ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 21


ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 21

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค




การแข่งขัน Moto GP ดำเนินมาถึงสนามที่ 6 ในปฏิทินแล้ว ตอนนี้ทีมแข่งรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกทุกทีมอยู่ที่สนาม Silverstone Circuit ประเทศอังกฤษ เป็นที่เรียบร้อย

ร่างโปร่งบางของวิศวกรออกแบบรถทีมดูคาติกำลังยืนมองมอนิเตอร์ซึ่งฉายภาพเจ้ารถสีแดงที่ลงไปวิ่งในรอบซ้อม คิ้วเรียวแทบจะผูกกันเป็นโบว์เมื่อรถยังทำเวลาได้ไม่ดีนัก เขาเป็นวิศวกรด้านแอโร่ไดนามิก แล้วไอ้ปัจจัยที่มีผลต่องานของเขามันก็พวกลมฟ้าอากาศความชื้นอะไรทั้งหลายแหล่นี่แหละ ซึ่งสนามอื่นยังไม่ค่อยน่าปวดหัวเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่ต้องมาแข่งที่อังกฤษไม่ว่าจะ F1 หรือ Moto GP สภาพอากาศเปิดๆปิดๆของประเทศเกาะแห่งนี้ก็ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าได้ตลอดเลยจริงๆ!

นายช่วยทำตัวดีๆหน่อยได้ไหม? วันนึงจะร้อนก็ร้อนไปทั้งวันเลยสิ! หรือถ้าฝนจะตกก็ให้มันครึ้มไปทั้งวันเลยสินี่อะไร เดี๋ยวมืดครึ้ม เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวมีแดด วนเวียนอยู่อย่างเงี้ยทั้งวัน!

“เลือกเอาซักอย่างสินายน่ะ!”    เสียงตะโกนทำให้คนทั้งพิตสีแดงหันมามองก่อนจะกลั้นขำกันแทบเป็นแทบตาย  เจ้ากระต่ายเอเชียนั่นยืนชี้หน้าด่าท้องฟ้า ทะเลาะกับลมกับฝนอีกแล้ว 

แต่ทุกคนก็เข้าใจความน่าหงุดหงิดนี้ได้เป็นอย่างดี แถมสนามซิลเวอร์สโตนยังเป็นสนามที่มีระยะทางยาวที่สุดในบรรดาสนามแข่ง Moto GP การปรับแต่งรถให้เข้ากับทั้งสภาพภูมิอากาศและแทรคยาวๆที่มีความหลากหลายขนาดนี้จึงไม่ใช่งานง่ายๆ



Friday, 14:10 – 14:55 , Moto GP  Free Practice Nr. 2

Pos.     Num.    Rider                Team                           Time                 Gap
1          85        Wang Yi Bo      Monster Yamaha          1’59.135
2          12        Dova                Ducati team                 1’60.073          +0.938


ผลการซ้อมรอบที่สองของวันนี้จึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น รถหมายเลข 85 ของยามาฮ่านำพวกเขาอยู่ถึง 0.9 วินาที!

“ไม่ได้การละ”   ฟันกระต่ายกัดริมฝีปากก่อนจะทำหน้ายุ่ง มือบางวางชาร์ตลงก่อนจะเดินดุ่มๆออกจากพิต และ British Grand Prix (บริติชกรังด์ปรีซ์)นี้พิตยามาฮ่ากับพิตดูคาติก็อยู่ติดกันอีกแล้ว!

ช่างเครื่องและวิศวกรของพิตสีน้ำเงินต่างเงยหน้ามองตัวอะไรบางอย่างที่แอบเกาะผนังข้างพิตอยู่ หูกระต่ายที่โผล่ออกมาพร้อมกับแขนเสื้อสีแดงนั่นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร แต่จะว่าไปคนที่กล้าเดินมาส่องกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ก็คงมีอยู่คนเดียวนั่นแหละ


ป้าบ!


เสียงก้นโดนฟาดดังจนคนทั้งพิตถึงกับหลุดหัวเราะ  

“โอ๊ย?!”   เจ้าคนที่แอบมาล้วงข้อมูลการปรับแต่งรถเด้งตัวออกมาจากซอกเสา

“มาทำอะไรตรงนี้?”   หวังอี้ป๋อถามออกไปทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเจ้ากระต่ายตัวแสบนั่นมีจุดประสงค์อะไร

“ชั้นเหรอ? ชั้นก็มาหานายไง~”   แต่ใบหน้ามนก็ยังแถต่อไปทำเป็นเอียงคอยิ้มหวานส่งมาให้ แถมหมุนตัวเดินเนียนเข้ามาในพิตแบบใสๆอีกแน่ะ  เจ้ากระต่ายตัวร้ายพยายามอ่อยเขาด้วยการทำหน้าแบ๊วๆน่ารักๆใส่ ก่อนจะหันไปมองรถเขาแบบจ้องเอาๆ จ้องไม่พอยังก้มๆเงยๆดูอีกนะ ใครไม่รู้ว่ามีแผนอะไรนี่ก็ตาบอดแล้วไหมเจ้าตัวดี

“มานี่เลย”   มือใหญ่จับต้นแขนบางก่อนจะลากออกไป

“ให้ชั้นดูต่อ เอ้ย ให้ชั้นอยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อยเถอะนะ ชั้นอยากอยู่ใกล้ๆนายนะอี้ป๋อ~”  เมื่อเห็นว่าทำหน้าอ้อนใส่ไม่สำเร็จเจ้ากระต่ายตัวแสบจึงหันไปทำท่าเซ็กซี่แทน มือบางยันเบาะรถเอาไว้ก่อนจะพยายามให้ท่า ทว่า คนอ่อยไม่เป็นอ่ะนะ ท่าอ่อยที่ควรจะแจกอ้อยได้ทั้งไร่กลับดูตลกจนคนทั้งพิตสีน้ำเงินถึงกับขำจนท้องคัดท้องแข็ง 

“กลับพิตพี่ไปเดี๋ยวนี้เลย ไปๆๆ”   ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับส่ายหัวก่อนจะอุ้มลำตัวบางพาดบ่าเอาไปส่งที่พิตข้างๆ 

“อ๊า~ ชั้นจะอยู่กับนาย ชั้นคิดถึงนายมาก ขอชั้นดูอีกหน่อย~~”   หางโผล่มาหมดแล้วเจ้ากระต่ายแสบเอ๊ย  เอาเชือกล่ามไว้ซะดีไหมเนี่ยจะได้ไม่ไปก่อกวนที่พิตเขาอีก! 


ใบหน้ามนฮึ่มๆใส่แผ่นหลังกว้างที่เดินจากไป ให้ดูอีกหน่อยก็ไม่ได้ ขี้งก! ชิ!

