ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 20


ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 20

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค





ฝ่าเท้าก้าวเข้าไปในบ้านที่ไม่ได้กลับมาเสียนาน  Ferrari Portofino ยังจอดอยู่ในโรงจอดรถ มีความเป็นไปได้ว่าเจ้ากระต่ายน่าจะอยู่ในบ้าน

มือใหญ่ยกค้างอยู่หน้าลูกบิดประตู เขาไม่รู้เลยว่าเจ้ากระต่ายช็อคขนาดไหน จะเป็นอะไรมากหรือเปล่า เขาจะต้องปลอบโยนยังไง ต้องขอโทษยังไงที่ไม่ระวังตัว มือเผลอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาสะบัดหัวสองสามทีก่อนจะตัดสินใจเปิดมันเข้าไป

ในบ้านเงียบกริบ...

แต่เขาเห็นอาม่านั่งรอใครก็ตามที่กำลังเข้าบ้านมาอยู่บนโซฟา...เจ้าหมีนั่นมักจะนั่งอยู่ตรงนั้นเวลาที่เขาหรือจ้านเกอออกไปนอกบ้าน นั่งรอพวกเรากลับมา...

เขาก้าวขาเดินไปที่โซฟา และแล้วเขาก็มองเห็นมือเรียวสวยขาวผ่องห้อยลงมาทำเอาหัวใจกระตุกไปวูบหนึ่ง...เจ้ากระต่ายอยู่บ้านและกำลังหลับอยู่เหรอ?

สองขาเดินเข้าไปหาด้วยความเงียบเชียบ ร่างโปร่งบางที่ถูกพนักโซฟาบดบังไว้ค่อยๆปรากฏให้เขาเห็น ใบหน้ามนหลับลึกอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แพขนตาแนบแก้มใสพร้อมลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอนั้นชวนให้คิดถึงจนปวดไปทั้งหัวใจ ร่างกายที่นอนตะแคงข้างอยู่บนโซฟาดูบอบบางมาก เปราะบางราวกับแก้วที่กำลังใกล้จะแตกเต็มที

ขอบตาสีแดงนั่นบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด อาจจะร้องไห้ อาจจะนอนไม่หลับ เห็นสภาพของเจ้ากระต่ายแล้วเขาก็ได้แต่โทษตัวเอง ทำไมไม่ระวัง ทำไมถึงทำให้คนที่รักเขาต้องเป็นห่วงจนตกอยู่ในสภาพนี้

นัยน์ตาละจากใบหน้าของคนที่กำลังหลับใหลไปมองที่โต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา มีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งวางอยู่...



ชั้นกลับก่อนนะ ถ้าตื่นแล้วก็กินข้าวด้วย ชั้นเอาวางไว้ให้ในไมโครเวฟ นายกดอุ่นแล้วก็กินได้เลย
ตอนเย็นเอเลนจะมาอยู่เป็นเพื่อน เห็นพวกนั้นบอกว่าจะทำอาหารญี่ปุ่นมาให้นาย
ชั้นโทรเช็คกับทีมบอสของ Monster Yamaha ให้แล้ว หวังอี้ป๋อปลอดภัยดี ถ้านายเป็นห่วงหมอนั่นก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ เข้าใจไหม?

                     เอลวิน


เขาอ่านข้อความเหล่านั้นด้วยหัวใจที่ปวดหนึบ ยังดีที่เจ้ากระต่ายมีบ้านสีแดงหลังนี้ มีครอบครัวที่พร้อมจะไปรับตัวกลับมาทันทีที่มีปัญหา มีคนที่คอยปกป้องนอกจากเขา มีเพื่อนมีพี่น้องคอยดูแล

ครืด...ครืด....ครืด....

โทรศัพท์มือถือสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง เขาหยิบมันมาดูด้วยสายตาเหม่อๆ...ทีมบอสของเฟอร์รารี่โทรมา?

“ครับ...”   เสียงทุ้มตอบรับลอยๆ

“นายมาถึงแล้วเหรอ? ไม่เป็นไรมากใช่ไหม?”   เขาไม่แปลกใจหรอกที่อีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่

“ไม่เป็นไรแล้วครับ”  

“งั้นก็ดีแล้ว ชั้นโทรมาบอกนายก่อน เดี๋ยวจะตกใจว่าทำไมเซียวจ้านไม่ยอมตื่น...หมอนั่นกินยานอนหลับเข้าไป น่าจะอีกชั่วโมงกว่าๆถึงจะตื่น”   ร่างทั้งร่างถึงกับนิ่งค้าง...ถึงขั้นต้องให้กินยานอนหลับเลยเหรอ?

ร่างสูงสง่าค่อยๆทรุดนั่งลงไปบนโซฟาช้าๆ มือลูบกลุ่มผมสีดำพลางกล่าวขอโทษในใจ ยิ่งเห็นปลายจมูกโด่งรั้นแดงระเรื่อเขาก็ยิ่งรู้สึกผิด

“ถ้านายมาแล้วเดี๋ยวชั้นโทรบอกเอเลนเองว่าเย็นนี้มีคนอยู่กับเซียวจ้านแล้ว”   เอลวิน สมิธจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยดีจริงๆ

“ขอบคุณมากนะครับ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้...”

“ไม่ได้มีใครอยากให้มันเกิดสักหน่อย การแข่งรถมันก็แบบนี้แหละ ชั้นเชื่อว่าเซียวจ้านเข้าใจนะ แต่ที่เขาเอาแต่ห่วงนายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับนั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่านายเป็นยังไงบ้างมากกว่า”    เพราะไปหาเขาไม่ได้ ไปอยู่ข้างๆเขาไม่ได้สินะ...มือใหญ่กำแน่นอย่างเจ็บใจ ก่อนแข่งสนามหน้าเขาคงต้องจัดการกับเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเสียที

“ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะกลับไปทำรถให้ดูคาติต่อไหมก็ให้เซียวจ้านตัดสินใจเองก็แล้วกัน”

“ครับ...ขอโทษด้วยนะครับ ผมควรจะดูแลเขาให้ดีกว่านี้...”

