ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 11
: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Romantic
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
เป็นความจริงที่เขาไม่ได้เจอ อานัส ซัลมาน ชายชาวตะวันออกกลางพ่อค้าเพชรรายใหญ่ของซาอุอีกเลยตั้งแต่วันนั้น ขนาดเขาตามเจ้ากระต่ายไปดูเอฟวันสนามสุดท้ายของฤดูกาลที่อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และดูไบเองก็เป็นเมืองหนึ่งของประเทศนี้ซ้ำยังอยู่ติดกับอาบูดาบี เขายังไม่เจอชายคนนั้นเลย
แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะโทรหาอีกฝ่ายก่อนทั้งๆที่มีเบอร์โทรศัพท์อยู่ในมือ การติดต่ออีกฝ่ายโดยตรงนั้นไม่ใช่เรื่องที่ฉลาด เขาจะต้องสืบให้รู้ก่อนว่า ใช่หรือไม่ใช่
นัยน์ตาคมกล้าจ้องมองกองผ้าที่หมุนวนอยู่ในเครื่องซักผ้าพลางคิดอะไรไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมองเห็นร่างสีแดงทางหางตาเขาจึงทิ้งเรื่องที่กำลังคิดไป เจ้ากระต่ายเดินงัวเงียออกจากห้องนอนก่อนจะค่อยๆไต่ลงบันไดมา ตอนนี้เขาอยู่ที่อิตาลี ฤดูกาลแข่งรถของปีนี้จบลงแล้วทั้ง F1และ Moto GP ตลอดสี่เดือนในช่วงปิดฤดูกาลเขาจึงใช้บ้านของเจ้ากระต่ายในมาราเนลโล่เป็นบ้านของตัวเองและจะอยู่ไปจนเปิดฤดูกาลใหม่นู่นแหละ!
ทั้ง F1และ Moto GP มีช่วงปิดฤดูกาลที่ตรงกัน นั่นก็คือทั้งฤดูหนาวที่ไม่สามารถจะขับรถแข่งฝ่าหิมะได้
“อรุณสวัสดิ์ครับ ดาร์ลิ้ง” เสียงทุ้มทักคนที่ยังสลึมสลือแบบเนียนๆ
ผลั๊วะ!
มือกระต่ายฟาดแขนเขาจนต้องเอี้ยวตัวหลบ เห็นกำลังงัวเงียก็นึกว่าจะไม่ทันเอะใจกับคำทักทายยามเช้าของเขา เจ้ากระต่ายยังไม่ชินกับคำหวานๆและคิดว่าเขาแหย่เล่นก็เลยมักจะมีปฏิกิริยาน่าเอ็นดูแบบนี้ทุกที
“อุ้มอาม่าลงมาให้หน่อย...” มือบางขยี้ตา ผมกระดกชี้โด่ชี้เด่เต็มไปหมด เขายกมือขึ้นไปลูบมันให้เข้าที่เข้าทางอย่างรักใคร่
“ครับ” เขารับคำ เจ้ากระต่ายทำท่าจะเดินไปห้องน้ำแต่จู่ๆร่างโปร่งบางก็ชะงักเมื่อมองเห็นอะไรในตะกร้าผ้า
“เดี๋ยวก่อน! นี่มัน...กางเกงในของชั้นนี่?!!” ใบหน้ามนที่ไม่ได้ใส่แว่นยื่นมาจ้องแล้วจ้องอีก
“ใช่ ผมเอามาซักให้ไง”
“ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวชั้นซักเอง!” เจ้ากระต่ายดึงตะกร้าผ้าไปกอดไว้พลางมองเขาหน้าแดง
“เป็นไรไปเล่า~ ผมถอดจากตัวพี่จนชินแล้ว แค่นี้จะอายอะไร”
“งื้อ!” มือใหญ่แย่งตะกร้าผ้ากลับมาก่อนจะดันแผ่นหลังบางไปทางห้องน้ำ
“ไปล้างหน้าเถอะไป ผมหิวแล้ว ทำอะไรให้กินที”
“อือ”
หลังจากเอาเจ้ากางเกงในตัวจิ๋วใส่เข้าไปในเครื่องซักผ้า หน้าที่ประจำวันของเขาอีกอย่างหนึ่งก็คือ...ขนไอ้หมีแพนด้าตัวเท่าตึกแฝดเซี่ยงไฮ้ลงมาจากห้องนอน...
ที่เขาไม่เข้าใจคือ ทำไมต้องยกมันขึ้นๆลงๆทุกวันแบบนี้ด้วย? ประหนึ่งว่ามันเป็นคน กลางคืนก็เอาไปนอนด้วยในห้อง กลางวันก็เอามานั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น มือใหญ่ดีดหน้ามันไปหนึ่งที ชีวิตนี้ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะต้องมานั่งทะเลาะกับหมีแพนด้าแถมมันยังเป็นแค่ตุ๊กตาอีกต่างหาก!
“อย่าแกล้งอาม่าสิ!” เจ้ากระต่ายตะโกนมาจากในห้องครัว เขาจึงขยี้หัวสีขาวดำนั่นทิ้งทวนอีกทีก่อนจะเดินตามกลิ่นอาหารเช้าหอมๆไป
สิ่งหนึ่งซึ่งเขาเพิ่งค้นพบหลังจากหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามมาอยู่กับเจ้ากระต่ายนั่นก็คือ เจ้าคนที่เหมือนเด็กเนิร์ดนี่ทำอาหารเก่งอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะอาหารจีน อาหารอิตาลี อาหารฝรั่ง แม้แต่ขนมปังอบก็ยังทำได้แถมอร่อยมากเสียด้วย
สองมือสอดเข้าไปข้างเอวบางก่อนที่ท่อนแขนแข็งแรงจะประสานกันไว้ที่หน้าท้องแบนเรียบ ร่างสูงสง่าสวมกอดร่างโปร่งบางจากทางด้านหลัง กักขังคนที่กำลังทำอาหารเช้าเอาไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าคมก้มลงไปจูบไหล่บางในชุดนอนสีแดงก่อนจะคลอเคลียก่อกวนไม่ห่าง
“นายดูสิ ชั้นตัดแฮมเป็นรูปรถมอเตอร์ไซค์ด้วย ชอบไหม?” เจ้ากระต่ายไม่ได้ผลักไสเขาออกมาแต่กลับทิ้งกายพิงอกกว้างของเขาอย่างยอมรับการใช้ชีวิตแบบคู่รัก มือบางที่จับตะหลิวชี้ชวนเขาดูแฮมในกระทะซึ่งถูกตัดเป็นรูปรถมอเตอร์ไซค์อย่างน่าอัศจรรย์ใจ น่ารักและใส่ใจแม้แต่เรื่องอาหารที่ทำให้เขา แล้วจะไม่ให้หลงหัวปักหัวปำได้ไง
“ชอบ” เขาเกยคางไว้บนไหล่บางก่อนจะเอ่ยออกไป
“ชอบทั้งแฮมทั้งคนทำเลย” เขายิ้มแฉ่งให้คนที่กระทุ้งสีข้างเข้าให้หนึ่งที งานจีบดีไซน์เนอร์ตัวท็อปของเฟอร์รารี่ปล่อยเป็นหน้าที่เขาเอง ถึงจะจีบติดแล้วก็เถอะแต่เขาก็ชอบแหย่ชอบแกล้งเจ้ากระต่ายให้ต้องเขินอายแบบนี้ประจำ มันน่ารักจนอดใจไม่ไหว
“ชิมหน่อย” เสียงทุ้มดังอยู่ที่ไหล่บาง ปลิงยักษ์ยังเกาะกระต่ายไม่ปล่อย
“หื๋อ? แฮมเหรอ? มันร้อนนะ รอให้เสร็จก่อนสิ”
“ไม่ใช่แฮม แต่เป็นพี่” เขางับไปที่ต้นคอขาวหนึ่งที มือใหญ่เริ่มเลื้อยจากหน้าท้องแบนเรียบไปตามต้นขาบ้าง สะโพกบ้าง หน้าอกบ้าง จนมือบางต้องยกขึ้นมาตีดังเพี๊ยะ
“หยุดเลย นายต้องให้ก้นชั้นได้พักบ้าง!” เขาหลุดขำกับคำพูดของเจ้ากระต่าย ก็นะ...เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบสว่าง...