ร่างโปร่งบางกอดอกหันไปมองรถของตัวเอง เขาไม่ได้จะไปลอกทีมยามาฮ่าหรอกเพราะการปรับแต่งรถมันเป็นงานเฉพาะบุคคล เขาไม่สามารถจะเอาการปรับแต่งของทีมยามาฮ่ามาใช้กับนักแข่งของเขาได้ แต่ที่ชอบไปแอบดูนั่นก็เพราะทีมยามาฮ่ามักมีพัฒนาการและนวัตกรรมใหม่ๆที่น่าสนใจมากทีเดียวและการได้เรียนรู้จากทีมชั้นครูแบบนั้นก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเขา 

“เซียวจ้าน อะไหล่นี่จะติดเลยไหม?”   ทีมช่างยกอะไหล่ชิ้นหนึ่งซึ่งยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการขึ้นมาถามเขา เขากับทีมดูคาติช่วยกันพัฒนามันขึ้นมาเพื่อช่วยเรื่องการไหลเวียนอากาศจากด้านหน้าไปยังด้านหลัง ที่เขายังไม่ติดมันตั้งแต่การซ้อมรอบแรกเป็นเพราะเขาอยากเห็นความแตกต่างระหว่างมีมันกับไม่มี

“ติดเลย”   ร่างโปร่งบางนั่งยองๆมองทีมช่างติดอะไหล่ชิ้นนั้นลงไปที่ด้านหน้าของล้อหลัง ตอนนี้พวกเขาเรียกมันว่าสปูน หน้าที่หลักๆของมันคือลดแรงฉุดจากกระแสอากาศปั่นป่วนซึ่งเกิดจากการหมุนของล้อหลัง รถจะทำความเร็วได้มากขึ้น และเมื่อมันทำงานร่วมกับชุดแอโร่ไดนามิกด้านหน้า แรงกดที่ถูกสร้างขึ้นโดยสปูนยังจะทำให้รถนิ่งขึ้น บาลานซ์ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ลมที่ถูกมันรวบรวมให้ผ่านไปยังล้อหลังยังช่วยลดอุณหภูมิยางอีกต่างหาก



Saturday, 13:30 – 14:00 , Moto GP Free Practice Nr. 4

Pos.     Num.    Rider                Team                           Time                 Gap
1          85        Wang Yi Bo      Monster Yamaha          1’58.307
2          12        Dova                Ducati team                 1’58.698          +0.391


ดูเหมือนสปูนจะทำงานได้ดี เวลาของทีมดูคาติค่อยๆตีตื้นขึ้นไปเรื่อยๆจนระยะห่างเหลือแค่ 0.3 วินาทีในการซ้อม FP4

ดีจนหวังอี้ป๋อถึงกับต้องเดินมาดู

“พี่ติดอะไรไว้ตรงนั้นน่ะ มันเอาไว้ทำอะไร?”   สปายหวังก้มลงไปดูอะไหล่หน้าตาแปลกใหม่แบบไม่แคร์สายตาใคร ไม่พอ ยังถามกันโต้งๆแบบนี้อีกแน่ะ

“ใครจะบอกนายกันเล่า ไปเลย กลับพิตของนายไปเดี๋ยวนี้เลย”   มือบางทั้งลากทั้งดันเจ้านักบิดจากพิตข้างๆให้ออกห่างจากรถ แต่เป็นเพราะหวังอี้ป๋อแข็งแรงกว่ามาก การจะออกแรงลากจึงทุลักทุเลพอสมควรสำหรับเจ้าวิศวกรที่วันๆเอาแต่ใช้สมอง

“พี่ไม่อยากอยู่ใกล้ๆผมแล้วเหรอ? นี่ผมมาให้พี่อยู่ใกล้ๆเลยนะ ขอถ่ายรูปหน่อย”

“ห้ามถ่าย!”    เจ้ากระต่ายยื่นหน้าเข้ามาขวางกล้อง รูปที่หวังอี้ป๋อถ่ายได้จึงมีแต่ใบหน้ากระต่ายที่กำลังแล่บลิ้นให้  เจ้ากระต่ายขี้หวงเอ้ยยย กล้องทั่วสนามเค้าก็จับภาพอะไหล่นี่ไว้หมดแล้วแท้ๆ ขอดูแค่นี้ก็ไม่ได้!

“มานี่เลย”   ท่อนแขนผอมแห้งดันแผ่นหลังกว้าง ร่างโปร่งบางต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีกว่าจะลากหวังอี้ป๋อออกไปส่งคืนพิตข้างๆได้

“ห้ามโผล่มาอีกนะ!”   เจ้ากระต่ายแดงไม่วายหันมาขู่ทั้งๆที่หอบแฮ่ก ส่วนคนในพิตก็ปล่อยให้คู่นี้ตีกันไปเพราะดูๆไปก็น่ารักดี พิตที่มีแต่กลิ่นน้ำมันและความเครียดจึงพอจะมีอาหารตามาให้ผ่อนคลายได้บ้าง ที่สำคัญ พวกเขาไม่เคยเห็นหวังอี้ป๋อยิ้มสดใสขนาดนี้มาก่อน โลกแทบจะถล่มดินแทบจะทลายเสียให้ได้ตอนที่พวกเขาเห็นหวังอี้ป๋อเล่นและยิ้มให้เซียวจ้านครั้งแรก นั่นใช่หวังอี้ป๋อจริงๆน่ะเหรอใช่คูลกายที่ทำให้สนามแข่งเป็นน้ำแข็งจริงๆน่ะเหรอ~




Sunday, 13:00  , Moto GP   RACE DAY !!

Pos.     Num.    Rider                Team                           Time                 Gap
1          85        Wang Yi Bo      Monster Yamaha          40’12.799
2          12        Dova                Ducati team                 40’12.812        +0.013


ทว่า  สปูนก็ยังต้องถูกพัฒนาต่อไป ส่วนในสนามนี้มันยังดีไม่พอจะพาดูคาติให้ชนะรถหมายเลข 85 ของหวังอี้ป๋อได้!


ผู้ชนะคือทีมยามาฮ่า






และแน่นอนว่าคืนนี้...


ผู้ที่แพ้เดิมพันก็ต้องถูกกินทั้งคืนตามสัญญา...







