ป๋อจ้าน Au S.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] Juunana Sai : 17ฝน : 04
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Period / Romance / Suspense / Mystery / Crime
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
“เรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับเรื่องในคืนนั้นแน่ๆ
ไม่งั้นเสื้อของฉันจะไปอยู่กับมีดที่ใช้ฆ่าอัยได้ยังไง?! ชินยะ
เราต้องหาทางทำอะไรสักอย่างนะ
นายก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าคนในกลุ่มของฉันถูกฆ่าตายไปสองคนแล้ว! เสื้อนั่นมันต้องส่งมาเตือนพวกเราแน่ๆ!”
น้ำเสียงร้อนใจเอ่ยออกมาอย่างพยายามให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
คนสองคนกระซิบกระซาบคุยกันอยู่หลังตึกเรียนในเวลาที่ทุกคนต่างกลับหอพักไปกันหมดแล้ว
“มันไม่มีอะไรหรอกน่า นายจะโวยวายทำไม? อยากให้คนอื่นรู้หรือไง?”
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างใจเย็นและพยายามจะทำให้อีกคนสงบลง
แดดสีส้มที่อ่อนแสงเต็มทีพาดผ่านร่างของเด็กหนุ่มทั้งคู่จนเกิดเป็นเงาสองเงาที่มีขนาดต่างกันบ่งบอกได้ว่าคนหนึ่งสูงใหญ่กว่าอีกคนหนึ่งพอสมควร
“จะไม่ให้โวยวายได้ยังไงในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะพวกนาย!
ฮิโรกิกับอัยเกี่ยวอะไรด้วย? พวกฉันเกี่ยวอะไรด้วย?!”
เงาที่เล็กกว่าตะโกนใส่หน้าเงาที่ใหญ่กว่าอย่างเหลืออด
“ไม่เอาน่ายูกิ เรายังไม่รู้สักหน่อยว่ามันเกี่ยวกันจริงๆไหม
เพื่อนนายอาจจะไปมีเรื่องกับคนอื่นอยู่ก็ได้” เงาที่ใหญ่กว่าพยายามเอื้อมมือมาจับแขนอีกคนที่สะบัดตัวหนี
“ฉันจะไปบอกตำรวจ”
“ยูกิ ไม่ได้นะ”
“ต้องมีคนเห็นเรื่องในคืนนั้นแน่ๆ แล้วหมอนั่นก็เก็บเสื้อของฉันไป
หมอนั่นต้องตามมาแก้แค้นพวกเราแน่ๆ ถ้าบอกตำรวจ ตำรวจก็จะได้สืบให้ว่ามันเป็นใคร”
เงาที่เล็กกว่าก้าวถอยหลังพลางพูดเสียงแข็ง
“แต่พวกเราจะมีความผิดไปด้วยนะ” เงาที่สูงกว่าก้าวตามมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงคล้ายจะอ้อนวอนอยู่ในที
“ก็ไหนนายบอกว่านายไม่ได้ทำอะไรไงเล่า?!” เงาที่เล็กกว่าสะบัดแขนราวกับสุดจะทนแล้ว
“ฉันไม่ได้ทำจริงๆ”
“ถ้างั้นจะกลัวอะไร?!”
“..........ยูกิ...ขอร้องละ
ใจเย็นๆ รอไปก่อนได้ไหม? ช่วงเวลานี้สำคัญสำหรับที่บ้านของฉันมากนะ
ถ้ามีเรื่องมีราวจนพ่อไม่ได้รับการแต่งตั้งละก็...”
เงาที่สูงกว่าพยายามใช้เหตุผล
“บ้านนายสำคัญแล้วชีวิตฉันไม่สำคัญหรือไง?!” เงาที่เล็กกว่าตะโกนใส่หน้า
“ดูก็รู้ว่ามันกำลังเล่นงานคนในกลุ่มของฉัน
คอยดูเถอะ ถ้าพี่ชายฉันเป็นอะไรขึ้นมา ฉันจะไม่ให้อภัยนายอีกเลย!” เงาที่เล็กกว่าสะบัดตัวแล้วเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
น้ำเสียงทั้งเกรี้ยวกราดทั้งไม่พอใจจนเงาที่สูงใหญ่กว่าต้องวิ่งตามไปง้อ
“ยูกิ!”
ร่างโปร่งบางของเซริซาว่า
จิอากิหลบอยู่หลังเสาจนแทบจะสิงเข้าไปในผนังเสียให้ได้...เขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังแต่ต้องบอกว่าดันผ่านมาในจังหวะที่ไม่ดีเอาเสียเลย
จะถอยหลังก็ไม่ได้ จะก้าวต่อไปก็ไม่ได้
เลยต้องหลบอยู่ตรงนี้เพื่อไม่ให้สองคนนั้นเห็น
สองคนนั้นคงคิดว่าไม่มีใครเหลืออยู่ในตึกเรียนแล้วเลยเลือกที่จะมาคุยกันที่นี่
แต่พวกนั้นอาจจะไม่รู้ว่าเขาอยู่ซ้อมไวโอลินจนมืดค่ำแทบทุกวัน
ใบหน้ามนชะโงกออกไปเพื่อสอดส่องว่าสองคนนั้นไปแล้วแน่ๆ?
เขาไม่สนใจเรื่องที่พวกนั้นคุยกันหรอก
ไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทะเลาะกันเรื่องอะไร มันไม่ใช่เรื่องของเขา
เพราะงั้นมือบางจึงหิ้วกระเป๋าใส่ไวโอลินแล้วเดินกลับหอพักไปด้วยใบหน้าเรียบเฉยดังเดิม
เสียงไวโอลินแว่วหวานออกมาจากบานประตูห้อง
นายตำรวจหนุ่มจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการไขกุญแจเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังจนไปรบกวนคนข้างใน
จริงๆเขาชอบดูเวลาที่จิอากิซังสีไวโอลิน
ร่างโปร่งบางในกิโมโนสีเทาปักลวดลายด้วยไหมสีดำที่ยืนสีไวโอลินอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์นั้นงดงามราวกับภาพวาด
งดงามจนเขาต้องยืนมองราวกับถูกสะกดอยู่ร่ำไป
“อิตสึกิซัง?
กลับมาแล้วเหรอครับ?”