ต้นเดือนธันวาคมสำหรับอิตาลียังอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง แต่อากาศก็นับว่าเย็นลงมากจนต้องจุดเตาผิงในบ้าน บนพรมสีเบจหน้าเตาผิงจึงเป็นที่ที่เขากับเจ้ากระต่ายมักจะใช้ชีวิตอยู่ประจำ
เขานั่งเล่นเกมอยู่ข้างๆเจ้าหมีแพนด้าหน้าโง่ แผ่นหลังกว้างเอนพิงสีข้างนุ่มฟูของมันอยู่ เวลาแบบนี้มันก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกันนะเพราะว่าตัวมันอุ่นทีเดียว
“หนาวๆๆ” เจ้ากระต่ายหอบม้วนแบบแชสซีรถวิ่งเข้ามาในห้องนั่งเล่นหลังจากไปคุ้ยหาในห้องหนังสืออยู่หลายนาที กระดาษแผ่นใหญ่ถูกกางออก แบบรถที่ถูกถอดจาก 3D ออกมาเขียนด้วยโปรแกรม Auto cad แสดงระยะอย่างละเอียดยิบจนคนที่ดูไม่รู้เรื่องอย่างเขาถึงกับตาลาย ทุกชิ้นส่วนแม้แต่น็อตทุกตัวยังต้องถูกเขียนเป็นแบบออกมาเลย ร่างโปร่งบางนั่งดูมันอยู่สักพักจึงเอนตัวนอนลงไปในอ้อมแขนของเจ้าหมีลายทาง มือบางถือแท็บเล็ตสีแดงแปะตราม้าลำพองอย่างตั้งใจจะทำงานต่อ
“แล้วปกติพี่ไปอาศัยอยู่ที่สนามตลอดเลยเหรอ? ไม่หนาวเหรอ?” เขาถามออกไปในขณะที่มือก็ยังเล่นเกม
“อื้อ มีฮีทเตอร์ที่ขโมยมาอยู่ ไม่หนาวหรอก” ตกลงพวกนายเป็นวิศวกรหรือเป็นอะไรกันแน่? เขาอยากจะถามให้ชัดอีกที
“แล้วอย่างงี้จะเป็นไรไหม ผมยึดตัวพี่ไว้ไม่ให้ไปสนามแบบนี้อ่ะ?” ถึงจะเป็นช่วงปิดฤดูกาลแต่พวกวิศวกรกับฝ่ายพัฒนาเครื่องยนต์ก็ยังต้องทำงานกันต่อไปเพื่อเตรียมรถคันใหม่สำหรับใช้แข่งในปีหน้า แล้วตั้งแต่เขามาอยู่ด้วย เขาก็มักจะไปรับไปส่งเพื่อไม่ให้เจ้ากระต่ายไปนอนอยู่ที่สนามฟิโอราโน่ จนตอนนี้แทบจะกลายเป็นสนามร้างเล่นเอาทีมบอสอย่างเอลวิน สมิธถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ
“ไม่เป็นไรหรอก เรามีช่วงเวลาที่ต้องเข้าโรงงานอยู่แล้ว แล้วอยู่ที่ไหนก็คิดงานได้ทั้งนั้นแหละ แต่ที่ชอบไปอยู่สนามเพราะขี้เกียจกลับบ้านมากกว่า กลับมาก็ไม่มีใครอยู่ด้วย”
“แต่ตอนนี้มีผมอยู่ ก็เลยอยากกลับสินะ?”
“ก็.....” แก้มใสที่ค่อยๆขึ้นสีแทนทุกคำตอบ เขาจึงยิ้มหน้าบาน เจ้ากระต่ายดีดขาใส่เขาก่อนจะหันไปสนใจแท็บเล็ตของตัวเองต่อ
“มีคนเคยพูดเอาไว้...ว่าบ้านไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นคนที่อยู่ด้วยต่างหาก...เพราะงั้นพี่ก็คือบ้านของผมนะ” ดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นเหลือบมองเขาก่อนที่ใบหน้าแดงเถือกนั่นจะค่อยๆจมหายไปหลังแท็บเล็ตอย่างเขินอาย เขาได้ยินเสียงงึมงำตอบกลับมาว่า
“นายก็เหมือนกันแหละ....” เขาหันไปมองจ้านเกอไม่วางตา ตอนนี้เขาคงยิ้มไปทั้งใบหน้าแล้วมั้ง
ถึงจะไม่ได้ไปอาศัยอยู่ที่สนามด้วยกันแต่พวกประชากรม้าก็คุยกันได้ตลอดเวลาจริงๆ! เขาเห็นข้อมูลในแท็บเล็ตสีแดงนั่นวิ่งไวยิ่งกว่าจรวด ทั้งแบบรถแบบเครื่องยนต์มีแม้แต่แบบน็อตแบบสายไฟ ทั้งอัตราการไหลของน้ำมัน ทั้งสมการทางฟิสิกส์และคณิตศาสตร์มากมายที่ต่างแชร์กันผ่านหน้าจอขนาดA4นั่น บางทีก็มีวีดีโอคอลหมู่ดังหนวกหู แล้วก็เถียงกันแต่เรื่องที่ชาวบ้านชาวเมืองเค้าไม่เข้าใจ ตอนแรกๆเขาก็คิดว่าเขาอาศัยอยู่ในตลาดหรือยังไง? แต่นานๆเข้าเขาก็เริ่มชินจนบางทีก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน คนที่มักจะอยู่ตัวคนเดียวเสมอในช่วงปิดฤดูกาลแบบนี้จะมาอยู่ท่ามกลางคนมากมายในครอบครัวใหญ่ได้ด้วย
แล้วเจ้าพวกประชากรม้าแดงเหล่านี้ก็ไม่ได้แชร์กันเฉพาะเรื่องงาน การแชร์ทุกเรื่องก็เป็นสิ่งที่เขาเห็นจนชินตาไปแล้ว หน้าจอแท็บเล็ตเวลานี้เปลี่ยนไปเป็นรูปอาหารซะงั้น...