Skip to GLIDE 21.5 >>








มือใหญ่แง้มผ้าม่านเพื่อดูสภาพอากาศภายนอก...ยังคงขมุกขมัวสมเป็นอากาศในอังกฤษจริงๆ

ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมามองร่างโปร่งบางซึ่งยังนอนคว่ำหน้าหลับใหลอยู่บนเตียง บนแผ่นหลังขาวมีรอยจูบสีกุหลาบกระจัดกระจายอยู่หลายจุด เจ้ากระต่ายเพิ่งจะได้นอนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง จะปลุกก็สงสาร แต่ถ้าไม่ปลุกก็อาจจะไม่ทันฟ้าเปิดก็ได้

“จ้านเกอ”   ร่างสูงสง่านั่งลงไปบนกองผ้าห่มสีขาวก่อนจะเอี้ยวตัวไปกระซิบปลุกคนที่ซุกหน้าอยู่กับหมอน

“จ้านเกอ”   ลมร้อนถูกเป่าใส่ใบหูบางเบาๆก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะก้มลงไปคลอเคลียซอกคอระหงเหมือนลูกแมวกำลังออดอ้อนปลุกเจ้าของ

“อือ....”   คนถูกก่อกวนส่งเสียงอืออาในลำคอก่อนจะหันหน้าหนี แต่หวังอี้ป๋อก็ช่างสรรหาสารพัดวิธีมาปลุกเจ้ากระต่ายขี้เซา

ร่างสูงยืดกายขึ้น...เสียงทุ้มค่อยๆเอ่ยออกมา ถึงจะแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจน เสียงนั้นร้องเป็นเพลงที่แสนอบอุ่นจนในห้องราวกับลอยกรุ่นไปด้วยความรัก


Baby, life was good to me
But you just made it better

[ที่รัก...ชีวิตฉันที่ผ่านมามันก็ดีอยู่แล้วและเธอก็เข้ามาทำให้มันดีขึ้นไปอีก]


I love the way you stand by me
Throught any kind of weather

[ฉันรักที่เธอมักยืนเคียงข้างฉันเสมอ...ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์]


I don't wanna run away
Just wanna make your day
When you feel the world is on your shoulders
[ฉันไม่อยากจะจากเธอไปไหน...อยากจะอยู่ข้างๆคอยให้กำลังใจ...ในยามที่เธอรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงจากปัญหาที่ต้องแบกรับ]


I don't wanna make it worse
Just wanna make us work
Baby, tell me I will do whatever
[ฉันจะไม่ทำให้เธอรู้สึกแย่ลงไปอีก...แค่อยากให้เรามีเราข้างกัน...ที่รัก...เพียงเธอบอกฉันก็พร้อมจะทำเพื่อเธอทุกอย่าง]


It feels like nobody ever knew me until you knew me
[เหมือนกับว่า...ไม่เคยมีใครเข้าใจฉัน...เหมือนอย่างที่เธอเข้าใจ]


Feels like nobody ever loved me until you loved me
[เหมือนกับว่า...ไม่เคยมีใครรักฉัน...ได้เท่ากับที่เธอรัก]


Feels like nobody ever touched me until you touched me
[เหมือนกับว่า...ไม่เคยมีใครเข้าถึงหัวใจของฉันได้...อย่างที่เธอทำ]


Baby...nobody, nobody, until you
[ที่รัก...ไม่มีใคร...ไม่มีใคร....จนกระทั่งฉันได้เจอเธอ]



ใบหน้ามนที่แสร้างหลับถึงกับร้อนผ่าว เขาไม่ใช่คนตื่นยาก จริงๆก็รู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่หวังอี้ป๋อลุกออกไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงได้ยินเพลงที่อี้ป๋อร้องมาตั้งแต่ต้น

มันคือเพลง Until You ของ Shayne Ward เขาเคยฟังมาบ้างแต่ไม่เคยมีเวอร์ชั่นไหนเลยที่จะเพราะเท่าเวอร์ชั่นนี้

เวอร์ชั่นที่หวังอี้ป๋อร้องให้เขาคนเดียว เพลงเพลงนี้เป็นของเขาเท่านั้น...

หัวใจ...เต้นจนแทบจะทะลุแผ่นอกออกมา มันทั้งดีใจ ทั้งอบอุ่น ทั้งตื้นตัน ความรู้สึกถูกรักกำลังโอบกอดเขาไว้ด้วยบทเพลงเพลงนี้ ด้วยเสียงทุ้มอันอ่อนโยนนี้ ทำยังไงดี...มีความสุขมากขนาดนี้เขาควรจะทำยังไงดี



Ti amo…จ้านเกอ”



ดวงตากลมโตถึงกับเบิกกว้างเมื่อจู่ๆเสียงทุ้มก็พูดคำนี้ออกมา

ติอาโม่...เป็นภาษาอิตาลีที่แปลว่า....ผมรักคุณ

ร่างโปร่งบางพลิกกายมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ใบหน้ามนแดงประมาณลูกเชอร์รี่ได้ ดวงตาคู่สวยยังคงตื่นตะลึงกับถ้อยคำแห่งรักที่ได้ยิน ถึงตอนนี้จะไม่ได้อยู่ในฉากหลังแสนโรแมนติก ไม่มีซุ้มดอกไม้มีเพียงเตียงซึ่งยับยู่ยี่ ไม่มีดนตรีขับขานมีเพียงเสียงสายฝนนอกบานหน้าต่าง ไม่มีอะไรเลยแต่เขากลับคิดว่ามันคือการบอกรักที่หวานที่สุดในโลก

หัวใจดวงน้อยเต้นอย่างอิ่มเอมไปด้วยความสุขและมันคงส่งผ่านมายังใบหน้าของเขา ดวงตากลมโตสั่นพร่าด้วยความดีใจ ส่วนริมฝีปากสีสดก็ค่อยๆคลี่ออกเป็นรอยยิ้มงดงาม ค่อยๆเบ่งบานราวกับกุหลาบแรกแย้ม


“คำตอบล่ะ?”   ใบหน้าหล่อเหลายิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้นอบอุ่นยิ่งกว่าพระอาทิตย์ยามเช้าเสียอีก



“หว่อ...อ้าย...หนี่...”  



เสียงใสตอบออกไปราวกับถูกสะกด เขาถูกความรักของหวังอี้ป๋อสะกดจนตกอยู่ในโลกที่มีแต่สีชมพู

“งื้ออออออ”    มือบางยกขึ้นมาปิดหน้าด้วยความอาย ส่วนหวังอี้ป๋อก็ยิ้มจนหน้าบานเป็นดอกทานตะวันไปแล้ว ถึงจะรู้ว่ารักกันแต่การพูดมันออกจากปากมันก็เขินมากไง~~

“ชั้นกำลังจะตายแล้ว...”    เสียงครวญครางดังออกมาจากใต้ฝ่ามือ นักบิดแชมป์สี่สมัยที่อยากเห็นใบหน้าเขินอายแสนน่ารักนั่นจึงพยายามดึงมือบางออก

“ชั้นจะเขียนดายอิ้งเมสเสจเป็นชื่อนาย คอยดูเถอะ...โอย...สะโพกชั้น......”   เจ้ากระต่ายพยายามปั้นหน้าหงิกใส่เขาทั้งๆที่หูเหอแดงไปหมด แดงไปถึงลำคอ เพราะไม่รู้ว่าจะตายด้วยสำลักความรักดีหรือจะตายเพราะร่างกายถูกกินจนบาดเจ็บไปหมดดี