จิอากิซังทักขึ้นเมื่อหันมาเห็นเขาเข้า มือบางลดไวโอลินลงเมื่อบรรเลงจบเพลง
“ครับ
กลับมาแล้วครับ”
เขาตอบรับพลางวางกระเป๋าถือทรงสี่เหลี่ยมลง สารวัตรหนุ่มพักอยู่ที่หอพักของโรงเรียนไคจิมาหลายวันแล้ว
และถึงแม้คืนนี้จะมีเสียงไวโอลินแต่เหตุการณ์ทุกอย่างก็ยังสงบเรียบร้อยดี
ยังไม่มีฆาตกรรมรายที่สามอย่างที่หวาดกลัวกัน เขาได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่ฆาตกรรมต่อเนื่องและการตายของเด็กทั้งสองคนก่อนหน้านี้จะไม่เกี่ยวข้องกัน
“จริงสิ
จิอากิซัง...ช่วยมาดูนี่กับผมหน่อย” เขากวักมือเรียกคนที่กำลังเช็ดไวโอลิน
มือบางวางผ้าลงก่อนจะเดินมาหาเขาพลางทำหน้าสงสัย
มือใหญ่ค่อยๆแง้มประตูจนเกิดเป็นช่องเล็กๆพอที่สายตาจะมองลอดผ่านไปได้
ร่างสูงสง่าหลบให้ร่างบางสอดตัวเข้ามาด้านใต้เพื่อมองภาพข้างนอกห้องพร้อมๆกัน
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินวนเวียนอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องถัดจากห้องของพวกเขาไปราวๆ6-7ห้อง
เด็กหนุ่มคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ น่าจะสูงกว่าอาคางิ มาโมรุเสียอีก
ซ้ำยังมีหน้าตาคมคายมาก นับว่าหล่อเหลาเอาการทีเดียว เพียงแต่ใบหน้านั้นกลับเรียบเฉยจนดูน่ากลัวไปบ้าง
“นั่นใครครับ?” เขากระซิบถามคนที่แอบดูอยู่ด้านใต้เบาๆ
เขาไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายแต่งกายด้วยชุดกักกุรัน
ถึงจะไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่ก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นเด็กในโรงเรียนนี้
“มุราซากิ
ชินยะครับ” จิอากิซังตอบในขณะที่สองมือยันผนังกับประตูไว้อย่างตั้งใจแอบดูเต็มที่
เขาอมยิ้มกับความอยากรู้อยากเห็นของเจ้ากระต่ายน้อย
ปกติคงไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้
เขาเหลือบมองต้นคอขาวที่โผล่พ้นคอกิโมโนมา แม้แต่ต้นคอก็ยังน่ารักน่าเอ็นดู...
“...หมอนั่นน่ากลัว” เสียงนุ่มกระซิบบอกเบาๆทำให้เขากลับไปเพ่งพิจารณากับภาพนอกห้องต่อ
“ผมพยายามจะไม่อยู่ใกล้
กลุ่มของมุราซากิน่ากลัวทุกคนเลย เป็นพวกนักเลงประจำโรงเรียนครับ
ถ้าใครไปมีเรื่องด้วยก็จะโดนซ้อมจนบาดเจ็บสาหัสเลยก็มี” โฮ่ มีนักเลงประจำโรงเรียนด้วยเหรอเนี่ย?
เขาเพิ่งรู้ เขาไม่เคยเห็นเด็กกลุ่มนี้เลยจริงๆ
สงสัยว่าจะมีแหล่งซ่องสุมในที่ลับตาคนอยู่อีก
“แล้ว...หมอนั่นมาทำอะไรอยู่ตรงนั้น?
ผมเห็นตั้งแต่ตอนที่เดินขึ้นมาแล้วนะ นั่นน่าจะเป็นห้องของพวกฝาแฝดคิเสะ?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอะไรกับคิเสะ
ยูกิ แต่เมื่อเย็นผมเห็นพวกเขาทะเลาะกัน หรือว่าจะมาหาเรื่องพวกฝาแฝด?”
จิอากิซังเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาสะพรึงกลัวแต่เขากลับส่ายหน้าแล้วอมยิ้มน้อยๆ
ดูก็รู้ว่ามุราซากิ
ชินยะกำลังมาง้อใครสักคนที่อยู่ในห้องนั้น ถึงได้เดินวนเวียนไม่ไปไหน จะบุกเข้าไปก็กลัวคนข้างในโกรธ
ถ้ามาหาเรื่องละก็ป่านนี้น่าจะถีบประตูพังไปแล้ว
“คุณจะไม่ออกไปห้ามเหรอครับ?” ใบหน้าที่ดูหวาดหวั่นของกระต่ายน้อยขี้กลัวเงยมองเขา
ใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันเสียจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยออกมาจากต้นคอระหง
“ไม่เป็นไรหรอก
เรื่องของพวกเขาสองคน เราอย่ายุ่งจะดีกว่า”
“....ครับ” ใบหน้ามนงงๆที่เขาดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
จิอากิซังหันกลับไปแอบดูต่ออีกพักใหญ่จนแน่ใจว่ามุราซากิ
ชินยะจะไม่บุกเข้าไปในห้องฝาแฝดถึงได้ยอมละออกมา
ส่วนเขาน่ะเหรอ?
ก็ยืนสูดกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นดอกไม้อยู่เหนือร่างกายผอมบางนั่นแหละ...
เช้าวันใหม่มาเยือนพร้อมกับอากาศที่เย็นขึ้นนิดหน่อย
ร่างกายที่เหมือนมีนาฬิกาปลุกทำให้นายตำรวจหนุ่มลืมตาขึ้นมาเองโดยไม่ต้องให้ใครเรียก
เขาเหลือบตามองประตูห้องน้ำที่เปิดออกพร้อมๆกับร่างโปร่งบางเดินออกมา
จิอากิซังอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
“วันนี้คุณไม่ไปทำงานเหรอ?” เสียงนุ่มทักขึ้นเมื่อเห็นว่าเขายังนอนอยู่บนฟูกทั้งๆที่หกโมงเช้าแล้ว
“วันนี้เป็นวันหยุดของผมน่ะ...” ใบหน้าที่ยังงัวเงียตอบอย่างเกียจคร้าน
เขานอนมองจิอากิซังจัดความเรียบร้อยของชุดฮากามะนักเรียนอยู่หน้ากระจก
มือบางกำลังติดกระดุมเสื้อคอปกตัวในก่อนจะปัดๆฝุ่นแป้งที่ติดตามกิโมโนสีดำตัวนอกจนสะอาดสะอ้าน
ปลายนิ้วเรียวลูบไปตามสะโพกและบั้นท้ายก่อนจะรีดไปตามกลีบของกางเกงฮากามะจนเรียบกริบ
เขามองรอยแหวกตรงโคนขาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
บางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนหมาป่าที่กำลังนอนหมอบลอบมองเจ้ากระต่ายน้อยที่กำลังจัดแต่งขนฟูสีขาวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
เขายังคงนอนมองคนที่หมุนตัวอยู่หน้ากระจกต่อไปด้วยความเพลิดเพลินเจริญใจ
มือบางหยิบไวโอลินวางลงในกระเป๋าอย่างทะนุถนอมก่อนจะปิดล็อคด้วยสายหนัง
การขยับกายทุกครั้งล้วนนุ่มนวลอ่อนหวานจนเขามองอย่างเคลิบเคลิ้ม ป่านนี้ดวงตาก็คงฉ่ำเยิ้ม
“ยังง่วงอยู่อีกเหรอครับ?