“เท่าที่ชั้นคุยกับเจ้าครูเทโอ้ ดูเหมือนหมอนั่นไม่ค่อยห่วงนายมากเท่าไหร่ นายสองคนน่าจะมีแผนอะไรสำหรับรับมือกับเรื่องนี้อยู่แล้วสินะ?”

“ครับ”   ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเสียก่อนเขาก็คงจะได้ป่าวประกาศออกไปแล้ว

“ยังไงก็...ฝากดูแลเซียวจ้านด้วยก็แล้วกัน”   แล้วเอลวิน สมิธก็วางสายไป ทั้งทีมบอส ทั้งCEOของเฟอร์รารี่เป็นเหมือนพ่อของเจ้ากระต่ายจริงๆนั่นแหละ ดูแลฟูมฟักมาอย่างดีจนเขานึกขอบใจอยู่หลายครั้ง

มือใหญ่ยังคงลูบเส้นผมสีดำอยู่แบบนั้น ตลอดหนึ่งชั่วโมงเขาไม่ได้ลุกไปไหนเลย ดวงตาได้แต่ทอดมองใบหน้าของคนที่หลับใหลด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบ


จนกระทั่งเปลือกตาที่นิทรามาเนิ่นนานค่อยๆเปิดขึ้น...


“จ้านเกอ...”   เสียงของเขาเบาหวิว แต่กระนั้นดวงตากลมโตก็เบิกกว้างทันทีที่ได้ยิน ร่างโปร่งบางยันกายลุกพรวดขึ้นมาจากพื้นโซฟาเพื่อมองหาเขา

“อี้ป๋อ!!”   เจ้ากระต่ายตะโกนเรียกเสียงดัง ใบหน้ามนดูจะตื่นตระหนกตกใจ สายตามองสำรวจไปทั่วตัวเขาอย่างรวดเร็ว มือที่สั่นน้อยๆก็ไล่จับไปตามต้นขา ต้นแขน แผ่นอก ก่อนจะมาจบลงที่ใบหน้าของเขา

“อี้ป๋อ นายจริงๆด้วย! เป็นอะไรไหม? เจ็บตรงไหนรึเปล่า ชั้นเป็นห่วงนายมากเลย ฮือออออ”   หยดน้ำตาร่วงพรูลงมาจากดวงตาคู่สวย มือบางพยายามปาดมันทิ้งแต่มันก็ยิ่งไหลลงมาจนเลอะเต็มแก้ม เขาทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว หัวใจเหมือนถูกบีบรัดจนมันแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

มือใหญ่ดึงหัวสีดำมาซบไว้ที่แผงอก ปากพร่ำบอกซ้ำๆเพื่อให้เจ้ากระต่ายคลายกังวล  “ผมไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไรจ้านเกอ ผมหายดีแล้ว ผมไม่เป็นไรจริงๆ”   เสียงทุ้มยังคงเอ่ยซ้ำๆอยู่อย่างนั้นจนไหล่บอบบางที่สั่นระริกค่อยๆสงบลง

ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดคนที่ยังสะอึกสะอื้น มือใหญ่ลูบปลอบลงไปบนแผ่นหลังบางเบาๆ


ใช้ความอบอุ่นจากร่างกายทำให้หายกลัว...

ใช้เสียงหัวใจบอกให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน...

ใช้ลมหายใจแทนสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...


สองมือประคองใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาก่อนจะค่อยๆจูบซับมันออกไปด้วยความอ่อนโยน แต่แค่ดวงตาคู่โตนั่นมองมาที่เขา น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าก็ไหลลงมาอีก...เจ้ากระต่ายต้องทุกข์ใจแค่ไหน ไม่ต้องบอกเขาก็พอจะรู้


และมันก็ทำให้ใจเขาเจ็บไม่แพ้กัน...


ในตอนนี้...บางทีคำพูดอาจจะไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ เขาดึงร่างที่เกือบจะแตกสลายมากอดเอาไว้...กอดเอาไว้...รวบรวมมันเข้ามาใหม่...จะกอดเอาไว้ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม...






พวกเขาเผลอหลับไปทั้งคู่อยู่บนโซฟา...เขาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ในบ้านมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากภายนอกที่ทำให้พอจะมองเห็นอะไรได้บ้าง

มือใหญ่ควานหารีโมทก่อนจะกดเปิดไฟ เจ้ากระต่ายยังคงหลับซบอยู่บนแผ่นอกเขา ฝ่ามือประคองแก้มใสแผ่วเบา มันมีแต่คราบน้ำตาและขอบตาของเจ้ากระต่ายก็แดงไปหมด ถ้าตื่นขึ้นมาต้องปวดหัวแล้วก็ตาบวมมากแน่ๆ

ริมฝีปากจูบลงไปบนกลุ่มผมสีดำอย่างปลอบโยนถึงแม้อีกฝ่ายอาจจะไม่รับรู้ แต่เขาเชื่อว่าความอบอุ่นนี้จะซึมผ่านไปถึงหัวใจของเจ้ากระต่ายได้

เขาทอดสายตามองใบหน้าหลับปุ๋ยของเจ้ากระต่าย รู้สึกว่าเขาโชคดีแล้วจริงๆที่ไม่เป็นอะไรมาก โชคดีจริงๆที่ได้กลับมาอยู่ตรงนี้ โชคดีเหลือเกิน...

