ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 14


ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 14

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค






บัดนี้ห้องนั่งเล่นในบ้านกลับมีเบาะยางวางอยู่เต็มไปหมดแล้วแทนที่นักออกแบบรถของเฟอร์รารี่จะนอนกลิ้งสเก็ตงานอยู่หน้าเตาผิงกลับต้องมายืนทำหน้ามึนอยู่บนเบาะสีเขียวพวกนี้ ผมหน้าม้าถูกมัดเป็นจุกเอาไว้โดยฝีมือของหวังอี้ป๋อ ร่างโปร่งบางก็ถูกจับใส่ชุดวอล์มแทนที่จะเป็นชุดนอนฮู้ดตามปกติ ถึงมันจะมีสีแดงแล้วก็เป็นชุดวอล์มของเฟอร์รารี่ก็เถอะนะ

“ก่อนอื่น...ทำไมชั้นถึงมายืนอยู่ตรงนี้เนี่ย?”

“ผมมาวิเคราะห์ดูแล้วนะ การที่พี่ถูกจับตัวไปง่ายๆแบบนั้นนั่นก็เป็นเพราะพี่ไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้นได้ เพราะฉะนั้นผมจึงจำเป็นต้องสอนวิธีการต่อสู้หรือศิลปะการป้องกันตัวให้พี่ อย่างน้อยพี่ก็น่าจะสามารถสลัดให้หลุดหรือยื้อเวลาเพื่อแหกปากให้ใครมาช่วยได้”   นักบิดจากทีมยามาฮ่ายืนประจันหน้าในชุดวอล์มสีดำ

“อ่อ...”   เจ้ากระต่ายพยักหน้าหงึกๆอย่างเข้าใจ

“แต่ชั้นไม่เคยออกกำลังกายมาตั้งแต่เรียนจบแล้วนะ จะไหวไหมอ่ะ? จำได้ว่าที่ออกกำลังกายครั้งสุดท้ายก็คือในวิชาพละสมัยไฮสคูล”   ....นักบิดของทีมยามาฮ่าถึงกับพูดไม่ออก ถึงว่าสิ เนื้อตัวของเจ้ากระต่ายถึงได้นุ่มนิ่มไร้กล้ามเนื้อได้ขนาดนี้ นี่ไม่ออกกำลังกายมากี่สิบปีแล้วเนี่ย?!

“........เอาเป็นว่า...ผมจะสอนท่าที่ไม่ต้องใช้แรงมากให้ก็แล้วกัน แล้วจากนี้พี่ก็ต้องออกไปวิ่งกับผมทุกวัน”   เขามักจะตื่นเช้าแล้วก็ออกไปวิ่งในละแวกบ้านของเจ้ากระต่าย ถนนที่นี่ทั้งสงบและสวยงามขนาดนี้เหมาะกับการจ๊อกกิ้งยามเช้าจะตาย

“ห๊ะ? ทุกวันเลยเหรอ? ไม่เอาอ่า ชั้นไม่ชอบออกแรง~   เจ้ากระต่ายงอแงส่ายหน้าลูกเดียวจนเขาต้องยกมือขึ้นมากอดอก

“ถ้าไม่ยอมไปวิ่งทุกวันงั้นก็มีอีกวิธี...ออกกำลังกายบนเตียงกับผมทุกคืน โอเคไหม?”


ผลั๊วะ!


มือกระต่ายตบผลั๊วะมาที่ต้นแขนของเขาแทนคำตอบ ใบหน้าย่นๆของอีกฝ่ายทำให้เขาหลุดหัวเราะอย่างเอ็นดู

“เอาละ มาเริ่มกันเถอะ แรงพี่มีไม่มากเพราะฉะนั้นต้องชิงเล่นงานจุดตายของอีกฝ่ายก่อน”

“จุดตาย?”

“ก็คือจุดที่ทำให้สลบ เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ หรืออาจจะถึงตายไงล่ะ”

“อ่อ....มีตรงไหนบ้างล่ะ?”

“ที่เล็งได้ง่ายๆเป็นจุดใหญ่ๆแล้วก็ใช้แรงไม่เยอะเลยก็คือที่ใบหน้า...”   มือใหญ่เอื้อมไปประคองแก้มใส นัยน์ตาสีอ่อนทอดมองมาด้วยสายตาลึกซึ้ง

“ที่ก้านคอ...”   ก่อนจะค่อยๆลูบลงมาที่กกหูละเรื่อยถึงด้านข้างของลำคอระหง

“ที่หลังคอ...”   มือข้างนั้นย้ายไปสัมผัสที่ท้ายทอย ดวงตาสุขุมสื่อความหมายและเสียงทุ้มก็ทำให้คนถูกจับถึงกับใจสั่น

“ที่ปลายคาง...”   แต่ละที่ที่มือใหญ่จับลงไปนั้นก็ทำให้ถึงตายได้จริงๆ ถึงตายในหลายๆความหมายเลย

“แล้วก็ที่.....”   เสียงทุ้มขาดหาย มือใหญ่ไม่ยอมลากต่อ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่มองต่ำลงไป

“ที่?”   เจ้ากระต่ายเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ตรงนี้”   หวังอี้ป๋อแตะมือไปที่กลางหว่างขาของคนตรงหน้าที่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ใบหน้ามนหน้าแดงเถือกทันที

“ตะ ตรงนี้ชั้นก็รู้ ไม่ต้องมาจับ!   มือกระต่ายรีบตะปบมือของอีกฝ่ายออกไป ก่อนจะมอบค้อนอันใหญ่ให้

“ฮึ”   แต่ร่างสูงสง่ากลับชอบใจที่ได้แหย่เจ้ากระต่ายให้แยกเขี้ยวได้ เพราะใบหน้าเง้างอดนั่นมันน่ารักน้อยเสียที่ไหน

“โอเค จำจุดพวกนี้ไว้ พี่ไม่ต้องสนใจที่อื่นเลยเพราะแรงพี่เล่นงานที่อื่นไม่ไหว ซัดเข้าที่จุดพวกนี้อย่างเดียวพอ”

“อื้อ”   เจ้ากระต่ายพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ไหนพี่ลองบุกเข้ามาเล่นงานผม”   เขาตั้งใจจะสาธิตให้ดูว่าเขาจะจัดการคนร้ายได้อย่างไร

“ได้เล้ย ฝ่ามือ 18 อรหันต์วัดเส้าหลิน! ย๊ากกก!”   อะไรล่ะนั่น?  เขาส่ายหน้าก่อนจะจับข้อมือของคนที่บุกเข้ามาด้วยท่าเหมือนหลวงจีนในหนังกังฟูก่อนจะทุ่มลำตัวบางนั่นลงพื้นอย่างง่ายดาย


ตึ้ง!


ถึงเสียงตบเบาะจะดังสนั่นแต่เจ้ากระต่ายกลับไม่เจ็บเพราะเขารู้วิธีเซฟอีกฝ่าย คนถูกทุ่มยังนอนหงายอย่างมึนงงเพราะเขาจัดการได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ

“เห็นไหม ถ้ารู้วิธีพี่ก็จะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ ผมแทบไม่ได้ออกแรงอะไรเลย พี่ไม่จำเป็นต้องจับพวกมันทุ่มแบบที่ผมทำ แต่อย่างน้อยพี่ก็จะสามารถสลัดพวกมันได้แล้ววิ่งไปขอความช่วยเหลือ”

“เจ๋งเลย”   เจ้ากระต่ายลุกขึ้นมานั่งตาวาว คงเข็ดกับการถูกจับตัวลากไปไหนมาไหนเต็มทนแล้ว

“ผมจะสอนว่าถ้ามีคนมาจับแขนพี่ควรจะทำยังไง”

“อื้อ!”   เจ้ากระต่ายพยักหน้าอย่างตั้งใจเรียน

“ปกติแล้วพี่ทำยังไงถ้ามีคนมาจับแขนพี่ ไหนทำให้ดูหน่อย”   มือใหญ่จับลงไปที่ข้อมือบาง

“ก็สะบัดๆแบบนี้?”   เจ้ากระต่ายเริ่มขัดขืนด้วยการสะบัดแขนเหวี่ยงไปมาเต็มแรง แต่ยิ่งสะบัดยิ่งยื้อกันไปมากลับยิ่งถูกมือใหญ่รัดแน่นขึ้น ใบหน้ามนหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะไม่ว่าจะดิ้นยังไงก็ไม่หลุด

