ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 27


ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 27

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค







“จับตัวได้แล้วเหรอครับ?   ใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยอย่างอึ้งๆเมื่อจู่ๆทีมบอสเฟอร์รารี่ก็มาเรียกเขาเข้าไปคุยในห้องส่วนตัว

“ใช่ เพิ่งได้รับโทรศัพท์จากยามาโมโตะ ทาเคชิเมื่อกี้นี้เอง แต่คนที่คอยสะกดรอยตามพวกนายเป็นลูกน้องที่อานัส ซัลมานส่งมา ตราบใดที่ยังจับตัวหมอนั่นโดยตรงไม่ได้ เซียวจ้านก็ยังไม่ถือว่าปลอดภัย”   เสียงราบเรียบของเอลวิน สมิธเอ่ยบอก

“แต่อย่างน้อยก็ยังมีเบาะแสอะไรบ้าง”   อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องรู้สึกเหมือนนั่งอยู่กลางลานประหารโดยไม่รู้ว่าลูกธนูจะพุ่งมาจากทิศใดเหมือนที่ผ่านๆมา

“อืม ตอนนี้ยามาโมโตะกำลังบุกไปแหล่งกลบดานของพวกมัน”
   
“ไปตอนนี้?   เขาหันหน้าออกไปมองท้องฟ้าที่เริ่มโพล้เพล้ เพราะสนามอาบูดาบีก็เป็นอีกสนามหนึ่งซึ่งมีความพิเศษ ที่นี่ไม่ใช่ทั้ง Day race และ Night race แต่เป็น Twilight race พวกเขาจึงอยู่ที่สนามกันตั้งแต่กลางวันจนมืดค่ำ

“ถ้าช้าพวกมันจะไหวตัวทันแล้วหนีไปก่อน”  สมเป็นมาเฟีย เรื่องเสี่ยงอันตรายนี่ไม่มีกลางวันกลางคืนเลย

ดวงตาคมกล้าลดต่ำลงไปมองที่ขอบโต๊ะ...คิดถูกแล้วจริงๆที่ยอมร่วมมือกับพวกเฟอร์รารี่และเจ้าหมีมาเฟียขาโหดนั่น ไม่งั้นคืนนี้เขาคงนอนไม่หลับ

“นายกลับไปพักเถอะ เดินทางท่ามกลางความตึงเครียดมาทั้งวันแล้ว”

“ครับ”








ร่างสูงสง่าเดินซับหน้าออกมาจากห้องน้ำ พอได้อาบน้ำก็ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย การที่ต้องคอยระวังภัยแบบไม่ได้พักนั้นมันเหนื่อยจริงๆ

เขาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง มองความผ่อนคลายอีกอย่างหนึ่งของเขาอยู่เงียบๆ

เจ้ากระต่ายในชุดนอนฮู้ดสีแดงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางเตียง ใบหน้าใสภายใต้กรอบแว่นยังคงง่วนอยู่กับโน้ตบุ๊คที่วางอยู่ตรงหน้า เดี๋ยวคีย์ข้อมูลด้วยนิ้วเรียวยาวพวกนั้น เดี๋ยวถอยออกไปจ้องหน้าจอตาไม่กระพริบเมื่อโปรแกรมซิมูเลเตอร์เริ่มประมวลผล

ใบหน้าหล่อเหลามองเจ้ากระต่ายแสนรักด้วยสายตาอ่อนโยน เขาก้าวขาขึ้นเตียงก่อนจะสอดตัวเข้าไปแล้วเอาหัวหนุนตักเจ้ากระต่ายไว้ ใบหน้ามนก้มลงมามองเขางงๆ 

“จะนอนแล้วเหรอ?

เจ้ากระต่ายยืดตัวขึ้นอย่างไม่รู้ว่าควรจะเลิกทำงานหรือว่ายังไงดี เขาจึงเอ่ยในขณะที่สายตาก็ยังจ้องไปที่ใบหน้ามนอย่างมั่นคง

“พี่ทำงานต่อไปเถอะ ผมแค่อยากนอนมองพี่อยู่แบบนี้”

“เอางั้นเหรอ?

“อืม”
  
ความรู้สึกของเจ้ากระต่ายในตอนนี้ก็คงเหมือนมีแมวตัวโตที่ชอบมานอนขวางเวลาเราจะทำงาน แต่เขาก็ชอบที่ตรงนี้จริงๆ

ดวงตาลึกซึ้งจ้องมองไฝเม็ดเล็กที่มุมปากของคนที่ยังทำงานต่อไปแม้จะมีสิ่งกีดขวางชิ้นใหญ่ให้ต้องพาดแขนข้ามไป 

กลิ่นหอมอ่อนๆของเจ้ากระต่ายทำให้เปลือกตาของเขาค่อยๆปิดลงราวกับได้รับอโรมาเทอราพี 

เขาซุกหน้าไว้กับหน้าท้องแบนเรียบก่อนจะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ที่ตรงนี้ทำให้อุ่นใจและผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักหนาสาหัสมาขนาดไหน ในอ้อมกอดของกันและกัน ที่หน้าตักของกันและกัน ก็ทำให้หลับตาลงได้เสมอ





มือบางปิดโน้ตบุ๊คก่อนจะถอนหายใจเมื่อพอจะหาทางออกในการปรับแต่งรถสำหรับสนามนี้ได้แล้ว

ไออุ่นที่อบอวลอยู่แถวหน้าอกทำให้ดวงตากลมโตเหลือบมองใบหน้าหลับใหลของคนที่นอนหนุนอยู่บนตัก ไม่เมื่อยหรือไงเนี่ย?

แก้มหมดจดที่แนบอยู่กับหน้าท้องของเขาทำให้รู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ ในใจเหมือนมีกระแสไฟช็อตเบาๆ ความใกล้ชิดที่คุ้นเคยนี้ทำให้นึกอยากจะกอดหัวเจ้าคนหลับอย่างหมั่นเขี้ยวยังไงก็บอกไม่ถูก

นิ้วเรียวแตะลงไปที่ปลายจมูกโด่งอย่างซุกซน นี่ถ้าเจ้าสิงโตดุร้ายรู้ว่าเขาแอบเล่นใบหน้าของตัวเองละก็ คงจับเขาฟัดจนตายกลายเป็นกระต่ายดิ้นพล่านแน่ๆ

ใบหน้ามนเผลอยิ้มก่อนจะก้มลงไปจุ๊บปลายจมูกที่ตนเล่นอยู่อย่างอดไม่ไหวก่อนจะรีบผละออกมาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น แต่หวังอี้ป๋อก็ยังหลับนิ่ง

ลมหายใจยังคงเข้าออกจากจมูกโด่งนั่นอย่างสม่ำเสมอ ดูท่าจะเหนื่อยมากจริงๆ...ที่เขายังใจเย็นอยู่ได้ทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดขนาดนี้ก็เพราะรู้ว่ามีหวังอี้ป๋ออยู่ใกล้ๆ แค่รู้ว่ามีคนพยายามปกป้องเขาแทบตายมันก็ทำให้ไม่กลัวอะไรแล้ว

ใบหน้าที่มองจากด้านบนค่อยๆก้มลงไป...เงาของเขาทาบทับใบหน้าหล่อเหลามากขึ้นเรื่อยๆ...เรื่อยๆ

กลีบปากนิ่มค่อยๆแตะเนิบนาบลงบนกลีบปากบางๆที่เผยอออกน้อยๆ...

