รอบกายดูมีชีวิตชีวาและน่ามองไปหมด
ก่อนหน้านี้ที่นี่ก็แค่ผนังอิฐธรรมดาๆ
แต่พอเซียวจ้านเดินเข้าไปมันกลับกลายเป็นฉากเลอค่าเฉยเลย
“หม่าม้า” เจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อแว่บหายเข้าไปในร้านๆที่ดูอาร์ตๆร้านหนึ่ง
เสียงใสเอ่ยเรียกเมื่อกลับออกมา
เธอหันไปมองก่อนจะเบิกตาค้างเมื่อร่างที่สูงกว่ากางร่มไว้เหนือหัวของเธอ
“จะได้ไม่ร้อนครับ แดดตอนบ่ายโหดร้ายมาก” ความรู้สึกอุ่นวาบแล่นลิ่วไปตามร่างกายกับความเอาใจใส่ที่อีกฝ่ายมีให้
และยิ่งมองดูร่มที่อาจ้านไปซื้อมาให้เธอก็รู้ว่าอีกฝ่ายใส่ใจเธอมาก ร่มผ้าไหมสีเขียวแมลงทับที่มีลายฉลุแบบลูกไม้ตรงปลายนั้นเข้ากับชุดกี่เพ้าของเธอมาก
เลือกมาได้สมกับที่เป็นดีไซน์เนอร์จริงๆ
“หม่าม้าเหมือนสาวยุคเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เลย!” เธอยิ้มให้ก่อนจะรับร่มมาถือไว้แล้วปล่อยเจ้ากระต่ายน้อยถ่ายรูปอาคารต่อไป
บางทีก็หันมาถ่ายรูปเธอกับร้านกาแฟชิคๆแถวนั้นบ้าง
บางทีก็ชวนกันเข้าไปดูของในร้านบ้าง
วันนี้เธอสนุกมาก...
เพราะเธอมีแต่ลูกชาย
ซึ่งทั้งสองคนก็มีความชอบไปในทางที่เธอเข้าไม่ถึง
จึงไม่เคยได้ออกมาเดินเล่นช็อปปิ้งคุยกันแบบนี้เลย
ทั้งอี้เฟิงทั้งอี้ป๋อไม่มีใครสนใจของใช้จุกจิก เสื้อผ้า
หรือเครื่องประดับแบบที่ผู้หญิงอย่างเธอสนใจ
แต่อาจ้านซึ่งเป็นดีไซน์เนอร์กลับเดินดูกับเธอได้อย่างเพลิดเพลินและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้อย่างไม่มีเบื่อหน่าย
เธอจึงสนุกมาก
“ปกติแล้ว...เธอออกไปซื้อของกับแม่แบบนี้บ่อยๆเหรอ?” เพราะดูคุ้นเคยมาก เธอถามออกไปในขณะที่พากันนั่งพักในร้านกาแฟร้านหนึ่ง
“ทุกครั้งที่กลับมานั่นแหละครับ หม่าม้าขาโหด ชอบลากผมออกไปซื้อของ
แล้วก็ให้แบกจนปวดไหล่ไปหมด สมัยนี้ซื้อทางออนไลน์ก็ได้แท้ๆ
แต่ก็ชอบพาออกไปดูช็อปดูเสื้อผ้า หม่าม้าชอบ แล้วก็พยายามจะสอนผม”
ริมฝีปากสีสดดูดกาแฟจากหลอดไปก็พูดไป
ใบหน้ามนก้มลงสเก็ตรูปอะไรตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว
“อีกหน่อยเธอก็ต้องกลับมาดูแลกิจการที่บ้านเธอสินะ?”
“อีกนานครับ หม่าม้าผมอายุยืนเป็นหมื่นๆปีนู่นแหละ” เธอยิ้มเมื่อได้ยินเจ้าลูกชายตัวดีที่กำลังแซวแม่ตัวเอง
แต่กลับทำให้เธออิจฉาเล็กๆที่อาจ้านดูจะสนิทกับแม่มากทีเดียว
“เสร็จแล้ว~” อาจ้านพลิกสมุดสเก็ตในมือมาให้เธอดูและมันก็ทำให้เธอชะงักไป
เพราะรูปที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้นคือรูปเธอที่กำลังยืนถือร่มอยู่ข้างๆเจ้ารถเฟอร์รารี่สีขาว
โดยมีผนังก่ออิฐโชว์แนวของบ้านฉือคู่เหมินเป็นฉากหลัง...
องค์ประกอบทุกอย่างดูไม่น่าจะเข้ากันได้แต่มันกลับเข้ากันอย่างน่าประหลาดและเป็นภาพสเก็ตที่สวยมาก
แต่ที่มันทำให้เธอใจเต้นแรงนั่นก็เพราะว่ามีคนคนหนึ่งเก็บภาพของเธอไว้ในภาพวาด
ไม่ใช่ภาพถ่ายที่กดถ่ายกันง่ายๆ
ใต้แผ่นอกซ้ายของเธอรู้สึกประทับใจเหลือเกิน...
ดีจริงๆที่ตัดสินใจมาในวันนี้...การได้รู้จักเซียวจ้านทำให้ชีวิตที่ราบเรียบไร้สีสันของเธอกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ไม่อยู่รออี้ป๋อก่อนเหรอครับ?” Ferrari Portofino M แล่นเข้าไปในที่จอดรถของสนามบิน เซียวจ้านมาส่งเธอขึ้นเครื่องบินกลับปักกิ่งเมื่อแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ได้บอกท่านนายพลเอาไว้ด้วยว่าจะมาเซี่ยงไฮ้
ป่านนี้คงสงสัยแย่แล้วว่าทำไมแม่ยังไม่กลับบ้านสักที” เธอยิ้มให้สะใภ้ที่แสนจะน่ารักก่อนจะก้มมองนาฬิกาที่บอกเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว
จริงๆก็ยังไม่อยากกลับหรอกแต่ถ้าเธออยู่ต่ออี้ป๋อกับเซียวจ้านจะมีปัญหาเปล่าๆ
“เดี๋ยวผมเดินไปส่งในอาคารผู้โดยสารครับ” เธอพยักหน้ารับ
มือปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวขาลงจากรถ
แล้วในขณะที่กำลังคิดถ้อยคำบอกลา
จู่ๆเสียงฝีเท้านับสิบคู่ก็วิ่งกรูเข้ามาล้อมพวกเธอไว้!!
