ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 15
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
'อี้ป๋อ ปีใหม่ไม่ต้องจองอะไรไว้นะ ชั้นจะพานายไปเที่ยว!'
นั่นคือสิ่งที่เจ้ากระต่ายบอกเขาสองอาทิตย์ก่อนที่วันสิ้นปีจะมาถึง
มาสำนึกเสียใจเอาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
เขาไม่น่าเชื่อคำของเจ้ากระต่ายแสบนั่นเล้ยยยย!
Ferrari
Portofino ขับขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ หวังอี้ป๋อขับรถจากมาราเนลโล่มาได้
3 ชั่วโมงกว่าแล้วโดยมีเจ้ากระต่ายนั่งเคี้ยวขนมอยู่ข้างๆท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไรทั้งนั้น
ตอนที่ได้ฟังเขานี่ดีใจจนแทบจะลุกขึ้นเต้น
หลงคิดว่าเจ้ากระต่ายจะพาเขาไปเดทโดยจะเป็นคนวางแผนเอง
เขาอุตส่าห์ตั้งตารอวันปีใหม่แบบที่ไม่เคยรอมาก่อน
อุตส่าห์คาดหวังเสียมากมายว่าเจ้ากระต่ายจะมีเซอร์ไพรส์อะไร จะเคาต์ดาวน์ด้วยกันอย่างโรแมนติกขนาดไหน เขาอุตส่าห์ขับรถออกจากบ้านด้วยความกระดี๊กระด๊า แต่พอขับๆไปเขาก็เริ่มเจอคนคุ้นหน้าตามรายทาง...ไม่ว่าจะเป็นคะชู
คิโยมิตสึกับยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะที่เจอกันตอนแวะปั๊มเติมน้ำมัน…โกคุเดระ ฮายาโตะกับหัวหน้าหน่วยพิรุณของวองโกเล่ที่ร้านสะดวกซื้อข้างทาง...รีไวกับเอเลน
เยเกอร์ที่ร้านอาหารในจุดพักรถ...สเลน ทรอยยาร์ดกับท่านCEOที่เขาขับแซงไป
เรียกว่าเจอรถเฟอร์รารี่บนเส้นทางกลางป่านี่เยอะเสียจนไม่คิดว่าทุกคนในทีมมันจะบังเอิ๊ญบังเอิญไปเที่ยวปีใหม่ที่เดียวกันอย่างไม่ได้นัดหมายแล้วไหม?!
“จ้านเกอ...ผมถามหน่อยสิ...ทำไมพวกนั้นถึงตามเรามา” เขาชี้ไปที่กระจกมองหลัง รถคันที่ขับตามพวกเขาอยู่คือ
Ferrari 599 GTB สีดำของเอลวิน สมิธ ทีมบอสเฟอร์รารี่
“หื๋อ? ไม่ได้ตามซักหน่อย” เจ้ากระต่ายยังทำไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่ได้ตามยังไงเนี่ย?
เห็นอยู่ชัดๆอ่ะว่าเกาะติดหลังเรามาซักพักแล้ว? ถัดจากรถบอสพี่ผมเห็นนะว่าเป็นรถคุณฮันซี่!”
“ก็...ไปที่เดียวกันนี่นา
ไม่ได้เรียกว่าตามซักหน่อย ต่างคนต่างไปต่างหาก แค่จุดหมายมันเป็นที่เดียวกัน”
“ห๋า?!! ไหงไปที่เดียวกันล่ะ?? เราไม่ได้กำลังจะไปเดทในคืนข้ามปีกันสองต่อสองหรอกเหรอ?”
เขาแทบจะจอดรถบีบคอถามเจ้ากระต่ายให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ตอนนี้เขากำลังขับผ่านหุบเขาจึงชะลอรถไม่ได้
“ก็ไปเดทในคืนข้ามปีนั่นแหละ...แต่ไม่ใช่สองต่อสอง...แต่เป็นทั้งทีม
แหะแหะ ชั้นลืมบอกนายเหรอ?”
เจ้ากระต่ายตัวดียังมีหน้าหันมายิ้มหวาน เห็นแล้วมันน่านัก
“ตกลงมันยังไงกันแน่?” เลี้ยวรถกลับตอนนี้ทันไหม?
“ก็ปีนี้ทีมจัดปาร์ตี้ปีใหม่+แข่งรถฤดูหนาวนี่นา
ชั้นก็เลยคิดว่าเรามาเดทในงานแข่งรถของทีมไปเลยก็ได้เนอะ ก็เหมือนไปเดทในพิพิธภัณฑ์นั่นแหละ”
......ตัวเองยังมาฟรีอยู่เลยแท้ๆเจ้ากระต่ายแสบเอ้ย ทั้งค่าที่พักทั้งค่าอาหารเฟอร์รารี่ก็ออกให้
แล้วจะเรียกว่าเดทได้ยังไงเนี่ย? เขาส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
หลวมตัวมาถึงนี่แล้วนี่! ว่าแต่หิมะลงหนาวเตอะขนาดนี้พวกเฟอร์รารี่ก็ยังจะแข่งรถอะไรกันได้อีกเหรอ?
เขามองไปรอบกาย
ตอนนี้เขากำลังขับรถอยู่ในหุบเขา ถนนคดเคี้ยวเส้นนี้ขนาบไปด้วยป่าสนและทิวเขาสูงตระหง่านซึ่งมียอดปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ที่นี่คือเทือกเขา Dolomites ส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ที่มีบางส่วนแผ่ขยายมาถึงในอิตาลีเหนือ
ทิวทัศน์ที่เขาเห็นอยู่นี้ช่างงดงามตระการตา
ภูเขาสูงเสียดฟ้าพวกนี้ทอดยาวสลับซับซ้อน มันเหมือนภูเขาหิมะในสวิสเซอร์แลนด์ไม่มีผิด
เขาไม่คิดว่าจะมีสถานที่ราวกับสรวงสวรรค์แบบนี้ในอิตาลีด้วย
แต่จุดหมายปลายทางที่เจ้ากระต่ายบอกเขาดูเหมือนจะไม่ใช่การไปตั้งแคมป์ไฟกลางภูเขา
ไม่ได้จะไปเข้าค่ายผจญภัย ถึงนี่จะได้ชื่อว่าเป็นงานกิจกรรมกระชับมิตรของบริษัท
แต่มันก็เป็นบริษัทที่ชื่อว่าเฟอร์รารี่อ่ะนะจะให้ธรรมดาก็คงจะไม่ได้
Ferrari
Portofino ขับเข้าไปในเมืองคอร์ติน่า คาเอมเพรสโซ่
เมืองตากอากาศเล็กๆซึ่งเป็นที่นิยมมากหากมาเที่ยวในเทือกเขาโดโลไมต์
พวกเขามุ่งหน้าไปทะเลสาบ Braies
(เบรียส)ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่
หากเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนทะเลสาบแห่งนี้จะมีสีเขียวมรกตแล้วก็ใสราวกับแก้ว
แต่พอเป็นฤดูหนาวทั้งทะเลสาบก็จะกลายเป็นน้ำแข็งสวยงามไปอีกแบบ
เฟอร์รารี่สีแดงสดจอดลงตรงหน้าโรงแรมระดับห้าดาวและมีเพียงโรงแรมเดียวที่ตั้งตระหง่านติดกับทะเลสาบแห่งนี้
แน่นอนว่าค่าที่พักในคืนข้ามปีย่อมแพงหูฉี่และมันถูกจ่ายโดยค่ายม้าลำพองไปกว่าครึ่งของห้องพักที่มีอยู่
เขาลากกระเป๋าเดินทางลงจากรถก่อนจะยืนมองโรงแรมเก่าแก่ที่น่าจะอยู่มาเป็นร้อยปี
ผนังอาคารกรุด้วยหินสไตล์ยุโรปดั้งเดิมกลมกลืนไปกับทะเลสาบและเทือกเขาแอลป์ที่ทอดยาวสลับซับซ้อนอยู่เบื้องหลัง
นี่มันฉากในหนังรักโรแมนติกชัดๆ แต่เขาต้องมากับทีมแข่งรถเนี่ยนะ?
รู้สึกเพลียๆยังไงชอบกล...
Ferrari
599 GTB Fiorano สีดำกับสีแดงตามพวกเขามาติดๆและจอดลงข้างๆ
ทีมบอสของเฟอร์รารี่กับศิษย์พี่ของเจ้ากระต่ายมากับลูกทีมอีกสองคน
“เดี๋ยวสี่โมงเย็นเจอกันที่สนามนะ
เดินผ่านโบสถ์ตรงนั้นไปก็เจอเลย” เอลวิน
สมิธบอกเขาเพราะรู้ว่าเจ้ากระต่ายขี้ลืมนี่ไม่เคยจำอะไรอยู่แล้วนอกจากเรื่องรถ
ใบหน้าหล่อเหลาจึงพยักให้
เขาลากทั้งกระเป๋าทั้งเจ้ากระต่ายเข้ามาในโรงแรม
ห้องพักของเขาอยู่ชั้น 3 และแค่เปิดม่านหน้าต่างหลังห้อง...เขาก็อดตะลึงจนตาค้างไม่ได้...วิวทะเลสาบที่มองจากตรงนี้มันสวยมาก
ถึงน้ำส่วนใหญ่จะกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้วแต่สีขาวราวกับหยกของมันก็เข้ากับเทือกเขาสูงตระหง่านซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ
ต้นสนสีเข้มสูงใหญ่ที่ล้อมรอบทะเลสาบไว้ก็ยิ่งทำให้ที่แห่งนี้งดงามราวกับภาพวาด
“สวยจัง...” มีคนตะลึงยิ่งกว่าเขาอีก เจ้ากระต่ายเกาะกระจกมองจนลมหายใจกลายเป็นไอติดเต็มกระจกใส
เขามองภาพเบลอๆพวกนั้นก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
ปลายนิ้วยาววาดลงไปบนกระจกขึ้นไอ...จนเป็นรูปหัวใจหนึ่งดวง
“มองผ่านตรงนี้สิ
จะยิ่งสวย” เสียงทุ้มกระซิบบอก
เจ้ากระต่ายเม้มริมฝีปากอย่างเขินๆก่อนจะขยับมามองผ่านหัวใจดวงนั้นอย่างเอียงอาย
“สวยไหม?” เขามองใบหน้าหวานนั่นราวกับต้องมนต์...ต่อให้ภาพมันจะเบลอแค่ไหนหากมองผ่านหัวใจแล้วละก็
ความรักย่อมชัดเจน
“อื้อ
สวย...”