“แบบนี้โดนอุ้มไปแน่”   เขายกยิ้มมุมปากก่อนจะคลายมือออก เจ้ากระต่ายทำหน้าหงิก

“ถ้ามีใครมาจับมือ ให้พี่พลิกข้อมือแล้วแบมือออกแบบนี้ แขนของเจ้าหมอนั่นจะพลิกทำให้เสียหลักในการจับตัวพี่ จากนั้นก็อย่ารอช้าใช้เข่าหรือเท้าถีบเข้ากลางเป้าเลย”   เขาสาธิตให้เจ้ากระต่ายดู

“ว้าว! นี่มันง่ายมากเลยนะ!”   เจ้ากระต่ายลองทำก่อนจะมีท่าทางตื่นเต้นเมื่อสามารถหลุดจากการจับกุมของเขาไปได้

“อย่าเพิ่งได้ใจไป คนที่จะมาจับตัวพี่น่าจะเป็นพวกมืออาชีพ ดิ้นหลุดแล้วก็รีบวิ่งหนีหรือไม่ก็ตะโกนให้ใครช่วย”

“อื้อๆ”   เขาสอนท่าป้องกันตัวจากการถูกจับแขนจากข้างหลังและถูกกระชากผมให้เจ้ากระต่ายด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกท่าที่ลืมไม่ได้

“ถ้าถูกปิดปากหรือถูกล็อคคอจากด้านหลังให้พี่เหวี่ยงมันแบบนี้ เหวี่ยงนะไม่ใช่ทุ่ม”   เขาสาธิตโดยให้เจ้ากระต่ายเป็นคนล็อคคอเขา ร่างโปร่งบางถูกเหวี่ยงลงไปกองอยู่บนเบาะอย่างง่ายดาย

“เหวี่ยง?”   เขาดึงเจ้ากระต่ายที่ยังทำหน้างงขึ้นมาจากพื้น

“ถ้าทุ่มพี่จะต้องยกมันข้ามหัว ถึงจะเจ็บกว่าแต่พี่ไม่มีแรงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นให้เหวี่ยงออกข้างๆแบบนี้แทน มือนึงจับโคนแขนมันไว้ ส่วนอีกมือก็จับข้อศอกที่มันล็อคคอพี่แล้วเหวี่ยงไปตามแรงธรรมชาติ”

“อ่อ...ชั้นเข้าใจๆ ใช้ตรงนี้เป็นจุดหมุนทำให้เกิดแรงเหวี่ยงเป็นวงกลมตามทิศนี้ จากนั้นแรงGก็จะทำให้มันล้มลงพื้นไปตามธรรมชาติ!”   ..........ถึงเขาจะไม่เข้าใจแต่ก็คิดว่าเจ้ากระต่ายน่าจะเข้าใจแล้วแหละ ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นกำลังพล่ามถึงสมการทางฟิสิกส์อะไรสักอย่างทำให้เขายกมือขึ้นมาซับเหงื่อบางๆ

“มา ลองทำดู”    ก่อนที่ศิลปะการป้องกันตัวจะถูกอธิบายด้วยหลักอากาศพลศาสตร์ไปเสียก่อน เขาต้องรีบตัดตอนด้วยการให้เจ้ากระต่ายลองจับเขาเหวี่ยงดู

ท่อนแขนแข็งแรงตรงเข้าล็อคคอดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่จากทางด้านหลัง เจ้ากระต่ายทำตามวิธีที่เขาบอกอย่างเก้ๆกังๆ ถึงจะอธิบายด้านทฤษฎีได้เป็นฉากๆแต่พอลงมือปฏิบัติกลับเงอะๆงะๆง๊อกๆแง๊กๆจนเขาถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอ

“ฮึ...”   เสียงหัวเราะดังใกล้แทบจะติดใบหู เจ้ากระต่ายที่เหมือนโดนดูถูกกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะพยายามเหวี่ยงเขาลงพื้นให้ได้ แต่เขาก็ขืนร่างกายไว้ ยิ่งเห็นแก้มป่องนั่นพองลมอย่างไม่ชอบใจก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากแกล้ง

“จุ๊บ”   ล็อคคอไม่พอผู้ร้ายหวังอี้ป๋อยังยื่นหน้าไปหอมแก้มใสเข้าให้หนึ่งที

“งื้อ!!”   เจ้ากระต่ายรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะเหวี่ยงเขาลงจนได้


ตุ้บ...


แล้วด้วยความอ่อนด้อยทางด้านการใช้ร่างกาย แทนที่จะเหวี่ยงเขาคนเดียวตัวเองก็ดันล้มตามเขามาเสียอย่างงั้น แทนที่จะวิ่งหนีไปกลับกลายเป็นถูกท่อนแขนของผู้ร้ายตวัดรอบเอวจับไว้ ตอนนี้ร่างโปร่งบางจึงกำลังกางแขนคร่อมทับลำตัวเขาอยู่...

แรงเหวี่ยงตามธรรมชาติทำให้ใบหน้าของเราหยุดอยู่ใกล้แสนใกล้ นัยน์ตาคู่โตกรอกไปมาอย่างเลิ่กลั่กกับท่าจบที่ไม่เป็นไปตามทฤษฎี แต่เขากลับจ้องมองใบหน้าที่อยู่ห่างแค่คืบนั้นด้วยรอยยิ้ม

หัวสีน้ำตาลขยับขึ้นไปในชั่ววินาที ริมฝีปากของเขาจุ๊บกลีบปากสีเชอร์รี่เบาๆไปหนึ่งที   “ผมอยากก่ออาชญากรรมมากเลย ถ้าพี่จะขัดขืนได้น่ารักแบบนี้”   เขายิ้มให้แต่เจ้ากระต่ายที่เริ่มชินกับรอยยิ้มของเขากลับรู้ว่ารอยยิ้มแบบนี้มันไม่น่าไว้ใจ ลำตัวบางพยายามจะลุกหนีแต่เขากลับพลิกตัวอีกฝ่ายลงพื้นสลับที่กันแทน

“ง่ะ!”   เจ้ากระต่ายมีเครื่องหมายตกใจขึ้นบนใบหน้าก่อนจะพยายามพลิกกายกลับมาคร่อมเขาตามเดิมเพื่อจะหนี แต่เขาก็ไม่ยอมจึงรั้งลำตัวบางพลิกลงไปใหม่ เจ้ากระต่ายแยกเขี้ยวยิงฟันคู่หน้าขู่ก่อนจะพลิกตัวกลับไปนั่งคร่อมเขาอีกรอบ ขาเขาจึงเกี่ยวขาเจ้ากระต่ายไว้ก่อนจะจับพลิกลงไปอยู่ใต้ร่างใหม่ ด้วยความที่ไม่มีใครยอมใคร จากห้องเรียนศิลปะการป้องกันตัวตอนนี้ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์จึงกลิ้งนัวเนียไปทั่วเบาะ...

“อยู่นิ่งๆสิ ผมจะสอนให้ว่าถ้าถูกกดลงพื้นแบบนี้พี่ต้องทำยังไง”   จนเขาต้องเอาเรื่องศิลปะการป้องกันตัวมาอ้างนั่นแหละ เจ้ากระต่ายถึงได้ยอมหยุด

“ทะ ทำยังไง?....”   เจ้ากระต่ายทำหน้าตื่นๆ แต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้สิงโต เขาจึงยิ้มเย็นๆก่อนจะเอ่ยตอบไป

“ถ้าคนที่กดพี่เป็นผม ให้พี่อ้าขาแล้วให้ผมใส่เข้าไป”

“งื้อ! ไอ้เจ้าหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์! นายจะเริ่มอีกแล้วใช่ไหม?! ปล่อยชั้นไปนะะะะะ”   มือกระต่ายฟาดมาที่ต้นแขนเขารัวๆแต่เขาก็ไม่ได้สนใจเสียงโวยวายของคนที่กำลังจะโดนกิน ร่างสูงสง่ากลับหิ้วลำตัวบางขึ้นก่อนจะลากไปโยนลงที่โซฟา เขาก็อยากจะสอนการต่อสู้ให้อย่างจริงๆจังๆอยู่หรอกนะ แต่ใครใช้ให้น่ารักขนาดนี้ล่ะ?!