เซียวจ้านที่กำลังก้าวขาลงจากรถถึงกับสะดุ้งโหยงก่อนจะมองชายฉกรรจ์ในชุดดำพวกนั้นเลิ่กลั่ก
ร่างโปร่งบางรีบวิ่งมาหาเธอทันที
“เหว๋อ อะไรเนี่ย? พวกนายเป็นใคร? ตำรวจเหรอ? ผมจอดถูกที่แล้วนะ?? หรือว่าโจรเรียกค่าไถ่? หม่าม้ามาหลบหลังผมเร็ว!”
ดูจากความวุ่นวายในวันนี้แล้วจะจบด้วยเหตุการณ์เหนือความคาดหมายอย่างถูกโจรเรียกค่าไถ่จับตัวไปก็คงไม่น่าแปลกใจแล้วไหม?
เจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อลุกลี้ลุกลนเพราะไม่รู้จะทำยังไง
แต่เธอกลับยังสงบนิ่งอยู่ได้เพราะรู้ดีว่าคนพวกนี้ไม่ใช่โจรเรียกค่าไถ่และไม่ใช่ผู้ร้ายที่ไหน
แต่ทุกคนเป็นทหาร
“ไม่มีอะไรหรอก” เธอเอื้อมมือไปจับมืออาจ้านไว้
เจ้ากระต่ายที่กำลังตื่นตูมจึงหันมามองเธออย่างหวาดๆ
“ท่านให้มาพาพวกคุณทั้งสองคนกลับไปครับ” หนึ่งในนั้นรายงานและเธอก็พยักหน้าให้...คงจะซ่อนเซียวจ้านไว้ไม่ได้อีกแล้ว
“ไปกันเถอะ” สามีของเธอ...รู้จนได้สินะ
เซียวจ้านถูกพาตัวมาปักกิ่งพร้อมกับเธอ
ใบหน้ามนนั่นดูเหมือนกระต่ายที่กำลังหวาดกลัวอยู่หน่อยๆแต่เธอก็ทำได้แค่นั่งอยู่ข้างๆ
ในอกของเธอก็กำลังหวาดหวั่นอยู่เช่นกัน ไม่รู้ว่าท่านนายพลคิดจะทำอะไร
ตอนนี้เธออยากติดต่ออี้ป๋อให้ได้เพราะคนที่จะรับมือกับท่านนายพลได้ก็มีแต่ลูกชายของเธอเท่านั้น
“ยังปิดโทรศัพท์อยู่อีกเหรอ?” เธอเอ่ยถามอาจ้านที่นั่งอยู่บนเบาะหลังด้วยกัน
เมอร์ซิเดสเบนซ์คันงามกำลังพาเธอกลับบ้านและยิ่งมันใกล้คฤหาสน์หลังใหญ่นั่นเท่าไหร่หัวใจของเธอก็ยิ่งเต้นจนแทบจะทะลุหน้าอกออกมา
“ครับ น่าจะอยู่บนเครื่องบิน” เธอขมวดคิ้วด้วยความเครียด
ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็ต้องถ่วงเวลาจนกว่าอี้ป๋อจะมา
ไฟหน้ารถสาดส่องไปบนถนนปูหินจนกระทบเข้ากับประตูรั้วเหล็กดัดขนาดใหญ่
ถึงหัวใจจะเต้นกระหน่ำแต่เธอก็ต้องทำหน้านิ่งเข้าไว้ เธอต้องปกป้องหัวใจของอี้ป๋อให้ได้
มือเรียวจึงหยิบตลับแป้งจากในกระเป๋าถือก่อนจะลงแป้งบนใบหน้าจนดูซีดเซียวกว่าปกติ
รถจอดลงที่หน้าประตูบ้าน
เลขาเหมาเป็นคนออกมารับเธอตามคาด “ท่านนายพลล่ะ?” เธอถามออกไป
“รออยู่ที่ห้องหนังสือครับ” เลขาเหมาเหลือบมองเซียวจ้านด้วยแววตาเห็นใจ
“อาจ้าน พยุงแม่ไว้” เธอกระซิบบอกลูกสะใภ้
“เอ๋? หม่าม้าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ร่างโปร่งบางหันมามองเธออย่างตกใจเพราะที่ผ่านมาก็ไม่มีอาการอะไร แหงละ
ก็เธอไม่ได้เป็นอะไรนี่
มือเรียวทำทียกขึ้นไปกดขมับเบาๆกับท่าทางซวนเซราวกับจะล้มลงไป
อาจ้านจึงขยับมาพยุงอย่างตื่นตระหนก
เลขาเหมารีบกุลีกุจอพาเธอเข้าไปนั่งพักที่โซฟาในห้องรับแขกก่อนจะรีบไปรายงานท่านนายพล
“หม่าม้าเป็นไงบ้าง…” เจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อหากระดาษมาพัดให้เพราะคิดว่าเธอจะเป็นลม
ดวงตากลมโตนั่นเต็มไปด้วยความห่วงใยและกังวลจนเธอต้องนึกขอโทษที่ทำให้ตกใจ
แต่มันจำเป็นต้องเล่นละครขนานใหญ่แบบนี้จริงๆ
ร่างสูงใหญ่ของคนที่กุมอำนาจทางการทหารสูงสุดในจีนค่อยๆเดินเข้ามาทางหน้าประตู
บรรยากาศรอบกายท่ายนายพลนั้นหนักอึ้งจนเธอถึงกับต้องกลืนน้ำลาย
เธอแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง สายตาที่ดุดันของผู้เป็นสามีจ้องไปที่เซียวจ้านเขม็ง
ความกดดันที่แผ่ออกมาทำให้อาจ้านถึงกับผวามาจับมือของเธอไว้แน่น
ตุบๆ
ตุบๆ ตุบๆ เสียงหัวใจเต้นถี่จนเธอต้องกัดฟัน
“แค่กๆ” เธอแกล้งไอสองสามทีจึงทำให้สายตาราวกับราชสีห์นั่นยอมละจากกระต่ายน้อยที่น่าสงสารมามองที่เธอแทน