เจ้ากระต่ายเหลือบมองเขาก่อนจะยิ้มออกมาอีก...บางครั้งเขาก็อยากจะรู้นะว่า...คนเราสามารถตกหลุมรักคนคนเดียวกันซ้ำๆได้สักกี่ครั้ง?
ทำไมความรู้สึกนี้เขาถึงได้มีให้คนตรงหน้าไม่รู้จักจบสิ้นแบบนี้
เมื่อใกล้จะถึงเวลานัดเขากับเจ้ากระต่ายจึงลงมาจากโรงแรม
อากาศภายนอกหนาวเหน็บสมกับที่มีหิมะขาวโพลนอยู่รอบกาย นักบิดจากฝั่ง Moto GP ยังสงสัยไม่หาย
สภาพอากาศเลวร้ายปานนี้เจ้าพวกม้าพยศนั่นยังจะแข่งรถอะไรได้อีก?
ถึงเขาจะเคยเห็นมีการเอารถเอฟวันไปวิ่งในหิมะอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่ก็เป็นภาพที่ใช้ในการโฆษณา
ไม่เคยเห็นใครอุตริเอาไปแข่งจริงๆเลยสักครั้ง
“เหล่าหวัง
หิมะละ หิมะ~~”
ในขณะที่ใบหน้าเขายังเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามแต่เจ้ากระต่ายกลับกระโดดเข้าใส่กองหิมะปุกปุยตามข้างทาง
ท่าทางน่าเอ็นดูนั่นทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้ ดีใจเป็นเด็กๆเชียว เพราะในมาราเนลโล่หิมะยังไม่ตก
นี่จึงเป็นหิมะแรกของปีที่พวกเขาได้เห็น
“อย่าให้ฮู้ดหลุดจากหัวสิ”
มือในถุงมือสีดำดึงฮู้ดขนฟูขึ้นคลุมหัวเจ้ากระต่ายก่อนจะปัดๆละอองหิมะให้ ใบหน้ามนที่อยู่ในนั้นยิ้มแฉ่งจนปลายนิ้วเขาอดที่จะจิ้มลงไปที่ปลายจมูกโด่งรั้นอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้ มือใหญ่สอดประสานเข้าไปในมือบางแล้วเดินไปด้วยกัน พวกเขาเดินผ่านโบสถ์ทิวดอร์โกธิคเก่าแก่เล็กๆที่อยู่ริมทะเลสาบ
หลังคาทรงสูงกับผนังหินสีน้ำผึ้งดูกลมกลืนแต่ก็เด่นชัดท่ามกลางผืนน้ำแข็งและภูเขาหิมะที่อยู่เบื้องหลัง
มันมีมนต์ขลัง มันมีพลัง มันมีศรัทธา
“จ้านเกอ
วิ่งไปตรงนั้นซิ”
เขาชี้ไปที่บานประตูไม้โค้งของโบสถ์ซึ่งปิดสนิท เจ้ากระต่ายหันมาทำหน้างงแต่ก็ยอมวิ่งเหยาะๆไปตามที่เขาบอก
“จ้านเกอ!”
เสียงทุ้มตะโกนเรียกทำให้ร่างบอบบางที่กำลังวิ่งเข้าหาอ้อมแขนของพระเจ้าหันกลับมามองเขา
แสงและเงาที่สาดลงบนใบหน้าสวยที่ดูสับสนไร้เดียงสานั้นช่างงดงามจริงๆ เหมือนปีกแห่งศรัทธาของนางฟ้าที่กำลังถูกซานตาเด็ดออกมา
แชะ!
แล้วเขาก็ได้รูปสวยๆไปลงไอจีเพิ่มอีกหนึ่งใบ
นางแบบดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง เจ้ากระต่ายถ่ายรูปที่ไหนก็สวยไปหมด
สวยจนถึงขั้นมีนิตยสารติดต่อขอซื้อรูปของเขาไปลงในรวมเล่ม!
ไม่ก็ถามว่าเขาอยากลองเป็นตากล้องไหม?! บอกเลยว่าถ้านางแบบไม่ใช่เจ้ากระต่ายเขาก็ไม่ถ่ายให้เสียสายตาหรอก!
พวกเขาเดินผ่านโบสถ์ไปอีกไม่ไกลก็เริ่มมองเห็นรั้วไม้ที่ปักง่ายๆเพื่อบ่งบอกขอบเขตของสนามแข่ง
ความจริงแล้วเทือกเขา
Dolomites
มีชื่อเสียงเรื่องสกีมาก
คนที่เข้ามาที่นี่ในฤดูหนาวก็ล้วนแล้วแต่มาเล่นสกีกันทั้งนั้น แต่ทีมแข่งรถเอฟวันจะหากิจกรรมทำในฤดูหนาวทั้งทีจะให้ไปเล่นสกีแบบชาวบ้านก็คงไม่ใช่
แต่จะให้มาแข่งรถฟอร์มูล่าวันในหิมะก็คงไม่ไหว
เพราะงั้นรถที่จะแข่งกันได้ท่ามกลางหิมะหนาเป็นเมตรเนี่ย...มันก็ต้องเจ้านี่แหละ...รถ-โกย-หิ-มะ!!!
หวังอี้ป๋อถึงกับอึ้งแดกไปหลายนาทีเมื่อมองเห็นสนามแข่งรถโกยหิมะ....
เอาจริงดิเฮ้ย!!! ลองเป็นคนธรรมดาดูซักวันก็ได้ไหมครับ? ไปเล่นสกีเอ้ย สโนบอร์ดเอ้ยกันดีกว่าไหมครับ?
ให้เลือดทีมแข่งรถมันเป็นน้ำแข็งสักวันก็ได้ไหมมมม ลองทำอะไรแบบคนปกติดูบ้างเถ้อ~~ เขาได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจเพราะมีแววว่าเขาเองก็อาจจะต้องลงแข่งเหมือนกัน
คูล! คูลมากจนน้ำตาจะไหล!!
“ใครมันช่างสรรหาเนี่ย?” ขนาดคะชู คิโยมิตสึที่เพิ่งเดินตามมายังส่ายหน้าก่อนที่ดวงตาสีแดงคู่นั้นจะลุกวาวราวกับเห็นเรื่องสนุก
“นี่ถ้าแข่งในสนามฟิโอราโน่ละก็
ชั้นคงจะคิดว่าเป็นแผนการของคุณเอลวินแน่ๆ...ไม่มีใครไปโกยหิมะในสนามให้ก็เลยใช้นักขับว่างงานอย่างพวกนายมาโกยหิมะโดยใช้การแข่งขันบังหน้า!” เอเลน
เยเกอร์พูดในขณะที่ขยับมายืนมองสนามอยู่ข้างๆ
“เจ้าเล่ห์สุดๆ” เจ้ากระต่ายโหวตไปอีกหนึ่งเสียง...ตกลงทีมบอสของพวกนายนี่ก็ไม่ธรรมดาสินะ
“รถชั้นคันไหน?” เดี๋ยวก๊อน แค่เห็นสนามแข่งก็จะลงเลยไม่ได้~~
นักฆ่าแห่งวองโกเล่แทบคว้าตัวโกคุเดระ ฮายาโตะเอาไว้ไม่ทัน
ร่างบางๆนั่นเตรียมจะโดดขึ้นรถโดยไม่สนด้วยซ้ำว่ามันเป็นรถอะไร!
“พวกนายเป็นนักขับ
แข่งกัน 4 คนพอดีเลย ส่วนคนอื่นๆถ้าใครจะลงก็เอาชื่อมาใส่กระป๋องจับฉลากไว้” ทีมบอสม้าลำพองประกาศก้อง...ว่าแล้วเชียว...ว่าแล้วว่าต้องรวมเขาไปกับเจ้าพวกตีนผีนั่นจริงๆ!
“ลงแข่งเถอะ! สนุกดีออก
ชีวิตนี้นายจะมีโอกาสได้แข่งรถโกยหิมะที่ไหน”
....ไม่มีหรอกครับ ผมบอกเลย
“แล้วถ้าชนะก็จะได้รางวัลจากเจ้าCEOขี้งกนั่นด้วย!” เจ้ากระต่ายพยายามบิ้วท์เต็มที่
“รางวัล?” เงินเหรอ? หรือว่ารถเฟอร์รารี่ฟรีหนึ่งคัน?
หรือว่าเพจเกจทัวร์ทั่วโลก? ก็ดี เขาจะได้พาเจ้ากระต่ายไปฮันนีมูน
“สิทธิ์การใช้อุโมงค์ลมฟรี
1 อาทิตย์!” เขาแทบจะล้มหัวทิ่ม
เขาจะอยากได้รางวัลแบบนั้นไปทำไมฟ๊ะ?!
แต่พอหันไปเห็นสายตาฟาดฟันจากเจ้าพวกม้าแดงรอบกายแล้ว...โอเค
มันคงมีค่ามากกว่าทองคำแหละ โอเค...
“ถ้าพี่เป็นเรซควีนให้
ผมก็จะลงแข่ง” ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มมุมปากเพื่อต่อรอง
“ห๊ะ?
เรซควีนอะไร?”
“ก็เรซควีนไง
ใครชนะจะทำอะไรกับเรซควีนก็ได้”
“....ปกตินายก็ทำอะไรชั้นตามใจชอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?” เจ้ากระต่ายบ่นงึมงำตาคว่ำตาเขียว
“ก็มีของเดิมพันมันเร้าใจกว่านี่นา~”
“หงึ!
