ป๋อจ้าน Au S.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] Juunana Sai : 17ฝน : 03


ป๋อจ้าน Au S.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]   Juunana Sai : 17ฝน  : 03

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Period / Romance / Suspense / Mystery / Crime
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ




เย็นวันนั้น สารวัตรหนุ่มแห่งสถานีตำรวจมัตสึโมโตะจึงกลับไปเก็บของใช้จำเป็นที่บ้านพักก่อนจะกลับมาโรงเรียนใหม่ในช่วงหัวค่ำพอดี

รถยนต์คันใหญ่ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคนี้ค่อยๆไต่เขาไปด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยังดีที่เขาค่อนข้างจะยุ่งวุ่นวาย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่จึงไม่มีเวลาได้จัดของใช้ส่วนตัวในบ้านพักเลย เขาจึงสามารถยกกระเป๋าเดินทางหนังทั้งใบใส่รถได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเก็บ

รถยนต์ทรงสี่เหลี่ยมสีดำแล่นเข้าไปในรั้วโรงเรียน แสงไฟกลมๆจากหน้ารถสาดส่องลงไปบนถนนที่ขรุขระเล็กน้อยแต่ก็นับว่าดีมากแล้วถ้าเทียบกับถนนในชนบททั่วไป เขาจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใกล้ๆกับอาคารหอพักก่อนจะหิ้วกระเป๋าใส่ของใช้ส่วนตัวลงจากรถ

เขาเดินเข้าไปหาครูใหญ่ก่อนอีกฝ่ายจะบอกให้เขาล่วงหน้าไปก่อน ร่างในเครื่องแบบตำรวจเต็มยศจึงเดินไปยังห้องของเซริซาว่า จิอากิอย่างคุ้นเคย เขามาตรวจอาคารหอพักเป็นสิบๆรอบ จะจำไม่ได้ได้ยังไง


ก๊อกๆ


มือใหญ่เคาะสองสามทีก่อนที่บานประตูไม้จะค่อยๆเปิดออก

“ผมฟูจิวาระ อิตสึกิ ครูใหญ่คงแจ้งคุณไว้แล้วใช่ไหมว่าตั้งแต่วันนี้ไปผมจะมานอนที่นี่”    ใบหน้ามนช้อนสายตามองเขาจากหลังบานประตูก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ ร่างโปร่งบางไม่ค่อยอยากจะหลีกทางให้เขาเข้าไปนัก เท่าที่รู้ คุณหนูจากตระกูลเซริซาว่าไม่เคยนอนร่วมห้องกับใครมาก่อนเลย

ดวงตากลมโตเหมือนลูกแมวนั่นมองเขาอย่างหวาดระแวง เซริซาว่า จิอากิมองเขาทีก็เหลือบไปมองเตียงของตัวเองที มองเขากับเตียงสลับกันอยู่แบบนั้นจนเขาถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอ

“ผมไม่แย่งที่นอนคุณหรอกน่า”    เจ้ากระต่ายน้อยนี่กลัวว่าเขาจะมาแย่งรังของตัวเองไปหรือยังไงกันนะ ถึงได้มองเขาหวงๆแบบนั้น

“แต่ห้องนี้มีเตียงแค่เตียงเดียว...”

“เดี๋ยวครูใหญ่จะเอาฟูกมาให้ ผมนอนที่พื้นได้ครับคุณหนู”

“ผมไม่ใช่คุณหนู...”   เขายิ้มให้ใบหน้างอง้ำที่ดูแปลกตา ปกติเขาจะเห็นเซริซาว่า จิอากิในชุดกักกุรันไม่ก็ฮากามะสำหรับนักเรียน แต่วันนี้ร่างโปร่งบางอยู่ในชุดกิโมโนของผู้ชายที่ปิดต้นคอเรียบร้อย ถึงแม้กิโมโนตัวนอกจะมีสีดำสนิทแต่ก็มีลายปักสมกับเป็นกิโมโนที่น่าจะราคาแพง ส่วนซับตัวในก็เป็นสีแดงเลือดนกอย่างที่เขาไม่เคยเห็นใครใส่มาก่อน

กิโมโนชุดนี้เหมาะกับอีกฝ่ายมาก...ร่างโปร่งบางดูสะโอดสะองขึ้นไปอีกเมื่อมีโอบิสีดำรัดเอวไว้ ผิวขาวๆถูกขับเน้นด้วยผ้าสีรัตติกาลจนเขาเองยังไม่สามารถละสายตาไปได้ง่ายๆ ตุ๊กตาญี่ปุ่นชั้นสูงตัวนี้งดงามมากจริงๆ

“ผมเรียกคุณว่าจิอากิซังได้ไหม?”   เขาเอ่ยในขณะที่วางกระเป๋าเดินทางหนังลงไป

“เอ๊ะ?......”   ริมฝีปากอวบอิ่มชะงักค้างอย่างตกใจกับคำขอไม่มีที่มาที่ไปของเขา

“คุณจะเรียกผมว่าอิตสึกิก็ได้”   เขายื่นข้อเสนอเป็นการแลกเปลี่ยน เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนี้

“แต่ว่า....ปกติ...ไม่เคยมีใครเรียกผมด้วยชื่อตัว...นอกจากคนในครอบครัว.....”   เด็กหนุ่มตรงหน้าอ้ำๆอึ้งๆ ดูเหมือนอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่คุ้นชินกับการปฏิเสธ เพราะแบบนี้เองหรือเปล่าคุณชายเซริซาว่าถึงได้หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้คน เพราะพูดไม่เก่ง ขี้อายและไม่อยากปฏิเสธใคร

เจ้ากระต่ายน้อยตรงหน้าช่างน่าสนใจยิ่งนัก...

“การพบกันของเราก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะงั้นคุณก็ลองทำอะไรที่ไม่ปกติดูบ้างก็ได้ อย่างเช่นการยอมให้ผมเรียกคุณว่าจิอากิซัง”   เขาจ้องมองใบหน้าลนลานนั่นพลางแอบขำในใจ เจ้าคนตรงหน้าน่ารักเสียไม่มี น่ารักจนเขานึกอยากจะแกล้งเล่นทั้งๆที่เขาไม่ควรจะใกล้ชิดกับผู้ต้องสงสัยแบบนี้เลยแท้ๆ

“ผมเองก็ไม่เคยให้ใครเรียกชื่อตัวนอกจากครอบครัวเหมือนกัน”    เขายังคงกดดันตามสไตล์ของตำรวจ

“.....ถ้างั้น...ก็ได้ครับ........”   ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยังมึนๆงงๆว่าทำไมพวกเราสองคนจะต้องเรียกชื่อกันแบบนั้นด้วย? เพื่อนสนิทก็ไม่ใช่ เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่วันแท้ๆ