“ถ้าชั้นตาย เอาชั้นไปฝังไว้ที่สวนกุหลาบในปราสาทวอริกที...ฮืออออ เจ้าบ้าหวังอี้ป๋อ~~ มาหวานอะไรแต่เช้าเนี่ย โอ๊ย ปวดเอว~   เห็นเจ้ากระต่ายเขินไปร้องโอดโอยไปก็ไม่รู้จะสงสารหรือเอ็นดูดี จะยกมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความเขินก็ปวดเอวอีก น่าเห็นใจจนเขาอดยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ

“ขอโทษนะครับสุดที่รัก~ เดี๋ยวผมพาพี่ไปวอริกเชอร์ไถ่โทษก็แล้วกัน ดีไหม?”   เขาจึงก้มลงไปบอกใกล้ๆและพอเจ้ากระต่ายได้ฟังเท่านั้นแหละ

“จริงนะ!!   หูตั้งขึ้นมาทันทีเลยนะเจ้ากระต่ายเอ้ย ใบหน้ามนดีใจจนออกนอกหน้า ดวงตากลมโตระยิบระยับอย่างกับมีดาวล้านดวงอยู่ในนั้น

“อื้ม”   เขารับปาก ก็ตั้งใจจะพาไปตั้งแต่แรกแล้วนั่นแหละถึงได้ปลุกอีกฝ่ายขึ้นมา

“อี้ป๋อ~~   เหมือนจะมีคำว่าชั้นรักนายส่งผ่านมากับสายตาวิ้งๆนั่นเลย

“ลุกไปอาบน้ำเถอะ”

“อื้อ!   เจ้ากระต่ายวิ่งปรู๊ดลงจากเตียงอย่างลืมไปทันทีว่าเมื่อกี้ร้องโอดโอยอะไรไว้ พอเป็นเรื่องที่ตัวเองสนใจนี่หายปวดหายเมื่อยขึ้นมาเชียวนะ  เขาส่ายหน้าก่อนจะเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางรอ ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที เจ้ากระต่ายก็ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้ากระจกแล้ว

“เดี๋ยว เอามาด้วยเหรอนั่น?”   เขามองหนังสือปกแข็งหุ้มด้วยหนังสีแดงเล่มหนึ่งซึ่งอยู่ในมือบาง มันเป็นหนังสือนิยายรักยุคระบบศักดินาของอังกฤษที่หนาพอๆกับดิกชันนารี...ของแบบนี้ก็ยังจะพกมาอีกนะ!

“เอามาสิ! ก็มาอังกฤษทั้งทีนี่นา”   อย่างว่าแหละนะ ชีวิตติ่ง แค่ไปเหยียบแผ่นดินที่มีฉากในนิยายก็ถึงกับต้องพกหนังสือมาด้วยแล้ว...

เจ้ากระต่ายกอดหนังสือปกหนังอย่างอารมณ์ดีเดินนำเขาออกจากห้อง ดวงตาคมกล้ามองสำรวจไปรอบๆอีกครั้งว่าไม่ได้ลืมอะไรทิ้งไว้ก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางตามไป ถึงว่าสิ เขายังคิดอยู่ว่าทำไมรอบนี้กระเป๋าเดินทางมันหนักแปลกๆ นึกว่าเจ้ากระต่ายตัวแสบแอบเอาอะไหล่รถอะไรมาด้วยอีก แต่รอบนี้ดันแอดว๊านซ์ยิ่งกว่าเพราะสิ่งที่พกมากลับเป็นหนังสือนิยายซะงั้น

กระเป๋าเดินทางถูกยัดใส่ท้ายรถ เขาก้าวขาเข้าไปประจำที่คนขับ  ASTON MARTIN DB11 สีเทาส่งเสียงกระหึ่มก่อนที่เขาจะขับมันออกไป 

จากซิลเวอร์สโตนถึงวอริกเชอร์ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ดวงตาคมกล้าเหลือบมองใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของคนข้างๆ เห็นท่าทางมีความสุขขนาดนี้เขาเองก็รู้สึกมีความสุขไปด้วยเลย

เขาหันกลับมามองทางข้างหน้า ถึงจะครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่ตลอดเวลาแต่ว่าถนนในชนบทของอังกฤษนั้นก็สวยงามไม่แพ้ที่ใดในโลก จุดหมายปลายทางของเขาอาจจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไปแต่เอาจริงๆต้องบอกว่าเขาพาเจ้ากระต่ายมาตามรอยนิยายมากกว่า...

เพราะว่าช่วงนี้ในพิตม้าลำพองกำลังติดซีรี่ย์พีเรียดเรื่องหนึ่งกันขนาดหนัก จากปกติต้องเดินเกะกะๆอยู่ที่สนามฟิโอราโน่ไม่ก็ที่แล็ปกันจนมืดค่ำ แต่พอถึงวันที่ซีรี่ย์นี่ฉาย เจ้าพวกฝูงม้าพยศต่างกระจายตัวหายหัวกลับบ้านใครบ้านมันไปเฝ้าจอรอดูกันซะงั้น  เอลวิน สมิธยังออกมาบอกเองเลยว่ารู้งี้น่าจะหาซีรี่ย์มาให้เจ้าพวกนี้ดูตั้งแต่แรกซะก็ดี จะได้ไม่ต้องมาคอยไล่กลับบ้านให้ยุ่งยากแบบนี้ ก็นับว่าเป็นองค์กรที่หลากหลายดีนะพิตสีแดงนั่น...

ส่วนเจ้ากระต่ายของเขานั้นถึงช่วงนี้จะอยู่กับทีมดูคาติเป็นส่วนใหญ่แต่ก็ยังคุยกับเพื่อนๆในเฟอร์รารี่ผ่านแชทครอบครัวนั่นอยู่ตลอด บางทีก็ต้องเข้าไปดูรถให้ เพราะงั้นถ้าพิตม้าลำพองมีอะไรเจ้ากระต่ายก็จะได้รับมาเต็มๆเช่นกัน แล้วก็...ติดไม่ติดก็ดูเอาแล้วกัน ถึงขั้นไปหาฉบับนิยายมาอ่าน...

เขาเหลือบมองนิยายปกหนังสีแดงที่ปั๊มนูนชื่อสีทองซึ่งอยู่ในมือบาง  “Last Word”   คือชื่อของนิยายเล่มนั้น รู้สึกจะเป็นเรื่องราวของท่านเคานต์ผู้เย็นชาแห่งวอริกเชอร์กับเด็กชายกำพร้าที่จำเป็นต้องรับมาดูแลเพราะเป็นคำสั่งของเจ้าหญิง อะไรสักอย่างนี่แหละเขาก็ไม่ได้อ่าน แต่เห็นเจ้ากระต่ายดูซีรี่ย์ไปซับน้ำตาไปอย่างอินน่าดูแล้ว...มันก็คงดีอยู่แหละมั้ง...