“กินสลัดกับผลไม้จะได้ไม่อ้วน~~”
คะชู คิโยมิตสึส่งรูปสลัดกับผลไม้สายพันธุ์เบอรี่ทั้งหลายกับตัวเองที่กำลังชูสองนิ้วเข้ามา
“บ้านเรามีเชฟอาหารญี่ปุ่นฮะ =q=b”
เอเลน เยเกอร์กับรูปซูชิสายพาน?ที่อยู่ในบ้าน? และมีรีไวกับโกคุเดระ ฮายาโตะที่กำลังกินเอาๆอยู่ข้างหลัง พวกนั้นอยู่ด้วยกันที่บ้านในเขตอุทยานของมาราเนลโล่
“มาม่ารัสเซีย พวกนายไม่เคยกินละสิ ก๊ากๆๆ”
จากศิษย์พี่ของจ้านเกอ...มาม่านี่ก็ยังจะขิงอีก...
“ลองทำเนื้อบูร์กิญงกับไก่ตุ๋นไวน์แดงดูครับ”
สเลน ทรอยยาร์ดก็เป็นอีกคนที่ทำอาหารเอง แต่แทนที่จะเป็นอาหารรสมือแม่เหมือนหน้าตา กลับกลายเป็นว่าอาหารที่ทำแต่ละอย่างดันหรูหราจนนึกถึงหน้าท่านCEOปีศาจนั่นมากกว่า
“อาหารหมา กินไหม?”
ทีมบอสม้ากับรูปอาหารหมาและหมาอีกกว่าสิบตัวที่เลี้ยงไว้…แชร์รูปอาหารหมาก็ได้เหรอ??
เจ้ากระต่ายเด้งผึงจากพรมอย่างยอมไม่ได้ เสียงโช้งเช้งๆดังอยู่ในครัวไม่กี่อึดใจ อาหารเสฉวนชวนน้ำลายไหลอย่างกงเป่าจีติงกับหมาโผโต้วฝู่ก็มาวางสวยๆอยู่ในจานแล้ว นอกจากจะมีสกิลเรื่องการจัดจานอย่างดีไซน์เนอร์ เจ้ากระต่ายยังถ่ายรูปสวยอีกต่างหาก...แล้วหน้าจอแท็บเล็ตก็เต็มไปด้วยอาหารชั้นราชครูนานาชาติที่ทุกบ้านต่างแชร์มา...ก็อย่างที่เขาเฝ้าสงสัยนั่นแหละ ตกลงเจ้าพวกนี้เป็นวิศวกรหรือเป็นอะไรกันแน่?
ยิ่งเจ้ากระต่ายง๊องแง๊งที่ดูไม่น่าจะทำอะไรเป็นดันทำอาหารเก่งอย่างน่าแปลกใจ สงสัยจะได้สกิลการทำอาหารมาจากการขิงกันผ่านหน้าจออย่างที่เห็นนี่แหละ แต่นั่นก็ทำเอาเขาหลงเสน่ห์ปลายจวักจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วเนี่ย
มือบางตีลงมาเมื่อตะเกียบจากมือเขาเตรียมจะคีบไก่ในจานที่ยังถ่ายรูปไม่เสร็จ กลิ่นหอมๆทำเอาท้องร้องโครกครากไปหมดแล้ว
กริ๊ง~
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังทำให้เขาหันไปมอง เจ้ากระต่ายยังคงวุ่นวายอยู่กับการส่งรูปอาหารไปอวดเพื่อนร่วมพิต เขาจึงเป็นคนลุกไปดูแทน
รถตู้หรูหราคันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน พนักงานในชุดสูทดูดียืนถือถุงคลุมชุดชุดหนึ่งเอาไว้ เขามองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“เอาชุดมาส่งให้คุณเซียวจ้านครับ”
“จากที่ไหนครับ?” เขามองชุดนั่นอย่างไม่ไว้ใจ อย่างเจ้ากระต่ายเนี่ยนะจะสั่งชุดหรูๆจนถึงกับต้องมีคนมาส่งถึงที่แบบนี้ด้วย? ถ้าเป็นอะไหล่รถก็ว่าไปอย่าง เขามองชื่อแบรนด์ที่อยู่บนถุงคลุมชุด Giorgio Armani เชียวนะ
“จากเฟอร์รารี่ครับ?” อีกฝ่ายบอกเขาด้วยท่าทางแปลกใจที่เขาไม่รู้
“อ๊ะ! ชุดของชั้นเอง รับให้หน่อย” เจ้ากระต่ายโผล่หน้าออกมาจากในบ้านก่อนจะตะโกนบอก เขาจึงเซ็นต์รับอย่างงงๆ
ชุดถูกหิ้วมาแขวนไว้ในบ้าน มือใหญ่จึงรูดซิปดูด้วยความสงสัย...มันเป็นสูทเข้ารูปสีขาวมีดีไซน์ด้วยการแซมคอปกสีดำและสิ่งที่ทำให้มันพิเศษออกไปคือโลโก้ม้าลำพองที่ติดอยู่บนอกซ้ายของสูท...ดูแล้วน่าจะเป็นชุดออกงานที่เฟอร์รารี่สั่งตัดให้เจ้ากระต่ายโดยเฉพาะ
“สูท? ใส่ไปไหนเนี่ย?” เขาหันไปถาม
“งานเปิดตัวรถคันใหม่ไตรมาสสุดท้ายของเฟอร์รารี่น่ะ ที่เมืองปอร์โตฟิโน่” เจ้ากระต่ายตรวจความเรียบร้อยของสูทด้วยท่าทางคุ้นชิน
“รถซุปเปอร์คาร์? ที่พี่ออกแบบ?”
“อืม” เจ้ากระต่ายพยักหน้าและมันทำให้นักบิดของทีมยามาฮ่านึกถึงคำพูดหนึ่งของอานัส ซัลมานขึ้นมา
“ผมตั้งตารองานเปิดตัวรถคันใหม่ปลายปีนี้อยู่นะครับ แล้วเจอกันครับ”
ไม่แน่ว่าหมอนั่นอาจจะมางานนี้...
“ผมขอไปด้วยได้ไหม?” เขาหันไปถามเจ้ากระต่าย
“เอ๋?”
“ก็...คนที่ผมเคยสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของพี่ชาย อาจจะมางานนี้ด้วย ผมได้ยินหมอนั่นคุยกับคุณครูเทโอ้” เจ้ากระต่ายพยักหน้าหงึกๆ
“ก็ได้อยู่หรอก ถ้างั้นชั้นต้องให้เค้าเตรียมสูทให้นายด้วย เดี๋ยวนะ” เจ้ากระต่ายหันไปโทรศัพท์หาใครสักคนที่น่าจะเป็นทีมจัดงาน
เขาจึงลองเสิร์จหาในกูเกิลด้วยความสงสัยว่าเมืองปอร์โตฟิโน่มันอยู่ตรงไหน แล้วพอเขาเห็นเส้นทางไปเท่านั้นแหละ...นี่มันผ่าน Cinque Terre (ชิงเคว เทเร) ดินแดนแห่งขุนเขาและท้องทะเลทั้ง 5 ของอิตาลีเลยนี่! เขาเคยเห็นแต่ในรูปแล้วก็ไม่เคยคิดจะไปด้วย แต่หลังจากที่คบกับเจ้ากระต่าย หลังจากที่รู้จักรักใครสักคน เขาก็อยากให้เรามีความทรงจำดีๆในสถานที่สวยๆด้วยกัน
“ไปกันวันนี้เลย” ใบหน้าหล่อเหลาโพล่งออกไปทำเอาคนที่เพิ่งโทรศัพท์เสร็จหันมามองพลางอ้าปากค้าง
“ห๋า? แต่งานมีตั้งวันมะรืน?”