ก๊อกๆๆ


ครูใหญ่นำฟูกมาให้ เซริซาว่า จิอากิยังดูไม่ไว้ใจเขาจึงไปนั่งแอบมองอยู่ที่หัวเตียง ภาพที่เขาเห็นนี่เหมือนแมวไม่มีผิด

“วันนี้คุณไม่ซ้อมไวโอลินเหรอครับ?”    เขาหาเรื่องชวนคุยให้เจ้าเหมียวขี้ระแวงผ่อนคลายลงบ้าง และเขาก็มาถูกทางแล้วที่เริ่มด้วยเรื่องดนตรี

“เปล่าครับ...ลม...เปลี่ยนทิศ...ถ้าซ้อมมันจะไปรบกวนคนอื่น...”   ไม่รู้ว่าบ้านเซริซาว่าสอนมาดีหรือเป็นที่นิสัยของเด็กคนนี้เองกันแน่ แต่จิอากิซังเป็นเด็กดีทีเดียว

“คุณเล่นเพลงอื่นของ Corelli ด้วยหรือเปล่า?”   ใบหน้ามนค่อยๆเอียงอายออกมาจากเงามืดเพราะสนใจบทสนทนาของเขา

“เล่นครับ แต่เพลงอื่นผมกำลังฝึกอยู่ ยังไม่เก่งครับ”

“ไว้วันหลังเล่นให้ผมฟังบ้างได้ไหมครับ?”

“.....ก็ได้...อยู่หรอกครับ....แต่คุณอาจจะต้องอุดหูเอาหน่อย...”   เขาหลุดหัวเราะ เจ้าคนขี้อายนี่ก็มีอารมณ์ขันอยู่เหมือนกันนะ

“เดี๋ยวผมออกไปอาบน้ำก่อนนะครับ”   เขาหยิบยูกาตะที่ใช่ใส่นอนพาดบ่าตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง

“เอ่อ....”    แต่คุณชายเซริซาว่าก็เรียกเขาเอาไว้เสียก่อน

“ครับ?”

“.......ใช้ห้องน้ำของผมก็ได้...”    ปลายนิ้วเรียวชี้ไปที่ประตูบานหนึ่งซึ่งอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า เดี๋ยวนะ นี่มีห้องน้ำส่วนตัวด้วยเหรอ?

“ห้องน้ำนี่...”   เขามองอย่างทึ่งๆ

“เดิมทีห้องนี้เป็นห้องของครูประจำหอน่ะครับ เลยมีห้องน้ำด้วย...”

“ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่าคุณไม่เคยไปใช้ห้องน้ำรวมเลยเหรอครับ?”    ใบหน้ามนส่ายไปมา

“ไม่เคยเข้าไปที่นั่นแม้แต่ครั้งเดียว?”   เขายังคงถามย้ำ

“ผมมีห้องน้ำส่วนตัว แล้วจะไปเข้าห้องน้ำรวมอีกทำไมล่ะครับ ที่นั่นเป็นยังไงผมยังไม่รู้เลย”    แบบนี้อาจจะพอตัดเซริซาว่า จิอากิออกจากคนลงมือฆ่านานาฮาระ ฮิโรกิไปก็ได้ ก็เหลือแค่ว่าจะมีส่วนรู้เห็นไหมเท่านั้น

“ถ้างั้นก็ขอยืมใช้หน่อยนะครับ”   เขาก้าวขาเข้าห้องน้ำไป ถึงจะไม่ได้กว้างใหญ่แต่ห้องน้ำนี้ก็มีอุปกรณ์ครบครัน มาคิดดูให้ดี แยกจิอากิซังออกมาจากห้องน้ำรวมก็น่าจะดีแล้ว รูปร่างหน้าตาแบบนั้นมันชวนก่ออาชญากรรมมาก ตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอรู้ว่าในหมู่นักเรียนชายก็ทำเรื่องแบบนั้นกันได้ มันก็อันตรายสำหรับเซริซาว่า จิอากิไม่น้อย

เครื่องแบบตำรวจถูกใส่ไม้แขวน เขาเปลี่ยนไปสวมยูกาตะสีดำแทนเมื่ออาบน้ำเสร็จ

“ผมขอแขวนชุดเอาไว้ข้างๆชุดกักกุรันของคุณได้ไหมครับจิอากิซัง?”   เขาเหลือบมองตะขอติดผนังอันหนึ่งซึ่งว่างอยู่

“......เชิญครับ...”    ใบหน้ามนเงยจากหนังสือที่อ่านก่อนจะเขินนิดๆเมื่อมองชุดสองชุดที่ถูกแขวนคู่กัน...นี่มันอารมณ์แบบคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันไม่มีผิด...เขาที่เพิ่งรู้ตัวก็ยกมือขึ้นมาถูปลายจมูกเช่นกัน

“เอ่อ...ผมจะออกไปเดินตรวจข้างนอกหน่อย คุณล็อคประตูได้เลย ผมมีกุญแจ”   เขาเสหน้าไปมองทางอื่น

“....ครับ”   จิอากิซังก็เสไปมองอีกทาง แล้วในขณะที่เขาเตรียมจะก้าวขาออกจากห้องก็ต้องชะงักด้วยเสียงเรียกของอีกฝ่าย

“เอ่อ....”

“ครับ?”

“คือ...ต้องให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมครับ...”    เขาเผลอยิ้มออกมา...ที่จริงแล้วคุณชายเล็กแห่งตระกูลยิ่งใหญ่นี้มีน้ำใจมากทีเดียว คงจะเห็นว่าเขามาใหม่อาจจะไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ยิ่งกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ก็เลยอาสาจะไปเป็นเพื่อน

“ไม่ต้องหรอกครับ คุณนอนเถอะ”  

“ครับ...”    เขายิ้มให้อย่างหาได้ยากที่เขาจะยิ้มให้ใคร การปรากฏกายของเซริซาว่า จิอากินั้นมีความหมายพิเศษสำหรับเขาจริงๆ







ฝ่าเท้าในรองเท้าสานเดินไปตามระเบียงหน้าหอพัก ปกติเด็กนักเรียนที่นี่ก็เป็นลูกหลานผู้ดีมีสกุลอยู่แล้วจึงไม่ค่อยส่งเสียงดังกันมากนัก ไม่มีมาวิ่งเล่นหน้าห้องพักอย่างเด็กทั่วไป ยิ่งตอนนี้นับว่าดึกสงัดโรงเรียนทั้งโรงเรียนจึงเงียบกริบ

สารวัตรตำรวจเดินไปตามจุดต่างๆที่มีนายตำรวจผลัดกันเฝ้าอยู่ ดูเหมือนคืนนี้จะเป็นเพียงคืนที่สงบสุขธรรมดาๆ

เขาเดินตรวจไปรอบๆโรงเรียนจนใกล้จะเที่ยงคืน อันที่จริงเขาไม่คุ้นกับด้านหลังโรงเรียนมากนัก เงาของป่าสนที่ทาบทับลงมาดูน่าสะพรึงกลัวจนเขาต้องหยุดมองอย่างแปลกใจ ขนาดเขาที่เป็นตำรวจยังคิดว่ามันไม่น่าเข้าใกล้ แล้วทำไมเด็กอย่างโชโงะ อัยถึงกล้าเดินผ่านมันจนไปถึงแม่น้ำได้?