อ้อมแขนเผลอกอดกระชับร่างโปร่งบางตามอารมณ์ที่หนักหน่วงทำให้คนหลับรู้สึกตัวขึ้นมาจนได้

“อือ...”   ดวงตาคู่โตค่อยๆเปิดขึ้นมา ใบหน้ามนขยับอยู่บนแผงอกเขาและเมื่อรับรู้ถึงแรงขยับขึ้นลงเบาๆตามจังหวะที่เขาหายใจ ใบหน้าใสก็ดูผ่อนคลายขึ้นเพราะรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้  ร่างโปร่งบางยันกายลุกขึ้นนั่งเขาจึงขยับตาม

“อี้ป๋อ...ทำไมชั้นมองไม่ค่อยเห็นหน้านายเลยอ่ะ...”   มือขาวซีดขยี้ตาก่อนจะพยายามเพ่งมองใบหน้าเขา

“ก็พี่ร้องไห้จนตาบวมขนาดนี้ไง เอ้า ใส่แว่นก่อน”   เขาหยิบแว่นมาสวมให้ เบลอถึงขนาดลืมว่าตัวเองไม่ได้ใส่แว่น และเมื่อภาพของเขาชัดเจนขึ้น เจ้ากระต่ายก็เริ่มถามทันที

“นายเป็นอะไรมากไหม? บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”   ดวงตาคู่โตยังคงมองสำรวจร่างกายเขาด้วยความเป็นห่วง มองแล้วมองอีก มองราวกับว่าจะไม่ยอมให้บาดแผลแม้แต่รอยเดียวหลุดรอดสายตาไปได้

“มีแค่ไหล่ข้างนี้ที่หลุด นอกนั้นไม่เป็นไร”  

“ยังเจ็บอยู่ไหม? กินยารึยัง? แล้วหมอล่ะ? หมอให้นายออกมาจากโรงพยาบาลได้แล้วเหรอ?”

“เปล่า ผมหนีมา”   เจ้ากระต่ายทำท่าตื่นตูมเมื่อได้ฟังคำตอบของเขา

“ทำไมหนีมาล่ะ? เดี๋ยวก็เจ็บหรอก กลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”  

“ไม่เอา...ผมอยากเห็นหน้าพี่ แค่ได้เห็นหน้าพี่ผมก็หายเจ็บแล้ว”

“นายนี่มัน! ไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลย นายรู้ไหมว่าชั้นเป็นห่วงนายขนาดไหน นี่บอสก็สัญญาแล้วว่าจะพาชั้นไปหานายถ้าชั้นยอมกินข้าวแล้วก็กินยา แต่นายกลับหนีมาเนี่ยนะ? เดี๋ยวตีให้ตายเลย!   เจ้ากระต่ายหน้านิ่วคิ้วขมวดทำท่าจะลากเขาไปโรงพยาบาลท่าเดียว เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขามากแล้วก็กังวลมาก เขาจึงเลิกก่อกวน

“โอเคๆ ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยไปโรงพยาบาลกัน แต่ตอนนี้มืดแล้ว ดูสิ”   เขาชี้ให้เจ้ากระต่ายมองภายนอกที่มืดสนิท

“.......นาย...ไม่เป็นไรแน่นะ?”   คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าเวลามันผ่านมาขนาดนี้แล้วยอมจำนน แต่ก็มิวายหันมาถามเขาอย่างกังวล

“ครับ แต่ตอนนี้ผมหิวแล้ว”   เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง

“งั้นรอเดี๋ยวนะ”   เจ้ากระต่ายรีบลุกเข้าครัวทั้งๆที่หัวยังกระเซอะกระเซิง เขาทอดสายตามองร่างโปร่งบางที่กระตือรือล้นทำอาหารให้เขาทานอย่างรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยเจ้ากระต่ายก็เลิกเศร้าเลิกร้องไห้และกลับมาลุกขึ้นยืนได้เพื่อเขา

ตัวเขาเองก็เหมือนได้รับการเยียวยาไปด้วย การได้เห็นเจ้ากระต่ายเดินไปเดินมาอยู่ในครัว หยิบนู่นหยิบนี่มาทำอาหารให้เขาทาน ภาพง่ายๆเหล่านี้มันกลับมีคุณค่าต่อจิตใจของเขามาก



เพราะอุบัติเหตุคราวนี้ทำให้พวกเรารู้ว่าเรารักกันมากขนาดไหน

รักมากจนคิดว่าหากขาดอีกฝ่ายไปก็คงจะอยู่ไม่ได้...



“ระวังร้อนนะ”  อาหารบ้านเกิดถูกวางเต็มโต๊ะ เจ้ากระต่ายตั้งใจจะขุนให้เขาอ้วนตายหรือไงถึงได้ทำมาเยอะแยะขนาดนี้

“คิดถึงอาหารฝีมือพี่จัง ผมกินอะไรก็ไม่รู้สึกว่าอร่อยเลยตั้งแต่ได้กินอาหารฝีมือพี่”   เขากล่าวชื่นชมผสมลูกอ้อนไปด้วย

“งั้นก็กินเข้าไปเยอะๆ”   เจ้ากระต่ายใช้ตะเกียบตักกับข้าวใส่จานเขาเอาๆจนมันพูนขึ้นมา เขามองความเอาใจใส่นั้นด้วยรอยยิ้ม

“พี่ก็ต้องกินด้วย”   เขาใช้ตะเกียบคีบกับข้าวใส่ถ้วยของเจ้ากระต่ายเอาๆจนมันพูนขึ้นมาไม่แพ้กัน ใบหน้ามนค่อยยิ้มออกมาได้บ้างและมันก็ทำให้เขารู้สึกสุขใจ

เจ้ากระต่ายกินไปได้สองสามคำก็พูดออกมา   “ชั้นกลัวมากเลย...กลัวว่าจะไม่ได้นั่งกินข้าวกับนายแบบนี้อีก...”   ใบหน้าที่สดใสขึ้นมาหน่อยกลับไปเศร้าหมองอีกครั้ง

“ผมก็กลัวเหมือนกัน”   เขาบอกออกไปตรงๆเช่นกัน เขาคิดว่าคงไม่มีคำปลอบใจใดดีไปกว่านี้แล้ว  เจ้ากระต่ายเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาสั่นพร่า

“ตอนที่รถล้มแล้วตัวผมไถลไปตามพื้น ตอนนั้นผมกลัวจริงๆนะว่าจะไม่ได้เห็นหน้าพี่อีก ผมเสียใจ ผมเสียใจมาก”   มือบางยื่นมากุมมือเขาไว้