ถ้างั้นก็พักผ่อนนะครับ”
ยังดีที่จิอากิซังไม่รู้ตัวและตีความว่าเขากำลังง่วงถึงได้มองตาเยิ้มแบบนั้น
ร่างโปร่งบางที่ดูมีสะโพกมีเอวเมื่ออยู่ในชุดฮากามะหอบหนังสือขึ้นแนบอกก่อนจะหันมาบอกเขา
“ผมไปเรียนก่อนนะครับ”
“ครับ
ไปดีมาดีนะครับ” เขายิ้มบางๆให้
และเมื่อร่างโปร่งหิ้วกระเป๋าไวโอลินออกจากห้องไปแล้ว
เขาจึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจบ้าง ได้เวลาตื่นนอนแล้วสิ
แล้วก็ด้วยความที่ว่างแสนว่าง
วันนี้เขาเลยไปสืบมาได้อีกเรื่องหนึ่ง...
มุราซากิ
ชินยะเป็นคนรักของคิเสะ ยูกิ
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าสองคนนั้นเหมาะสมกันแปลกๆ
อันธพาลประจำโรงเรียนกับราชินี?
จะอย่างไรก็ช่างเถอะ
ที่เขาอยากรู้ก็แค่มุราซากิ ชินยะมีโอกาสที่จะเป็นคนร้ายในคดีนี้ไหมต่างหาก
แต่เท่าที่นักเรียนคนอื่นๆพูดถึง
กลุ่มของมุราซากิที่เป็นอันธพาลกลับญาติดีกับกลุ่มของคิเสะ ยูกิและไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันเลย
มุราซากิออกแนวเป็นคนคอยเก็บกวาดเรื่องที่กลุ่มเด็กรวยห้าคนนั้นไปก่อไว้ด้วยซ้ำ
เขาเดินลูบคางอย่างใช้ความคิดไปเรื่อยๆ
แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
เมื่อจู่ๆก็มีมือของใครบางคนลากตัวเขาเข้าไปที่มุมตึก!!
“เธอ?!”
“นี่มันสถานการณ์ไหนกัน?” เซริซาว่า จิอากิเอ่ยถามด้วยสีหน้ามึนงงเมื่อเจ้าตัวก็ถูกลากมาแบบเขาด้วย
เปล่า...พวกเขาไม่ได้ถูกคนร้ายจับตัวไป
ไม่ได้อยู่ในเหตุฆาตกรรม
แต่ตอนนี้เขากับจิอากิซังกำลังยืนอยู่ในโรงฝึกเคนโด้ของโรงเรียนไคจิต่างหาก
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน?
จู่ๆก็โดนลากมาแล้วก็ให้แข่งด้วยเสียแบบนั้น?”
ตอนนี้สารวัตรหนุ่มแห่งสถานีตำรวจมัตสึโมโตะสวมเสื้อกีและกางเกงฮากามะสีกรมท่าของชมรมเคนโด้เป็นที่เรียบร้อย
“ไม่มีอะไรหรอกน่าคุณตำรวจ
จะเป็นตำรวจได้ก็ต้องฝึกเคนโด้ด้วยใช่ไหมล่ะ?
ผมก็แค่อยากแข่งกับคนอื่นที่ไม่ใช่เด็กในโรงเรียนเราบ้างน่ะครับ ฮ่าๆๆ” อาคางิ
มาโมรุยืนเท้าสะเอวหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี หมอนี่เป็นประธานชมรมเคนโด้ด้วยนี่นะ?
“ก็ได้อยู่หรอก” มือใหญ่ขยับชุดให้เรียบร้อย
ไม่ได้เล่นเคนโด้มาสักพักแล้วเหมือนกัน ได้กลับมาเล่นกับเด็กๆก็นับเป็นเรื่องดี
“แต่แข่งเฉยๆมันก็ไม่สนุก
เอาอย่างนี้ เรามาพนันกันหน่อยดีไหมครับ?”
เขาลอบยิ้มทั้งๆที่ยังก้มหน้าจัดชุด...ว่าแล้วเชียวว่าเจ้าเด็กนี่ต้องมีแผน
ถ้าจิอากิซังมาอยู่ตรงนี้น่าจะไม่ใช่การแข่งธรรมดา
“ฉันเป็นตำรวจนะ
ถ้าเจอวงพนันฉันก็ต้องจับสิ?” ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มราบเรียบ
“ก็แค่พนันเล่นๆเองน่า
อย่าคิดมากสิครับ เล่นกันสนุกๆถือว่ากระชับมิตรระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ นะครับ” อาคางิ มาโมรุยังคงต่อรอง
“แค่ครั้งนี้นะ” เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะมาไม้ไหน
“ครับ
ฮ่าๆๆ”
“เอาเป็นว่า...ถ้าผมชนะคุณตำรวจได้
เซริซาว่าซังต้องออกไปทานมื้อเย็นกับผมวันหยุดสุดสัปดาห์นี้นะครับ?” แล้วอาคางิ
มาโมรุก็ประกาศกร้าวออกไป
“เอ๊ะ?
แล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วย?” คุณชายเซริซาว่าถึงกับผงะก่อนจะออกปากคัดค้านด้วยเสียงนุ่ม
หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อจู่ๆก็ถูกลากมาเกี่ยวด้วย
“รางวัลแห่งชัยชนะไงครับ
เหมาะกับเซริซาว่าซังออก” เจ้าเด็กจากตระกูลอาคางิยังคงยิ้มร่า
หมอนี่ก็เนียนดีเหลือเกินนะ เขาหันไปมองคนถูกจีบที่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆอย่างเห็นใจ
“แต่ผมไม่...”
“ตกลงตามนี้เถอะนะครับ
เริ่มกันเลยไหมครับคุณตำรวจ?” จิอากิซังยังปฏิเสธไม่ทันเสร็จ
อาคางิ มาโมรุก็ตัดบทเริ่มแข่งทันที เขาส่ายหน้าเบาๆอย่างรู้ทันแผนของเด็กหนุ่ม
ตั้งใจจะมัดมือชกให้จิอากิซังออกไปเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ด้วยสินะ?
แต่ลืมอะไรไปหรือเปล่า? ว่าต้องชนะเขาให้ได้?
