ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 31
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
รองเท้าผ้าใบกุชชี่สีขาวเหยียบลงบนแผ่นดินบ้านเกิดหลังจากที่ไม่ได้กลับมาหนึ่งปีเต็มๆ
ตอนนี้เซียวจ้านกำลังเดินอยู่ในสนามบินผู่ตงของเซี่ยงไฮ้
เมืองใหญ่อันดับต้นๆของประเทศจีน
อันที่จริงเขามาเซี่ยงไฮ้ทุกปี
ปีละครั้ง เพื่อมาแข่งรถฟอร์มูล่าวันกับทีมเฟอร์รารี่
แต่เป็นเพราะปีนี้เขาอยู่ทีมดูคาติซึ่ง Moto GPนั้นไม่มีสนามแข่งในจีน
เขาจึงเพิ่งได้กลับมาเซี่ยงไฮ้ในบรรยากาศที่ต่างออกไป
ปกติจะมาในฤดูร้อนแต่ตอนนี้อากาศรอบกายไม่ได้หนีจากศูนย์องศาเซลเซียสเท่าไหร่และทุกๆคนก็กำลังเตรียมที่จะฉลองปีใหม่กัน
เขาพ่นควันออกจากปาก
สองมือซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ท สองขากระโดดดึ๋งๆเพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้น
ในขณะที่รอหวังอี้ป๋อซึ่งกำลังจัดแจงยกกระเป๋าเดินทางลงจากสายพาน
นี่ก็เป็นความแตกต่าง
ปกติแล้วเขาจะมากับเพื่อนร่วมทีมเป็นร้อยคน ไม่เคยมาเซี่ยงไฮ้แค่สองคนแบบนี้เลย
“นั่งแท็กซี่ไปก่อนนะครับ รถผมอยู่ที่คอนโด” ใบหน้าหล่อเหลาหันมาบอก
มือใหญ่ข้างหนึ่งลากกระเป๋าเดินทาง ส่วนอีกข้างเอื้อมมาให้เขาจับ
ความอบอุ่นมักจะแผ่ซ่านออกมาจากมือของอี้ป๋อเสมอถึงแม้ว่าจะมีถุงมือหนังขวางกั้น
เขาซุกหน้าลงไปในผ้าพันคอมากขึ้นเมื่อก้าวขาออกมาจากอาคาร2 ท่าอากาศยานผู่ตง
กว่าจะขึ้นแท็กซี่ได้ตัวเขาก็สั่นหงึกๆ
“หิมะตกนี่เอง
ถึงว่าทำไมหนาวนัก”
เสียงทุ้มพูดกับเขาในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลายังหันมองออกไปนอกหน้าต่าง
มือใหญ่โอบรอบไหล่เขาก่อนจะลูบแรงๆเพื่อให้เขาอุ่นขึ้น
“ว้าว~ เซี่ยงไฮ้สีขาว~” หิมะบางๆกำลังโปรยปรายลงมา
เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่ใหญ่มาก เขานั่งแท็กซี่มาไม่เท่าไหร่
ตึกรามบ้านช่องก็โผล่มาต้อนรับทันทีทั้งที่จากสนามบินเข้าตัวเมืองนั้นใช้เวลาเป็นชั่วโมง
ดวงตากลมโตจ้องมองบ้านเรือนที่คุ้นตาด้วยความรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก
ถึงจะจากไปอยู่ที่อื่นแต่ยังไงเสียแผ่นดินนี้ก็คือที่ที่เขาลืมตาดูโลก
สายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยังคงอยู่ในสายเลือดเสมอ
“สวยจัง” รถกำลังวิ่งวนขึ้นไปเพื่อขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำหวงผู
เขาจึงมองเห็นเมืองเซี่ยงไฮ้ที่กำลังตื่นจากการหลับใหล หมู่ตึกสูงใหญ่ที่ลดหลั่นกันไปนั้นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ม่านหมอกและสีขาวจางๆของหิมะทำให้เมืองทั้งเมืองราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์
เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองโมเดิร์นไชนีสที่สวยงามมากจริงๆ
แต่เซี่ยงไฮ้ก็ไม่ได้มีแต่ตึกระฟ้าทันสมัย
เซี่ยงไฮ้ถูกแบ่งเป็นสองฝั่งโดยแม่น้ำหวงผู ฝั่งหนึ่งเป็นเมืองใหม่ที่เต็มไปด้วยตึกสูง
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นเมืองเก่าซึ่งเต็มไปด้วยอาคารเตี้ยๆที่มีอายุหลายร้อยปีและยังคงถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี
คอนโดของหวังอี้ป๋ออยู่ในฝั่งเมืองเก่า
เขาจึงเริ่มเห็นอาคารแบบฉือคู่เหมิน (Shikumen) มากขึ้นเรื่อยๆ
ตึกแถวสูง2-3ชั้นพวกนี้นับเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของเซี่ยงไฮ้เลยทีเดียว
มันเป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบสถาปัตยกรรมฝั่งตะวันตกกับตะวันออกเข้าด้วยกัน
ตัวบ้านสร้างจากอิฐบลอคแบบฝรั่งแต่ก็ตกแต่งด้วยโค้งที่ให้ความรู้สึกถึงศิลปะของจีน
จุดเด่นของบ้านแบบฉือคู่เหมินคือผนังก่ออิฐโชว์แนว บางโซนก็ใช้อิฐสีน้ำตาล
บางโซนก็ใช้อิฐสีเทา เขาชอบบ้านสไตล์นี้มาก
มันทั้งสวยทั้งน่ารักทั้งมีคาร์แรกเตอร์
เหมือนพวกเขากำลังหลุดเข้าไปอยู่ในยุคเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ก็ไม่ปาน
ดวงตาคู่โตจึงมองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างเพลิดเพลิน
พวกเขามาถึงคอนโดของหวังอี้ป๋อตอนสายๆ
เขาเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่ต้องคิดอะไร
เขาไม่เคยกังวลเรื่องการเดินทางในต่างแดนอีกเลยตั้งแต่คบกับอี้ป๋อ
เพราะอี้ป๋อจะเตรียมทุกอย่างไว้ให้เสร็จสรรพ
“ชั้น45ครับ”
เสียงทุ้มบอกเขา นิ้วยาวกดลิฟท์ เขาจึงกวาดตามองไปรอบๆ
ตึกนี้ยังดูใหม่อยู่เลยน่าจะเพิ่งสร้างได้ไม่นาน
“นายอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ? แล้วพ่อกับแม่นายล่ะ?”
“ผมอยู่คนเดียว
ตั้งแต่เริ่มแข่งรถผมก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ ส่วนบ้านผม...อยู่ปักกิ่ง”
“อ้าว?”
เขาเอียงคออย่างสงสัย ไม่ได้จะพาเขามาหาพ่อกับแม่หรอกเหรอ?
ก่อนหน้านี้เราคุยกันว่าช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ที่เขาไม่ต้องเข้าโรงงานไปทำรถแข่งของปีหน้า
เขากับอี้ป๋อจะกลับบ้านกัน กลับไปบ้านอี้ป๋อก่อนแล้วค่อยไปฉงชิ่งบ้านเขา
เขาเห็นอี้ป๋อจองตั๋วเครื่องบินมาเซี่ยงไฮ้เขาก็นึกว่าบ้านของอี้ป๋ออยู่ที่นี่มาตลอด
ไม่คิดว่าจะอยู่ปักกิ่ง...
“ถึงแล้วครับ” อี้ป๋อหลบเลี่ยงสายตาก่อนจะพาเขาออกจากลิฟท์
ดวงตากลมโตเหลือบมองแผ่นหลังกว้างที่เดินนำอยู่ข้างหน้า
เขาเองก็รับรู้นะว่าหลายวันที่ผ่านมานี้อี้ป๋อดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
กังวลกับเรื่องบางอย่างอยู่
ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องของที่บ้าน...