“แต่ตอนนี้นายก็กลับมาหาชั้นแล้ว...เพราะงั้นเรามาใช้ชีวิตต่อไปให้มีความสุขกันเถอะ นายอยากกินอะไร นายบอกชั้น ชั้นจะทำให้กินทุกอย่างเลย”   เขายิ้มออกไปก่อนจะบีบมือที่กุมมือเขาไว้ ตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่ารักมากกว่าเดิมเข้าไปอีก รักจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

“กินข้าวกันเถอะ”   ใบหน้ามนพยักรับก่อนจะลงมือทานอาหารกันต่อ

“พี่...จะกลับไปทำรถให้ดูคาติต่อหรือเปล่า...”   เขาตัดสินใจถามออกไป

“ชั้น.......”   ใบหน้ามนมีความลังเล

“ผมสนุกมากนะ การได้แข่งกับรถที่พี่ทำ ผมไม่เคยรู้สึกสนุกแบบนี้มานานแล้ว พี่คือคู่ต่อสู้ที่ผมรอคอย”   เขาบอกความรู้สึกในใจออกไปตรงๆ หวังอี้ป๋อมักจะแสดงออกตรงๆแบบนี้เสมอ ชอบก็บอกว่าชอบ

“แต่ชั้น...ทำให้นายบาดเจ็บ...”   ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่นอย่างรู้สึกผิด

“มันไม่เกี่ยวกับพี่เลย ผมไม่ระวังเอง รู้ทั้งรู้ว่ารถยังไม่เสถียรแต่ผมก็ยังเสี่ยง ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ผมเองก็อยากอยู่กับพี่ไปนานๆนะ”   เขาใช้สายตาในการสื่อสาร เขาอยากให้เจ้ากระต่ายกลับไปด้วยกัน

“.....”   เจ้ากระต่ายทำหน้าเหมือนกำลังตัดสินใจ

“แล้วก็...ถ้าพี่กังวลเรื่องทีมของเราทั้งสองคนละก็ พี่ไม่ต้องห่วง...มันกำลังจะจบแล้ว”

“นาย...อยากให้ชั้น...กลับไปทำรถให้ดูคาติเหรอ...”    เจ้ากระต่ายช้อนสายตาถามออกมาอย่างไม่มั่นใจ เสียงทุ้มจึงกล่าวออกไปด้วยความหนักแน่น

“ครับ...ผมเอง...ก็อยากอยู่ใกล้ๆพี่เหมือนกัน”   ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายระยิบระยับราวกับตัดสินใจได้แล้ว เขาจึงยิ้มออกไปบางๆ

“แต่ชั้นอาจจะทำให้นายอดได้แชมป์ของปีนี้ก็ได้นะ? จะดีเหรอ?”    ปื้ด! เหมือนมีเสียงอะไรขาดอยู่ในหัว มั่นใจจนน่าหมั่นไส้เลยนะเจ้ากระต่ายเอ้ย~

“หึ เอาชนะผมให้ได้ก่อนเหอะค่อยมาพูด”   เขายกยิ้มอย่างท้าทาย บรรยากาศหม่นหมองหายไปในพริบตา เจ้ากระต่ายตัวแสบกลับมาแล้วสินะ

“หงึ ชั้นทำรถออกมาได้ดีกว่าเห็นๆ”   ใบหน้างุ่ยๆพูดอย่างไม่ยอมแพ้

“ก็แค่รอบซ้อมกับควอลิฟายไหม? ถ้าแข่งยาวๆพี่ยังสู้ผมไม่ได้หรอก”   เขาก็ไม่ยอมเช่นกัน

“งื้อ! ก็ได้! มาแข่งกันเลยหวังอี้ป๋อ! ดูซิว่ารถของชั้นกับนายใครจะเจ๋งกว่ากัน!   เจ้ากระต่ายลุกขึ้นเอาตะเกียบชี้หน้า เขาจึงรับคำท้าทันที

“ตกลงพี่กลับไป Moto GP กับผมนะ!  

“แน่นอน!




นั่นแหละ...


เพราะแบบนั้นแหละ...อีกสองอาทิตย์ให้หลัง หวังอี้ป๋อกับเซียวจ้านจึงได้กลับไปเผชิญหน้ากันในเวที Moto GP อีกครั้ง






วันพฤหัสบดี ณ.สนาม Termas de Río Hondo Circuit ประเทศอาร์เจนตินา Moto GP สนามที่สองของฤดูกาลกำลังจะเริ่มขึ้นที่นี่

แต่ตอนนี้ Press Conference หรือการแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ของสนามนี้กำลังจะเริ่มขึ้น

แน่นอนว่าไม่มีนักบิดคนไหนเป็นประเด็นร้อนจนน่าจับมาสัมภาษณ์เท่าหวังอี้ป๋อของทีม Monster Yamaha อีกแล้ว เพราะงั้น 1 ใน 3 ของนักบิดที่มีคิวให้สัมภาษณ์วันนี้ก็คือหวังอี้ป๋อนั่นเอง

ตากล้องต่างเตรียมพร้อม ขาตั้งกล้องล้อมเป็นวงอยู่หลังสุด ผู้สื่อข่าวของสื่อทั่วโลกนั่งตามเก้าอี้ที่ทางทีมงานจัดไว้ให้ บนเวทีที่ไม่ได้สูงมากนักมีโต๊ะตัวยาวหนึ่งตัว และแค่หวังอี้ป๋อเดินนำเพื่อนนักบิดอีกสองคนออกมา แสงแฟลชจากกล้องก็กระพริบจนมืดฟ้ามัวดิน

แชะๆๆๆๆๆๆ

เสียงชัตเตอร์รัวยิ่งกว่าปืนกล ตั้งแต่ประตูห้องพักจนกระทั่งร่างสูงสง่าเดินมานั่งลงตรงกลาง ภาพที่ถ่ายได้คงมีเป็นพันใบแล้วมั้งนั่น

ก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุเมื่อสนามที่แล้ว หวังอี้ป๋อก็เก็บตัวเงียบมาตลอด ไม่มีทั้งภาพ ไม่มีทั้งการให้สัมภาษณ์ใดๆ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าหวังอี้ป๋อหายไปไหน มีเพียงทีมบอสของยามาฮ่าออกมาทวิตบอกว่านักบิดหนุ่มปลอดภัยดีและตอนนี้ก็กำลังพักฟื้นอยู่ แฟนคลับทั่วโลกที่ต่างเป็นห่วงนักบิดขวัญใจจึงจับตามอง Press Conference ในครั้งนี้มาก

“หวังอี้ป๋อ อาการคุณเป็นยังไงบ้าง?”   คำถามแรกถูกยิงมาทันทีที่การสัมภาษณ์เริ่มขึ้น

“ก็ไม่เป็นอะไรมากครับ”

“แพทย์อนุญาตให้คุณกลับมาลงแข่งสนามนี้ได้แล้วใช่ไหมคะ?”