แตะนิ่ง เนิ่นนาน

ความรู้สึกเหมือนเยลลี่ค่อยๆแนบเข้าหากัน นุ่มนิ่ม หนึบหนับ หวาน...จนมึนเบลอ

ดวงตาคู่โตปิดลงช้าๆ ค่อยๆดื่มด่ำถลำลึกลงไปอย่างอ้อยอิ่ง

ความนุ่มนวลผสมผสานไปกับลมหายใจอบอุ่น ทั่วหัวใจสัมผัสได้ถึงความรักความโหยหา ถึงแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาแต่ก็ยังร่ำร้องถึงกันไม่อยากห่างไปไหน

เขานึกไม่ออกเลยว่าหลังจากนี้ชีวิตที่ไม่มีหวังอี้ป๋อ เขาจะอยู่ได้ยังไง

กลีบปากนุ่มค่อยๆละออกมาช้าๆอย่างอาวรณ์

ปลายนิ้วละจากปลายจมูกโด่งมาม้วนผมสีน้ำตาลของคนหลับเล่น สายตาของเขายังคงทอดมองใบหน้าสงบของหวังอี้ป๋อด้วยความอ่อนโยน....ทั้งๆที่หล่อขนาดนี้กลับไม่ค่อยถ่ายรูปตัวเอง เอาแต่ถ่ายรูปเขาอยู่นั่นแหละ 

มือบางเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือของหวังอี้ป๋อที่ตกอยู่แถวนั้นขึ้นมาอย่างนึกสนุก แล้วใบหน้าของคนหลับก็เข้ามาอยู่เต็มเฟรม ไม่ได้มีแต่หวังอี้ป๋อหรอกน่าที่รู้ว่ามุมไหนของเขาถ่ายออกมาแล้วดูดีที่สุด เขาก็รู้มุมของอีกฝ่ายเหมือนกัน!


แชะ!


ว้าว นี่มันเทพบุตรชัดๆ

เขามองภาพในมือถือพลางชื่นชมผลงานของตัวเอง ก่อนจะนิ่งคิดเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก

ที่จริง...เขาก็พอจะเดาได้ว่าทีมบอสจอมวางแผนของเขาน่าจะกำลังหาทางจัดการกับเรื่องของเขาอยู่ วันนี้ยังเรียกอี้ป๋อไปคุยด้วยตั้งหลายรอบ ต้องมีอะไรแน่ๆ ถึงจะไม่บอกเขาก็พอจะรู้ว่าน่าจะกำลังหาทางจับตัวคนที่สะกดรอยตามเขา

ถ้างั้น...เขาควรจะเติมเชื้อไฟสักหน่อยดีกว่า?

ปลายนิ้วเรียวจึงกดโพสรูปหวังอี้ป๋อที่กำลังหลับใหลลงในไอจีของเจ้าตัวพร้อมแคปชั่น

สิงโตหลับละ

แน่นอน...ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่นักบิดแห่งทีมยามาฮ่าโพสเอง คอมเม้นต์ที่ไหลมาเทมายิ่งกว่าน้ำหลากนั่นจึงถามรัวๆว่า นี่เซียวจ้านโพสเหรอ? , ฝีมือเซียวจ้านใช่ไหม? , ถ่ายรูปหวังอี้ป๋อออกมาหล่อมาก , มุมเอ็กคลูซีฟสุดๆ , หนุนตักอยู่เหรอ~~ , นึกว่ามีแต่อี้ป๋อที่ถ่ายรูปเซียวจ้าน , น้ำตาลที่ว่าหวานยังไม่เท่าคู่นี้เล้ยบลาๆๆ

ใบหน้ามนยกยิ้มมุมปากร้ายๆก่อนจะนั่งดูผลงานต่อไป

หมอนั่น...ชื่ออะไรนะ? อายัดช่างเถอะ ถ้าหมอนั่นเห็นรูปนี้ก็คงจะนั่งไม่ติดพื้นแน่

โผล่หางออกมาให้คุณหมีนักล่าจับซะโดยดี!










โครม!!


ประตูไม้ผุๆถูกถีบกระเด็นก่อนที่สมาชิกของหน่วยพิรุณสี่ห้าคนจะบุกเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลทราย แต่ร่างสูงใหญ่ของยามาโมโตะ ทาเคชิกลับยืนกอดอกมองอยู่ภายนอก

ดูก็รู้ว่าเขามาไม่ทัน พวกมันหนีไปแล้ว

ใบหน้าคมคายถูกลมทะเลทรายพัดจนเส้นผมสีดำสั้นพันกันยุ่งเหยิง มือใหญ่เพียงเสยเบาๆอย่างไม่ใส่ใจนัก

“นาย ที่นี่น่าจะเป็นเซฟเฮ้าส์จริงๆ ข้างในเหมือนจะเป็นบ้านร้างแต่กลับมีห้องใต้ดินใหญ่มาก แถมมีร่องรอยการประกอบอาวุธเองด้วย มีคราบดินปืนจำนวนไม่น้อยหลงเหลืออยู่”   อีริค มือขวาที่มักจะไปไหนมาไหนกับเขาโผล่หน้าออกจากบ้านมารายงาน เขาทิ้งอีวานคนที่เป็นมือซ้ายไว้กับโกคุเดระเพราะรู้ว่าที่พิตสีแดงนั่นยังอันตรายอยู่

“ค้นให้ทั่ว แล้วบอกข้อมูลชั้นให้หมด”   เพราะร่องรอยที่พวกมันทิ้งเอาไว้จะบ่งบอกได้ว่าเขาจะต้องรับมือยังไง ตอนนี้ที่รู้แน่ๆคือพวกมันมีปืนจำนวนไม่น้อย แล้วก็อาจจะเป็นอาวุธหนักเสียด้วย

“ครับ!”   อีริคหายเข้าไปในบ้านที่เห็นได้ทั่วไปในประเทศแถบทะเลทรายและตะวันออกกลาง อาคารทรงสี่เหลี่ยมชั้นเดียวที่ก่อด้วยบล็อกคอนกรีตง่ายๆแต่ทนลมทะเลยทรายดีนัก ประตูทางเข้าแคบๆและแทบไม่มีหน้าต่างเพื่อป้องกันความร้อน

นัยน์ตาสีเปลือกไม้เหลือบมองรอบกาย ตอนนี้เขาอยู่บนเกาะ Hengam เกาะเล็กๆจนแทบจะมองไม่เห็นบนแผนที่โลกซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศอิหร่าน ถึงจะฟังดูไกลโพ้นแต่ที่นี่กลับไม่ได้ไกลจากเมืองอาบูดาบีของ UAE มากนัก เขาใช้สปีดโบ๊ทข้ามอ่าวเปอร์เซียมาราวๆครึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน ที่นี่ถือเป็นแหล่งกลบดานชั้นยอด บนเกาะร้างที่มีแต่ฝุ่นทรายหาต้นไม้แทบไม่ได้สักต้นพวกนี้มีกระจายตัวอยู่ทั่วอ่าวเปอร์เซีย ต่อให้ใช้เวลาหาสามปีก็ยังหาที่นี่ไม่เจอเลยมั้ง ทั้งแห้งแล้งทั้งกันดาร คนปกติไม่มีทางมาอาศัยอยู่ในที่แบบนี้แน่

ใบหน้าคมคายเงยมองตะวันที่แทบจะตรงหัวพอดี ร้อนชะมัด สองขาจึงเดินทอดน่องเข้าไปในบ้าน ดวงตาคมกริบมองสำรวจในพริบตา

โต๊ะและโซฟาไม่มีฝุ่นจับทั้งๆที่อยู่กลางทะเลทรายแสดงว่าพวกมันยังไปได้ไม่นาน ดีไม่ดีอาจจะไปเมื่อเช้านี้ด้วยซ้ำ

เขาเหลือบมองลูกน้องของอานัส ซัลมานที่ถูกจับตัวมาได้และพวกมันก็เป็นคนชี้เป้าที่นี่ให้

สองคนนี้ไม่ได้โกหก

ร่างสูงใหญ่ในสูทสีดำทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่ได้ผิดหวังหรือเสียดายที่มาช้าไป เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นมืออาชีพ จะให้เขาจับตัวได้ง่ายๆก็คงไม่ใช่ เขาไล่ล่าพวกมือพระกาฬแบบนี้มาจนชินแล้ว บางคนต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะลากตัวออกมาได้

“นาย หาดูรอบบ้านแล้วไม่พบอะไรเลยครับ น่าจะย้ายที่ไปหมดแล้ว แล้วก็ นอกจากดินปืนแล้วไม่พบสารเคมีอื่นครับ”   โอเค อาวุธยังอยู่ในขอบข่ายที่พวกเขารับมือได้ อย่างน้อยก็ไม่มีระเบิดที่พลังทำลายล้างสูง

“อืม ช่างเถอะ นายคิดว่าพวกนั้นมีกี่คน?”

