ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 26


ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 26

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค




ร่างสูงสง่าของนักบิดแชมป์ห้าสมัยหมาดๆก้าวขาเดินฉับๆอยู่ในสนามบิน ด้วยหุ่นราวกับนายแบบและใบหน้าหล่อเหลาซึ่งสวมแว่นกันแดดเอาไว้ยิ่งทำให้ดูเท่ห์จนทุกคนต้องเหลียวมอง ยิ่งข้างกายมีชายหนุ่มหน้าตาน่ารักมากเดินอยู่ไม่ห่างก็ยิ่งกลายเป็นจุดรวมสายตา ปกติพวกเขาสองคนไปไหนก็มีแต่คนมองอยู่แล้วแต่วันนี้ยิ่งถูกมองมากกว่าเดิมหลายเท่า

นั่นก็เพราะว่ารอบๆตัวมีชายฉกรรจ์สวมสูทสีดำเดินประกบไม่น้อยกว่าสิบคนน่ะสิ! แล้วเจ้าพวกนี้ดูก็รู้ว่าเป็นตัวอันตราย สภาพเขากับเจ้ากระต่ายตอนนี้ก็เลยเหมือนนายหัวของคุ้มอะไรสักอย่างที่กำลังเดินทางไปท่องเที่ยว...

เขาเดินทางมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติอาบูดาบีโดยสวัสดิภาพท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาของมาเฟียในสูทสีดำซึ่งทำให้เขากับเจ้ากระต่ายโดดเด่นยิ่งกว่าดาราจีนชื่อดังบางคนเสียอีก พวกวองโกเล่ส่งเขาขึ้นเครื่องบินจากอิตาลีแล้วก็ยังมีบางส่วนมารอรับที่สนามบินอาบูดาบีอย่างที่คาด พวกนั้นจะคุ้มกันเขาไปส่งจนถึงสนามแข่งและเขาเชื่อว่าในพิตสีแดงนั่นต้องมีคนของวองโกเล่แอบแฝงอยู่ด้วยแน่ๆ

แต่เขาไม่แปลกใจเลยที่วองโกเล่กับเฟอร์รารี่ต้องทำถึงขนาดนี้...นั่นก็เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในถิ่นของศัตรูโดยแท้ อาบูดาบีอยู่ในตะวันออกกลางและอยู่ใกล้ดูไบแค่ร้อยกว่ากิโลเมตรเท่านั้น


ผมยังมีงานทางนี้เลยไปกับพวกคุณไม่ได้ แต่ยามาโมโตะ ทาเคชิอยู่ที่นั่น คุณไม่ต้องกลัว


นั่นคือสิ่งที่ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะบอกกับเขา ครึ่งหนึ่งเขาก็วางใจแต่อีกครึ่งหนึ่งก็ยังกังวล ก็ขนาดเพชฌฆาตมือหนึ่งของวองโกเล่ต้องมาเองแบบนี้แสดงว่าพวกนั้นต้องประเมินแล้วว่าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงมาก

ถ้าอันตรายขนาดนั้นไม่ให้เจ้ากระต่ายมาที่นี่เสียตั้งแต่แรกไม่ดีกว่าเหรอ? ถ้าแค่จะให้ช่วยปรับแต่งรถ เจ้ากระต่ายดูผ่านจอก็ยังปรับแต่งได้เลย


คุณต้องไปอยู่กับพวกเฟอร์รารี่ให้ไวที่สุด การอยู่ตามลำพังไม่ว่าที่ไหนในโลกไม่ใช่เรื่องปลอดภัยสำหรับพวกคุณเลยในตอนนี้ คุณจำเป็นต้องพึ่งพากลุ่มคนที่ไว้ใจได้และมีกำลังมากพอที่จะปกป้องพวกคุณ


และคำพูดของยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะคำนี้ก็ทำให้เขาตัดสินใจมาที่นี่ อีกอย่าง การได้อยู่กับพวกพ้องก็จะทำให้เจ้ากระต่ายไม่เครียดจนเกินไปด้วย

เพราะตอนนี้จ้านเกอรู้เรื่องหมดแล้ว...ว่ารอบกายตัวเองเกิดอะไรขึ้น...

ลีมูซีนสำดำสนิทกำลังพาเขากับเจ้านักออกแบบรถมือหนึ่งของเฟอร์รารี่ไปส่งยังสนาม Yas Marina Circuit ระยะทางจากสนามบินไปสนามแข่งนั้นไม่ได้ไกลเลยแต่ความกังวลใจและหวาดระแวงไปหมดทุกอย่างก็ทำให้ทุกการเดินทางดูห่างไกลเสียเหลือเกิน

ภายในรถมีเพียงความเงียบงัน หลังจากที่เขาค่อยๆเล่าให้เจ้ากระต่ายฟัง คิ้วเรียวก็ขมวดเป็นปมมาตลอด เขาเองก็มีเรื่องต้องคิด สายตาจึงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่มีเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่าของทะเลทราย

“อี้ป๋อ...”   แล้วจู่ๆเสียงนุ่มก็ทำลายความเงียบ เขาจึงหันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล

“ครับ?”

“นาย...อยู่ใกล้ๆชั้น...นายจะไม่ปลอดภัยไปด้วยหรือเปล่า?...ที่จริง...หมอนั่นต้องการตัวชั้นแค่คนเดียว...”   ฟันกระต่ายกัดริมฝีปากจนเขาต้องเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ก็เพราะหมอนั่นต้องการตัวพี่ ผมยิ่งไม่มีวันยอม”   ใบหน้ามนหน้านิ่วคิ้วขมวด มือบางเอื้อมมาสอดประสานเข้ากับนิ้วทั้งห้าของเขาก่อนจะจับมือเขาเอาไว้แน่น ต่างคนต่างกังวลเพราะเป็นห่วงกันและกัน

“ชั้นก็อยากจะบอกให้นายอยู่ห่างๆชั้นไว้อยู่หรอก อยากจะก้าวออกมาจากชีวิตนายเพื่อให้นายปลอดภัย”

“แต่ว่าชั้นก็ทำไม่ได้...”

“ชั้นไม่อยากอยู่ห่างจากนาย ไม่อยากแยกกันแม้แต่วินาทีเดียว ถึงจะรู้ว่านายอาจจะเป็นอันตรายไปด้วยแต่ชั้นก็...”   เจ้ากระต่ายระบายความในใจออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด แต่เขากลับดีใจที่อีกฝ่ายคิดแบบนี้

“พวกเราควรจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน เราไม่ใช่คนสองคนแล้ว แต่เราเป็นคนคนเดียวกัน   เขายกมือบางที่ยังจับไว้ขึ้นมาจูบเบาๆ

“เรื่องของพี่ก็คือเรื่องของผม เรื่องของผมก็คือเรื่องของพี่ ผมดีใจนะที่พี่ไม่คิดจะผลักไสผมออกไปจากปัญหาที่พี่เผชิญอยู่”   

ตราบลมหายใจสุดท้ายก็ยังอยากจะเดินไปด้วยกัน

“นายรู้ไหม...ก่อนหน้านี้ชั้นไม่เคยกังวลเลยว่าจะถูกใครทำร้าย แต่พอมันทำให้ต้องแยกจากนาย ชั้นก็กลัวขึ้นมา...”

“ชั้นติดนายมากไปเหรอ? ชั้นรักนายมากไปเหรอ? แค่อยากจะอยู่กับนายตลอดไป ชั้นขอมากไปเหรอ?”   ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นเงยมองเขาด้วยแววตาราวกับจะร้องไห้ทำเอาใต้แผ่นอกซีกซ้ายถึงกับเจ็บแปลบ

มือใหญ่ดึงหัวสีดำมาซบที่ไหล่ ความรู้สึกของเขาก็แทบไม่ต่างกัน

แค่อยากจะอยู่กับอีกฝ่ายไปจนกว่าโลกจะสลาย

พวกเขาขอมากไปตรงไหน

ในใจได้แต่ร่ำร้องขอเพียงสถานที่อันสงบสุขที่จะอยู่ด้วยกันโดยไม่มีใครมาทำร้ายมาทำให้แยกจากกันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ใบหน้ามนสูดน้ำมูกเบาๆอยู่ที่ไหล่ มือใหญ่จึงดันตัวบางออกช้าๆ ปลายนิ้วซับน้ำตาเม็ดหนาที่กำลังจะหยดลงมาทางหางตากลมโตให้ เขาสงสารเจ้ากระต่ายจับใจ ทำไมพวกเขาต้องมาเจอกับเรื่องบ้าบอแบบนี้ ทำไมต้องมาทรมานเพราะไอ้บ้านั่นด้วย

“พี่ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล ผมจะอยู่ข้างๆพี่ จะคอยจับมือพี่เอาไว้แบบนี้ ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหน ผมก็จะไม่มีทางปล่อยมือเด็ดขาด”   เขายกมือที่ยังจับกันไว้แน่นขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู

“จะไม่ให้กังวลได้ไง...พวกนั้นมีปืน มีอาวุธที่จะเอาชีวิตเราได้ เราไม่ได้สู้อยู่กับทีมแข่งรถแต่เราสู้กับมาเฟีย แถมพวกเรายังอยู่ในที่แจ้ง ไม่รู้เลยว่าพวกนั้นจะเข้ามาทำร้ายเราตอนไหน...”   พวกเขาเสียเปรียบจริงๆนั่นแหละ เพราะการที่ต้องคอยระวังตัวตลอด 24 ชั่วโมงแบบนี้มันเหนื่อยมาก มันทำให้จิตใจอ่อนล้า พอจิตใจเริ่มไม่ไหว ร่างกายก็จะไม่ไหวตามไปด้วย