“เธอเป็นยังไงบ้าง?” เสียงกังวานของผู้เป็นสามีเอ่ยถาม
เธอจึงส่ายหน้าเบาๆ
“มึนหัวนิดหน่อยค่ะ” เธอตอบด้วยเสียงอ่อนแรง
“คุณคะ มีอะไรไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เถอะนะคะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว นะคะ”
เธอพยายามขอร้องด้วยเสียงราวกับคนป่วย
ผู้เป็นสามีจึงเหลือบมองเธอทีเหลือบมองเซียวจ้านที
“เลขาเหมา ยังไม่รีบพาคุณเซียวจ้านไปพักอีก” เธอรีบเอ่ยออกไปอย่างไม่ให้เวลาท่านนายพลได้ตัดสินใจนัก
เธอไม่เชื่อหรอกว่าผู้เป็นสามีจะหลงกลละครตบตาของเธอ
แต่ที่ยอมนิ่งเฉยนั่นเป็นเพราะเห็นว่าเธอทำถึงขนาดนี้เพื่อปกป้องเด็กคนนั้นต่างหาก
เธอจึงต้องรีบตัดบทก่อนที่ท่านนายพลจะเปลี่ยนใจ
ยังปล่อยให้คุยกันตอนนี้ไม่ได้
ต้องใช้เวลาเพื่อให้ท่านนายพลอารมณ์ดีขึ้นมาอีกสักนิดนึงก่อน
“เอ่อ...ครับ คุณเซียวจ้าน เชิญทางนี้ครับ” เลขาเหมารีบมาเอาตัวเซียวจ้านออกไป
เธอสบตากับเขาอย่างเข้าใจ
เลขาเหมาคือผู้สมรู้ร่วมคิดกับอี้ป๋อมาตลอดเรื่องเซียวจ้าน
เพราะงั้นชายวัยกลางคนที่อยู่กับพวกเรามานานย่อมไม่ทำให้อี้ป๋อผิดหวังแน่
ร่างโปร่งบางถูกพาไปยังห้องรับรองแขก
เธอจึงลอบถอนหายใจเบาๆ เท่านี้ก็น่าจะพอยื้อเวลาได้บ้าง
ที่เหลือก็แค่ภาวนาให้อี้ป๋อมาถึงไวๆที
ดวงตากลมโตค่อยๆกระพริบเปิดขึ้นมาในที่ที่ไม่คุ้นตา
แสงแดดอ่อนๆที่ทอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว
ร่างโปร่งบางยันกายขึ้นจากที่นอนด้วยใบหน้าที่ยังมึนเบลอ จริงสิ
ตอนนี้เขาอยู่บ้านของอี้ป๋อนี่…
มือบางตวัดผ้าห่มก่อนจะลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา
เมื่อคืนนี้หัวใจแทบจะวายตาย ปะป๊าของอี้ป๋อน่ากลัวมาก
น่ากลัวพอๆกับหม่าม้าของเขาเลย สายตาที่ดุดันนั่นมองเขาราวกับจะเอาไปฆ่าหมกป่า
แล้วอย่างงี้เขาจะทำไงดีเนี่ย? แอบหนีไปทางหน้าต่างดีไหม? แต่รั้วบ้านสูงขนาดนั้นเขาจะปีนยังไงล่ะ? ได้ตกลงมาขาแข้งหักแน่ๆ
งื้อ~~
ร่างโปร่งบางค่อยๆแอบแง้มประตูดู
อยู่แต่ในห้องคงไม่ใช่ทางออกที่ดี เขาต้องออกมาสืบหาทางหนีทีไล่ข้างนอกน่าจะดีกว่า
คิดได้แบบนั้นสองขาก็ค่อยๆแอบย่องออกจากห้อง
เขาเดินมั่วๆจนมาถึงโถงใหญ่ที่ผ่านมาเมื่อคืน
บ้านของอี้ป๋อใหญ่มากกกกก
แล้วก็ดูมีมนต์ขลังเพราะน่าจะเป็นที่อยู่ของคนหลายรุ่นหลายสมัย สองขาชะงักอยู่ตรงกรอบรูปขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังสูงหลังบันได
รูปนั้นคือรูปเดียวกับรูปที่อยู่ในห้องนอนของอี้ป๋อ
เป็นรูปครอบครัวตระกูลหวังรุ่นปัจจุบันที่มีครบทั้งสี่คน…
เขายืนมองรูปนั้นราวกับถูกสะกด...จนไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครเดินมายืนอยู่ข้างหลัง
“ฉันขอคุยกับเธอหน่อย” เสียงกังวานทำเอาร่างทั้งร่างถึงกับสะดุ้งเฮือก
ใบหน้ามนรีบหันกลับไปมองชายผู้มีใบหน้าคล้ายอี้ป๋อมาก...หากจะต่างกันที่ในแววตาของชายผู้นี้ไม่ได้มีความเอ็นดูเขาเหมือนที่อี้ป๋อมี
ยังดีที่เช้านี้คุณพ่อดูจะอารมณ์ดีกว่าเมื่อคืน
“ครับ…” เขาจึงกล้าตอบรับไปด้วยเสียงหวาดๆ
กลัวสิทำไมจะไม่กลัว นี่มันพ่อสิงโตเชียวนะ จะจับเขาขย้ำเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เขาจะโดนฆ่าตายไหม? ขอกินข้าวเช้าก่อนได้หรือเปล่า?...
เขาถูกพาตัวไปยังห้องหนังสือ
ร่างโปร่งบางนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางเกร็งๆ และคนเป็นผู้ใหญ่ก็เอ่ยเข้าประเด็นทันที
“เธอรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันตั้งเงื่อนไขอะไรไว้กับอี้ป๋อ?”