เด็กคนนั้นมองเห็นอะไรหรือเปล่า? มีอะไรมาเร้าความสนใจจนต้องตามไปดูหรือเปล่า?


ซ่า~~


จู่ๆสายลมก็พัดมาจนเขาต้องยกมือขึ้นมาป้องใบหน้า เงาของป่าสนรอบทิศทางเปลี่ยนไปราวกับปิศาจร้าย ท่ามกลางเงาวูบไหวพวกนั้นเขากลับเห็นแสงอะไรบางอย่างสว่างวาบอยู่ไกลๆ

สว่างวาบก่อนจะหายไปในความมืดชั่วพริบตา

อะไรน่ะ?

ดวงตาคมกล้าพยายามเพ่งมองไปที่นั่นอีกครั้งแต่ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว เขาไม่รู้ว่าด้านหลังโรงเรียนยังมีอาคารอื่นอยู่อีกหรือเปล่า มันมืดจนมองไม่เห็นสิ่งใด

เขาตัดสินใจก้าวขากลับมาหานายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าออกหอพัก

“มีใครออกไปจากหอบ้างไหม?”   เสียงทุ้มถามออกไป

“ไม่มีครับ”   นายตำรวจตอบกลับอย่างมึนงง

“หอพักพวกครูล่ะ? มีใครออกไปไหม?”

“ไม่มีเช่นกันครับ พวกเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนก็พักอยูที่นี่หมด ไม่มีใครออกไปไหนเลยครับ”    เขาฟังรายงานพลางยกมือขึ้นลูบคาง หรือแสงที่เขาเห็นนั่นจะเป็นเพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ? อาจจะมีอะไรบางอย่างตกอยู่แล้วก็สะท้อนแสงจันทร์ในจังหวะที่ลมพัดพอดี?

เพราะถ้าไม่มีใครออกไปจากหอพักก็ไม่น่าจะมีมนุษย์ที่ไหนทำให้เกิดแสงไฟได้แล้ว ในเมื่อรอบๆโรงเรียนนี้ไม่มีคนอยู่?

“มีอะไรหรือเปล่าครับสารวัตร?”

“ไม่มีอะไร...พวกคุณคอยดูไว้ก็แล้วกัน”    เขาตัดใจก่อนจะเดินกลับห้องพัก


แอ๊ด....


ภายในห้องดับตะเกียงมืด มีเพียงแสงสลัวๆของจันทราที่ลอดบานหน้าต่างมาเท่านั้นที่ทำให้เขาเห็นว่าเซริซาว่า จิอากิหลับไปแล้ว

ร่างสูงสง่าในยูกาตะสีดำหยุดยืนอยู่ข้างเตียง ดวงตาคมกล้าทอดมองใบหน้าที่กำลังหลับใหลอยู่บนนั้น เขาไล่มองตั้งแต่หน้าผากจรดปลายคาง ขนตาที่ถูกแสงจันทร์ส่องจนระยิบระยับนั้นยาวมาก ขนาดตอนหลับก็ยังสวยขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครต่อใครถึงรุมจีบ...







เปลือกตาที่ปิดมาทั้งคืนค่อยๆเปิดขึ้นเมื่อร่างกายจดจำได้ว่าถึงเวลาตื่นนอน

มือใหญ่ยกขึ้นมาขยี้ตาก่อนจะพยายามปรับสายตาให้ภาพตรงหน้าชัดเจน เสียงสวบสาบที่ดังขึ้นจากการขยับแขนของเขาทำให้ดวงตาคมกล้าเหลือบลงไปมองที่หน้าอก

ฮาโอริ?

มีฮาโอริลายนกกระเรียนตัวใหญ่คลุมร่างกายของเขาอยู่ทั้งๆที่ก่อนจะนอนมีเพียงผ้าห่มผืนเดียวเท่านั้น

น่าจะเป็นของเซริซาว่า จิอากิ?

กลัวว่าเขาจะหนาวหรือไงนะถึงได้เอาเสื้อคลุมมาห่มให้อีกชั้น? 

เขาอมยิ้มเมื่อก้มลงไปมองฮาโอริที่ตัดเย็บอย่างประณีต ถึงท่าทางจะเหมือนกระต่ายน้อยขี้ระแวงแต่ก็ใจดีมาก ตอนนี้เขาชักอยากจะรู้เหตุผลที่จิอากิซังเลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียวเสียแล้วสิ? ทั้งๆที่หากจะคบหาเพื่อนฝูงก็ดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแท้ๆ

ดวงตาคมกล้ากวาดมองหาร่างโปร่งบาง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่ในห้อง เขาจึงลุกขึ้น พับผ้าและเก็บฟูกให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปตามหาอีกฝ่าย

ทันทีที่ก้าวขาออกมาจากห้อง เขาก็ต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น ภายนอกยังมืดอยู่เลยนี่? น่าจะสักตีห้ากว่าๆได้ แล้วจิอากิซังออกไปไหนแต่เช้าขนาดนี้?

ท่ามกลางความเงียบสงบของยามเช้า นักเรียนส่วนใหญ่ยังไม่ตื่นจากการหลับใหล เขาเดินไปจนถึงหลังโรงเรียน

เสียงจิ๊บๆหลากหลายเสียงราวกับนกหลายตัวกำลังคุยกันอยู่ทำให้เขาหันไปสนใจ แล้วเขาก็ได้เจอคนที่กำลังตามหา เซริซาว่า จิอากินั่งอยู่บนขอนไม้โดยมีนกตัวน้อยนับสิบตัวเกาะอยู่รอบๆ

มันเป็นภาพแปลกตาที่ชวนให้น่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก ร่างสะโอดสะองในกิโมโนสีดำตัวเดิมมีฮาโอริเดินเส้นลายตรงคลุมไหล่อยู่ ข้อมือขาวผ่องที่โผล่พ้นแขนเสื้อกิโมโนกำลังยื่นมือออกไป ที่ปลายนิ้วมีนกน้อยบินมาเกาะ ใบหน้าอ่อนโยนนั่นเหมือนกำลังคุยกับนกอยู่ก็ไม่ปาน

“จิอากิซัง?”  


พรึ่บ!!