แต่โลกก็แสนกว้างใหญ่ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าถูกอานัส ซัลมานจับตาดูอยู่แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆว่าจะไปลากตัวหมอนั่นออกมาจากที่ไหน ไอ้บ้านั่นมันหลบไวยิ่งกว่าหนูสกปรกตามท่อน้ำโสโครกเสียอีก

“จ้านเกอ...ถ้าพี่เหนื่อยพี่ต้องบอกผมนะ เราจะปล่อยให้มันคุกคามจิตใจของเราไม่ได้เด็ดขาด”   เขาหันไปบอกคนที่นั่งซบหน้าพิงไหล่เขาไว้

“อื้ม”   เสียงนุ่มตอบรับในลำคอเบาๆ ตอนนี้...เขาถึงได้รู้ว่าคิดถูกแล้วจริงๆที่พาเจ้ากระต่ายมาหาพวกเฟอร์รารี่ ถ้าอยู่กับเขาสองคนพวกเราอาจจะเอาแต่คิดมากแล้วก็วิตกจริตซ้ำๆจนกลายเป็นบ้า อย่างน้อยถ้าได้เจอเพื่อนๆในพิตสีแดง สภาพจิตใจของเจ้ากระต่ายก็น่าจะได้รับการเยียวยาบ้าง

“...อันที่จริง นายบอกให้ชั้นรู้ตัวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ชั้นจะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกล่า ชั้นจะต้องหาทางรับมือกับมัน ขอชั้นคิดก่อนว่าจะทำอะไรมาป้องกันตัวได้บ้าง”   ใบหน้าหล่อเหลาพอจะยิ้มบางๆออกมาได้บ้าง อย่างน้อยเจ้ากระต่ายของเขาก็ไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายๆและการที่อีกฝ่ายฮึดสู้มันก็ทำให้เขามีแรงมีกำลังใจไปด้วย

“แหวนกับแว่นตานี่พี่ห้ามถอดเด็ดขาดเลยนะ ท่านCEOปีศาจของพี่ถึงกับใช้เส้นสายลับๆเพื่อให้บริษัทที่ทำสัญญาณติดตามตัวสามารถค้นหาสัญญาณได้ทั่วโลกถึงแม้จะเป็นน่านฟ้าปิดอย่างบางประเทศในตะวันออกกลางหรือเอเชียก็ตาม”   ถึงแม้ว่าเงินลงทุนเขาจะเป็นคนจ่ายก็เถอะนะ

“เข้าใจแล้ว”   เจ้ากระต่ายพยักหน้าพอดีกับที่รถเลี้ยวเข้าไปในสนามยาร์ดมาริน่าเซอร์กิตก่อนจะจอดลงที่หน้าทางเข้าแพดด็อก ความรู้สึกเหมือนกำลังได้กลับบ้านทำให้อาการดาวน์ๆทั้งหลายค่อยๆผ่อนคลาย เขามองเข้าไปในช่องสำหรับสแกนบัตร เหมือนยืนอยู่หน้าบ้านของเจ้ากระต่ายก็ไม่ปาน

“จ้านจ้าน!!”    แล้วเสียงตะโกนเรียกตั้งแต่ที่พวกเขายังไม่ทันจะได้ก้าวขาเข้าไปก็ทำให้ร่างกายชะงักค้าง

ทั้งเขาทั้งเจ้ากระต่ายเงยหน้ามองลูกทีมเฟอร์รารี่ที่กำลังโบกมือให้จากด้านในแพดด็อก

จู่ๆหัวใจก็รู้สึกอุ่นวาบ...

“จ้านจ้าน! นายกลับมาแล้ว! เย้!”   ใบหน้าที่ฉาบไล้ไปด้วยรอยยิ้มของประชากรม้าลำพองที่วิ่งจากหลังพิตมารับพวกเขาสองคนทำให้เขาเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว

อ่า...ความรู้สึกที่คนในครอบครัวมาต้อนรับเรากลับบ้านมันเป็นแบบนี้นี่เอง...

อุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก...

เขากับเจ้ากระต่ายไม่ได้สู้อยู่ตามลำพัง แต่ยังมีพวกนั้นอยู่ด้วย

“จ้านจ้าน~ ชั้นคิดถึงนายมากเลย~”   เป็นคะชู คิโยมิตสึที่โถมกอดเจ้ากระต่ายทันทีที่สแกนบัตรเข้าไปได้ ใบหน้าเหมือนลูกแมวนั่นถูไถไปตามไหล่บางๆของแฟนเขา

“พอพวกวองโกเล่โทรมาบอกบอสว่ารถพวกนายเข้ามาในสนามแล้ว พวกเราก็คอยชะเง้อคอมองตลอดเลย อะไรเนี่ย? ทำไมตาแดงๆล่ะ? ร้องไห้เหรอ? หมอนี่แกล้งนายเหรอ?”   เล็บสีแดงชี้มาทางเขา น่าแปลกที่คำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ของเจ้าเด็กแสบนั่นกลับทำให้ความอึดอัดที่อยู่ในใจของพวกเขามาตลอดการเดินทางดูเหมือนจะเบาบางลงไป

คิดถูกแล้วจริงๆที่มาที่นี่...

“บัตร VIP ของคุณครับ”   สเลน ทรอยยาร์ดยื่นบัตรวีไอพีของพิตเฟอร์รารี่ให้เขา เขาจึงเข้าสนามได้ในวันที่ให้เฉพาะทีมแข่งเข้าแบบนี้

“ไปที่พิตกันเถอะ บอสรอนายมาถึงก่อนค่อยเริ่มประชุมวางแผนของสนามนี้”   คะชูควงแขนเจ้ากระต่ายเดินนำออกไป และทันทีที่ก้าวขาเข้าไปในพิตสีแดงที่คุ้นตาได้...

“อ๊ากกกก จ้านจ้าน! ในที่สุดนายก็มา!!! เรื่องชำแหละเครื่องยนต์ดูคาตินายค่อยเล่าให้ชั้นฟังวันหลังนะ แต่ตอนนี้นายต้องช่วยชีวิตลูกชายชั้นก่อน~~”  หมายถึงรถสองคันที่จอดอยู่ในพิตนั่นสินะ? ศิษย์พี่ของเจ้ากระต่ายแหกปากวิ่งโวยวายเข้ามาหาจนเขาต้องขยับหนี วิศวกรสาวหัวกระเซิงท่าทางเพี้ยนๆนั่นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด แต่มันก็เป็นความคุ้นเคยที่ทำให้เขาสบายใจยังไงชอบกล

“จ้านจ้านมาแล้วเหรอ?! หึ! เมอซิเดสก็เมอซิเดสเถอะ! จะฆ่าให้หมดด้วยรถไร้เทียมทานของเรา!”   เอเลน เยเกอร์หันไปตะโกนใส่พิตข้างๆด้วยใบหน้าเหมือนลูกหมากำลังหาเรื่อง คงจะเก็บกดมานาน

เขามองเจ้ากระต่ายที่ถูกรุมล้อมด้วยประชากรม้าแดงอยู่กลางพิตด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ ที่นี่ยังคงอบอุ่นเสมอ เป็นบ้านที่พร้อมจะอ้าแขนรับพวกเรากลับมาเสมอ

ความไม่สบายใจ...พอจะบรรเทาลงได้เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของคนในครอบครัว

เขาเข้าใจมันแล้ว...


ร่างสีแดงของคนสองคนเพิ่งเดินเข้าหลังพิตมา เขาจึงหันไปมองก่อนจะพยักหน้าให้คุณรีไวกับโกคุเดระ ฮายาโตะที่เพิ่งกลับมา ร่างบางๆของเจ้านักขับมือหนึ่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะจ้องมาตาไม่กระพริบ

“หมีแพนด้ากลับมาแล้วเหรอ?”   ห๊ะ? หมีแพนด้าอะไร? เดี๋ยว? หมอนี่ยังไม่เลิกมองเขาเป็นไอ้หมีลายทางนั่นอีกเหรอ??

แต่ยังไม่ทันจะได้โต้เถียง เจ้านักขับหัวเงินนั่นก็เดินจากไปแล้ว...