กินก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน

มือใหญ่รูดซิปเสื้อวอล์มปื้ดเดียวสาบเสื้อทั้งสองฝั่งก็แหวกออกจากกัน...โอ้...เสื้อวอล์มนี่ก็ดีเหมือนกันแหะไม่ต้องเสียเวลาแกะกระดุมให้ยุ่งยาก

“นี่มันกลางวันแสกๆนะ!”   เจ้ากระต่ายพยายามอ้างฟ้าอ้างดิน

“พี่ยังต้องกินข้าวตอนกลางวันเลย ผมจะกินพี่ตอนกลางวันบ้างมันผิดตรงไหน?”    

“ง่ะ! มันใช่เหรอ?! แล้วอาม่าก็มองอยู่ด้วย”   เจ้ากระต่ายพยายามใช้เจ้าหมีแพนด้านั่นมาเป็นข้ออ้าง มือใหญ่เลยดึงกางเกงวอล์มสีแดงออกจากขาเรียวรวดเดียวแล้วโยนไปคลุมหัวหมีนั่นไว้

“แค่นี้เจ้าหมีนั่นก็มองไม่เห็นแล้ว”

“แต่ว่า อื้อ!”   เขาก้มลงไปปิดปากช่างเจรจานั่นด้วยปากของเขา ปากดีๆนี่เอาไว้ครางอย่างเดียวก็พอแล้ว  ดูซิเนี่ย  ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ถูกจับแก้ผ้าเกือบหมดตัว สงสัยเขาคงต้องเทรนศิลปะการป้องกันตัวให้ขนาดหนักเลยเนี่ย

ริมฝีปากร้อนจรดลงไปที่ปลายจมูกโด่งรั้นก่อนจะค่อยๆจูบไล่ลงมาที่กลีบปากนุ่มนิ่ม เขาแวะชิมมันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลากจูบลงมาตามปลายคาง สัมผัสที่เคยคุ้นทำให้แรงต่อต้านลดลงเรื่อยๆ ใบหน้ามนเงยขึ้นรับจูบที่ค่อยๆลากผ่านอวัยวะบ่งบอกความเป็นชายที่อยู่บนลำคอ มือกระต่ายเริ่มขย๋ำแขนเสื้อของเขาอย่างห้ามอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านไม่อยู่

ใบหน้าหล่อเหลายังคงลากจูบผ่าลงไปกลางแผ่นอกบาง เส้นผมสีน้ำตาลปรกละลงไปตามหน้าท้องแบนเรียบ เจ้ากระต่ายส่งเสียงครางเครือในลำคอเมื่อริมฝีปากร้อนของเขาจูบลงไปที่สะดือ สองขาขาวที่เขาแทรกกลางอยู่ถึงกับหุบเข้าหากันด้วยความเสียวซ่าน เขาจูบไล่ลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ...จนในที่สุดก็ถึงจุดที่ไวต่อความรู้สึกที่สุดในร่างกาย

สายตาเจ้าเล่ห์จ้องมองก่อนจะยกยิ้มน้อยๆเมื่อมันเริ่มมีปฏิกิริยาด้วยการขยายตัวขึ้นมาบ้างแล้ว


ผลั๊วะ!


มือกระต่ายที่ยังติดอยู่ในแขนเสื้อสีแดงฟาดไหล่เขาข้อหาแซวด้วยสายตา ใบหน้ามนเง้างอดทั้งๆที่แดงระเรื่อไปจนถึงใบหู

เขาละสายตาจากใบหน้ามนลงมามองแกนกลางร่างกายของเจ้ากระต่าย เรียวลิ้นแลบเลียริมฝีปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะซุกหน้าลงไปให้เจ้ากระต่ายห้ามเสียงหลง

“อี้ป๋ออย่า อ๊า~~”   ช่วยไม่ได้ เขาลืมหยิบเจลหล่อลื่นลงมาแล้วตอนนี้เขาก็ต้องการอะไรที่มันข้นๆเหนียวๆ ทางเดียวที่จะหาได้ก็คือต้องใช้ปากรีดเร้นมันออกมา

เจ้ากระต่ายบิดเร่าราวกับคนเสียสติ เรียวลิ้นและโพรงปากที่ห่อหุ้มอยู่ทำให้ใบหน้ามนร้องครางออกมาแทบไม่เป็นภาษา ความอุ่นร้อนและความสุขสมถูกปรนเปรอให้จนมองเห็นสวรรค์อยู่รำไร เขาสนองให้ถึงใจจนนิ้วเรียวสอดแทรกเข้ามาในกลุ่มผมของเขาอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับความรัญจวนใจนี้ นับวันเขาก็ยิ่งทำให้เจ้ากระต่ายเสียคนและเสพติดแต่เขาจนไม่น่าจะไปมีอะไรกับใครอื่นได้อีก

“อะ อ๊า~!!”   เสียงหวานครางสูงเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกปลดปล่อยออกมา  หน้าท้องแบนเรียบกระตุกเกร็ง เขาใช้ริมฝีปากรองรับสิ่งที่เขาต้องการเอาไว้ เจ้ากระต่ายหอบจนตัวโยนในขณะที่ทิ้งกายลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง

“แง๊ คายออกมานะ!”   มือบางที่ยังสั่นระริกดึงแขนเขาเมื่อเห็นว่าเขายังอมมันอยู่  ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มมุมปากก่อนจะค่อยๆคายมันออกมาโดยใช้มือรองรับไว้

“คายอยู่แล้วแหละ เพราะผมจะใช้”   เสียงทุ้มเอ่ยบอกอย่างไม่อายทำเอาเจ้าของใบหน้าแดงเถือกถึงกับอ้าปากพะงาบๆ

เขาไม่ปล่อยให้เจ้ากระต่ายได้งอแง ปลายนิ้วที่ชุ่มโชกไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่นสอดใส่เข้าไปในช่องทางคับแน่นทันที สองขาที่อ้ากว้างสะดุ้งโหยง มันพยายามจะหุบเข้าหากันตามสัญชาติญาณการป้องกันภัย เขาจึงต้องจับขาข้างหนึ่งยกพาดพนักโซฟาเอาไว้

“อ๊ะ อี้ป๋อ~  ฟันกระต่ายกัดริมฝีปากสีสดของตัวเองเพื่อระงับความเสียวซ่านยามผนังภายในถูกปลายนิ้วเสียดสี เป็นเพราะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีความคับแน่นจึงขยายผ่อนคลายให้ผ่านมาโดยง่าย

เขาค่อยๆถอนปลายนิ้วออกไปหลังจากมันชโลมทางข้างในจนนุ่มลื่น นัยน์ตาคมกล้าทอดมองคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง เจ้ากระต่ายยกสองมือขึ้นมาปิดปากไว้ แขนเสื้อวอล์มหลุดลุ่ยนั่นอมมือบางจนมีแค่ปลายนิ้วที่โผล่ออกมาดูน่ารัก ดวงตากลมโตปิดแน่นคิ้วเรียวขมวดน้อยๆอย่างรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น บอกตามตรง แค่มองของเขาก็ขึ้นแล้วอ่ะ เจ้ากระต่ายน่ารักมาก บอบบางมาก เซ็กซี่มาก น่าใส่เข้าไปมาก...

“อะ อ้า~~”   มือใหญ่รั้งสะโพกมนเอาไว้ในจังหวะที่ค่อยๆสอดร่างกายเข้าไป เขามองมันจากภายนอกและรับรู้จากภายใน แค่คิดก็ตื่นเต้นจนหัวใจสั่นระรัวแล้ว

เจ้ากระต่ายสีแดงหอบหายใจหนักหน่วงเมื่อเขาเข้าไปจนสุด ดวงตาฉ่ำเยิ้มค่อยๆหรี่ปรือปรอยเหลือบมองลงมาตรงจุดที่ร่างกายเราเชื่อมต่อกันก่อนที่ใบหน้ามนจะเอียงอายเสไปมองอย่างอื่น มือบางแตะๆมาบนแผ่นอกของเขาก่อนจะค่อยๆรูดซิบเสื้อวอล์มสีดำลง จนในที่สุดสาบเสื้อก็หลุดออกจากกัน กล้ามหน้าท้องเป็นลอนสวยงามปรากฎแก่สายตา จริงๆเจ้ากระต่ายชอบมันมากแต่ก็อายทุกครั้งที่จ้องมอง ดวงตากลมโตนั่นจึงเหลือบมองมาที เสไปมองอย่างอื่นที ท่าทางเขินๆนั่นมันน่ารักจนเขาทนแทบไม่ไหว

ร่างแข็งแกร่งเริ่มขยับช้าๆเรียกให้เสียงครางที่หยุดไปเริ่มร้องใหม่อีกครั้ง  เขารู้ว่าตรงไหนที่จะทำให้เจ้ากระต่ายครวญครางแทบขาดใจ เขาจึงกระแทกความเป็นชายใส่โดยไม่ลังเล