ฟูจิวาระ
อิตสึกิ เป็นตำรวจที่ได้เคนโด้ 8 ดั้งเชียวนะ
ร่างสูงสง่าสวมชุดเกราะโบกุอย่างใจเย็น
เดิมเคนโด้เป็นวิชาซึ่งเป็นวิถีแห่งซามูไรและเป็นจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่น
แต่หลังจากที่หมดยุคซามูไรไม่มีการใช้ดาบจริงฆ่าฟันกันแล้ว เคนโด้จึงถูกประยุกต์มาเป็นวิถีแห่งดาบเพื่อการฝึกจิตใจแทนและได้มีการพัฒนาไปเป็นศิลปะการต่อสู้
เป็นกีฬาและมีการแข่งขัน จากดาบจริงจึงเปลี่ยนมาใช้ดาบไม้ไผ่
โดยมีการสวมใส่เครื่องป้องกันเพื่อไม่ให้บาดเจ็บ
แต่หัวใจก็ยังคงเป็น
ishoku
itto …ดาบเดียวในหนึ่งก้าว
เขานั่งทับส้นหลังตรงเพื่อสวมใส่เครื่องป้องกันตัวตั้งแต่ทาเระป้องกันต้นขา
โดป้องกันหน้าท้อง มือใหญ่ดึงเชือกที่ผูกไว้ด้านหลังจนตึงก่อนจะหยิบเม็งหรือเครื่องป้องกันศีรษะมาถือไว้
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองคุณชายเซริซาว่าที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่พื้นเสื่อทาทามิของโรงฝึก
คงอยากจะวิ่งหนีไปเต็มทีแล้วสินะกระต่ายน้อยขี้กลัวตัวนั้น แต่ด้วยความที่เป็น
“เซริซาว่าซัง” ที่ทุกคนเคารพนับถือจึงวิ่งหนีไปง่ายๆไม่ได้ จะทำตัวไร้เหตุผลก็ไม่ได้
ดวงตากลมโตนั่นจึงเหลือบมองเขาอย่างขอความช่วยเหลือ
เขายิ้มบางๆส่งไปให้ก่อนจะสวมหน้ากากที่เป็นซี่เหล็กลงบนหัว
ค่อยๆผูกเชือกอย่างใช้สมาธิ แม้แต่การแต่งกายก็ยังดูสง่างาม
โคเทะหรือเครื่องป้องกันข้อมือถูกสวมใส่เป็นอย่างสุดท้าย
ก่อนที่เขาจะหยิบดาบไม้ไผ่แล้วเข้าประจำที่
ดวงตาคมกล้ามองออกมาจากซี่ของหน้ากาก
ดูเหมือนอาคางิ มาโมรุจะไปป่าวประกาศไว้ทั่ว
ตอนนี้จึงมีทั้งเด็กในชมรมและเด็กนักเรียนคนอื่นๆมานั่งชมการแข่งขันไม่ใช่น้อย...คงตั้งใจจะให้จิอากิซังปฏิเสธไม่ได้เลยสินะ?
เขาหยิบดาบไม้ไผ่ขึ้นมาด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง
ทั้งร่างกาย จิตวิญญาณ และดาบในมือรวมเป็นหนึ่ง เคนโด้เป็นกีฬาที่สง่างาม
ทุกย่างก้าวของพวกเขาจึงไม่ต่างจากซามูไรในสมัยก่อน
ทั้งเขาและอาคางิ
มาโมรุต่างโค้งคำนับให้กัน สองมือตั้งดาบในท่าเคารพ ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความมั่นคงหนักแน่น
ถึงแม้เคนโด้จะเป็นกีฬาที่สง่างามแต่ก็เป็นกีฬาที่รวดเร็ว ดุดัน
และเด็ดขาดเพราะเคนโด้มีต้นกำเนิดจากวิถีแห่งซามูไร ดาบเดียวจึงถึงตายได้ทั้งนั้น
พวกเขาจึงมีเวลาแค่สามนาทีในการแข่งขัน หากใครได้สองแต้มก่อนก็จะเป็นผู้ชนะไป
และจุดที่จะทำคะแนนได้เมื่อปลายดาบไม้ไผ่ฟันโดนก็มี
4 จุด นั่นก็คือ ข้อมือ ท้อง หัว และคอหอย
ดวงตาคมกล้าจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ย๊า!” อาคางิ
มาโมรุพยายามบุกเข้ามาอย่างรวดเร็วแต่เขาก็ใช้ท่าตั้งรับสกัดมันไว้ได้ทันเช่นกัน
อีกฝ่ายตั้งใจจะเล่นงานที่หัวของเขาแต่ก็พลาดไป พวกเราจึงต่างถอยออกไปเมื่อบุกเข้ามาในหนึ่งก้าวแล้วยังไม่สำเร็จ
ปลายดาบชี้เข้าหากันอีกครั้ง
มันเป็นการต่อสู้ที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก
เพราะการจะล้มคู่ต่อสู้ได้นอกจากความเร็ว ความแรง ความดุดันแล้วยังต้องแม่นยำด้วย ทุกวินาทีจึงเหมือนการวัดใจ
ว่าอีกฝ่ายจะเผลอเปิดช่องเมื่อไหร่
“ย๊า!” และเมื่อดวงตาคมกริบมองเห็นช่อง
ฝ่าเท้าจึงสืบเข้าไปอย่างไม่ลังเล ปลายดาบแทงเข้าไปที่คอหอยในชั่วพริบตาชนิดที่ว่าอาคางิ
มาโมรุทำได้แค่ยืนอึ้งอยู่กับที่ “ซึกิ!”
หนึ่งแต้มเป็นของเขา...
แน่นอนว่าฟูจิวาระ
อิตสึกิจะไม่ยอมทำให้ 8 ดั้งซึ่งเป็นระดับสูงสุดของเคนโด้ที่ตัวเองได้รับมาต้องมัวหมอง
เขาเก็บแต้มที่สองหลังจากตีหัวเด็กหนุ่มไปเต็มๆ “เม็ง!”
การประกาศชื่อจุดที่ฟันได้ก็เป็นกฎอย่างหนึ่งของเคนโด้
และทั้งสองครั้งมันก็ออกไปจากปากของเขา
เสียงครางอย่างเสียดายดังไปทั่วโรงฝึก...
แต่ว่ามีคนหนึ่งดีใจที่เขาชนะ...
เขาเห็นนะว่าจิอากิซังพยายามหุบยิ้มและเก็บอาการดีใจแบบแทบเป็นแทบตาย
จะแสดงออกมาตรงๆไม่ได้ ใบหน้ามนจึงต้องปั้นใบหน้าเรียบเฉยไว้ก่อน
ส่วนเขาเองก็อมยิ้มอยู่ภายใต้หน้ากาก
“โธ่~
คุณตำรวจละก็~ ช่วยอ่อนข้อให้ผมหน่อยก็ไม่ได้~ ถ้าผมจีบเขาติดละก็ ผมจะไม่ลืมบุญคุณเลย” อาคางิ มาโมรุ โวยวายหลังจากถอดหน้ากาก
แต่เขาเพียงยิ้มแบบผู้ใหญ่ให้
“ผมเป็นตำรวจ
ผมต้องดูแลประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง
จะปล่อยให้ใครถูกพาตัวไปไหนทั้งๆที่เขาไม่ได้ยินยอมไม่ได้หรอก”
“ใจร้ายจัง” เด็กหนุ่มผู้ร่าเริงยังคงบ่นต่อไปในขณะที่ถอดเครื่องป้องกัน
ดูท่าทางจะไม่ได้โกรธแค้นที่เขามาทำแผนล่มไม่เป็นท่า เขาเห็นว่าเด็กหนุ่มมีน้ำใจนักกีฬาจึงลองหยั่งเชิงเรื่องนานาฮาระ
ฮิโรกิเสียหน่อย
“ฉันได้ข่าวมาว่า
นานาฮาระ ฮิโรกิเพื่อนสนิทของเธอก็จีบเซริซาว่า จิอากิอยู่เหมือนกัน?
พวกเธอทะเลาะกันเรื่องนี้จนพลั้งมือฆ่ากันตายหรือเปล่า?”
“อุ๊บ!