“ไปเถอะน่า ผมจะแวะที่อื่นก่อน” ใบหน้ามนยังดูมึนงง แต่ในที่สุดก็ยอมตามใจเขา
“อ่อ อืม...เอาอาม่า-“
“ไม่ได้ ที่เต็มแล้วเห็นไหม” เขารีบปฏิเสธทันทีที่เจ้ากระต่ายคิดจะเอาเจ้าหมียักษ์นั่นไปด้วย ถึง Ferrari Portofino จะมีเบาะหลังเล็กๆให้พอนั่งได้อีกนิดหน่อยแต่ยังไงก็ยัดเจ้าหมีนั่นไม่ไหวหรอก...นอกจากมัดท้ายไป ซึ่งท่านCEOปีศาจอาจจะมาตามเก็บเขาได้โทษฐานทำให้รถหรูดูเหมือนซาเล้ง...
“นายก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปสิ” ใช่ เขาขนบิ๊กไบต์ของตัวเองมาไว้ที่นี่คันนึง แต่มันก็ไม่ใช่ไหม? ให้เขาขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปส่วนเจ้ากระต่ายขับซุปเปอร์คาร์ไปกับตุ๊กตาหมี มันจะเรียกว่าไปเดทได้ยังไง??
“พี่จะเห็นหมีดีกว่าสามีไม่ได้นะ ไปเปลี่ยนชุดซะเดี๋ยวผมเก็บของให้” เขาดันหลังเจ้ากระต่ายให้เดินขึ้นชั้นสอง
“แต่อาม่าอยู่คนเดียวจะเหงานะ” ใบหน้ามนไม่วายหันกลับมาเถียง
“มันไม่เหงาหรอก แค่อยู่เฝ้าบ้าน เดี๋ยวผมทิ้งเกมไว้ให้มันเล่น” บางครั้งก็เพลียเหมือนกัน มีเมียติดตุ๊กตาเนี่ย!
ผ่านไปแค่ชั่วโมงกว่าๆ สมาชิกทีมแข่งรถที่มีสกิลการเก็บกระเป๋ามากกว่าคนทั่วไปอย่างพวกเขาสองคนก็ขนกระเป๋าเดินทางใบกลางมาใส่ไว้ท้ายรถแล้ว
“ไปเที่ยวกันนะครับ ห้ามรบกวน” นักบิดแห่งทีมยามาฮ่าถ่ายรูปกระเป๋าเดินทางที่อยู่ท้ายรถส่งไปในแชทกลุ่มประชากรม้าแดง
“ไปงานเปิดตัวรถ!” เจ้ากระต่ายรีบถ่ายรูปถุงใส่เสื้อสูทส่งไปก่อนจะหันมาแยกเขี้ยวใส่เขา เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นก็ไม่ทำงานทำการ หนีเที่ยวตามหรอก!
Ferrari Portofino แล่นออกจากมาราเนลโล่โดยมีหวังอี้ป๋อเป็นคนขับ ใบหน้าหล่อเหลาสวมแว่นกันแดดสีดำทำให้ดูเท่ห์ยิ่งกว่าเดิม พวกเขาเดินทางตอนที่ยังมีแสงอาทิตย์เพราะงั้นต่อให้อากาศเริ่มเย็นแต่เจ้ารถสีแดงก็ยังเปิดประทุนได้ เขาเหลือบมองเจ้ากระต่ายที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่น่าเชื่อว่าพอไม่ใส่ชุดยูนิฟอร์มของม้าลำพอง เจ้ากระต่ายก็เป็นกุชชี่บอยดีๆนี่เอง
เปล่า...เจ้าตัวไม่ได้ซื้อเองแล้วก็ไม่คิดจะซื้อเสื้อผ้าเองด้วย แต่เป็นหม่าม้าส่งมาให้จากเมืองจีน...
ทั้งที่ตัวเองอยู่ในอิตาลีถิ่นกุชชี่แท้ๆนะน่ะ...
เขาส่ายหน้าให้กับความอะไรก็ไม่รู้ของเจ้ากระต่ายก่อนจะอมยิ้ม ฝ่าเท้าไม่ได้กดคันเร่งมากนัก เขาขับรถชิวๆไปเรื่อยๆ จากมาราเนลโล่ต้องขับผ่านทิวเขาเกือบตลอดทางกว่าจะไปเจอทะเลอีกด้าน นับเป็นบรรยากาศที่ขับรถเพลินทีเดียว วิวก็สวย คนข้างๆก็สวย...
“เมืองปอร์โตฟิโน่นี่มันไม่ใช่ชื่อเดียวกับรถของพี่คันนี้หรอกเหรอ?” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะเจ้ารถสีแดงที่ขับอยู่คันนี้ก็ชื่อ Ferrari Portofino เหมือนชื่อเมืองนั่น
“ชื่อเดียวกันนั่นแหละ ที่จริงเราเอาชื่อเมืองนั้นมาตั้งเป็นชื่อรถรุ่นนี้ ตอนเปิดตัวรถคันนี้ก็ยังไปเปิดตัวที่ปอร์โตฟิโน่เลย แล้วด้วยความที่ได้รับเสียงตอบรับดี เพราะเมืองก็สวย ปีนี้ก็เลยไปจัดที่นั่นอีก” อ๋อ แบบนี้นี่เอง
จากมาราเนลโล่ด้วยการขับแบบสโลว์ไลฟ์ของเขาทำให้ถึง ลา-สปีเซีย ในอีกสองชั่วโมงให้หลัง เขาเลี้ยวต่อไปในทางที่เริ่มขับลำบากมากขึ้นเพราะถนนเหลือแค่สองเลนและเป็นเส้นทางที่ต้องไต่ไปตามไหล่เขา ฝั่งหนึ่งเป็นภูเขาสูงชัน ฝั่งหนึ่งเป็นหน้าผาที่ทอดลงสู่ทะเล น้ำสีเทอควอยซ์กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ถนนเองก็คดเคี้ยวไปมา ถ้าเขาไม่ระวังรถก็อาจจะพุ่งตกทะเลได้ง่ายๆ ทว่าทิวทัศน์นั้นสวยงามจับใจจนเจ้ากระต่ายหันไปมองอย่างตื่นตะลึง นี่ขนาดยังไม่ถึงหมู่บ้านทั้ง 5 เลยนะ
ชิงเคว เทเร เป็นชื่อที่ใช้เรียกหมู่บ้านริมหน้าผา 5 หมู่บ้านซึ่งตั้งไล่เรียงกันไปตามชายขอบภูเขาที่จรดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บ้านเรือนทั้งหมดจะปลูกเกาะไปตามไหล่เขาและทาด้วยสีพาสเทลสดใส บางหมู่บ้านก็ซ่อนอยู่ในซอกผามีอ่าวเล็กๆเอาไว้จอดเรือหาปลา และทุกหมู่บ้านล้วนถูกสร้างมาเป็นพันๆปี ถึงจะเก่าแก่แต่ก็เป็นหมู่บ้านที่น่ารักมากๆ
จุดมุ่งหมายของเขาอยู่ที่หมู่บ้านที่ 2 นั่นก็คือหมู่บ้าน Manarola เพราะเป็นหมู่บ้านที่ไม่ได้ใหญ่มากนักหากเทียบกับหมู่บ้านอื่นๆ เขาไม่ชอบคนพลุกพล่าน
ในหมู่บ้านไม่มีที่จอดรถ เจ้าเฟอร์รารี่สีแดงสดจึงต้องจอดไว้นอกหมู่บ้าน เขาหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเดียวที่ใส่ของรวมกันนำหน้าเจ้ากระต่ายที่ยังถ่ายรูปไม่หยุด หลังจากหลุดโค้งมาบ้านเรือนริมหน้าผาก็มารอต้อนรับพวกเขา อาคารสไตล์ชิงเควเทเรทั้งหมดล้วนเกาะอยู่กับภูเขาสูงต่ำไล่เรียงกันไป แต่ละหลังสูงสามถึงสี่ชั้นและถูกทาด้วยสีสันสดใส พออยู่รวมๆกันแล้วมันน่ารักมากจนไม่รู้จะบรรยายยังไง ร่างสูงสง่าหยุดมองอย่างอึ้งๆ ในโลกนี้ยังมีสถานที่ที่งดงามราวกับไข่มุกจากท้องทะเลแบบนี้อยู่ด้วย...