“อี้ป๋อ! ดูนั่นสิๆๆ!!”   เจ้ากระต่ายชี้ให้เขาดูด้วยท่าทางตื่นเต้นเมื่อเขาขับรถเข้ามาในตัวเมืองได้ไม่นาน  บนเนินสูงที่ปลายนิ้วเรียวชี้อยู่คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในวอริกเชอร์และมันก็เป็นโลเคชั่นในนิยายเรื่องนั้นด้วย...ปราสาทวอริกตั้งตระหง่านรอรับพวกเขาอยู่บนนั้น

แอสตันมาร์ตินยังไม่ทันจะจอดดี เจ้ากระต่ายก็กระโดดลงไปรอเขาอยู่ข้างรถแล้ว ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นดีใจราวกับเด็กๆ ในอ้อมแขนยังกอดนิยายเล่มนั้นเอาไว้แน่น

“เร็วเข้า”   เสียงใสเร่งเร้าเขา มือใหญ่จึงเอื้อมออกไปให้มือบางจับไว้ รอยยิ้มที่หันมายิ้มให้เขาทำเอาหัวใจกระตุกไปหลายทีจนอดที่จะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไม่ได้ ภาพในกล้องอาจจะไม่ได้เห็นหน้าเขาแต่มันก็เห็นมือของเราที่จับกันไว้แน่น เห็นใบหน้ามนหันมายิ้มโลกละลายให้เขาโดยมีเนินปราสาทอยู่เบื้องหลังไกลๆ ภาพนี้ก็เป็นภาพที่สวยมาก

พวกเขาเดินผ่านซุ้มประตูทางเข้าของรั้วทึบสูงเข้าไปก่อนจะต้องตะลึงจนแทบลืมหายใจ เพราะปราสาทยุคกลางที่รอต้อนรับพวกเขาอยู่นั้นงดงามมาก

ปราสาทวอริก (Warwick Castle) นั้นถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง เป็นสถาปัตยกรรมที่เหมือนเมืองป้อมเพราะมีกำแพงสูงล้อมรอบและมีป้อมปราการที่คอยสอดส่องศัตรูจากรอบด้าน มันถูกใช้ในทางการทหารก็จริงแต่ตัวอาคารสำหรับอยู่อาศัยนั้นก็งดงามตามสไตล์ของยุคกลางที่ดูน่าเกรงขามและไม่มีการตกแต่งเกินจริง ความงามล้วนมาจากโครงสร้าง สีของตัวอาคารจึงเป็นสีน้ำผึ้งซึ่งเป็นสีธรรมชาติของหินที่ใช้ในการก่อสร้าง และลานตรงกลางที่เป็นสนามหญ้าสีเขียวก็ยิ่งส่งให้ปราสาทหลังนี้ดูสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก ถึงจะไม่ได้หรูหราเหมือนพวกปราสาทในยุคหลังๆแต่ที่นี่ก็เต็มไปด้วยมนต์ขลังจนเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงทำให้นิยายรักเรื่องนั้นเข้ามาอยู่ในใจของเจ้ากระต่ายเนิร์ดนี่ได้

“อี้ป๋อ~~ ถ่ายรูปให้หน่อยๆ”   เจ้ากระต่ายหันมารบเร้าเขาทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ เขายกมือถือขึ้นอย่างสติสตังยังไม่ค่อยกลับเข้าร่างนัก แต่นี่ก็นับว่าน้อยครั้งมากที่เจ้ากระต่ายจะเป็นคนขอให้เขาถ่ายรูปให้เอง คงจะชอบมากจริงๆ

“กรี๊ดดดดด~~”    เปล่า นั่นไม่ใช่เสียงกรีดร้องของเจ้ากระต่าย แต่เป็นเสียงจากคนในทีมม้าลำพองที่ได้เห็นรูปที่เจ้ากระต่ายส่งเข้ากรุ๊ปแชทต่างหาก กรี๊ดซะสาวแตกกันเชียวนะ

“ทำไมนายอยู่ที่นั่นล่ะ?!! พาชั้นไปด้วย~~”   คะชู คิโยมิตสึโผล่หน้ามาร้องแง้วๆใส่เป็นคนแรก

“อ๊ากกกก นี่มันปราสาทแห่งรักของท่านเคานต์~ ท่านเคานต์เจ้าคะ ท่านเคานต์~~”   ศิษย์พี่ของเจ้ากระต่ายก็เข้ามาตะกายจอแกร่กๆ อย่าทำน้ำลายยืดใส่จอสิ!

“ฮือออ ฉากบอกรักตอนปราสาทไฟไหม้ลอยเข้ามาในหัวชั้นเลย แง๊~~ อยากไปบ้างงงงง คุณรีไวพาผมไปที~~”   คราวนี้เป็นเอเลน เยเกอร์ที่หันไปงอแงใส่คนข้างๆต่อ

“ไม่เอา เดี๋ยวก็มารบเร้าให้ชั้นพูดคำน่าอายพวกนั้นอีก”   แต่คุณรีไวกลับสะบัดหน้าหนีพร้อมกับท่าสยองๆทันที

“เห็นแล้วอยากกระทืบหมีขึ้นมาเลย”   อ่า...ดูท่าทางโกคุเดระ ฮายาโตะกับรีไวน่าจะเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากนิยายเรื่องนี้ที่สุดในทีมสินะ เห็นเจ้ากระต่ายเล่าว่าเพราะฉากบอกรักของนิยายเรื่องนี้ เจ้าคนปากแข็งทั้งคู่นั่นเลยถูกรบเร้าให้ต้องบอกรักอย่างอลังการจนสะเทือนไปทั้งสนามแข่ง

“อยากเห็น The Rose of  Warwick จัง...ถ้ามีจริงๆถ่ายมาให้ดูด้วยนะครับ”   สเลน ทรอยยาร์ดโผล่หน้าเข้ามาด้วยดวงตาชวนฝัน ตกลงติดกันทั้งพิตจริงๆสินะ

“แยกย้ายกันทำงานได้แล้ว ถ้าสนามนี้ชนะ ไว้ไปแข่งที่อังกฤษเมื่อไหร่ชั้นจะพาพวกนายไปก็แล้วกัน เฮ้อ”   แล้วทีมบอสของเฟอร์รารี่ก็ยังคงเป็นคนที่ฉลาดและเต็มไปด้วยเล่ห์กลมากที่สุดในทีมเหมือนเดิม

“จริงนะ! ว๊าย รักบอสที่สุด!!”   เท่านั้นแหละ ฝูงม้าพยศสีแดงก็แยกย้ายไปตั้งหน้าตั้งตาล่าชัยชนะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาจะไม่แปลกใจเลยถ้าเจ้าพวกนั้นจะชนะขาดลอยในสนามนี้...