ฝูงนกกระพือปีกบินหนีทันทีที่เขาส่งเสียงเรียกออกไป ใบหน้ามนเองก็หันมามองอย่างตกใจ ร่างโปร่งบางลุกพรวดพราดราวกับจะบินหนีตามนกไปอีกคนจนเขาต้องเอื้อมมือไปจับเอาไว้

“ผมเอง อิตสึกิ”   และเมื่อใบหน้าหวานมองเห็นชัดๆว่าเขาเป็นใคร ร่างโปร่งบางถึงได้ยอมหยุดอยู่กับที่

“อิตสึกิซัง? มาตามหาผมเหรอครับ?”   ร่างโปร่งบางนั่งลงไปที่ขอนไม้อันเดิมอีกครั้ง เขาจึงนั่งลงไปข้างๆ ท้องฟ้ากำลังค่อยๆสว่างขึ้นทีละน้อย ตรงนี้ก็บรรยากาศดีทีเดียว

“ครับ เห็นคุณไม่อยู่ในห้อง แล้วก็อยากจะขอบคุณเรื่องเสื้อฮาโอริที่คลุมให้ผมด้วย”   เขาหันไปยิ้มให้ใบหน้าที่เสมองพื้นอย่างเขินอาย เขาก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะปกติแล้วเขาแทบไม่เคยเริ่มคุยกับใครก่อน ไม่เคยยิ้มให้ใครก่อน คุณชายฟูจิวาระยิ้มยากแทบจะทั้งตระกูล เรื่องนี้ใครๆก็รู้กัน

“นอนบนพื้นน่าจะหนาว แล้วผ้าห่มคุณก็ผืนบางมาก ผมก็เลยถือวิสาสะเอาฮาโอริคลุมให้ ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”   ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมามองเขาอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป จู่ๆหัวใจของเขาก็เต้นผิดจังหวะ ได้แต่มองใบหน้าราวกับตุ๊กตานั่นนิ่งค้าง

“อิตสึกิซัง?”

“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ เพราะคุณคลุมฮาโอริให้ ผมจึงไม่หนาวตาย”   เขาหลุดออกจากภวังค์เมื่อเจ้าของดวงตากลมโตเอ่ยเรียก

“ไม่คิดว่าอากาศจะเย็นขนาดนี้เลยนะครับ”    มือใหญ่ยกขึ้นมาเกาท้ายทอยแก้เขิน

“ครับ คนที่ไม่เคยอยู่ที่นี่จะไม่รู้หรอกว่าอากาศตอนกลางคืนหนาวเย็นกว่าที่อื่นค่อนข้างมาก เพราะโรงเรียนเราอยู่กลางหุบเขา”   เขาเงยหน้ามองลำแสงอาทิตย์ที่พาดผ่านยอดเขาสูงตระหง่าน ไม่ว่าจะมองจากด้านไหนก็เห็นยอดเขาเหล่านี้ทั้งนั้น

“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่ตั้งแต่เช้าครับ?”   เขาเหลือบมองเม็ดข้าวสารในห่อผ้าข้างกายบาง

“.....ผม...มาให้อาหารนก...”

“ฮึ ฮึๆๆ”   เขายกหลังมือขึ้นมาปิดปากเมื่อเผลอหัวเราะออกไป เด็กวัยเท่านี้แต่กลับตื่นเช้าเป็นตาแก่และยังมีกิจวัตรเหมือนคนสูงอายุแบบนี้มีด้วยเหรอ

“.........อย่าหัวเราะผมสิ ผมอุตส่าห์แอบออกมาไม่บอกใคร คุณก็ยังจะตามมาเจออีกจนได้”   คุณชายเซริซาว่าอายจนหน้าแดง มานั่งเลี้ยงนกแบบนี้ดูไม่ค่อยสมเป็นชายชาตรีเท่าไหร่ แต่เขากลับคิดว่ามันเหมาะกับอีกฝ่ายมาก

เขายิ้มจนแก้มแทบแตกทำให้ใบหน้ามนสะบัดหนีอย่างงอนๆ

“ครับๆ ผมไม่ล้อคุณแล้ว คุณจะมาเลี้ยงนกหรืออะไรก็แล้วแต่ ขอแค่ไม่ได้มาฆ่าใครก็พอ”   ท่อนแขนแข็งแรงเหยียดไปข้างหลังยันร่างกายไว้ในขณะทอดสายตามองมือบางที่โปรยข้าวสารลงไปบนพื้น  ไม่นานนกตัวน้อยก็โผลงมากินเป็นกลุ่ม

“นี่คุณยังสงสัยผมอยู่สินะครับ? ถึงได้คอยจับตาดูผม?”   ริมฝีปากสีระเรื่อเอื้อนเอ่ยทั้งๆที่ยังโปรยอาหารให้นก คล้ายกับไม่ได้มีความกังวลในการที่ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัย

“ใช่ครับ คุณน่ะน่าสงสัยมาก และผมก็จะคอยจับตาดูคุณไปตลอด”   จิอากิซังยิ้มบางๆอย่างไม่ถือสา

เขาก็แค่ทำตามหน้าที่ ไม่ได้ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเข้าใกล้อีกฝ่ายเสียหน่อย

เขาปล่อยให้ร่างโปร่งบางเลี้ยงนกไปในขณะที่ตัวเองก็นั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย นานแล้วที่ไม่ได้นั่งชมนกชมไม้อย่างผ่อนคลายแบบนี้  หากตระกูลเซริซาว่าเป็นตระกูลใหญ่ในฝั่งการเมืองการปกครอง ตระกูลฟูจิวาระของเขาก็คงจะเป็นตระกูลใหญ่ในฝั่งกำลังพล พ่อของเขาเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และมีสายตระกูลฟูจิวาระมากมายอยู่ในกรมตำรวจ 5ปีที่ผ่านมาเขาจึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพิสูจน์ตัวเองว่าเขาได้ตำแหน่งนี้มาด้วยความสามารถไม่ใช่เป็นเพราะชื่อเสียงของตระกูล

“จิอากิซัง”    เขาเอ่ยเรียกคนข้างกายเมื่อสายตาที่กวาดมองไปเรื่อยไปปะทะกับอาคารที่ซุกซ่อนอยู่ในเงาไม้เข้า

“หื๋ม?”   ร่างโปร่งบางยังคงเล่นกับนกอยู่จึงตอบรับเบาๆ

“อาคารหลังนั้นคืออาคารอะไรครับ?”   นั่นใช่อาคารที่เขาเห็นเมื่อคืนหรือเปล่านะ?

“........นั่นคือตึกพยาบาลเก่าครับ”   ใบหน้ามนเงยก่อนจะตอบคำถามเขา

“ยังใช้อยู่ไหมครับ?”