“ต้องขอบคุณที่ช่วยดูแลเจ้าตัวยุ่งของเราให้นะ นายคงเหนื่อยแย่เลยสิฤดูกาลที่ผ่านมา”   เอลวิน สมิธขยับมายืนข้างๆเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เสียงทุ้มราบเรียบเอ่ยออกมา ดวงตาสีฟ้านั่นทอดมองเจ้ากระต่ายของเขาด้วยความเอ็นดูเสมอ

“ไม่เหนื่อยเลยครับ ผมสนุกมาก”   เขาอมยิ้มในขณะที่พูด

“อ้อ ยังไม่ได้ยินดีกับแชมป์สมัยที่ห้าของนายเลย ยินดีด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ”   เขาผงกหัวรับ ยังคงคิดเรื่องเดิมซ้ำๆว่าดีจริงๆที่กลับมาที่นี่

“เอาละๆ เซียวจ้านมาแล้ว เตรียมเข้าประชุมกันได้แล้ว”   ทีมบอสตบมือเรียกทำให้กลุ่มก้อนสีแดงที่ยืนเม้าท์มอยกันอยู่กลางพิตค่อยๆสลายตัว

“เดี๋ยวชั้นเข้าประชุมก่อน นายรออยู่ที่มอเตอร์โฮมก็ได้”   เจ้ากระต่ายหันมาบอกเขา ใบหน้าหล่อเหลาจึงพยักรับเบาๆ เขาวางใจได้เพราะที่นี่น่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว ร่างสูงสง่าจึงเดินออกจากพิตไป








มือบางเลื่อนเก้าอี้สีแดงตัวหนึ่งออกก่อนจะนั่งลงไปในห้องประชุมที่คุ้นเคย ตำแหน่งที่นั่งของทุกคนก็ยังเป็นเหมือนเดิมเขาจึงไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองจากที่นี่ไปถึงหนึ่งปี

ในการแข่งขันเอฟวันแต่ละสนามใช่ว่าพวกเขาจะแค่ทำรถๆแล้วก็ลงแข่งๆ แต่มันยังมีหลายสิ่งหลายอย่างยิ่งกว่านั้นมาก หนึ่งในนั้นก็คือการวางแผนที่จะใช้ในแต่ละสนาม บางสนามมีแผนตั้งแต่ Plan A ยัน Plan Z  พวกเขาจำเป็นต้องตกลงกันไว้ก่อนว่าแผนแต่ละแบบจะเป็นยังไง เพื่อไม่ให้แผนรั่วไหลเวลาที่สื่อสารผ่านวิทยุ ทีมอื่นๆจะได้จับไม่ได้ด้วย รวมไปถึงกฎที่ไม่ให้ทีมวิศวกรสอนนักขับมากเกินไปเมื่ออยู่ในสนาม เพราะงั้นแผนแต่ละแบบจะลงลึกถึงรายละเอียดว่าจะให้นักขับปรับเซตติ้งรถบนพวงมาลัยกันยังไงเลยทีเดียว และพวกนักขับเอฟวันก็จะต้องจำแผนทั้งหมดนั่นให้ได้

“มากันครบแล้วนะ?”   ทีมบอสเฟอร์รารี่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ทั้งสองฝั่งของโต๊ะประชุมถูกแบ่งออกอย่างชัดเจนว่าฝั่งไหนเป็นของรถคันไหน

“อย่างที่รู้กันว่าคะแนนประเภททีมผู้ผลิตของเรานำเมอร์ซิเดสอยู่แค่ 6 แต้ม แต่ถ้าพวกนั้นได้แชมป์สนามนี้ เราก็จบทันที”   เพราะที่1 กับที่2 ของการแข่งขันฟอร์มูล่าวันนั้นแต้มต่างกันอย่างโหดร้ายมาก ที่1จะได้25คะแนน ส่วนที่2ได้แค่18คะแนน

“เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงเราก็ต้องส่งรถอย่างน้อยหนึ่งคันให้เป็นแชมป์สนามนี้ให้ได้ ส่วนอีกคันก็ต้องมีอันดับที่สูงกว่ารถมือสองของเมอร์ซิเดสด้วย ถึงเซียวจ้านจะกลับมาช่วยทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แต่แค่ศักยภาพรถอย่างเดียวอาจจะไม่พอ ทีมวางแผนของสนามนี้อาจจะต้องวางกลยุทธ์เผื่อเหตุการณ์ต่างๆด้วย”   ปัจจัยภายนอกไม่ว่าจะลมฟ้าอากาศ เซฟตี้คาร์ ธงแดง ธงเหลืองอาจจะต้องนำมาคิดทั้งหมด

“ครับ”   ในขณะที่หัวหน้าทีมวางแผนพยักหน้ารับ โกคุเดระ ฮายาโตะนักขับมือหนึ่งของทีมกลับยกมือขึ้น

“ว่าไงฮายาโตะ?”   เสียงราบเรียบของบอสเอ่ยเรียก

“ให้คิโยมิตสึขับแทนชั้น”   แล้วจู่ๆเจ้าของใบหน้าสวยทว่าเย็นชาก็เอ่ยคำพูดสั้นๆที่ทำเอาทั้งห้องถึงกับอึ้งแดกไปตามๆกัน จู่ๆนักขับมือหนึ่งก็จะโยนไปให้นักขับสำรองขับแทนเนี่ยนะ? มีที่ไหนกัน? ปกติมีแต่จะแย่งกันทำผลงานเพื่อตำแหน่งตัวจริงมากกว่าสิ

“เพื่อทีม...ให้คิโยมิตสึขับแทนชั้น”   เจ้านักขับหัวเงินยังคงพูดสั้นๆและไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมเหมือนเดิม แต่เป็นเพราะว่าอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี ไม่ว่าจะเป็นการพูดผ่านกระแสจิตหรือคำพูดไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้ ทุกคนในทีมกลับเข้าใจได้ซะงั้น

ดวงตาคู่โตทอดมองเจ้าเด็กหัวเงินนั่นอย่างนับถือ เรื่องหัวจิตหัวใจต้องยกให้หมอนี่จริงๆ เพราะการทำแบบนี้คือการเสียสละเพื่อทีมมาก เจ้าฮายาโตะรู้ดีว่าทุกแต้มในตอนนี้มีค่า แล้วก็รู้ดีด้วยว่าร่างกายของตัวเองเป็นยังไง ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นซึ่งหาได้ยากที่ใครจะยอมรับได้

เพราะจริงอยู่ที่ว่าฝีมือของโกคุเดระ ฮายาโตะนั้นไม่มีข้อกังขา เจ้าเด็กหัวเงินเก่งที่สุดในบรรดานักขับทั้งสามคนของทีมและเขากล้าพูดว่าเก่งที่สุดในวงการเอฟวันตอนนี้แล้ว ถ้าพวกเขาวางแผนจะให้หมอนั่นเป็นแชมป์ของสนามนี้ หมอนั่นก็จะหาทางขับจนเป็นแชมป์ให้จนได้...แต่นั่นคือในกรณีที่โกคุเดระ ฮายาโตะได้ลงสนามจริงๆ...

เพราะหากอาการบาดเจ็บที่ขาเกิดกำเริบแบบไม่บอกกล่าวขึ้นมา...ทุกอย่างก็จบทันที แผนที่วางไว้ก็จะพังทั้งหมด การจะเปลี่ยนรถหรือเปลี่ยนตำแหน่งที่มาร์กกันไว้ในเวลาอันสั้นนั้นอาจจะไม่ได้ผลเลยก็เป็นได้

และเจ้าฮายาโตะก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี

สนามที่ทีมต้องการแต้มเป็นอย่างมากและต้องแน่นอนนี้ เจ้าเด็กหัวเงินเลยคิดว่าให้คะชูขับแทนตนน่าจะดีกว่า

เพราะที่ผ่านมาคะชูมักจะทำผลงานได้ลุ่มๆดอนๆไม่สุดฝีมือเนื่องจากส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากการที่ต้องเตรียมรถแบบฉุกละหุก บางครั้งยังไม่ทันจะได้ปรับแต่งให้เหมาะกับเจ้าตัวก็ต้องเอารถลงสนามแล้ว จะขับได้ไม่เต็มที่มันก็ไม่แปลก

แต่ถ้ากำหนดให้เจ้าเด็กแสบนั่นลงไปเลยตั้งแต่ต้น มีเวลาปรับแต่งรถให้เหมาะกับคะชูไปเลยตั้งแต่แรก ผลงานอาจจะแตกต่าง

“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้ ให้คะชูลงแทนโกคุเดระ”   ทีมบอสสรุปด้วยเสียงจริงจังอีกครั้ง

“ขอบใจนายมากนะ ฮายาโตะ”   เอลวิน สมิธหันไปพยักหน้าให้นักขับมือหนึ่งของตัวเอง

ตั้งแต่รีไวเลิกขับไป โกคุเดระ ฮายาโตะก็เป็นที่หนึ่งมาตลอดและการที่คนเก่งระดับนี้จะยอมวางมือให้คนอื่นขับแทน นั่นหมายความว่าเจ้าฮายาโตะจะต้องเชื่อใจคิโยมิตสึมาก

ต้องเชื่อใจและเชื่อในฝีมือว่าคนคนนั้นจะเก่งพอที่จะแทนที่ตัวเองได้

“....ดูจากซิมูเลเตอร์แล้ว...พวกนายคิดว่ายังไง?”   ทีมบอสเริ่มการประชุมต่อ

“คิโยมิตสึเร็วกว่าแล้วก็ขับถนอมยางได้ดีกว่า สนามนี้น่าจะเข้าทางเจ้าเด็กนั่น”   วิศวกรคนหนึ่งเอ่ยออกมาซึ่งเขาดูจากผลการขับซิมูเลเตอร์แล้วก็เห็นด้วย

“แต่ผมกลับคิดว่าคนที่ต้องไปยึดตำแหน่งแชมป์ของสนามนี้ให้เราน่าจะต้องเป็นสเลน”   ทีมแผนลองเสนอซึ่งทุกคนในห้องก็พยักหน้า สนามนี้ที่ทุกคะแนนมีค่า ทีมเวิร์คจึงมีความสำคัญมาก

ต้องมีรถหนึ่งคันที่เป็นแชมป์ แต่อีกคันก็จะอันดับต่ำกว่าที่สามไม่ได้ ทั้งสองคันต้องช่วยกัน