ฮ่าๆๆ!!” เด็กหนุ่มกลับหัวเราะดังลั่น
“คุณตำรวจสันนิษฐานได้เหมือนละครคาบุกิมากเลยครับ
ฮ่าๆ”
“.......” ไอ้เด็กนี่...กระทืบมันสักทีดีไหม?
“ผมกับฮิโรกิ
ถึงจะชอบคนคนเดียวกัน แต่ก็แข่งกันอย่างเปิดเผยครับ หมายถึงใช้เล่ห์เหลี่ยมอย่างเปิดเผยด้วย
เราสองคนไม่มีทางฆ่ากันตายเพราะเรื่องของเซริซาว่าซังหรอกครับ” พอหยุดหัวเราะ
เด็กหนุ่มก็ยิ้มบางๆ คงจะนึกถึงเพื่อนสนิทที่ตายไปแล้วของตัวเอง
“ผมกับหมอนั่น...อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก...เรามักชอบอะไรเหมือนๆกัน
แล้วก็แบ่งกันได้ทุกอย่าง
ยกเว้นเซริซาว่าซังนี่แหละครับที่ดันมีคนเดียวแล้วเราก็ยังหาวิธีแบ่งกันไม่ได้เสียด้วย...”
“สมน้ำหน้าเจ้าบ้านั่น
ไม่รู้จะรีบตายไปไหนกัน ปากก็มีทำไมไม่ร้องให้ใครช่วย
เลยไม่ได้อยู่เห็นวันที่ผมจีบเซริซาว่าซังสำเร็จเลย” ถึงจะทำทีเป็นพูดเล่นแต่ดวงตาของอาคางิ
มาโมรุก็เก็บซ่อนความเศร้าหมองเอาไว้ไม่อยู่
“แต่ก็อย่างที่คุณตำรวจเห็นนั่นแหละครับ...เซริซาว่าซังไม่มองผมด้วยซ้ำ
กับเจ้าฮิโรกิก็เหมือนกัน...เห็นแบบนี้แต่พวกเราก็รู้ตัวนะครับ
การค้าที่ไม่ทำกำไรงอกงามน่ะ ที่บ้านของผมกับฮิโรกิสอนไว้ว่าไม่ควรดึงดันครับ”
เด็กหนุ่มยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะเก็บอุปกรณ์ป้องกันแล้วเดินจากไป...
หรือบางที...เขาก็ไม่ควรจะดูถูกมิตรภาพของเด็กหนุ่มสองคนนั้น
แกร่ก...
มือใหญ่เปิดประตูห้องพักเข้าไป
คนที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงจึงลุกผึงขึ้นมาก่อนจะมองตามเขาทุกฝีก้าว เขารู้ว่าจิอากิซังจะพูดอะไรจึงจงใจเดินไปนั่งที่โซฟาตัวเล็กที่เจ้าของห้องมักจะใช้นั่งอ่านหนังสือ
“....ขอบคุณ...ที่ช่วยผมไว้ครับ...” มือบางบีบกันเบาๆด้วยความตื่นเต้นน้อยๆ
“นี่ถ้าผมแพ้คุณจะทำยังไง?
จะยอมไปกับอาคางิจริงๆไหม?”
ใบหน้ามนส่ายซ้ายขวาจนผมหน้าม้าสะบัดไปมา
“ผมจะหนีกลับบ้าน
ใครก็ลากตัวผมออกจากบ้านเซริซาว่าไม่ได้หรอก”
เลือกกลับไปใช้เกราะกำบังสินะ เป็นกระต่ายน้อยขี้กลัวโดยแท้
แต่คนอื่นๆกลับไม่รู้และที่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะจิอากิซังมีโล่ที่แข็งแกร่งอยู่
“คุณไม่ชอบเขาเหรอ?
อาคางิ มาโมรุก็แข็งแรง หน้าตาดี บ้านมีฐานะอยู่นะ? จิตใจก็นับว่าไม่เลว” ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่น
คงกำลังเลือกใช้คำที่จะไม่ทำร้ายจิตใจกัน
“หรือคุณชอบผู้หญิงมากกว่า?” ใบหน้ามนส่ายปฏิเสธอีกครั้ง
“ผมไม่รู้หรอกว่าผมชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย
เพราะผมยังไม่เคยมีคนที่ชอบ...ส่วนอาคางิ...ผมไม่น่าจะคุยกับเขารู้เรื่อง...อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยสนใจเพลงที่ผมบรรเลงเลยสักครั้ง...ไม่เคยรู้เลย...ว่าเพลงนี้ชื่ออะไร
เป็นบทประพันธ์ของใคร...”
ดวงตาใสกลับมองมาที่เขา
ภาพของวันแรกที่เจอกันไหลย้อนกลับมาในหัวอีกครั้ง...
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด...จู่ๆหัวใจก็เต้นในทำนองที่แปลกไป...
จิอากิซังมองเขาราวกับว่า...เพิ่งมีคนเข้าใจตัวเองเป็นครั้งแรก
และคนคนนั้นก็คือเขา...
“อีกอย่าง
อาคางิอาจจะชอบแค่หน้าตาของผม ชอบฐานะทางบ้านของผม ชอบสถานะพิเศษของผม...” ถึงตรงนี้จิอากิซังมีสีหน้าปวดใจ
คงจะถูกใครๆเข้าหาเพราะผลประโยชน์มานักต่อนักแล้ว
สุดท้ายเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายเลยเลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้หรือเปล่า?
“คืนนี้คุณไม่ซ้อมไวโอลินเหรอครับ?”
เขาเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้กระต่ายน้อยที่ตื่นเต้นลนลานจากการพยายามขอบคุณเขาค่อยผ่อนคลายลง
“อ๊ะ?
ซ้อมครับ” ร่างโปร่งบางหันไปหยิบไวโอลินขึ้นมาด้วยท่าทางที่ยังตื่นๆอยู่เล็กน้อย
จิอากิซังพยายามรวบรวมสมาธิด้วยการยืนนิ่งๆแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ไวโอลินถูกยกแนบลำคอ
คันชักสีลงไปที่สายเกิดเป็นเสียงที่นุ่มนวลเสียงแล้วเสียงเล่า
เสียงเหล่านั้นค่อยๆถักทอเป็นบทเพลงแสนหวานจนเขาเผลอยกแขนขึ้นมาเท้าคางมอง
ใบหน้ามนที่หลับตาพริ้มดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงยังคงงดงามที่สุดเสมอในสายตาเขา
ปลายนิ้วเรียวยาวที่กดลงไปบนไวโอลินนั่นราวกับมีชีวิตเพราะมันทำให้เพลงๆนี้มีชีวา
เขามองจิอากิซังตั้งแต่วินาทีแรกจนวินาทีสุดท้าย
ถึงเสียงเพลงจะหายไปแล้วเขาก็ยังมองร่างโปร่งบางอยู่อย่างนั้น
คุณมีคาถาสะกดหรืออย่างไร
ถึงทำให้ผมต้องมนต์ทุกครั้งไป
“จิอากิซัง”
“ครับ?”