“เกินสิบแน่นอนครับ หมอนั่นน่าจะมีตู้เซฟขนาดใหญ่และต้องใช้แรงเคลื่อนย้ายไม่น้อย ยิ่งถ้าพวกมันจะย้ายที่บ่อยขนาดนี้ก็จำเป็นต้องมีคนช่วยขน”   ซึ่งเขาไม่คิดว่าหมอนั่นจะจ้างแรงงานทั่วไปที่ใช้ประโยขน์อย่างอื่นไม่ได้ แต่คงจ้างพวกทหารรับจ้างมากกว่า

“พวกนายสองคนมีอะไรจะพูดไหม?”   ใบหน้าคมคายหันไปพูดกับลูกน้องของอานัส ซัลมานที่เริ่มมีเหงื่อแตกพลั่กตั้งแต่เหยียบขาลงมาที่นี่แล้วไม่พบใคร

“คือว่า...นายจะเปลี่ยนที่ซ่อนตัวไปเรื่อยๆ...และไม่เคยบอกลูกน้องคนไหนว่าจะย้ายไปที่ไหนเมื่อไหร่...”   ใบหน้าเครียดขมึงไม่กล้าสบตาเขาจึงเอาแต่เสมองพื้น

“ถ้างั้นนายก็ต้องมีวิธีติดต่อกับหมอนั่นสิ?”   เขายังคงถามอย่างใจเย็น

“นายจะเป็นคนส่งโลเคชั่นเซฟเฮ้าส์ที่ใหม่เข้าโทรศัพท์มือถือของพวกเราเอง ด้วยเบอร์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ...”   เฮ้อ...ถ้าต้องยุ่งยากวุ่นวายแบบนี้ เป็นเขาคงไม่ทำหรอก ปวดหัว

“พวกนายโดนจับตัวได้แบบนี้ อานัส ซัลมานยังจะส่งโลเคชั่นมาให้พวกนายอีกหรือไง?”

“เปล่าๆๆ นายน่าจะยังไม่รู้ ว่าพวกเราถูกจับตัวได้แล้ว”   คนตรงหน้ารีบละล่ำละลักบอกเพราะกลัวว่าจะถูกฆ่าถ้าหมดประโยชน์แล้ว

“ทำไม? พวกนายขาดการติดต่อไปก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ปกติพวกเราไม่ได้ติดต่อกันตลอดเวลาอยู่แล้ว เอ่อ หมายถึง...หมายถึง...ยังมีทีมที่กระจายตัวกันคอยจับตาดูเซียวจ้านทีมอื่นๆอีก สองสามวันถึงจะกลับเซฟเฮ้าส์สักที ในระหว่างนี้แต่ละทีมก็จะไม่รู้หรอกว่าทีมอื่นๆอยู่ที่ไหนกัน”

“อ้อ...หมายความว่าต้องรอจนกว่าอานัส ซัลมานจะส่งโลเคชั่นใหม่มาให้สินะ?”

“ชะ ใช่...”   ลูกน้องของอานัส ซัลมานตอบพลางมีเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลจากขมับ เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะโกหกเพียงเพื่อต้องการถ่วงเวลาให้มีชีวิตรอดหรือไม่

“หึ ชั้นละเกลียดจริงๆเกมแมวจับหนูแบบนี้ เห็นทีต้องโทรบอกสึนะให้ส่งคนที่ถนัดการออกล่าที่สุดมาทำซะละม้างงานนี้ ฮะฮะฮะ”   ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ไม่เอาน่านาย เดี๋ยวพวกเราก็โดนขย้ำตายไปด้วยหรอก”  อีริค มือขวาของหัวหน้าหน่วยพิรุณเอ่ยพลางส่ายหน้า

“กลับกันเถอะ หนูมีกี่ตัวก็แค่กลับไปจับมันให้หมด”   ต้องมีสักตัวแหละน่าที่จะพาไปหาบอสมันได้









ยามาโมโตะ ทาเคชิคอยรายงานความเคลื่อนไหวของพวกอานัส ซัลมานให้รู้อยู่ตลอด รวมถึงข่าวน่าผิดหวังที่อุตส่าห์ไล่ตามไปถึงเซฟเฮ้าส์ของพวกมันได้แล้วแท้ๆ แต่พวกมันดันหนีไปซะก่อน!

นักบิดแชมป์ห้าสมัยถึงได้ต้องมานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในพิตสีแดงต่อไป พวกเฟอร์รารี่เองก็กำลังยุ่งสุดขีดอยู่ในช่วงการปรับแต่งรถอย่างเข้มข้น จึงต้องปล่อยพวกวองโกเล่ทำงานอยู่ภายนอกสนามตามลำพัง ต่างฝ่ายต่างช่วยอะไรกันไม่ได้ในตอนนี้...

“หัวเทียน?!!

“ใช่ครับ บอดสนิทเลย”

“อ๊ากกกกก! รีบเปลี่ยนสิ! อะไหล่ตัวละไม่กี่ยูโรเนี่ยนะที่ทำชั้นไมเกรนแทบขึ้นเนี่ยยยย?!”  

นะ...ดูจากเสียงโวยวายลั่นพิตแล้วก็คงรู้ว่าพวกประชากรม้าแดงคงไม่มีเวลาไปช่วยใครได้แน่ๆ ศิษย์พี่ของเจ้ากระต่ายกำลังคุ้มคลั่ง(?)อยู่ข้างๆ SF1000 Raspberry ของคะชู ดูเหมือนเจ้ารถสีแดงนั่นจะมีปัญหามาตั้งแต่ช่วงซ้อมFP3 ฝาครอบเครื่องถูกแกะออกมาเพื่อหาสาเหตุจนลงซ้อมแทบไม่ได้ ตอนนี้ชิ้นส่วนของเจ้ารถสีแดงถูกรื้อกระจุยกระจายและต้องรีบประกอบกลับแล้วถ้าอยากจะควอลิฟายให้ทัน!

“แรงกดๆๆ ชั้นจะไปหาแรงกดจากไหนมาให้นายได้อีก???”   ส่วนทางฝั่ง SF1000 SLAINE ก็วุ่นวายไม่น้อยหน้า เจ้ากระต่ายกระโดดเหยงๆไปมาพลางสั่งทีมแอโร่ไดนามิกของตัวเองคำนวณตัวเลขอะไรบางอย่างให้จ้าละหวั่นเมื่อรถของสเลนลงไปซ้อมแล้วผลกลับไม่ดีอย่างที่คิด แถมควบคุมไม่อยู่เลยไปขูดกำแพงมาจนปีกหลังเบี้ยว...ปีกหน้าพังยังเปลี่ยนใหม่ได้แต่ปีกหลังพังนี่เป็นเรื่องใหญ่เพราะไม่มีให้เปลี่ยน...เอเลน เยเกอร์ เรซเอ็นจิเนียประจำรถคันนั้นจึงวิ่งวุ่นคุมทีมช่างรุมซ่อมกันพัลวัน ขืนใครเข้าไปก่อกวนตอนนี้คงถูกเจ้าลูกหมานั่นพ่นไฟใส่เป็นแน่

เข็มนาฬิกายังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆและเวลาควอลิฟายก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ ตอนนี้ในพิตเฟอร์รารี่จึงดุเดือดอย่าบอกใคร

เขานั่งมองความอลหม่านนั่นจนเกือบลืมเรื่องของอานัส ซัลมานไปเลย มัวแต่ลุ้นกับเจ้ากระต่ายไปด้วยว่าจะซ่อมจะปรับแต่งทันไหม?

