ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 06


ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 06

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค






ดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่เดินออกมาจากชั้นขาเข้าของสนามบินเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียในวันพฤหัสถัดมา  ใบหน้ามนภายใต้กรอบแว่นดูหวั่นวิตกเพราะนานแล้วที่ไม่ได้เดินทางตามลำพัง ดวงตากลมโตมองซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวง เขาไม่ใช่จอมหลงทางก็จริงแต่ด้วยรูปร่างหน้าตาแบบนี้จึงมักตกกระไดพลอยโจนในเหตุไม่คาดฝันอยู่บ่อยๆ  ดูอย่างตอนที่เจอกับหวังอี้ป๋อสิ จะมีสักกี่คนบนโลกที่เจอแจ็กพอร์ตแบบนั้น

ชั้นมาถึงแล้ว นายอยู่ไหน?”   มือบางยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาคนที่อาสาจะเป็นสารถีให้ ร่างโปร่งยืนรออยู่ข้างกระเป๋าเดินทางสีดำทำให้ไม่คุ้นตา ยิ่งการแต่งตัวของเขาวันนี้นับว่าไม่ได้เห็นมานาน  เสื้อยืดสีขาวถูกสวมทับด้วยเชิ้ตเนื้อบางเบาสีขาวเช่นกัน กางเกงยีนส์หกส่วนพับปลายขา มีเพียงรองเท้าผ้าใบของม้าลำพองที่ยังเป็นสีแดง  พอแต่งตัวแบบนี้แล้วจะบอกว่าเป็นเด็กมหาลัยก็เชื่อได้ไม่ยาก

จ้านเกอ!”    เขาหันไปตามเสียงเรียก หวังอี้ป๋อในเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ขาดๆแบบที่ใครๆเค้าก็ใส่กันแต่พอมันมาอยู่บนร่างกายของนักบิดแชมป์โลกสามสมัยแล้วมันกลับดูเท่ห์สุดๆ

หิวมั๊ย? กินไรมาหรือยัง?”   ร่างสูงสง่าลากกระเป๋าให้เขาก่อนจะพาเดินออกไป เขาเห็นอีกฝ่ายเรียกแท็กซี่ก็นึกว่าหวังอี้ป๋อไม่ได้เอารถมา ทว่า

เอากระเป๋าไปส่งให้ที่โรงแรมนี้ทีนะครับ”   กระเป๋าของเขาถูกยกใส่รถโดยมีเจ้าของยืนมองงงๆ เด็กนั่นทำอะไรน่ะ? แล้วเขาไม่ต้องไปกับกระเป๋าหรอกเหรอ?

แท็กซี่แล่นออกไป หวังอี้ป๋อถึงได้จับข้อมือเขาลากไปอาคารที่จอดรถ อ้าว? สรุปก็เอารถมา??

จนกระทั่งถึงรถคันที่ว่า เขาถึงได้เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย เพราะรถที่อยู่ตรงหน้าคือมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบต์น่ะสิ 

นักบิดแห่งทีมยามาฮ่าส่งหมวกกันน็อคให้เขาพร้อมกับเสื้อหนังสีดำอีกหนึ่งตัว  “ใส่ไว้แดดจะได้ไม่เผา แดดที่ออสเตรเลียนี่แรงนะ”   หวังอี้ป๋อเองก็ใส่อีกตัวเหมือนกัน

แล้วนายไม่ต้องเข้าสนามเหรอ?”   เขาถามอีกฝ่ายในขณะที่เสียบสายล็อคคาง มือใหญ่เอื้อมมาจับคอเสื้อหนังบนตัวเขาให้ รู้สึกเขินๆในความเอาใจใส่ของหวังอี้ป๋อจนต้องเสสายตาไปทางอื่น

เข้าไปเมื่อเช้าแล้ว ตอนบ่ายเลยว่าง เราไปที่อื่นก่อนแล้วกัน หลบพวกนักข่าวด้วย

“อื้อ”   ใบหน้ามนพยักรับงงๆ

Yamaha YZF R1  วิ่งออกจากสนามบินก่อนจะตรงดิ่งออกนอกเมือง ดวงตาคู่โตมองทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นเคยด้วยความรู้สึกแปลกๆ เขามาเมลเบิร์นทุกปี ปีละครั้ง เพราะต้องมาแข่งเอฟวันกับทีมเฟอร์รารี่ เมลเบิร์นเป็นสนามแรกของฤดูกาลมาหลายปีแล้ว และเวลาที่พวกเขามาถึง รถบัสของทีมก็มักจะพาพวกเขาเข้าเมืองเสมอ เพราะ Melbourne Grand Prix Circuit สถานที่แข่งเอฟวันนั้นอยู่ที่ Albert Park กลางเมืองเมลเบิร์น แต่สำหรับการแข่งฝั่ง Moto GP ดูเหมือนจะใช้สนามแข่งที่ต่างออกไป

บิ๊กไบต์รุ่นใหญ่สุดของยามาฮ่าปี2019วิ่งไปตามถนนที่มุ่งสู่เกาะฟิลิป ที่ตั้งของสนาม Phillip Island Grand Prix Circuit

ในยามที่ไม่มีแข่ง Moto GP เกาะแห่งนี้ก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ มีทั้งสวนสัตว์และเกาะแก่งที่สวยงาม นอกจากนี้ก็ยังเป็นสถานที่เล่นเซิร์ฟยอดนิยมด้วย

1 ชั่วโมง 41 นาทีจากเมลเบิร์น ตอนนี้บิ๊กไบต์สีดำกำลังแล่นผ่านสนามแข่ง Moto GP อย่างไม่คิดจะแวะเข้าไป ท่อนแขนผอมบางกอดเอวของหวังอี้ป๋อเอาไว้ จากตอนแรกก็เกร็งๆไม่กล้าจับแต่เป็นเพราะต้องอยู่ท่านี้ไปนานๆเอวเริ่มไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจทิ้งตัวลงไปกอดแผ่นหลังกว้างนั่นเอาไว้ เมื่อยจะตาย ยังไงรถสี่ล้อของเขาก็ดีกว่า!