นายนี่มันหาทางเอาเปรียบชั้นตลอดเลยนะ!” มือบางบิดต้นแขนเขาจนต้องร้องโอดโอย “ลงแข่งซะ! แล้วเอาอุโมงค์ลมมาให้ชั้น!” บิดแขนไม่พอยังแยกเขี้ยวข่มขู่อีกต่างหาก
“ผัวเมียทางนั้นเลิกทะเลาะกันแล้วมาจับฉลากได้แล้ว”
ทีมบอสตะโกนเรียกทำให้เจ้ากระต่ายหยุดเล่นงานต้นแขนเขา เนี่ย
พอมีคนเอาความจริงมาพูดใบหน้ามนก็ขึ้นสีแดงทันที
มือใหญ่ล้วงเข้าไปในกล่องก่อนจะหยิบกระดาษม้วนเล็กๆออกมา
“สเลน
ทรอยยาร์ด”
คือชื่อที่อยู่ในนั้น...ถ้าเขาต้องแข่งกับสเลนละก็ งั้นก็หมายความว่า...
“เย้~~” คะชู คิโยมิตสึกระโดดโล้ดเต้นอย่างดีใจ คะชู VS โกคุเดระ
นั่นนับเป็นมวยคู่เดือดที่ทุกคนในทีมต่างตั้งตารอเลยก็ว่าได้! บรรยากาศรอบกายเขาบ่งบอกว่าอย่างงั้น
“คิโยมิตสึอยากแข่งรถกับฮายาโตะมาก
เพราะฮายาโตะเป็นไอดอลของเจ้าเด็กนั่น
ที่คิโยมิตสึตัดสินใจเสี่ยงที่จะอยู่กับเฟอร์รารี่ทั้งๆที่กำลังหนีจากการถูกล่าตัวอยู่นั่นก็เป็นเพราะฮายาโตะไปกว่าครึ่ง
แต่ก็น่าสงสาร เพราะตัวเองเป็นนักขับสำรองให้ฮายาโตะ
เลยไม่เคยมีโอกาสได้ลงแข่งสนามเดียวกันเลยสักครั้ง” เจ้ากระต่ายอธิบาย เขาเข้าใจเลยแหะความรู้สึกนี้
เพราะเขาก็มีไอดอลในดวงใจอยู่เหมือนกันและเขาเองก็อยากแข่งกับคนคนนั้นเหมือนกัน
คู่ของเขากับสเลนได้ลงแข่งก่อน
ร่างสูงสง่าเดินเข้าไปดูเจ้ารถโกยหิมะที่อุตส่าห์ติดหมายเลข 85 ให้ด้วยนะน่ะ...ว่างกันดีเนอะเจ้าพวกนี้...เขาโหนตัวขึ้นไปนั่งบนรถที่สูงท่วมหัว
เจ้ารถคันใหญ่เทอะทะมีแผ่นเหล็กโค้งติดไว้ที่ด้านหน้าเพื่อใช้กวาดหิมะบนถนน
เขาลองโยกคันบังคับยกมันขึ้นมา เอาจริงๆนี่มันยิ่งกว่าการแข่งรถวิบากอีกนะ
แถมเขาก็ไม่เคยขับรถบรรทุก รถแบล็กโฮอะไรพวกนี้ซะด้วย
แต่พอหันไปมองเจ้ากระต่ายที่ยืนตาเป็นประกายคล้ายๆจะมีคำว่า “อุโมงค์ลม”
เต็มหน้าแล้วเขาก็ถอยไม่ได้ ริมฝีปากได้แต่ยิ้มบางๆอย่างเพลียๆ ถ้าไม่ทำเพื่อเมียแล้วจะให้ทำเพื่อใคร...
“แข่งกันสามรอบนะ
ใครเข้าเส้นชัยก่อนก็ชนะไป”
ทีมบอสถือทรโข่งประกาศกร้าว เขาหันไปมองสเลน ทรอยยาร์ดที่อยู่ในรถคันข้างๆ
ถึงเขาอาจจะไม่ถนัดรถ 4 ล้อเท่าอีกฝ่าย แต่เรื่องหัวจิตหัวใจเขาก็ไม่ยอมแพ้หรอก!
ปี้ดดดดดด
เสียงนกหวีดลากยาวและฝ่าเท้าของเขาก็เหยียบคันเร่งทันที!
เจ้ารถจอมอุ้ยอ้ายค่อยๆเคลื่อนออกจากป้ายท่ามกลางเสียงเชียร์ดังลั่น
ทั้งความหนักของมัน ทั้งพื้นที่เป็นหิมะทำให้รถเอียงไปเอียงมาและเชื่องช้าจนน่าหงุดหงิด
พวงมาลัยกลมยุคหินถูกท่อนแขนหมุนจนต้องใช้แรงทั้งตัวโหนมันกว่าจะเลี้ยวได้ โว้ยยยย! นี่มันอะไรกันฟ๊ะ ทำไมขับยากขับเย็นแบบนี้!
รถคันข้างๆเบียดเขาเข้าโค้งซึ่งเขาก็ไม่ยอมและเบียดอีกฝ่ายกลับ
รถของสเลนเซแท่ดๆออกนอกแทรคไปจนเขาหันไปมองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่มีเวลาสนใจอีกฝ่าย
เขาเหยียบคันเร่งเต็มที่เจ้ารถโกยหิมะยอดรักค่อยๆเร่งสปีดเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้
มันวิ่งโยกเยกไปก็ไถหิมะไป
เขาดึงคันบังคับให้กระจังเหล็กด้านหน้ามันยกลอยจากพื้นให้มากที่สุด ขับไปก็มองไม่เห็นทางไปแต่เขาก็ยังเหยียบไม่ยั้ง
พวงมาลัยถูกหมุนเลี้ยวไปเลี้ยวมาอย่างกับขับรถบรรทุก
พอจับจังหวะมันได้ไอ้ความลุยสมบุกสมบันของรถนี่มันก็สนุกดีไม่น้อย
เขาหันมองหลังเป็นระยะๆเมื่อเขาหาคู่แข่งอย่างสเลน
ทรอยยาร์ดไม่เจอ หมอนั่นไม่ได้ขับตามเขามาเหรอ?
แล้วทุกความสงสัยก็ถูกไขว่าอีกฝ่ายหายไปไหน
เมื่อเขาขับผ่านจุดสตาร์ทและถูกนับว่าครบหนึ่งรอบ
เขาก็มองเห็นรถของสเลนขับอยู่ข้างหน้า...?
เดี๋ยวนะเฮ้ย ทำไมมาอยู่หน้าเขาได้ฟ๊ะ?
ไม่สิ ไม่ได้อยู่หน้าแต่ว่าเขาน็อครอบสเลนต่างหาก!
“หื๋อ?!” เขาขับผ่านอีกฝ่ายอย่างมึนงง
จนเขาขับผ่านไปแล้วสองรอบ...สามรอบ... จนเขาเข้าเส้นชัย สเลน
ทรอยยาร์ดก็ยังวิ่งไม่ถึงหนึ่งรอบเลย!
“พี่...หมอนั่นเป็นไรหรือเปล่า?
ทำไมขับรถแปลกๆ...” เขาถามเจ้ากระต่ายเมื่อเข้าเส้นชัยจนลงจากรถมายืนรออยู่ข้างสนาม...หรือว่าจะออมมือให้เขา? แต่ดูจากสภาพแล้วก็ไม่น่าใช่?
“........ไม่แปลกหรอก...นั่นคือการขับรถปกติของสเลน....” เจ้ากระต่ายยิ้มแหยๆ
“พวกนาย
เตรียมรถยกด้วย!”
ได้ยินเสียงทีมบอสหันไปสั่งลูกทีม ส่วนท่านCEOปีศาจก็ยกมือขึ้นมากุมขมับส่ายหัวไปมา
ทำไมทุกคนดูคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้? นั่นเรียกว่าขับรถปกติตรงไหน?
อย่างเจ้าพวกตีนผีนี่มันต้องขับ170กิโลเมตรต่อชั่วโมงสิ! ต่อให้เป็นรถโกยหิมะก็ไม่น่าจะขับ40กิโลเมตรต่อชั่วโมงแบบนี้ไหม?!
แล้วขับช้ายิ่งกว่าเต่าคลานไม่พอ
สเลน ทรอยยาร์ดยังขับไปตกหล่มข้างทางแบบที่ไม่น่าจะตกได้อีก! แล้วที่พีคกว่าก็คือรถยกของเฟอร์รารี่ก็เอารถโกยหิมะนั่นขึ้นมาในชั่วพริบตาราวกับรู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้!
ตกตรงไหนก็ตักขึ้นมา แข่งไปก็มีรถยกวิ่งขนาบไปนี่มันอะร๊าย?!
เขาจึงหันไปมองเจ้ากระต่ายอย่างต้องการคำอธิบาย
“หมอนั่น...เป็นพวกที่ขับรถบนถนนปกติได้แย่มาก
เหมือนพวกที่มีสองบุคลิกอ่ะถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ แต่มีสองบุคลิกเฉพาะเวลาขับรถเท่านั้น
คือนอกจากการขับในสนามแข่งแล้ว ถ้าเป็นถนนปกติก็จะขับช้า หลงทาง เสยตูดชาวบ้าน
ชนรั้ว ชนหัวประปา สารพัดที่คนปกติเค้าไม่เป็นกันนั่นแหละ
นี่ก็นึกว่าเป็นสนามแข่งรถโกยหิมะสเลนจะแข่งได้
แต่ดูท่าแล้วคงมีแต่สนามแข่งเอฟวันจริงๆ...”
เขาอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะมีคนแบบนี้อยู่ในโลกด้วย
ถ้างั้นสายนี้เขาก็ชนะแล้วสิ?
ถึงจะเป็นชัยชนะที่งงหน่อยก็เถอะนะ...