“ไม่ได้ใช้แล้วครับ แต่ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงปล่อยทิ้งร้างแบบนั้น ส่วนใหญ่ก็ลือกันว่ามีผีนั่นแหละครับ บางคนก็ลือว่าเป็นสถานที่เก็บศพในสมัยก่อน”    เขาจ้องมองอาคารไม้เก่าๆหลังหนึ่ง ที่มันดูทรุดโทรมน่าจะเป็นเพราะไม่ได้รับการดูแลมากกว่า แต่อายุของมันไม่น่าจะต่างจากตึกหอพักหรือตึกเรียนมากนักดูจากสถาปัตยกรรมที่สร้างมาในรูปแบบเดียวกัน

“ผมอยากจะเข้าไปดูสักหน่อย”    ภาพแสงไฟสว่างวาบเมื่อคืนนี้ยังติดอยู่ในหัว เท่าที่เขาลองกะจากตำแหน่งต่างๆแล้วมันน่าจะเป็นแถวๆตึกร้างนั่นพอดี

“อืม...ถ้างั้นผมไปยืมกุญแจให้ไหมครับ?”   จิอากิซังอาสาจะช่วย

“ครับ รบกวนด้วยครับ”

ร่างโปร่งบางจึงเดินนำเขาไปยังอาคารเล็กๆอาคารหนึ่ง มันเป็นห้องเก็บอุปกรณ์เป็นส่วนใหญ่ มีทั้งเครื่องมือช่างและอุปกรณ์ทำสวน ที่นี่น่าจะเป็นที่ทำงานของภารโรง?

“เซริซาว่าซัง? มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”   จู่ๆห้องที่ว่างเปล่าก็มีใบหน้าของชายคนหนึ่งชะโงกออกมา เป็นภารโรงของโรงเรียนนี้จริงๆ เขายกมือลูบหัวใจเบาๆ อย่าโผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงแบบนี้สิ ตกใจหมด

“ผม...อยากจะขอยืมกุญแจตึกพยาบาลเก่าหน่อยครับ พอดีคุณตำรวจอยากเข้าไปดูข้างใน...”   คุณชายเซริซาว่าเริ่มเจรจา ดูท่าทางจะคุ้นเคยกับภารโรงดี?

“ครับ ได้เลยครับ นี่ครับ”   ภารโรงหันไปหยิบกุญแจแล้วยื่นให้อย่างไม่ตรวจสอบเลยสักนิด ไม่ถามด้วยว่าจิอากิซังจะเอาไปทำอะไร เขาเชื่อว่าถึงเด็กหนุ่มจะมีอำนาจก็ไม่สามารถจะทำให้ใครสักคนเชื่อมั่นและภักดีได้ขนาดนี้ ระหว่างคุณชายเซริซาว่ากับภารโรงอาจจะเคยช่วยเหลือกันมาก่อน ชายวัยกลางคนนั่นจึงตอบแทนบุญคุณจิอากิซังในลักษณะนี้

“ขอบคุณครับ”   ใบหน้ามนยิ้มบางๆให้

“ไม่ต้องเกรงใจครับเซริซาว่าซัง มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลย ยาที่เซริซาว่าซังให้มานั่นผมยังไม่รู้จะชดใช้ยังไงหมดเลยครับ”   มือบางโบกน้อยๆเชิงว่าไม่เป็นไรก่อนจะหยิบกุญแจแล้วออกมานั่นไง...กะแล้วเชียวว่าจิอากิซังต้องเคยช่วยเหลือภารโรงมาก่อน

“คุณติดสินบนภารโรงเหรอครับ?”   เขาถามหยอกเย้า

“ผมช่วยเพื่อนมนุษย์ต่างหาก”    จิอากิซังตอบพลางยิ้มน้อยๆ

“เล่าให้ผมฟังได้ไหม?”

“คุณนี่ช่างสงสัยจริงๆ”   ใบหน้ามนหันมาเบะปากใส่เขา เป็นปฏิกิริยาที่น่ารักมากและเขาไม่คิดว่าจะได้เห็นจากคุณชายผู้สูงส่งคนนี้เลย เบื้องหลังใบหน้าเย็นชาที่หยิบมาใช้กับทุกๆคน แท้จริงแล้วจิอากิซังก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มน่ารักๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง

“ลูกชายของภารโรงเคยป่วยหนักครับ เป็นโรคที่รักษาด้วยยาสมุนไพรไม่หาย มันเห็นผลช้าเกินไป จำเป็นต้องใช้ยาสมัยใหม่ของชาวตะวันตก ผมเลยแอบเอาของที่บ้านมาให้ เด็กคนนั้นเลยรอดตาย แค่นี้ครับ”   เสียงนุ่มเล่าให้ฟังขณะที่เดินนำไปยังตึกร้าง

“คุณนี่ใจดีผิดคาดเลยนะครับ”    เขาหยอกเย้าอย่างที่ไม่เคยทำกับใคร

“คุณเห็นผมเป็นยักษ์มารหรือไง?”   เพราะปฏิกิริยาที่กระต่ายน้อยตอบกลับมามันน่ารักมาก ใบหน้ามนทำหน้าหงึใส่ก่อนจะเดินนำออกไป เขาค้นพบสิ่งที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว การได้เห็นใบหน้างอนๆของจิอากิซังนั้นมันทำให้เขามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

เสียงกรอบแกรบดังตามจังหวะที่พวกเขาก้าวเดิน ถึงแม้ตัวอาคารจะถูกปล่อยร้างแต่บริเวณรอบๆก็ถูกถางหญ้าไว้ไม่ให้รกจนเกินไป พื้นดินส่วนใหญ่จึงเป็นกิ่งและใบไม้แห้งที่ทับถมอยู่

“อ๊ะ?!   ร่างสะโอดสะองที่เดินนำหน้าเซถลาน้อยๆเมื่อเหยียบกิ่งไม้ที่ไม่มั่นคงเข้า เขาขยับไปรับโดยอัตโนมัติทำให้แผ่นหลังบางปะทะกับแผ่นอกของเขาพอดี

“เป็นไรไหมครับ?”   เขาเอ่ยถามคนในอ้อมแขน หลายวินาทีที่สายตาของเราสบประสานซึ่งกันและกัน ราวกับมีกระแสไฟช็อตไปทั่วร่าง มือบางดันตัวเองออกไปก่อนจะก้มหน้าตอบอย่างเขินอาย

“ไม่เป็นไรครับ...”    อีกแล้ว...เป็นอีกครั้งที่หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างไม่ทราบสาเหตุ มือไม้ยกขึ้นมาเกาท้ายทอยบ้างลูบหัวตัวเองบ้างอย่างไม่รู้ว่าจะเอามันไปวางไว้ตรงไหน