เพราะยิ่งใกล้วันที่ต้องเดินทางอี้ป๋อก็ยิ่งนิ่งเงียบ
เหมือนทั้งอยากเผชิญหน้าแล้วก็อยากหลบหนีไปพร้อมๆกัน
เขาที่สนิทกับป๊าม้ามาตลอดไม่มีวันเข้าใจอี้ป๋อได้ในจุดนี้
เขาจึงทำได้แค่คอยอยู่ข้างๆเท่านั้น
“เชิญครับ” มือใหญ่เปิดประตูห้องให้เขาเข้าไป
ห้องนั่งเล่นที่ดูอบอุ่นคอยต้อนรับพวกเขาเป็นห้องแรก
“ว้าว” เขาพุ่งเข้าไปหาหน้าต่างกระจกบานใหญ่
จากตรงนี้มองเห็นโค้งแม่น้ำหวงผูซึ่งโอบล้อมหอไข่มุกและตึกระฟ้าที่อยู่ด้านหลัง
ทั้งยังมองเห็นเมืองเซี่ยงไฮ้ได้ไกลกว้างทีเดียว
ทำเลขนาดนี้ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าห้องนี้ต้องราคามหาโหดแน่นอน
แล้วในขณะที่เขาเอาแต่มองวิวทิวทัศน์อย่างตื่นตาตื่นใจ
ร่างสูงสง่าก็ขยับเข้ามากอดเขาจากข้างหลัง
“จ้านเกอ...ผมขอโทษนะที่ต้องพาพี่มาอยู่ที่นี่ก่อน” เสียงทุ้มดังอยู่ที่ไหล่เขา
เขาจึงนิ่งเงียบเพื่อรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายอยากระบายออกมา
“ผมไม่รู้ว่าพ่อผมจะทำอะไรลงไปบ้าง
ผมจึงอยากให้พี่อยู่ห่างๆเอาไว้ก่อน...ผม...จะเข้าไปหาพ่อคนเดียวก่อน” จะเข้าไปคุยกับพ่อก่อนพาเขาไปเจองั้นเหรอ? มือบางจึงวางลงไปบนมือใหญ่ที่โอบรอบเอวเขาอยู่
“ชั้นยังไงก็ได้แหละ
แต่นายนี่สิ จากเซี่ยงไฮ้ไปปักกิ่งไม่ใช่ใกล้ๆเลยนะ” ขนาดนั่งเครื่องบินยังตั้งสองชั่วโมง
“ไม่เป็นไรครับ
อีกอย่าง ก็อยากพาพี่มาบ้านผมด้วย จากนี้ไปถ้ากลับจีน เราจะมาพักที่นี่
มันจะเป็นบ้านของเราสองคนอีกที่นึง” ใบหน้าที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มยิ้มบางๆให้
เขาจึงยิ้มตอบ
“อื้ม”
“หิวยัง? เดี๋ยวผมสั่งอาหารให้นะ”
ร่างสูงสง่าละออกไป เขาจึงหมุนตัวก่อนจะเดินสำรวจห้องไปทั่ว
ห้องนี้กว้างมาก น่าจะกินพื้นที่ทั้งชั้นเลยไหมเนี่ยเพราะเขาไม่เห็นห้องอื่นอีก
นอกจากห้องนั่งเล่นกึ่งรับแขกแล้วยังมีห้องครัว ห้องน้ำ
ห้องนอนแยกเป็นสัดส่วนชัดเจน
ห้องนี้มีกลิ่นไอของชีวิต
มันเป็นที่ที่อี้ป๋ออยู่มาตลอดในสองปีก่อนหน้านี้ ใบหน้ามนอมยิ้มในขณะที่ยืนมองรูปขนาดใหญ่ของนักบิดในดวงใจซึ่งสกรีนติดผนังเอาไว้
ข้างๆเป็นชั้นวางหมวกกันน็อคซึ่งมีเหลืออยู่ไม่กี่อันเพราะส่วนใหญ่อี้ป๋อขนไปไว้บ้านเขาที่อิตาลี
เขาเดินละเรื่อยเข้าไปในห้องนอนก่อนจะตกใจน้อยๆที่เห็นรูปของตัวเองถูกสรีนไว้เต็มผนังหัวเตียง
มาทำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? รูปนี้น่าจะเป็นรูปเขาเมื่อปีที่แล้วที่ปอร์โตฟิโน่?
ปัดโธ่ทำไมไม่เลือกรูปดีๆหน่อยเนี่ย? นั่นเพิ่งตื่นเลยไม่ใช่หรือไง
หัวยุ่งซะขนาดนั้น
เขายู่หน้ามองรูปตัวเองก่อนจะค่อยๆไล่สายตาลงมามองโต๊ะข้างเตียง
มีกรอบรูปเล็กๆตั้งอยู่ หลายอันเป็นรูปเขาแต่มีอันหนึ่งซึ่งสะดุดตาไม่น้อยเพราะมันน่าจะเป็นรูปเก่า?
มือบางหยิบรูปสีจางนั่นขึ้นมาดู
มันเป็นรูปของคน 4
คน
คนหนึ่งน่าจะเป็นหวังอี้เฟิงพี่ชายของอี้ป๋อ...แล้วก็...เด็กคนนี้น่าจะเป็น...หวังอี้ป๋อ?
อี้ป๋อในวัยเด็ก?
รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของเขาทันที
อี้ป๋อในรูปนี้น่าจะอยู่ชั้นประถมได้ น่ารักเสียไม่มี
ขนาดตัวเท่านี้ก็ยังทำหน้าเย็นชาเลยเจ้าเด็กนี่
เขาดีดนิ้วลงไปบนหัวหวังอี้ป๋อในรูปอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะมองอีกสองคนที่เหลือในรูป...คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนสวมเครื่องแบบทหารซึ่งหน้าตาไม่ได้หนีจากอี้ป๋อเท่าไหร่
ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวที่สวยมากในชุดกี่เพ้าแบบจีน...หรือว่านี่จะเป็นพ่อกับแม่ของอี้ป๋อ?