“ครับ”    หวังอี้ป๋อยังคงเป็นนักบิดที่เย็นชาที่สุดในกริดเหมือนเดิม การถามคำตอบคำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับนักบิดแชมป์สี่สมัยคนนี้

“คุณฟิตพอหรือเปล่าครับ? ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ไหมครับ?”

“ถ้าไม่ฟิตผมคงไม่มาหรอก”

“แล้วระหว่างที่พักฟื้นอยู่ คุณอยู่ที่ไหนคะ เงียบหายไปเลย แฟนๆเป็นห่วงคุณมาก”

“ผมอยู่อิตาลีครับ”

“ไม่ได้กลับไปพักที่จีนเหรอครับ?”   ทุกคนไม่รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่จีนมานานแล้วจึงได้มีคำถามแบบนี้ออกมา

“อยู่อิตาลีครับ”

“อ่อ...ทีมยามาฮ่ามีเบสอยู่ที่เลสโม่ด้วยนี่นะครับ จากกาตาร์ไปพักที่อิตาลีน่าจะง่ายกว่ากลับไปเอเชีย”

“ผมอยู่มาราเนลโล่ครับ”   และพอเขาตอบออกไปแบบไม่สนใจใครแบบนี้ก็เล่นเอาเงิบกันทั้งห้องสัมภาษณ์ เพราะทุกคนในวงการมอเตอร์สปอร์ตรู้ดีว่ามาราเนลโล่นั้นเป็นถิ่นของใคร...ก็เฟอร์รารี่ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไง!

“คุณอยู่กับเซียวจ้านเหรอครับ?”   หน่วยกล้าตายโพล่งถามออกไป และในขณะที่ทุกคนต่างหันไปมองอย่างขวัญผวาว่า...เอาแล้วไง...เอาแล้ว...จะโดนน้ำแข็งสะท้อนกลับยังไง แต่หวังอี้ป๋อกลับตอบด้วยสีหน้าราบเรียบว่า

“ครับ”    ถึงกับเงียบกริบไปทั้งห้อง...สมองกำลังประมวลผลกันอย่างหนักว่าหวังอี้ป๋อหัวกระแทกตอนรถล้มจนเปลี่ยนไปหรือยังไง? ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องตอบประมาณว่า คุณยุ่งอะไรด้วย?’  ไม่ก็  เรื่องของผมอะไรแบบนี้สิ

“พวกคุณถามคนอื่นบ้างก็ได้นะครับ”   แต่พ่อทุกสถาบันก็ยังเป็นพ่อทุกสถาบันวันยังค่ำ คำพูดที่สมเป็นหวังอี้ป๋อถูกเอ่ยออกมาจนนักข่าวได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก...นี่สิ หวังอี้ป๋อคนเดิมของพวกเขา!

นักข่าวจึงหันไปถามนักบิดอีกสองคนบ้าง ถึงแม้ไม่นานก็กลับมายิงคำถามใส่หวังอี้ป๋ออีกก็เถอะ

เวลา 30 นาทีหมดลงจนได้ คำถามสุดท้ายยังคงเป็นของนักบิดจากทีมยามาฮ่าอย่างไม่น่าแปลกใจ

“สุดท้ายนี้มีอะไรอยากจะบอกแฟนๆแทนในช่วงที่คุณเงียบหายไปบ้างหรือเปล่าครับ?”

“ผมมีเรื่องนึงอยากจะบอก...”   นานๆทีหวังอีป๋อถึงจะยอมพูด เพราะงั้นทั้งห้องส่งจึงเงียบกริบเพื่อรอฟังกันอย่างใจจดใจจ่อ

“แล้วก็ไม่ได้บอกเฉพาะแค่แฟนๆ...แต่อยากจะบอกไปถึงทีมดูคาติทั้งทีมด้วย”   นักข่าวต่างหูผึงและเงยหน้ามองหวังอี้ป๋อเป็นตาเดียวเพราะไม่คิดว่าจะมีชื่อทีมคู่แข่งอย่างดูคาติอยู่ในประโยคนี้ด้วย


“ผมอยากจะท้าทายพวกเขา”


“โดยเฉพาะวิศวกรออกแบบรถของเขา”  


เซียวจ้าน? หมายถึงเซียวจ้านสินะ?  กลิ่นคู่รักดราม่าโชยมาจนนักข่าวต้องรีบจดบันทึก ตากล้องต้องรีบเช็คว่าเปิดไมค์แล้วแน่ๆใช่ไหม เครื่องบันทึกเสียงแทบจะยื่นไปจ่อหน้า ก็ข่าวแบบนี้มันขายได้มากกว่าสนามนี้รถเป็นยังไง ลมฟ้าอากาศเป็นยังไงเสียอีก!


“จากนี้ไปผมจะเห็นพวกเขาเป็นศัตรู ผมจะท้าให้พวกเขามาสู้กับผม...ระหว่างรถที่ผมขับกับรถที่เซียวจ้านออกแบบ ใครจะเหนือกว่ากัน

“ผมจะวางเดิมพันไว้ทุกๆสนาม ระหว่างรถยามาฮ่าของผมกับรถดูคาติของเขา ใครชนะก็จะได้เดิมพันในสนามนั้นไป”

“ขอบคุณครับ”


ไมค์ถูกวางลงเป็นอันจบการสัมภาษณ์ เสียงฮือฮาดังไปทั่วห้อง...จากคู่รักกลายเป็นคู่แค้นงั้นเหรอ?