ใบหน้าใสถึงจะอยู่ภายใต้หมวกกันน็อคแต่ก็ซบอยู่บนแผ่นหลังแข็งแรง ความใกล้ชิดทำให้ใบหน้าร้อนผ่าว เขาพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากหัวใจที่เต้นระรัวของตัวเอง โดยการทอดสายตามองเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป บิ๊กไบต์สีดำวิ่งลัดเลาะไปตามชายขอบของเกาะซึ่งเป็นหน้าผาน้ำทะเลกัดเซาะ เสียงทุ้มต่ำของมันชวนให้หลับตาลงอย่างผ่อนคลาย เสียงมันไม่ได้ทุ้มนุ่มนวลเหมือนรถของเฟอร์รารี่ แต่มันกลับเป็นเสียงทุ้มที่ฟังดูดุดันรุนแรง เหมือนแผ่นหลังแข็งแกร่งที่พร้อมจะปกป้องเขาได้

ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มยามเมื่อซบใบหน้าแนบชิดกับแผ่นหลังนั่นไปอีก มอเตอร์ไซค์คันใหญ่วิ่งตามลำพังอยู่บนถนนที่ไร้ผู้คน เสียงคลื่นสาดซัดผสมผสานกับเสียงทุ้มต่ำของรถทำให้รู้สึกเหมือนโลกนี้มีแค่เราสองคน...ที่ยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้า จับมือ...แล้วไปด้วยกันแม้โลกจะสลายแผ่นดินจะทลาย...เราก็ยังไปด้วยกัน

อากาศที่เคยเคลื่อนไหวอยู่รอบกายค่อยๆหยุดชะงักลง หวังอี้ป๋อชะลอความเร็วจนกระทั่งหยุดนิ่ง ดวงตาคู่โตถึงได้เห็นว่าพวกเขาอยู่บนแหลมแห่งหนึ่ง

Cape Woolamai แล้วตรงนั้นก็ The Pinnacles”   เสียงทุ้มบอกเขาว่าที่นี่มันคือที่ไหน มือใหญ่ยังชี้ไปที่แท่งหินธรรมชาติดูแปลกตาซึ่งอยู่ใต้หน้าผา

“พี่ยังไม่หิวใช่ไหม?”   ใบหน้าหล่อเหลาหันมาถาม เขาจึงส่ายหน้า บนเครื่องบินก็กินจนไม่รู้จะกินยังไงแล้ว เขาเลยลืมความหิวไปเลย

“งั้นก็นั่งดูพระอาทิตย์ตกที่นี่กัน”   มือใหญ่ดับเครื่องมอเตอร์ไซค์ รอบกายจึงเหลือเพียงเสียงคลื่นซัดสาด หวังอี้ป๋อถอดหมวกกันน็อคออกก่อนจะสะบัดผมไปมา น่าหมั่นไส้จริงๆทำไมถึงเท่ห์ได้แม้แต่ตอนสะบัดผมเนี่ย?

ร่างสูงสง่าก้าวขาลงจากรถมอเตอร์ไซค์ก่อนจะยืนพิงไว้เฉยๆ เขาจึงขยับลงไปนั่งตรงเบาะที่หวังอี้ป๋อเคยนั่งแทน เขาหมุนตัวไปนั่งเผชิญหน้ากับพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ จะว่าไปก็นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ทำตัวเรื่อยเฉื่อยแบบนี้

“จริงๆก็อยากพาพี่ไปเล่นกับจิ้งโจ้ในสวนสัตว์อยู่หรอกนะ แต่พี่ก็เหนื่อยมาทั้งอาทิตย์แล้วและผมเองก็อยากทำสมาธิสักหน่อย มาที่นี่จิตใจน่าจะสงบกว่า พี่ไม่เบื่อใช่ไหม?”   เขามองเสี้ยวใบหน้าของคนที่เด็กกว่า 6 ปี ดูเหมือนจะมีเรื่องให้คิด อาจจะเกี่ยวกับการแข่งในสนามนี้ บางทีมันก็มีแหละที่ผลออกมามันจะไม่เหมือนที่เราคิดไว้

“ไม่เบื่อ ที่นี่สวยดี ได้นั่งเฉยๆแบบไม่ต้องคิดอะไรบ้างก็ดีเหมือนกัน”   ใบหน้ามนหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายและมันก็เป็นรอยยิ้มที่รักษาจิตใจที่หม่นหมองได้ ร่างสูงสง่ามองรอยยิ้มนั้นด้วยความหลงใหล

พี่มาอยู่กับเฟอร์รารี่ได้ไงน่ะ? เล่าให้ฟังได้ไหม?”   นักบิดแห่งทีม Movistar Yamaha ถามออกไป เขาสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วเพราะจ้านเกอเป็นชาวเอเชีย ทำอิท่าไหนถึงไปอยู่ในทีมอิตาลีจ๋าแบบนั้นได้

“.....หม่าม้าส่งชั้นมาเรียนดีไซน์เสื้อผ้าที่อิตาลี เพราะหม่าม้าชอบแบรนด์กุชชี่มาก แต่ชั้นดันลงทะเบียนผิด เลยได้ไปเรียนสาขาออกแบบรถแทน….”

พรูด~ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”   ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับหัวเราะลั่น มันจะมีซักกี่คนกันที่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตัวเองด้วยความมึนแบบนี้

ชั้นรู้แล้วว่านายต้องขำ เพราะใครได้ยินก็ขำทั้งนั้น ฮืออออ”   เจ้ากระต่ายก้มหน้าเม้มปากแน่น

ก็หม่าม้าส่งชั้นมาเรียนที่อิตาลีตั้งแต่ม.ปลาย เพราะที่นี่เค้าเริ่มเรียนแยกสายกันตั้งแต่เด็ก แล้วตอนนั้นชั้นยังอ่านภาษาอิตาลีแทบไม่ออก เห็นเขียนว่าดีไซน์ๆอะไรสักอย่างก็เลยกดไปไง!

ฮึๆๆๆ สุดยอด สมเป็นพี่”   หวังอี้ป๋อกลั้นขำจนไหล่สั่น

จะหัวเราะก็หัวเราะไปเถอะ…..”

ฮ่าๆๆๆๆๆ


ผลั๊วะ!