เขาวางกรอบรูปไว้ที่เดิม ร่างโปร่งทิ้งตัวลงไปบนเตียงกว้างก่อนจะหลับตาพริ้ม
ห้องนี้ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นแบบคอนโดสมัยใหม่ทั่วไป
แต่มันก็ดูอบอุ่นมากเพราะอี้ป๋อใช้สีเอิร์ธโทน
“ถอดเสื้อโค้ทออกก่อนสิ” มือใหญ่ของคนที่ตามเข้ามาฟาดก้นเขาให้ทีนึง
เขาเดินมาถึงนี่ทั้งๆที่รองเท้าก็ยังไม่ถอด
“ถอดให้หน่อย…” เขาอ้าแขนออกอย่างเกียจคร้าน
ใบหน้าซุกลงไปบนเตียงนิ่มอย่างไม่คิดจะลุกไปไหน
“พี่นี่จริงๆเลย” ถึงจะบ่นว่าเขาเป็นเจ้ากระต่ายจอมยุ่งแต่มือใหญ่ก็ยังดึงรองเท้าบูทออกให้ทีละข้าง
ก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อโค้ทที่ชื้นน้อยๆเพราะละอองหิมะออกให้
ถึงการข้ามเขตเวลาจากยุโรปมาเอเชียจะไม่ทำให้เขาเป็นอะไรมากนักแต่หนังตาก็หนักๆเพราะความง่วงงุน
แถมห้องนี้ยังให้ความรู้สึกสมกับเป็นบ้านจริงๆ ดวงตาคู่โตจึงปิดลงอย่างง่ายดาย
เขาหลับไปกว่าครึ่งค่อนวัน
พอตื่นมาเจอหวังอี้ป๋อหลับอยู่ข้างๆมันก็ทำให้เปลือกตาไม่อยากจะลืมขึ้นมาเลย
ร่างโปร่งจึงเพียงแค่พลิกกายเข้าไปซุกไออุ่นจากแผงอกแข็งแรงแล้วหลับต่อ
สรุปว่ากว่าพวกเขาจะตื่นเต็มตาได้
เวลาก็หมุนเข้าช่วงเย็นไปแล้ว
“ออกไปกินข้าวข้างนอกกัน” มือใหญ่พันผ้าพันคอให้เขาเสียอย่างกับจะพาไปขั้วโลก
แต่พอหวังอี้ป๋อหยิบหมวกกันน็อคออกมาจากตู้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องจับเขาแต่งตัวหนาขนาดนี้ด้วย
“ตอนเย็นรถเยอะมาก เอามอเตอร์ไซค์ไปแล้วกัน” เซี่ยงไฮ้นั้นมีความวุ่นวายสมเป็นเมืองใหญ่
ทั้งรถราและผู้คนต่างสัญจรกันจนแน่นถนน
แสงไฟที่กระจายเป็นวงกว้างทำให้เมืองอันศิวิไลซ์นี้ดูต่างจากตอนกลางวันพอสมควร
เสียงทุ้มต่ำของบิ๊กไบต์ดังกระหึ่ม
อี้ป๋อขับรถแทรกไปตามรถยนต์ที่จอดติดอยู่บนถนน
ก็นับว่าคิดถูกแล้วจริงๆที่เอามอเตอร์ไซค์ออกมา
หลังจากหาอะไรกินเรียบร้อย
Yamaha
YZF-R1 สีน้ำเงินก็จอดลงอีกครั้งที่ริมแม่น้ำหวงผู
ถึงจะหนาวเย็นขนาดนี้แต่ที่หาดไว่ทันก็ยังมีคนเดินเล่นเต็มไปหมด
ยังดีที่ผ้าพันคอปิดบังใบหน้าพวกเขาไปกว่าครึ่ง
คนจึงไม่รู้ว่าคนดังแห่งวงการมอเตอร์สปอร์ตกำลังเดินอยู่ที่นี่
The
Bund หาดไว่ทัน หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
จะเรียกชื่อไหนก็คือชื่อของที่ตรงนี้เหมือนกัน
มันเคยเป็นท่าเรือเก่าและเป็นเขตเช่าของชาวต่างชาติ
ถนนเส้นนี้จึงเรียงรายไปด้วยตึกแบบยุโรปยาวทั้งถนน นอกจากความสวยงามของตึกฝั่งนี้
ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำหวงผูยังเป็นที่ตั้งของหอไข่มุก สัญลักษณ์ของเซี่ยงไฮ้อีกด้วย
ที่นี่จึงเป็นแลนด์มาร์กหนึ่งของเมือง
เหมาะกับการมาเดินเล่นยามเย็นหรือพลบค่ำแบบนี้มาก
หวังอี้ป๋อจับมือเขาเดินไปเรื่อยๆ ถึงจะใช้ชีวิตอยู่ในยุโรปมาครึ่งชีวิตแต่กลิ่นไอของตึกยุโรปที่นี่กลับต่างจากที่ที่เขาเคยอยู่
The Bund ก็มีเอกลักษณ์ของมัน แค่หลับตาก็ราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในยุคเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
ได้เดินเข้าไปในช่วงเวลาที่จีนกำลังเปิดรับวัฒนธรรมของชาติตะวันตก มีทั้งการค้า
ศาสนา เงินตราหลั่งไหลเข้ามา มีทั้งความรุ่งเรืองและด้านมืดอย่างอำนาจ อิทธิพล
มาเฟีย เป็นยุคหนึ่งที่น่าหลงใหลใช่น้อย
“ที่นี่ใช้ถ่ายทำเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ด้วยใช่ไหม?”
ใบหน้ามนหันไปถามคนข้างๆอย่างตื่นเต้น
“น่าจะมั้งครับ
ไม่รู้สิ ผมไม่ได้สนใจ”
หวังอี้ป๋อยักไหล่ก่อนจะจับมือเขาเดินต่อ ใบหน้าหล่อเหลาเหม่อมองไปข้างหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“อยู่เซี่ยงไฮ้มาตั้งหลายปีซะเปล่า
แค่นี้ก็ไม่รู้”
เขาเบะปากอย่างตั้งใจก่อกวน
ถ้าเป็นปกติหวังอี้ป๋อจะต้องหันมามองเขาอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วโต้กลับด้วยคำพูดกวนประสาทไม่ก็หยอกเย้าเอาคืน
แต่นี่กลับเงียบ…
แสดงว่าคิดอะไรอยู่จริงๆ
มือบางจึงดึงมือใหญ่ก่อนจะพาไปหยุดอยู่ที่ราวกั้นริมแม่น้ำ
เบื้องหน้าคือตึกแบบยุโรปสวยงามตระการตา
เบื้องหลังคือหอไข่มุกตะวันออกและหมู่ตึกระฟ้าของเมืองใหม่
บรรยากาศนั้นโรแมนติกมากแต่อี้ป๋อน่าจะไม่เห็นมัน
“นาย...กังวลอะไรอยู่? บอกชั้นสิ”
เขาหันหน้าเข้าหาร่างสูงสง่าที่ยืนพิงราวกั้น
สองมือประคองใบหน้าของอี้ป๋อไว้ไม่ให้หลบหนี ดวงตาคมกล้าคู่นั้นสั่นไหวชั่ววินาทีก่อนจะกลับมามั่นคงดังเดิม
“เฮ้อ…”
ใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจออกมา
“ปิดพี่ไม่ได้เลยจริงๆ” จู่ๆอี้ป๋อก็ดึงตัวเขาไปกอด ปลายคางจึงเกยไว้บนไหล่หนาของอีกฝ่าย
“แบ่งมาให้ชั้นบ้างสิ
ความกังวลของนาย เราเป็นแฟนกันนะ อย่าลืมสิ” เขารับรู้ถึงแรงกดที่ไหล่
อี้ป๋อกำลังซบหน้าลงมา เขาจึงยกมือขึ้นไปลูบหัวสีน้ำตาลเบาๆ
“ผมอยากปกป้องพี่จากทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าจะคนที่คิดร้ายหรือภยันอันตรายใดๆ
อยากปกป้องพี่แม้แต่จากความรู้สึกว่าไม่ถูกยอมรับ...แต่สุดท้ายแล้วพี่ก็มักจะเป็นฝ่ายปกป้องผม
ปกป้องหัวใจของผม”
เสียงทุ้มพูดออกมาแม้ว่าจะยังซบไหล่เขาอยู่
“นาย...กังวลเรื่องพ่อนายเหรอ?”
เขาถามออกไปอย่างใจเย็น
“ครับ…”
เขาอมยิ้มบางๆ อี้ป๋อคิดแต่เรื่องของเขา
แคร์แต่ความรู้สึกเขา เรื่องของตัวเองกลับไม่เคยคิดไม่เคยกังวล
ตัวเองหนีไปแข่งรถโดยที่พ่อก็ไม่ยอมรับเหมือนกันยังไม่เคยสนใจ
แต่กลับคิดเสียมากมายเรื่องที่พ่อจะไม่ยอมรับเขา
“พี่ไม่รู้หรอกว่าพ่อผมน่ากลัวขนาดไหน
ผมกับพี่ชายถึงเลือกที่จะหนีแทนที่จะเผชิญหน้ากับพ่อ” ขนาดราชสีห์อย่างหวังอี้ป๋อกับหวังอี้เฟิงยังไม่อยากสู้ด้วย
แสดงว่าพ่อสิงโตคงจะดุมากจริงๆ
เขาจึงดันตัวอีกฝ่ายออกก่อนจะประคองใบหน้าคมไว้
เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นด้วยความจริงจัง
“นี่
ฟังนะ ชั้นไม่เคยคิดจะเร่งเร้านายเลย ถ้าตอนนี้นายยังไม่พร้อมก็เอาไว้ก่อนก็ได้
หรือว่าถ้าเราเข้าไปแล้วที่บ้านนายปิดประตูใส่ วันหลังเราค่อยกลับมาใหม่ก็ได้
ชั้นก็เข้าใจพ่อแม่นายนะ เรื่องแบบนี้จะให้ยอมรับในทันทีก็คงจะยากแหละ
อีกอย่างเราก็ไม่เคยมาหาท่านเลย ไม่เคยมาให้ท่านเห็นหน้า
ไม่เคยมาทักทาย...มันอาจจะต้องใช้เวลาในการทำความรู้จัก ชั้นเข้าใจ”
“ชั้นไม่อยากให้นายกังวลมากจนเกินไปนะ
ชั้นให้เวลานายทั้งชีวิตเลย” หวังอี้ป๋อพยักหน้ารับ
“ผมเองก็จะใช้ทั้งชีวิตเพื่อให้พ่อยอมรับพี่ให้ได้ ผมสัญญา” เขายิ้มให้ ความจริงแล้วมันไม่สำคัญสำหรับเขาเลยว่าใครจะยอมรับเขาหรือไม่
แต่เพราะอี้ป๋อเห็นเขาเป็นคนสำคัญ
การถูกยอมรับจากครอบครัวจึงเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายอยากทำให้เขา
พวกเรายืนพิงราวกั้นอยู่ที่หาดไว่ทันเนิ่นนาน
สองมือจับกันไว้ทำให้ความกังวลใจค่อยๆไหลออกไป
หัวใจที่อ่อนไหวกลับไปหนักแน่นดังหินผาตามเดิม
ถึงจะยังไม่รู้ว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปยังไง
แต่แค่มีกันและกันอยู่เคียงข้าง...เท่านั้นก็พอแล้ว...
สองขาเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง
เขาวิ่งนำไปข้างหน้า แสงไฟนวลตาที่สาดส่องไปยังตึกแบบยุโรปที่ทอดยาวอยู่เบื้องหลังทำให้เขาเผลอกางแขนออกก่อนจะหมุนรอบตัว
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าดำมืดด้วยรอยยิ้มและมันก็ทำให้คนที่เดินล้วงกระเป๋าตามมาพลอยยิ้มไปด้วย
สายตาของหวังอี้ป๋อไม่เคยละไปจากเขาเลย ไม่ว่าจะหันไปกี่ครั้งดวงตาคมกล้าคู่นั้นก็จ้องมาที่เขา
มองเขาเพียงคนเดียว
แล้วเขายังจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีก?
มีคนคนหนึ่งที่รักเขามากขนาดนี้
ต่อให้คนทั้งโลกจะมองไม่เห็นเขา ไม่ยอมรับเขา เขาก็ไม่สนใจเลย
เขาเอื้อมมือออกไป
มือใหญ่ที่ล้วงกระเป๋าอยู่ก็เอื้อมออกมาจับไว้ เขากึ่งวิ่งกึ่งกระโดดโดยมีหวังอี้ป๋อเดินเป็นหลักมั่นคงตามอยู่ข้างหลัง
รอยยิ้มบางๆยังคงอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา
จะหมั่นเขี้ยวจะเอ็นดูหรือจะรู้สึกยังไงก็แล้วแต่
ขอเพียงแค่อี้ป๋อยิ้มได้เขาก็ดีใจแล้ว
นักบิดแชมป์ห้าสมัยคร่อมมอเตอร์ไซค์ก่อนจะยื่นหมวกกันน็อคให้เขา
สมควรแก่เวลาที่จะกลับกันแล้ว
“ไปโบสถ์กันไหม? แต่งงานกันคืนนี้เลย?
แล้วค่อยหนีตามกันไป” พอสบายใจขึ้นมาหน่อยก็เริ่มยียวนกวนประสาทเลยนะเจ้าลูกสิงโตนี่
เขารับหมวกมาใส่ก่อนจะยู่หน้า
“นายจะเอาถังขยะไปทุ่มใส่กระจกหน้าห้องเสื้อแล้วเอาชุดเจ้าสาวมาให้ชั้นใส่ด้วยหรือเปล่า?”
แบบที่อยู่ในฉากหนังสุดคลาสสิคเรื่องหนึ่งซึ่งติดเรท30+
ต้องอายุมากกว่า30เท่านั้นถึงจะเคยดู!
“น่าสนใจแหะ” หวังอี้ป๋อยกยิ้มอย่างเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“ถ้านายจะทำ
ชั้นจะได้เรียกแท็กซี่กลับก่อน…” เขาเหล่มองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ
แต่อี้ป๋อกลับยิ้มร่าก่อนจะช่วยดึงเชือกหมวกกันน็อคให้
“สมัยนี้เค้าเปลี่ยนเป็นกระจกนิรภัยกันหมดแล้วทุ่มให้ตายก็ไม่แตก
ผมไม่โง่ไปทำเรื่องแบบนั้นหรอกน่า...มา ขึ้นรถ” อี้ป๋อยิ้มกวนๆก่อนจะดึงมือเขาเข้าไป
เขาทำหน้าหงึใส่ก่อนจะก้าวขาคร่อมนั่งซ้อนท้าย
สองแขนกอดรอบเอวของอี้ป๋ออย่างคุ้นเคย
แผ่นอกและใบหน้าซบอยู่บนแผ่นหลังแข็งแกร่งจนแนบแน่น
“ถึงผมจะไม่ไปทุ่มกระจกแล้วเอาชุดเจ้าสาวมาให้พี่
แต่พี่ก็ยังเป็นผู้หญิงข้าใครอย่าแตะของผมอยู่ดี” เสียงทุ้มดังผ่านหมวกกันน็อคทำเอาสองแก้มร้อนผ่าว
“ผู้หญิงอะไรเล่า?!”
มือแกล้งทุบสีข้างอีกฝ่ายแก้เขิน
“หรือจะเป็นกระต่ายข้าใครอย่าแตะ?”
หวังอี้ป๋อหัวเราะก่อนจะบิดคันเร่งกระชากตัวออกไป
“งื้อ!” เขาส่งเสียงดุก่อนจะผวากอดเอวอีกฝ่ายเมื่อจู่ๆรถก็ออกตัว
หมอนี่แกล้งเขาอีกแล้ว!
เสียงทุ้มต่ำของบิ๊กไบต์กับสายลมที่ปะทะรอบกายทำให้รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด
ทั้งๆที่ตอนนี้อากาศหนาวมากแต่ร่างกายของพวกเขาทั้งคู่กลับอบอุ่น
ไม่ว่าจะแผ่นหลังกว้างหรือแผ่นอกบางต่างก็ถ่ายทอดความร้อนให้แก่กัน
ขอเพียงมีกันและกันเขาเชื่อว่าจะผ่านทุกอย่างไปได้
อ้อมแขนจึงกอดกระชับร่างกายของหวังอี้ป๋อมากขึ้น มากขึ้น
จนแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียว
มอเตอร์ไซค์คันใหญ่วิ่งผ่านถนนที่เริ่มจะโล่งขึ้น
ไฟกระพริบที่เตรียมไว้เฉลิมฉลองวันปีใหม่ยิ่งทำให้เซี่ยงไฮ้ราวกับเมืองที่ไม่มีวันหลับใหล
บ้านเรือนแบบฉือคู่เหมินผ่านไปทางหางตา
เขายังคงซบใบหน้าไว้กับแผ่นหลังกว้างไม่ห่าง...ที่ตรงนี้ทำให้เขารู้สึกสบายใจเสมอ
อ้อมแขนจึงเผลอกอดแน่นขึ้นไปอีก
Yamaha
YZF-R1 ค่อยๆชะลอความเร็วก่อนจะเลี้ยวเข้าไปจอดใต้ตึกคอนโด
ที่จอดรถที่นี่มีชื่อเจ้าของติดอยู่ทุกที่และชื่อของหวังอี้ป๋อก็มีมากกว่า 6
ล็อค
เขาลงมายืนรอพลางเอียงคอมองด้วยความสงสัย
ที่จอดรถของอี้ป๋อมีบิ๊กไบต์จอดเรียงกันอยู่4คัน รถยนต์ออดี้สีบรอนซ์ดำอีกคันนึง
แล้วไหนจะรถของเขาที่ปะป๊าส่งมาให้อีกคันด้วย
“เหล่าหวัง...นี่นายต้องซื้อที่จอดรถเพิ่มด้วยหรือเปล่า?”