“ครับ…”
“เธอตอบฉันหน่อยซิ เธอจะมีทายาทให้ตระกูลหวังได้ยังไง? จะมีลูกให้หวังอี้ป๋อ จะมีหลานให้ฉันได้ยังไง?” เสียงกังวานนั้นตั้งใจกดดันเต็มที่ ไหล่แคบหดลู่จนตัวแทบลีบ
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะตอบด้วยเสียงเบา
“.....ผม...มีลูกให้อี้ป๋อไม่ได้ แล้วก็มีหลานให้คุณไม่ได้เหมือนกันครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเธอไม่คิดบ้างเหรอว่าตัวเองกำลังทำผิดต่อพวกเราอยู่
แต่ไหนแต่ไรมาสะใภ้ที่มีทายาทให้ตระกูลไม่ได้ก็ถือว่ามีความผิดร้ายแรงอยู่แล้ว”
ผู้นำตระกูลหวังจ้องมองใบหน้ามนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างน่าสงสาร
ร่างโปร่งบางตรงหน้าให้ความรู้สึกราวกับกระต่ายที่กำลังกลัวจนตัวสั่นเมื่ออยู่ต่อหน้าราชสีห์
ถึงจะดูเหมือนไม่สนใจแต่อันที่จริงเขาก็แอบสืบแอบติดตามอี้ป๋ออยู่ตลอด
เห็นมาตลอดว่าลูกชายเขารักเด็กคนนี้มากแค่ไหน แล้วก็รู้ด้วยว่าเซียวจ้านมีคุณสมบัติและเพียบพร้อมทุกอย่างที่จะเดินเคียงข้างลูกชายของเขา
ที่จริง...เขายังคิดไม่ออกเลยว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง
เขาไม่ได้อยากจะทำลายความรักของลูกชายแต่ผู้สืบสกุลก็เป็นเรื่องจำเป็น
อีกอย่าง...ถ้าถูกเขากดดันแค่นี้เซียวจ้านก็ทนไม่ไหว แล้วต่อไปจะอยู่เคียงข้างทายาทของตระกูลหวังได้ยังไง
พื้นที่บนจุด
สูงสุดของอำนาจนั้นมันน่ากลัวมาก
มีคนคิดจะล้มล้างตระกูลของพวกเขาตั้งเท่าไหร่
ถ้าไม่แข็งแกร่งจริงๆคงยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้
ดวงตาดุๆยังคงจ้องมองใบหน้าหวาดหวั่นนั่นอย่างกดดัน
ถ้าไม่มีอี้ป๋ออยู่ตรงนี้ ไม่มีภรรยาเขาอยู่ตรงนี้ ดูท่าเด็กคนนี้คงจะไม่ไหวแน่
อีกไม่กี่นาทีหยดน้ำตาคงร่วงกราวลงมาด้วยความกลัวเป็นแน่
แต่แล้วสิ่งที่เขาคิดมันก็ผิดถนัด…
เมื่อใบหน้าที่กำลังคิ้วขมวดนั่นไม่ได้ร้องไห้
ไม่ได้ปล่อยน้ำตาออกมาแม้สักหยด
แต่ดวงตาภายใต้กรอบแว่นที่เหมือนเพิ่งจะคิดเสร็จกลับตวัดขึ้นมามองเขา
สบประสานสายตากับราชสีห์เช่นเขาก่อนจะพูดออกมาว่า
“......แต่ถ้าคิดในทางกลับกัน อี้ป๋อก็มีลูกให้ผมไม่ได้เหมือนกัน
เขาก็มีหลานให้ป๊าม้าผมไม่ได้เหมือนกัน เขาก็ทำผิดต่อตระกูลเซียวเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะลงโทษผม คุณก็ต้องลงโทษเขาด้วย ไม่งั้นผมไม่ยอม”
ห๋า? เขาถึงกับผงะ
เด็กนี่กำลังเถียงเขาอยู่ใช่ไหม? เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม?
เพราะตั้งแต่เป็นผู้นำตระกูลหวังมาก็ไม่เคยมีใครกล้าเถียงเขาอีกเลย
แต่เด็กนี่กลับกำลังเถียงเขายาวเหยียด?!
“เธอ!” เป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆอ่อนแอเหมือนกระต่ายแท้ๆแต่ยังกล้าเถียงเจ้าป่าอย่างพวกเขา
แถมเถียงเอาๆไม่ได้กลัวเกรงกันเลยสักนิด มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยกำแน่น
เส้นเลือดปูดโปนด้วยความโมโหไปหมด
นี่เป็นคนแรกในรอบหลายทศวรรษเลยนะที่กล้าเถียงเขา!
“อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเธอนะ
ถึงเธอจะไม่ได้อยู่ในจีนและอิทธิพลของฉันไม่มีผลกับงานของเธอ
แต่ฉันก็จะหาวิธีให้เธอเลิกยุ่งกับลูกชายฉันจนได้นั่นแหละ” เขาเลือดขึ้นหน้าจึงตวาดไปแบบนั้น แต่เจ้ากระต่ายวายร้ายกลับไม่สนใจ
ใบหน้ามนนั่นนิ่งคิดก่อนจะสวนกลับมาด้วยคำถาม
“คุณเหลืออี้ป๋อเป็นลูกชายคนเดียวแล้วใช่ไหม?”
“......”
เขากำมือแน่นและไม่ได้ตอบอะไร
ดวงตาดุจราชสีห์จ้องเขม็งอย่างรอดูซิว่าเด็กนี่จะทำยังไงต่อ
“ถ้าคุณอยากให้เรามีลูกให้ ผมก็ทำได้นะ” และแล้วคำตอบของเซียวจ้านก็ทำให้เขาชะงักค้างไป...ทำได้ด้วยเหรอ? เด็กนี่เป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ?
“ผมลองคิดดูแล้วตั้งแต่ที่อี้ป๋อบอกว่าเงื่อนไขของคุณพ่อคืออะไร
คำตอบนั้นมีมากมายและผมก็พร้อมที่จะทำให้”
“เดี๋ยวนี้การแพทย์พัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ผมไม่ต้องท้องเองก็ได้
แค่เอาสเปิร์มของอี้ป๋อมา คุณอยากได้หลานอีกกี่ร้อยคนผมก็ทำให้คุณได้”
ผู้นำตระกูลหวังได้แต่นิ่งค้าง
“เธอ...เธอนี่มัน.....” เขาถึงกับชี้นิ้วอันสั่นระริกไปที่ใบหน้ามนเมื่อได้ฟังคำตอบ
แต่คำตอบแบบนี้มันคืออะไร
เขาที่เติบโตมากับประเพณียุคเก่าไม่มีวันเข้าใจและไม่มีวันยอมรับได้
“ผมเติบโตมากับแผนกออกแบบและพัฒนารถ
ในนั้นพัฒนาเทคโนโลยีจนไปถึงแกแล็คซี่ข้างๆได้แล้วนะครับ เพราะฉะนั้นมันไม่เคยมีอุปสรรคสำหรับมวลมนุษยชาติหรอก
แค่เราต้องหาทางพัฒนาแล้วก็ก้าวข้ามปัญหามันไป
เรื่องชายรักชายที่มีลูกให้ไม่ได้เนี่ย เค้าเลิกดราม่ากันมาร้อยปีแล้วครับ”
เจ้าเด็กนี่ยังคงพูดต่อไปโดยไม่รู้เลยหรือไงว่าเขากำลังโกรธจนตัวสั่น
“ผมไม่ได้อวดดีนะครับ แต่ผมรักเขา ผมรักอี้ป๋อ ผมพยายามคิด
แล้วก็หาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวของพวกเรา” เสียงที่เถียงเขาฉอดๆค่อยๆอ่อนลง
เขาเองก็พยายามหายใจเข้าหายใจออกลึกๆเพื่อระงับความโมโห
ใช่ว่าเขาจะไร้เหตุผลจนไม่ฟังอะไรเลย แต่เด็กที่เกิดมาจากขวดแก้วขวดโหลพวกนั้น
ยังไงเขาก็รับไม่ได้จริงๆ
“............ยังไงฉันก็ไม่ยอมรับ...เด็กที่เกิดมาผิดธรรมชาติแบบนั้น”
ห้องทั้งห้องเงียบกริบไปทันที
ดูเหมือนเซียวจ้านเองก็จนปัญญาที่จะสรรหาวิธีไหนมาเสนอเขาได้แล้วถ้าเขาตัดบทไปแบบนี้
พวกเขานั่งเผชิญหน้าด้วยความอึดอัดเต็มที
มีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา
เขานึกว่าคงจะเป็นภรรยาเขาที่รีบเข้ามาห้ามทับ
ทว่า บานประตูกลับเปิดออกมาพร้อมกับเสียงทุ้มของผู้เป็นลูกชาย
“แต่ถ้าเป็นเด็กที่เกิดมาตามธรรมชาติ พ่อก็โอเคแล้วใช่ไหมครับ?”