ไหนว่าให้หัวเราะได้ไง? แล้วไหงฟาดเขาซะเต็มแรงแบบนี้ล่ะ? แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังขำต่อไป

“ฮึๆๆ”   เขาพยายามหยุดขำจนน้ำตาไหล  เอาจริงๆวันนี้เขาค่อนข้างกังวลกับผลการทดสอบรถเมื่อเช้ามาก ไม่น่าเชื่อว่าการได้พูดคุยกับเจ้ากระต่ายเบลอนี่จะช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก

เพราะว่าจะเปลี่ยนไม่ได้จนกว่าจะจบเทอม ก็เลยต้องเรียนๆไป แต่พอได้เรียนจริงๆชั้นกลับชอบมันมาก ความงามที่ต้องผสมผสานกับงานวิศวกรรมมันสุดยอดมาก ชั้นเลยลงเรียนออกแบบรถต่อไปเรื่อยๆจนจบมหาวิทยาลัยในอิตาลี

แล้วหม่าม้าพี่รู้รึเปล่าว่าลูกชายไม่ได้ไปทางสายกุชชี่แต่มาเป็นเฟอร์รารี่แทนน่ะ

รู้ก็ตอนที่ชั้นบอกเค้าว่าชั้นจะไปทำงานกับเฟอร์รารี่นั่นแหละ...บ้านแทบแตก...หม่าม้าน่ากลัวสุดๆ ดีที่ปะป๊าสนับสนุน…”   ร่างโปร่งบางห่อไหล่ในท่าทางขนลุกก่อนจะเล่าต่อ

จริงๆแล้วอาจารย์ที่สอนชั้นในมหาวิทยาลัยเป็นคนใน Ferrari Design Center ก็เลยถูกจองตัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เรียกว่าถูกจับเซ็นต์สัญญาทาส ห้ามไปออกแบบรถให้ใครเด็ดขาด...เพราะงั้นตั้งแต่ยังไม่ทันเรียนจบ ชั้นก็ได้ออกแบบรถซุปเปอร์คาร์ของเฟอร์รารี่แล้ว

พอเรียนจบก็ถูกดึงเข้าทีมแข่งรถฟอร์มูล่าวันทันที นั่นแหละ ก็อยู่กับเฟอร์รารี่มาตั้งแต่ตอนนั้น”   เขามองเจ้ากระต่ายด้วยสายตาทึ่งๆ ปกติดูง๊อกๆแง๊กๆแบบนี้แท้ๆ~ ใครจะไปคิดว่าจะเป็นคนที่เฟอร์รารี่ถึงกับจองตัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

เอลวิน สมิธเคยบอกผมว่าพี่เป็นอัจฉริยะและมีมูลค่าทางการตลาดในฐานะสินค้าของเฟอร์รารี่เป็นเงินหลายพันล้าน ดูท่าทางจะเป็นเรื่องจริง

งั้นมั้ง? ชั้นไม่ได้สนใจ ชั้นแค่ชอบออกแบบรถ แล้วการได้อยู่ในทีมอย่างเฟอร์รารี่มันก็ทำให้ชีวิตไม่เคยพบกับคำว่าน่าเบื่อ ทุกๆวันมีแต่การเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ มีแต่ปัญหาให้คอยแก้ไข วันไหนแพ้เราก็แค่ร้องไห้ วันไหนชนะเราก็ฉลองไปด้วยกัน มันสนุกมาก

ป่านนี้หม่าม้าพี่คงให้อภัยแล้วมั้ง?”

ให้อภัยแล้วสิ ไม่งั้นชั้นจะได้อาม่ามาจากใคร”   …..หมายความว่าม้าพี่เองสินะที่ให้ไอ้หมีนั่นมา...ม้าพี่ให้อภัยพี่แน่แล้วจริงๆดิ?

เจ้ากระต่ายหยิบสมุดสเก็ตออกมาจากกระเป๋าเป้ ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นมองไปที่แสงสีส้มซึ่งฉาบไล้เกาะแก่งที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะ อาจจะอยากสเก็ตภาพทิวทัศน์ตรงหน้าไว้ก็ได้มั้ง? เขาถึงได้ไม่ว่าอะไรตอนที่อีกฝ่ายเริ่มลงมือวาดรูป

“พี่...พี่รู้ไหมว่าทำไมผมถึงอยากให้พี่มาดูผมแข่งที่สนามนี้”   เขาถามออกไปในขณะที่ทอดสายตามองเส้นขอบฟ้า ในหัวเขาไม่ได้มีแต่เรื่องหื่นๆหรอกน่า

“หื๋อ? มันยากเหรอ?”   ใบหน้ามนตอบทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าจากสมุดสเก็ต

“เปล่า เพราะว่าถ้าผมชนะสนามนี้...ผมจะเป็นแชมป์โลกสมัยที่สี่”   คะแนนรวมของเขาจะทิ้งขาดคู่ต่อสู้จนทำให้ไม่ว่าผลของสนามที่เหลืออีก 2 สนามจะเป็นยังไง เขาก็ยังได้แชมป์โลกอยู่ดี สนามนี้จึงมีความหมายสำหรับเขามาก

“ห๊ะ?! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมนายไม่บอกชั้น?!”   ใบหน้ามนเงยมองเขาตาโตจนอดขำในความกระตือรือล้นของอีกฝ่ายไม่ได้

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ใครเค้าก็รู้กันทั่วโลกแล้วไหม พี่เองนั่นแหละไม่รู้ได้ไง?”

“ก็ชั้น.......”   ดวงตาคู่โตกรอกไปมาด้วยอาการเลิ่กลั่ก ก็นะ...ขนาดหวังอี้ป๋อยังไม่รู้จัก นับประสาอะไรกับเรื่อง

“แต่เอาเถอะ พี่ช่วยเชียร์ผมหน่อยนะ”   เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนๆ

“ได้สิ! นายเอาหมวก เอาธง เอาพู่ เอาอะไรมาสิ เดี๋ยวชั้นเชียร์นายเอง!  จะใส่ชุดเชียร์ลีดเดอร์ขึ้นไปโบกพู่ให้เขาบนสแตนด์หรือไงละนั่น...

“ฮ่าๆๆๆๆ พี่นี่น่ารักชะมัด”   เขาหัวเราะจนต้องลงไปกุมท้องอีกรอบ

“อะไรเล่า...”   ใบหน้ามนงอหงิกก่อนจะส่งสายตาดุๆมาให้เมื่อเขาไม่ยอมหยุดขำ  ก็ดูสิ น่ารักขนาดนี้จะให้เขาหยุดเอ็นดูได้ยังไง

“แค่พี่จูบผมก็พอ พวกพู่พวกธงน่ะ ให้คนอื่นเค้าเชียร์ไปเถอะ”   เขายกยิ้มมุมปากจนเจ้ากระต่ายถึงกับผงะไป

“เจ้าหมาป่าเจ้าเล่ห์! นายกลับมาแล้วสินะ!”    มือบางฟาดแขนเขามาอีกทีสองที ถึงจะเอี้ยวตัวหลบแต่เขาก็ยิ้มรับ

พระอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆ มือที่สเก็ตรูปอยู่ก็ค่อยๆหยุดลงเช่นกัน เขาชะโงกหน้าไปมองอย่างนึกว่าจะได้เห็นทิวทัศน์ตระการตา...ทว่า...รูปที่อยู่ในสมุดสเก็ตกลับเป็นรูปรถยนต์คันหนึ่ง...