เขาถามออกไปอย่างเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว
ปกติคอนโดที่อยู่ใจกลางเมืองซึ่งราคาที่ดินแพงลิบลิ่วแบบนี้ไม่น่าจะให้ที่จอดเกินห้องละคันไหม?
“ไม่ต้องครับ
อยากจะเอามาจอดกี่คันก็ได้” ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้ม
“เพราะตึกนี้คือตึกของผม”
“ห๊ะ?”
เขาอุทานอย่างงุนงง
หวังอี้ป๋อหิ้วหมวกกันน็อคก่อนจะเดินนำไปที่ลิฟท์
“พี่คิดว่าแค่ค่าตัวนักขับหรือแค่เงินเดือนทหารของพ่อผมมันจะทำให้ผมผ่านเกณฑ์ของเฟอร์รารี่ได้หรือยังไง? พี่ก็รู้
ใน Moto GPไม่มีทีมไหนให้ค่าตัวนักขับโหดเหมือนในF1หรอกนะครับ” ก็จริง...ที่ค่าตัวนักขับหากเทียบกันระหว่างตัวท็อปอย่างหวังอี้ป๋อกับโกคุเดระ
ฮายาโตะนั้นห่างกันเกือบสองเท่า ปีนึงๆเจ้าฮายาโตะได้จากเฟอร์รารี่เกือบ 50
ล้านดอลล่าสหรัฐ ส่วนอี้ป๋อได้แค่ 18 ล้านดอลล่าเอง
“ตระกูลหวังมีอสังหาริมทรัพย์มากมายในจีน
และคอนโดหลังนี้ก็เป็นชื่อของผมเอง” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา...อ่อ...เพราะแบบนี้สินะห้องของอี้ป๋อถึงได้วิวอลังการงานสร้างขนาดนั้น
ว่าแต่หมอนี่...ไม่คิดจะบอกเขาซักคำเลยหรือไง?!
“นาย...ยังแอบซุกคอนโดที่ไหนไว้อีก? บอกมาให้หมดเลยนะ”
เขามองอย่างคาดโทษ
เจ้าหมาป่าเจ้าเล่ห์หัวเราะก่อนจะเดินเข้าห้อง
“ครับๆ ไว้ผมจะเขียนรายงานส่งพี่ให้ครบทุกที่เลย” อีกฝ่ายหยอกเย้า บรรยากาศปกติระหว่างพวกเขาสองคนกลับมาจนได้
“แต่ถ้าอยากให้บอกตอนนี้...หนึ่งที่แลกกับจูบหนึ่งที โอเคไหม?”
จู่ๆตัวเขาก็ถูกดันติดผนัง
ท่อนแขนแข็งแรงยันขวางกั้นไม่ให้เขาหนีได้
ดวงตากรุ้มกริ่มจ้องมองมาที่ริมฝีปากอย่างไม่ปิดบังว่าต้องการอะไร
“ห๋า? ทำไมนายถึงได้เจ้าเล่ห์ขนาดนี้เนี่ย
เจ้าหมาป่าวายร้าย!”
“ฝั่งผู่ตงของเซี่ยงไฮ้มีคอนโดของผมอีกที่นึง”
“เดี๋ยวสิ! ชั้นยังไม่ได้ตกลงเลยนะ! อื้อ!” กลีบปากร้อนบดเบียดลงมาโดยไม่ฟังคำทัดทาน
ไอ้เรื่องเอาเปรียบเขานี่ถนัดนัก!
เขายอมให้กลีบปากเอาแต่ใจจูบแต่โดยดีเพราะขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์
กลีบปากนุ่มนิ่มค่อยๆละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง แต่หลังจากที่ใบหน้าหล่อเหลาถอยออกไป...
“แถวๆสวนอวี้หยวนเป็นกลุ่มอพาร์ทเม้นต์ให้เช่า อันนั้นก็ชื่อผม”
ห๊ะ? ยังมีอีกเหรอ?
“เดี๋ยว! อื้อ! อื้ม...” ริมฝีปากที่เพิ่งถอยออกไปบดเบียดเข้ามาใหม่
ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนมุมก่อนจะสอดลิ้นเข้ามา ถึงจะจู่โจมเขาอย่างกับหมาป่าหิวโหยแต่รสจูบที่อี้ป๋อมอบให้กลับอ่อนหวานราวกับจะสูบวิญญาณเขาออกจากร่าง
สองขาอ่อนระทวยไปหมดจนต้องใช้สองมือดึงคอเสื้อของร่างสูงไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองไหลครูดไปกับผนัง
หวังอี้ป๋อค่อยๆละออกไป ลมหายใจที่ติดขัดทำให้เขาหอบน้อยๆ เสียงทุ้มยังคงพูดต่อ
“ในปักกิ่งมีคอนโดอีก3ที่ มาจูบ3ทีเลยแล้วกัน” ว่าไงนะ?! พอแล้ว! เขาไม่อยากรู้แล้วก็ได้!
“เดี๊ยววววว! อื้อออมมมม” มือบางตั้งใจจะยันใบหน้าเจ้าหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่จ้องจะกินเขาออกไปแต่มือใหญ่กลับสอดประสานนิ้วทั้งห้ามาแทนซะงั้น
เขาถูกจูบไปพลางร่างกายถูกดึงเข้าห้องในสุดไปพลาง
ประตูห้องนอนปิดลงพร้อมๆกับเสียงที่เริ่มอู้อี้ของเขา
คืนนี้ริมฝีปากสีระเรื่อคงบวมเป่งเพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่าหวังอี้ป๋อเป็นเจ้าของคอนโดเกือบร้อยแห่งในจีนแผ่นดินใหญ่!
นี่ยังไม่นับรวมในฮ่องกง มาเก๊านะ!
ร่างสูงสง่ายืนมองใบหน้าของคนที่ยังหลับใหลอยู่ข้างเตียง
เขาอมยิ้มเมื่อไล่สายตามาถึงริมฝีปากอวบอิ่มที่ออกสีแดงช้ำจากการถูกจูบซ้ำไปซ้ำมา ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าหาก่อนจะจุมพิตแผ่วเบาที่ขมับใส
เขาทำได้เพียงเท่านี้เพื่อเรียกกำลังใจก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
เครื่องบินเทคออฟจากสนามบินผู่ตงก่อนจะแลนดิ้งลงที่สนามบินปักกิ่งในอีกสองชั่วโมงถัดมา
ดวงตาคมกล้ามองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หลบหนีอีก
และแค่มีชื่อหวังอี้ป๋อเข้าระบบสายการบินในสนามบินปักกิ่ง
รถของที่บ้านก็จะมารอรับทันทีโดยที่เขาไม่ต้องโทรบอก
เมอร์ซิเดสเบนซ์สีเงินคันงามวิ่งไปตามถนนที่เขาใช้ชีวิตมาตั้งแต่เกิด
ทุกอย่างคุ้นตาและยังคงไร้สีสันเช่นเดิม
ในย่านนี้แทบไม่เปลี่ยนไปเลยเพราะเป็นย่านพักอาศัยของพวกคนมีฐานะในปักกิ่ง
รั้วบ้านตระกูลหวังนั้นยาวเป็นกิโล
บรรพบุรุษของเขาล้วนอาศัยอยู่ที่นี่มาทุกรุ่น
ข้างในนั้นเก็บงำเรื่องราวที่ขมขื่นเอาไว้มากมาย
ความยิ่งใหญ่ล้วนต้องแลกมาด้วยหัวใจ คนที่ทนไหวจึงเหลือน้อยเต็มที
จนกระทั่งถึงรุ่นสุดท้ายนี้ก็เหลือเขาเพียงคนเดียว…
ถ้าไม่นับอี้เฟิงที่ใช้ชีวิตเหมือนตายไปแล้ว...หวังอี้ป๋อก็คือทายาทคนสุดท้ายที่เหลืออยู่...เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันจึงฝากไว้ที่เขาทั้งหมด
เขาถูกจับตามองแทนที่พี่ชายมาตั้งแต่เด็ก
ทุกๆคนคิดว่าเขาช่างโชคดีที่จะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศาลนี้คนเดียวโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อแย่งชิงกันเหมือนครอบครัวอื่น
เขาก็คิดว่ามันไม่ได้แย่ เพียงแต่...เขายังมีความฝันของตัวเอง...