“อ๊า~ อี้ป๋อ อย่า~  เจ้ากระต่ายทั้งชอบทั้งต่อต้าน เพราะมันรู้สึกดีมากจนแทบขึ้นสวรรค์ สุขสมจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เจ้ากระต่ายจึงไม่ชอบให้เขาไปยุ่งกับมันนัก แต่มีหรือเขาจะฟัง เพราะเขาชอบมองเจ้ากระต่ายที่กำลังจะสำลักความสุขตายด้วยน้ำมือของเขาที่สุด

“อะ อ้า อื้อ~  ร่างโปร่งบางโยกคลอนสอดรับกับแรงสอดใส่ กรงเล็บกระต่ายข่วนหน้าท้องของเขาจนเป็นรอยลากยาว ตามแผ่นหลัง ต้นขา หน้าท้องของเขามีแต่รอยเล็บของเจ้ากระต่ายเต็มไปหมด ทั้งรอยสดๆและรอยเก่าๆ

บทรักอันเร่าร้อนดำเนินต่อไปจนสุดปลายทาง เขาขยับร่างกายถี่กระชั้น  “อี้ป๋อ~ ไม่ไหวแล้ว อ๊า~  มือใหญ่จับเอวบางเอาไว้มั่นก่อนจะกระแทกใส่เป็นครั้งสุดท้าย ทั้งหนักหน่วงและรุนแรงจนคนรับถึงกับครางไม่ได้ศัพท์ ทุกความปรารถนาฉีดพุ่งเข้าสู่ภายใน เจ้ากระต่ายกระตุกเฮือกก่อนที่น้ำรักจะกระจายเต็มหน้าท้องของเขา เสียงหอบดังคละเคล้าไม่รู้ของใครเป็นของใคร เขาโน้มตัวลงไปคลอเคลียหน้าใสที่ดูล่องลอยไปไกล ริมฝีปากกดจูบกลีบปากนุ่มอย่างรักใคร่ มือใหญ่สอดเข้าใต้สะโพกก่อนจะกดหน้าท้องแบนเรียบให้แนบชิดติดแน่นกับหน้าท้องซึ่งเต็มไปด้วยซิกแพ็คของเขา 

“จ้านเกอ~ เรามาทำกันไปเรื่อยๆดีไหม ผมไม่อยากเอาออกมาเลยอ่ะ”    เขาอ้อนเจ้ากระต่ายที่สติดูจะยังไม่ค่อยกลับมาเท่าไหร่ ข้างในนั่นมันยังกอดรัดเขาไม่หยุด

“เหล่าหวัง...นายต้องสงสารชั้นบ้าง...กลางคืนนายก็ทำ กลางวันนายก็ทำ...นายคิดบ้างไหมว่าชั้นอาจจะตายเข้าสักวัน”   เจ้ากระต่ายตอบเขาด้วยเสียงลอยๆ ร่างอ่อนปวกเปียกตอนนี้ทำได้แค่นอนแผ่อยู่บนโซฟา

“ก็พี่น่ารักเกินไปอ่ะ เป็นความผิดพี่นั่นแหละ”    เขากอดลำตัวบางอย่างเอาแต่ใจ หัวสีน้ำตาลซบลงไปบนแผ่นอกเปลือยเปล่าฟังเสียงหัวใจที่ยังเต้นถี่กว่าปกติ

“ไหงงั้นล่ะ??  ท่อนแขนผอมๆกอดหัวสีน้ำตาลไว้ก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า หมู่นี้ไม่รู้เป็นไง ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรร่วมกันมันก็จะจบลงแบบนี้ตลอด นี่ขนาดฝึกศิลปะการป้องกันตัวยังจบด้วยการเสียตัวซะงั้น?! บางครั้งเซียวจ้านก็ข้องใจเหลือเกิน...











ครืดๆๆ....ปริ๊นท์เตอร์ของเจ้ากระต่ายกำลังปริ๊นท์รูปหลายใบให้เขาในเช้าวันหนึ่ง มือใหญ่หยิบมันมาดูก่อนจะทำหน้าครุ่นคิด

“ทำไรอ่ะ?”   เจ้าของปริ๊นท์เตอร์ที่เขาแอบมาขโมยใช้ชะโงกหน้ามาดูรูปที่อยู่ในมือ

AGV ส่งลายหมวกกันน็อคของปีหน้ามาให้เลือก”    ดวงตากลมโตไล่มองรูปด้วยแววตาเป็นประกาย อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการแข่งรถมักจะทำให้เจ้ากระต่ายตื่นเต้นได้หมด

“อันนี้ก็สวยดีนะ นายไม่ชอบเหรอ?”    นิ้วเรียวชี้ลงมาที่ลายหนึ่ง

“อืม...”  เขามองอย่างลังเล จริงๆก็ชอบแหละแต่มันก็ดูธรรมดาๆเหมือนกับของทุกๆปีที่มีมา เป็นลายเส้นกราฟฟิค

“เมื่อก่อน F1 มีกฎว่านักขับแต่ละคนจะมีลายหมวกหลักๆได้หนึ่งลายเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน แต่จะสามารถเปลี่ยนลายได้ไม่เกิน 30% ค่าย ARAI ที่ทำหมวกให้ฮายาโตะเลยใช้วิธีมีลายหลักที่เพ้นท์ถาวรเอาไว้ ส่วนที่เหลือเพ้นท์ด้วยดินสอแรเงาเป็นรูปต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์ของสนามนั้นๆแล้วค่อยเคลือบทับ หมวกแต่ละใบของปีนั้นเลยสวยมากๆเลยละ ชั้นชอบมากไอเดียนี้”   เจ้ากระต่ายเล่าให้ฟังและมันก็ทำให้เขาปิ๊งขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองคนที่ยืนท้าวพนักเก้าอี้อยู่ข้างหลัง

“ถ้างั้นพี่วาดให้ผมหน่อยได้ไหม?”

“ห๊ะ?”

“วาดลายหมวกกันน็อคให้ผมหน่อย ผมเบื่อกราฟฟิคพวกนี้แล้วอ่ะ นะ น้า~   เขาทำเสียงอ้อน แล้วเจ้ากระต่ายก็มักจะตามใจเขาตลอด

“กะ ก็ได้อยู่หรอก...”   คนที่ถูกขอร้องเกาแก้มแก้เขิน หมวกกันน็อคนับเป็นอวัยวะที่33ของนักแข่งรถทุกคน มันมีความสำคัญขนาดไหนมีหรือที่คนในทีมแข่งรถอย่างเขาจะไม่รู้

“งั้นเดี๋ยวผมให้เค้าส่งหมวกต้นแบบมา พี่วาดลงไปบนนั้นเลย เดี๋ยวทางค่ายไปแกะลายเพ้นท์ถาวรเอง”   หวังอี้ป๋อดูกระตือรือร้นและอยากได้หมวกที่เขาวาดให้ มันทำให้หัวใจดวงน้อยรู้สึกอุ่นวาบเมื่อถูกให้ความสำคัญ

“อื้อ แต่ตอนนี้นายไปส่งชั้นที่โรงงานก่อน”   ใบหน้ามนอมยิ้มแล้วรีบตัดบทก่อนที่เขาจะเขินม้วนจนกลายเป็นแยมโรล มือบางหยิบโน้ตบุคก่อนจะเดินนำออกจากบ้านไป

“ครับ”




อิตาลีเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัวและตอนนี้เหล่าวิศวกรหัวกะทิของม้าลำพองก็ต้องเข้าโรงงานกันแล้ว เจ้าพวกนั้นกำลังรวมหัวเพื่อสร้างรถฟอร์มูล่าวันคันใหม่ ถึงที่จริงจะเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปลายฤดูกาลที่ผ่านมาแล้วก็เถอะ

Ferrari Portofino แล่นออกจากบ้านตั้งแต่เช้าโดยมีหวังอี้ป๋อเป็นคนขับ เขาจะเป็นคนไปรับไปส่งเจ้ากระต่ายทุกวัน ที่เฮดออฟฟิศของเฟอร์รารี่บ้าง ที่สนามฟิโอราโน่บ้าง แล้วแต่ว่าวันนั้นกำลังทดสอบอะไร เจ้ากระต่ายเป็นคนออกแบบแชสซีทั้งหมดของรถคันใหม่ที่จะใช้แข่งในปีหน้า เพราะฉะนั้นการศึกษาและพัฒนาร่วมกันกับหน่วยเครื่องยนต์จึงจำเป็นมาก

“วันนี้ให้ไปส่งที่ไหนครับ?”   เขาเลี้ยวรถออกจากซอยที่บ้าน เจ้ากระต่ายเคี้ยวขนมปังไปไถหน้าจอแท็บเล็ตไป ตัวเองก็จำไม่ได้ว่านัดไว้ที่ไหน...