หวังอี้ป๋อยกยิ้มอย่างมั่นใจก่อนจะเดินออกจากห้องไป นักข่าวต่างรีบลงข่าวกันยกใหญ่ เรียกว่างานนี้แตกตื่นกันไปทั้งสนามลามไปถึงทั่วโลก!


จู่ๆหวังอี้ป๋อก็ประกาศศึกกับดูคาติ!


แน่นอนว่ายามาฮ่ายินดีร่วมมือกับนักบิดหนุ่ม 1000% ในการเอาชนะทีมสีแดงนั่นให้ได้!

หลังจากลงข่าวจนเป็นที่พูดถึงกันไปทั้งพิตเลน  สื่อทั้งหลายยังต้องวิ่งแข่งกันไปที่พิตของทีมคู่กรณีเพื่อให้ได้พื้นที่ดีที่สุดในการสัมภาษณ์ แน่นอนว่าประชากรทั้งทีมดูคาติที่ดูข่าวอยู่ต่างรับคำท้าด้วยใบหน้าแข็งกร้าว

“เหอะ! คิดว่ากลัวเร๊อะ! ปีนี้รถของพวกเราไม่เหมือนก่อนแล้วเฟ้ย! ยามาฮ่าก็ยามาฮ่าเถอะ! จะทำให้น้ำตาเช็ดหัวเข่าให้ดู!”   หัวหน้าทีมวิศวกรเครื่องยนต์ออกมาประกาศปาวๆอยู่หน้าพิต สนามที่ดูหดหู่หม่นหมองจนถึงเมื่อกี้เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เลือดของนักกีฬาที่หลงใหลในการแข่งขันพุ่งพล่านอย่างยอมไม่ได้เมื่อถูกท้าทาย

ทีมสีน้ำเงินกับทีมสีแดงต่างยืนชี้หน้าอย่างไม่มีใครยอมใครและคราวนี้ก็ดันอยู่พิตติดกันซะด้วย ความบันเทิงจึงมาเยือนโดยไม่ต้องเชื้อเชิญ แล้วหลังจากท้ารบกันจบ ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายไปประชุมเครียดเพื่อพัฒนารถของตน

ถึงจะบอกว่าประชุมเครียดแต่บรรยากาศนั้นกลับต่างออกไปจากเมื่อสนามที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ความหวาดระแวง ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกลับเปลี่ยนไป ตอนนี้คนทั้งห้องประชุมกลับรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อเอาชนะอีกทีมให้ได้เสียมากกว่า


แน่นอนว่า...

พอท้าตีกันตรงๆแบบนี้แล้ว...


ก็ไม่มีใครสงสัยในตัวหวังอี้ป๋อกับเซียวจ้านอีกว่าจะแอบแชร์ข้อมูลให้กัน


ทุกคนในทีมต่างมุ่งมั่นที่จะเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้

ที่มันต่างจากตอนแรกที่แข่งกันธรรมดาๆเพราะว่าคราวนี้หวังอี้ป๋อเป็นคนท้าออกมาเอง การเดิมพันครั้งนี้ออกมาจากปากของหวังอี้ป๋อเอง

ถ้านักบิดหนุ่มอยากจะชนะและได้ของเดิมพันมา ก็จะไม่มีทางเอาข้อมูลไปบอกเซียวจ้านแน่ๆ  ฝ่ายที่ถูกท้าทายเองก็เช่นกัน

ทุกคนในทีมต่างเอาหัวมารวมกัน เพราะมัวแต่พูดคุยเรื่องการปรับแต่งรถต่างๆนานา...จนลืมถามหวังอี้ป๋อไปเลยว่า...



แล้วของเดิมพันมันคืออะไร?








“นอนกับผมหนึ่งคืน...”   

เสียงทุ้มตอบออกมาเมื่อดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่ถามเขาที่ห้องพักในโรงแรมคืนนั้น...เรื่องของเดิมพัน

“ถ้าผมชนะพี่ได้ พี่ต้องนอนกับผมหนึ่งคืน”   ใบหน้าหล่อเหลาเน้นย้ำอีกรอบซึ่งตอนนี้คนที่ได้ฟังยืนอ้าปากพะงาบๆไปแล้ว

“ห๊าาาาาา!! เดิมพันบ้าอะไรของนายเนี่ยยยย?!!! แล้วปกตินายก็จับชั้นกดแทบทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่รึไงกัน?! ยังจะอยากได้ของเดิมพันแบบนั้นไปทำไม?!   เจ้ากระต่ายถึงกับร้องเสียงหลงเพราะไม่คิดว่าของเดิมพันมันจะเป็นอะไรแบบนี้

“ไม่เหมือนสิ ก็ปกติพี่เคยยอมให้ผมทำมากกว่าหนึ่งรอบเสียที่ไหน คำว่าหนึ่งคืนก็คืนทั้งคืน พี่ห้ามปฏิเสธ ห้ามต่อต้านด้วย จะกี่รอบก็ห้ามหยุดผม”   เขายิ้มเจ้าเล่ห์

“ง่ะ!!!

“หึ กลัวแล้วสินะเจ้ากระต่ายน้อย”

“ใครกลัว! แค่ชั้นทำให้นายชนะไม่ได้ เรื่องนี้มันก็ไม่เกิดแล้ว เชอะ!   เจ้ากระต่ายสะบัดหน้าก่อนจะจบด้วยการเชิดขึ้นด้วยความมั่นใจว่าจะชนะเขาได้

“เหรอ”

“แน่นอนสิ! นายเตรียมรับความพ่ายแพ้ไปได้เลย! แล้วถ้าชั้นชนะล่ะ! ชั้นจะได้อะไร?!   นิ้วกระต่ายชี้หน้าเขา

“พี่อยากได้อะไร ผมจะให้พี่หมดเลย”    ต่อให้เป็นดาวหรือเดือนเขาก็หามาให้ได้ เจ้ากระต่ายนิ่งไปพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิด

“.....จริงนะ?”