“ผมเป็นฝ่ายชนะเคนโด้
นัดทานอาหารมื้อเย็นสุดสัปดาห์นี้มันควรเป็นของผมหรือเปล่า?”
“เอ๊ะ?” จู่ๆเขาก็ถามออกไป
คนที่ไม่ได้ตั้งตัวและไม่เคยคิดไว้จึงหันมามองอย่างตกใจ ไวโอลินในมือแทบร่วง
ดีที่มันถูกลดระดับลงแล้ว
คุณกระต่ายน้อยผงะจนนิ่งค้างไป
น่าจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาที่เป็นผู้ชนะก็ควรได้รางวัลในการเดิมพันไป
เขามองปฏิกิริยาน่าเอ็นดูนั่นพลางนึกขำในใจ จริงๆตั้งใจจะแค่หยอกเล่น
ไม่ได้อยากจะบังคับหรือมัดมือชกอีกฝ่ายหรอก
“ผมแกล้งคุณเล่น
ถ้าคุณไม่อยากไปก็ไม่ต้องฝืนใจ”
เขายิ้มให้พลางเฉลย
“............”
จากใบหน้าที่แทบจะแข็งเป็นหินกลับค่อยๆงอง้ำขึ้นเรื่อยๆเมื่อรู้ตัวว่าถูกแกล้ง
มือบางฟาดมาที่ต้นแขนเขาก่อนจะสะบัดตัวหนีไปเก็บไวโอลิน
เขามองปฏิกิริยานี้อย่างอึ้งๆ ต้องไม่มีใครคิดแน่ว่าเซริซาว่าซังของทุกคนจะแสนงอน
แถมแสนงอนได้น่ารักมากอีกต่างหาก
หลังจากเก็บไวโอลินเสร็จ
ร่างโปร่งบางก็นั่งลงบนเตียงซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะกลมที่ตั้งรับลมอยู่ริมหน้าต่าง
ดวงตาคู่โตยังคงเหลือบมองเขาอย่างแง่งอน
“ผมไม่อยากบังคับคุณ
แล้วก็ไม่อยากมัดมือชกแบบอาคางิด้วย”
เขาบอกเหตุผลด้วยรอยยิ้ม กลีบปากสีชมพูที่คว่ำอยู่จึงค่อยๆคลายออก
“......ผม...ไม่คิดว่าเป็นการบังคับหรือมัดมือชกหรอก...ถ้าเป็นอิตสึกิซัง...”
ใบหน้ามนหลบวูบเสไปมองพื้นจนเขาเองที่เป็นฝ่ายชะงัก เมื่อกี้ว่าไงนะ?
“ถ้าเป็นเย็นวันเสาร์...ก็ได้อยู่หรอกครับ...”
เสียงนุ่มตอบอ้อมแอ้มออกมาจากใบหน้าที่แดงระเรื่อ
“ครับ....”
เขาตอบรับด้วยเสียงลอยๆอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจิอากิซังจะยอมไปทานข้าวด้วยกัน
“ถ้างั้น...เย็นวันเสาร์ผมกลับมารับนะครับ
กลางวันผมต้องไปทำงานก่อน”
“ครับ......” ใบหน้ามนยังคงก้มงุดอย่างเขินอาย
“ผมไม่ทานมะเขือทุกชนิดนะครับ
เครื่องในก็ไม่ทาน ปลาก็ต้องไม่มีกลิ่นคาว ไม่เอาอาหารข้างถนนด้วย
ต้องมีห้องเป็นสัดเป็นส่วน สาเกก็ไม่ดื่มครับ”
จิอากิซังยื่นคำร้องเกี่ยวกับอาหารราวกับกำลังแก้เขิน
ส่วนเขาก็นั่งฟังรายการยาวเหยียดเหล่านั้นอย่างหุบยิ้มไม่ได้
สองแก้มของเขาใกล้จะปริเต็มทีแล้วตอนนี้
“ครับ
ผมจะหาร้านดีๆไว้ให้ ว่าแต่คุณจะไม่หนีกลับบ้านใช่ไหม?” เขาเอ่ยหยอกเย้า
“ถ้าผมรับปากแล้ว
ผมไม่หนีหรอก” จิอากิซังยู่หน้าให้
น่าแปลก
ทั้งๆที่คืนนี้จิอากิซังก็สีไวโอลิน แต่กลับไม่มีกลิ่นความตายหลงเหลืออยู่ในโรงเรียนเลย
มีแต่กลิ่นไอของความสุขเสียมากกว่า...
วันเสาร์นี้เขาเลิกงานไวกว่าปกตินิดหน่อย
รถยนต์สีดำค่อยๆแล่นตามเส้นทางคดเคี้ยวบนเขาไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงสถานที่ที่เขาต้องกลับมาทุกวัน
หอพักของโรงเรียนไคจิ
สารวัตรหนุ่มแห่งสถานีตำรวจมัตสึโมโตะเดินไปรับคนที่นัดกันไว้
จิอากิซังใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวทับในกางเกงสแล็คสีดำ...ดูดีมาก มากๆ
“....ไปกัน...เลยไหมครับ?”
เสียงเขาไม่ค่อยจะหลุดจากปากเพราะยังตะลึงกับร่างโปร่งบางตรงหน้า
ไม่ว่าจะใส่อะไรก็ดูชั้นสูงไปเสียหมดจริงๆ
“ครับ...” จิอากิซังเดินตามเขาไปที่รถ
ปกติแล้วที่โรงเรียนประจำแห่งนี้อนุญาตให้เด็กนักเรียนกลับบ้านได้ในวันหยุดสุดสัปดาห์
ทว่า บ้านของเด็กส่วนใหญ่อยู่ไกล
มีไม่น้อยที่เป็นลูกเป็นหลานคนใหญ่คนโตที่มาจากโตเกียวจะกลับก็ลำบาก
เพราะฉะนั้นจึงยังอยู่ที่โรงเรียนกันเป็นส่วนมาก
ตามลานกิจกรรมและกีฬาจึงหนาแน่นไปด้วยนักเรียนที่มาใช้เวลาพักผ่อนในช่วงวันหยุด
“วันหยุดแบบนี้คุณทำอะไรอยู่ในโรงเรียนครับ?
คงไม่ได้สีไวโอลินทั้งวันหรอกนะครับ?”
เขาเปิดบทสนทนาในขณะเข้าเกียร์
รถยนต์ทรงสี่เหลี่ยมค่อยๆแล่นออกจากประตูเหล็กดัดของโรงเรียนเพื่อมุ่งสู่ผืนป่า
“เปล่าครับ...ผมชอบไปนั่งอ่านหนังสือที่ริมแม่น้ำหรือไม่ก็เลี้ยงกระต่าย”
“เลี้ยงกระต่าย?” กระต่ายเลี้ยงกระต่าย?
“เป็นครอบครัวกระต่ายป่าน่ะครับ
มีโพรงอยู่ใกล้ๆแม่น้ำ มันเพิ่งออกลูกด้วย น่ารักมากเลยครับ” จิอากิซังยิ้มหวานในขณะที่เล่าถึงครอบครัวกระต่าย
ทั้งอ่อนโยนทั้งใจดีขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ
หัวใจของเขารู้สึกพ่ายแพ้ทุกครั้งที่เจอความอ่อนโยนของจิอากิซังเข้าไป
“ผมไปดูพวกมันบ้างได้ไหมครับ?”