ดวงตาคมกล้าจ้องมองนักออกแบบรถมือหนึ่งของเฟอร์รารี่ด้วยความเอ็นดู เจ้ากระต่ายตัวแสบแอบถ่ายรูปเขาตอนหลับ แถมยังโพสลงไอจีของเขาอีก เล่นเอาเขาแทบทำโทรศัพท์ร่วงเมื่อตื่นมาเห็นคอมเม้นต์เป็นล้านในตอนเช้า นึกว่าไอจีถูกแฮ็กซะแล้ว แต่เพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้แหละที่ทำให้เขาพอจะลืมความเครียดไปได้บ้าง

รถทั้งสองคันถูกประกอบและซ่อมในเวลาที่ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ ทีมวิศวกรและทีมช่างจากต่างดาวพวกนั้นสามารถยัดอะไหล่เป็นพันๆชิ้นกลับเข้าที่ได้ภายในไม่กี่นาที

ในที่สุดมันก็เสร็จทันควอลิฟายแบบเส้นยาแดงผ่าแปด!

เจ้ารถสีเพลิงทั้งสองคันถูกปล่อยลงไปวิ่งในควอลิฟาย Q1 ซึ่งจะคัดรถออก 5 คัน แต่ความเร็วทั้งคู่ก็ดูดีจนไม่คิดว่าพวกมันเพิ่งจะผ่านสงครามการซ่อมมาสดๆร้อนๆ แสดงว่าการปรับแต่งได้ผล ในรอบนี้เวลาของทั้งสองคันจึงดีดขึ้นไปอยู่หัวตารางได้ไม่ยาก

แต่ถึงกระนั้นทีมงานจากต่างดาวพวกนี้ก็ยังไม่พอใจ เจ้ากระต่ายหัวโจกน่าจะสั่งปรับแต่งรถอีกไม่ใช่น้อย ทีมวิศวกรที่ยืนเป็นแถวอยู่ที่แผงควบคุมกลางพิตถึงได้สุมหัวปรึกษากันอย่างเมามัน

เพราะฉะนั้นทันทีที่รถทั้งสองคันเข้าพิตมาได้ ทีมช่างก็เข้าไปรุมทันที...นะ...ได้ความเร็วเพิ่มอีก 0.1 วินาทีก็เอา

พวกนักขับก็ไม่ได้นั่งอยู่ในรถเฉยๆ ข้อมูลต่างๆที่ลงวิ่งไปในรอบที่ผ่านมาถูกปริ๊นท์ใส่กระดาษมาให้อ่าน ทั้งจุดเบรกทั้งความเร็วตอนออกจากโค้งถูกวิเคราะห์มาให้เพื่อเป็นข้อมูลในการขับรอบต่อไป ทำยังไงก็ได้ให้เร็วขึ้นอีก

ควอลิฟาย Q2 เริ่มต้นขึ้นและจะคัดรถออกอีก 5 คัน ในรอบนี้พวกเขาต้องคิดคำนวณให้ดี เพราะยางที่ใช้จะส่งผลต่อแผนที่วางไว้ในวันพรุ่งนี้ด้วย ยางที่ใส่ใน Q2 จะต้องใช้ในการออกสตาร์ทในวันแข่ง...พรุ่งนี้ ดูเหมือนพวกเฟอร์รารี่จะอยากใช้ยางมีเดี้ยมในการออกสตาร์ทเพื่อที่จะเข้าพิตครั้งเดียว แต่เวลาที่ยางมีเดี้ยมทำได้จะช้ากว่ายางซอฟท์ เพราะงั้นถ้าทีมอื่นๆใช้ยางซอฟท์ในการควอลิฟายกันหมด พวกม้าลำพองก็ต้องมาปรับแต่งดูว่าจะทำยังไงให้ตัวเองที่ใช้ยางมีเดี้ยมแต่ยังมีความเร็วพอที่จะผ่าน Q2 ไปได้

เพราะงั้นใน Q2 เวลาของเจ้ารถสีแดงจึงอยู่ในช่วงกลางตารางเพราะใช้ยางที่หนากว่าชาวบ้านเค้า

เอาละ ที่ต้องวัดกันจริงๆมันคือใน Q3 นี่ต่างหาก!

ใบหน้าสวยที่มักจะแต่งแต้มเอาไว้ด้วยสีแดงหลับตาลงช้าๆภายใต้หมวกกันน็อคเพื่อทำสมาธิ ถึงจะเห็นว่าคะชู คิโยมิตสึมักจะไม่ยี่หร่ะกับเรื่องอะไรแต่เด็กนั่นก็ยังรู้ว่าเวลาต่อจากนี้ทุกวินาทีคือลมหายใจ จะพลาดไม่ได้ ต่อทั้งชีวิตของตัวเองและคะแนนของทีม

จากไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว ปากทางออกพิตเลนเปิดแล้ว สัญญาณการปล่อยรถเริ่มขึ้นด้วยความลุ้นระทึกของคนดูอย่างเขา  พวกเฟอร์รารี่จะสามารถทำตามแผนการที่วางไว้ได้ไหมก็ขึ้นอยู่กับผลการควอลิฟายในวันนี้นี่แหละ

SF1000 Raspberry ถูกปล่อยออกไปเป็นคันแรกก่อนจะตามมาติดๆด้วย SF1000 SLAINE

แล้วการวิ่งจับเวลาในรอบนี้เจ้าเด็กจากแดนอาทิตย์อุทัยก็ทำได้ดีอย่างเหลือเชื่อ เวลาของคะชู คิโยมิตสึขยับขึ้น P1 ทันทีแถมยังทิ้งห่างจากที่สองอย่างทีมเมอร์ซิเดสถึง 0.7 วินาที!

เจ้าเด็กแสบนั่นไปงัดมาจากไหนเนี่ย?

เท่าที่เจ้ากระต่ายบอกว่าสนามนี้เข้าทางเด็กนั่นดูท่าจะจริง

ส่วนสเลนเวลายังเป็นที่ 3 เพราะฉะนั้น Hot Laps รอบสุดท้ายคงกดดันน่าดู

เวลาใน Q3 เหลืออีก 3 นาที ม้าลำพองทั้งสองคันถูกปล่อยลงสนามไปอีก เขาได้แต่นั่งมองอย่างลุ้นระทึก เขารู้ดีว่าความรู้สึกของนักขับในรถนั่นเป็นยังไง อะดรีนาลีนคงพลุ่งพล่านยิ่งกว่าภูเขาไฟใกล้จะระเบิดเสียอีก

SF1000 Raspberry ที่ออกไปก่อนเริ่มจับเวลาในรอบสุดท้ายแล้ว ดูเหมือนรอบนี้เจ้าเด็กนั่นก็ยังทำเวลาได้ดี แถบสีม่วงซึ่งบ่งบอกว่าทำลายเวลาที่เคยทำได้และเร็วที่สุดในสนามจึงขึ้นในหน้าจอตั้งแต่เซ็กเตอร์แรก

ทว่า...

เมื่อถึงโค้ง 9 เจ้ารถสีเพลิงนั่นก็ดันหลุดโค้งอย่างน่าเสียดาย!