“นี่จะเป็นรถรุ่นใหม่ของเฟอร์รารี่ในปีหน้า นายอยากตั้งชื่อมันไหม?”   ใบหน้ามนก้มมองภาพด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะเงยหน้ามองเขา แต่เขากลับมองร่างโปร่งบางอย่างตื่นตะลึง

รถในกระดาษคันนี้น่ะเหรอที่จะกลายเป็นรถซุปเปอร์คาร์ราคาแพงระยับที่จะส่งขายไปทั่วโลก รถคันนี้จะวิ่งไปในทุกๆที่ รถคันที่สเก็ตขึ้นมาตอนอยู่กับเขา ตอนที่นั่งดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันคันนี้น่ะเหรอ? นี่มันความจริงหรือความฝันกัน?

“คำว่า...พระอาทิตย์ตก ภาษาอิตาลีคืออะไร?”   เขาถามออกไปด้วยเสียงลอยๆ 

Tramonto   เสียงนุ่มตอบกลับมา

“งั้นก็ตั้งชื่อมันว่า Tramonto ก็แล้วกัน”  เขาตอบพลางมองรถที่ยังเป็นแค่ลายเส้นคันนั้น ใบหน้ามนจึงยิ้มรับ

“ปีหน้า ชั้นจะเชิญนายไปงานเปิดตัวรถคันนี้ เตรียมตัวไว้ล่ะ”   งานเปิดตัวรถของเฟอร์รารี่ก็เหมือนมิลานแฟชั่นวีค ถ้าไม่มีบัตรเชิญก็เข้าไม่ได้

“ครับ”  ใบหน้าคมอมยิ้มอย่างรู้สึกอุ่นๆในใจ...ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ร่างสูงสง่าพลิกกายก่อนจะยันสองแขนไว้กับมอเตอรไซค์ กักขังร่างโปร่งบางเอาไว้ในอ้อมแขน

“แบบนี้หมายความว่าพี่ยอมคบกับผมแล้วใช่ไหม?”   เขาช้อนใบหน้ามองคนที่นั่งอยู่บนเบาะรถ เจ้ากระต่ายทำหน้าเลิ่กลั่กอ้าปากพะงาบๆอย่างสับสน

“ห๋า? นายไปจับแพะที่ไหนมาชนกับแกะที่ไหนถึงได้คำตอบออกมาแบบนั้นเนี่ย??”

“ก็พี่บอกผมว่าปีหน้าจะเชิญผมไปงานเปิดตัวรถของเรา แปลว่าปีหน้าเราจะยังอยู่ด้วยกัน แปลว่าพี่ยอมตอบตกลงเป็นแฟนกับผม เราเลยอยู่ด้วยกันจนถึงปีหน้าไง”   แถวบ้านเรียกว่าแถ แต่กระต่ายมึนตรงหน้าอาจจะตกหลุมพรางเขาก็ได้ใครจะรู้

“ห๋า? ทำไมเป็นงั้นอ่ะ? ไม่น่าใช่นะ??”   เขาหัวเราะในลำคอกับความงงอย่างจริงจังของเจ้ากระต่ายตรงหน้า ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูจนเขาอดไม่ได้ที่จะยื่นใบหน้าเข้าไป

แล้วจูบปิดริมฝีปากที่กำลังหาทางเถียงเขานั่น...


เราจูบกันโดยมีพระอาทิตย์ตกดินเป็นฉากหลัง...


ถ้าเป็นภาพถ่ายก็คงจะสวยน่าดู...
















แชะ....















“ผมขอแวะเข้าไปที่สนามหน่อยนะ มีสัมภาษณ์ตอนทุ่มนึง แต่ไม่นานหรอก”   ใบหน้าคมหันมาบอกเมื่อส่งหมวกกันน็อคให้เขา ตอนนี้รอบกายโพลเพล้จนมองแทบไม่เห็นอะไร พวกเราจึงตัดสินใจกลับ

“อื้อ”    เสียงทุ้มดังกระหึ่มเมื่อเครื่องยนต์ของ Yamaha YZF R1 ถูกสตาร์ท บิ๊กไบต์สีดำพาพวกเขากลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ถึงสิบห้านาทีพวกเขาก็มาถึงสนาม Phillip Island Grand Prix Circuit 

“ให้ชั้นรออยู่ข้างนอกก็ได้นะ? เข้าไปจะเกะกะนายเปล่าๆ?  นักออกแบบรถของเฟอร์รารี่เอ่ยบอกในขณะที่กำลังโดนเจ้าถิ่นอย่างหวังอี้ป๋อลากให้เดินตามไปจนตัวแทบปลิว

“ไปด้วยกันนี่แหละ ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยพี่ไว้ข้างนอกผมได้ห่วงจนไม่เป็นอันทำอะไรมากกว่า”   มือใหญ่ยังคงจับข้อมือเล็กๆเอาไว้อย่างแน่นหนาและไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยง่ายๆ

“ชั้นไม่ใช่เด็กสามขวบซักหน่อย  ถึงใบหน้ามนจะบ่นงึมงำแต่ก็มีสีหน้าของความเขินอายเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนว่าห่วงใย

ร่างสูงสง่าพาเดินลัดเลาะด้านหลังพิตจนมาถึงการาจของทีม Movistar Yamaha จนได้ และเมื่อหวังอี้ป๋อพาคนแปลกหน้าเข้าไป ลูกทีมทุกคนต่างก็หันมามองเป็นตาเดียว

“สัมภาษณ์ที่ไหนครับ?”    นักบิดมือหนึ่งของทีมทำลายอาการนิ่งค้างของทุกคนเมื่อมองเห็นว่าเขาพาใครมา ทุกสายตาต่างมองหน้าเจ้ากระต่ายสลับกับมือเขาที่ยังจับข้อมือบางอย่างหวงแหน

“อ้อ เอ่อ ที่เวทีย่อย อีกสิบนาทีค่อยไป”   สต๊าฟของทีมเอ่ยบอก

“ว่าแต่นายจะไม่แนะนำหน่อยเหรอ  วิศวกรประจำรถของเขาหันมายิ้มกรุ้มกริ่มแซว เขาออกอาการขนาดนี้คงพอจะเดากันได้อยู่แล้ว

“เซียวจ้าน ตอนนี้เป็นเพื่อนไปก่อน แต่ในอนาคตคือคนที่ผมจะจดทะเบียนสมรสด้วย”   ใบหน้าคมยกยิ้มตอบอย่างมั่นใจและไม่คิดจะปิดบัง

“ห๊ะ?”   มีแต่เจ้ากระต่ายที่ทำหน้าเหรอหรา ส่วนลูกทีมคนอื่นๆน่ะ...