คะชูน่าจะเอาตัวรอดได้เพราะเป็นสนามเข้าทางสไตล์การขับของตัวเอง แต่สเลนดูท่าแล้วจำเป็นที่ต้องให้คะชูช่วย และในท้ายที่สุดคนที่ขับแบบรับแรงกดดันได้มากที่สุดก็คือสเลน เป็นคนที่ต่อให้ถูกไล่จี้ก็ไม่วอกแวกง่ายๆ เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุในช่วงท้ายๆจากการถูกทีมอื่นตามติดก็จะน้อยตามลงไปด้วย

“งั้นพวกนายก็ลองวางแผนดูแล้วกันว่าต้องเรียกใครเข้าพิตตอนไหน”   ทีมบอสให้การบ้านทีมวางแผนไปทำต่อในคืนนี้

“ครับ”

“เซียวจ้าน นายเริ่มปรับแต่งรถคะชูเลยก็แล้วกัน อาจจะต้องคุยกับทีมวางแผนว่าจะให้ลากยางไปจนถึงรอบไหน แผนตั้งต้นตอนนี้เอาเป็นว่าจะให้คะชูคอยบล็อกเมอซิเดสไว้ตอนสเลนเข้าพิตไปก่อนก็แล้วกัน”

“อื้อ”    เขาพยักหน้ารับ เพราะการปรับเซตติ้งรถมีผลต่อการกินยางระหว่างแข่งค่อนข้างมาก SF1000 Raspberry นั่นจะวิ่งไปถึงรอบที่ต้องการไหมก็ขึ้นอยู่กับการปรับแต่งรถของเขาด้วย

“พวกนายสองคนก็ต้องขับแบบมีวินัยหน่อยล่ะสนามนี้ ห้ามชนก่อนจบเด็ดขาด”    บอสหันไปบอกนักขับทั้งสองคนที่แบกความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงไว้บนไหล่

“ครับ”   สเลน ทรอยยาร์ดตอบรับด้วยรอยยิ้มแหยๆ

“คร้าบ~ ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าโดนคนอื่นสอยตูดเอามันก็เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”   ต่างจากเจ้าเด็กแสบที่ตอบด้วยรอยยิ้มสนุกสนานมากกว่าจะสะทกสะท้าน

“นายก็อยู่ให้มันห่างๆจากรถคันอื่นสิ~ อย่าไปเบียดกับเค้า~ อย่าให้ใครสอยเอาได้เข้าใจไหม~ หื๋ม?~”   มือใหญ่ๆของบอสวางลงไปบนหัวสีดำเหลือบแดงก่อนจะบีบมันอย่างคาดโทษที่ก่อกวน

“เข้าใจแล้วๆ!”   ใบหน้าสวยโฉบเฉี่ยวสะบัดไปมาให้พ้นมือทีมบอสปีศาจ

“ฝั่งเครื่องยนต์ล่ะ มีปัญหาอะไรไหม?”   ทีมบอสหันไปถามศิษย์พี่ที่กำลังขีดๆเขียนๆภาษาต่างดาวลงไปในสเก็ตที่ราวกับมาจากนอกโลก  สเก็ตของเขาที่ใช้ภาษาอิตาลีผสมกับภาษาจีนว่ามึนงงแล้ว สเก็ตของศิษย์พี่ที่เป็นภาษาละตินผสมกับรหัสมอร์สเพื่ออะไรก็ไม่รู้นั่นยิ่งพิสดารกว่า

“ห๊ะ? นายว่าอะไรนะเอลวิน?”   บอสถึงกับถอนหายใจก่อนจะหันไปถามมือขวาของศิษย์พี่แทน

“เครื่องยนต์ไม่น่ามีอะไรครับ เหลือเช็คเกียร์บ็อกที่โกคุเดระเอารถไปอัดกำแพงเมื่อสนามที่แล้วมานั่นแหละว่ายังดีพอให้คิโยมิตสึใช้ได้ไหม”  

“....เกียร์บ็อก? หมดโควต้าแล้วใช่ไหม? เปลี่ยนไม่ได้แล้วด้วยนี่? ห้ามโดนปรับปริดสตาร์ทเด็ดขาด รีบซ่อมซะ”

“ครับ”

“ถ้างั้นก็เลิกประชุมเถอะ จะได้แยกย้ายกันไปทำงาน วันนี้วันจันทร์ยังพอมีเวลา”

“รับทราบ!









นักบิดแห่งทีม Monster Yamaha เดินจากพิตม้าลำพองก่อนจะข้ามไปยังมอเตอร์โฮมของเฟอร์รารี่ ชั้นล่างส่วนใหญ่จะใช้รับรองแขก VIP เขาจึงหลีกหนีความวุ่นวายโดยการเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองซึ่งส่วนใหญ่คนในทีมมักใช้เป็นที่นั่งเล่นพักผ่อน ชั้นนี้จึงมีทั้งโซฟา โต๊ะกินข้าว อุปกรณ์สันทนาการต่างๆ รวมถึงห้องพักของนักขับทั้งสามคนก็อยู่ที่ปีกของชั้นนี้ด้วย

แต่ในเวลานี้บรรดาหัวกะทิของทีมเฟอร์รารี่กำลังประชุมอยู่ ส่วนลูกทีมที่เหลือก็เตรียมอะไหล่อยู่ในพิตกัน ห้องที่เต็มไปด้วยโต๊ะเก้าอี้สีแดงนี้จึงว่างโล่ง

โล่งพอจะให้เขามองเห็นแผ่นหลังกว้างของใครบางคนได้อย่างชัดเจน...

แผ่นหลังนั้นอยู่ในสูทสีดำสนิทซึ่งกำลังเอนพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ...ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่นี่จริงๆด้วย

ยามาโมโตะ ทาเคชิ...สายฝนที่โหดเหี้ยมที่สุดของวองโกเล่

คนคนนี้น่าจะเป็นคนเดียวที่เขาไม่เคยคุยด้วยถึงจะเห็นหน้าค่าตากันมาบ้าง แต่ตอนนี้ห้องทั้งห้องว่างโล่งและไม่มีใครอื่นอีก ถ้าเขาจะเดินไปนั่งที่โซฟาอีกตัวโดยไม่เข้าไปทักคนที่กำลังเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อเขากับเจ้ากระต่ายก็คงจะดูเสียมารยาทไปหน่อย ร่างสูงสง่าจึงเดินไปนั่งลงที่โซฟาชุดเดียวกับที่หัวหน้าหน่วยพิรุณของวองโกเล่นั่งอยู่

ใบหน้าคมคายเงยขึ้นมายิ้มให้เขาด้วยท่าทางสบายๆ ส่วนเขาก็พยักหน้าให้อีกฝ่ายโดยไม่ได้พูดอะไร

“นาย...สนิทกับยาสึซาดะสินะ?”   ยามาโมโตะ ทาเคชิเป็นฝ่ายคุยกับเขาก่อนด้วยสีหน้าของคนอารมณ์ดี ผู้ชายคนนี้ให้ความรู้สึกเย็นๆเหมือนสายฝน ดูไม่รู้เลยว่าเป็นนักฆ่าที่โหดที่สุดของวองโกเล่

“...จะเรียกว่าสนิทหรือยังไงดี...มีผลประโยชน์ร่วมกันแบบนั้นน่าจะตรงกว่า”   ที่สัญญาณติดตามตัวของพวกเฟอร์รารี่สามารถใช้ในประเทศคอมมิวนิสต์หลายๆประเทศในแถบเอเชียได้ล้วนเป็นเพราะเขาแทบทั้งนั้น และนั่นก็ทำให้เส้นสายของยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะกว้างขวางมากขึ้นด้วย

เขายักไหล่ก่อนจะทิ้งตัวลงไปพิงโซฟาบ้าง เพราะยามาโมโตะ ทาเคชิไม่ได้ปล่อยจิตสังหารออกมาเลยเขาจึงไม่เกร็งและสามารถทำตัวตามสบายเหมือนตอนอยู่กับพวกเฟอร์รารี่ได้

“เห็นอานัส ซัลมานแล้วชั้นนึกถึงหมอนั่นขึ้นมาเลย ฮะฮะ”   ใบหน้าคมคายหัวเราะออกมา

“หมอนั่น? ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะน่ะเหรอครับ?”   ถึงจะคุยกันบ่อยๆแต่เขาก็เพิ่งเคยได้ยินคนอื่นพูดถึงยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะก็ครั้งแรกนี่แหละ

“ใช่สิ เจ้าเด็กนั่นน่ะ ทำเรื่องปวดหัวไว้ให้ชั้นเยอะเลย เรียกว่าไม่ฟังอะไรทั้งนั้น วองโกเล่ยังเอาแทบไม่อยู่ มีสายตาไว้มองแค่สิ่งเดียวเท่านั้น”   เสียงทุ้มเอ่ยราวกับกำลังพูดเรื่องของลูกหลานก็ไม่ปาน

“คะชู คิโยมิตสึ?”

“ใช่”   เพิ่งรู้เลยนะเนี่ยว่าเจ้าคนที่ช่วยเขามาตลอดนั่นแสบสันจนแม้แต่ผู้ปกครองอย่างยามาโมโตะ ทาเคชิยังส่ายหน้า

“เพราะงั้นชั้นจึงรู้วิธีจัดการคนอย่างยาสึซาดะดีที่สุด”   เสียงทุ้มพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นๆ หมายถึงวิธีที่ใช้จัดการอานัส ซัลมานด้วยสินะ?

“ต้องทำยังไง...ครับ...?”