“อ๊าก~~”   เสียงโวยวายอย่างเสียดายดังมาตามวิทยุสื่อสาร

“ไม่เป็นไร เวลารอบที่แล้วที่นายทำไว้ยังดีอยู่”    ทีมบอสวิทยุกลับไป

“บ้าเอ้ย! เบรกช้าไปหน่อย ขอโทษนะ~”   คะชูงอแงท่ามกลางเสียงลมที่แทรกเข้ามา พวกนักขับก็มักจะเป็นแบบนี้ ต้องขอให้ได้ลองจนถึงที่สุด เบรกให้ลึกให้ช้าที่สุดเพื่อรักษาความเร็วในทางตรงไว้ให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ SF1000 Raspberry ยังคงวิ่งอยู่ในสนาม แต่เพราะไปพลาดเมื่อโค้งที่แล้วทำให้การจับเวลารอบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

“จริงสิ! สเลนอยู่ไหนแล้ว? ให้ชั้น tow ให้ไหม? ไหนๆรอบนี้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว”   ทีมวิศวกรในพิตจึงมองหาจุดสีแดงของรถอีกคันบนหน้าจอก่อนจะวอกลับไป

“ตกลง สเลนใกล้จะถึงนายแล้ว ช่วยหน่อยแล้วกัน”   และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งซึ่งม้าลำพองทำงานเป็นทีม

SF1000 Raspberry กลับมาวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่อีกครั้งเมื่อเห็น SF1000 SLAINE เข้ามาอยู่ในระยะที่จะใช้ Slipstream ได้ เจ้าเด็กแสบใช้รถของตัวเองวิ่งปะทะสายลมที่พวยพุ่งเข้ามาทำให้ท้ายรถเกิดอุโมงค์ลมขนาดใหญ่ มันทำให้เกิดลมดูดอานุภาพสูงที่จะทำให้รถคันที่ตามมาในระยะที่พอดีมีความเร็วเพิ่มขึ้น ปกติแล้วพวกเขาจะใช้ในการแซงทีมคู่แข่ง แต่หากใช้ในอีกกรณี พวกเขาก็สามารถใช้มันในการช่วยกันได้

เพราะสลิปสตรีมที่คะชูทำให้ ความเร็วของ SF1000 SLAINE จึงทะยานขึ้น P2 ทันที เร็วกว่ารอบที่แล้วถึง 0.8 วินาที!

“เย้~~~   เสียงเฮดังลั่นพิตม้าลำพองอีกครั้งเมื่อรถทั้งสองคันจะได้สตาร์ทจากแถวหน้า เวลาในรอบก่อนของคะชูยังดีพอที่จะรักษาที่ 1 เอาไว้ได้ พรุ่งนี้เด็กนั่นจึงจะสตาร์ทจากตำแหน่งโพล!










ติ๊ง!

เสียงสัญญาณเตือนที่ดังจากโทรศัพท์เครื่องหนึ่งทำให้ใบหน้าคมคายหันไปมอง

ติ๊ง!

ติ๊ง!

ติ๊ง!

แล้วอีกสามเครื่องที่วางเรียงกันอยู่ก็มีสัญญาณดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน หัวหน้าหน่วยพิรุณของวองโกเล่จึงพยักหน้าให้ลูกน้องเปิดโทรศัพท์มือถือพวกนั้นขึ้นมาดู

“เป็นโลเคชั่นที่เดียวกันหมดเลยครับ แล้วก็ส่งมาจากหมายเลขที่ไม่ระบุชื่อ...หมายเลขเดียวกันหมดเลยด้วย”   อีริคผู้เป็นมือขวาของยามาโมโตะ ทาเคชิรายงานเมื่อเปิดดูครบทั้ง 4 เครื่อง

แสดงว่าเจ้า 4 คนนั่นไม่ได้โกหก...

หลังจากบุกไปเซฟเฮ้าส์ที่เกาะ Hengam แล้วไม่เจอใคร พวกเขาก็กลับมาอาบูดาบีแล้วตามจับลูกน้องของอานัส ซัลมานได้อีกสองคน พวกมันต่างพูดเหมือนกันเป๊ะ...ว่าให้รอ...แล้วเดี๋ยวอานัส ซัลมานก็จะส่งโลเคชั่นเซฟเฮ้าส์ใหม่มาให้เอง

“คราวนี้อยู่ที่ไหน?”   เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกน้อง

“....เมืองดาห์รานของซาอุดิอาระเบีย แต่อยู่ฝั่งอ่าวเปอร์เซีย ใกล้ๆบาห์เรนครับ”  

“บาห์เรน?”

“ครับ”

“..........”    ใบหน้าคมคายนิ่งคิดเมื่อได้ฟังว่าฐานที่ตั้งเซฟเฮ้าส์ใหม่นั่นอยู่ที่ไหน ถึงสมัยตอนเรียนม.ปลายเขาจะไม่ได้เก่งเรื่องภูมิศาสตร์นักแต่พอต้องมาตามจับพวกคนที่ขัดผลประโยชน์กับวองโกเล่มากๆเข้า แผนที่โลกมันก็เข้ามาอยู่ในหัวเอง

ถ้าอยู่ใกล้ๆประเทศบาห์เรนก็แสดงว่า...จากนี่ไปดาห์รานอย่างน้อยก็ใช้เวลาเป็นวันๆเลยนะ? ไม่ว่าจะใช้เรือหรือขับรถฝ่าทะเลทรายก็แทบไม่ต่างกัน แล้วก็ ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่นี่เขาไม่มีทางกลับมาช่วยทันแน่ๆ กว่าจะไปกว่าจะกลับอีก

อีกอย่าง...อานัส ซัลมานที่จ้องจะจับตัวเซียวจ้านแต่กลับไปกลบดานซะไกลปานนั้น....?

“ตามไปเลยไหมครับนาย?”   ลูกน้องเอ่ยถามเมื่อเขานิ่งคิดไปนาน เสียงทุ้มจึงเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“อืม ไปสิ”












Yas Marina Circuit สนามสุดท้ายของฟอร์มูล่าวันนั้นมีความพิเศษที่แตกต่างจากสนามอื่น ที่นี่เป็น Twilight race เพียงหนึ่งเดียวของปฏิทินการแข่งขัน นั่นก็คือจะเริ่มแข่งตอนเย็น...ในระหว่างที่พระอาทิตย์กำลังตกดินไปเรื่อยๆ...และเมื่อตะวันลาลับขอบฟ้า...การแข่งขันก็จะจบพอดี...

เรียกว่ามีทั้งตอนที่ยังมีแสงแดดและตอนที่มืดแล้ว อีกอย่าง เราจะได้เห็นพระอาทิตย์ยามเย็นดวงกลมโตสีแดงที่ค่อยๆลับหายลงไปในขอบทะเลทรายกว้างใหญ่โดยมีรถฟอร์มูล่าวันวิ่งผ่านก็เฉพาะที่สนามนี้เท่านั้น

เพราะงั้น แม้แต่วันควอลิฟาย กว่าพวกเขาจะได้กลับโรงแรมไปพักก็เข้าช่วงหัวค่ำไปแล้ว

และด้วยเรื่องความปลอดภัย เขากับเจ้ากระต่ายจึงกลับโรงแรมมาพร้อมกับโกคุเดระ ฮายาโตะและรีไวผู้ปกครอง...

เขาก็เคยสงสัยนะ ว่าให้เขานั่งรถบัสกลับพร้อมลูกทีมของเฟอร์รารี่ที่มีคนอย่างต่ำก็ 20 คนมันจะไม่ปลอดภัยกว่าเหรอ? 20คนยังไงก็ดีกว่ามาแค่4คนป่ะ?

แต่เปล่าเลย เจ้าฝูงม้าต่างดาวพวกนั้นกลับส่ายหน้าทันทีแล้วบอกว่า ถ้าให้ไปแข่งฟิสิกส์โอลิมปิกละก็พวกตนชนะแน่ แต่ถ้าให้ไปไล่ตีกับใคร ต่อให้มีพวกตน50คนก็ยังสู้โกคุเดระกับรีไวมือเปล่าไม่ได้เล้ย...

ดวงตาคมกล้าลอบมองสองคนที่ตัวไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลยซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้า...รู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป?

อืม...ผู้ชายตัวใหญ่ๆที่เหมือนบอร์ดี้การ์ดคนนั้นไม่อยู่แล้วเหรอ? ถ้ายามาโมโตะ ทาเคชิไม่อยู่เขาก็มักจะเห็นผู้ชายคนนั้นอยู่ข้างๆโกคุเดระเสมอ?