“ฮิ้ว~~ ร้ายนะไอ้ลูกหมา~ หน้าตาน่ารักซะด้วย~ แต่เอ๊ะหน้านายคุ้นๆแหะ”   หลายคนตะโกนแซว หลายคนไม่รู้สึกแปลกใจเพราะดูเหมือนเขาจะติดพันใครสักคนหนึ่งมาสักพักแล้ว หลายคนก็เริ่มรู้สึกคุ้นหน้าเจ้ากระต่ายที่ยืนอยู่ข้างๆเขา

“ใช่คนที่มาทำประแจร่วงหน้าพิตเราเมื่อสนามที่แล้วรึเปล่า?!”   เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาเล่นเอาวิศวกรหัวกะทิของม้าลำพองถึงกับผงะไป ร่างโปร่งบางแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี เขาก็อายนะใช่ว่าจะไม่รู้สึก!  ศิษย์พี่นะศิษย์พี่ จะเอาประแจมาให้เขาพกไว้ทำไม? นอกจากจะใช้ป้องกันตัวไม่ได้แล้วมันยังทำให้คนจดจำไปชั่วชีวิตอีกแน่ะ!

“ครับ”   ใบหน้ามนก้มหน้าตอบอย่างอายๆ

“งั้นนายก็เป็นคนของเฟอร์รารี่สิ?   กลายเป็นร่างโปร่งบางที่โดนสัมภาษณ์แทน

“ครับ

“เจ๋งไปเลย!”

“ถอดเสื้อหนังออกแล้วใส่แจ็คเก็ตนี่ซะ”   หวังอี้ป๋อส่งแจ็คเก็ตของทีมยามาฮ่ามาให้

“ไม่ให้ชั้นรอที่นี่เหรอ?”   ใบหน้ามนก้มมองมือใหญ่ที่จับไม่ยอมปล่อย ร่างโปร่งบางถูกลากให้เดินตามไปด้วยกันจนถึงเวทีย่อยที่ใช้สัมภาษณ์

ดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่ถูกจับให้ยืนเนียนๆอยู่กับสต๊าฟของทีม Movistar Yamaha การสัมภาษณ์ของวันนี้ก็เป็นไปตามปกติ รถเป็นยังไง สภาพสนามเป็นยังไง มีลุ้นว่าจะชนะแค่ไหน ต่างออกไปนิดหน่อยตรงที่สนามนี้มีผลกับตำแหน่งแชมป์โลกสมัยที่สี่ของเขา ใบหน้าหล่อเหลาก็ให้สัมภาษณ์ไปตามที่เคยเป็นมา เขาไม่ได้ยิ้มมากนักเวลาอยู่ต่อหน้าสื่อ เขาจึงมักถูกขนานนามว่าเป็นนักบิดที่เย็นชาที่สุดในกริด

ดวงตาคมกล้ากวาดมองไปรอบๆในขณะที่ให้สัมภาษณ์เหมือนทุกที แต่มันมีบางอย่างที่ไม่ปกติ เพราะในขณะที่นักข่าวเจ้าอื่นๆต่างหันกล้องมาหาเขา แต่กลับมีนักข่าวคนหนึ่งหันกล้องไปที่กลุ่มสต๊าฟของทีมแทน และเขาก็จำได้ว่าหมอนั่นมันคือปาปารัซซี่ที่คอยตามถ่ายรูปเขา!

ใบหน้าหล่อเหลารีบมองตามทิศทางกล้องของหมอนั่นไปทันที แล้วสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่...จ้านเกอ...

ปาปารัซซี่นั่นกำลังแอบถ่ายรูปเจ้ากระต่ายของเขาอยู่!

มือใหญ่ถึงกับกำหมัดแน่น เขาลุกไปตั๊นหน้ามันตอนนี้ไม่ได้ สื่อมากมายจากทั่วโลกกำลังจดจ้องเขาอยู่ ร่างสูงสง่าจึงต้องกัดฟันนั่งให้สัมภาษณ์ต่อไป






หวังอี้ป๋อเป็นอะไรไป?

ร่างสูงสง่าดูท่าทางหงุดหงิดจนแม้แต่คนนอกทีมอย่างเขายังรู้สึกได้ ดวงตาคู่โตเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ก็นั่งสัมภาษณ์อยู่ดีๆ คำถามก็ไม่ได้มีอะไรรุนแรง แต่จู่ๆเด็กนั่นก็หันมามองทางนี้ตาเขียวเล่นเอาเหล่าสต๊าฟเสียวสันหลังกันไปหมดแล้วเนี่ย?


ปึก!


จู่ๆที่ไหล่บางก็รับรู้ถึงแรงกระแทก ใครบางคนแทรกกายเข้ามายืนข้างๆแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าเป็นนักข่าวที่อาจจะเพิ่งมา

“นายเป็นใคร? เป็นนายแบบเหรอ? หรือว่านักร้อง? แอบคบกับหวังอี้ป๋อมานานรึยัง?”   เสียงแหบแห้งกระซิบถามทำให้ดวงตาคู่สวยถึงกับเบิกกว้าง คำถามนี้ไม่น่าใช่คำถามรอบสื่อมวลชนแล้วไหม? เขาถึงได้หันไปมองอีกฝ่ายงงๆ แต่ยังไม่ทันจะได้โต้ตอบอะไร เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว


โครม!


หวังอี้ป๋อพุ่งมาจากเก้าอี้สัมภาษณ์ก่อนจะกระชากคอนักข่าวคนนั้นออกไป หมัดหนักๆต่อยลงไปบนใบหน้ารกครึ้มจนร่างผอมแห้งล้มลงไปกองกับพื้น

“ถ้ามึงยุ่งกับเค้า กูเอามึงตาย!”   เสียงทุ้มตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างดุดัน ร่างแข็งแกร่งเตรียมจะพุ่งเข้าใส่คนถูกต่อยอีก

“อี้ป๋อ?!”   สต๊าฟของทีม Movistar Yamaha ต้องกรูกันเข้าไปจับตัวนักบิดมือหนึ่งของทีมเอาไว้ สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวายทำให้คนที่ถูกต่อยลุกหนีไปได้  นักข่าวรอบๆพากันแตกตื่น แสงแฟลชกระพริบถี่ยิบยิ่งกว่าตอนที่ชายหนุ่มนั่งสัมภาษณ์อยู่เสียอีก

“พากลับห้องพักก่อน! ขอโทษนะครับ ขอทางหน่อยครับ!”   นักบิดแชมป์โลกสามสมัยถูกพาตัวกลับไปยังห้องพักของทีมท่ามกลางความตกใจของสื่อทั่วๆไป เขาเองก็ถูกทีมของหวังอี้ป๋อรวบตัวกลับไปด้วยอย่างมึนงง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ? นักข่าวคนนั้นเป็นใครกันแน่? ทำไมหวังอี้ป๋อถึงได้โมโหขนาดนั้น?