“คุณ...มาเดินข้างๆผมเถอะ”    เสียงทุ้มเอ่ยบอกในขณะที่ต่างฝ่ายต่างยังมองหน้ากันตรงๆไม่ได้ ใบหน้ามนเพียงพยักเบาๆก่อนจะขยับมาเดินข้างๆเขา

“คุณจะ...จับแขนเสื้อผมไว้ก็ได้...พื้นแบบนี้เดินค่อนข้างลำบาก...”   เขาพูดออกไปราวกับเสียงไม่ใช่ของตนเอง ใบหน้าเสมองนกมองไม้พยายามไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาก็เขินเช่นกัน

“.......”   เสียงนุ่มเหมือนจะตอบรับในลำคอเบาๆแต่มันก็เบามากจนเขาไม่ได้ยิน มีเพียงสองนิ้วที่จับลงมาที่ปลายแขนเสื้อเขาเท่านั้นที่มองเห็น เขาต้องเงยหน้าสูดหายใจเข้าไปลึกๆเพื่อเรียกสติ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่? ใช่ว่าจะไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงที่ไหน แม่เขาพยายามจับเขาไปดูตัวตั้งหลายครั้งแต่เขาก็ไม่เคยมีปฏิกิริยากับใครแบบนี้มาก่อนเลย

จิอากิซัง...ทำอะไรกับหัวใจของเขากันแน่?




พวกเขาสองคนเดินมาถึงทางเข้าของตึกพยาบาลเก่าจนได้ มันมีประตูเหล็กโปร่งสนิมเขรอะบานหนึ่งปิดเอาไว้ จิอากิซังหยิบกุญแจออกมาตั้งท่าจะไข แต่จู่ๆมือบางก็ชะงักไป

“เอ๋?”   เสียงนุ่มอุทานอย่างแปลกใจ เพราะแม่กุญแจที่ควรจะอยู่ที่ประตูกลับห้อยต่องแต่งอยู่ที่วงกบแทน มีร่อยรอยอย่างชัดเจนว่าประตูถูกงัด เหล็กที่ใช้คล้องแม่กุญแจหักครึ่งจากการถูกทุบและสนิมที่กัดกิน

“หรือจะมีนักเรียนคนอื่นแอบเข้ามา? เพราะคนที่จะไปขอกุญแจจากคุณภารโรงได้ก็น่าจะมีแค่ผมคนเดียว?”   คนอื่นไปขอไม่ได้ก็เลยต้องใช้การทุบเอาแบบนี้

เขากับจิอากิซังค่อยๆเดินเข้าไปในตึกร้าง จะบอกว่าไม่หวาดหวั่นเลยก็คงจะเป็นการโกหก คนร้ายอาจจะซ่อนตัวอยู่ในนี้ก็ได้และเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะไปเจอกับอะไรเข้า ลำพังเขาคนเดียวอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่คนที่เดินตามเขามาด้วยนี่สิเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย

จิอากิซังกอดแขนเขาแน่น ใบหน้าหวานมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง


แกรบ...แกรบ...


เสียงใบไม้ที่ถูกเหยียบทำเอาหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้ง หัวใจเต้นแรงและเขาก็พยายามเพ่งมองทุกการเคลื่อนไหวรอบกาย แต่ก็เหมือนจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ที่นี่...

เขากวาดตามองห้องพยาบาลที่ยังมีเตียงเหล็กถูกทิ้งไว้ ข้างในปูด้วยกระเบื้องที่เคยเป็นสีขาวแต่บัดนี้กลับมีคราบเปื้อนเขรอะไปหมด กระจกตู้ยาก็แตกร้าวไปทั้งบาน ไม่เข้าใจจริงๆว่าโรงเรียนปล่อยสถานที่สุดหลอนแบบนี้เอาไว้ได้ยังไง เขาหยุดมองสำรวจไปทีละห้อง ดีนะที่มาตอนเช้า ถ้าเป็นตอนกลางคืนที่นี่คงขนหัวลุกน่าดู

“อิตสึกิซัง...”   คนที่หลบอยู่หลังไหล่เขาเอ่ยเรียกเบาๆก่อนจะหันหน้าไปมองอะไรบางอย่าง และเมื่อเขามองตาม ความสงสัยก็เกิดขึ้นจนต้องเดินเข้าไปดู

ที่มุมหนึ่งของห้องกลับดูสะอาดจนน่าประหลาดใจ ทั้งๆที่ทั้งห้องเต็มไปด้วยฝุ่นหนา ทว่ามีแต่ตรงนี้ที่เหมือนมีร่องรอยการใช้งานเมื่อไม่นานมานี้อยู่ ดูจากฝุ่นที่เกาะเพียงบางๆแล้วก็คิดว่าน่าจะสักครึ่งปีได้ที่มีใครแอบเข้ามาใช้มุมห้องตรงนี้

หรือจะเคยมีคู่รักแอบลักลอบมาพบกัน? แต่มันไม่น่ากลัวไปหน่อยเหรอเนี่ย บรรยากาศหลอนขนาดนี้...

เขาพาจิอากิซังเดินไปห้องต่อไป ห้องนี้เป็นห้องสุดท้ายแล้ว มันอยู่ปลายทางเดินพอดี


แอ๊ด....


เสียงประตูดังราวกับกำลังโหยหวนชวนให้ขนลุกซู่ มือบางเกาะแขนเขาแน่นจนรู้สึกได้


ฟึ่บ!!!


อะไรบางอย่างพุ่งพรวดผ่านร่างของพวกเราไป เขารีบตวัดแขนไปดึงร่างโปร่งบางมากอดไว้แล้วใช้ตัวบังตามสัญชาตญาณ มือใหญ่เตรียมกำหมัดในท่าป้องกันตัว หัวใจเต้นระรัวเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครและมีอาวุธอะไรไหม

ทว่า...ทุกอย่างกลับเงียบสนิท...

เขามองตามเงาสีดำที่เผ่นแผล่วหายไปในกองกระดาษ...หนูเหรอ? เงานั่นมันเล็กจนดูเหมือนจะเป็นสัตว์เสียมากกว่า

“น่าจะเป็นหนูนะครับ...”    เขาเอ่ยบอกคนที่ยืนตัวแข็งอยู่ในอ้อมแขน

“ตกใจหมดเลย...”   จิอากิซังพูดออกมาเบาๆ

เขาก้มมองคนที่กอดเอวเขาแน่น ก่อนที่พวกเราจะรีบผละออกจากกันเมื่อรู้ตัว หน้าทั้งหน้ารู้สึกว่าร้อนไปหมด

เขาหันไปมองในห้องเพื่อแก้เขิน แต่ประกายของอะไรบางอย่างก็ทำให้แผ่นหลังเขาถึงกับเย็นวาบ...นั่นมัน!!