“อี้ป๋อ ที่นี่สวยจัง~” ใบหน้ามนหันไปมองทะเลสีเทอควอยซ์ที่อยู่สุดปลายถนนด้วยด้วยตาเป็นประกาย ถนนสายหลักเส้นเล็กๆนี้ถูกขนาบด้วยบ้านสีสันสดใสซึ่งตั้งเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่นแต่กลับไม่ดูอึดอัดเลยสักนิด
“พี่ชอบ ผมก็ดีใจ” เขาอมยิ้มขณะที่หันไปมองใบหน้าหวานอย่างหลงใหล รอยยิ้มสวยงามนั่นเปล่งประกายไม่แพ้บ้านเมืองข้างหลังเลย
“เข้าที่พักกันก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยออกมาหาอะไรกิน” เจ้ากระต่ายพยักหน้ารับราวกับเด็กๆที่ตื่นเต้นได้ออกมาเที่ยวเล่น ก็นะ...ปกติคงจะไปไหนมาไหนกับประชากรม้าที่มีจำนวนเหมือนโรงเรียนพาไปทัศนศึกษามากกว่า คงไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศโรแมนติกๆอย่างการมากับแฟนแค่สองคนแบบนี้หรอก
ร่างสูงสง่าหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นไปตามบันไดหินแคบๆ เขาอยากได้วิวทะเลที่ดีที่สุด เพราะงั้นเลยต้องเดินขึ้นเขาเยอะหน่อย โรงแรมซึ่งดัดแปลงมาจากที่อยู่อาศัยรอต้อนรับเขาอยู่ที่สุดปลายบันได อาคารหลังนี้สีเหลืองมัสตาร์ดสวยดีทีเดียว หากเป็นไฮซีซั่น โรงแรมที่มีอยู่น้อยนิดในหมู่บ้านคงจะต้องจองล่วงหน้ากันเป็นปีๆ แต่เขาดันมาช่วงที่คนอื่นเค้าไม่เที่ยวกันแล้วแบบนี้ ทั้งโรงแรมทั้งในเมืองเล็กๆนี่จึงมีนักท่องเที่ยวบางตา
กว่าจะขึ้นมาถึงห้องพักได้ก็เล่นเอาเหงื่อโชก แต่วิวที่ได้ก็คุ้มค่าสมราคาที่แพงหูฉี่จริงๆ...แค่เปิดประตูระเบียงหลังห้องออกไป ก็มองเห็นได้ทั้งเมืองที่สีสันสดใส ทั้งทะเลที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา หน้าผาทั้งหมดที่ล้อมหุบเขานี้ไว้ก็เต็มไปด้วยไร่องุ่น ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบอุ้มอยู่ก็ไม่ปาน
“สวยจัง~” เจ้ากระต่ายออกไปถ่ายรูปด้วยท่าทางตื่นเต้น ผ้าสีพาสเทลเป็นริ้วๆพลิ้วๆที่แขวนไว้แทนม่านบังตากำลังระไปตามตัวเจ้ากระต่ายที่ยื่นแขนไปเกาะระเบียงรับลมทะเล รอยยิ้มกว้างที่ยิ้มตั้งแต่ริมฝีปากไปจนถึงดวงตาทำให้เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างเผลอไผล
แชะ
เขาถ่ายรูปเจ้ากระต่ายแสนสวยเก็บเอาไว้ รูปที่ได้มานี่บอกว่าเป็นหนึ่งในหน้าหนังสือแฟชั่นก็เชื่ออ่ะ แฟนเขาทำไมน่ารักขนาดนี้นะ
“สวยเนอะ” เจ้ากระต่ายหันมายิ้มให้เขา สองแขนบางยังเกาะระเบียงโปร่งสีขาวพลางโยกตัวไปมา
“อืม สวย” สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างโปร่งบางตรงหน้า ใช่ สวยมาก
“ลงไปเดินเล่นข้างล่างกัน” เจ้ากระต่ายหันมาจับแขนเขาพลางลากออกจากห้องราวกับเด็กๆ คนพามาอย่างเขาเห็นอีกฝ่ายชอบขนาดนี้ก็รู้สึกดีใจ เขาเคยมีแฟนมาหลายคนแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตั้งใจขนาดนี้ เวลาไปเดทกันก็เป็นแค่สถานที่ธรรมดาๆที่คู่รักไปกันอย่างสวนสนุก สวนสัตว์ สวนสาธารณะ เหมือนอีกฝ่ายอยากไปเขาก็แค่พาไปให้จบๆ
ร่างสูงสง่าเดินทอดน่องมองตามร่างโปร่งบางที่กระโดดหมุนตัวไปตามทางเดินปูหิน ถนนสายหลักเพียงเส้นเดียวพาดผ่านทั้งหมู่บ้านก่อนจะไปจบลงที่ทะเล สองข้างทางมีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านขายของใช้จิปาถะ ทุกร้านล้วนเล็กๆและตกแต่งไว้อย่างน่ารักตามสไตล์อิตาลี เจ้ากระต่ายยื่นหน้าไปมองโปสการ์ดบ้าง พวงกุญแจบ้างอย่างสนอกสนใจ เดี๋ยวก็ถ่ายรูปตึกรามบ้านช่องบ้าง หันมาถ่ายรูปเขาบ้าง แค่ได้มองเขาก็สุขใจ