กว่าสเลนจะวิ่งครบสามรอบได้คนทั้งทีมก็ต้องลุ้นกันใจหายใจคว่ำ
บางคนก็ขำจนหน้าดำหน้าแดง เขายังอดยิ้มตามอย่างเอ็นดูไม่ได้
ต้นไม้มันก็อยู่ของมันดีดี๊ ไปขับชนมันซะอย่างงั้น
คู่ต่อไปคะชู
VS โกคุเดระเป็นคู่ที่ดุเดือดสมการรอคอยจริงๆ แล้วก็สมเป็นคู่นักขับเอฟวันจริงๆ! เจ้าสองคนนั้นมันตีนผีอยู่ในดีเอ็นเอของแท้
เขาได้แต่ยืนมองอยู่ข้างสนามอย่างอึ้งๆ นั่นรถโกยหิมะนะเว้ย
ยังอุตส่าห์ขับอย่างกับซุปเปอร์คาร์ได้อีก
เจ้ารถสองคันนั่นเบียดเข้าโค้งอย่างไม่มีใครยอมใครเรียกเสียงเชียร์ดังสนั่น
เรียกว่าแข่งกันมันมาก...ดีนะที่เขาไม่ต้องแข่งกับใครคนใดคนหนึ่งในคู่นี้...โหดสุดๆ!
“เสมอ!” ทีมบอสตะโกนเมื่อรถเข้าเส้นชัยพร้อมกัน
“แข่งใหม่!” คะชูตะโกนตอบกลับมาและโกคุเดระก็รับคำท้า สองคนดูท่าทางจะสนุกกันนะ
“เสมอ”
“แข่งใหม่!”
“เสมอ”
“แข่งใหม่!”
เป็นอย่างงั้นอยู่ไม่รู้กี่รอบจนคนดูอย่างพวกเขาเริ่มนั่งตบยุงกันแล้ว
นี่คิดจะแข่งกันไปจนถึงชาติหน้าเลยไหม?
ทีมบอสจึงตัดสินใจประกาศออกมาเมื่อเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว
“สนามนี้ให้หวังอี้ป๋อชนะไปก็แล้วกัน
แยกย้ายได้แล้ว
คืนนี้ก็อย่าลืมลงมาปาร์ตี้ด้วยนะ”
อ้าวเฮ้ย?!
อยู่ๆเขาก็เป็นผู้ชนะซะงั้น?
แล้วอยู่ๆนึกจะเลิกแข่งก็เลิกซะงั้น
เจ้ากระต่ายกระโดดเข้ามากอดเขาด้วยความดีใจที่ได้รางวัล...แบบนี้ก็ได้เหรอ?
ฝูงม้าพยศเดินกลับโรงแรมด้วยกัน
เสียงพูดคุยดังเฮฮาสนุกสนานเหมือนไม่ได้ใส่ใจเรื่องผลการแข่งมากนัก
เหมือนมาพักหาอะไรเล่นกันเฉยๆ เขาทอดสายตามองเจ้ากระต่ายในกลุ่มเพื่อนอย่างวางใจ
ถ้าเป็นที่นี่ต่อให้ช่วงเปิดฤดูกาลเขาจะต้องอยู่ไกลเขาก็คงไม่ต้องห่วงมากนัก
นักบิดสายเลือดมังกรนั่งดูถ่ายทอดสดงานปีใหม่จากจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านหน้าจอแท็บเล็ตของเจ้ากระต่าย
เวลาที่จีนไวกว่าอิตาลี 6 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นที่นี่เพิ่ง 6
โมงเย็นแต่ที่จีนก็เที่ยงคืนแล้วพอดี
“ดูถ่ายทอดสดอยู่เหรอ?
ทางนู้นจะเคาต์ดาวน์ปีใหม่กันแล้วสินะ?”
เจ้ากระต่ายเดินออกมาจากห้องน้ำเขาจึงอ้าแขนรับ
ร่างโปร่งก้าวขาขึ้นเตียงก่อนจะมานั่งลงในอ้อมแขนเขา
แผ่นหลังบางอิงซับไออุ่นจากแผงอกแข็งแกร่ง ผ้าห่มผืนหนาตวัดคลุมเจ้ากระต่ายไปด้วยกัน
“อื้อ
เริ่มเคาต์ดาวน์แล้ว” เสียงนับเลขดังออกมาจากหน้าจอก่อนจะจบด้วยเสียงพลุขนานใหญ่
“ปกตินายคงจะอยู่กับครอบครัวสินะ
วันปีใหม่แบบนี้...” เสียงนุ่มถามออกมา
“เปล่า...ผมอยู่ที่คอนโดคนเดียว”
“หื๋อ?
ไม่กลับบ้านเหรอ?”
“ไม่
ขี้เกียจฟังพ่อบ่น”
“อ่อ...”
“แล้วพี่ล่ะ?”
“กลับปีเว้นปี”
“ทำไมล่ะ?”
“นายก็เห็นนี่
เฟอร์รารี่จะจัดกิจกรรมกระชับมิตรแบบนี้ปีเว้นปีไง เอาจริงๆมันก็เหมือนกับว่าชั้นมีสองครอบครัวนั่นแหละ
ปีนี้อยู่กับครอบครัวเฟอร์รารี่ ปีหน้าแต่ละคนก็กลับไปอยู่กับครอบครัวตัวเอง”
“ถ้างั้นปีหน้า...พี่จะพาผมไปเจอครอบครัวพี่เหมือนที่ปีนี้พามาเจอครอบครัวเฟอร์รารี่ไหม?” เขาเผลอถามออกไป ลึกๆแล้วเขาก็กลัวคำตอบอยู่เหมือนกัน
เพราะสถานะของพวกเขามันไม่ปกติสำหรับครอบครัวชาวจีน
พวกเขาเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ซึ่งในจีนยังไม่ยอมรับเรื่องนี้นัก
“พาไปสิ”
แต่เจ้ากระต่ายกลับตอบอย่างไม่ต้องยั้งคิดจนกลายเป็นฝ่ายเขาเองนี่แหละที่ต้องอึ้งในคำตอบ
“ป๊ากับม้าพี่...รู้เรื่องของเราแล้วเหรอ?
พี่คงไม่ได้ไปหลอกท่านใช่ไหมว่าผมเป็นผู้หญิง?”
“รู้แล้วสิ
แล้วก็จะไปหลอกยังไงได้ ข่าวนายออกจะดังครึกโครมขนาดนั้น
ถึงชั้นจะไม่ได้เป็นที่รู้จักในจีนนัก แต่นายน่ะไม่ใช่ซักหน่อย
นายดังยิ่งกว่าดาราบางคนเสียอีก”
เจ้ากระต่ายเบะปาก ก็มันก็เป็นไปได้นี่ ดูจากความมึนของเจ้ากระต่ายแล้วดีไม่ดีอาจจะคิดแผนมึนๆหลอกว่าเขาเป็นผู้หญิงขึ้นมาก็ได้ใครจะรู้
“แล้วป๊าม้าพี่ไม่ว่าอะไรเหรอ...เรื่องที่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่...” เขาไม่เคยคุยเรื่องนี้กับเจ้ากระต่ายเลย
เป็นเรื่องที่เขาอยากรู้แต่ก็ไม่อยากถามมาโดยตลอด
“บ้านแตกเลยน่ะสิ! หม่าม้าโมโหยิ่งกว่าตอนที่ชั้นลงทะเบียนผิดจนได้ไปเรียนออกแบบรถแทนออกแบบเสื้อผ้าเสียอีก
นึกแล้วก็ยังขนลุกไม่หาย หม่าม้าน่ากลัวเกินไปแล้ว!” ห๋า? ทำไมเขาไม่เคยรู้เลยเนี่ย?
ไปคุยกันตอนไหน?
เขาว่าเขาก็อยู่กับเจ้ากระต่ายเกือบตลอดเลยนะหลังจากที่ค่อยๆประกาศออกไป
“แล้วพี่ทำยังไง...” เขาถามเสียงอ่อยๆอย่างสำนึกผิดที่ไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบอะไรเลย
“ชั้นก็ต้องเข้าทางปะป๊าเหมือนเดิม
ชั้นบอกปะป๊าไปว่า ตอนที่ลงทะเบียนผิดชั้นอาจจะไม่ได้ตั้งใจ
แต่เรื่องของนายชั้นตั้งใจเลือกอย่างดีแล้ว”
เขาถึงกับยิ้มแก้มปริ
“ไม่ใช่ว่าพี่ถูกผมจับกดเอาก่อนหรือไง?
ได้เลือกด้วยเหรอ?” เขาแซว
“เลือกสิ!
นายคิดว่าอย่างชั้นจะขัดขืนนายไม่ได้รึไง? ถ้าชั้นเอาจริงนะ
คืนนั้นนายไม่ได้แอ้มชั้นหรอก!” เหรอออ เห็นเมาแอ๋เลยนี่เจ้ากระต่ายขี้เหล้าเอ้ย
“แล้วป๊าพี่ว่าไง?” หัวใจเขาเต้นตุ๊มๆต่อมๆ เขารู้มาตลอดว่ามันคงจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่ๆ
ที่พ่อแม่ของพวกเราคงจะไม่ยอมรับ เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดหาทางรับมือเอาไว้
“โชคดีไปที่ปะป๊าเป็นแฟนคลับนาย
พอชั้นคุยกับท่านดีๆก็เลยสนับสนุนเต็มที่ ปะป๊าเคยไปดูนายแข่งด้วยนะ
ชั้นก็เพิ่งรู้นี่แหละ” .......ห๊ะ?
แบบนี้ก็ได้เหรอ? เอาจริงๆคนที่ควรจะหินที่สุดมันน่าจะเป็นพ่อของเจ้ากระต่ายไม่ใช่เหรอ?
ในจินตนาการเขานี่หวังอี้ป๋อต้องไปก้มหัวขอร้องพ่อกระต่ายมาเฟียให้เราได้คบกันแล้วนะเนี่ย!