ร่างสูงสง่าก้าวขาลงมาจากรถ
ดวงตาคมกล้าทอดมองบ้านทรงยุโรปหลังใหญ่ที่สร้างไว้อย่างหรูหราด้วยสายตาเฉยชา
อันที่จริง...เขาก็ไม่ได้คิดจะหนีไปตลอดหรอกแต่เรื่องของเจ้ากระต่ายทำให้เขากล้ากลับมาเผชิญหน้ากับเรื่องที่คาราคาซังเหล่านี้ไวขึ้น
“คุณอี้ป๋อ...กลับมาเสียทีนะครับ” เลขาเหมาก้าวออกมาต้อนรับเขาเป็นคนแรก
พวกคนรับใช้ที่ไม่ได้เจอเขามานานต่างก็ก้มหัวให้อย่างเป็นระเบียบ
“ครับ พ่อกับแม่ล่ะ?” เขาเช็คตารางงานกับเลขาเหมาแล้ว
วันนี้พ่อเขาอยู่บ้านแน่ๆ
“อยู่ข้างในครับ ท่านทราบว่าคุณอี้ป๋อจะเข้ามาจึงอยู่รอ” เขาพยักหน้าก่อนจะก้าวขาเข้าบ้าน ข้างในก็ตกแต่งด้วยสไตล์ยุโรปเช่นกัน
เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนเป็นงานสั่งทำ
ทุกอย่างยังวางไว้ที่เดิม...ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
“อี้ป๋อ…” เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งเอ่ยเรียกเขา
และมันก็เป็นเสียงที่ทำเอารื้นขึ้นมาในใจ
เขาหันไปหาหญิงสาวที่ยืนยิ้มอ่อนหวานอยู่ข้างหลัง
“แม่…” คนที่ทำให้เขาตัดบ้านหลังนี้ไม่ขาดก็คือแม่ของเขาเอง
เขาไม่สามารถจะทิ้งผู้หญิงที่งดงามคนนี้ไว้ตามลำพังได้ ยังไงเขาก็ต้องกลับมา
“ไม่ได้เจอตั้งนาน เป็นยังไงบ้าง?” แม่ที่สูงแค่ไหล่เอื้อมมือมาลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน
เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะมองสำรวจผู้เป็นมารดาที่ดูผอมลงนิดหน่อย
แม่ของเขาต่างจากหม่าม้าของเจ้ากระต่ายโดยสิ้นเชิง
หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแต่งกายด้วยชุดกี่เพ้าเข้ารูปและดูเรียบร้อยมาก
“มาคนเดียวเหรอ? แล้ว…” แม่มองหาคนที่น่าจะมากับเขาด้วย
เขาจึงเอ่ยออกไป
“ผมมาคนเดียว มาคุยกับพ่อก่อน…” เขาเม้มปากและแม่ก็มีสีหน้าว่าเข้าใจ
“พ่ออยู่ในห้องหนังสือ...ค่อยๆคุยกันนะลูก” แม่มองเขาด้วยแววตากังวล
ในใจแม่คงรู้ดีอยู่แล้ว...ถึงคำตอบที่พ่อมีให้แก่เขากับเจ้ากระต่าย
เขาได้แต่กลืนก้อนความเครียดลงไป
มาถึงนี่แล้วจะถอยไม่ได้ อย่างน้อยพ่อก็แต่งงานกับแม่ของเขาเพราะรัก
ไม่ได้แต่งตามที่ปู่เลือกให้ ในใจเขาจึงมีความหวังอยู่ริบหรี่
“ผม...รู้แล้วว่าความรักคืออะไร” เขาบีบมือของแม่ด้วยดวงตาสั่นพร่า
แม่กลับเป็นฝ่ายมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่คิดว่าเขาจะพูดคำนี้ออกมา
เพราะตั้งแต่เล็กจนโต เขาแทบไม่เคยพูดความในใจของตัวเองให้ใครฟัง
วงหน้าสวยของแม่ดูเบาใจและพยักหน้าให้เขารัวๆ
มือเรียวสวยบีบมือเขาแน่นๆราวกับกำลังให้กำลังใจก่อนจะปล่อยออกแล้วเปิดทางให้เขาเข้าไปหาพ่อ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เผชิญหน้ากับพ่อตรงๆแบบนี้ สองขาก้าวเข้าไปในห้องหนังสือช้าๆ
แผ่นหลังของพ่อยืนอยู่ตรงนั้น…
อยู่หลังหน้าต่างบานใหญ่ที่เห็นสวนเขียวขจีแต่จิตใจของเขากลับไม่สดชื่นขึ้นเลย
“พ่อ…”
ชายผู้กุมอำนาจทางการทหารสูงสุดในประเทศจีนค่อยๆหันหน้ามา
หัวใจของเขาเต้นจนแทบจะทะลุออกจากอก ทั้งตื่นเต้น ทั้งกดดันจนแทบจะอ้วกออกมาเสียให้ได้
แต่ทั้งหมดนั้นจำต้องกักเก็บไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย
ทรมานสุดๆ
“นั่งสิ” พ่อใช้สายตามองสำรวจเขาโดยไม่ถามอะไร
เขานั่งลงไปที่โซฟาสไตล์วิกตอเรี่ยนที่อยู่ในห้องหนังสือ
เสียงของพ่อยังทรงพลังอยู่เสมอและไม่ว่าจะสั่งอะไรเขาก็ไม่เคยต้านทานได้เลย
“แล้วเด็กคนนั้น...ไม่ได้มาด้วยเหรอ?” เขาเผลอกัดปากเบาๆ
พ่อรู้เรื่องของเขาดีทุกอย่างสินะ? คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกันให้มากมาย
“ผมไม่เข้าใจ...ว่าทำไมพ่อถึงปล่อยไว้...ทั้งเรื่องที่ผมหนีไปแข่งรถ
แล้วก็เรื่องที่ผมคบกับเซียวจ้าน” เขาถามออกไปตรงๆ
เพราะอย่างพ่อ ถ้าจะขัดขวางย่อมทำได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังปล่อยไว้ทั้งๆที่ยังไงก็คงไม่มีวันยอม
“แกไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอก ถ้าคิดจะกลับมาก็ต้องทำตามเงื่อนไขของฉัน”
พ่อพูดตรงๆและเด็ดขาดสมเป็นทหาร
“ถ้าผมทำตามเงื่อนไขได้ พ่อจะยอมรับเซียวจ้านใช่ไหม?” เขาก็ถามไปตรงๆเช่นกัน
พวกเราสองพ่อลูกเลยจุดที่จะมัวพูดจาอ้อมค้อมหรือเสแสร้งต่อกันแล้ว
พวกเราต่างรู้ไส้รู้พุงกันดีว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง เวลาที่เขาดื้อ...คนที่เกี่ยวข้องกับเขาโดนอะไรบ้างเขาย่อมรู้ดี
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” แต่แล้วพ่อกลับตอบรับง่ายๆจนเขาได้แต่ประหลาดใจ
หัวใจที่ลีบเล็กค่อยๆกำลังพองโตเพราะไม่ว่าพ่อจะยื่นเงื่อนไขอะไรมาเขาก็จะฟันฝ่ามันจนสำเร็จให้ได้
เขาไม่มีวันยอมแพ้แน่ไม่ว่ามันจะยากขนาดไหน
"เงื่อนไขของฉันมีข้อเดียว"
"ถ้าแกมีหลานให้ฉันได้ มีทายาทให้ตระกูลหวังได้ ฉันถึงจะยอมรับ
ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไปซะ"
แล้วก็เหมือนพ่อตบเขาจนหน้าชา…
เพราะเงื่อนไขนี้...ไม่มีทางที่เขาจะทำได้เลย…
ไม่มีทางเลย…ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่มีวันเป็นไปได้เลย...