“ป้าถ่ายรูปคู่ให้เอาไหม?” คุณป้าเจ้าของร้านที่กำลังรดน้ำดอกไม้อยู่หน้าร้านหันมาถามด้วยความใจดี เจ้ากระต่ายมองมาเลิ่กลั่กก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ
“ขอบคุณครับ...อี้ป๋อมานี่สิ” เจ้ากระต่ายกวักมือเรียกเขาจึงเดินเข้าไปยืนข้างๆ จะว่าไปถึงจะถ่ายเซลฟี่ด้วยกันบ่อยๆแต่ภาพที่ถ่ายคู่กันทั้งตัวแบบนี้ก็แทบไม่มีเลย เจ้ากระต่ายรับกล้องคืนมาเมื่อคุณป้าถ่ายรูปเสร็จ
“ขอบคุณนะครับ”
“แหมไม่เป็นไรเลยจ้ะ ได้ถ่ายรูปให้คู่ที่น่ารักๆแบบนี้ป้ายินดี เหมาะสมกันมากเลยนะรู้ไหม คนนึงก็น่ารักคนนึงก็หล่อมาก คบกันมานานรึยังล่ะ?” เจ้ากระต่ายถึงกับหน้าแดงเถือกที่คนอื่นดูออกว่าเราเป็นแฟนกัน ใบหน้ามนอ้าปากพะงาบๆตอบอะไรไม่ถูกแล้วนั่น
“ซักพักแล้วครับ กำลังจะแต่งงานกันปีหน้า ขอบคุณครับ ขอตัวก่อนนะครับ” เขายิ้มแก้มแทบแตกก่อนจะพาเจ้ากระต่ายเขินเดินออกมา ฝ่ามือของพวกเราสอดประสานกันก่อนจะเดินเล่นไปเรื่อยๆ เจ้ากระต่ายยังคงก้มหน้างุดอย่างอายๆ เขาจึงพาเดินไปที่ทางเดินริมอ่าว
มันเป็นทางเดินที่เกาะอยู่กับภูเขาชันๆทำให้ทางเดินยื่นออกไปในทะเล เมื่อมองกลับมาจะเห็นทั้งหมู่บ้านตระการตา เป็นวิวพาโนราม่าที่สวยงามจนยากจะลืมเลือนเลยทีเดียว
ที่สุดทางเดินเป็นเนินเขาที่ลาดขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกตารางนิ้วล้วนแล้วแต่เป็นไร่องุ่นที่ถูกปลูกเป็นขั้นบันได หมู่บ้านใน ชิงเคว เทเร สมัยก่อนนอกจากจะทำประมงแล้ว การทำเหล้าองุ่นก็นับว่าเป็นของขึ้นชื่อและยังคงทำสืบต่อกันเรื่อยมา
“ไร่องุ่นตรงนั้นให้ขึ้นไปได้ด้วย ไปกันไหม?” เจ้ากระต่ายซนหันมามองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เอาสิ” เขายิ้มรับ อยากทำอะไรเขาก็จะให้ทำ ร่างสูงสง่าเดินตามเจ้ากระต่ายที่กระโดดเหยงๆเข้าไปถ่ายรูปเถาองุ่นที่เหลือแต่ใบ น่าจะใกล้หมดฤดูเก็บเกี่ยวเต็มที
“เหวอ~~” เจ้าคนซนสะดุดล้มหน้าทิ่ม เขาจึงขยับตัวไปรับตามสัญชาติญาณของนักแข่งรถที่จะถูกฝึกให้ไวกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เขาดึงต้นแขนผอมๆนั่นได้ทัน ทว่า พื้นดินที่เขายืนอยู่ก็อ่อนนิ่มเช่นกัน พวกเขาจึงล้มลงไปด้วยกัน
รู้สึกจะกลิ้งไปหลายตลบ เขาพยายามใช้ตัวรับเจ้ากระต่ายเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ ยังดีที่พื้นดินเป็นหญ้าปกคลุมมันจึงหนานุ่มเหมือนพรม
“อึก...” เมื่อทุกอย่างหยุดลง เจ้ากระต่ายก็นอนคร่อมทับอยู่บนตัวเขา ท่อนแขนบางยันตัวขึ้นมา ใบหน้าของเราจึงอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ...
นัยน์ตาคมกล้าจ้องมองใบหน้าสวยด้วยความหลงใหล หากดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ดวงตาของเขาก็คงจะบอกกับจ้านเกอได้ว่าเขาหลงรักอีกฝ่ายมากขนาดไหน แก้มใสจึงแดงระเรื่อเพื่อตอบรับความรู้สึกของเขา
แผ่นอกที่ทาบทับกันอยู่ต่างรับรู้ได้ถึงหัวใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน เขาจ้องมองกลีบปากสีกุหลาบชุ่มฉ่ำ เขาจดจำความนุ่มนิ่มของมันได้ ฝ่ามือประคองใบหน้าใส นิ้วโป้งแตะลงไปที่ไฝเม็ดเล็กตรงมุมปากราวกับคนต้องมนต์ ก่อนที่ฝ่ามือข้างนั้นจะค่อยๆเลื่อนไปที่ท้ายทอยของคนที่คร่อมทับอยู่ด้านบน...ค่อยๆโน้มใบหน้าของเจ้ากระต่ายลงมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกลีบปากแนบชิดกัน...
จูบแสนหวานถูกมอบให้แก่กัน...