“เข้าไปข้างในกัน”   เจ้ากระต่ายหันมาเรียกเขา ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นนั่นดูมีความสุขมากจริงๆ แค่นี้ก็ทำให้เขามีความสุขไปด้วยแล้ว

ด้านในปราสาทไม่ได้ปล่อยไว้เป็นห้องโล่งๆแต่กลับถูกจำลองการใช้ชีวิตของขุนนางยุคระบบศักดินาของอังกฤษโดยผ่านหุ่นขี้ผึ้งพวกนั้น ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหน้าผมก็ชวนให้คิดถึงชนชั้นปกครองในยุควิกตอเรียนของที่นี่จริงๆ ปราสาทแห่งนี้เคยมีตระกูลท่านเอิร์ลแห่งวอริกเป็นเจ้าของ

“ตรงนี้ๆ ท่านเคานต์นั่งเล่นเปียโนอยู่ตรงนี้ ส่วนนายเอกก็แอบดูอยู่หลังประตูตรงนั้น”   เจ้ากระต่ายรีบหันมาชี้ให้เขาดูด้วยท่าทางตื่นเต้นเมื่อเดินมาถึงห้องรับแขกซึ่งมีแกรนด์เปียโนสีเข้มตั้งอยู่ ดูเหมือนฉากที่ใช้ในซีรี่ย์ก็ใช้ห้องจริงๆในปราสาทหลังนี้ในการถ่ายทำ เขาปล่อยให้เจ้ากระต่ายเล็งหามุมถ่ายรูปให้เหมือนมุมในซีรี่ย์ตามประสาติ่งไป สงสัยคงได้อยู่ที่นี่ทั้งวันแน่ๆ

“เหล่าหวัง นายลองไปนั่งที่เปียโนซิ”   คุณเข้าใจไหม ต่อให้เราไม่ใช่ติ่งแต่ถ้ามีแฟนเป็นติ่ง บางครั้งเราก็ต้องถูกลากไปติ่งด้วยอย่างช่วยไม่ได้

“ตรงนี้เหรอ?”   เขาเดินไปนั่งหน้าแกรนด์เปียโนแล้วปล่อยให้เจ้ากระต่ายถ่ายรูปไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไป

“ว้าว ท่านเคานต์มากๆ!”   ใบหน้ามนก้มลงไปมองรูปอย่างภาคภูมิใจ

“แล้วนายเอกของพี่ทำแค่แอบดูอยู่ตรงนั้นอย่างเดียวเลยเหรอ?”

“เปล่า นายเอกถูกท่านเคานต์จับได้ เลยเรียกมานั่งข้างๆแล้วสอนเปียโนให้”

“งั้นพี่ก็มานั่งนี่สิ”   เจ้ากระต่ายเดินมานั่งลงข้างๆเขาอย่างว่าง่าย

“งื้ออออ เขินเนอะ”   เขาเหลือบมองมือกระต่ายที่ยกขึ้นมาปิดหน้าด้วยความเอ็นดู อินเบอร์ไหนกันละนั่น

ปลายนิ้วยาวกดลงไปบนคีย์บอร์ดจนเกิดเป็นเสียง ที่จริงเขาเล่นเปียโนไม่เป็นหรอก แต่เขาจำได้จากในเนตตอนที่ฝึกร้องเพลงนี้ เพราะงั้นเพลงที่ปลายนิ้วยาวบรรเลงออกมา ถึงจะไม่ได้ไพเราะเพราะพริ้งแบบมืออาชีพ ถึงจะผิดๆเพี้ยนๆไปบ้าง แต่คนได้ฟังก็จำได้ทันทีว่ามันคือเพลงเพลงเดียวกับที่หวังอี้ป๋อร้องเมื่อเช้า

แก้มใสจึงค่อยๆแดงระเรื่อขึ้น...

“ท่านเคานต์เล่นเพลงนี้ด้วยรึเปล่า?”   ใบหน้าหล่อเหลาหันไปอมยิ้มขณะที่ถามคนข้างๆอย่างหยอกเย้า

“......มีแต่ท่านเคานต์ตระกูลหวังเท่านั้นแหละที่เล่นเพลงนี้ให้นายเอกของเขาฟัง อ๊า~~บ้าจริง นายหลอกให้ชั้นพูดอะไรเนี่ย!”   พูดเองก็เขินเองนะเจ้ากระต่ายเอ้ย  หน้าแดงจนวิ่งหนีไปอีกห้องแล้ว

เขาเดินตามไปยังห้องที่อยู่บนชั้นสอง น่าจะเป็นห้องทำงานเพราะมีโต๊ะไม้สมัยวิกตอเรียนตัวใหญ่วางอยู่พร้อมขวดหมึกและพู่กันขนนก วิวนอกหน้าต่างกระจกเผยให้เห็นว่าด้านหลังปราสาทเองก็งดงามไม่แพ้ด้านหน้า แม่น้ำสายใหญ่ซึ่งเป็นดั่งเส้นเลือดของวอริกเชอร์อยู่ติดกับปราสาท ถัดออกไปเป็นเนินหญ้าสีเขียวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา นี่คงจะเป็นห้องทำงานที่น่าทำงานที่สุดในโลกแล้ว

“โซฟาตรงนี้ๆ ที่ท่านเคานต์มักจะให้นายเอกมาเป็นหมอนข้างให้ตอนที่ทำงานห้ามรุ่งห้ามค่ำจนไม่ได้นอนมาหลายวัน ทั้งๆที่บอกให้ปลุกแต่นายเอกก็มักจะหลับไปด้วยตลอดเลย”   เจ้ากระต่ายชี้โซฟาที่แสนวิจิตรบรรจงตัวใหญ่ซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งในห้อง ตัวโซฟาบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงเลือดนก

“จะลองนอนดูไหม?”   เขาหันไปถามพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เจ้ากระต่ายยู่หน้าใส่ก่อนจะเดินไปห้องถัดไป

ห้องนอนประดับประดาด้วยของตกแต่งดั้งเดิม เตียงสี่เสาให้ความรู้สึกราวกับว่าหลุดมาอยู่ในยุควิกตอเรียนเสียจริงๆ ถึงแม้ภายนอกจะดูทึมๆสมเป็นปราสาทในยุคกลางแต่ข้างในกลับตกแต่งไว้อย่างหรูหราด้วยสไตล์ในยุคหลัง

พวกเขาเดินทะลุออกไปยังระเบียงดาดฟ้าด้านหลังปราสาท ตรงนี้ยิ่งมองเห็นแม่น้ำเอวอนได้อย่างชัดเจน บรรยากาศดีมากจนเขาคิดว่าต้องมีฉากโรแมนติกๆที่นี่แน่ๆ แล้วคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเจ้ากระต่ายก็ทำให้การคาดเดาของเขานั้นไม่ผิดเลยจริงๆ

“ตรงนี้...ที่จูบกันครั้งแรก”   เจ้ากระต่ายทำหน้าชวนฝัน เขานึกเอ็นดูจนอดแซวไม่ได้

“จะลองจูบดูด้วยไหม?”