“อื้อ ไปคิดมาก็แล้วกัน”

“หึ นายเสร็จชั้นแน่หวังอี้ป๋อ เตรียมหมดตัวได้เลย!”   ....หมดตัว?...อย่าบอกนะว่าจะให้เขาซื้ออุโมงค์ลมให้น่ะ?...แล้วดูหน้าลั้ลลาของเจ้ากระต่ายมันก็มีความเป็นไปได้ซะด้วย!











สนาม Termas de Río Hondo Circuit     เริ่มมีไฟลุกตั้งแต่วันศุกร์เลยทีเดียว

“เซียวจ้าน! กว่าจะได้เจอคุณ ขอสัมภาษณ์หน่อยได้ไหมครับ?!   วิศวกรออกแบบรถของทีมดูคาติชะงักไปหลังจากที่มีเสียงทักจากข้างหลัง ร่างโปร่งบางที่กำลังจะเดินไปพิตของตัวเองถึงกับต้องผงะเมื่อเห็นกองทัพนักข่าวในสนามที่กำลังกรูเข้ามาเมื่อจับตัวเขาได้

ถึงจะชื่อดังไปทั่วโลกแต่วิศวกรหน้าตาน่ารักคนนี้ก็ถูกปกป้องจากทีมดูคาติเป็นอย่างดี การที่นักข่าวจะเข้าถึงตัวนั้นจึงเป็นเรื่องยากพอสมควร ปกติแล้วมักจะมีเพื่อนร่วมทีมไปไหนมาไหนด้วยเป็นสิบคนตลอด การจะหลงมาเดินตามลำพังแบบนี้แทบไม่เคยมี

“เอ่อ....”   ใบหน้าน่าเอ็นดูออกอาการเลิ่กลั่กเพราะไม่ชินกับการให้สัมภาษณ์แบบที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนแบบนี้ จนนักข่าวเองที่ต้องเป็นฝ่ายเกรงใจ

“นิดเดียวครับ พวกเราแค่อยากรู้ว่า ตกลงคุณรับคำท้าของหวังอี้ป๋อหรือเปล่า และของเดิมพันเป็นอะไรครับ?”   ไมค์นับสิบยื่นเข้าไปอย่างพยายามไม่กดดันมากนัก

“ก็ต้องรับอยู่แล้วครับ เพราะอี้ป๋อบอกว่าถ้าผมเอาชนะเขาได้ เขาจะซื้ออุโมงค์ลมให้! ส่วนของเดิมพันครั้งต่อไปก็...เครื่องตัดเลเซอร์สามมิติ แล้วก็ อุปกรณ์ทดสอบแรงอัด เครื่องหล่อไฟเบอร์คาร์บอนที่ใช้หล่ออะไหล่ไม่จำกัด บลาๆๆ สงสัยผมต้องเตรียมต่อเติมบ้านซะแล้ว”   .....ของแบบนั้นไม่มีใครเก็บไว้ในบ้านหรอกนะเจ้ากระต่ายเอ้ย หวังอี้ป๋อที่เดินผ่านมาพอดีหยุดยืนกอดออกมอง ส่วนกองทัพนักข่าวถึงกับอึ้งไปแล้วกับของเดิมพันที่น่าอัศจรรย์ใจเหล่านั้น...

“อ้าว หวังอี้ป๋อ! คุณได้ยินแล้วใช่ไหมครับ ของเดิมพันของทางนั้นมีมูลค่ามหาศาลเลยทีเดียว แล้วของทางคุณล่ะครับ?”   ไมค์หันมาจ่อนักบิดหนุ่มแทน นี่แทบจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เซียวจ้านก้าวเข้าสู่ Moto GP ที่คู่รักคู่นี้ได้ยืนอยู่ร่วมเฟรมเดียวกัน

“ถ้าผมชนะ ผมก็ไม่ต้องซื้อของพวกนั้นไง”   หวังอี้ป๋อตอบพลางยักไหล่

“แล้วคุณไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเซียวจ้านเลยเหรอครับ?”

“เรียกร้องอยู่แล้วล่ะ แล้วของที่ผมอยากได้ก็มีมูลค่ามากกว่าอุโมงค์ลมนั่นเยอะ”    ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มให้เจ้ากระต่ายที่ทำหน้าหงิกใส่ ส่วนคนอื่นๆก็ได้แต่คิดไปต่างๆนานาว่าของที่แพงกว่าอุโมงค์ลมนี่มันต้องเป็นของแบบไหนกัน?






ด้วยความที่พิตดันมาอยู่ข้างกันในสนามนี้ การซ้อมรอบไหนที่ยามาฮ่าเร็วกว่า เจ้ากระต่ายแดงจากทีมดูคาติก็จะเดินดุ่มๆไปดูรถที่พิตยามาฮ่าหน้าตาเฉยและไม่กลัวเกรงเลยด้วย คนในพิตสีน้ำเงินจากที่เคยมองอย่างหวาดระแวงกลายเป็นก็ขำๆเพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีเจ้ากระต่ายไม่เคยหลาบจำนี่ก็ต้องโดนอุ้มไปจัดการแน่ แล้วก็เป็นหวังอี้ป๋อเองนั่นแหละที่อุ้มลำตัวบางพาดบ่าเอากลับไปคืนทีมดูคาติซะ 

หรือการซ้อมรอบไหนที่ดูคาติเร็วกว่า หวังอี้ป๋อก็จะแอบมาสปายแล้วก็จะโดนเซียวจ้านลากถูลู่ถูกังไปโยนใส่พิตยามาฮ่าตามเดิม

กลายเป็นภาพที่คนเริ่มเห็นจนชินตา แต่ด้วยความที่เก่งและหน้าตาดีทั้งคู่ เวลาที่เล่นกันคนส่วนใหญ่เลยมองว่าเป็นคู่ที่น่ารักไป


ท้องฟ้าที่อาร์เจนติน่านั้น...สดใสดีทีเดียว...


เมฆดำทะมึนพวกนั้นหายไปหมดแล้ว....