ไม่ได้ล่วงล้ำ ไม่ได้รุนแรง ไม่ได้เร่าร้อน แต่มันกลับทำให้ร่างกายอ่อนระทวย
ใบหน้าหวานๆนั้นแดงซ่านภายใต้ลำแสงของแดดยามเย็นที่ลอดเถาองุ่นมา...งดงามจนแทบหยุดหายใจ
เจ้ากระต่ายราวกับภาพวาดจากสวรรค์ที่พระเจ้าประทานมาให้เขา จะต้องรักของขวัญล้ำค่านี้มากแค่ไหนถึงจะตอบแทนพระองค์ได้...เขาเฝ้ามองใบหน้าที่อยู่ใกล้แสนใกล้อย่างหลงใหล
“อี้ป๋อ?” เสียงนุ่มเรียกเขาอย่างประหม่าเมื่อเขาไม่ยอมละสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว มือใหญ่กดท้ายทอยเจ้ากระต่ายลงมาอีกก่อนจะมอบจูบหวานล้ำซ้ำๆไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป
ประตูห้องพักของโรงแรมยังไม่ทันจะปิดดีริมฝีปากของพวกเขาก็บดเบียดกันจนแทบไม่มีพื้นที่ว่างแล้ว
เสียงกระดิ่งแก้วดังกรุ๊งกริ๊งๆอยู่ที่ระเบียง ลมทะเลพัดความหนาวเย็นเข้ามา ทว่าในห้องกลับร้อนระอุ
ร่างสูงสง่านั่งลงที่ปลายเตียงก่อนจะดึงร่างโปร่งบางให้นั่งคร่อมบนหน้าตัก เสื้อนอกกุชชี่ถูกถอดออกก่อนจะโยนไว้ข้างเตียงอย่างไม่ไยดี เสื้อยืดสีขาวถูกมือใหญ่ดึงออกให้ทางหัว ลำตัวบางแอ่นรับเช่นเดียวกับสองแขนที่ยกขึ้นเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายถอดได้สะดวก มือบางดึงชายเสื้อสีดำขึ้นให้บ้าง ต่างฝ่ายต่างช่วยกันถอดนัวเนีย
ริมฝีปากตรงเข้าบดเบียดกันอีกครั้งเมื่อต่างฝ่ายต่างเหลือแค่กางเกง มือใหญ่กดแผ่นหลังบางกับสะโพกมนเข้าหาตัวก่อนจะใช้ท่อนแขนแข็งแรงกอดรัดลำตัวบางเอาไว้ แผ่นอกแทบจะจมหายไปในกันและกัน ส่วนเรียวลิ้นนั้นก็ยังคงรุกเร้ากันอย่างเร่าร้อน
“อืม อื้อ” เสียงครางครือดังอยู่ในลำคอ เสียงจูบต่างหากที่ดังก้องไปทั่วห้อง ท่อนแขนบางยกขึ้นคล้องลำคอแข็งแรงเอาไว้อย่างเผลอไผล รสจูบของหวังอี้ป๋อเขาไม่เคยต่อต้านได้เลยสักที มีแต่จะยิ่งหลงมัวเมา
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มไปจุมพิตสัญลักษณ์บ่งบอกความเป็นผู้ชายที่อยู่บนต้นคอระหงเบาๆเป็นเชิงหยอกเย้า ก่อนจะกดจูบจริงจังเข้าที่ซอกคอ ร่องรอยสีกุหลาบถูกตีตราเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของก่อนจะขบเม้มเบาๆไปทั่ว คนถูกกระทำถึงกับเงยหน้าหลับตาอย่างเคลิบเคลิ้ม
หวังอี้ป๋อรู้ดีว่าจะเล้าโลมเจ้ากระต่ายยังไงไม่ให้อีกฝ่ายสู้ได้ ริมฝีปากละจากซอกคอลงมาที่ยอดอกสีชมพูที่อยู่ตรงหน้า เขาจูบมันเบาๆแต่เจ้ากระต่ายเคลิ้มกลับสอดสองมือเข้ามาในกลุ่มผมสีน้ำตาลอย่างทนไม่ไหว หัวของเขาถูกกดลงไปที่จุดไวสัมผัส รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจที่เจ้ากระต่ายหลงกลเขาจนได้
ริมฝีปากร้อนครอบครองมันอย่างหนักหน่วงจนเจ้าของถึงกับครางลั่น ลำตัวบางบิดเร่าไปมาทำให้ยิ่งบดเบียดเข้าหาลำตัวที่หนากว่าและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ความอ่อนนุ่มของผิวขาวยามสัมผัสกับลอนกล้ามแข็งๆทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มือบางขยี้ขย๋ำกลุ่มผมของเขาอย่างหาทางระบายออกซึ่งความหฤหรรษ์รัญจวนใจนี้ ปลายลิ้นชื้นแฉะยังคงแตะสัมผัสยอดอกไม่ปล่อย
“อ๊ะ อี้ป๋อ...ข้างล่าง...อ้ะ ไม่ไหวแล้ว...มัน...อึดอัด…” คำพูดผสมเสียงคราง ร่างกายต้องจำยอมปล่อยไปตามความต้องการที่พุ่งสูง
มือใหญ่ปลดกระดุมกางเกงให้ ได้ยินเสียงซิปถูกรูดลง ความคับแน่นที่อยู่ข้างในจึงได้ระบายออกมาบ้าง ขอบกางเกงถูกดึงออกจากบั้นท้ายงามงอนก่อนที่มันจะค่อยๆถูกรูดออกจากขาเรียวทีละข้าง เจ้ากระต่ายเปลือยเปล่ายังคงถูกจับให้นั่งคร่อมอยู่บนต้นขาแข็งแรง เขาเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน ยีนส์ตัวหน้าถูกรูดซิปลง ความอึดอัดที่อยู่ภายในถูกปลดปล่อยออกมาให้อยู่ใกล้กับปากทางเข้า เพียงได้แตะแค่เล็กน้อยก็ทำให้ตื่นเต้นจนมันขยายใหญ่ขึ้นอีก
เจลหล่อลื่นถูกราดลงมาบนนิ้วทั้งสองที่สอดใส่เข้าไปพร้อมกัน “อ้า~” ใบหน้ามนถึงกับครางเสียงหวาน สองแขนผวากอดหัวสีน้ำตาลแน่น สิ่งที่สอดแทรกเข้ามาทำให้ลมหายใจขาดๆหายๆ ยิ่งเวลาที่มันหมุนวนอยู่ข้างในก็ยิ่งทำให้รู้สึกดีจนเหมือนกับจะตายให้ได้ ริมฝีปากสีสดเผยอออกอย่างพยายามผ่อนลมหายใจ นัยน์ตาคู่โตหรี่ปรือก่อนจะทอดมองไปยังทิวทัศน์ของท้องทะเลยามค่ำคืนที่เห็นผ่านแผ่นหลังของหวังอี้ป๋อ เรือหาปลาเริ่มออกหากิน ตะเกียงไฟกระพริบริบหรี่จึงลอยละล่องอยู่ทั่วท้องน้ำสีรัตติกาล สวยงามไม่แพ้ดวงดาวบนท้องฟ้าพวกนั้นเลย...
“อะ อ้า~~” สติที่พยายามรั้งเอาไว้กลับต้องหายไปอีกครั้งเมื่อความเป็นชายใหญ่โตสอดใส่เข้ามาแทนที่นิ้ว สองแขนบางยิ่งกอดคอหวังอี้ป๋อแน่น ใบหน้ามนซบซุกลงไปที่ลาดไหล่แข็งแกร่ง ร่างโปร่งบางได้แต่ยึดลำตัวหนาไว้เป็นที่พึ่ง ไม่รู้เพราะเป็นท่านั่งหรือยังไงแต่หน้าท้องรู้สึกได้ว่าร่างกายของอีกฝ่ายเข้ามาลึกมาก
“ผมอยู่ในนี้” ใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มมีเหงื่อเกาะตามไรผมเงยขึ้นมายิ้มให้พร้อมกับมือใหญ่ที่แตะลงไปบนหน้าท้องแบนเรียบ คำพูดหยอกเย้าทำเอาใบหน้ามนร้อนผ่าว เขาทำได้แค่ก้มหน้าด้วยความเขินอายแต่ยังไงก็หลบเลี่ยงสายตาที่มองมาอย่างหลงใหลนั่นไม่ได้เลย หวังอี้ป๋อมักจะมองเขาราวกับต้องมนต์ทุกครั้ง มองอย่างกับว่าถูกสะกดเอาไว้ และมันทำให้เขารับรู้ได้ว่าเขาถูกรักมากแค่ไหน...แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาพร้อมที่จะสนองตอบต่อความต้องการของอีกฝ่าย
“นายอยู่ในนี้ด้วย” มือบางเอื้อมไปจับมือใหญ่เอาไว้ก่อนจะพามันมาที่ตำแหน่งของหัวใจ...