“ปะป๊าเลยค่อยๆตะล่อมหม่าม้าให้
เหมือนตอนนั้นแหละ เดี๋ยวม้าก็ใจอ่อน นายไม่ต้องห่วงหรอก ชั้นชมนายให้ม้าฟังตลอดแหละว่านายคอยดูแลอาม่าอย่างดีเลยนะ
คอยอาบน้ำให้จนตัวหอมฟู คอยพาอาม่าไปเที่ยว อุ้มขึ้นบ้านลงบ้านตลอดเลย
ม้าเลยยิ่งใจอ่อน”
............เขาอึ้งไปหลายนาที
ตอนนี้อยากจะกลับบ้านไปกราบแทบอกท่านอาม่าที่สุดเลยคร้าบบบ จากนี้ไปผมจะไม่อิจฉา
ไม่แอบบ่นว่าจะเอาท่านม่าไปทิ้งอีกแล้วคร้าบบบบ
แล้วทำไมชีวิตเขาถึงไปขึ้นอยู่กับไอ้หมีแพนด้าหน้าโง่นั่นได้เนี่ย!
อันนี้เขางงหนักมาก!
หวังว่าพอหม่าม้ากระต่ายหายโกรธจะไม่ส่งอาม่านัมเบอร์ทูมาให้อีกตัวหรอกนะ! แค่นี้เขาก็แบกขึ้นลงบ้านจนหลังอานแล้ว!
“แล้วที่บ้านนายล่ะ?
รู้เรื่องของชั้นรึเปล่า?”
เจ้ากระต่ายถามเขาบ้าง เขาทอดสายตามองพื้น
ถ้าที่บ้านเขาคุยกันได้เหมือนบ้านเจ้ากระต่ายก็คงดีสิ
“พี่ก็รู้ใช่ไหมว่าพ่อผมเป็นใคร?” เขากระชับอ้อมแขนก่อนจะเกยคางไว้บนไหล่บอบบาง
“อื้อ
รู้” เขาเงียบไปเพราะไม่รู้จะบอกเจ้ากระต่ายยังไง
เขาอยากให้เจ้ากระต่ายเชื่อมั่นว่าเขาจะพาข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้
เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่พร้อม
เขาต้องยืนยันเรื่องพี่ชายให้ได้ก่อนที่จะคิดแผนรับมือกับพ่อต่อไป
เพราะจากการที่ได้คุยกับยามาโตะโนะคามิ
ยาสึซาดะในวันนั้นมันทำให้เขาเกิดความสงสัยอะไรหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายยืนยันว่าพวกนั้นมากัน
4 คน แต่เขามานึกแล้วนึกอีก เขาว่าจำนวนคนมันน่าจะมีมากกว่านั้น
แสดงว่าต้องมีคนของ Diamond
crown ที่อยู่ในจีนอยู่แล้ว แต่พ่อเขากลับแกะรอยอะไรไม่ได้เลย
ถ้าไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลที่ใหญ่กว่าพ่อเขาซึ่งมีน้อยมากก็ต้องเป็นคนฉลาดและรู้ระบบการตรวจจับของทหารอย่างหวังอี้เฟิงพี่ชายเขาเท่านั้นที่จะซ่อนคนเอาไว้ได้โดยไม่มีใครตามรอยเจอแบบนี้...
แล้วก็...อาจจะมีแค่หวังอี้เฟิงที่สามารถซ่อน
“ศพ” ของตัวเองเอาไว้ได้...โดยที่เขากับพ่อไม่สามารถจะหาเจอ
เพราะคนที่รู้วิธีคิดของคนในตระกูลหวังดีที่สุดก็คือคนในตระกูลหวังเอง
สิบปีที่ผ่านมาการตามหามันจึงไร้ค่า...ทว่า...คนของวองโกเล่กลับหาได้อย่างง่ายดาย...
“พี่รอผมได้ไหม...เรื่องครอบครัวของผมน่ะ”
เขากดริมฝีปากลงไปบนลาดไหล่บางด้วยหัวใจที่สั่นไหว
เขากลัวคำตอบของเจ้ากระต่ายอยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าอีกฝ่ายไม่เชื่อมั่นในตัวเขาจะทำยังไง
“ถ้านายลำบากใจก็ยังไม่ต้องตอบชั้นหรอก
ชั้นเพิ่งจะอายุ28เองนะ ยังมีเวลารอนายอีกทั้งชีวิต”
เจ้ากระต่ายดีดนิ้วใส่หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของเขาก่อนจะยิ้มให้
มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาโล่งใจ
จ้านเกอก็คงคิดเรื่องนี้มาบ้างและคงเข้าใจสถานการณ์ของเขาดี
สายตาของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าไม่อยากให้เขากังวล
“ขอบคุณนะที่พี่เข้าใจผม
พี่ไม่ต้องกลัวนะ ผมหาทางรับมือกับเรื่องนี้ได้แน่”
เสียงทุ้มเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
พ่อของเขาน่าจะรู้เรื่องระหว่างเขากับเจ้ากระต่ายแล้ว
เพียงแต่เขาหลบเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับพ่อมาโดยตลอด
ซ้ำเจ้ากระต่ายยังไม่ได้อยู่ในจีน พ่อของเขาเลยทำอะไรไม่ได้
“อื้อ!
ชั้นเชื่อใจนาย” มือบางวางลงมาบนมือของเขาก่อนจะบีบเบาๆ
“แต่ถ้านายอยากได้แผนการร้ายที่สำเร็จ1,000%ละก็
ลองไปปรึกษาเจ้าCEOปีศาจดู
เพราะเรื่องของเราถือเป็นเรื่องทางธุรกิจของหมอนั่น
หมอนั่นต้องช่วยเต็มที่แน่เพื่อผลประโยชน์ของเฟอร์รารี่”
แต่เจ้ากระต่ายก็ยังมิวายหันมาเสนอแนะเขาอย่างกระตือรือร้นจนเขาหลุดหัวเราะ
ตัวเองยังรู้ว่าเป็นแผนการร้ายแล้วยังมายุยงให้เขาไปขอคำปรึกษาเนี่ยนะ?
เอาเป็นว่าถ้าเขายืนยันได้ว่าพี่ชายของเขาเป็นศพไปแล้วจริงๆ เขาจะเก็บท่านCEOปีศาจไว้เป็นทางเลือกต่อไปก็แล้วกัน
“ลงไปปาร์ตี้กันเถอะ”
จู่ๆเจ้ากระต่ายก็เปลี่ยนเรื่องเมื่อหันไปมองนาฬิกา
คืนนี้ทีมม้าลำพองจัดปาร์ตี้ปีใหม่กันที่เล้าจ์ของโรงแรม
กลางวงล้อมของเหล่าม้าลำพองมีคุณฮันซี่เป็นพิธีกร
พวกนั้นหาอะไรมาเล่นกันหลายอย่างสมบรรยากาศปาร์ตี้ เจ้ากระต่ายเป็นตัวแทนเขาขึ้นไปรับรางวัลด้วยสำหรับชัยชนะที่ได้มาจากการแข่งรถโกยหิมะแบบมึนงง
ร่างสูงสง่านั่งอยู่ที่บาร์จิบวอดก้าเบาๆพลางมองเจ้ากระต่ายเล่นกับเพื่อนๆไปด้วย
เขาไม่ได้ไปปาร์ตี้ปีใหม่มากี่ปีได้แล้วนะ ครั้งสุดท้ายน่าจะเมื่อ 5
ปีที่แล้วตอนที่เข้าทีมใหญ่ของยามาฮ่าใหม่ๆและปฏิเสธคำชวนของเพื่อนร่วมทีมไม่ได้
ปาร์ตี้มันไม่ได้สนุกอะไรเลยสำหรับเขา เสียงดังน่ารำคาญแล้วก็มีแต่คนน่ารำคาญ
แต่บรรยากาศเหมือนเด็กอนุบาลจับของขวัญกันของที่นี่มันกลับทำให้เขารู้สึกสนุกอย่างน่าประหลาด
บางช่วงเขาก็นั่งขำจนท้องคัดท้องแข็ง
เจ้าพวกวิศวกรเพี้ยนพวกนี้เล่นอะไรกันแต่ละอย่าง
บางครั้งเขาก็คิดนะว่ากลับไปทำรถแข่งนั่นแหละ ดีที่สุดแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว
อีกทีเขาก็ตะโกนเคาต์ดาวน์กับชาวม้าแดงไปแล้ว
ท่อนแขนแข็งแรงกอดคอเจ้ากระต่ายไว้ก่อนจะช่วยกันนับ
สาม...สอง....หนึ่ง
“Happy New Year!!”
ท่ามกลางเสียงเพลงเฉลิมฉลองดังลั่น
ท่ามกลางแสงไฟสลัวๆของงานปาร์ตี้
เขาดึงคอเจ้ากระต่ายเข้ามาก่อนจะจูบที่กลีบปากสีสดแนบแน่น
นัยน์ตาของพวกเราจ้องมองกันและกัน
กรุ่นกลิ่นแอลกอฮอล์จากทั้งร่างกายและริมฝีปากทำให้ความยับยั้งชั่งใจถูกลดทอนลงไป
เจ้ากระต่ายที่ดื่มไปไม่ใช่น้อยคล้องสองแขนมาที่คอเขาก่อนจะบดเบียดร่างกายเข้าหา
พวกเราจูบกันอยู่ที่บาร์อยู่พักใหญ่จนเขาทนไม่ไหว
มือใหญ่กุมมือบางก่อนจะพาออกจากงานปาร์ตี้แล้วตรงรี่ขึ้นห้องพัก
มงกุฎของเล่นที่ได้มาจากในงานยังสวมอยู่บนหัวของเจ้ากระต่ายในขณะที่ถูกเขาเปลื้องผ้าออก
ตั้งแต่เข้าห้องมาได้ริมฝีปากของเราก็แทบจะไม่ได้ห่างกัน
จูบรสเหล้าเคล้าคลอนัวเนีย เรซควีนของเขาเย้ายวนที่สุดในเสื้อผ้าหลุดรุ่ยแบบนี้
ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เขาเองก็ร้อนไปหมด เจ้ากระต่ายคงได้เจ็บตัวหน่อยแหละคืนนี้เพราะเขาก็ไม่มีสติพอที่จะควบคุมตัวเองมากนัก
กระต่ายน้อยคงจะถูกกินอย่างหนักแน่ๆคืนนี้...