“.........”   เขายังคงลอบมองโกคุเดระ ฮายาโตะอย่างสงสัยแต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามยังไง

“.....อีวานถูกไอ้หมีบ้าเรียกตัวกลับไปแล้ว ให้ไปจับหนูในทะเลทรายอะไรสักอย่าง”   ห๊ะ? นี่พูดกับเขาหรือเปล่า? แล้วอีวานนี่คือชื่อของผู้ชายที่เหมือนบอร์ดี้การ์ดคนนั้น? เป็นเพราะเริ่มคุ้นเคยกับเจ้านักขับหัวเงิน เขาเลยเริ่มเข้าใจบทสนทนาไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้มากขึ้น?

แต่จากสิ่งที่โกคุเดระ ฮายาโตะพูดมาแสดงว่ายามาโมโตะ ทาเคชิออกไปตามหาแหล่งกลบดานของอานัส ซัลมานอีกแล้วสินะ? คราวนี้อยู่ในทะเลทรายเหรอ? แสดงว่ามีแนวโน้มว่าจะเจอตัว? ถึงได้เรียกลูกน้องคนสนิทที่น่าจะฝีมือดีไปด้วย

แหงละ ถ้าไม่ใช่คนสนิทที่มีฝีมือมีหรือจะไว้ใจให้มาคุ้มกันแฟนตัวเอง

คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ได้แต่ภาวนาว่าคราวนี้จะจับอานัส ซัลมานได้สักที

ติ๊ง!

เสียงลิฟท์ดังขึ้นเมื่อเขามาถึงชั้นที่เป็นห้องพัก

“ขอบคุณครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”   เขาหันไปค่อมหัวให้นักขับในตำนานของเฟอร์รารี่และนักขับมือหนึ่งคนปัจจุบัน สองคนนั้นพักอยู่ชั้นบนขึ้นไปอีก







เขาพาเจ้ากระต่ายกลับถึงห้องพักโดยสวัสดิภาพ แต่ร่างโปร่งบางกลับยืนนิ่งอยู่หลังบานประตู สองขายังไม่ยอมก้าวเข้ามา ใบหน้ามนก้มมองพื้นพรมก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ

“.....เราต้องคอยหลบๆซ่อนๆแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กันนะ?”    เป็นคำถามที่ทำเอาเขาปวดใจไปด้วย เจ้ากระต่ายไม่ได้ทำอะไรผิด เขาไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วทำไม...

ร่างสูงสง่าเดินกลับไปหาร่างโปร่งบาง มือใหญ่ดึงต้นคอระหงให้ใบหน้ามนซบมาที่หัวไหล่...กลับจากสนามก็ต้องอุดอู้อยู่แต่ในโรงแรม ยิ่งกำลังเครียดๆก็จะยิ่งคิดมากไปกันใหญ่ แล้วปกติเวลาไปแข่งที่ไหน พวกเขาก็มักจะใช้เวลาช่วงเย็นไปเดินเล่นกันสองคนตลอด แค่ได้เดินดูบ้านเมืองดูผู้คน มันก็ทำให้มีความสุขแล้ว

“จ้านเกอ”  

“หื๋ม? จะอาบน้ำเหรอ? นายอาบก่อนเลย”   ใบหน้ามุ่ยละออกไปจากหัวไหล่เขา

“เปล่า ออกไปเดินเล่นกันไหม?”   บางครั้งเขาก็มีอารมณ์อยากจะวิ่งหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด อะไรจะเกิดก็ช่างมัน ขอแค่ได้หลุดจากสภาวะเหมือนจะหายใจไม่ออกในตอนนี้ก็พอ

“ห๊ะ? ไปได้เหรอ?”   สีหน้าหม่นหมองของเจ้ากระต่ายสดใสขึ้นมาทันที

“ถ้าเป็นแถวๆนี้ก็ได้อยู่หรอก”   มือใหญ่ละเรื่อยลงไปจับมือบางเอาไว้

“ไป!   เจ้ากระต่ายคงอึดอัดเต็มที เมื่อเขาชวนจึงตอบรับทันที

“ต้องปลอมตัวไหม?”

“มีของที่จะใช้ปลอมตัวด้วยเหรอ?”   เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ แค่อีกฝ่ายยิ้มออกมาได้เขาก็ดีใจแล้ว

“.....อืม...น่าจะมีนะ มาด้วยกันหน่อยสิ”    แล้วเจ้ากระต่ายก็ลากเขาไปห้องพักของคะชู คิโยมิตสึก่อนจะได้ถุงกระดาษใบหนึ่งมา...

“อะไรน่ะ? วิก?”   ใบหน้าหล่อเหลาชะโงกหน้าไปมองของในถุงที่มือบางค่อยๆดึงมันออกมา ผมปลอมยาวเป็นลอนของผู้หญิงปรากฏแก่สายตา

เดี๋ยว...ทำไมคะชู คิโยมิตสึถึงได้มีวิกผมยาวติดตัวล่ะ???

แล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของเขาก็ทำให้เจ้ากระต่ายหัวเราะก่อนจะช่วยเฉลยให้

“เจ้าเด็กแสบนั่นแอบหนีออกจากบ้านประจำไง ไอ้เรื่องปลอมตัวเดี๋ยวผมสั้นเดี๋ยวผมยาวให้แฟนตัวเองจับไม่ได้เนี่ย งานถนัดของคิโยมิตสึละ”   อ้อ...หนีออกไปเที่ยวยังไงให้ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะจับไม่ได้สินะ...เหมาะสมกันมากจริงๆคู่นี้!

“นายจะใส่ไหม?”

“ผมไม่ใส่”   เขาตอบไปแทบจะไม่ต้องคิด

“ง่ะ งั้นก็ต้องเป็นชั้นใส่สิ?”   เอาจริงๆไม่ต้องใส่ก็ยังได้ แต่เขาก็ไม่คิดจะคัดค้านหรอก

เขานั่งมองเจ้ากระต่ายใส่วิกผมยาวนั่นอย่างเก้ๆกังๆ ใส่ผมปลอมไม่พอยังลงทุนถอดแว่นใส่คอนแท็คเลนส์แทนอีกแหน่ะ...แต่เอาจริงๆนะ

น่ารักชะมัดเลยโว้ยยยย!!!

เขาถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดปากก่อนจะเสหน้าหนีเพราะไม่อยากให้เจ้ากระต่ายเห็นเขาเสียอาการ แต่มันไม่ไหวแล้ว เจ้ากระต่ายน่ารักมากกกกกกก!!

“ถ้าไม่ดูดีๆก็คงไม่มีใครรู้แล้วมั้ง?”   เจ้ากระต่ายหมุนตัวกลับมายิ้มให้เขาอย่างไม่คิดอะไร แต่เขานี่สิเกือบจะเลือดกำเดาพุ่งตาย...เย็นไว้หวังอี้ป๋อ...ตอนนี้นายกำลังเครียดกำลังกังวลเรื่องแฟนนายจะถูกลักพาตัว เขาพยายามสะกดจิตตัวเองไว้...

มือบางสวมหมวกแก๊ปเพื่อช่วยบดบังใบหน้าด้วย ปลายผมยาวเป็นลอนอ่อนๆพลิ้วไหวน้อยๆ

“เรียบร้อย! ไปกันเถอะ!”    เจ้ากระต่ายส่งมือมาให้เขาจับ เขายิ้มให้ก่อนจะพากันออกไป









ในขณะที่ลิฟท์ตัวขวาลงมาถึงชั้นล็อบบี้ ลิฟท์ตัวซ้ายก็กำลังเคลื่อนที่ขึ้นบนสวนกันพอดี

ประตูลิฟท์ตัวขวาเปิดออก หวังอี้ป๋อก็ดึงปีกหมวกแก๊ปสีดำลงมาปิดบังใบหน้ามากขึ้น มือใหญ่จับมือบางก่อนจะเดินออกไป ตอนนี้ทั้งคู่ดูเหมือนคู่รักนักท่องเที่ยวชายหญิงธรรมดาๆคู่หนึ่งซึ่งไม่มีใครสนใจว่าจะไปไหน

พวกเขาแค่เดินเล่นเลาะริมอ่าว สูดกลิ่นน้ำทะเลจางๆไปเรื่อยๆ...เรื่อยๆ....