“อ่ะ เจ้าพวกนั้นอยู่ที่แล็ปกัน เพราะงั้นไปที่โรงงาน”    ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มให้กับความโก๊ะกังของอีกฝ่าย มีหลายต่อหลายครั้งที่ไปผิดที่จนต้องโทรให้เขาไปรับมาส่งใหม่ ยังดีที่มาราเนลโล่เป็นเมืองเล็กๆเขาเลยไม่ลำบากเท่าไหร่ ถ้าอยู่จีนแผ่นดินใหญ่จะทำยังไงเนี่ย แต่ละมณฑลนี่เหมือนอยู่กันคนละประเทศเลยนะ

เพราะงั้นถึงจะขับแบบสโลวไลฟ์เขาก็พาเจ้ากระต่ายมาถึงสำนักงานใหญ่ของเฟอร์รารี่ได้ภายในยี่สิบนาที

“เสร็จแล้วก็โทรมานะ เดี๋ยวผมมารับ”   เขายิ้มให้คนที่ยิ้มหวานตอบกลับมา ใบหน้ามนพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าประตูสีแดงไป...ไม่เคยคิดเลยแหะว่าคนอย่างหวังอี้ป๋อจะทำอะไรแบบนี้ได้ เทียวรับเทียวส่งใครสักคนนี่ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย

เขารอดูจนแน่ใจแล้วว่าวันนี้มาถูกที่ รออยู่ราวๆ 15 นาที...โอเค...เจ้ากระต่ายไม่วิ่งหน้าตั้งออกมา วันนี้น่าจะอยู่ที่แล็ปทั้งวัน



หลังจากส่งเจ้ากระต่ายเข้าโรงงานผลิตรถยนต์ของเฟอร์รารี่เรียบร้อยแล้วก็ใช่ว่าเขาจะกลับไปนอนตีพุงอยู่บ้านเสียที่ไหน  Ferrari Portofino วิ่งต่อไปในละแวกนั้นไม่นานก็ทะลุไปโผล่ข้างๆสนามฟิโอราโน่ เขาเลี้ยวเข้าไปในยิมส่วนตัวของม้าลำพองที่มีเพียงคนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นถึงจะมาใช้โรงยิมของที่นี่ได้ เพราะมันเป็นยิมของนักแข่งรถโดยเฉพาะ

นักแข่งรถอาชีพอย่างพวกเขาไม่สามารถจะไปใช้ฟิตเนสทั่วไปในการเทรนได้ เพราะมันจะมีอุปกรณ์พิเศษหลายอย่างที่มีไว้เพื่อสร้างกล้ามเนื้อที่จำเป็นต่อนักแข่งรถโดยเฉพาะอยู่ แม้แต่เทรนเนอร์ก็ต้องเป็นเทรนเนอร์ของนักแข่งรถโดยเฉพาะ พวกเขาจึงมักมีเทรนเนอร์ส่วนตัวกันคนละคนและเทรนเนอร์ก็มักจะตามติดพวกเขาไปทุกที่ เพราะพวกเขาต้องเทรนกันตลอดเวลาเพื่อให้ร่างกายฟิตพอที่จะลงแข่งได้

ร่างสูงสง่าก้าวขาลงจากรถก่อนจะสะพายชุดสำหรับเปลี่ยนไว้บนไหล่ นัยน์ตาเหลือบไปเห็นเฟอร์รารี่สีแดงสองคันจอดอยู่ข้างๆกัน...น่าจะเป็นรีไวกับโกคุเดระ? เขามาเทรนที่นี่แทบทุกวันจึงพอจะจำได้ว่ารถใครเป็นรถใคร อีกอย่างเจ้าพวกนักขับของม้าลำพองก็ใช้รถแทบไม่ซ้ำรุ่นกันเลย เหมือนเป็นการโปรโมทไปในตัว? แต่มันก็ทำให้จำง่ายดี


ปึก ปั่กๆๆๆๆๆ  


เสียงวัตถุปะทะดังทักทายตั้งแต่เปิดประตูเข้าไป โกคุเดระ ฮายาโตะกับรีไวจริงๆด้วย เขายิ้มแห้งเมื่อเห็นสองคนนั้นกำลังเทรนกันอยู่  คนหนึ่งก็ปาบอลยางลูกเล็กอัดใส่แบบไม่เลือกจุด อีกคนก็ต้องรับให้ได้แล้วปากลับ แต่ความเร็วระดับที่สองคนนี้เทรนกันนี่มัน........นั่นไม่เรียกว่าเทรนแล้ว มันสงครามกลางเมืองชัดๆ!

เขาเดินเลี่ยงออกมาไกลๆไม่อยากโดนลูกหลง เขาเคยโดนไม้แรนด้อมสติ๊กที่ใช้ฝึกรีแอคฟาดหัวไปทีแล้ว เข็ด!

หลังๆมานี่ก็เริ่มจะชิน แต่ตอนแรกที่เห็นเขาตกใจมาก นึกว่าพวกนักขับเอฟวันเทรนกันโหดขนาดนี้เลยเหรอ? เปล่า มีแค่สองคนนี้แหละที่เทรนกันบ้าระห่ำอย่างกับโลกเข้าสู่ภาวะสงครามแบบนี้อ่ะ

เขาลอบมองคนที่ไม่คิดว่าจะได้มาอยู่ใกล้ขนาดนี้ จริงๆรีไวเป็นตำนานนักขับอีกคนของเฟอร์รารี่ ผู้ชายคนนั้นเคยเป็นแชมป์โลกถึง 8 สมัยซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับวงการฟอร์มูล่าวัน ถึงจะเลิกขับไปแล้วแต่ก็ยังทำงานให้เฟอร์รารี่ เจ้ากระต่ายเคยนินทาให้เขาฟังว่าเพราะโกคุเดระเปลี่ยนเทรนเนอร์บ่อยยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้า หนีกระเจิงไปเองบ้างละ ถูกถ่วงอยู่ก้นทะเลบ้างละ ทีมบอสขี้เกียจหาเลยใช้ให้ผู้ปกครองอย่างรีไวนั่นแหละมาเทรนให้แทน

เขาเดินผ่านอุปกรณ์แปลกๆหน้าตาเหมือนครื่องทรมานเพื่อจะผ่านเข้าไปยังห้องล็อกเกอร์  อุปกรณ์พวกนี้มีไว้เทรนกล้ามเนื้อคอโดยเฉพาะ ทั้งที่เป็นเบาะรองหัวที่เชื่อมต่อกับเวท สายรัดหัวกับเครื่องกระตุก หมวกกันน็อคที่มีตุ้มถ่วงอยู่รอบๆ...

ถึงจะดูเหมือนพวกนักขับเอฟวันแค่นอนขับรถไปวันๆแต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ คนพวกนี้ต้องรับแรงปะทะของรถซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 370 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เวลาเข้าโค้งทีก็มีแรงกระทำอีกมากมายที่ส่วนตั้งแต่คอขึ้นไปต้องรับโดยตรง บางโค้งมีแรงกระทำถึง 6G พวกนักขับเอฟวันจึงเป็นพวกที่มีกล้ามเนื้อคอแข็งแกร่งที่สุดในกีฬามอเตอร์สปอร์ต เพราะไม่ว่าจะแรงเร่งหรือแรงเบรกล้วนมีผลกับคอทั้งสิ้น

นอกจากกล้ามเนื้อคอแล้ว กล้ามเนื้อที่ไหล่ กล้ามหน้าท้องและต้นขาก็สำคัญ ก็ในแต่ละเรซอาจจะมีการเบรกได้ถึง 1,200 ครั้ง

บอลยางของที่นี่ก็ไม่ได้มีไว้ใช้เหมือนฟิตเนสทั่วไป แต่เขามักจะเห็นเจ้าพวกนั้นขึ้นไปนั่งในท่าขับรถแล้วถือพวงมาลัยเอฟวันเอาไว้แล้วนั่งเกร็งตัวอยู่อย่างนั้นครึ่งค่อนชั่วโมง บอลยางที่กลิ้งไปกลิ้งมาได้พวกนี้จะใช้ฝึกการทรงตัว