“นายอยู่ที่นี่ก่อน หาโอกาสเหมาะๆได้ก็หนีกลับโรงแรมไปก่อนเลย เดี๋ยวชั้นไปเคลียร์กับพวกนักข่าวก่อน ไม่รู้มีใครถ่ายติดไปบ้างหรือเปล่าช็อตเมื่อกี้ เฮ้อ~ ไอ้เห็บเหาน่ารำคาญนั่น เมื่อไหร่มันจะเลิกยุ่งกับนายซักทีนะอี้ป๋อ นายควรจะหาสาวคบให้จบๆไปซักคนดีไหม? หรือไม่ก็เปิดตัวคนของนายไปซะ”   ทีมบอสของ Movistar Yamaha เข้ามารับหน้าที่ต่อ มือใหญ่บีบไหล่ของหวังอี้ป๋อเป็นเชิงบอกว่าให้ใจเย็นๆ


เคร้ง!


ร่างสูงสง่าทิ้งตัวนั่งลงไปบนเก้าอี้พับเหล็กด้วยท่าทางที่ยังหงุดหงิด ใบหน้าคมเวลาโมโหดูน่ากลัวมาก ดาร์กแบบสุดๆ เขาที่เพิ่งเคยเห็นอดจะรู้สึกเกร็งๆที่ต้องเข้าใกล้ไม่ได้

ร่างโปร่งบางค่อยๆนั่งยองๆลงไปตรงหน้าคนที่ยังกัดฟันกรอด มือบางค่อยๆวางลงไปบนมือที่เส้นเลือดขึ้นชัดเจนสมเป็นมือผู้ชาย เขาจะโดนเจ้าหมาป่าดุร้ายนี่ฆ่าตายไหมเนี่ย ปลอบไปก็กลัวไป ฮืออออ

“ฮึ...ทำหน้าอะไรของพี่เนี่ย?”   แต่จู่ๆคนที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็หลุดขำออกมา  ใบหน้าคมมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนกว่าเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน

“กลัวเหรอ?”   มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบแก้มเขาเบาๆ

“ก็กลัวน่ะสิ ชั้นเป็นแค่วิศวกรตัวน้อยๆ ถ้านายโมโหจนเผลอหักคอชั้นจะทำยังไง แค่อาม่าชั้นยังยกแทบไม่ไหวจะไปสู้นายได้ไง”   ใบหน้าคมหัวเราะในลำคอ บรรยากาศตึงเครียดค่อยๆผ่อนคลายลง

“เป็นแค่กระต่ายน้อยแท้ๆ~   หวังอี้ป๋อพึมพำอะไรอยู่ในปาก

“ห๊ะ?”   ใบหน้าคมส่ายน้อยๆเป็นเชิงว่าช่างเถอะ  เขาจึงขยับลุกขึ้นไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ

“....คนนั้นน่ะเหรอ ปาปารัซซี่ที่นายเคยเข้าใจผิดว่าเป็นชั้น?”   ดูจากความโกรธที่ไม่ธรรมดาแล้ว นั่นน่าจะเป็นปาปารัซซี่คู่กรณีของหวังอี้ป๋อแน่ๆ

“อืม เมื่อกี้มันพูดอะไรกับพี่หรือเปล่า?”

“เค้าถามว่าชั้นเป็นใคร เหมือนจะเข้าใจว่าชั้นเป็นนายแบบ แล้วก็...ถามว่าฉันแอบคบกับนายอยู่เหรอ...”

“ถึงจะน่ารำคาญแต่ก็นับว่าตาดี”   ใบหน้าคมยกยิ้มน่าหมั่นไส้

“ใช่เรื่องที่จะมาดีใจไหม?”   เขาจึงแถมฝ่ามือให้อีกเพี๊ยะ

“ยังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้แอบหนีกลับโรงแรมกันก่อนเถอะ”   ร่างสูงสง่าลุกขึ้นเมื่ออารมณ์เริ่มเข้าที่ ใบหน้าคมทอดสายตามองเจ้ากระต่ายที่ยังทำหน้าหวาดๆ ปกติแล้วถ้าเขาลงได้โมโหขนาดนี้ละก็ ทั้งทีมก็ไม่มีใครเข้าหน้าติด แล้วก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาปลอบเขาทั้งๆที่ตัวเองก็กลัวแบบนี้ด้วย ตอนที่จ้านเกอยื่นมือมาจับเขาแล้วทำหน้าเหมือนกระต่ายกำลังจะโดนกินนั่นมันน่าเอ็นดูจนความโกรธถูกพัดหายไปจนหมด

ช่างเป็นคนที่มหัศจรรย์จริงๆ...

“ต้องย่องไปแบบนี้ด้วยเหรอ?”   เขาพาเจ้ากระต่ายย่องออกมาทางหลังพิต

“ใช่สิ พี่เข้าใจหรือเปล่าเนี่ยว่าผมเองก็มีชื่อเสียงพอๆกับโกคุเดระ ฮายาโตะหรือสเลน ทรอยยาร์ดของพี่เลยนะ ผมไปต่อยคนต่อหน้าสื่อแบบนั้น พี่คิดว่านักข่าวจะหาตัวผมให้ควั่กกันขนาดไหนล่ะ?”   เขากระซิบบอกอีกฝ่ายไปก็หันซ้ายแลขวาไป

“แต่ชั้นไม่เกี่ยวนี่?”  เจ้ากระต่ายไม่รู้ตัวยังพูดอย่างไม่เข้าใจ

“จะไม่เกี่ยวได้ไงล่ะ? พี่เป็นสาเหตุของเรื่องนะ”   ร่างสูงสง่าก้าวขาเร็วๆก่อนจะพาร่างโปร่งบางวิ่งหลบไปตามหลังพิตของทีมอื่น

“อ้าวเหรอ??”