ติ๊ง!


ประตูลิฟท์ตัวซ้ายค่อยๆเปิดออก คนที่ยืนอยู่ในนั้นเป็นเพียงนักธุรกิจที่มาเจรจาการค้า...อย่างน้อยก็ในสายตาของคนทั่วไป...

ชายคนนั้นลากกระเป๋าเดินทางขนาดกลางมาด้วยหนึ่งใบ การเจรจาธุรกิจอาจจะต้องใช้เวลาหลายวัน...อย่างน้อยก็ในสายตาของคนทั่วไป...

แต่นักธุรกิจในสายตาของคนทั่วไปก็ไม่ควรจะมาหยุดลิฟท์อยู่ที่ชั้นนี้ ชั้นที่ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยท่อและแท็งก์เก็บน้ำที่ใช้เลี้ยงโรงแรมอย่างน้อยก็ครึ่งโรงแรม...

ร่างในสูทภูมิฐานลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในชั้นเซอร์วิสของงานระบบสุขาภิบาล ชั้นนี้เต็มไปด้วยแท็งก์เก็บน้ำดีที่ใช้แจกจ่ายลงไปยังชั้นล่างๆ โรงแรมในUAEไม่ว่าจะที่ดูไบหรืออาบูดาบีล้วนสร้างมาไม่นานและมีความทันสมัยมาก ชั้นที่เป็นส่วนงานระบบจะแทรกอยู่เป็นระยะๆเพื่อให้บริการแขกได้ทันท่วงที และทุกระบบจะควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์เป็นหลัก

ชายคนนั้นหยุดยืนอยู่หน้าประตูที่จะเข้าสู่ส่วนที่เป็นแท็งก์น้ำ  กระเป๋าเดินทางถูกเปิดออกอย่างใจเย็น

ปืนเก็บเสียงถูกดึงออกมา...


ปัง ปัง ปัง!


แน่นอนว่ามันแทบไม่มีเสียง ระบบสแกนลายนิ้วมือพังยับทันที นี่เป็นปืนที่ประกอบเอง อานุภาพมันจึงรุนแรงเท่าที่ใจต้องการ ถึงแม้จะไม่ค่อยทนทานก็เถอะนะ

มือที่มีขนปกคลุมตามสไตล์คนตะวันออกกลางโยนปืนกระบอกนั้นทิ้งก่อนจะหยิบกระบอกใหม่ออกมาจากกระเป๋าเดินทาง


ปัง ปัง ปัง!


ตัวแท็งก์ของที่นี่ก่อขึ้นมาเป็นพิเศษไม่ได้ใช้แท็งก์สำเร็จรูปเหมือนบ้านทั่วไปเพราะฉะนั้นปืนพกจึงทำลายมันได้ยาก แต่กับตรงวาล์วสำหรับเปิด-ปิดน้ำแล้วไม่ใช่ จุดอ่อนของพวกมันก็คือส่วนข้อต่อเหมือนชุดเกราะนั่นแหละ

น้ำค่อยๆหยดลงมานองพื้นและอีกไม่นานตัวตรวจวัดก็คงจะร้องเตือน

ชายที่แต่งตัวไม่ต่างจากนักธุรกิจเก็บปืนใส่กระเป๋าเดินทางก่อนจะลากมันออกไปจากที่นั่นเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น...










อาบูดาบีก็เหมือนเมืองอื่นๆของ UAE ที่ตั้งอยู่ริมทะเลของอ่าวเปอร์เซีย เพราะพื้นที่ในแผ่นดินล้วนเป็นทะเลทรายที่ไม่เหมาะต่อการอยู่อาศัย คลองที่ลัดเลาะไปตามหมู่ตึกสูงใหญ่พวกนี้จึงเป็นน้ำจากทะเลแทบทั้งนั้น มันจึงมีกลิ่นเค็มจางๆและมีสีเขียวมรกตงดงาม

ร่างสองร่างเดินเคียงข้างไปตามทางเดินเลียบริมน้ำ ตึกสูงในอาบูดาบีล้วนถูกสร้างขึ้นมาใหม่ๆด้วยฝีมือสถาปนิกชื่อดัง มันจึงทั้งสวยทั้งทันสมัย แสงไฟที่ประดับประดาทั้งบนบกและในน้ำต่างถูกคิดมาอย่างดีมันจึงเหมือนพวกเขาเดินอยู่ในเมืองใหญ่แต่กลับไม่มีคนเยอะแยะวุ่นวาย ที่นี่เดินเล่นได้สบายอย่างไม่น่าเชื่อ

สายลมเย็นๆพัดมาปะทะใบหน้า เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแบบนี้มาหลายวันแล้ว เอาจริงๆประเทศนี้มีความปลอดภัยสูงมาก เขานึกไม่ออกเลยว่าอานัส ซัลมานจะบุกเข้ามาจับตัวเจ้ากระต่ายไปท่ามกลางตำรวจ UAE ที่ขับซุปเปอร์คาร์ไล่จับคนร้ายได้ยังไง แถมกฏหมายของที่นี่ก็แรงมากเสียด้วย

“อี้ป๋อ ตรงนั้นมีตลาดด้วย? เราเข้าไปดูได้ไหม?”   เจ้ากระต่ายหันมาถามเขาอย่างไม่แน่ใจ ตาใสๆกับใบหน้าอ้อนๆในกรอบผมยาวแบบนี้ใครกล้าปฏิเสธก็ไม่ใช่คนแล้ว!

“อื้อ”   เขาพยักหน้ารับราวกับตกอยู่ในภวังค์

เขาคอยมองตามร่างโปร่งบางที่เดินเข้าไปก้มดูของกระจุกกระจิกมากมายที่วางขายอยู่ ตรงนี้มีตลาดพื้นเมืองโบราณที่ผสมผสานวัฒนธรรมของตะวันออกกลางแบบดั้งเดิมกับความเป็นอาหรับซ่อนอยู่ มีทั้งของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเสื้อผ้าแบบอาหรับ ของฝาก ของที่ระลึก น้ำหอม เจ้ากระต่ายเดินจากร้านนี้ไปร้านนั้นด้วยความเพลิดเพลิน

มือบางหยิบผ้าคลุมหัวลวดลายแบบอาหรับขึ้นมาถามเขาว่าสวยไหม? เขายิ้มให้ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ บรรยากาศแบบคู่รักที่มาเดินช็อปปิ้งกันปกติทั่วไป จะว่าพวกเขาปลอมตัวแนบเนียนหรือยังไงก็ไม่แน่ใจ แต่เขาไม่รู้สึกเลยว่ามีคนสะกดรอยตามเขาอยู่?

“กระเบื้องเคลือบนี่สวยจัง ซื้อไปฝากพวกนั้นด้วยดีไหม?”   นิ้วเรียวแตะลงไปที่ที่ติดตู้เย็นกระเบื้องเคลือบลายอาหรับสีสันสดใสดูแปลกตาไม่เหมือนใคร

“พวกนั้นก็มาที่นี่ด้วย จะต้องซื้อฝากด้วยเหรอ?”   ก็มาด้วยกันแท้ๆเนี่ยนะ?