เขาหันไปมองลูกชายที่ก้าวเข้ามาในห้องด้วยดวงตาเบิกค้าง...เปล่า...เขาไม่ได้ตกใจที่เห็นอี้ป๋อ
แต่เขาตกใจที่ได้เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างๆหวังอี้ป๋อต่างหาก
เด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนอี้ป๋อตอนเด็กๆมาก...ไม่สิ...ดูจะคล้ายอี้เฟิงลูกชายคนโตของเขามากกว่า
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น...เด็กคนนี้มีแววตาคล้ายอี้เฟิงมาก...
“อี้ป๋อ!” เซียวจ้านตะโกนเรียกผู้เข้ามาใหม่แต่สายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่เด็กชายอายุราวๆ9-10ขวบคนนั้นไม่วางตา อี้ป๋อบีบไหล่เด็กชายก่อนจะดันแผ่นหลังที่ยังไม่กว้างใหญ่นั่นมาหาเขา
“เด็กคนนี้....” เสียงที่เคยดุดันเอ่ยออกไปอย่างเลื่อนลอย
เหมือนเขาพอจะเดาได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นและเด็กคนนี้เป็นใคร…
“ลูกของอี้เฟิง” คำตอบของลูกชายไม่ทำให้เขาแปลกใจ
เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมยอมรับได้ง่ายดายเพียงนี้
จะบอกว่ามันเป็นสัญชาติญาณหรือยังไงก็ไม่แน่ใจ
“.....พี่ชายแกน่ะเหรอ...” เขาไล่มองใบหน้าของเด็กชาย
ไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยดวงตาสั่นระริกอย่างมีความหวัง
“จะมีหวังอี้เฟิงซักกี่คนกันละครับในโลกนี้”
“........”
เขาพูดอะไรไม่ออกรู้แต่ว่าตอนนี้หัวใจกำลังเต้นแรง
เหมือนจะเห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์ซึ่งมืดมิดมานานแสนนาน
เด็กคนนี้จะเป็นความหวังของทั้งครอบครัวเขา จะเป็นคนประสานรอยร้าว
จะเป็นทางออกของทุกสิ่งทุกอย่าง
“พี่ไม่ได้ตายทันทีที่ถูกจับตัวไป แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งช่วยพี่ไว้
นั่นก็คือแม่ของเด็กคนนี้ เด็กคนนี้คือลูกชายของพี่ไม่ผิดแน่ นี่คือผลตรวจดีเอ็นเอ”
มือใหญ่ยื่นกระดาษหลายแผ่นให้ผู้เป็นพ่อดู
เขาคุ้นชินกับกระดาษพวกนี้จึงดูได้เองทันทีโดยไม่ต้องให้ใครตรวจสอบ...และเปอร์เซ็นต์ที่ถูกระบุไว้ในกระดาษแผ่นนั้นก็ทำให้เชื่อได้ทันทีว่าเด็กคนนี้คือทายาทของตระกูลหวังแน่นอน
“ผมยังตามหาพี่อยู่ตลอด จนกระทั่งได้ไปเจอเด็กคนนี้เข้า”
“เจอที่ไหน....” มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยยื่นไปลูบหน้าเด็กชาย
ดูแค่สีหน้าแววตาก็รู้แล้วว่าเป็นลูกของลูกชายตนแน่ๆ
“แคนาดาครับ”
“งั้นเหรอ...อี้เฟิงยังทิ้งทายาทไว้ให้ตระกูลหวังงั้นสินะ...ดีแล้ว ดีจริงๆ”
เด็กชายสบตากับเขาโดยไม่ได้ยิ้มให้แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวและแบบนี้มันยิ่งเหมือนอี้เฟิงกับอี้ป๋อมาก
“หวัง...อี้หยาง?” เขาอ่านชื่อหลานชายที่เขียนอยู่ในกระดาษผลตรวจดีเอ็นเอด้วยเสียงที่อ่อนลง
ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเป็นปู่มาตั้งนานแล้ว ในหัวใจเต็มตื้นไปหมด
“ครับ” เด็กชายตอบอย่างฉะฉาน
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ จากนี้ไปตระกูลหวังจะเป็นบ้านของเธอ”
เขายิ้มให้และเด็กชายก็ยิ้มบางๆตอบพลางพยักหน้า
เขายกมือลูบหัวเล็กๆนั่นก่อนจะหันไปมองอี้ป๋อกับเซียวจ้าน
จากนี้ไปเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะขัดขวางสองคนนั้นอีกแล้ว...และเขาเองก็เหนื่อยเต็มทีกับการที่ต้องเคี่ยวเข็ญอี้ป๋อ...จากนี้ไปก็ปล่อยให้ลูกชายทำตามใจเถอะ
หวังอี้ป๋อโตและมีกำลังพอที่เขาจะปล่อยมือได้แล้ว...
“อี้ป๋อ...ตกลงเด็กคนนั้น…?” ดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่ลากหวังอี้ป๋อออกไปคุยในสวนก่อนจะกระซิบกระซาบเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน
“ไม่ต้องห่วงน่า นั่นลูกของพี่ชายผมจริงๆ” เจ้ากระต่ายเคยเจออี้เฟิงจึงรู้ดีว่าพี่ชายเขายังมีชีวิตอยู่
เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่ชายเขายังมีลูกชายอยู่อีกคน
“นี่ก็เป็นหนึ่งในข้อตกลง ผมเคยบอกพี่แล้วนี่ว่า
อี้เฟิงจะช่วยทำให้เราสองคนคบกันอย่างปลอดภัย
แลกกับการที่ผมเก็บความลับเรื่องที่เขายังมีชีวิตอยู่เอาไว้”
“พ่อน่ะ ที่จริงก็รักเราสองพี่น้อง พ่อไม่เคยบังคับหรือจับเราคลุมถุงชนเหมือนครอบครัวเก่าแก่ทั้งหลาย
เขาให้พวกเราเลือกเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหัวโบราณตามสไตล์คนยุคเก่านั่นแหละ
แค่เพียงผมหาทายาทมาสืบสกุลให้เขาได้ พ่อก็คงยอมปล่อยผมกับจ้านเกอไป”
“แล้วหลานนายจะเป็นไรไหม?”