“ฆ่าซะ”   แล้วถ้อยคำที่ยามาโมโตะ ทาเคชิพูดออกมาก็ทำให้เขาชะงักค้าง

“....! ฆ่า?!...”   เขาตะโกนออกไปด้วยความตกใจ ถึงจะโกรธแค้นหมอนั่นมากมายแต่เขาก็เป็นแค่คนธรรมดา เรื่องจะฆ่าคนตายเนี่ยแทบไม่ได้คิด

“คนแบบหมอนั่น...ถ้าไม่ตายก็จะไม่เลิกยุ่งกับเป้าหมายของตัวเอง เป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่ง”   ใบหน้าคมคายยังคงพูดด้วยรอยยิ้มเย็นๆราวกับเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน...ตอนนี้เขารู้ซึ้งถึงกระดูกดำแล้วว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นอาชญากรโดยแท้ มันทำให้เขาเริ่มตะขิดตะขวงใจว่าการพึ่งพามาเฟียมันถูกต้องแล้วจริงๆน่ะเหรอ?

เขามีสิทธิ์ที่จะสงสัย มีสิทธิ์ที่จะเลือกทางที่ถูกต้อง

“เอ่อ....แล้วนี่...พวกคุณทำยังไงกับยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ? เค้าก็ยังไม่ตายไม่ใช่เหรอ?”   ไปทำอิท่าไหนถึงเอามาใช้งานได้แบบนั้น?

“ก็อย่างที่ชั้นบอกนาย ว่าคนประเภทนี้ถ้าไม่ได้เป้าหมายมาครอบครองเค้าจะไม่หยุดเด็ดขาด ก็ถือว่าโชคดีไปที่เป้าหมายของเจ้าเด็กนั่นดันรักเด็กนั่นด้วย”   .....เพราะคะชู คิโยมิตสิก็รักยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ? เรื่องเลยจบด้วยการที่ไม่ต้องฆ่ากันตาย?

“นายอาจจะสงสัย อาจจะคลางแคลงใจ ว่าวิธีการของพวกชั้นมันถูกต้องหรือเปล่าสินะ?”   หัวหน้าหน่วยพิรุณยิ้มอย่างไม่ถือสา

“ก็...”

“ชั้นจะไม่บอกให้นายยอมรับหรอกนะ เพราะวิธีการของพวกชั้นมันเป็นแค่หนึ่งในวิธีเอาตัวรอดเท่านั้นเอง ถ้าหากมีทางที่ดีกว่านี้นายก็ทำเถอะ”   มือใหญ่เอื้อมมาบีบไหล่เขาเบาๆ ผู้ชายคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ผ่านอะไรมามากมาย ไม่ได้ตั้งแง่กับคนที่คิดต่างจากตัวเอง เพียงแต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาน่าจะเลวร้ายพอที่จะหล่อหลอมให้ยามาโมโตะ ทาเคชิจำเป็นต้องเป็นแบบนี้

เส้นทางของเขาอาจจะเป็นถนนว่างเปล่าให้ขับรถฝ่าไป แต่เส้นทางของผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นทะเลเลือด...สิ่งที่ต้องเจอมันต่างกัน เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ตัดสินว่ามันผิดหรือถูก

เรื่องสำคัญตอนนี้คือทำยังไงให้เจ้ากระต่ายของเขาปลอดภัย


“ดูเหมือนหนูจะโผล่หัวออกมาแล้ว...”   จู่ๆใบหน้าคมคายก็ยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี ถึงเขาจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องอะไรแต่เขาก็สังเกตเห็นมาตลอดตั้งแต่นั่งลงตรงนี้ว่าเพชฌฆาตมือหนึ่งของวองโกเล่คอยเหลือบมองแหวนที่สวมอยู่เสมอ

“เอาละ ได้เวลาออกล่าแล้ว”   ร่างสูงใหญ่ในสูทและเชิ้ตสีดำไม่สวมเนคไทลุกขึ้นยืน ผู้ชายคนนี้หล่อมากจริงๆ ดูยังไงก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นมาเฟีย

“เจอหมอนั่นแล้วเหรอครับ?”   เขาลุกขึ้นยืนตามก่อนจะถามออกไปอย่างตื่นตัว เขาทำท่าจะไปด้วยแต่หัวหน้าหน่วยพิรุณก็ยกมือห้ามเอาไว้ก่อน

“ยังไม่แน่ว่าจะเป็นอานัส ซัลมานหรือเปล่า  นายคอยอยู่กับเซียวจ้านที่นี่ก็แล้วกัน หนูมันอาจจะมีเยอะกว่าที่คิด”   ยามาโมโตะ ทาเคชิหยิบดาบญี่ปุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาขึ้นมา ไออำมหิตที่ลอยคลุ้งอยู่รอบดาบเล่มนั้นทำให้เขารู้ว่ามันคงได้ลิ้มรสเลือดมาอย่างโชกโชนแน่ๆ

เขายืนมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆไกลออกไปด้วยสายตากังวล ถ้าจับตัวได้แล้วเรื่องจบลงแค่นี้ก็คงดี...









นักบิดจากทีมยามาฮ่ากลับมาที่พิตสีแดงอีกครั้งเมื่อเห็นฝูงม้าพยศต่างแยกย้ายกระจายตัวกันออกจากห้องประชุม

ถึงที่นี่จะปลอดภัยแต่ในแพดด็อกก็ไม่ได้มีแค่ทีมเฟอร์รารี่ ยังมีทีมแข่งทีมอื่นและเจ้าหน้าที่สนามอีก ยังมีคนมากหน้าหลายตาที่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะงั้นเขาจึงเลือกที่จะคอยเฝ้าเจ้ากระต่ายอยู่ใกล้ๆ พยายามจะไม่รบกวนการทำงานแต่ก็ต้องอยู่ในสายตาตลอด

เจ้านักออกแบบรถมือหนึ่งของทีมยืนอยู่ที่แผงควบคุมกลางพิตท่ามกลางเหล่าวิศวกรหัวกะทิของม้าลำพอง พวกนั้นกำลังปรึกษาหารือกัน ถกเถียงกัน บางครั้งก็หันไปคีย์ข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ บางครั้งก็สเก็ตลงกระดาษ บางครั้งก็วาดด้วยโปรแกรมสามมิติ บางครั้งก็ชี้ชวนกันดูที่หน้าจอมอนิเตอร์ บางครั้งก็เดินมาวนดูรอบรถ

ตอนนี้ SF1000 Raspberry และ SF1000 SLAINE แทบจะเห็นไปถึงไส้ใน เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร วี6 เทอร์โบชาร์จ900แรงม้า ท่อ และสายอะไรมากมายเปลือยเห็นกันจะๆ ระบบหล่อเย็นและหม้อน้ำที่มีขนาดใหญ่กว่ารถทั่วไปมาก ถังน้ำมันที่ต้องผ่านกรรมวิธีของวิศวกรรมเคมีถึงจะเอามาใช้ในรถสูตรหนึ่งพวกนี้ได้ แล้วยังมี MUG-K , MUG-Hมอเตอร์ที่เอาไว้เปลี่ยนพลังงานจากการเบรกและความร้อนมหาศาลจากท่อไอเสียเอาไปเก็บสะสมไว้ใช้งาน แล้วมันก็น่าอัศจรรย์ที่อะไหล่ซึ่งราวกับมาจากต่างดาวพวกนี้สามารถเรียงตัวอยู่ในโครงรถซึ่งถูกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์นั่นได้หมดด้วย

แค่ดูอยู่ตรงนี้เขาก็ปวดหัวแล้ว แต่เจ้ากระต่ายและผองเพื่อนกลับไปยืนเถียงกันเรื่องท่อที่เรียงตัววุ่นวายซึ่งคนทั่วไปไม่มีทางแยกออกแน่ว่าท่อไหนคืออะไร สายไฟเส้นไหนมาจากไหน

อืม...เจ้าพวกนั้นก็มาจากต่างดาวพอๆกับเครื่องยนต์รถ F1 นั่นแหละ

เขานั่งดูประชากรม้าแดงทำงานกันจนแทบลืมเวลา น่าแปลกที่การได้ดูเจ้าพวกนี้ทำงานกลับทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของเขาสงบลงได้

“อยากไปห้องน้ำอ่ะ”   เจ้ากระต่ายกระโดดดึ๋งๆมาหาด้วยท่าทางปวดจัด

“ไปสิ ผมไปด้วย”   เขาลุกก่อนจะเดินตามไป

เขาไม่ได้ยืนรอหน้าห้องน้ำด้านนอกแต่เข้าไปรอถึงหน้าประตูด้านใน ดวงตาคมกล้ามองสำรวจตรวจตราทุกห้องที่ว่างอยู่ ก็เจ้ากระต่ายตัวดีมีประวัติถูกลักพาตัวที่หน้าห้องน้ำนี่นะ จะให้เขาวางใจก็คงไม่ได้

“พี่ทนอึดอัดหน่อยแล้วกัน”   เขาเอ่ยบอกเมื่อร่างในชุดสีแดงเดินออกมา เขาเคยคุยกับยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากที่อานัส ซัลมานจะลงมือที่สนามนี้

“อึดอัด? ไม่เห็นอึดอัดเลย นายก็อยู่กับชั้นตลอดไม่ใช่หรือไงทั้งปีมานี้”   เจ้ากระต่ายก้มลงไปล้างมืออย่างไม่คิดอะไรที่ถูกเขาตามเฝ้าแทบจะทุกฝีก้าว

“ชั้นก็แค่สงสัย ว่าหมอนั่น...เอ่อ...ชื่ออะไรนะ? อามัส?”