เจ้ากระต่ายเป็นผู้ชาย...ไม่มีทางมีลูกให้เขาได้…
มือใหญ่ได้แต่กำหมัดแน่น
สันกรามขบกันอย่างพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้อาละวาด...ถ้าพ่อตั้งเงื่อนไขแบบนี้
สู้พูดมาตรงๆเลยดีกว่าว่าไม่มีวันยอมรับพวกเรา…
ที่หัวใจเจ็บปวดจนต้องขมวดคิ้ว
โมโหจนอยากจะร้องไห้ อยากจะตะโกนใส่หน้าแต่ก็จำต้องเก็บทุกความรู้สึกกลืนลงไป
เขาจะไม่มีวันทำตัวเป็นเด็กต่อหน้าผู้ชายคนนี้
จะไม่มีวันร้องไห้กระจองงอแงขอร้องอีกฝ่าย
ใบหน้าหล่อเหลาสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดออกไป
“...ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมจะกลับอิตาลีเลยก็แล้วกัน” ร่างสูงสง่าลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องทันที
ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรต่อไป
เขาทำดีที่สุดแล้ว
เขาพยายามแล้ว จะไม่ยอมรับก็คงต้องทำใจ แต่ยังไงเขาก็ไม่มีวันเลิกกับเจ้ากระต่ายแน่ๆ
“หวังอี้ป๋อ!” พ่อตะโกนไล่หลังมาเมื่อเห็นเขาเดินออกมา
“แกอย่าคิดนะว่าตอนนี้เหลือแค่แกแล้วชั้นต้องยกทุกอย่างให้!”
“ถ้าแกไม่มีเงินของชั้น
ไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีอำนาจของตระกูลหวัง ใครมันจะยังเห็นหัวแกอีก!” เขากำหมัดแน่น
จริงอยู่ที่เขาได้เจ้ากระต่ายมาเพราะมีฐานะของครอบครัวเป็นแรงสนับสนุน
แต่จากนี้ไปเขามั่นใจว่าจะดูแลเจ้ากระต่ายได้ด้วยมือของตัวเอง
เพราะฉะนั้นร่างสูงสง่าจึงก้าวขาจากมาอย่างไม่ลังเล
ไม่...แม้แต่จะหันกลับไปอีกเลย
“อี้ป๋อ
ลองคุยกับพ่อดีๆอีกทีก่อนไหม?” มีเพียงแม่ที่ยังตามมาขอร้องเขาให้ทบทวนดูใหม่
“เปล่าประโยชน์ครับแม่
แม่ก็รู้ว่าเซียวจ้านเป็นผู้ชาย ไม่มีทางมีลูกให้ผมได้
ไม่มีทางมีทายาทให้ตระกูลหวังได้
ถ้าพ่อตั้งเงื่อนไขนี้ขึ้นมานั่นก็หมายความว่าไม่มีทางยอมรับพวกเรา”
“......” ผู้เป็นแม่มองเขาด้วยดวงตาสั่นพร่า
น้ำตาที่เอ่อคลอขึ้นมาทำให้เขาราวกับมีก้อนอะไรจุกอยู่ในลำคอ
แม่เป็นผู้หญิงที่มีชาติตระกูลดีและมีการศึกษา
เป็นหญิงสาวในแบบคลาสสิคไชนีสโดยแท้คือคอยดูแลบ้านช่องและทำตามคำสั่งของสามี
แม่คือคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างเขากับพ่อมาโดยตลอด อยากจะช่วยเขาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่คอยมองด้วยความเป็นห่วงและสายตาที่เจ็บปวดอยู่เสมอ
พอนึกถึงแม่ทีไร
เขาก็ละอายทุกครั้งที่เป็นต้นเหตุให้ผู้หญิงที่รักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขคนนี้ต้องทุกข์ใจ
“แม่...ผมขอโทษ...ผม...” หัวคิ้วขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์ในขณะที่จับมือมารดาไว้
หัวใจเหมือนถูกเข็มเล่มเล็กๆทิ่มเต็มไปหมด
“.....” เขาได้แต่มองหน้าแม่อย่างไม่รู้จะพูดอะไร
ต่างฝ่ายต่างอยากปลอบใจแต่ก็จนซึ่งคำพูดใด
ตอนนี้เขาคิดถึงเจ้ากระต่ายจับใจ
จ้านเกอทั้งน่ารักทั้งแสนดีแบบนั้น ทำไมถึงไม่ถูกยอมรับกัน
“...แม่ แม่ลองไปเจอเขาดูไหมครับ” แล้วเขาก็เอ่ยบอกแม่ด้วยเสียงสั่นน้อยๆ
ดวงตาของแม่เบิกค้างอย่างไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“ผมรับรองว่าแม่จะต้องรักเขา” อย่างน้อย...ถ้าแม่ได้เจอเจ้ากระต่าย
แม่จะได้วางใจได้บ้างว่าเขามีความสุข สีหน้าอมทุกข์ของแม่อาจจะหายไปได้บ้าง
“....ได้สิ...ถ้างั้นก็อย่าเพิ่งกลับอิตาลีนะ แม่จะไปหา” แม่รับปากด้วยใบหน้าที่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ครับ” เขายิ้มบางๆ ได้แต่หวังว่าแม่จะยอมมาจริงๆ
“ผมไปก่อนนะครับ” แม่เหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับเขาอีก แต่เขาก็ทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหวแล้ว
มือใหญ่ดึงมือตัวเองออกมาจากการจับกุมของมารดา
สองขาก้าวออกจากบ้านทรงยุโรปหลังใหญ่ด้วยดวงตาที่เจ็บปวด
แล้วเขา...จะต้องกลับไปบอกเจ้ากระต่ายยังไงดี...
จะพูดยังไงให้ดวงตาที่สวยงามคู่นั้นไม่เศร้าหมอง
เขาจะต้องทำยังไงดี…
“ไปแล้วเหรอ?”
เสียงดุดันของผู้เป็นสามีเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงรถกระชากตัวออกไป
“ค่ะ” เธอหันหน้าไปมองท่านนายพลที่เดินออกจากห้องหนังสือมาด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก
“......” ใบหน้าเคร่งขรึมไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้
เธอจึงหันไปมองนอกหน้าต่างพลางเอ่ยเบาๆ
“อี้ป๋อ...ไม่ได้กลับมาตั้งกี่ปีแล้วนะคะ? สอง
หรือสามปี? มันนานจนฉันจำไม่ได้เลย…”
“แต่ลูกก็ยอมกลับมาเพราะเด็กคนนั้น
ลูกอยากให้พวกเรายอมรับถึงได้กลับมา”
“แต่มันก็ทิ้งพวกเราไปอีกเพราะเด็กนั่น
สุดท้ายมันก็เลือกสิ่งที่มันรักโดยไม่สนใจคนที่ให้ทุกอย่างกับมัน
ไม่ว่าจะฉันหรือตระกูลหวัง มันก็ไม่เคยแยแสเลย”
“ฉันคงเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้
มันถึงไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตา แต่เธอจะให้ฉันทำยังไง
ต้องให้ฉันยืนมองตระกูลหวังหมดสิ้นไปในรุ่นของฉันอย่างงั้นรึ?”