“ไว้ค่อยหาทางพากลับ ไม่ต้องห่วงหรอกไอ้เรื่องกะล่อนๆแบบนี้ไว้ให้พี่ผมคิด”
“อ่อ...”
“ชั้นรู้ละว่านายได้เชื้อความเจ้าเล่ห์มาจากใคร
ทั้งๆที่พ่อนายออกจะเถรตรงปานนั้น” ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้ม
“หลานชื่ออะไร?” เจ้ากระต่ายถามเมื่อเริ่มวางใจ
ร่างโปร่งบางนั่งลงไปที่เก้าอี้เหล็กดัดในสวน
“หวังอี้หยาง”
“ชั้นรู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องให้เด็กตัวแค่นี้มารับผิดชอบแทนพวกเรา”
เจ้ากระต่ายยังมีแววกังวลอยู่หน่อยๆ
คงเพราะได้เผชิญหน้ากับพ่อเขาตามลำพังมาแล้วจึงรู้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะรบรากับผู้ชายคนนั้นได้
“...ถ้าอี้เฟิงยอมให้เด็กคนนี้ใช้นามสกุลหวัง แสดงว่าพี่ผมต้องยอมรับแล้วว่าเด็กคนนี้จะต้องมีชะตาชีวิตไม่ต่างจากผมกับเขา
ทั้งๆที่หากคิดจะซุกซ่อนไว้ก็ย่อมทำได้
ถ้าจะไม่ให้ใครรู้ก็ควรให้ใช้นามสกุลของพี่สะใภ้
แต่อี้เฟิงก็ยังให้ลูกใช้นามสกุลหวังอยู่”
“แล้วอี้หยางเองก็ถูกฝึกอย่างเข้มงวดมาพอสมควร ถึงพี่จะไม่ได้บังคับ
แต่อะไรที่จะส่งผลต่ออนาคตของเด็กคนนี้พี่ผมก็เตรียมไว้ให้หมดแล้ว
เขาจะโตอย่างมีคุณภาพและมีคุณสมบัติในการรับช่วงต่อทั้งDiamond crownและตระกูลหวัง”
“ผมตามสืบเรื่องของหลานชายมาพอสมควร เจ้าเด็กนี่ไม่เลวเลย
น่าจะเอาเรื่องเลยแหละพี่ไม่ต้องห่วง ยังไงก็สมเป็นลูกพี่ชายผมแน่ๆ”
เขาไม่เพียงแค่พูดให้จ้านเกอคลายกังวลแต่เขาเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
“คุณอาฮะ” พูดถึงยังไม่ทันขาดคำ
เจ้าเด็กหน้าตายก็เดินเข้ามาหา
ตลอดทางที่เดินทางมาด้วยกันเขาก็ทำความคุ้นเคยกับเจ้าหลานชายมาพอสมควร
เด็กนี่ถึงไม่กลัวเขาแถมตอนนี้ยังจ้องเจ้ากระต่ายเอาๆ
“ว่าไง?”
“คนนี้ใครฮะ?” มือเล็กของเจ้าเด็กเก้าขวบชี้ไปที่เจ้ากระต่าย
“อาสะใภ้ของนายไง” เขาตอบอย่างไม่คิดอะไร
“อาสะใภ้แปลว่าอะไร? โตไปผมแต่งงานกับอาสะใภ้ได้ไหมฮะ?”
ปื้ด! เส้นเลือดที่ขมับขมวดขึ้นมาทันที
“ไอ้เด็กนี่….ไม่ได้โว้ย! เพราะชั้นแต่งงานกับเค้าแล้ว
แกจะแต่งซ้อนได้ยังไง?” เขาหันไปเถียงกับเด็กจนเจ้ากระต่ายแอบหัวเราะอยู่ข้างหลัง
“หื๋ม?” หวังอี้หยางทำหน้าไม่เชื่อ
กวนประสาทเหมือนใครเนี่ย?!
“ไปเลย ไสหัวไปอยู่กับปู่นายเลย” มือใหญ่รีบดันหลังเจ้าหลานชายออกห่างจากเจ้ากระต่าย
สายเลือดเดียวกันอาจจะชอบอะไรเหมือนๆกัน เพราะงั้นเขาต้องรีบไล่ไปไกลๆ
“คุณอาสะใภ้สวยมาก ผมชอบ” ยัง
ยังไม่วายหันมาบอกอีก
“ไปๆๆ” เด็กชายทำหน้าประมาณว่าฝากไว้ก่อนเถอะก่อนจะเดินจากไป
“ดูท่า...ผมต้องโยกย้ายสมบัติของตระกูลหวังไปไว้ที่อื่นบ้างแล้วแหละ
ไม่งั้นถ้าโดนเจ้าเด็กนี่ฮุบไป ผมจะได้มีอะไรเหลือบ้าง”
“นั่นหลานนะ”
“พี่ก็ดูมันสิ ตัวแค่นี้ยังคิดจะแย่งพี่ไปจากผม”
“ฮ่าๆๆ เด็กก็ไร้เดียงสาแบบนี้แหละ รู้ที่ไหนว่าเจ้าสาวแปลว่าอะไร
เจออะไรที่ชอบก็จะเอามาเป็นเจ้าสาวทั้งนั้นแหละ ชั้นยังเคยขอ Ferrari Dino จากปะป๊ามาเป็นเจ้าสาวเลย” เอิ่ม...ขอรถมาเป็นเจ้าสาวเนี่ยนะ?