“วิ่ง!”   ไม่มีเวลาให้งงแล้ว มือใหญ่จับมือบางแล้วพาวิ่งฝ่าอาคารอำนวยการไป ลูกทีมเอารถมาจอดรอที่อีกฝั่งหนึ่งของตึก

Yamaha YZF R1 พุ่งทะยานออกจากสนาม ดูเหมือนมันจะวิ่งไวกว่าเมื่อตอนกลางวันมาก ใบหน้ามนหลับตาปี๋ สองแขนทำได้แค่กอดเอวของหวังอี้ป๋อเอาไว้ ทำได้แค่เชื่อใจอีกฝ่ายว่าจะปกป้องชีวิตน้อยๆของเขาให้ปลอดภัย








ยังดีที่โรงแรมอยู่ไม่ไกล ดีไซน์เนอร์มือหนึ่งของเฟอร์รารี่จึงไม่ต้องท่องบทสวดร้องขอชีวิตต่อพระเจ้า(?)หลายจบนัก

แต่ดูเหมือนนักข่าวเองก็คงจะรู้ว่านักบิดแห่งทีมยามาฮ่าจะหนีกลับโรงแรมมาก่อน นักข่าวบางส่วนจึงถูกแบ่งกำลังมาดักรออยู่ที่นี่

Yamaha YZF R1 หยุดมองทางเข้าโรงแรมอยู่ไกลๆ จริงอยู่ที่พวกนักข่าวถูกรปภ.กันไว้แต่การที่เขาจะเข้าไปได้ก็ต้องฝ่านักข่าวพวกนั้นอยู่ดี

“อี้ป๋อ...”    เจ้ากระต่ายยื่นหน้าออกจากแผ่นหลังเขามามองสถานการณ์ตรงหน้า น้ำเสียงฟังดูกังวลเพราะไข่ในหินของเฟอร์รารี่คงไม่เคยได้เจอกับเรื่องแบบนี้หึ...ถ้าทีมบอสขาโหดนั่นรู้เข้าคงฆ่าเขาตาย

“จ้านเกอ...ไม่ต้องกลัว...แล้วกอดผมให้แน่นๆ”    มือใหญ่เบิ้ลคันเร่งสองสามทีอย่างเตรียมพร้อม สองแขนผอมบางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นตามที่เขาบอก ใบหน้าคมภายใต้หมวกกันน็อคจ้องมองทางข้างหน้าด้วยสายตาคมกล้า

และเมื่อคลัชถูกปล่อย รถสีดำก็พุ่งทะยานออกไปราวกับลูกธนู



ปรี๊นนนนนนนนนนนนนนน



เสียงแตรลากยาวผสมผสานกับเสียงกระหึ่มของมอเตอร์ไซค์ทำให้ผู้คนที่ออกันอยู่หน้าโรงแรมถึงกับยกมือขึ้นมากุมหัวหลบกันให้จ้าละหวั่น แสงไฟสูงสาดส่องไปทั่วจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร บิ๊กไบต์คันใหญ่พุ่งฝ่าเข้าไปราวกับจรวดมิดไซย์ กว่าทุกคนจะรู้ตัว ตรงนี้ก็เหลือเพียงเสียงทุ้มต่ำของมัน

“หวังอี้ป๋อ? เมื่อกี้หวังอี้ป๋อนี่?!”   กว่านักข่าวจะรู้ว่าพลาดช่วงเวลาสำคัญไป รปภ.ก็พุ่งมาปิดทางเข้าที่จอดรถไปแล้ว





“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....”    ร่างโปร่งบางถึงกับหอบจนตัวโยน ในที่สุดพวกเขาก็หนีเข้าโรงแรมมาอย่างปลอดภัย พอลงจากรถได้ก็ต้องวิ่งอีกไม่ใช่น้อย กว่าจะขึ้นลิฟท์ กว่าจะมาถึงห้องพักได้ก็เหนื่อยแทบตาย

“นาย...แฮ่ก...นายต้องเข้าใจนะว่า...แฮ่ก แฮ่ก...ชั้น...เป็นวิศวกร...นายจะมาลากชั้นวิ่งไปวิ่งมาบ่อยๆไม่ได้! แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก...”   เจ้ากระต่ายถึงกับต้องเอาแขนยันโซฟาเอาไว้ แหงละ เพราะว่าวันๆก็ใช้แต่สมองเลยแทบไม่ได้ออกกำลังกาย ให้วิ่งขนาดนี้จะเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทันมันก็ไม่แปลก

“โทษทีพี่ แต่ก็ถือว่าฝึกไว้ อีกหน่อยพี่คงได้ทำเรื่องเหนื่อยๆกับผมแบบนี้บ่อยๆแหละ”   ร่างสูงสง่าที่ทิ้งตัวนั่งแผ่หลาอยู่บนโซฟายิ้มร่า เจ้ากระต่ายจึงแยกเขี้ยวขู่มาให้หนึ่งดอก

“แล้วจากนี้จะทำยังไง?”   เมื่อลมหายใจเริ่มเข้าที่ ร่างโปร่งบางก็นั่งลงบนโซฟา ใบหน้ามนดูกังวลกับพวกนักข่าวพอสมควร...จะว่าไป...ตัวตนของจ้านเกอเองก็ยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนักในวงการมอเตอร์สปอร์ต ถ้าต้องเข้ามาพัวพันเป็นข่าวกับเขา บางทีอาจจะถูกขุดคุ้ยจนส่งผลต่อธุรกิจของเฟอร์รารี่ก็ได้

บางที...จ้านเกออาจจะเดือดร้อน...

“...ทีมบอสผมคงหาทางทำอะไรได้บ้างแหละ รอฟังเค้าก่อนก็แล้วกัน เค้าถนัดกับการเคลียร์เรื่องที่ผมไปก่อไว้”   เขาบอกอีกฝ่ายให้คลายกังวล

“คนเป็นทีมบอสนี่ต้องเป็นแบบนี้ทุกคนเลยสินะ...”   ใบหน้ามนเป่าลมออกจากกระพุ้งแก้มเล่น ก่อนจะโยกตัวในเวลาที่ต้องรอคอย


ติ๊ง!


เสียงเมสเสจดังทำให้นักบิดของทีมยามาฮ่าเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู มีใครบางคนส่งข้อความมาหาเขาและมันก็เป็นเบอร์ที่ไม่ขึ้นชื่อ...ไม่ใช่คนในทีมของเขา?

ปลายนิ้วเลื่อนเปิดดูอย่างไม่ใส่ใจ แต่แล้ว เมื่อภาพในไฟล์แนบถูกขยายใหญ่ นัยน์ตาคมกล้าก็ถึงกับต้องเบิกกว้าง


เพราะมันเป็นภาพ...