“อานัส ซัลมาน”   แม้แต่ชื่อยังจำไม่ได้เลยเจ้ากระต่ายเอ้ย~ หมอนั่นก็น่าสงสารเหมือนกันแหะ ลงทุนทำอะไรตั้งมากมายแต่เจ้ากระต่ายกลับจำไม่ได้ด้วยซ้ำ

“นั่นแหละ ชั้นแค่สงสัยว่า ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยน่ะเหรอ เอาตัวชั้นไปได้แล้วยังไง? ชั้นไม่มีทางรักหมอนั่นแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? หมอนั่นจะมีความสุขเหรอ?”

“คนบางคน อาจจะแค่อยากเอาชนะ หลังจากนั้นจะยังไงก็ช่าง...ยิ่งตอนนี้ มีทั้งผม ทั้งเฟอร์รารี่ ทั้งวองโกเล่ที่คุ้มกันพี่อยู่ ไหนจะพวกDiamond crownอีก ถ้าหมอนั่นเอาตัวพี่ไปได้ คงรู้สึกเหมือนชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ได้แล้ว”   เขากอดอกยืนพิงเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า

“ทำเดือดร้อนไปทั่ว...”   ใบหน้ามนถอนหายใจ

“เพราะพี่มีค่ายิ่งกว่าเพชรยังไงล่ะ หมอนั่นถึงได้หลงใหลและอยากมีไว้ในครอบครอง”

“ชั้นไม่ใช่สิ่งของซักหน่อย ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่ารู้จักกันจนถึงขั้นต้องทำขนาดนี้เพื่อให้ได้ตัวชั้นไปด้วยเหรอ หมอนั่นชอบชั้นที่ตรงไหน? นิสัยใจคอของชั้นเป็นยังไงก็ไม่รู้เสียหน่อย”

“ความหลงใหลของมนุษย์เราก็แบบนี้แหละ บางคนก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองปรารถนามา”

เจ้ากระต่ายยังคงส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเดินนำกลับพิตไป



“เซียวจ้าน เดี๋ยวฮายาโตะจะไปถ่ายวีดีโอโปรโมทของสปอนเซอร์ที่ธีมพาร์ก ชั้นอยากให้นายไปด้วย”   ยังไม่ทันจะก้าวขาถึงการาจ ทีมบอสของเฟอร์รารี่ก็โผล่หน้ามาบอก

“หื๋อ? แต่ว่า?”   ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นงงไปหลายนาที ก็หน้าที่ตามนักขับไปสัมภาษณ์หรือถ่ายวีดีโอโปรโมทอะไรพวกนี้มันเป็นหน้าที่ของพีอาร์ไม่ก็เทรนเนอร์ประจำตัวนี่นา อีกอย่างเขาก็ยังมีรถให้ต้องปรับแต่งอยู่อีก?

และเมื่อเห็นเขายังมีเครื่องหมายคำถามเต็มหน้า บอสจึงเอ่ยต่อด้วยเสียงราบเรียบ

“ชั้นอยากให้นายอยู่ใกล้ๆรีไวในช่วงนี้”

“...อ้อ เข้าใจแล้ว”   เขาถึงบางอ้อในทันที คงจะเป็นเพราะเรื่องที่เขาถูกคนจ้องจะลักพาตัว บอสก็เลยอยากช่วยรักษาความปลอดภัยให้เขาด้วย ก็ในพิตเขาน่ะ...ยังไงซะพวกเราก็เป็นแค่วิศวกร มีแรงยกประแจฟาดไหวนี่ก็ดีถมเถแล้ว เพราะงั้นถ้าเป็นเรื่องการต่อยตีก็คงพึ่งได้แค่คุณรีไวนั่นแหละ

คุณรีไวเป็นเทรนเนอร์ควบตำแหน่งผู้ปกครองของเจ้าฮายาโตะ จะต้องไปไหนมาไหนกับเจ้าเด็กหัวเงินนั่นตลอด ถ้าเขาอยู่กับเจ้านักขับมือหนึ่งก็จะเท่ากับมีคุณรีไวอยู่ข้างๆไปโดยปริยาย

“นายไปหาฮายาโตะก่อนเถอะ ชั้นมีเรื่องจะคุยกับหวังอี้ป๋อหน่อย”   ใบหน้ามนพยักรับอย่างงงๆ

“อื้อ”   ร่างในชุดสีแดงยอมทิ้งหวังอี้ป๋อไว้แล้วเดินเข้ามอเตอร์โฮมไปตามลำพัง


ทีมบอสของเฟอร์รารี่มองตามนักออกแบบรถมือหนึ่งของตัวเองไปจนแน่ใจว่าจะไม่ได้ยินสิ่งที่ตนกำลังจะพูดกับนักบิดหนุ่มจากแดนมังกร

“ชั้นไม่อยากบอกเซียวจ้าน เดี๋ยวหมอนั่นจะกังวลเกินไป แต่หวังอี้ป๋อ นายควรจะรู้เอาไว้”

“ครับ...”   ใบหน้าหล่อเหลาตอบรับอย่างตั้งใจ บรรยากาศมันทำให้รู้สึกได้ว่าทีมบอสของม้าลำพองกำลังจะพูดเรื่องที่สำคัญมาก

“ที่จริงแล้ว...นี่เป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ”









หวังอี้ป๋อเดินคิดเรื่องที่เอลวิน สมิธเพิ่งจะบอกให้ฟังจนเข้ามาด้านในมอเตอร์โฮมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว ดวงตาคมกล้าเหลือบไปเห็นเจ้ากระต่ายนั่งรออยู่กับนักขับมือหนึ่งที่โซฟาจึงตรงไปหา

พวกเฟอร์รารี่เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและไม่คิดจะตั้งรับฝ่ายเดียว แต่ต้องบอกว่าเจ้าพวกนี้กล้าได้กล้าเสียสมกับที่เป็นทีมแข่งรถจริงๆ

เขาเอง...ก็เบื่อเต็มทนแล้วที่ต้องเป็นฝ่ายถูกตามถูกทำร้ายอย่างโต้กลับอะไรไม่ได้ เขาจึงยอมรับข้อตกลงแทบจะทันที

“อี้ป๋อมาแล้ว ไปกันเถอะ!”   กลุ่มก้อนสีแดงพวกนั้นลุกขึ้นก่อนจะพากันเดินออกไป เขาพยักหน้าให้รีไวแทนประโยคฝากตัว ที่จริง แค่ดูก็รู้ว่ารีไวกับโกคุเดระ ฮายาโตะมีบรรยากาศที่ต่างจากนักกีฬาทั่วไป เขาก็อธิบายไม่ถูกรู้แต่ว่าน่าจะโหดเอาเรื่อง

“นายเจอคุณหมีรึยัง? เห็นคะชูบอกว่าเมื่อชั่วโมงก่อนอยู่ในมอเตอร์โฮม?”   เจ้ากระต่ายเดินเข้ามากระแซะเขา ใบหน้ามนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวยังคงสดใสและมันก็ทำให้เขาผ่อนคลายได้บ้าง

“คุณหมี?”

“ยามาโมโตะ ทาเคชิไง”   เขาแทบจะสำลักอากาศ

“ห๋า?”   ไหงเพชฌฆาตที่ร้ายกาจที่สุดของวองโกเล่ถึงมีชื่อเล่นน่ารักแบบนั้นได้เนี่ย?

“ก็ถ้านายสงสัยว่าทำไมบอสถึงให้ชั้นอยู่ใกล้ๆคุณรีไวเอาไว้ละก็ เพราะคุณรีไวเก่งขนาดที่ไล่กระทืบคุณหมีได้ยังไงล่ะ ฮ่าๆๆ”   เรื่องรีไวเขาไม่สงสัยหรอก แต่เอาเป็นว่าทำไมถึงเรียกเจ้านักฆ่าโหดร้ายนั่นว่าคุณหมีก่อน?  ความเครียดที่สะสมมาจนถึงเมื่อกี้ถูกคุณหมีพัดปลิวไปหมดแล้วเนี่ย?

“แต่กว่าพวกเราจะรู้ว่าคุณหมีไม่ใช่หมีจริงๆก็เล่นเอามึนกันไปทั้งพิตเลยแหละ ก็เจ้าฮายาโตะเอาแต่เรียกไอ้หมีบ้าๆ ตอนแรกพวกเราก็เลยนึกว่าเจ้าเด็กนั่นเลี้ยงหมีเอาไว้ที่บ้านน่ะสิ”   .....อ้อ เพราะแบบนั้นเองสินะ ว่าแต่ ทำไมเขาถึงถูกจัดอยู่ในสปีชี่หมีไปด้วยล่ะ? เขาไม่ได้ดุร้ายเหมือนยามาโมโตะ ทาเคชิสักหน่อย!