ร่างสูงสง่าเดินหลบหลีกกองเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเต็มพื้น
เพราะเมื่อคืนสนุกกันมากไปหน่อยเขาเลยรู้ว่าเจ้ากระต่ายต้องตื่นมาในสภาพแย่สุดๆแน่ๆ
น้ำผึ้งมะนาวแก้วหนึ่ง ยาแก้แฮ้งอีกขวดหนึ่งถืออยู่ในมือ
“จ้านเกอ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกร่างเปลือยเปล่าที่ยังซุกอยู่ในผ้าห่มผืนหนา
แพขนตายาวยังไม่ยอมขยับเขาจึงเรียกซ้ำอีก
“คุณกระต่ายครับ...” เขานั่งลงไปที่ขอบเตียงก่อนจะก่อกวนคนหลับด้วยการดึงผ้าห่มออก
“ที่รักตื่นเร็ว...ผมมีอะไรจะให้ดู” เมื่อไหล่ขาวสัมผัสกับความเย็นเจ้ากระต่ายถึงได้ขมวดคิ้วก่อนจะส่งเสียงอืออาอย่างรำคาญ
“อือ...” เจ้ากระต่ายงอแงไม่อยากตื่น
ร่างโปร่งบางพยายามจะพลิกตัวหนีแต่มือใหญ่ก็จับดึงกลับมา
“จ้านเกอ
ดูนี่สิ” เขาเปิดรูปในมือถือก่อนจะพยายามเรียกเจ้าคนน่ารักให้ลืมตา
“.......ไร?...ไม่เอา
ชั้นไม่ไปไหนทั้งนั้น....อือ....ปวดเอว......”
เสียงงัวเงียเง้างอดดังมาจากในผ้าห่ม
“ลืมตามาดูก่อน”
“..............” เจ้ากระต่ายง่วงทำหน้ามุ่ยเมื่อเขายังก่อกวนไม่หยุด
ร่างโปร่งบางพยายามลุกขึ้นมานั่งก่อนจะยกมือขึ้นบีบสะโพกไปมา
“เมื่อคืนนายทำไปกี่รอบเนี่ย?
ทำไมมันปวดเมื่อยงี้อ่ะ? โอ๊ย เอวชั้น...” คนที่อยู่ในสภาพสะโหลสะเหลลืมตาอย่างเจ็บร้าวไปทั้งตัว ที่หัวก็ปวดหนึบๆ
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
“ผมไม่ได้นับ
เอาไว้คราวหน้าจะนับแล้วกัน”
มือกระต่ายตีผลั๊วะมาที่ต้นแขนพร้อมกับชักหน้าหงิกใส่ทันที
“ไม่มีคราวหน้าแล้วเฟ้ย!
คอยดูเถอะชั้นจะไม่ยอมให้นายทำแล้วตลอดเดือนนี้! ฮึ่ย!”
เขายิ้มหน้าบานเป็นดอกทานตะวันเพื่อออดอ้อนเอาใจ...เมื่อคืนน่าจะเพราะเมาด้วยกันทั้งคู่ก็เลย...ดุเดือดไปหน่อย...
“แต่เค้าว่ากันว่า
คืนข้ามปีทำอะไรก็จะได้ทำเรื่องนั้นไปตลอดทั้งปีเลยนะ” แล้วเขาก็โดนตีแขนไปอีกทีจนได้
“แล้วไง?
จะให้ดูอะไร?” มือบางควานหาแว่นตามาใส่
“นี่” เขายื่นรูปของสิ่งหนึ่งให้เจ้ากระต่ายดู
“รองเท้าสเก็ต?”
“ใช่
ผมลงไปหากาแฟกับยาแก้แฮ้งที่ล็อบบี้ เจ้าหน้าที่เลยบอกว่าที่ทะเลสาบเช้านี้กลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว
และความหนาก็ทำให้เปิดเป็นลานสเก็ตได้ ลงไปเล่นกันไหม?” เขาชวนเจ้ากระต่ายด้วยแววตาเป็นประกาย
“ตอนนี้เหรอ....” หน้าเจ้ากระต่ายบ่งบอกว่าให้ดูสภาพชั้นด้วยยังไงก็ไม่รู้
“ตอนนี้สิ
ถ้ารอสายๆคนน่าจะเยอะ” เขารีบยัดทั้งยาทั้งน้ำผึ้งมะนาวให้เจ้ากระต่ายดื่มเข้าไป
แต่ใบหน้ามนก็ยังไม่วายบ่นต่อ
“แต่ชั้นปวดเอว...”
“มา
เดี๋ยวผมอุ้มพี่ไป” ท่อนแขนแข็งแรงรวบเอวบางก่อนจะอุ้มท่าเจ้าหญิงอย่างไม่รอช้า
เขาพาเจ้ากระต่ายเข้าห้องน้ำก่อนจะจับอาบน้ำแต่งตัวตามความเคยชิน แล้วไม่นานเจ้ากระต่ายที่งอแงไม่อยากมาท่าเดียวก็มายืนอยู่บนลานน้ำแข็งกับเขาจนได้
ทะเลสาบกระจกสีมรกตยามเมื่อกลายเป็นน้ำแข็งแล้วกลับมีสีคล้ายหยก
สีขาวน้ำนมผสมสีเขียวอ่อนดูสวยงามจริงๆ
นักบิดจากทีมยามาฮ่าย่อตัวลงไปเช็คความเรียบร้อยของรองเท้าสเก็ตให้เจ้ากระต่าย
คนไม่อยากมาในเวลานี้กลับมีสีหน้าและแววตาเป็นประกายซะงั้น
เขาชอบที่เจ้ากระต่ายมักจะสนุกไปกับเขาได้ไม่ว่าเขาจะทำอะไร
มันไม่ใช่การฝืนเปลี่ยนตัวเองเพื่อเขา
แต่เจ้ากระต่ายจะค่อยๆเรียนรู้และหาทางสนุกไปกับเขาด้วยมากกว่า
ซึ่งแบบนี้มันทำให้เราคบกันอย่างมีความสุข
“ชั้นเล่นไม่เป็นอ่ะ” ใบหน้ามนก้มลงมามองเขาที่กำลังเช็ครองเท้าให้
“เดี๋ยวผมสอน
ไม่ยากหรอก”
ร่างสูงสง่ายืนขึ้นก่อนจะจับมือบางไว้
ใช่...กับคนธรรมดาน่ะอาจจะไม่ยากหรอก...แต่กับเจ้ากระต่ายที่สกิลการออกกำลังกายเป็นศูนย์แถมกำลังบาดเจ็บจากการถูกจับกินข้ามคืน
มันเลยมีสภาพทุลักทุเลหน่อย...
เขาพยายามปล่อยมือเพื่อให้ร่างโปร่งทรงตัวแล้วเดินได้เอง
แต่วงแขนบางก็ทำได้แค่ตีอากาศพั่บๆไปมาก่อนจะเซถลาลื่นล้มให้เขาต้องคอยพยุงไว้ซะอย่างงั้น
วันนี้จะได้ออกไปจากตรงนี้ไหมเนี่ย? เขายิ้มให้คนหน้ามุ่ยอย่างเอ็นดู
ลานสเก็ตน้ำแข็งนี่ก็ดันเป็นลานธรรมชาติซะด้วย มันเลยไม่มีรั้วอะไรให้เกาะ
“ไม่เอาแล้ว!
ชั้นไม่เดินเองแล้ว! ชั้นจะเกาะนายนี่แหละ! พาชั้นมานายก็ต้องรับผิดชอบ!”
เจ้ากระต่ายเอาแต่ใจเกาะหมับมาที่เอวเขาหน้าตาเฉย ใบหน้าแสนงอนนั่นบ่งบอกว่าจะไม่ฝึกเดินเองแน่ๆและจะทำตัวเป็นปลิงเกาะเขาไปอย่างงี้แหละ
โว้ยยยย น่ารักชะมัด!
“ฮึ...เอางั้นก็ได้ครับ” เขาอมยิ้มก่อนจะกอดกระชับเอวบางแล้วค่อยๆพาวิ่งไปด้วยกัน
ถึงเขาจะต้องใช้แรงเป็นสองเท่าแต่มันกลับไม่เหนื่อยเลย
ร่างทั้งสองที่ตระกองกอดกันสไลด์ตัวไปทั่วลานน้ำแข็งท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่พาดผ่านทิวเขาหิมะสาดส่องลงมา
ถึงแม้ว่าลานน้ำแข็งแห่งนี้จะหนาวเหน็บแต่กลับมีไออุ่นกรุ่นไปทั่ว
ร่างที่อยู่ในอ้อมแขนกันและกันแทบไม่ได้มองทางเลยว่ากำลังขยับกายไปทางไหน
เพราะใบหน้าของทั้งสองต่างจ้องมองกันและกันด้วยรอยยิ้ม ด้วยเสียงหัวเราะ
ด้วยความสุข
ต่างฝ่ายต่างคิดเพียงว่า
อยากจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตราบนานเท่านานเพียงเท่านั้น...
แต่ช่วงเวลาแสนสุขก็แสนสั้น...