.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.




~ เก็บตก...คืนที่หวังอี้ป๋อกลับมาหาเซียวจ้านที่มาราเนลโล่หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ~




“วันนี้อาม่านอนที่โซฟาน้า อี้ป๋อบาดเจ็บผมอยากให้เค้านอนดีๆหน่อย ขอโทษน้า~ ม๊วฟๆๆ”   ดวงตาคมกล้าของหวังอี้ป๋อทอดมองเจ้ากระต่ายที่ยืนกอดยืนหอมแก้มเจ้าหมีแพนด้าอยู่ที่ Sofa bench ปลายเตียงหลังจากเอามันไปส่งไว้ตรงนั้น ปกติเตียงของเจ้ากระต่ายนอนได้สามคนอยู่หรอกแต่ต้องเป็น “คน” ไง ไม่ใช่หมีแพนด้าตัวเท่าตึกแฝดเซี่ยงไฮ้อย่างมัน เขาเลยโดนเจ้าหมีนั่นทับเอาอยู่บ่อยๆ

แต่วันนี้เป็นเพราะไหล่เขายังเจ็บอยู่ เจ้ากระต่ายเลยยอมตัดใจพาเจ้าหมีนั่นไปนอนที่โซฟาแทน

“นอนเถอะ มา เดี๋ยวชั้นห่มผ้าให้”   เจ้ากระต่ายดูแลเขาอย่างดีจนนึกอยากจะเจ็บแบบนี้ไปนานๆ เขาอมยิ้มในขณะที่ล้มตัวลงนอน

“จ้านเกอ...กอดผมหน่อย”   เขาอ้าแขนข้างที่ไม่ได้เจ็บออก เจ้ากระต่ายลังเลเพราะกลัวจะกระเทือนแผลของเขาแต่จนแล้วจนรอดก็ยอมขยับมากอดเขาไว้จนได้

“กอดเฉยๆนะ”   ใบหน้ามนเงยขึ้นมาก่อนจะหรี่ตาขู่

“ครับ...ผมเจ็บไหล่จะไปทำอะไรได้ไง น่าสงสารเนอะ”   เขาแกล้งทำเสียงเศร้า

“ไม่เห็นจะน่าสงสารเลย! เอ้า จะกอดให้ก็ได้!”   ท่อนแขนผอมบางกอดกระชับแผ่นหลังของเขาเข้าไป กลิ่นกายกระต่ายทำให้หมาป่าผู้หิวโหยอย่างเขาถึงกับหน้ามืด


อ่า...นี่มันหอมน่ากินเกินไปแล้ว...


“......”

“.............”

“คุณหวังอี้ป๋อ.....”    เจ้ากระต่ายเรียกชื่อเขาทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากแผงอก

.....คุณหวังอี้ป๋อครับ...ผมรู้สึกว่าไอ้ที่ต้นขาผมแนบอยู่นั่น...จู่ๆมันก็แข็งขึ้นมานะครับ    เสียงนุ่มเอ่ยออกมา  ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับยิ้มแห้ง

.....พี่ครับ...ผมขอโทษนะครับ...แต่พี่น่ารักเกินไป ผมเลยทนไม่ไหวแล้วครับ”   เจ้ากระต่ายเงยหน้าพรวดขึ้นมามองก่อนจะแยกเขี้ยวใส่

“อ๊าาา! นายนี่มันจริงๆเลย! ไหนบอกว่าจะนอนกอดเฉยๆไง?! ไหล่ก็เจ็บอยู่แท้ๆ นี่แหน่ะๆๆ!”   มือบางฟาดต้นแขนอีกข้างพลางทำหน้าหงิก แต่เขากลับยิ้มจนแก้มเป็นก้อน

“จ้านเกออ่าาาา ช่วยผมหน่อยนะ น้า~   เขาพยายามอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน ก็มีคนที่รักมากขนาดนี้อยู่ในอ้อมแขน ใครมันจะไปทนไหว เนื้อตัวของเจ้ากระต่ายยิ่งนุ่มๆนิ่มๆอยู่ด้วย

“ห๊ะ? ทำไมชั้นต้องช่วยนายด้วย?

“ก็พี่ทำให้ผมมีอารมณ์ พี่ก็ต้องรับผิดชอบสิ”

“โทษชั้นได้ไง? โทษความหื่นของตัวเองไปสิ!”   แล้วมือกระต่ายก็ฟาดผลั๊วะๆมาที่ต้นแขนเขาไม่ยั้ง

“แล้วพี่จะให้ผมนอนทั้งๆที่มันตั้งอยู่งี้อ่ะเหรอ? พี่ไม่สงสารผมบ้างเหรอ? เนี่ย ไหล่ก็เจ็บเพราะใครก็ไม่รู้”    เขาทำเสียงเง้างอดอย่างน่าหมั่นไส้ แน่นอนว่าเจ้ากระต่ายไม่ได้สงสารเขาเลยสักนิด ดวงตากลมโตนั่นหรี่มองมาอย่างรู้ทัน

“จ้านเกอ~~~ ช่วยผมหน่อยน้า~ นะๆๆ”    เขากระแซะเข้าไปใช้ลูกอ้อนเต็มที่จนคนที่มองเขาอย่างคาดโทษเริ่มใจอ่อน 

“เฮ้อ...นายนี่มันจริงๆเลย”    ใบหน้ามนถอนหายใจก่อนจะยันกายขึ้นจากที่นอน 

“จะให้ช่วยยังไงล่ะ?...ใช้มือ? หรือว่า...ใช้...ใช้ปากเหรอ  เจ้ากระต่ายถามอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะไม่เคยทำให้เขา 

แค่นั้นมันจะไปพออะไรเล่า... ใบหน้าหล่อเหลาจึงส่ายปฏิเสธช้าๆก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มของหมาป่าว่า


On Top ให้ผม โอเคไหม?


แน่นอนว่าเจ้ากระต่ายได้แกล้งตายไปแล้ว....



.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.


ตัดไปที่โคมไฟ 555 // หลบไห

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามมากๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น