เขาหันไปมองแผ่นหลังบางๆของเจ้านักขับมือหนึ่งนั่นอย่างเคืองๆ

“ทั้งพิตเคยทายกันด้วยนะว่าหมีที่ฮายาโตะเลี้ยงเอาไว้เป็นพันธุ์อะไร ฮ่าๆๆ ชั้นยังทายอยู่เลยว่าเป็นหมีกริซลี่!”   เจ้ากระต่ายยังคงเล่านู่นนี่ให้เขาฟังเสียงใส เขาหันไปส่ายหน้าบ้างหัวเราะในลำคอบ้าง บทสนทนามึนๆพวกนี้บางทีมันก็ช่วยเยียวยาความเครียดได้อย่างน่าประหลาดแหะ

รถกอล์ฟพาพวกเขามาส่งที่อาคารหน้าตาเหมือนปลากระเบนยักษ์โฉบเฉี่ยวจนต้องแหงนหน้ามองอย่างทึ่งๆ

ที่ข้างสนามแข่งรถของอาบูดาบีมีสวนสนุกในร่มแห่งแรกและยังเป็นสวนสนุกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ด้วย มันเป็นสวนสนุกแบบธีมพาร์กที่เกี่ยวกับเฟอร์รารี่ มันจึงมีชื่อว่า Ferrari World

อาคารหน้าตาเหมือนปลากระเบนขนาดยักษ์สีแดงที่ผู้ออกแบบบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก Ferrari GT body นั้นมีขนาดใหญ่จนน่าจะใส่สนามฟุตบอลได้ซัก 7 สนามเลยทีเดียว แล้วในนั้นก็เป็นสวนสนุกกึ่งพิพิธภัณฑ์ เป็นอาณาจักรของม้าลำพองดีๆนี่เอง! ถ้าคุณนึกไม่ออกก็ลองจินตนาการถึง Universal Studios หรือ Disneyland ก็แล้วกัน อารมณ์นั้นแหละ เพียงแต่ที่นี่เป็น Ferrari!!

เชื่อเค้าเลย

ทีมงานเซตกล้องและฉากรออยู่ที่ข้างๆรถไฟเหาะ Formula Rossa และเมื่อกลุ่มม้าพยศในชุดสีแดงโดดเด่นเดินเข้าไป พวกเขาก็กลายเป็นจุดรวมความสนใจของคนทั้งธีมพาร์กทันที แล้วเจ้าพวกนี้ก็เท่ห์กันมากเสียด้วย ขนาดเจ้ากระต่ายง๊องแง๊งของเขาเวลาเดินกับพวกทีมเฟอร์รารี่ยังเท่ห์สุดๆไปเลย

“เชิญทางนี้เลยครับ”   จริงๆคนที่มีหน้าที่ให้สัมภาษณ์นั้นมีแค่โกคุเดระ ฮายาโตะคนเดียว แต่ในเมื่อคนที่มาด้วยแต่ละคนนั้นไม่ธรรมดาสักคน ตากล้องจึงหันมาถ่ายรูปพวกเขารัวๆ ขนาดคนที่มาสวนสนุกยังวิ่งกรูกันมาล้อมพวกเขาไว้อย่างกับเจอดาราก็ไม่ปาน แต่ก็ช่วยไม่ได้แหละนะ คนที่จะมาธีมพาร์กของเฟอร์รารี่ก็คงเป็นคนที่หลงใหลรถในระดับหนึ่ง จะรู้จักพวกเขาก็ไม่แปลก

ดวงตาคมกล้ามองสำรวจไปทั่วในขณะที่ปล่อยโกคุเดระ ฮายาโตะทำงานไป เขามองหน้าคนทุกคน สังเกตพฤติกรรมทุกคนที่เข้ามาใกล้ สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้คือ อานัส ซัลมานไม่ได้อยู่ที่นี่...

ถ้างั้นหมอนั่นก็น่าจะส่งลูกน้องมาอย่างที่ยามาโมโตะ ทาเคชิคาดเดาไว้...

เขาขยับเข้าไปยืนประกบเจ้ากระต่ายที่กำลังยืนดูโกคุเดระที่ขึ้นไปถ่ายวีดีโอบนรถไฟเหาะด้วยหน้าตายแบบนั้น ถึงนี่จะเป็นรถไฟเหาะที่เร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็วถึง 240กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่กับคนที่ปกติขับรถอยู่ที่ 340กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว...มันคงแทบจะไม่รู้สึกอะไร

อีกฝั่งหนึ่งของเจ้ากระต่ายก็มีรีไวก็ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ และเพราะมีดวงตาขวางๆกับใบหน้าบอกบุญไม่รับพร้อมกิตติศัพท์ที่เคยสร้างวีรกรรมไว้มากมายสมัยยังขับเอฟวันอยู่ ก็เลยไม่มีคนปกติที่ไหนอยากเข้าใกล้ นับว่าช่วยเขาได้มากทีเดียว



การสัมภาษณ์และถ่ายวีดีโอโปรโมทจบลงด้วยดี ปกติแล้วนักแข่งรถอย่างพวกเขาก็ไม่อยู่ให้สัมภาษณ์กันนานอยู่แล้ว ยิ่งพวกนักขับเอฟวันของเฟอร์รารี่ยิ่งมีงานรัดตัว เพราะงั้นการอยู่ที่นี่แค่ชั่วโมงเดียวก็ถือว่ามากแล้ว

ใบหน้าหล่อเหลาของนักบิดแชมป์ห้าสมัยยังคงมองไปรอบๆตลอดเวลา ที่จริงหัวใจของเขาเต้นกระหน่ำแต่ต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เอลวิน สมิธบอกให้เชื่อใจ...ตราบใดที่รีไวยืนอยู่ข้างๆ...เจ้ากระต่ายจะปลอดภัย

แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ








กลุ่มก้อนสีแดงพวกนั้นเดินทางกลับสนามแข่งกันแล้ว

ดวงตาสองคู่ที่เล็งไปที่ดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่มาพักใหญ่จึงตัดสินใจล้มเลิกความตั้งใจ การสู้กับรีไวไม่ใช่เรื่องฉลาด เห็นตัวเล็กๆแบบนั้นแต่อันตรายยิ่งกว่าพวกวองโกเล่เสียอีก แถมอีกข้างยังมีน้องชายอดีตนายเก่าของพวกเขา...

จากที่เคยสู้กันมาที่ Portofino บอกได้เลยว่าฝีมือคนตระกูลหวังนั้นไม่ธรรมดาเลยสักคน

พวกเขาพยักหน้าให้กันเพื่อส่งสัญญาณว่าจะตามไปที่สนามแข่ง พวกเขาวนเวียนอยู่รอบตัวเซียวจ้านมาสักพักแล้วและยิ่งรู้สึกเสียดายที่ลงมือช้าไป พอร่างโปร่งบางนั่นกลับมาอยู่กับพวกเฟอร์รารี่ก็ดูเหมือนการคุ้มกันจะแน่นหนามากขึ้นและมันจะมากกว่านี้อีก พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากต้องรีบลงมือ

แค่พาไปยังแหล่งกลบดานได้...กระต่ายน้อยแสนสวยนั่นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จู่ๆมือของคู่หูที่เดินอยู่ข้างๆก็ยกขึ้นมาห้าม เขาเหลือบมองรอบกายทันที

แล้วจิตสังหารที่หนักหน่วงมากก็ทำให้สองขาออกวิ่งโดยไม่ต้องคิด!

แย่แล้ว!

ถูกจับได้แล้ว!

เป็นไปไม่ได้!

พวกเขาเป็นนักสะกดรอยตามมืออาชีพ เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะจับได้ง่ายๆขนาดนี้!

“บ้าเอ้ย! วิ่งเร็ว!

เขาหันไปสบถกับเพื่อนที่วิ่งอยู่ข้างๆ

จิตสังหารขนาดนี้ถ้าไม่หนีคือตายสถานเดียว!









ฝ่าเท้าในรองเท้าหนังนับสิบคู่วิ่งไล่อะไรบางอย่างไปตามถนนด้านหลังสวนสนุก

อาคารหน้าตาเหมือนปลากระเบนยักษ์สีแดงนั้นครอบคลุมพื้นที่เป็นร้อยๆไร่และตอนนี้สายฝนสีดำก็กำลังยืนอยู่เหนือโลโก้ม้าลำพองขนาดใหญ่บนหลังคาสีเพลิงแห่งนั้น

สายลมโบกสะบัดจนชายเสื้อสูทกระพือพัดพรึ่บพั่บ เส้นผมสีดำที่ตัดสั้นถูกพระพายพัดไปมาไม่รู้ทิศทางแต่ใบหน้าคมคายก็ยังหล่อเหลาดุจได้มนต์ของปิศาจ

นัยน์ตาสีเปลือกไม้จ้องมองชายฉกรรจ์สองคนที่กำลังวิ่งหนีแบบเอาเป็นเอาตายอยู่บนถนนเบื้องล่าง...ต้องใช้ไฟธาตุพิรุณจากแหวนวองโกเล่แบบเข้มข้นของเขาถึงจะแยกแยะความเคลื่อนไหวของพวกมันได้

ต้องขอบคุณพวกเฟอร์รารี่ที่ให้ความร่วมมือ การที่โกคุเดระ ฮายาโตะสุดที่รักของเขาไปถ่ายวีดีโอโปรโมทที่ธีมพาร์กไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะมีเซียวจ้านมายืนล่อ เขาถึงระบุเป้าหมายได้ไวกว่าเดิมมาก ถ้าต้องไปงมหาเองคาดว่าปีนี้ก็คงไม่เจอ

แต่สองคนนั้นก็นับว่ามีฝีมือ ถึงได้หนีจากการจับกุมของลูกน้องเขาได้

ใบหน้าคมหันมองไปตามเส้นทางที่พวกนั้นใช้วิ่งหนี  อ่า...ยังมีกองหนุนสินะ?