“งื้อ!”   เจ้ากระต่ายหันมาแยกเขี้ยวใส่ มือบางฟาดมาให้อีกหนึ่งทีโทษฐานทำบรรยากาศโรแมนติกๆเสียหมด

พวกเขาเดินดูห้องต่างๆในตัวปราสาทจนเกือบครบซึ่งเล่นเอาเหงื่อตกไปเหมือนกัน ห้องนับร้อยนับพันนั่นอาจจะไม่ได้เปิดให้ดูทั้งหมดแต่มันก็มากพอที่จะกินเวลาไปถึงครึ่งค่อนวัน แต่ปราสาทยุคกลางแบบนี้ยังมีอีกสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์มาก และหากไม่ได้เข้าไปดูก็คงจะถือว่ามาไม่ถึงเป็นแน่

นั่นก็คือบรรดาห้องใต้ดินทั้งหลายซึ่งเป็นที่ทำงานของทหาร ทั้งผลิตอาวุธ ชุดเกราะ อานม้า เป็นที่ทำงานของพ่อบ้านแม่บ้านอย่างซักผ้า ทำอาหาร นอกนั้นยังเป็นที่กักขังนักโทษอีกด้วย

มือบางถึงกับต้องเกาะแขนเขาไว้เมื่อเดินลงมายังคุกใต้ดิน ถึงแม้ตอนนี้จะมีไฟสลัวๆแต่ทางเดินที่แคบและอับชื้นนี้ก็มีบรรยากาศชวนหลอนอยู่ไม่น้อย จริงๆแล้วเขาไม่ค่อยชอบที่มืดเท่าไหร่แต่จะปล่อยเจ้ากระต่ายซุ่มซ่ามลงมาคนเดียวก็ไม่ได้ ยิ่งบันไดชันๆแบบนี้คงได้ตกลงไปหัวร้างข้างแตกตายแน่ๆ

“ฉากนี้บีบหัวใจชั้นมากเลยละ ฮืออออ ท่านเคานต์เข้าใจผิดจนจับนายเอกมาขังไว้ที่นี่ น่าสงสารเนอะ”   เจ้ากระต่ายซบหน้าลงบนด้านหลังไหล่เขาก่อนจะค่อยๆมองคุกใต้ดินนั่นผ่านไหล่เขาอีกที นี่คงจะเป็นฉากที่เขาเห็นเจ้ากระต่ายร้องไห้เอาๆตอนดูซีรี่ย์สินะ จำได้ว่าหมดทิชชูไปเป็นม้วนๆ ร้องตอนดูไม่พอ ซีรี่ย์จบตอนไปแล้วก็ยังจะร้องต่ออีก กว่าเขาจะปลอบให้สงบได้ก็แทบตาย

“นายน่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรต้องฟังเหตุผลจากชั้นก่อนนะ ห้ามคิดไปเอง ห้ามเข้าใจผิดไปเองด้วย”   เจ้ากระต่ายบ่นเง้างอดกลัวว่าเขาจะเป็นเหมือนท่านเคานต์นั่นสินะ

“ครับ”   เขารับปากเพราะยังไงเขาก็ฟังเจ้ากระต่ายมากกว่าใครอยู่แล้ว

จากคุกใต้ดินอันหดหู่ตอนนี้พวกเขาขึ้นมายืนบนพื้นดินแล้ว สวนด้านหลังปราสาทซึ่งเป็นสวนสไตล์อังกฤษนั้นกำลังหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นกุหลาบนานาพันธุ์ ตรงนี้มีซุ้มไม้สีขาวซึ่งมีกุหลาบเถาสีชมพูพันอยู่ด้วย มันสวยงามราวกับภาพวาดในนิยายเลยจริงๆ

แต่ท่ามกลางกุหลาบมากมายก็ยังมีสายพันธุ์หนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมา ทั้งกลิ่นที่หอมมาก ทั้งขนาดดอกที่ใหญ่โต ทั้งสีชมพูที่ทำให้ดูสวยหวานไปทั้งดอก ขนาดคนอย่างเขายังแยกออก

“กุหลาบแห่งวอริก!”    เจ้ากระต่ายแทบจะพุ่งเข้าใส่ ใบหน้ามนที่ขยับไปใกล้กุหลาบพันธุ์พิเศษนั้นเคลิบเคลิ้มราวกับอยู่ในฝัน รอยยิ้มหวานๆกับกุหลาบสีหวานๆ


แชะ!


แน่นอนว่าเขาไม่พลาดที่จะถ่ายรูปนี้แน่ๆ

“สวยอ่า มีขายไหม ชั้นอยากซื้อกลับไปปลูกที่บ้าน~”   เดี๋ยวก่อน ถามคนปลูกคนรดน้ำอย่างเขาหรือยัง? เจ้ากระต่ายตัวดีนี่เอาแต่ซื้ออย่างเดียว มีแต่เขานี่แหละที่ต้องคอยปวดหัวหาข้อมูลว่าจะปลูกเจ้าต้นไม้สารพัดทวีปพวกนั้นว่าจะเลี้ยงมันให้มีชีวิตรอดยังไง

แต่ก็โชคดีไปที่กุหลาบพันธุ์พิเศษนั่นไม่มีต้นอ่อนขาย...




“ชั้นไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”   เจ้ากระต่ายยัดหนังสือนิยายเล่มหนามาให้เขาถือก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไป พวกเขาดูปราสาทจนทั่วและคิดว่ากำลังจะกลับแล้ว

ร่างสูงสง่ายืนเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำ เมื่อกี้เขาเข้าไปดูมารอบนึงแล้วว่าในนั้นไม่มีใครอยู่นอกจากเจ้ากระต่ายของเขา ที่ต้องเฝ้าขนาดนี้เขาไม่ได้หวงจนกลายเป็นวิตกจริตหรอก แต่มันเป็นเพราะว่า...เขารู้สึกมาตลอด...

ว่ามีคนสะกดรอยตามเขากับเจ้ากระต่ายอยู่

เขารู้สึกได้ว่าถูกจับตาดู แต่ก็จับตัวไม่ได้สักที คิดว่าไม่น่าใช่ปาปารัซซี่เพราะเขาก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้แล้ว ปาปารัซซี่ไม่น่าจะอยากรู้ข่าวฉาวอะไรนอกจากเรื่องนี้แล้วไหม?

แล้วมันก็น่าแปลกใจ ที่เขามักจะรู้สึกว่าถูกสะกดรอยตามก็ต่อเมื่ออยู่นอกอิตาลีเท่านั้นด้วย...หรือจะเป็นหมอนั่น...อานัส ซัลมาน ที่ยังตัดใจจากเจ้ากระต่ายของเขาไม่ได้?