คงมีแต่ลูกกระต่ายบ๊องเท่านั้นแหละที่ทำได้
นายหญิงของตระกูลหวังกำลังยืนกำกับสาวใช้ให้ทำอาหารอยู่หน้าห้องครัว
เธอไม่เคยมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว
ทุกอย่างจบลงด้วยดีแถมเธอยังกลายเป็นคุณย่าโดยไม่รู้ตัวเลย
ใบหน้าสวยหันไปมองกลุ่มคนที่อยู่ในห้องหนังสือ...สองวันมานี้เธอได้ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน...ท่านนายพลเองก็เช่นกัน
ไม่เคยมีใครเถียงท่านฉอดๆแบบนี้มาก่อน
เธอทอดสายตามองเจ้ากระต่ายน้อยของอี้ป๋อที่กำลังเถียงเรื่องแปลนรถถังกับท่านนายพลอย่างไม่ยอมแพ้...ดูท่าจะเจอสะใภ้ที่สมน้ำสมเนื้อกันแล้วแหละ
เธออมยิ้มให้กับภาพตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“อี้ป๋อ คืนนี้ค้างที่นี่นะ” เธอรีบดักลูกชายที่เดินออกมาดื่มน้ำเอาไว้
“แต่ว่า...ผมนัดกับป๊าม้าของจ้านเกอเอาไว้ว่าจะไปคืนนี้
ให้อี้หยางอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวก่อนกลับอิตาลีผมค่อยแวะมารับหลาน”
“วันปีใหม่พวกลูกสองคนก็อยู่ฉงชิ่งแล้วนี่นา คืนนี้นอนที่นี่ก่อนไม่ได้เหรอ…”
เธอลองขอร้องด้วยเสียงอ่อนดูแล้วมันก็เหมือนจะได้ผล
อี้ป๋อมองมาอย่างช่างใจแล้วพอหันไปมองอาจ้านที่ยังทะเลาะ(?)กับท่านนายพลไม่หยุด
ใบหน้าหล่อเหลาของลูกชายก็ถอนหายใจออกมา
“ก็ได้ครับ ทางนั้นก็ดูท่าจะไม่ยอมเลิกลาง่ายๆแน่ ให้ตายเถอะ
พ่อไม่ควรจะเก็บแปลนรถถังกับเรือดำน้ำไว้ที่บ้านนะ
เจ้ากระต่ายนั่นเห็นของพวกนี้ได้ที่ไหน เฮ้อ” เธอยิ้มอย่างดีใจ
ส่วนอี้ป๋อก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่สองคนนั้นยังเถียงกันอยู่
“จ้านเกอ ช่างรถถังมันเถอะน่า พี่กลับไปออกแบบรถฟอร์มูล่าวันของพี่เถอะ”
มือใหญ่พยายามลากต้นแขนบางให้ออกห่างจากแปลนรถถัง
“แต่นี่มันผิดหลักอากาศพลศาสตร์นะ ทำไมไม่ใช้ดาวน์ฟอร์ซช่วยล่ะ? แทนที่จะใช้เหล็กหนักเป็นตันๆแบบนี้เนี่ย?”
“เถอะน่า...พ่อก็เหมือนกัน อย่าเก็บของแบบนี้ไว้ที่บ้านสิ”
“แล้วแกจะให้ชั้นไปเก็บไว้ที่ไหน? ชั้นเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดนะ”
“ก็เก็บไว้ที่กองทัพสิ จะเอากลับบ้านทำไมเล่า”
เธอยืนขำกับภาพที่เห็น
ถึงจะเถียงกันแต่มันกลับทำให้หัวใจของเธออบอุ่น เธอฝันถึงวันนี้มานานแค่ไหนแล้ว
วันที่ครอบครัวต่างอยู่พร้อมหน้า พูดคุยกัน เถียงกัน หัวเราะด้วยกัน
เติมเต็มซึ่งกันและกัน
ต้องขอบคุณอาจ้านที่นำพามันมาให้เธอ...ขอบคุณจริงๆ…
เธอทอดสายตามองลูกสะใภ้ที่แสนน่ารักด้วยสายตาอ่อนโยน
ก่อนที่ชายเสื้อจะถูกมือเล็กๆของหลานชายกระตุกเบาๆ
“อี้หยาง?”
“คุณย่า ถ้าโตไปผมแต่งงานกับอาจ้านได้ไหมฮะ? ให้อาจ้านเป็นเจ้าสาวของผมได้ไหมฮะ?”
ในขณะที่เธอยกมือขึ้นมาปิดปากขำ
เจ้าลูกชายก็ตวัดสายตาเขียวปั๊ดมามอง
“มะเหงกเถอะ!!”
ดูท่าจะลำบากซะแล้วสิ
ลูกชายของเธอ…
เสียงหัวเราะยังดังอยู่อีกยกใหญ่
บ้านที่ไม่ได้เปิดไฟอย่างสว่างสไวแบบนี้มานานกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
และมันจะคงอยู่ตราบนานเท่านาน…
“เหนื่อยชะมัด…” ร่างสูงสง่าค่อยๆทิ้งตัวลงไปบนเตียงสี่เสาหนานุ่มที่ไม่ได้นอนมานาน
คืนนี้เขากับเจ้ากระต่ายตัดสินใจค้างที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยไปฉงชิ่ง
“นายว่า ชั้นออกแบบรถถังใหม่ให้พ่อนายดีไหม?” เจ้ากระต่ายที่นอนคว่ำเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆหันหน้ามาหา
“พี่ลองปรึกษาท่านซีอีโอปิศาจของพี่ดูสิ เผื่อเฟอร์รารี่จะอยากทำรถถังขาย
ฮึๆๆ” แล้วมือกระต่ายก็ฟาดผลั๊วะมาที่ต้นแขนเขาข้อหาแซว
“ว่าแต่ห้องนายนี่อย่างกับห้องคุณชายเลย เฟอร์นิเจอร์ไม้ยุควิกตอเรี่ยนพวกนี้ราคาหลายแสนเลยนะเนี่ย”
เจ้ากระต่ายพลิกตัวมานอนหงายพลางกวาดตามองไปรอบๆห้องนอนของเขา
ใบหน้ามนพยักหน้าหงึกๆเหมือนกำลังประเมินราคา จะขนของเขาไปขายหรือไงน่ะ? เจ้ากระต่ายขี้งกเอ้ย เขาคว้าตัวนุ่มนิ่มมากอดอย่างหมั่นเขี้ยว
“ผมไม่คิดว่าจะได้กลับมานอนที่นี่อีกเหมือนกัน
ห้องๆนี้...เป็นความทรงจำในวัยเด็กของผม” เขาทอดสายตามองทุกๆอย่าง
โต๊ะ เก้าอี้ ตู้หนังสือ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ทุกมุมในห้องล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำ
คิดถึงช่วงเวลาในตอนนั้นที่มีแต่ความอึดอัดใจอยากจะหนีไปให้พ้นๆแล้วก็ได้แต่ยิ้มบางๆ
พอได้กลับมามองมันใหม่ในมุมที่โตขึ้นกว่าเดิม เขากลับเข้าใจมันมากยิ่งขึ้น
“นี่แหน่ะ!” จู่ๆเจ้ากระต่ายก็กอดเขาหมับทำให้เขาหลุดออกจากความทรงจำในอดีต
เขาก้มลงไปมองคนที่ซุกอยู่ที่แผ่นอกก่อนจะหัวเราะออกมา
“พี่ไม่อยากดูรูปผมตอนเด็กๆเหรอ? น่าจะมีอัลบั้มรูปอยู่นะ
อยากดูไหม?” เขายกยิ้มมุมปากอย่างมีแผน
เจ้ากระต่ายก็ดูเหมือนจะเริ่มมีการเรียนรู้ ใบหน้ามนเงยมองเขาอย่างไม่ไว้ใจทันที
“หงึ ชั้นไม่เชื่อนายอีกแล้วเจ้าหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์
ถ้าจะดูรูปนึงต้องแลกกับอะไรอีกสินะ? งื้อ!” ปัดโธ่ ดันรู้ตัวซะได้ ชิ
“อีกอย่างนะ ถ้าชั้นอยากเห็นนายตอนเด็กๆ ชั้นไปดูหน้าหลานนายเอาก็ได้
เดาได้เลยว่าโตไปต้องหน้าเหมือนนายเป๊ะแน่ๆ” เจ้ากระต่ายสะบัดหน้าอย่างไม่ง้อทำเอาเขาคิ้วกระตุกขึ้นมาหน่อยๆ
“พี่อย่าไปอยู่ใกล้เจ้าเด็กวายร้ายนั่นมากนัก
เจ้าเด็กนั่นต้องร้ายกาจเหมือนพี่ชายผมแน่ๆ” แต่อันนี้พูดจริงนะ
เจ้าเด็กตระกูลหวังคนนี้ไม่ธรรมดาอ่ะ เขาบอกเลย
“นายนี่มันยังไง หึงแม้แต่กับเด็ก! แล้วนั่นก็หลานนายนะ” เจ้ากระต่ายยู่หน้าให้ เขาจึงกอดคออีกฝ่ายก่อนจะดึงมาแนบลำตัวไว้
“ไม่รู้แหละ ผมหวง” เขากดจูบไปตามใบหน้าของเจ้ากระต่าย
และเริ่มลามไปตามลำคอกับลาดไหล่ มือก็เริ่มไหลเริ่มล้วงไปตามหน้าท้องแบนเรียบ
“อี้ป๋อ! นี่อยู่ในบ้านนายนะ!” เจ้ากระต่ายรีบตะครุบมือเขาก่อนจะกระซิบดุๆ
แต่เขากลับยกยิ้มแล้วตอบกลับไปอย่างไม่แคร์
“ก็ในบ้านผมไง ในห้องผมด้วย ไหนๆก็มาแล้ว ทำเป็นที่ระลึกกันซักรอบนึงเถอะ”
หมาป่ายิ้มร้าย
ส่วนเจ้ากระต่ายนั้นก็ได้แต่ร้องอย่างน่าสงสาร
“เดี๊ยวววว! ที่ระลึกอะไรของนาย!! หยุดน๊า หยู๊ดดดดดด”
แล้วคืนนี้เจ้ากระต่ายน้อยก็คงจะถูกกินไปตามระเบียบ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
แฮปปี้เอนดิ้ง
ตัดเข้าโคมไฟสมัยวิกตอเรี่ยน 5555
ก่อนอื่นเลย...สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่จ้านนนนนน
ในที่สุดติ่งก็ปั่นมาทันวันนี้ ฮืออออ หลังจากที่พลาดมาทุกงาน กร๊ากกกก ขอให้พี่จ้านมีความสุขมากๆๆนะคะ ทำอะไรก็ราบรื่นสดใส ขอให้พี่รู้ว่ามีคนรักพี่มากขนาดนี้ ติ่งจะอยู่กับพี่ไปจนกว่าจะสิ้นแสงเลยนะคะะะะ
เลิฟๆๆ >3< จับน้องอิงเวอร์ชั่นซีรี่ย์มาถ่ายรูปแฮปพี่จ้าน อิๆ
เมื่อวานนี้ก็ออกไปถ่ายรูปป้ายอวยพรวันเกิดพี่จ้านมาเหมือนกันค่ะ เยอะมากกกกก ยิ่งใหญ่เกรียงไกรสมเป็นพี่จ้าน5555 ขอบคุณทุกๆบ้านที่ช่วยกันจัดขึ้นมาน้า ฟินมากกรุงเทพเพลานี้ >////<
มีคอมเม้นต์ถามว่าเวลามีเซฟตี้คาร์ออกมา
ทำไมรถF1ที่วิ่งตามหลังต้องขับส่ายไปมาด้วย?
ที่นักขับขับส่ายไปมาก็เพื่อวอล์มยางค่ะ
เพื่อให้อุณหภูมิยางร้อนพอสำหรับการรีสตาร์ท
ปกติแล้วยางรถที่กำลังแข่งจะร้อนมากๆมันถึงจะหนึบถึงจะมีกริ๊บเกาะถนนดีน่ะค่ะ
อย่างตอนรถไม่ได้วิ่งพวกนางถึงต้องใส่นวมอุ่นยางกันตลอด ผ้านวมพวกนี้จะควบคุมอุณหภูมิกันด้วย
แล้วทีนี้ตอนที่เซฟตี้คาร์ออกมาเนื่องจากมีอุบัติเหตุ ทำให้รถต้องวิ่งช้าลง
อุณหภูมิยางก็จะเย็นขึ้นทำให้ไม่ได้ความร้อนอย่างที่ต้องการ
ก็เลยต้องขับส่ายไปมาเพื่อเตรียมยางให้พร้อมค่ะ จะเห็นการขับส่ายไปมาแบบนี้ในรอบ Out
Laps หรือ Formation Laps ด้วย
ก็เป็นกรณีเดียวกันค่ะ
คือเพื่อวอล์มยางให้ได้อุณหภูมิที่พอดีสำหรับการวิ่งทำเวลาค่ะ ร้อนไปก็ไม่ได้
เย็นไปก็ไม่ได้ ต้องพอดีด้วยนะ 555 อย่างบางสนามที่แทรคเย็นมากๆ บางทีมยังต้องวิ่ง
Out Laps 2รอบเพื่อวอล์มยางก็ยังมี ^ ^
แล้วก็...มีรูปซินเทียนตี้มาให้ดูล่วย
สวยมาก ชอบ >////<
แล้วก็แอบกระซิบบอก
ตอนหน้าก็จะเป็นตอนจบของ GLIDE
: 2x4 It’s Me แล้วค่ะ บอกไว้ก่องจะได้ไม่ตกใจ555 ต้องขอขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนาน (ถึงจะไม่นานเท่าไหอื่นๆก็เถอะ
กร๊ากกกก)
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามนะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าาาา
ตอนนี้ยาวจุใจแล้วก็สนุกมากๆ อ่านเพลินมากๆ เลยค่ะ //อี้ป๋อทะเลาะกับหลานน่าเอ็นดูจังตี๋555555
ตอบลบ