เขาเปลี่ยนชุดแล้วออกมาวอล์มเบาๆก่อน เขาให้เทรนเนอร์ของเขาตามมาจากญี่ปุ่น ตอนนี้เลยอยู่อิตาลีด้วยกันไปโดยปริยาย อุปกรณ์สำคัญที่เขาต้องใช้คือเวทและเชือกรั้งสำหรับฝึกกล้ามเนื้อไหล่ แขน และหน้าท้อง ตุ้มถ่วงฝึกการทรงตัวนั่นก็ของเขา เพราะเขาเองก็ต้องอยู่บนมอเตอร์ไซค์ที่ความเร็ว300กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมงเหมือนกัน การจะเอารถที่หนักเกือบ200กิโลกรัมเข้าโค้งให้ได้คิดว่ากล้ามแขนกล้ามขาของเขาต้องแข็งแรงขนาดไหนกันล่ะ

ร่างสูงสง่ายกเวทด้วยเชือกก่อนจะค่อยๆซิทอัพลงไป ร่างกายเกร็งทุกส่วนตั้งแต่ไหล่ไปจนถึงต้นขา กล้ามหน้าท้องขึ้นเป็นลูกๆรับกับเม็ดเหงื่อที่ค่อยๆไหลลงไป เขาสวมเสื้อยืดอยู่เพราะงั้นจึงไม่มีใครได้เห็น หุ่นดีๆแบบนี้เก็บไว้ให้เจ้ากระต่ายดูคนเดียว หึ!

เห็นเจ้าพวกนักขับของเฟอร์รารี่เทรนเรื่องรีแอคเขาเองก็ต้องเทรนเช่นกัน ตอนนี้ถึงได้มายืนอยู่หน้า Batak pro ที่ติดไว้กับข้างฝา จะว่าไปมันก็คล้ายๆเกมเต้นของญี่ปุ่นนั่นแหละ ไฟสีแดงขึ้นตรงไหนเขาก็ต้องรีบตะปบให้ทัน

Batak pro เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ฝึกสายตา ฝึกปฏิกิริยาอัตโนมัติ ฝึกสัญชาติญาณ  เพราะอุบัติเหตุในสนามนั้นเกิดขึ้นในชั่วพริบตาและเราไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะมีเศษชิ้นส่วนอะไร อะไหล่ของใครหรือแม้แต่รถทั้งคันลอยมาฟาดหน้าเราเมื่อไหร่  สัญชาติญาณและปฎิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติที่ดีเยี่ยมจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้นักขับรอดชีวิต รวมไปถึงการควบคุมรถเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับรถคันอื่นๆด้วย พวกเขาจำเป็นต้องหูตาไวและรีแอคให้ไว ถึงจะหลบเลี่ยงจากอุบัติเหตุได้

เขามักจะอยู่ที่ยิมตลอดช่วงเช้าตามโปรแกรมที่เทรนเนอร์ทำไว้และวันนี้เขาก็เทรนครบโปรแกรมแล้วร่างสูงสง่าถึงได้เดินเช็ดหน้าเช็ดตาเพื่อเตรียมจะกลับบ้าน แต่ในขณะที่เดินผ่านร้านกาแฟของยิม ที่หางตาของเขาก็จับสังเกตได้ว่ามีใครบางคนกำลังยืนมองเขาอยู่

ขนแขนถึงกับลุกชันเมื่อเขาค่อยๆหันไปมองนัยน์ตาสีเปลือกไม้คู่นั้น...จู่ๆหลังคอก็รู้สึกเย็นยะเยือก...

รังสีอะไรบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของผู้ชายคนนั้น จะบอกว่าเป็นจิตสังหารก็ได้แต่มันก็เป็นจิตสังหารที่เย็นสบายเหมือนสายฝนสีดำ...และใบหน้าคมคายนั่นก็กำลังยิ้มให้เขา

ร่างสูงใหญ่ในสูทสีรัตติกาลเดินตรงมา แล้วในจังหวะที่กำลังจะก้าวผ่าน มือใหญ่ก็บีบมาที่ไหล่จนรู้สึกได้...แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากผู้ชายคนนั้นทำให้ร่างกายของเขาแทบขยับไม่ได้ ที่สะพายอยู่บนไหล่กว้างนั่นคือ...ดาบญี่ปุ่น?

และเมื่อมองตรงไปยังที่ที่ผู้ชายคนนั้นเคยยืนอยู่ เขาก็รู้ทันทีว่าทำไมถึงโดนจิตสังหารเล่นงานได้ขนาดนี้

เพราะตรงนั้นยังมีเหลืออยู่อีกหนึ่งคน...ซึ่งมีบรรยากาศเหมือนกันมาก...และคนคนนั้นก็กำลังพูดกับเขา

“หวังอี้ป๋อ...ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”    น้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับอ่อนโยนขัดกับบรรยากาศน่าขนลุกที่อยู่รอบกาย เขาพยักหน้าให้ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแต่รังสีอันตรายที่แผ่ออกมาก็ทำให้รู้ว่าเขาไม่ควรหนี...อาจจะไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำที่เขาจะวิ่งได้ดาบญี่ปุ่นอีกเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะมันบอกเขาแบบนั้น...

นัยน์ตาคมกล้ามองสำรวจคนที่กำลังผายมือให้เขานั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งในร้านกาแฟ  ผู้ชายคนนี้ทำให้เขานึกถึงคะชู คิโยมิตสึขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ เพราะทั้งๆที่เป็นผู้ชาย ทั้งๆที่ดูอันตราย แต่กลับมีรูปโฉมที่งดงามมาก ใบหน้ามนนั่นคล้ายคะชูมาก เป็นผู้ชายที่หน้าหวาน รูปร่างก็ใกล้ๆกับคะชูและชุดที่ใส่อยู่ก็ดูแปลกตาสำหรับที่นี่เพราะมันคือฮากามะซึ่งเป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น

“เจ้าเหมียวตัวแสบบอกให้ผมช่วยคุณ”   กระดาษที่มีรูปรอยสักซึ่งจ้านเกอสเก็ตไว้ถูกเลื่อนมาบนโต๊ะ เขามองรูปนั้นสลับกับใบหน้าราวกับหยกสลักของอีกฝ่ายด้วยความตะลึงงัน...เขาไม่ได้รู้สึกไปเอง แต่คนคนนี้เกี่ยวข้องกับคะชู คิโยมิตสึจริงๆ!

อย่าบอกนะว่า...นี่คือมาเฟีย?

เด็กหนุ่มคนนี้น่ะเหรอผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหน่วยสังหารของวองโกเล่? ดูแล้วไม่รู้สักนิดว่าเป็นนักฆ่า นึกว่าคุณชายจากตระกูลซามูไรมากกว่า

“ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะครับ ส่วนคนที่ออกไปนั่นคือยามาโมโตะ ทาเคชิ ผู้พิทักษ์แห่งพิรุณของพวกเรา”   ถึงว่าสิ...เขาจะถูกจิตสังหารเล่นงานจนขยับตัวไม่ได้ก็ไม่แปลกใจแล้วจริงๆ ผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของวองโกเล่และเป็นคนรักของโกคุเดระ ฮายาโตะ

“ผมหวังอี้ป๋อ...”   ถึงอีกฝ่ายจะรู้จักเขาแล้วแต่เขาก็ทักทายไปตามมารยาท เขาคิดมาตลอดว่าแฟนของคะชูกับแฟนของโกคุเดระคงจะหน้าโฉดโหดเถื่อนเกลื่อนไปด้วยรอยแผลรอยบาก แล้วก็ตัวสูงใหญ่อย่างกับยักษ์มารมีผิวหยาบกร้านอัปลักษณ์...แต่ความจริงกลับตรงข้ามเลย เพราะทั้งคู่เป็นผู้ชายที่หล่อหมดจดมาก....มันทำให้เขาเข้าใจเรื่องบางอย่าง...ว่าจะเป็นเขยเฟอร์รารี่มีแค่ผลประโยชน์ให้อย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องหล่อระดับโลกด้วย!

เฮ้อ...โชคดีไปนะหวังอี้ป๋อ ดีที่นายหล่อ!

เขายกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ เขาไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายจะมีข้อมูลอะไรมาบอกมากมาย เพราะจากวันที่คุยกับคะชูก็เพิ่งผ่านมายังไม่ถึงครึ่งเดือน แต่แล้วรูปถ่ายที่อีกฝ่ายเลื่อนมาตรงหน้าเขาก็ทำเอากาแฟแทบลวกคอ...เพราะมันคือรูปแอบถ่ายที่เห็นรอยสักบนท่อนแขนของผู้ชายสี่คนได้อย่างชัดเจน...

เดี๋ยวนะเฮ้ย ไวไปไหม?! ช่วยไว้หน้าคนที่สืบมาสิบปีอย่างเขาบ้าง!

“คนที่ลักพาตัวพี่ชายคุณไปยังอยู่ในกลุ่มบอร์ดี้การ์ดพวกนั้น แต่ละคนจะมีตำแหน่งรอยสักไม่เหมือนกันแต่จะสักอยู่บนแขนขวาทั้งหมด คุณพอจะจำได้ไหมว่าตำแหน่งที่เคยเห็นคือสี่คนนี้ใช่ไหม?”   เขาเงยหน้ามองยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะอย่างทึ่งๆก่อนจะไล่ดูรูปพวกนั้น ความทรงจำของเขาเลือนรางเต็มที

“ใช่...มีคนหนึ่งที่มีรอยสักอยู่บนต้นแขน...ตรงกับภาพนี้...แต่ที่เหลือผมไม่แน่ใจ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามีแค่สี่คน?”

“มีแค่สี่คนที่บุกไปบ้านคุณในวันนั้น เพราะมีแค่สี่คนนี้ที่มีประวัติการเดินทางเข้าออกประเทศจีนในช่วงเวลานั้น...แต่ถ้าจะมีมากกว่านี้ก็น่าจะเป็นคนที่อยู่ในประเทศของคุณอยู่แล้ว”   ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะยืนยันหนักแน่นจนเขาแปลกใจ

“หึ...คุณคงประหลาดใจว่าผมรู้ได้ยังไง?”   เป็นใครก็สงสัยไหม? พ่อเขาเป็นผู้มีอิทธิพลขนาดนั้นยังสืบไม่ได้เลย

“ผมมีสายอยู่ทั่วโลก เอาไว้ตามจับแมวหายโดยเฉพาะ แล้วเจ้าเหมียวของผมมันก็ค่อนข้างอันตรายเสียด้วย ผมเลยจำเป็นต้องมีข้อมูลของมาเฟียและกลุ่มผู้มีอิทธิพลเอาไว้”   ..........น่ากลัวชะมัดเลยผู้ชายคนนี้....

“ที่คุณสืบไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอก เพราะคุณไม่รู้นี่ว่าคนที่มีรอยสักพวกนี้เป็นคนของใคร...คุณรู้จัก Diamond crown ไหม?”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมยาวที่มัดรวบไว้เหนือหัวถามเขา Diamond crown อีกแล้ว?

“ใช่องค์กรค้าเพชรรายใหญ่สุดของโลกหรือเปล่า?”   แบรนด์ที่ใครๆก็ต้องนึกถึงเวลาจะซื้อแหวนเพชรเม็ดโตๆสักวง

“ใช่ครับ...คนที่มีรอยสักพวกนี้เป็นคนของ Diamond crown แบรนด์นี้มีนายหน้าที่คอยซื้อขายเพชรให้อยู่หลายคนกระจายอยู่ทั่วโลก อานัส ซัลมาน ก็เป็นหนึ่งในนั้น”   ใบหน้าหล่อเหลาอึ้งไปเมื่อได้ฟัง


ถ้าอย่างงั้น...พี่ชายของเขามีปัญหากับใครกันแน่? อานัส ซัลมาน? หรือว่า Diamond crown? หรือว่านายหน้าคนอื่น?


“อ่า...ถ้าคุณยืนยันว่าคนในรูปคือคนที่มาลักพาตัวพี่ชายคุณไป ที่เหลือก็แค่ไปเค้นคอสี่คนนี้ว่าเอาศพไปทิ้งไว้ที่ไหน”   เด็กหนุ่มในชุดฮากามะมีท่าทางผ่อนคลายถึงแม้จะนั่งหลังตรงอยู่ตลอดเวลา ยิ่งดูเขาก็ยิ่งคิดว่ายามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะเป็นคุณชายที่ถูกฝึกมาอย่างดีแน่ๆ วิธีการพูดจาก็ดูมีการศึกษา ไม่รู้ว่าที่กลายเป็นตัวอันตรายแบบนี้ไปได้เป็นเพราะไปหลงรักเจ้าเด็กแสบอย่างคะชูหรือเปล่า? ไว้วันหลังเขาต้องให้เจ้ากระต่ายนินทาให้ฟังให้หายข้องใจ

“แต่น่าเสียดาย...ที่วองโกเล่ไปงัดข้อกับพวกนั้นลำบากหากพวกนั้นกลับเข้าไปในดูไบแล้ว...ทางที่ดีก็คือรอจนกว่าพวกมันจะออกมา แต่ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าสี่คนนี้ยังอยู่ในดูไบ สายของผมจะตามให้ แต่ที่น่าตกใจคืออานัส ซัลมานมากกว่า”   แล้วชื่อของไอ้ชั่วที่พยายามจะลักพาตัวเจ้ากระต่ายของเขาก็ทำให้หูผึ่ง อย่าบอกนะว่ามันจะมาอีกแล้ว?!

“เท่าที่สืบมาได้ดูเหมือนหมอนั่นจะยักยอกเพชรของ Diamond crown แล้วหนีไป...ตอนนี้ยังหาตัวไม่เจอเลย...คืนนั้นที่ปอร์โตฟิโน่คงตั้งใจจะพาเซียวจ้านไปด้วยเพราะตั้งใจจะหนีไปกลบดานอยู่แล้ว แต่โดนคุณขัดขวางเสียก่อน...ถ้าหมอนั่นทำสำเร็จเราอาจจะหาตัวเซียวจ้านไม่เจออีกเลยก็ได้ ต้องขอบคุณคุณ”   ดวงตาของเขาถึงกับเบิกกว้างกับข่าวที่ได้ฟัง เขาถึงกับขนลุกไปทั่วแผ่นหลัง ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ถึงว่าหมอนั่นถึงได้กล้าทำอะไรอุกอาจขนาดนั้น นี่ถ้าคืนนั้นเขาชิงตัวเจ้ากระต่ายกลับมาไม่ทัน ป่านนี้เขาคงได้เสียสติไปแล้ว

“แต่อย่างน้อยก็อาจจะเป็นข่าวดี...หมอนั่นเองก็กำลังโดน Diamond crown ตามล่าตัวอยู่เหมือนกัน คงไม่มีเวลามาวุ่นวายกับเซียวจ้านในช่วงนี้หรอก”   เขานึกถึงรถแลมโบกินี่สองคันที่ตามมาทีหลัง พวกมันไม่สนใจเขาเลยแต่กลับตรงดิ่งไปหาอานัส ซัลมาน...หรือว่านั่นจะเป็นพวก Diamond crown?

“ขอบคุณที่ช่วยสืบข่าวให้นะ นายต้องการอะไรตอบแทนรึเปล่า?”   เขาถามออกไปแบบแฟร์ๆ

“เรื่องที่จะตอบแทนผมได้มีแค่เรื่องเดียว...หากเจ้าเหมียวของผมหนีเข้าประเทศจีน...คุณต้องช่วยผม”    เขาถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอ มือใหญ่ยื่นออกไปตรงหน้าแทนคำสัญญา อีกฝ่ายก็จับมือเขากลับมาเช่นกัน










Ferrari Portofino จอดลงที่โรงจอดรถในบ้าน เขาเพิ่งไปรับเจ้ากระต่ายมา นอกจากโน้ตบุคแล้ววันนี้ร่างในชุดสีแดงยังหอบถุงพะรุงพะรังมาด้วย

“ถุงอะไรน่ะ?”   มือใหญ่ดึงโน้ตบุคมาถือให้ พวกเขาเดินเข้าบ้านพร้อมกัน

“เครื่องส่งสัญญาณติดตามตัว เฟอร์รารี่ทำอุปกรณ์ติดตามตัวเพิ่มให้เผื่อแว่นตาหาย แล้วก็ทำให้นายด้วย...ไงอาม่า~ คิดถึงผมมั๊ย~~ อื้อๆๆ~~   นักบิดจากทีมยามาฮ่าทอดสายตามองคนที่ก้มลงไปน้วยเจ้าหมีแพนด้ายักษ์อย่างอิจฉาตาร้อน ทุกวันหลังจากกลับมาได้เจ้ากระต่ายก็จะกอดรัดฟัดเหวี่ยงไอ้หมีนั่นราวกับไม่ได้เจอกันมาครึ่งปี ชิ! มีใครอยากลักพาตัวหมีไหมครับ? ผมจะได้เอามันไปวางไว้หน้าบ้านให้!