ขายาวก้าวพรวดๆเข้าไปดู สิ่งที่วางอยู่บนพื้นสกปรกรกไปด้วยใบไม้และหยากไย่ทำให้นัยน์ตาของเขาเบิกกว้าง


มันคือมีด...ที่ใช้สังหาร โชโงะ อัย?


“อึก...”    จิอากิซังที่ชะโงกมองผ่านแผ่นหลังเขาถึงกับยกมือขึ้นอุดจมูก ถึงแม้เลือดที่เกรอะกรังมีดเล่มนั้นจะแห้งแล้วแต่กลิ่นเหม็นเน่าของมันก็ยังอยู่

“ผมจะส่งไปตรวจสอบอีกที แต่เท่าที่ดูด้วยตาเปล่า มีดนี่น่าจะสร้างรอยแผลได้แบบเดียวกับรอยที่อยู่บนคอของโชโงะ อัยไม่ผิดแน่”   เขามองอาวุธสังหารนั้นด้วยดวงตาเหม่อลอย แสงไฟที่เขาเห็นเมื่อคืนจะใช่คนร้ายกำลังเอามีดเล่มนี้มาทิ้งที่นี่หรือเปล่านะ? ถ้าเขามาดูดีไม่ดีอาจจะเจอกับคนร้ายเข้าก็ได้ ยิ่งคิดยิ่งเสียดาย

จิอากิซังถอยหนีออกไปยืนที่ประตูเพราะทนกลิ่นไม่ไหว เขาจึงเดินดูรอบๆห้องอย่างถี่ถ้วนเผื่อจะเจอหลักฐานอื่น

ในห้องนี้มีลังเก่าๆอยู่หลายใบ มีทั้งขวดยาขวดน้ำเกลือเปล่าๆถูกทิ้งไว้ มีชุดเก่าๆและเศษผ้ามากมาย ทว่า ท่ามกลางสิ่งของที่เปื่อยยุ่ยพวกนั้นกลับมีเสื้อตัวหนึ่งซึ่งดูแตกต่างออกไป เขาใช้ไม้เขี่ยมันออกมาดู

“เสื้อนี่...ยังใหม่อยู่เลย? ทำไมถึงมาตกอยู่ตรงนี้ได้?”    จริงๆเขาพูดกับตัวเองแต่เสียงมันก็ดังพอที่จะทำให้จิอากิซังได้ยิน

“เอ๊ะ? เสื้อนั่นมัน....”    คุณชายเล็กแห่งตระกูลเซริซาว่าอุทานเบาๆเมื่อเห็นเสื้อคลุมสีชมพูกะปิ มันเป็นแบบที่ทันสมัยน่าจะต้องเป็นงานสั่งตัด

“คุณรู้เหรอว่าเป็นของใคร?”   เขาหันไปถามร่างโปร่งบาง

“ถ้าดูไม่ผิด...นี่น่าจะเป็นของคิเสะ ยูกินะครับ ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ?”  

คิเสะ ยูกิ?  ฝาแฝดในกลุ่มเด็กบ้านรวยนั่นน่ะเหรอ?






กองตำรวจจากสถานีตำรวจมัตสึโมโตะต่างเข้าไปเก็บหลักฐานในอาคารพยาบาลร้างกันอย่างขะมักเขม้น ส่วนผู้บังคับบัญชาการนั้นกลับไปอยู่ที่ห้องสอบสวนจำเป็น

คิเสะ ยูกิและคิเสะ เคียวเฮ สองฝาแฝดแห่งกลุ่มเด็กบ้านรวยกำลังนั่งประจันหน้าอยู่กับสารวัตรหนุ่ม

ดวงตาคมกล้าลอบมองเด็กทั้งสองคน ถึงจะเป็นฝาแฝดที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันมากแต่บุคลิกของทั้งคู่กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง  คิเสะ เคียวเฮแฝดคนพี่นั้นมีท่าทางแมนๆสมเป็นเด็กผู้ชาย สองขาอ้ากว้างนั่งอย่างไม่เกรงใจใคร ใบหน้าคมสันหันมองออกไปข้างนอกอย่างเบื่อหน่ายและดูจะไม่ได้สนใจในการให้ปากคำนัก ถ้าแฝดพี่คือคิง แฝดคนน้องอย่างคิเสะ ยูกิก็คงจะเป็นควีน  ใบหน้าได้รูปนั้นเชิดหยิ่งแต่ก็รักษาอาการให้เรียบเฉย สองขานั่งไขว่ห้างแผ่นหลังตั้งตรง สายตาที่มองมาก็มีแววเหยียดๆอยู่ในที

สองคนนี้น่าจะเป็นหัวโจกในกลุ่ม...

“นี่ใช่เสื้อของเธอหรือเปล่า?”   เขาเปิดประเด็นด้วยการเลื่อนเสื้อสีชมพูกะปิที่เก็บมาได้จากอาคารพยาบาลร้างไปตรงหน้าคิเสะ ยูกิ

“.........อาจจะใช่ แล้วก็อาจจะไม่ใช่...เสื้อมีตั้งเยอะแยะ มันจะเป็นของผมทั้งหมดได้ยังไง?”   เขาลอบมองปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มหน้าสวยตรงหน้า คิเสะ ยูกิไม่มีหลุดเลยจริงๆแถมยังใช้คำพูดมีชั้นเชิงมาตอกกลับเขาอีก

“ทางกรมตำรวจส่งไปสอบถามห้องเสื้อที่ตัดเสื้อตัวนี้แล้ว ทั้งแบบ สี และเนื้อผ้าตรงกับชุดที่เธอสั่งตัดไม่ผิดแน่ นอกจากตัวนี้แล้ว คิเสะ เคียวเฮ แฝดคนพี่ก็ยังมีเสื้อแบบนี้อยู่อีกตัวแต่คนละสีกัน ว่ายังไง? จะยอมรับไหม?”   เขาคาดคั้น

“.......ก็คงใช่ของผมแหละมั้ง ผมจำไม่ได้หรอก ผมไม่ได้ใส่มันตั้งนานแล้ว”    คิเสะ ยูกิยักไหล่ ใบหน้ายังคงเชิดหยิ่งราวกับราชินี

“ทำไมเสื้อของเธอถึงไปตกอยู่กับมีดที่คนร้ายใช้สังหารโชโงะ อัยได้ละ?”    เสียงทุ้มยังคงกดดัน

“ผมจะไปรู้ได้ยังไง? ผมไม่ได้ใส่มันนานแล้ว นึกว่าอยู่ก้นหีบเสียอีก”    คิเสะ ยูกิก็เริ่มขึ้นเสียงกลับมาอย่างรำคาญ เด็กมีฐานะพวกนี้มักจะความอดทนต่ำ ถ้าเขากดดันต่อไปต้องหลุดอะไรออกมาแน่

“หมายความว่าเธอเองก็ไม่ได้หยิบมันมาใส่นานแล้ว?”