หลังปีใหม่ไม่นานต่างฝ่ายก็ต่างยุ่งกับการเตรียมรถแข่งคันใหม่
หวังอี้ป๋อต้องกลับไปญี่ปุ่นเพื่อเทสรถกับทีมต้นสังกัดอย่างยามาฮ่า
ส่วนดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่ก็ต้องเข้าโรงงานแทบจะทั้งวันทั้งคืน
กำหนดเปิดตัวรถแข่งคันใหม่ของทีมม้าลำพองคือช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์
เพราะงั้นปลายมกราอย่างวันนี้อะไรหลายๆอย่างจึงต้องพร้อมแล้ว
เป็นต้นว่า...เจ้าม้าตัวใหม่ต้องลืมตาตื่นได้แล้ว
ร่างโปร่งบางในชุดฟอร์มสีแดงกำลังเดินไปตามโถงสีขาวของแผนกพัฒนารถ
กระดานชาร์ตที่แนบอยู่บนหัวใจสั่นไหวน้อยๆเพราะเขากำลังตื่นเต้น
วันนี้ทีมวิศวกรกว่าครึ่งร้อยชีวิตกำลังมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องๆหนึ่งซึ่งเขากำลังเดินเข้าไป
ทุกคนในห้องต่างใส่ชุดสีแดงเหมือนกันและทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังม้าแรกเกิดที่ยังไม่มีแม้แต่ผิวหนังห่อหุ้มซึ่งอยู่กลางห้อง
แต่กระนั้นมันก็พร้อมแล้วที่จะลืมตาขึ้นมา
วันนี้คือวันที่จะสตาร์ทรถเป็นครั้งแรก...
คือวันที่สำคัญมากสำหรับวิศวกรในทีมแข่งรถอย่างพวกเขา
“เริ่มเลยนะ” ศิษย์พี่ที่เป็นหัวหน้าทีมวิศวกรเอ่ยขึ้น
ลูกทีมคนหนึ่งจึงถืออุปกรณ์สตาร์ทซึ่งเป็นแท่งยาวๆไปทางท้ายรถ
รถฟอร์มูล่าวันนั้นจะสตาร์ทจากภายนอก
มือบางยกขึ้นมาปิดปากก่อนจะจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
และเมื่อสิ้นสุดการจุดสตาร์ท
เสียงกระหึ่มที่ดังขึ้นมาก็ทำเอาน้ำตาแทบไหล ความรู้สึกเหมือนพ่อแม่ที่ได้ฟังเสียงลูกร้องครั้งแรกหลังจากคลอดออกมาทำเอาดีใจจนน้ำตาคลอ
เจ้าเด็กน้อยตัวนั้นมันตื่นขึ้นมาแล้ว....
อีกไม่นานมันก็พร้อมที่จะลงชิงชัยในสนามที่โหดหินของฟอร์มูล่าวันแล้ว...
รอบๆห้องยังคงมีกล้องที่พากันบันทึกเสียงแห่งความทรงจำนี้ไว้
เสียงกระหึ่มที่ยังคงดังต่อเนื่องของมันนั้นดีจริงๆ เสียงฟังดูดีมาก
จากประสบการณ์ของเขาเจ้ารถคันนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงอีกต่อไป
เขาจึงละออกมาจากวงล้อมได้
“จ้านจ้าน
อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ ท่านCEOปีศาจเรียกนายไปพบแน่ะ” ลูกทีมคนหนึ่งบอกเขา ใบหน้ามนจึงพยักรับ
“อื้อ” เขาเดินออกจากห้องอย่างไม่ติดใจอะไร
การที่ CEOหนุ่มเรียกเขาไปพบโดยตรงนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะเขาไม่ใช่วิศวกรที่เป็นลูกทีมทั่วไป แต่เขาเป็นหัวหน้าทีมดีไซน์เนอร์ของรถซุปเปอร์คาร์ด้วยจึงมีเรื่องต้องพูดคุยโดยตรงกับฝ่ายบริหารอยู่บ่อยๆ
ร่างโปร่งบางเดินไปตามโถงทางเดินที่คุ้นเคย
ตึกที่เป็นส่วนบริหารนั้นอาจจะมีคนใช้งานอยู่มากแต่เขาบอกเลยว่าคนที่จะเดินผ่านโถงตรงนี้ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมต่อไปยังห้องทำงานส่วนตัวของคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเฟอร์รารี่นั้นมีไม่มาก
มือบางเคาะลงไปสองสามทีก่อนที่จะเปิดประตูห้อง CEO ของม้าลำพองออก
“มาแล้วเหรอ”
ใบหน้ามนเลิกคิ้วน้อยๆเมื่อคนที่อยู่ในห้องไม่ได้มีแค่ CEOของเฟอร์รารี่ แต่เอลวิน สมิธ ทีมบอสของเขาก็อยู่ด้วย
“นั่งก่อนสิ” ร่างสูงใหญ่ผายมือให้เขานั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม
เขาเหลือบมองหน้าทีมบอสของตัวเองอย่างสงสัย ถ้าบอสอยู่ด้วยงั้นก็แปลว่าน่าจะเป็นเรื่องของทีมแข่งไม่ใช่ส่วนออกแบบรถซุปเปอร์คาร์
“ชั้นขอพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมเลยนะ
เพราะชั้นมีประชุมต่อ” ใบหน้าหยิ่งทระนงเอ่ยออกมา
“เฟอร์รารี่กำลังจะทำแคมเปญรถร่วมกับดูคาติ
ชั้นเซ็นต์สัญญาไปเรียบร้อยแล้ว” ภาพรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบต์สีแดงที่วางอยู่เต็มโต๊ะด้านหน้าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้สินะ
จะมีใครบ้างที่ไม่รู้จักยักษ์ใหญ่แห่งวงการมอเตอร์ไซค์อย่าง Ducati แล้วด้วยความที่เป็นค่ายรถสัญชาติอิตาลีเหมือนกันซ้ำยังใช้สีแดงเป็นเอกลักษณ์เหมือนกัน
พวกเขาจึงมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด
“ครับ” ที่เรียกมานี่จะให้เขาออกแบบรถมอเตอร์ไซค์เหรอ?
หรือว่าจะเป็นซุปเปอร์คาร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถของดูคาติ?
เขาได้แค่คาดเดาไปต่างๆนานา...ทว่า...สิ่งที่ออกมาจากปากคุณครูเทโอ้มันกลับไม่เคยอยู่ในเรื่องที่เขาเดาไว้เลย
ไม่ถูกเลยแม้แต่นิดเดียว
“จริงๆมันก็คือการทำรถมอเตอร์ไซค์รุ่นลิมิเต็ดที่เอาตราของเฟอร์รารี่ไปติดนั่นแหละ
เรื่องการออกแบบและพัฒนาแคมเปญนี้ทางดูคาติจะจัดการเอง...เพียงแต่...มันมีข้อตกลงร่วมกันข้อหนึ่งที่อาจจะดูไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่...ไม่สิ
ชั้นเดาว่ามันน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักที่ทางนั้นคิดแคมเปญนี้ขึ้นมาบังหน้า”
“หนึ่งในข้อตกลงที่ว่าก็คือ
ทางเฟอร์รารี่จะต้องให้ดูคาติยืมตัววิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบรถ
เพื่อไปออกแบบรถแข่งให้กับทีมแข่ง Moto GP ของดูคาติ...พวกนั้นต้องการจะยืมตัวนายนั่นแหละ
เซียวจ้าน” ร่างทั้งร่างถึงกับนิ่งค้างไป
สิ่งที่ได้ยินเหนือความคาดดหมายของเขาไปมากจนตั้งสติไม่ทัน
“ผม?” นิ้วเรียวชี้เข้าหาตัวเองอย่างมึนงง
“ใช่” ใบหน้าหยิ่งทระนงยังคงยืนยันหนักแน่น
“แต่จะให้วิศวกรออกแบบรถฟอร์มูล่าวันไปออกแบบรถมอเตอร์ไซค์เนี่ยนะครับ?
ทางนั้นไม่ใช่ว่ามีผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถมอเตอร์ไซค์มากกว่าผมอยู่แล้วหรอกเหรอ?
อีกอย่างตอนนี้มันก็จะสิ้นเดือนมกราคมแล้ว ไม่ใช่ว่ารถแข่งต้องถูกออกแบบเสร็จไปแล้วเหรอครับ?
อี้ป๋อยังกลับไปเทสรถให้ทีมยามาฮ่าแล้วเลย”
เขาถามออกไปเป็นชุด
“รถแข่งน่ะออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่นายก็เห็น...ว่าหลายๆปีมานี้รถของทีมดูคาติมักจะสู้ทีมจากญี่ปุ่นไม่ได้
ทางนั้นเลยอยากจะลองแนวคิดที่แปลกใหม่บ้าง เพราะการทำอะไรซ้ำๆพัฒนาแต่จุดเดิมๆ
บางทีมันก็อาจจะถึงทางตันไปแล้ว สู้ลองเปลี่ยนไปใช้ทางอื่นบ้าง
บางทีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น พูดง่ายๆก็คือ
พวกนั้นอยากได้ไอเดียใหม่ๆจากมุมมองอื่นๆบ้าง ก็เลยมาขอความช่วยเหลือจากเรา”
“แต่รถมันออกแบบเสร็จไปแล้ว?”
“ใช่
แต่สิ่งที่ทางดูคาติต้องการคือการขอยืมตัวนาย...ไปอยู่กับทีมแข่งรถตลอดทั้งฤดูกาล
ให้นายปรับแต่งพัฒนารถในขณะที่แข่งขันแต่ละสนามไปเลย”
“หมายความว่า...ผมต้องไปอยู่กับทีมแข่งรถของดูคาติ...ใน
Moto
GP ?” ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นนิ่งอึ้งไป
หมายความว่าปีนี้เขาจะไม่ได้อยู่ในพิตของเฟอร์รารี่แต่ต้องไปอยู่ในพิตของดูคาติแทน...ต้องไปอยู่ในรายการแข่งขันเดียวกันกับหวังอี้ป๋อ...