“ทำให้ผมด้วยเหรอ?”  เขาเอ่ยถามพลางดึงถุงกระดาษสีแดงที่มีโลโก้ม้าลำพองติดอยู่มาเปิดดู มีกล่องกำมะหยี่กล่องหนึ่งอยู่ในนั้น?  ตอนแรกเขามองว่ามันเป็นการคุกคามความเป็นส่วนตัวแต่พอเกิดเหตุการณ์ที่ปอร์โตฟิโน่ขึ้นจึงรู้ว่ามันสำคัญขนาดไหน เอาจริงๆโลกมันกว้างใหญ่ เขาไม่รู้จะไปตามหาเจ้ากระต่ายยังไงเลยนะถ้าไม่มีสัญญาณติดตามตัวนี่

“ผมเปิดดูนะ”   เมื่อเห็นว่าเจ้ากระต่ายยังฟัดเจ้าหมีนั่นไม่เสร็จ มือใหญ่จึงหยิบกล่องกำมะหยี่ที่มีตราม้าพยศสีดำติดอยู่ตรงกลางขึ้นมาและทันทีที่เขาเปิดกล่องนั่นเขาก็ถึงกับตะลึงงัน...


เพราะมันเป็นแหวนคู่หนึ่ง...


แหวนเงินกลมเกลี้ยงสองวง...เหมือนแหวนแต่งงานเลย...


“นี่พี่...เลือกเองเหรอ?”   เขามองใบหน้ามนที่พยักน้อยๆอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ปกติแล้วคนที่จะคอยวอแวหรือบังคับให้เจ้ากระต่ายทำอะไรในแบบที่คู่รักทำกันมีเพียงเขาฝ่ายเดียว แต่คราวนี้กลับ...

“พี่...รู้ความหมายของมันรึเปล่า?”   แก้มใสที่ขึ้นสีแดงแปร๊ดแทบจะแทนคำตอบได้ทั้งหมดว่าเจ้ากระต่ายรู้ว่าแหวนคู่แบบนี้หมายถึงอะไร

“กะ ก็ เครื่องส่งสัญญาณติดตามตัวไง...ปกติก็ต้องติดไว้...ในเครื่องประดับหรืออะไรที่ติดตัวอยู่ตลอด...ไง...”   ร่างโปร่งบางเขินจนแทบจะม้วนได้แล้ว ส่วนเขาเองก็ฉีกยิ้มจนปากแทบจะถึงใบหู ว้อยยยย ทำไมน่ารักขนาดนี้ เขาดีใจจนแทบจะวิ่งแหกปากไปรอบมาราเนลโล่แล้วเนี่ย!

“วงไหนของผม?”   เขาหุบยิ้มไม่ได้ทำไงดี เจ้ากระต่ายชี้ไปที่แหวนที่วงใหญ่กว่า

“พี่ใส่ให้ผมสิ”   ดวงตาคู่โตช้อนมองเขาก่อนจะหยิบแหวนในกล่องออกมาด้วยท่าทางเขินอาย ใบหน้าของเจ้ากระต่ายเทียบกับผลเชอร์รี่แล้วไม่รู้ว่าอะไรแดงกว่ากันแล้วตอนนี้

แหวนเงินกลมเกลี้ยงค่อยๆถูกสวมลงมาที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขา หัวใจเต้นราวกับจะทะลุออกมาเสียให้ได้ ทำไมมันถึงมีความสุขขนาดนี้ก็ไม่รู้ มีความสุขจนลืมวิธีหุบยิ้มไปเลย

มือใหญ่หยิบแหวนอีกวงที่เหลืออยู่ออกมาจากกล่องกำมะหยี่สีแดง เขาค่อยๆบรรจงสวมลงไปบนนิ้วนางข้างซ้ายของจ้านเกอ น้ำตาแห่งความปลื้มใจแทบจะไหลลงมาให้ได้ พวกเราอาจจะไม่ได้แต่งงาน อาจจะไม่ได้หมั้นหมาย แต่แหวนคู่นี้ก็จะแทนทุกสิ่งได้


แทนความรักของเราสองคน...






.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.


เขิลอีกแร้ว แง๊ >/////< อาทิตย์นี้มีโมเม้นต์พระราชทานอ่ะเนอะ ใช่แหละ ใช่ไม่ใช่ก็จะชิปแหละ ก็เลยลงเร็วหน่อย555+ เด็กชายถือโคมไฟเอย~ คุณกระต่ายซ้อนมอเตอร์ไซค์เอย~ เนี่ย ติ่งปั่นหูดับตับไหม้มากอ่ะคะกัปตันคะะะะะ >/////< เมากาวตั้งแต่เช้ายันเย็นมาก โอยยยย เอาอีกๆๆ!!

ฟิคตอนนี้มีพูดถึงโรงงานของม้าเลยนึกถึงเรื่องน่ารักๆที่เห็นข่าวมาซักพักแล้ว ก็คือ ตอนนี้ไวรัสโควิด19ระบาดไปทั่วโลกอย่างที่เรารู้กันและพวกทีมแข่งรถเอฟวันเองก็ไม่สามารถจะแข่งขันได้ พวกนางเลยหันไปช่วยรัฐบาลของของประเทศตัวเองผลิตเครื่องช่วยหายใจแทน >/////< เพราะพวกทีมเอฟวันจะมีแผนกพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งล้ำหน้ามากและนวัตกรรมของพวกนางก็สามารถเอามาช่วยในการผลิตและพัฒนาพวกเครื่องมือแพทย์อย่างเครื่องช่วยหายใจที่เป็นที่ต้องการมากๆในเวลานี้อ่ะนะ ได้ยินตอนแรกยังอึ้ง ไม่คิดว่าทีมแข่งรถจะมีประโยชน์ในสถาการณ์แบบนี้ แต่กลายเป็นว่าช่วยได้มากก่าใครซะงั้น5555+ แล้วม้าเนี่ยมีฐานการผลิตอยู่ในอิตาลี หลังจากโรงงานนางพอจะเปิดได้นางก็ช่วยผลิตวาล์วสำหรับเครื่องช่วยหายใจและหน้ากากสำหรับแพทย์และพยาบาลให้รัฐบาลอิตาลีบ้านเกิดของนาง แล้วที่มันน่ารักก็คือ วาล์วเครื่องช่วยหายใจอ่ะแกรรร นางยังอุตส่าใส่โลโก้ม้าลำพองลงไปด้วยยยยย 555555+ น่ารักอ่ะ >/////< ดีนะไม่ทำสีแดง แหม่ 55555+ คือของทีมอื่นเค้าก็ทำหน้าตาแบบเครื่องมือแพทย์ปกติ แต่ม้านี่คืออะไรรรร 55555+ เอ็นดูในความใส่โลโก้ม้าได้ทุกที่ของนางจริงๆ




แล้วเห็นตัวเล็กๆอาจจะดูไม่รู้นะคะ แต่จริงๆแล้วม้าโลโก้ของเฟอร์รารี่มันยิ้มค่ะ ตาเป็นรูปสระ อิ เลยอ่ะ น่ารักมาก5555+ อารมณ์ดีสุดๆสมเป็นคนอิตาลี ^ ^





ส่วนฟิคตอนนี้ หลายคนที่ไม่รู้จักอาจจะผิดคาดกับแฟนของคะชู นางไม่ใช่ผู้ชายหล่อล่ำเย็นชาสมกับที่เป็นมาเฟียอะไรเลยค่ะ จริงๆคู่นี้นี่อย่างกับคู่ยูริอ่ะ คือสวยด้วยกันทั้งคู่5555+ แต่ก็โหดทั้งคู่เช่นกัน ^ ^” ตัวจริงของพวกนางเป็นดาบญี่ปุ่นของ โอคิตะ โซจิ ซามูไรญี่ปุ่นในอดีตค่ะ จากเกม Touken Ranbu แอบแปะรูปที่ใช้เป็นอิมเมจในฟิคเรื่องนี้ รูปเซฟมาจากในเนตไม่รู้ของใคร ทวงเครดิตได้นะคะ TvTb





ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆนะคะ >////< เขิลลลล  แล้วเจอกันตอนหน้าค่า





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น