“อ่ะ! ลืมเลย! นึกว่าอยู่กับพวกดูคาติ ฮ่าๆๆ”   เจ้ากระต่ายยิ้มเขินๆ พวกเขาเคยชินกับการซื้อของแปลกๆกลับไปฝากพวกพิตเฟอร์รารี่ไปแล้ว

ร่างโปร่งบางหมุนตัวเดินต่อไป ถึงจะอยู่ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเครียดแต่เขาก็ยังยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเจ้ากระต่ายที่เดินท่ามกลางร้านขายแพรไหมหลากสี ผ้าเหล่านี้มีทั้งที่ตัดเป็นชุด เป็นผ้าคลุมผม ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ร้านที่ไล่เรียงละลานตานั่นสวยงามอย่าบอกใคร โดยเฉพาะเมื่อมีเจ้ากระต่ายเดินอยู่ในเฟรม

เขาอยากจะเก็บภาพทุกช่วงเวลาของเราสองคน ไม่ว่าตอนที่มีความสุขหรือตอนที่ทุกข์ใจ ไม่ว่าจะตอนไหนขอเพียงแค่เราอยู่ด้วยกัน

พวกเขาเดินเล่นไปเรื่อยๆจนกระทั่งทะลุออกไปที่ลานริมน้ำอีกฝั่ง แสงไฟนวลๆทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ดูเหมือนแถวนี้ก็จะมีศิลปินที่รับวาดรูปอยู่ด้วย เพียงแต่มันไม่ใช่ภาพวาดที่เขียนลงกระดาษธรรมดาๆ แต่ว่ามันเป็นการสักเฮนน่า

เจ้ากระต่ายหยุดยืนมองอยู่ไกลๆ เขารู้ว่าอีกฝ่ายสนใจ แต่ที่ไม่ยอมเข้าไปคงเป็นเพราะส่วนใหญ่คนที่สักเฮนน่ามีแต่ผู้หญิงละมั้ง?

“อยากทำไหม?”   เสียงทุ้มถามออกไป ใบหน้ามนหันมามองเขาตาพริบๆ เขาจึงเอื้อมมือไปจับมือบางแล้วจูงเข้าไปร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ถึงเจ้ากระต่ายจะเป็นวิศวกรแต่ก็เป็นวิศวกรสายศิลปะจึงสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้วทำไมเขาจะไม่รู้

ไหนๆวันนี้ก็ปลอมตัวมาซะขนาดนี้แล้ว อยากทำก็ทำไปเถอะ เขายินดีจะตามใจเพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น

เจ้ากระต่ายยังคงหันมามองเขาอย่างไม่แน่ใจ แต่เขาก็พยักหน้าหนักแน่นว่าไม่เป็นไร ร่างโปร่งบางถึงได้ยอมนั่งลงไปบนเก้าอี้

ถึงจะเรียกว่าการสักแต่จริงๆเฮนน่าก็คือบอร์ดี้เพ้นท์หรือศิลปะการวาดลวดลายบนร่างกายนั่นแหละ เพียงแต่สีที่ใช้จะเป็นสีโทนเดียวกับการสักถาวร จึงทำให้เฮนน่าดูเหมือนรอยสัก แต่เป็นรอยสักที่อ่อนหวานและจางหายไปเองได้

เขายืนมองอยู่ข้างๆส่วนเจ้ากระต่ายเองก็เหลือบมองเขาตลอด มือข้างซ้ายค่อยๆถูกถุงสีที่เหมือนถุงใส่ครีมแต่งหน้าเค้กเพ้นท์เป็นลวดลายอย่างชำนาญ

จากปลายนิ้วนาง...ลวดลายเถาดอกไม้อ่อนช้อยค่อยๆไล่ลามไปยังข้อมือ

ผิวขาวๆค่อยๆถูกแต่งแต้มอย่างวิจิตรบรรจง

มุมปากของเจ้ากระต่ายยิ้มน้อยๆยามเมื่อหลุบตาลงไปมองหลังมือของตน แสงไฟนวลตาส่องกระทบใบหน้ามน

ถ้าเปลี่ยนจากหมวกแก๊ปเป็นผ้าคลุมผม เจ้ากระต่ายคงกลายเป็นสาวอาหรับที่สวยมาก


แชะ!


เขาก้มมองภาพในมือถือ...ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ชีวิตของเขาก็ถือว่ามันคุ้มค่าแล้วจริงๆ

คุ้มค่าที่ได้รักคนตรงหน้า

คุ้มค่าที่ได้รักเซียวจ้าน




“พี่รู้ไหม เจ้าสาวชาวอินเดียจะมีการสักเฮนน่าตามร่างกายในคืนก่อนวันจัดพิธีแต่งงานด้วย และจะเรียกคืนนั้นว่า Night of Henna”   เขาเอ่ยบอกในขณะที่กำลังเดินกลับโรงแรมด้วยกัน เจ้ากระต่ายยกมือขึ้นมาส่องกับแสงไฟ ใบหน้ามนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดูท่าทางจะชอบจริงๆ

“เพราะงั้น...พรุ่งนี้เรามาแต่งงานกันดีไหมครับ จ้านเกอ?”   ใบหน้าหล่อเหลาหันไปยิ้มหยอกเย้า

“........”    แก้มใสค่อยๆขึ้นสีแดงระเรื่อ เจ้ากระต่ายอายม้วนก่อนจะยกมือมาตีเขาแก้เขิน

“นายนี่มัน ขนาดเกิดเรื่องแบบนี้ก็ยังจะคิดเรื่องแบบนั้นได้อีกนะ”   เจ้ากระต่ายแสร้างทำหน้างอ

“แล้วก็! ไม่เอาหรอก! ถ้าแต่งงานแบบอินเดีย ชั้นก็ต้องเป็นฝ่ายไปขอนายสิ? ชั้นไม่อยากเสียค่าสินสอด”    เขาแทบจะขำพรืดออกไป เจ้ากระต่ายขี้งกเอ้ย ทุกวันนี้ก็แทบจะไม่ได้ใช้เงินตัวเองอยู่แล้วแท้ๆ

“ต้องแต่งแบบที่ชั้นจะได้สินสอดจากนาย เพราะหม่าม้าเตรียมคิดเอาไว้แล้วว่าจะเรียกจากนายเท่าไหร่ หม่าม้าเลี้ยงชั้นมาดีเลิศขนาดนี้รับรองว่านายหมดตัวแน่ๆ หึๆๆ”   เขาอมยิ้มในขณะที่มองอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ เลี้ยงมาดีจริงๆนั่นแหละถึงได้เจ้ากระต่ายบ๊องไม่เหมือนใครแบบนี้ออกมา

“ถึงแล้ว”   เขาหันไปพยักหน้าให้บอร์ดี้การ์ดของเขาที่เดินตามอยู่ห่างๆ พวกนั้นจึงกระจายตัวกันเฝ้าอยู่รอบๆโรงแรม

แล้วในขณะที่ก้าวขาเข้าไปในล็อบบี้ เขาก็จับความรู้สึกวุ่นวายหน่อยๆบางอย่างได้

“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ?”   เขาตรงเข้าไปถามพนักงานต้อนรับ

“เอ่อ...ไม่มีอะไรมากครับ แค่ท่อน้ำรั่ว ทางเรากำลังแก้ไขอยู่ครับ คุณลูกค้าสามารถใช้น้ำได้ตามปกติครับ เรามีระบบสำรองน้ำอยู่ครับ”   พนักงานก้มหัวให้เพื่อขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น

“ครับ...”   เขาตอบรับก่อนจะพาเจ้ากระต่ายกลับห้องพัก ท่อรั่ว? มันก็เป็นเรื่องที่เกิดได้ทั่วไป คงไม่มีอะไร?






.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.


แง๊ ขออภัยที่หายไปนาน จริงๆอยากแต่งให้จบแล้วลงทีเดียว แต่ดูสภาพแล้วน่าจะอีกนาน ^ ^” งั้นก็ทยอยลงตามปกติดีกว่า TvTb 

นอกจากงานรุมเร้าแล้วคุณกวางมันก็ยังแอบอู้ไปทำห้องให้เด็กน้อยด้วยค่ะ // ฟ้อง // คือเห็นห้องที่ป๋อถ่ายโฆษณา Swarovski แล้วชอบมาก อยากมีไว้ให้เด็กในบ้าน555+ ก็เลยแอบลอกซะเลย


แต่ข้างหลังเอาตราประจำตัวยามะตัน (ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ)มาใส่แทน >////<




อันนี้ถ่ายไว้ตอนวันเกิดป๋อ ขอบคุณพ่อที่ทำให้หลงรักหลานจ้าน หลานวั่งจี หานกวงจิน นะค้า // มีความคิดว่าจะปั่นฟิคมาลงให้ทัน แต่ก็ไม่ทัน555

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆการติดตามมากๆๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น