“ครับ”

“ไม่ได้หยิบมาใส่...หรือว่าทำหายไป? หรือว่าให้คนอื่นยืม? หรือมีคนขโมยไป? ช่วยนึกให้ดีๆแล้วตอบคำถามด้วย ถ้าเธอโกหกจะมีโทษฐานให้การเท็จนะ”

“บอกว่าไม่ได้หยิบมาใส่ก็ไม่ได้หยิบมาใส่สิ! ส่วนมันจะไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไงผมไม่รู้หรอก! แต่ที่แน่ๆผมไม่เกี่ยวข้องกับการตายของอัย ผมมีเหตุผลอะไรต้องฆ่าหมอนั่น? พวกเรายังมีผลประโยชน์ต่อกันเพราะงั้นผมไม่ฆ่าเค้าหรอก!   จู่ๆคิเสะ ยูกิก็ตะโกนกร้าวราวกับเขื่อนแตก เขาไม่คิดเลยว่าใบหน้าหยิ่งทระนงจะระเบิดออกมาขนาดนี้ เหมือนกับมีอะไรอยู่ในใจอย่างงั้นแหละ?

“ยูกิ”   แฝดผู้พี่ต้องเข้ามาลูบหลังเพื่อให้คนที่ตะโกนจนหอบสงบลง

“พวกคุณก็หยุดได้แล้วมั้ง? ถ้ายูกิเป็นคนร้ายก็คงโง่เต็มทีแล้วที่เอาเสื้อตัวเองไปทิ้งไว้กับมีดที่ใช้ก่อเหตุเนี่ย”    คิเสะ เคียวเฮมองสวนกลับมาด้วยสายตาเอาเรื่อง เขาจึงต้องยกมือหยุดนายตำรวจคนอื่นๆที่ตั้งท่าจะถามต่อ

อันที่จริงประเด็นนี้เขาก็คิดอยู่แล้ว ว่าอาจจะไม่ใช่ฝีมือของคิเสะ ยูกิ แต่น่าจะมีคนอยากใส่ร้ายเด็กหนุ่มคนนี้มากกว่า และถ้าเขารู้ว่าเสื้อตัวนี้มันหายไปได้ยังไง ไปอยู่ในมือฆาตกรได้ยังไง บางทีเขาอาจจะได้เบาะแสในการตามจับคนร้ายได้ไวขึ้น

“เอาเป็นว่า...ถ้าเธอพอจะนึกออกว่าเสื้อตัวนี้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่หรือหายไปได้ยังไง ก็บอกพวกผมที เราอาจจะจับคนร้ายได้เพราะเสื้อตัวนี้”

“ครับ”   คนที่ตอบด้วยเสียงห้วนๆคือแฝดผู้พี่ ส่วนคิเสะ ยูกิยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในอ้อมแขนพี่ชาย

เขาคิดว่า...คิเสะ ยูกิจะต้องรู้อะไรแน่ๆ...เพราะเท่าที่จิอากิซังบอก ก่อนหน้านี้คิเสะ ยูกิเคยใส่เสื้อตัวนี้บ่อยมากจนคนทั้งโรงเรียนจำได้ แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็เลิกใส่ไปเฉยๆ มันจะต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ



ตอนนั้นเขาคิดแค่ว่าคนร้ายอาจจะจงใจป้ายสีว่าเป็นฝีมือของคิเสะ ยูกิ

แต่เขาไม่คิดเลยว่าเสื้อที่คนร้ายจงใจทิ้งเอาไว้นั่นมันจะมีความหมายอย่างอื่น...



เพราะมันใช้แทนเครื่องหมายเตือนต่างหาก





.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.



โอ๊ยยยย ชั้นชอบที่เค้าเรียกกันว่า “จิอากิซัง” กับ “อิตสึกิซัง” มากเลยแม่ แง๊~~ ช่างละมุน >/////< ปกติเจอแต่ ชั้น แก ไอ้บ้าเบสบอล ไอ้เด็กเหลือขอ อะไรแบบนี้อ่ะเนอะ นานๆทีจะได้แต่งฟิคที่พระนายเรียกกันอย่างสุภาพชนแบบนี้ 5555+

แล้วก็นานๆทีที่จะได้แต่งฟิคที่พระนายเค้ามาเขินๆใส่กันแบบนี้ ค่อยๆจีบกันอย่างละมุนละไม~~ ปกติมีแต่จับกดไปก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลังถถถ

มาพูดเรื่องเครื่องแต่งกายในฟิคเรื่องนี้กันบ้างค่ะ เนื่องจากอยู่ในยุคไทโช ซึ่งเป็นยุคที่ญี่ปุ่นกำลังรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้าไป เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็เลยเริ่มจะใส่ตามชาติตะวันตกด้วย ก็คือจะมีทั้งคนที่แต่งแบบตะวันตกและแต่งแบบญี่ปุ่นคละเคล้ากันไปน่ะค่ะ บางชุดก็ประยุกต์ใช้ร่วมกัน ยุคนี้เลยเป็นยุคที่มีเสน่ห์มากอีกยุคหนึ่งของญี่ปุ่นเลยค่ะ ถ้าลองเปรียบกับของไทยก็น่าจะประมาณยุค ร.5 น่ะค่ะ ที่พวกเจ้านายหรือคนมีเงินเค้าเริ่มแต่งตัวแบบตะวันตกกันอะไรแบบนั้น

ส่วนชุดจะเป็นแบบไหน เรามีตัวอย่างมาให้ดู กร๊ากกก เป็นขบวนพาเหรดย้อนยุคสมัยไทโชที่จัดที่ญี่ปุ่นค่ะ



คือคุณกวางอ่ะ ชอบชุดนักเรียนของสมัยนี้มากกกกก ทุกแบบเลย อย่างกักกุรันเนี่ยก็ต้องมีเสื้อคลุมสีดำอีกชั้นนึงนะ แล้วก็ต้องใส่หมวกด้วย อย่างเท่ห์อ่ะ  ชุดนักเรียนชายที่เป็นฮากามะก็ชอบ คือเสื้อตัวในเค้าจะเป็นเสื้อแขนยาวสีขาวคอปกแบบตะวันตกใช่ป่ะ แต่เสื้อตัวนอกก็ยังใส่เป็นกิโมโนอยู่ส่วนกางเกงก็เป็นฮากามะ แล้วก็ใส่หมวกด้วยเหมือนกัน   ยิ่งชุดนักเรียนหญิงนะยิ่งน่ารัก คือจะเป็นฮากามะสีสันสดใสแล้วใส่แบบสูงๆหน่อยกับรองเท้าบูทอ่ะ โอยยย น่ารัก >/////<

ส่วนฟิคก็ขอบคุณทุกๆการติดตามทุกๆคอมเม้นต์มากๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น