ใบหน้าของพวกเรายิ้มออกมาพร้อมๆกัน...
เซ็กส์ที่กอดกันด้วยหัวใจ...มีความสุขกว่าการกอดกันแค่ร่างกายมาก...
ร่างโปร่งบางเดินออกจากห้องน้ำก่อนจะมองหาคนที่อยู่ด้วยกันมาทั้งคืน แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านม่านโปร่งเข้ามาจนทำให้ทั้งห้องสว่างสไว วันนี้ก็เป็นอีกวันที่อากาศดี ถึงจะหนาวไปหน่อยแต่แสงแดดที่แผดไปทั่วทะเลสีเทอควอยซ์ก็ทำให้ร่างกายอบอุ่น
ไฟกระพริบเตือนที่แท็บเล็ตทำให้มือบางหยิบมันขึ้นมาดู จริงๆเจ้าไฟเตือนนี่ก็ไม่เคยหยุดทำงานหรอกเพราะห้องแชทของทีมแข่งเฟอร์รารี่ไม่เคยหยุดนิ่งเลยสักครั้ง
“อ๊ะ! จ้านจ้าน นายถึงแล้วใช่ป่ะ? โรงแรมที่เราพักกันนี่มันที่เดิมหรือเปล่า?” คะชู คิโยมิตสึทักทันทีที่เห็นเขาเข้ามา เด็กนั่นก็ต้องมางานเปิดตัวรถด้วยเหมือนกัน ถึงจะเป็นงานเปิดตัวรถซุปเปอร์คาร์แต่ว่าเฟอร์รารี่ก็มักจะให้นักขับในทีมเอฟวันมาร่วมงานด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน
“ยังไม่ถึง ตอนนี้อยู่ชิงเคว เทเรครับ” เขาพิมพ์ตอบกลับไปก่อนดวงตาคู่โตจะกวาดมองหาหวังอี้ป๋อต่อ ไปไหนกันนะ? ในห้องก็ไม่อยู่? มือบางจึงลองเปิดประตูที่ระเบียงหลังห้องดู จึงพบว่านักบิดแห่งทีมยามาฮ่านอนหลับอยู่บนเก้าอี้ที่ระเบียงนี่เอง
“ห๊ะ? งานเปิดตัวรถมันที่ปอร์โตฟิโน่นะ?! เห็นนายออกจากบ้านแล้ว ชั้นก็นึกว่าจำวันผิด เลยออกตามมาแล้วเนี่ย?!” คะชู คิโยมิตสึไลฟ์เข้ามา ดูเหมือนกำลังขับรถอยู่จริงๆด้วย
“ฮ่าๆๆๆ” ทั้งเสียงหัวเราะและอีโมชั่นขำน้ำตาไหลวิ่งผ่านหน้าจอรัวๆจากคอมเม้นต์ของคนทั้งพิต
“นี่นายหนีเที่ยวจริงๆเหรอเจ้ากระต่ายฉงชิ่ง! อ๊ากกกก ชั้นก็เลยนึกว่างานเปิดตัวรถมีวันนี้! จริงๆคือพรุ่งนี้สินะ!! อุตส่าห์หนีออกจากบ้านตามนายมา หมอนั่นต้องฆ่าชั้นแน่ แง๊~” คะชู คิโยมิตสึยังคงโวยวายอยู่ในรถ ประชากรม้าก็ยังคงหัวเราะกันน้ำหูน้ำตาไหล ใบหน้ามนได้แต่ยิ้มแห้งพลางหัวเราะแหะๆ
“นายมันแมวเก้าชีวิต ตายอีกซักรอบก็ไม่เป็นไรหรอกน่า” เขาพิมพ์ตอบกลับไป รู้ทั้งรู้ว่าจะถูกตามล่าจนแทบพลิกแผ่นดินหา แต่เจ้าเด็กแสบนั่นก็ยังชอบหนีออกจากบ้านเป็นกิจวัตร สมแล้วที่จะโดนล่ามเอาไว้น่ะ เขาส่ายหน้าก่อนจะปิดแท็บเล็ตแล้วหันมาสนใจคนที่นอนหลับอยู่ที่ระเบียง
ร่างโปร่งบางนั่งลงที่ขอบปูนของราวกันตก ดวงตาคู่สวยไล่มองไปยังใบหน้ายามหลับของหวังอี้ป๋อ...ผู้ชายคนนี้...เป็นคนที่หล่อมากจริงๆ
มือบางหยิบสมุดสเก็ตขึ้นมา หากว่าศิลปินทั้งโลกมีเดวิดซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดของมวลมนุษยชาติเป็นแบบในการวาดรูป...เขาเองก็มีหวังอี้ป๋อเป็นแบบของตัวเอง...เป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดของเขาคนเดียว
จากกระดาษสีขาวที่ว่างเปล่าค่อยๆมีเส้นเพิ่มขึ้นมาจนมันกลายเป็นใบหน้าของคนที่ยังหลับอย่างเป็นสุข เขาวาดไปก็อมยิ้มไป เขาเคยคิดนะว่าชีวิตนี้เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่ได้อยู่กับเพื่อนๆในพิตสีแดงแค่นั้นก็พอแล้ว...แต่ตอนนี้เขากลับอยากอยู่ข้างๆหวังอี้ป๋อ ผู้ชายคนนี้เป็นความสุขของเขา เป็นความสุขที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
สมุดสเก็ตถูกวางลงไปบนโต๊ะเหล็กดัดสีขาว ใบหน้ามนยื่นไปใกล้ๆใบหน้าที่ยังหลับใหลก่อนจะแอบจุ๊บลงไปบนริมฝีปากสีระเรื่อนั่นเบาๆ แต่ถึงจะเบาแค่ไหนมันก็ปลุกคนที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบไวให้ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย
“จ้านเกอ?” เสียงทุ้มยามเพิ่งตื่นแบบนี้มีความเซ็กซี่เล็กๆ ท่อนแขนแข็งแรงดึงตัวคนที่ยืนอยู่ข้างๆจนล้มลงมานอนด้วยกัน สองแขนกอดร่างโปร่งบางไว้อย่างเกียจคร้าน
“ไม่อยากไปไหนเลยอ่ะ อยากนอนอยู่กับพี่แบบนี้ ไม่อยากทำอะไรเลย” ใบหน้าหล่อเหลาจูบกลุ่มผมสีดำจนคนที่ซบอยู่บนหน้าอกหัวเราะเบาๆ พวกเขานอนมองทะเลสีเทอควอยซ์ผ่านม่านผ้าริ้วๆหลากสีพวกนั้นด้วยกัน
ถ้าได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปได้ก็คงดี
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To be con.
มันก็จะเขินๆหน่อยตอนนี้ >/////< แต่งไปก็ลงไปดิ้นไป งื้อออออ
ไปดูสถานที่เกิดเหตุ(?)กันบ้างดีก่า มาเป็นคลิปนำเที่ยวกันเลยทีเดียว 5555 ชิงเคว เทเรค่ะ
สวยเนอะ >/////<
ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆนะคะ มีความหมายกับคนเขียนมากๆอ่ะ แง๊~ แล้วเจอกันตอนหน้า~ >3<
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น