ริมฝีปากยกยิ้มอย่างถูกใจเมื่อเห็นรถตู้คันหนึ่งจอดอย่างน่าสงสัยอยู่ที่ปลายถนนเส้นนั้น 

โทษทีนะ แต่เหยื่อของเขาคงจะยกให้ใครไม่ได้

สายฝนสีดำจึงโปรยปรายลงมาจากยอดหลังคาทันที ร่างสีรัตติกาลทิ้งตัวดิ่งราวกับมีปีกของซาตานห่อหุ้มเอาไว้ 

“อั่ก!!”   ฝ่าเท้าเหยียบลงไปบนแผ่นหลังของคนที่กำลังวิ่งหนี ก่อนที่ด้ามดาบจะกระทุ้งเข้าไปที่ลิ้นปี่ทำให้คนที่ไม่รู้ตัวมาก่อนถึงกับจุกจนทรุดลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาแดงกล่ำเบิกค้างอย่างพูดอะไรไม่ออก

“แค่กๆๆ!!”   ร่างทั้งร่างราวกับเป็นอัมพาต มีเพียงเสียงไออย่างรุนแรงเท่านั้นที่ดังออกมา

มือใหญ่เก็บดาบไปสะพายไว้ที่ไหล่ตามเดิม ยังไม่ทันชักมันออกจากฝักด้วยซ้ำ ใบหน้าคมคายประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเย็นๆในขณะที่ถอยออกมายืนมองลูกน้องของตนกรูเข้าไปจับตัวชายสองคนนั้นไว้ และก่อนที่มือของทั้งคู่จะถูกจับไพล่หลัง มันก็ถูกถลกแขนเสื้อจนมองเห็นรอยสักได้อย่างชัดเจน

ไม่ผิดตัวแน่นอน

“พวกนายเป็นคนของอานัส ซัลมานหรือ Diamond crown?”   คนที่ยังจุกไม่หายนอนหมอบอยู่กับพื้นจึงมองเห็นเพียงรองเท้าหนังของคนที่พูดอยู่เท่านั้น พวกเขาไม่ทันจะรู้ด้วยซ้ำว่าอาวุธอะไรที่ทำให้บอร์ดี้การ์ดที่แข็งแรงพอๆกับทหาร5คนอย่างพวกตนถึงกับทรุดไม่เป็นท่าแบบนี้ ทั้งๆที่อีกนิดเดียวก็จะหนีพ้นแล้วแท้ๆ...

“.......”    ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างตั้งใจจะไม่พูดแต่แล้วจู่ๆหนังหัวก็ถูกมือของใครบางคนดึงขึ้นไป พวกเขาจึงได้เห็นใบหน้าของคนที่จัดการพวกตนได้ในชั่วพริบตา

“ว่าไง?”   ชายคนนั้นยืนกอดอกห่างออกไป แต่ทั้งใบหน้าคมคาย ทั้งรอยยิ้มเย็นๆที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งดาบญี่ปุ่นที่สะพายอยู่บนไหล่ วงการมาเฟียทั่วโลกไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้

ยามาโมโตะ ทาเคชิ ตัวอันตรายติดท็อป 3 ของวองโกเล่แฟมมิลี่...

ดวงตาของคนที่ถูกจับตัวได้ถึงกับเบิกค้าง เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ต่อให้ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีแค่ไหนก็ใช้ไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้

“อะ อานัส ซัลมาน...”    เขาพูดออกไปอย่างละล่ำละลัก

“หมอนั่นให้นายมาทำอะไร?”   พิรุณโลหิตยังคงซักอย่างใจเย็น

“หะ ให้คอยตามดูเซียวจ้าน คอยรายงานความเคลื่อนไหว ถะ ถ้ามีโอกาสก็ให้เอาตัวกลับไป...”   ใบหน้าบิดเบี้ยวพูดออกมาอย่างหมดเปลือก

อาจจะคิดว่าเขาขายพวกพ้อง อาจจะคิดว่าเขายอมคายความลับเร็วไป แต่หากใครที่อยู่ในวงการมาเฟียจะรู้กันดีว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ชอบทรมานเหยื่อ แต่ถ้าเห็นว่าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์เพราะไม่ยอมพูด พวกเขาก็จะถูกฆ่าตายทันทีโดยไม่มีคำขู่เข็ญใดๆ ไม่สนด้วยซ้ำว่าเขาจะหยิ่งในศักดิ์ศรีหรือรักพวกพ้องหรือไม่ พวกเขาจะหายไปจากโลกนี้ หายไปเฉยๆ หายไปโดยยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย

สายฝนดำมืดของวองโกเล่นั้นเลือดเย็นมาก

เขาไม่อยากหายไปอย่างไร้ตัวตนแบบนั้นจึงต้องรีบพูดออกไป เพราะผู้ชายตรงหน้าจะไม่ให้เวลาเขามากนักหรอก การถ่วงเวลาใช้ไม่ได้กับผู้ชายคนนี้ อย่างน้อยถ้ายังมีประโยชน์เขาอาจจะยังมีลมหายใจต่อไปจนกว่าจะหาทางหนีได้

“โอเค พาชั้นไปหาหมอนั่น”  

“เอ่อ...”

“พาชั้นไป...แหล่งกลบดานของพวกนาย”   ใบหน้าคมคายยิ้มเย็นๆในขณะที่เหลือบมองลงมา



จากผู้ล่ากำลังจะกลายเป็นผู้ถูกล่าเมื่อเจอตัวตนที่เหนือกว่า

จากฝ่ายที่คอยสร้างความหวาดหวั่นกำลังจะกลายเป็นฝ่ายที่ต้องขวัญผวาบ้างแล้ว



.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.


แหม เท่ห์เลยนะอิหมี~ // ถีบซักที // ไม่มีไรค่ะ คุณกวางแค่แสดงความรัก(?)ที่มีต่อยามาโมโตะเท่านั้นเอ๊ง 5555+ สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามการ์ตูนเรื่อง Katekyo Hitman REBORN อาจจะสงสัยเรื่องไฟจากแหวน คร่าวๆก็คือมาเฟียแต่ละแฟมมิลี่สามารถเปลี่ยนพลังในร่างกายเป็นเปลวไฟผ่านแหวนประจำธาตุของตัวเองน่ะค่ะ แล้วพวกแฟมมิลี่ใหญ่ๆจะมีแหวนประจำตัวผู้พิทักษ์ที่บริสุทธิ์มาก ทำให้ไฟที่ปล่อยออกมามีพลังมาก ใช้ได้ทั้งในการต่อสู้ ตรวจจับ รักษา แล้วแต่คุณสมบัติของธาตุที่ตัวเองมีอยู่ค่ะ (ซึ่งธาตุในเรื่องนี้จะเป็นธาตุเกี่ยวกับท้องฟ้า จะมี นภา วายุ พิรุณ เมฆา หมอก อัสนี อรุณ)  พวกหน่วยพิรุณเลยใช้ไฟธาตุพิรุณของตัวเองในการตรวจจับสิ่งผิดปกติรอบๆตัวค่ะ อิหมีดาร์กเนียนมันถนัดเพราะเคยแพ้พวกหมอกมา555 คือถ้าตรวจจับได้แม้แต่พวกที่ใช้พลังธาตุหมอกนี่ก็คือไร้เทียมทานแล้ว

จริงๆลืมไปแล้ว เรื่องไฟจากแหวน // โดนตบ // ก็นานแล้วอ่า555 พอดีเมื่อเดือนก่อนมั้ง WeTV เอารีบอร์นมาลงแอพ อินี่เลยเผลอกลับไปนั่งดูอีกรอบ ยาวเรย555 เห็นแล้วก็นึกขึ้นได้ เลยยืมอ.อามาโนะขรามาใช้ซะหน่อย =v= ของเรื่องรีบอร์นยังพอยืมมาใช้ได้ แต่อัลโนอาห์ของน้องสเลนคงไม่ไหว หุ่นรบจากดาวอังคารไม่ควรมาอยู่ในฟิคเรื่องนี้555

เมื่อวันก่อนมีคน(ชื่อคุณAmzinas)ส่งเพลง Taking off ของ One OK Rock มาให้ค่ะ บอกว่าฟังแล้วนึกถึง GLIDE เลย โดยเฉพาะตอนแข่งรถ คุณกวางก็เลยตามไปฟัง เฮ้ยมันได้! เพลงมันมาก ฟังแล้วฟิลแข่งรถมาเลย >////< ขอบคุณมากๆนะคะที่ส่งมาให้ฟัง ปลื้มปริ่มมากค่ะ อิๆ



แล้วก็เพราะตามไปฟังเพลงนั้นก็เลยไปเจออีกเพลงของ One OK Rock เข้า เพลง Wherever You Are ก็คือกรี๊ดหนักมากกกก เด่ว แปะเพลงก่อง


ท่อนที่เป็นภาษาญี่ปุ่นคือตายมากค่ะ ตราตรึงมาก มันแบบ...จะรักเธอไปจนกว่าจะสิ้นแสงอ่ะ แบบนั้นเลย // เอาหัวโขกวอลล์มาเรียเรียกสติ // แล้วมันเข้ากับฟิคตอนนี้มาก เป็นความรู้สึกของป๋อที่มีต่อพี่จ้าน คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะรักไปจนวันตาย ในช่วงเวลาที่มีแต่อันตรายก็จะจับมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็จะเป็นคนที่ฉันรักจากก้นบึ้งของหัวใจ จะอยู่เคียงข้าง จะทำให้เธอมีแต่รอยยิ้ม จะไม่ทำให้เธอร้องไห้ โอ๊ยยยย // เอาหัวโขกวอลล์มาเรียอีกรอบ ฟฟฟ

ขอบคุณสำหรับทุกๆการติดตาม ทุกๆคอมเม้นต์นะคะ เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นแร้ววว เจอกันตอนหน้าน้า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น