เขาลองถามเพื่อหยั่งเชิงว่าจิอากิซังจะยอมให้เขาก้าวเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวไหม
ในเมื่อคุณชายเซริซาว่านั้นไม่เคยสุงสิงกับใคร
ไม่มีใครรู้เลยสักคนว่าอีกฝ่ายไปอยู่ที่ไหนในโรงเรียนอันกว้างใหญ่แห่งนี้
“ได้ครับ
แต่ต้องค่อยๆเข้าไปเบาๆนะ พวกมันขี้ตกใจมาก”
แล้วคำตอบของจิอากิซังก็ทำให้เขาแทบเสียอาการ
ต้องพยายามหุบยิ้มและตั้งพวงมาลัยให้ตรงทางไม่ขับลงข้างทางไปเสียก่อน
“มีลูกกระต่ายสามตัว
มีสีขาว สีน้ำตาล แล้วก็ลายขาวดำ”
จิอากิซังนั่งนับนิ้ว นอกจากต้องพยายามขับรถให้ตรงทางแล้วเขายังต้องบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองคนข้างๆด้วย
“ครับ
วันหลังรบกวนพาผมไปที” จิอากิซังพยักหน้ารับปาก
บทสนทนาภายในรถยังคงดำเนินต่อไป หนึ่งคนไม่ค่อยพูดกับอีกหนึ่งคนขี้อาย
ไม่รู้เลยว่าพวกเขาหาเรื่องมาคุยกันตลอดทางได้ยังไง
ทั้งเสียงทั้งรอยยิ้มแทบไม่เคยหายไปเลยเมื่อได้อยู่ด้วยกัน
หลังจากลงถึงตีนเขาได้ไม่นาน
จากผืนป่าก็ค่อยๆหนาตาด้วยบ้านเรือน
มัตสึโมโตะเป็นเมืองที่อยู่ตอนกลางของญี่ปุ่น ถึงจะอยู่ในหุบเขาและห่างไกลจากเมืองหลวงอย่างโตเกียวแต่วัฒนธรรมตะวันตกก็เผยแพร่มาถึงแล้วเช่นกัน
ถนนหนทางของที่นี่จึงเริ่มมีตึกในแบบยุโรปผุดขึ้นมาให้เห็น
โดยเฉพาะย่านใจกลางเมืองที่เป็นย่านการค้า
ร้านรวงเปลี่ยนจากตึกแถวไม้แบบญี่ปุ่นมาเป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนสีขาวที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมตะวันตกกับตะวันออกเข้าไป
โดยรวมก็นับว่าเป็นบ้านเมืองที่มีเอกลักษณ์มากทีเดียว
รถยนต์สีดำแล่นเข้าไปในถนนเส้นหลักของเมือง
ผู้คนที่เดินอยู่สองฝั่งมีทั้งที่ยังสวมกิโมโนและคนที่สวมชุดแบบตะวันตกปนเปกันไป
บนถนนส่วนใหญ่จะเป็นรถลากมากกว่า รถยนต์นั้นยังมีแค่ประปราย
เพราะฉะนั้นยามเมื่อคุณชายเซริซาว่าและคุณชายฟูจิวาระก้าวขาลงไปจากรถ
ผู้คนจึงได้หันมามองเป็นตาเดียว
เขาค่อนข้างคุ้นชินกับสภาพแบบนี้และดูเหมือนจิอากิซังเองก็ไม่ต่างกัน
พวกเขาสองคนจึงเดินเข้าไปในร้านอาหารโดยไม่สนสายตาใคร
เมื่อเขาเอ่ยบอกชื่อที่จองไว้
พนักงานต้อนรับที่สวมกิโมโนเรียบกริบจึงเดินนำไปที่ห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง
อันที่จริงเขาเพิ่งมาอยู่เมืองนี้ได้ไม่นาน ไม่เคยรู้เลยว่าร้านไหนเป็นยังไง จึงได้แต่ถามรุ่นพี่รุ่นน้องในสถานีและทุกคนก็แนะนำว่าร้านนี้คือร้านที่ดีที่สุดในมัตสึโมโตะ
ในห้องเสื่อทาทามิขนาดกว้างใหญ่พอสมควรนั้นเปิดด้านหนึ่งออกสู่สวนญี่ปุ่นที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
เนินหญ้าค่อยๆลาดไปหาต้นโมมิจิที่ใบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
มอสสีเขียวที่ขึ้นอยู่ทุกที่ทำให้รู้สึกสดชื่นด้วยความชุ่มชื้น
กระบวยไม้ไผ่ส่งเสียงก๊อกๆเป็นจังหวะเมื่อรับน้ำที่ไหลรินลงมาจนเต็มกระบวย....ห้องนี้บรรยากาศดีมาก
เขากับจิอากิซังนั่งลงคนละฝั่งของโต๊ะเตี้ย
ดวงตาสุกใสมองไปรอบๆด้วยแววพึงพอใจ “ชอบไหมครับ?” เขาถามออกไปและอีกฝ่ายก็พยักหน้า
เท่านี้สถานีตำรวจมัตสึโมโตะก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว...
นี่เป็นการรวบรวมความคิดของตำรวจทั้งสถานีเชียวนะ!
ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มอย่างภาคภูมิใจในขณะที่พนักงานค่อยๆนำอาหารเข้ามา
ทุกจานล้วนประดิดประดอยขึ้นมาอย่างประณีตและสวยงามราวกับไม่ใช่อาหารบนโลกมนุษย์
ดวงตากลมโตจับจ้องทุกจานอย่างตื่นตาตื่นใจ วัตถุดิบที่เป็นอาหารตามฤดูกาลยิ่งทำให้น่าสนใจ
ความสดใหม่นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เพราะฉะนั้นนอกจากหน้าตาที่งดงามแล้วรสชาติยังเป็นเลิศอีกด้วย
“ถูกปากไหมครับ?” เขาเอ่ยถามหลังจากที่คนตรงหน้าเริ่มลงมือทานอาหาร
ขนาดท่าทางตอนคีบกับข้าวเข้าปากยังน่ามองเลย
จิอากิซังค่อยๆเคี้ยวด้วยความเรียบร้อย ค่อยๆวางตะเกียบลงก่อนจะตอบเขา
“อร่อยมากครับ
ผักนี่สดมากๆเลย” พอได้เห็นดวงตาเป็นประกายนั่นแล้วเขาก็ดีใจจนเริ่มลงมือทานบ้าง
“ดีใจที่คุณชอบนะครับ”
“รสชาติถูกปากผมมาก” เขาคงต้องจดจำไว้ว่าจิอากิซังชอบรสชาติประมาณนี้
ใบหน้าหล่อเหลาพยักน้อยๆก่อนจะคีบอาหารเข้าปาก
ผักทั้งหวานทั้งกรอบสมกับที่มัตสึโมโตะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบชั้นดีจริงๆ
“คุณ...ฝึกเคนโด้มานานแล้วเหรอครับ?” หลังจากเริ่มทานอาหารไปสักพัก
จิอากิซังก็เริ่มเปิดบทสนทนากับเขาอีกรอบ
“ครับ
ฝึกมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ เพราะที่บ้านเป็นแบบนั้นก็เลยถูกจับฝึกทั้งเคนโด้ คิวโด้
ศิลปะการป้องกันตัวต่างๆ”
“สมัยเรียนโรงเรียนนายตำรวจก็ยังเล่นอยู่
แต่พอทำงานก็ไม่ค่อยได้จับเท่าไหร่ครับ”
“อาคางิถึงสู้คุณไม่ได้”
“ที่สู้ไม่ได้เพราะผมได้
8 ดั้งแล้วต่างหาก” เขายกมือป้องปากก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์น้อยๆ
จิอากิซังถึงกับยิ้มพลางส่ายหน้าที่เขาปกปิดเรื่องนี้ไว้จนคู่ต่อสู้คิดว่าเขาอ่อนหัดถึงได้เพลี่ยงพล้ำให้เขา
“คุณนี่ก็ร้ายนะครับ
ผมคงต้องจำเอาไว้แล้วว่าคุณตำรวจก็เจ้าเล่ห์ไม่เบา” เขายิ้มรับ
“แต่ผมชอบ...ตอนคุณใส่ฮากามะนะครับ...ผมไม่เคยเห็นเลย...” จิอากิซังก้มลงไปคีบปลาใส่ปากอย่างเขินอายหลังจากพูดออกมา
ใบหน้าของเขาเองก็นิ่งค้างไปเหมือนกันเพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำชมจากอีกฝ่าย
“...ครับ...ขอบคุณครับ...” บรรยากาศเขินๆแบบนี้มันอะไรกัน มันไม่เหมือนมากินข้าวกับเพื่อน
มันเหมือนการดูตัวเสียมากกว่า...
เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ
มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนแล้ว จิอากิซังเองก็ดูประหม่าเหมือนกัน ตะเกียบในมือบางจึงได้แต่คีบเนื้อปลาชิ้นเล็กๆ
เล็กมากๆ เข้าปากเรื่อยๆเพื่อแก้เขิน
“เอ่อ...”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่ชวนตัวบิดตัวงอนี้
“แล้วคุณล่ะ
เริ่มฝึกไวโอลินตั้งแต่เมื่อไหร่?” จิอากิซังเงยหน้ามองเขาก่อนจะทำท่านึก
“....สองปีก่อนเห็นจะได้ครับ.......ในงานเฉลิมฉลองรัชศกไทโช
ครอบครัวผมได้รับเชิญไปงานเลี้ยงด้วย มีวงดนตรีของฝรั่งมาบรรเลงเพลงในงาน
ครั้งแรกที่ผมหลงรักไวโอลินก็ที่นั่นแหละครับ”
อ้อ...มีวงแบบนั้นจริงๆ งานนั้นเขาก็ไป
“จากนั้นก็สนใจ
เริ่มจากหาข้อมูลด้วยตัวเองตามหนังสือ
จนพ่อรู้เข้าก็เลยซื้อไวโอลินพร้อมจ้างครูมาสอนให้”
“แต่ก็หายากจริงๆที่จะมีคนสนใจ
อย่าว่าแต่ชื่อเพลงเลยครับ แค่ชื่อไวโอลินยังเรียกกันไม่ถูกเลย” ใบหน้ามนเอ่ยแบบช้ำใจ
“ผมชอบฟังเสียงไวโอลินของคุณนะครับ” เขาเอ่ยชมอีกฝ่ายบ้างและมันก็ทำให้จิอากิซังเขินอายอีกรอบ
“...ขอบคุณครับ…”
“...ทำเอานึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาเลย...” เสียงงึมงำเอ่ยออกมาจากใบหน้ามน
“คนคนหนึ่ง?”
“...นอกจากคุณก็มีอีกคนหนึ่งที่ชอบฟังเสียงไวโอลินของผม
ผมจำเขาได้เพราะว่าเขาชอบมาแอบฟัง พอผมจะไปจับตัว เขาก็หนี
วิ่งไล่จับกันอยู่นานจนผมยอมแพ้ ผมเลยปล่อยไป อยากแอบฟังก็ตามใจ
ที่จริงอยากให้มานั่งฟังดีๆมากกว่า” จิอากิซังอมยิ้มน้อยๆราวกับว่านั่นคือความทรงจำที่ดี
ทว่าในรอยยิ้มนั้นกลับมีความเศร้าหมองแฝงอยู่
“มีคนแบบนั้นด้วยเหรอครับ? ทำไมผมไม่เห็น?” เขาถามออกไปเพราะเขาไม่เคยเห็นคนที่ว่านั่นเลยสักครั้ง
แต่แล้วสิ่งที่จิอากิซังบอกเขาก็ทำเอาขนทั้งแขนลุกเกรียว
“คุณคงไม่ได้เห็นเขาหรอกครับ...เพราะว่า...เขาตายไปแล้ว”
“...เมื่อครึ่งปีก่อน...คิมิสึกิ
วายะ กระโดดหอคอยของโรงเรียนฆ่าตัวตาย”
“...ผมยังจำได้...มันเป็นฤดูหนาว...หิมะสีขาวถูกย้อมไปด้วยเลือดของเขา...มัน...น่าเศร้ามากเลยครับ...”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
ผังตัวละครของตอนที่
4 กั๊บ
แปะรูปป๋อตอนเล่นเคนโด้
งื้อออออ ชอบมากค่ะ >////<
ไหนๆก็แปะรูปแล้ว
ขอแปะอิมเมจของป๋อกับพี่จ้านในฟิคเรื่องนี้หน่อยนาคะ
พี่จ้านจะแบบอ่อนโยน
จริงๆไม่สู้คน แต่ก็มีหน้ากากคุณชายที่เอาไว้ใส่กับคนอื่นอยู่ ส่วนป๋อต้องเป็นผมทรงนี้ค่ะ
คุณชายฟูจิวาระต้องทรงนี้ค่ะ!!!(?) 5555 คือเห็นป๋อในเรื่องเป็นตำหนวดแต่ไม่ใช่ลุคผมสั้นนะคะ
^ ^ จริงๆตอนที่เพิ่งรู้จักป๋อก็มีความสะกิดใจกับผมทรงนี้ของพ่อมากมาย
คือมันแบบแอบกรี๊ดอยู่ในใจ เพราะคุณกวางชอบตัวละครตัวหนึ่งจากอนิเมะเรื่อง Tsurune
มากๆๆๆค่ะ ฟูจิวาระ ชู แล้วชูก็ผมทรงเดียวกับป๋อเป๊ะ
ตอนดูอนิเมะนี่คิดไม่ออกเลยว่าถ้าเป็นมนุษย์3Dทำผมทรงนี้มันจะออกมาเป็นยังไง
ปรากฏว่าป๋อตอบให้ค่ะ หล่อบัดซบมากค่ะ!!! >/////<
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามนะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น