เขาจึงตัดสินใจโทรหาคนที่บ้าน จะเอาแต่พึ่งทางเฟอร์รารี่อย่างเดียวเขาก็เกรงใจ ถึงแม้พ่อเขาจะยังไม่ยอมรับเรื่องนี้และเขาก็ไม่ได้คิดจะขอความช่วยเหลือจากทางนั้น แต่เขาก็เป็นหนึ่งในตระกูลหวัง เขาก็มีสิทธิ์ใช้อำนาจและอิทธิพลของที่บ้านเช่นกัน

“นายน้อย?!”   เสียงจากปลายสายฟังดูตกใจมากที่เขาโทรหา จะว่าไปก็เกือบปีแล้วที่เขาไม่ได้ติดต่อคนที่บ้านเลย

“เลขาเหมา”   อีกฝ่ายเป็นมือขวาของพ่อเขาเอง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ? ให้ผมแจ้งนายไหมครับ?”   เสียงจากปลายสายยังอยู่ในอาการตกใจ

“ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกครับ แล้วก็ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับพ่อด้วย ผมมีเรื่องให้ช่วยหน่อย”

“ครับ ว่ามาได้เลยครับ”

“ผมอยากได้บอร์ดี้การ์ดนอกเครื่องแบบซัก 3-4 คน ให้คอยคุ้มกันเซียวจ้านโดยเว้นระยะห่างไม่ให้เจ้าตัวรู้ตัว”

“คุณเซียวจ้าน...คนรักของนายน้อย?”  

“ครับ”   เท่านี้เลขาเหมาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงบอกเรื่องนี้กับพ่อเขาไม่ได้

“เธอถูกใครทำร้ายเหรอครับ?”

“ผมยังไม่รู้ว่ามันเป็นใคร แต่มีคนสะกดรอยตามเซียวจ้านนั่นคือเรื่องที่ผมรู้”

“เรื่องบอร์ดี้การ์ดไม่มีปัญหาครับ ผมจะส่งคนไปคอยตามคุ้มกันโดยไม่ให้คุณเซียวจ้านรู้ตัว”

“ครับ”

“แล้วนายน้อย...ไม่คิดจะพาเธอมาที่บ้านบ้างเหรอครับ ถึงนายกับนายหญิงจะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็น่าจะอยากคุยเรื่องนี้กับนายน้อยนะครับ”

“เอาไว้ผมพร้อมเมื่อไหร่ ผมจะกลับไป”

โทรศัพท์ถูกวางสายไปในขณะที่เจ้ากระต่ายเดินออกจากห้องน้ำมาพอดี ใบหน้ามนที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่นยังมีความฟินอยู่เต็มที่ แบบนี้ก็ดีแล้ว เขาไม่อยากให้เจ้ากระต่ายมีเรื่องทุกข์ใจอะไรทั้งนั้น



ASTON MARTIN DB11 ขับลงใต้มานิดหน่อย วันนี้พวกเขายังไม่กลับอิตาลีกันหรอก แต่ที่ต่อไปที่เขาจะใช้พักแรมในคืนนี้ก็คือหมู่บ้านชนบทในภาคกลางของอังกฤษ

หมู่บ้าน Bibury แห่ง Cotswolds 




.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.


มันจะมีแหละ GLIDE ตอนที่ 20.5 กับ 21.5 น่ะ ฮ่าๆๆ

ขอสลับสนามหน่อย จริงๆซิลเวอร์สโตนเป็นสนามกลางๆของตารางอ่ะนะ แน่นอนว่าเราคงไม่ได้เขียนมันทุกสนามหรอก~ // ค่ะ รอบนี้ไปเที่ยวอังกฤษกันค่ะ 555+  ฟิคแข่งรถ ฟิคขายรถ ฟิคมาเฟีย แล้วก็ยังเป็นฟิคนำเที่ยวด้วยค่ะถถถ

แล้วก็ เปล่านะคะ ไม่ได้ tie in ฟิคตัวเองแต่อย่างใดนาคะ 55555+ // พอดีเห็นว่าสนามซิลเวอร์สโตนอยู่ไม่ไกลจากวอริกเชอร์เท่าไหร่อ่ะนะ เลยยืมมาใช้หน่อย >/////< แปะรูปปราสาทวอริก










และไหนๆ GLIDE ทุกภาคก็โปรโมท Last word เหมือนกันแล้ว แม้แต่เพลงที่พระเอกร้องให้นายเอกฟังก็ใช้เพลงเดียวกันไปด้วยเลยแล้วกัน // โดนตบ // เพลง Until You ของ Shayne Ward ค่ะ ต้องขอขอบคุณคำแปลจาก เจ้าช่อมาลี (PP_Skywalker) ลิ้งค์ >> จิ้ม   ด้วยนะคะ กราบบบบบ // ใครที่อ่าน GLIDE ภาคก่อนๆมาแล้วเจอฉากคุ้นๆก็ปล่อยเบลอไปนะคะ555 แต่เวลาพระเอกดิบๆเถื่อนๆทั้งหลายของซีรี่ย์นี้ร้องเพลงหวานๆเพลงนี้ให้นายเอกของตัวเองฟังแล้วมันแบบ...โว้ยยยย เขิล >////<

แล้วก็ตอนนี้ให้ป๋อขับแอสตันมาร์ติน จริงๆใน Moto GP คุณกวางไม่รู้ว่าเค้าเป็นยังไงกัน แต่ใน F1 ทีมแข่งรถเค้าจะมีการเตรียมรถสำหรับรับ-ส่งจากโรงแรมไปสนามให้นักขับของทีมโดยเฉพาะน่ะค่ะ จะมี 2 คันสำหรับนักขับ 2 คน ซึ่งพวกนางมักจะขับเองแต่บางประเทศที่ไม่คุ้นเคยก็จะมีคนขับให้ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในทีมแหละ แล้วอิรถสองคันนี้คือจัดเต็มมากค่ะ เพราะพวกนางเป็นหน้าตาของทีม555 ยอมกันไม่ได้ เป็นการโปรโมทไปในตัวด้วย อย่างทีมเฟอร์รารี่นางก็จะเอารถเฟอร์รารี่มาให้ใช้ มีอัลฟ่าโรเมโอรุ่นที่ออกใหม่บ้างบางที  ทีมเมอซิเดสก็เอาเบนซ์มาให้ใช้  ทีมเรดบูลที่มีพาร์ทเนอร์เป็นแอสตันมาร์ตินก็เอารถแอสตันมาร์ตินมาให้ใช้  ทีมแม็คลาเรนก็เอารถแม็คลาเรนมาให้ใช้  ทีมเรโนลต์ก็เอารถเรโนลต์มาให้ใช้ ประมาณนี้อ่ะค่ะ

แล้วก็มีคอมเม้นต์ถามมาว่าพี่จ้านจะกลับไปทำรถให้เฟอร์รารี่อีกไหม หรือจะอยู่ดูคาติยาวเลย ตอบคือ กลับไปทำรถให้เฟอร์รารี่ค่ะ สัญญายืมตัวแค่ฤดูกาลเดียว พอจบฤดูกาลแข่งนี้พี่จ้านก็ต้องกลับไปอยู่กับเฟอร์รารี่ตามเดิมกั๊บ

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามมากๆนะคะ ตอนหน้าก็ยังอยู่อังกฤษกันค่า




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น