“ใช่”
“แล้วเฟอร์รารี่ล่ะ?” ใบหน้ามนเงยถามอย่างห่วงๆ
ถ้าเขาไปแล้วทีมแข่งของเขาจะทำยังไง
“นายไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก
นายวางรากฐานมันเอาไว้อย่างดีแล้ว ถึงนายไม่อยู่
รถฟอร์มูล่าวันของเราก็จะยังเป็นที่หนึ่งอยู่ดี”
ก็จริงอยู่เพราะลูกทีมของเขาก็เก่งพอที่จะอยู่กันเองได้
“ครับ...”
“แต่นายต้องคิดให้ดีๆนะเซียวจ้าน เรื่องนี้จะเกี่ยวพันไปถึงความสัมพันธ์ของนายกับหวังอี้ป๋อด้วย” เอลวิน สมิธ
ทีมบอสของเฟอร์รารี่ที่นั่งฟังมาพักใหญ่เริ่มคัดค้าน
เพราะใน Moto GP ดูคาติกับยามาฮ่าคือคู่แข่งกัน…เรื่องนั้นเขารู้ดี
“ถ้านายไม่อยากไป
นายบอกชั้นคำเดียว ในสัญญาไม่ได้ระบุชื่อนายสักหน่อย ยังมีวิศวกรคนอื่นที่พอจะส่งไปแทนนายได้อยู่
ถ้านายไม่อยากไปใครก็ทำอะไรนายไม่ได้”
เอลวิน สมิธหันไปมองครูเทโอ้ตาเขียว
สองปีศาจลาสบอสแห่งเฟอร์รารี่กำลังจะเริ่มตีกันอีกแล้ว การทะเลาะกันของทีมบอสฝั่งทีมแข่งกับผู้บริหารอย่างCEOของเฟอร์รารี่เป็นเรื่องที่ทุกคนเห็นกันจนชินตา
เพราะความเห็นมักจะไม่ตรงกันถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเหมือนกันก็เถอะ
“แต่ชั้นกลับมองว่านี่เป็นโอกาสที่ดี
ยังไงชั้นก็เซ็นต์สัญญาไปแล้ว ไปเตรียมตัวซะ”
จอมเผด็จการแห่งฝ่ายบริหารยังคงเชื่อในความคิดของตัวเองและไม่เปิดโอกาสให้ใครคัดค้าน
เขาได้แต่นิ่งเงียบก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ
ถึงเขาจะไม่ได้โต้ตอบอะไรและดูเหมือนจะยอมรับข้อตกลงโดยง่ายแต่เขาก็คิดอยู่ในหัว
ไม่สิ...ถ้าใช้หัวสมองคิดไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ควรไป...แต่ที่เขาตอบตกลงคงเป็นเพราะใช้หัวใจคิดมากกว่า
เขาอยากอยู่ใกล้ๆหวังอี้ป๋อ...
ถ้าได้แข่งในรายการเดียวกัน
ยังไงก็คงได้เจอกันทุกวัน
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาพวกเขาต้องอยู่ห่างกันคนละซีกโลกและเขาก็กำลังโดนความคิดถึงเล่นงานจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
ถึงจะได้เห็นหน้าผ่านวีดีโอคอลแต่กลับสัมผัสถึงความอบอุ่นของอ้อมแขนนั้นไม่ได้
มันเหงาออก...
เพราะฉะนั้นใบหน้ามนจึงเงยมองสองบอสของตนเอง
ริมฝีปากสีระเรื่อเอ่ยออกไปด้วยใบหน้าที่พร้อมจะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตแล้ว
“ผม...จะไปครับ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
ไปเที่ยวกันอีกแล้วฟิคตอนนี้555 แล้วก็ยินดีกับซิงเกิ้ลใหม่ของพี่จ้านด้วยนะคะ
We are made to love~ อร๊ายยยย >////< ชั้นรักเค้า งื้ออออ >////<
ส่วนฟิคก็...เริ่มเข้าลูปในอินโทรแล้วค่ะ
ซึ่งน่าจะเป็นลูปสุดท้ายของเรื่องนี้แบ้ว อิอิ ทุกปมที่สร้างไว้จะคลายในลูปนี้แหละ
=v=b
แล้วก็ขอบคุณทุกๆการติดตาม
หัวใจทุกดวง แล้วก็คอมเม้นต์ทุกๆคอมเม้นต์ที่เอ็นดูฟิคน้อยๆเรื่องนี้นะคะ
อ่านแล้วน้ำตาจะไหลมาก >////< ตอนที่เริ่มแต่งเรื่อง GLIDE ภาคแรกตั้งแต่ปี 2013
ก็...7 ปีมาแล้ว555+ ตอนนั้นแทบไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการแข่งรถเลยค่ะ
เรียกว่าเริ่มทุกอย่างพร้อมกับฟิคเรื่องนี้แหละ ^ ^”
แล้วตอนนั้นข้อมูลอะไรก็หายากมาก คือคนที่ดูส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ชายอ่ะเนอะ
แล้วผู้ชายในยุคนั้นเค้าก็ไม่ค่อยมาเขียนบลอคเขียนอะไรอธิบายให้อ่าน ก็เมามากค่ะ
หาข้อมูลเยอะมากเพราะมีแต่เรื่องใหม่ๆที่ไม่เคยรู้มาก่อน เปิดโลกมาก จากที่ติ่งอนิเมะอยู่ดีๆ
จากที่ดูแข่งรถเพราะจะหาข้อมูลแต่งฟิค กลายเป็นดูทุกเรซ รู้จักทีมแข่งนู่นนี่นั่น
ติดงอมแงมมากโอ๊ย กลายเป็นติ่งเอฟวัน กลายเป็นทิโฟซีไปซะอย่างงั้นอ่ะ แง๊~ แต่ก็นะ...สาววายไปที่ไหนก็มีฟิลเตอร์วาย5555+ บางครั้งก็งงค่ะว่านี่ตรูดูแข่งรถหรือดูผู้ชายเค้ารักกันเนี่ย
5555+ แย่ห์ๆๆ >////<
แล้วก็...เมื่อปีที่แล้วด้วยความเผือกเลยตามเพื่อนไปดู
Moto
GP ที่บุรีรัมย์มาค่ะ
ทั้งๆที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับแข่งมอเตอร์ไซค์เลย555+
คือตอนที่รับปากเพื่อนว่าจะไปด้วยน่ะ เป็นตอนที่ปรมจ.ยังไม่ฉาย
ตั๋วอะไรต่างๆมันต้องจองล่วงหน้าเป็นปีอ่ะเนอะ แล้วพอปรมจ.ฉาย
กลายเป็นติ่งป๋อจ้านไปอีก ความเผือกของตรูนั้นก็มีประโยชน์ขึ้นมาทันที 555+ ค่ะ
หลังจากตามไปดู Moto GP ได้เห็นความเท่ห์ของนักบิด ดูไปก็จิ้นไปว่านั่นป๋อไง
นั่นป๋อเอง 5555+ (แต่จริงๆป๋อแข่งรายการอื่นนะคะไม่ใช่รายการนี้)
ก็เลยอยากแต่งฟิคที่ป๋อเป็นนักแข่งรถ แต่ด้วยความขี้เกียจหาข้อมูลแล้ว
ก็เลยจับยัดลงจักรวาล GLIDE มันซะเลย
ที่มาก็ประมาณนี้แหละค่ะ >////<
ในภาคก่อนๆส่วนใหญ่ตัวเอกจะเป็นนักแข่งรถ
ข้อมูลและมุมมองส่วนใหญ่ก็เลยจะเป็นในส่วนของนักแข่ง
พอมาภาคนี้พี่จ้านเป็นวิศวกรออกแบบรถได้ขยับมาเขียนในส่วนห้องเครื่องบ้างก็สนุกไปอีกแบบค่ะ
คิดว่ากำลังดีแล้วที่แต่งภาคนี้ตอนนี้
ได้ใช้สิ่งที่เก็บๆมาจากการดูเอฟวันมาหลายปีเอามาเขียนพอดี
อย่างการแข่งรถโกยหิมะเนี่ย ม้ามันแข่งกันจริงๆนะ5555+ ขำมากอ่ะตอนที่เห็นครั้งแรก
เล่นอะไรก๊าน
ทีมแข่งรถคือเหมือนการรวมกลุ่มของเด็กผู้ชายซนๆอ่ะ
อยู่นิ่งไม่ได้เลยอย่างตอนแข่งแล้วมีฝนตกทำให้แข่งต่อไม่ได้ต้องรออยู่ในพิตเนี่ย
แต่ละทีมก็เอาละ
สรรหาของประดิษฐ์จากในพิตนั่นแหละมาทำเรือของเล่นตะลุยน้ำฝนแข่งกัน แล้วความครีเอทนี่จัดเต็มมากไม่ต้องห่วง555+
แล้วอย่างตอนสตาร์ทรถครั้งแรกเนี่ยเป็นอะไรที่ขนลุกสุดๆเลยค่ะ
ทุกทีมเค้าจะอัดคลิปมาลงกัน คือได้ยินแต่เสียงมาทักทาย
ชอบมากเลยค่ะเสียงร้องครั้งแรกของม้าตัวใหม่ที่ยังไม่เห็นหน้า >////<
แต่ข้อมูลอาจจะมีส่วนที่ยังผิดบ้างหรือแต่งเพิ่มไปเพื่อความสมูทของเรื่องบ้างโปรดให้อภัย
m(_
_)m ขอบคุณจากใจสำหรับทุกๆการติดตามมากๆค่ะ ^ ^
ปิดท้ายด้วยรูปน้องอิงที่พาไปสนามช้าง บุรีรัมย์ด้วยกัน
อิอิ จริงๆเตรียมหมวกเบอร์ 85 ไว้ให้นางด้วยค่ะ แต่ด้วยความหงอนบนหัวเยอะละเกิน
เลยใส่ไม่ได้ หมวกเลยเสร็จเอเลนไปซะ 5555
จริงๆตอนแข่งคนเต็มเลยค่ะ อันนี้ถ่ายตอนแข่งจบแล้ว เป็นรายการของรุ่นเด็กๆต่อ คนดูส่วนใหญ่เลยกลับไปแล้ว
เอเลนนนน >////<
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น