ผู้เป็นภรรยามองสามีอย่างเห็นใจ
เธออยู่ตรงกลางระหว่างสองพ่อลูกมานานแสนนาน จึงเข้าใจทั้งสองฝ่าย
บนไหล่ท่านนายพลมีภาระอันหนักอึ้งของตระกูลที่ต้องคอยแบกรับทำให้ต้องเข้มงวดกับลูกชายเพื่อให้อี้ป๋อรับภาระนี้ต่อไปได้
จะเป็นมังกรที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องแข็งแกร่งตลอดไป
จะอ่อนแอเพียงนิดก็ไม่ได้เพราะเบื้องล่างนั้นช่างน่ากลัวหากตกลงไป
ทางฝั่งของลูกชายก็มีความฝันของตัวเอง
มีเส้นทางที่อยากจะเดินไปด้วยตัวเอง
ในตอนที่อี้ป๋อบอกว่ารู้จักแล้วว่าความรักเป็นยังไง เธอดีใจมากๆ
เธอมีความสุขไปกับลูกด้วยจริงๆ
“คุณก็น่าจะบอกลูกบ้าง พวกเราไม่เคยพูดอะไร ลูกคงไม่รู้และไม่เข้าใจ”
การหายตัวไปของอี้เฟิงมีผลกระทบต่อท่านนายพลมาก
มันทำให้ท่านนายพลหวงแหนลูกชายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่จนแม้แต่อี้ป๋อจะไม่ยอมเป็นทหารและหนีไปทำตามความฝัน
ท่านนายพลก็ยอมปล่อยไป จนแม้แต่ไปคบกับเซียวจ้านที่เป็นเด็กผู้ชาย
ท่านนายพลก็ดูอยู่เงียบๆ ต่อสู้กับความขัดแย้งในใจตามลำพัง
ทั้งอยากให้ลูกมีความสุข ทั้งไม่อยากให้ตระกูลหวังล่มสลาย
ตอนนี้สามีของเธอก็คงยังหาทางออกให้กับเรื่องนี้ไม่ได้
จึงต้องบอกอี้ป๋อไปแบบนั้น
“พ่อนายว่าไงบ้าง?” ทันทีที่หวังอี้ป๋อไปถึงคอนโดที่เซี่ยงไฮ้
เสียงใสของคนที่รอฟังอยู่ก็ถามออกมา
“ถ้าผมมีหลานให้พ่อไม่ได้ ถ้ามีทายาทให้ตระกูลหวังไม่ได้ พ่อก็จะไม่ยอมรับ”
เสียงทุ้มตอบออกไปตรงๆ
จากตอนแรกที่ไม่รู้ว่าจะบอกเจ้ากระต่ายยังไงดี แต่ตอนนี้เขามีไอเดียใหม่
เขาจึงพูดกับอีกฝ่ายได้ราวกับเรื่องนี้มันจะโอเค
“....ชั้น...มีลูกให้นายไม่ได้หรอกนะ” เจ้ากระต่ายทำหน้ายุ่ง
ร่างโปร่งบางทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาพลางทำหน้าครุ่นคิด
“....แต่ผมยังมีหลานให้พ่อได้ ยังมีทายาทให้ตระกูลหวังได้” เขานั่งคิดมาตลอดทางตั้งแต่ที่บ้านจนถึงสนามบิน
จากตอนแรกที่คิดจนหัวระเบิดก็คิดไม่ออกว่าควรจะทำยังไง
แต่พอได้บินอยู่เหนือหมู่เมฆ ได้มองเห็นท้องฟ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
เขาก็คิดออกว่า...ที่อีกปลายฟ้ายังมีความหวังของเขาอยู่
“ห๊ะ?” ใบหน้ามนทำหน้างงเมื่อเขาพูดออกไปแบบนั้น
จริงสิ จ้านเกอยังไม่รู้ว่าเขายังมีหลานชายอยู่อีกคน
“ผมจะไปแคนาดา พี่รอผมอยู่ที่นี่นะ ผมจะรีบกลับมา”
“นายจะไปทำอะไรที่แคนาดา? มีงานด่วนเหรอ?”
“ใช่ครับ ด่วนมาก นี่เป็นเดิมพันครั้งสุดท้ายของผมแล้ว” นี่คงจะเป็นไพ่ตายที่เขาคิดได้แล้ว ถ้าพ่อยังไม่ยอมรับ
เขาก็จนหนทางแล้วจริงๆ
“งั้นก็ไปดีมาดี ดูแลตัวเองด้วยนะ ส่วนเรื่องลูกก็ไม่ต้องเป็นห่วง
เดี๋ยวชั้นช่วยนายคิดเอง” ห๊ะ? คิดแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?
ตัวเองก็ท้องไม่ได้เสียหน่อย แต่ก็อย่างว่าแหละนะ
เจ้ากระต่ายแสบนี่ขอแค่รู้ว่าอะไรมันคือปัญหา ก็จะพยายามแก้ไขมันจนได้
“ผมไปนะ” หลังจากรีบเก็บข้าวเก็บของให้ทันเที่ยวบินที่จะไปแวนคูเวอร์ประเทศแคนาดา
เขาก็จูบหน้าผากเจ้ากระต่ายเบาๆแล้วรีบออกมา
รีบ...จนลืมบางเรื่องไปเลย
จนกระทั่งอีก
12 ชั่วโมงให้หลัง ที่เซี่ยงไฮ้เป็นเช้าวันใหม่แล้วส่วนเขาก็เพิ่งถึงแคนาดา
เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
“ครับ?” เขารับโทรศัพท์ของเจ้ากระต่ายอย่างตกใจน้อยๆ
ทางนู้นเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าถึงกับต้องโทรมา?
“อี้ป๋อ นายอยู่ไหนแล้ว?” เสียงเจ้ากระต่ายกระซิบกระซาบ
เหมือนแอบโทรมา?
“ผมเพิ่งถึงแวนคูเวอร์ มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เขาขมวดคิ้วสงสัย
แล้วพอปลายสายเฉลยให้ ริมฝีปากก็ถึงกับอ้าค้าง
“แม่นายมาหาน่ะสิ!”
ลืมไปเลยว่าแม่จะมาหา!
ตายๆๆ
ไม่ใช่ว่าจะทะเลาะหรือตีกันตายอะไรแบบนั้นหรอก
แต่คนนึงก็ง๊อกๆแง๊กๆมึนๆงงๆ ส่วนอีกคนก็เรียบร้อยไม่ค่อยพูด
เจ้ากระต่ายอยู่กับแม่เขาจะไหวไหมเนี่ย?! อย่าไปก่อเรื่องอะไรนะเจ้าตัวดี~
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
มาเซี่ยงไฮ้กันแร้ววววว
เพิ่งเห็นรูปใหม่ของป๋อว่าถ่ายที่เซี่ยงไฮ้ด้วย แทบกรี๊ด >////<
แน่นอนว่าเรามีคลิปมาประกอบให้สมกับที่เป็นฟิคท่องเที่ยวด้วย
กร๊ากกก
อัศจรรย์ใจสะพานข้ามแม่น้ำของเค้ามาก
เพราะสะพานมันสูงมาก เวลาจะขับรถขึ้นมันต้องใช้ระยะแลนดิ้งไกลใช่มะ
ท่านก็เลยลดระยะด้วยการทำทางขึ้นเป็นขดๆวงกลมขึ้นไปอ่ะ 555 เจ๋งดี
แล้วเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่สวยมากเหมือนฉากในอนิเมะเลย >////< ชอบๆๆ
แล้วก็ฉากทุ่มถังขยะที่ว่าก็มาจากนี้เองค่ะ
หนังสุดคลาสสิคตลอดกาลของพี่หลิว555 คือเวลาเห็นพระเอกฟิคขี่บิ๊กไบต์ทีไร
ภาพกระโปรงเจ้าสาวปลิวก็ลอยเข้ามาในหัวทุกที ฟฟฟ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามมากๆๆนะคะ
>/////< มีติ่งเซบาสเตียนอยู่ที่นี่เยอะเรย ฮี่ๆๆๆ ปีนี้ก็ขับเพื่อสุขภาพกันไปค่ะ
ไว้ปีหน้าค่อยไบโพล่าไปด้วยกันใหม่ ตัวเป็นทิโฟซี่แต่ใจอยู่แอสตันมาติน กร๊ากกก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น