ที่เขากับเจ้ากระต่าย...กำลังจูบกันอยู่ที่แหลม Woolamai....









ดาดฟ้าของโรงแรมนี้มีบาร์อยู่ ออกมาเจรจากับฉันสิ

และนั่นก็คือข้อความทั้งหมดที่เขาได้รับมา...









ร่างสูงสง่ากำหมัดแน่นในขณะที่เดินออกจากลิฟท์ ดวงตาดุดันกวาดมองไปรอบบาร์เพื่อมองหาใครก็ตามที่ส่งรูปนั่นให้เขา...และแทบไม่ต้องเดา...ไอ้ปาปารัซซี่คู่กรณีนั่งโบกมือมาให้จากโต๊ะตัวในสุด

เป็นมันจริงๆด้วย เพราะตามไปแอบถ่ายรูปเขามาได้สินะถึงได้พยายามสืบก่อนว่าเจ้ากระต่ายเป็นใคร หมอนั่นคงเข้าใจว่าแฟนเขาเป็นนายแบบไม่ก็นักร้อง แหงละ ด้วยรูปร่างหน้าตาของจ้านเกอก็คงไม่มีใครคิดหรอกว่าจะเป็นวิศวกร

นักบิดของทีมยามาฮ่าเดินตรงดิ่งเข้าไปหา รังสีอำมหิตแผ่ออกรอบกาย ยังดีที่ในบาร์แทบไม่มีคน เขาจึงไม่ตกเป็นเป้าสายตาของใครอื่นนอกจากหมอนั่น

เขานั่งลงไปที่เก้าอี้อาร์มแชร์ฝั่งตรงข้ามกับหมอนั่น ใบหน้าที่ถูกเขาต่อยไว้ยังบวมเป่ง ยิ่งเห็นใบหน้าของมันเขาก็ยิ่งกำหมัดแน่น

“นี่คือรูปทั้งหมดที่ฉันถ่ายมาได้”   ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอ้เห็บเหานั่นก็เปิดฉากด้วยการส่งรูปถ่ายที่อัดลงกระดาษอย่างดีมาให้  มีทั้งรูประยะไกลและรูปซูมระยะใกล้ มีตั้งแต่ตอนที่เขากับเจ้ากระต่ายนั่งคุยกันจนกระทั่งรูปที่จูบกัน

“ถ้ามันถูกเผยแพร่ออกไป อนาคตของเด็กคนนั้นอาจจะหมดไปเลยก็ได้ นายก็รู้ว่าในประเทศจีนยังแบนเรื่องชายรักชายอยู่...”   หมอนี่คิดว่าจ้านเกอเป็นไอดอลจริงๆด้วยสินะ ลำพังแค่เขาน่ะไม่เป็นไรหรอก เขาอยากจะเปิดตัวกับเจ้ากระต่ายนั่นจะตายอยู่แล้ว แต่สำหรับดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่สิที่เขาไม่รู้ว่าหากข่าวนี้รั่วไหลออกไปจะมีผลอะไรต่อยอดขายรถของค่ายม้าลำพองหรือเปล่า ธุรกิจของเฟอร์รารี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเอามาล้อเล่นหรือรับผิดชอบไหว มันเป็นเม็ดเงินมหาศาลทั้งยังแบกรับชีวิตของพนักงานอีกเป็นหมื่นเอาไว้ด้วย

“จะเอาเท่าไหร่?”   เสียงทุ้มพยายามถามออกไปอย่างใจเย็นทั้งๆที่สันกรามของเขานี่กัดกันกรอดๆ อยากจะชกหน้าหมอนี่ให้รู้แล้วรู้รอด

“สิบล้านหยวน”

“ไอ้!   มือใหญ่ที่พยายามควบคุมเอาไว้ตรงเข้ากระชากคอเสื้อปาปารัซซี่นั่นทันทีเมื่อได้ฟังราคา นี่มันคิดว่าเขาผลิตเงินใช้เองหรือไงวะ?!

“อี้ป๋อ! หยุด!   แต่แล้วจู่ๆก็มีมือมารั้งตัวเขาเอาไว้ เจ้ากระต่ายโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ หรือว่าจะแอบย่องตามเขามา?

เขามองใบหน้าใสนั่นด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง พอนึกขึ้นได้ว่าจะให้จ้านเกอเห็นรูปไม่ได้ก็ไม่ทันแล้ว ใบหน้ามนก้มลงไปมองภาพที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะไปแล้ว

“นี่มัน...”   ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นถึงกับนิ่งค้าง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างกังวลทันที

“พี่...พี่ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะจ่ายเงินให้หมอนี่เอง เรื่องนี้จะไม่มีใครรู้”   มือใหญ่หันไปจับไหล่บางเอาไว้ เขาพยายามพูดให้อีกฝ่ายหายช็อค จะสิบหรือยี่สิบล้านหยวนเขาก็ควักจ่ายได้ตรงนี้เลย

ใบหน้าคมตวัดไปมองใบหน้ารกครึ้มด้วยหนวดเคราของไอ้ปาปารัซซี่นั่น มันยังจะยิ้มเย้ยเขา มือใหญ่สั่นระริกแต่ก็จำต้องสะกดทุกความโมโหเอาไว้ ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องเจรจากับมันอย่างใจเย็น

“....”     แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรกับหมอนั่น ฝ่ามือบางกลับจับแขนเขาเอาไว้

“จ้านเกอ?”   เขาช้อนใบหน้ามองใบหน้ามนที่ฉาบไล้ด้วยความมืดอยู่ครึ่งหนึ่ง จู่ๆดวงตาสุกใสของเจ้ากระต่ายก็ดูเย็นเยียบขึ้นมา

“ฉันจัดการเอง”   เสียงนุ่มเอ่ยบอกเขาก่อนที่ร่างโปร่งบางจะตรงเข้าไปหาปาปารัซซี่นั่น เขาได้แต่มองดูด้วยความมึนงง เขาเองรบรากับไอ้บ้านั่นมาเป็นปีๆยังจัดการกับมันไม่ได้ แล้วเจ้ากระต่ายจะไปทำอีท่าไหน

ดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่ยืนเผชิญหน้ากับปาปารัซซี่นั่นอย่างไม่หวั่นเกรง ริมฝีปากสีระเรื่อพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนิ่งและจริงจังอย่างที่เขาไม่เคยเห็น

“คุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร? ผมไม่ใช่นายแบบหรือนักร้องอย่างที่คุณเข้าใจ ผมเป็นวิศวกรตัวท็อปของเฟอร์รารี่”   เขาถึงกับอ้าปากค้างเมื่อจู่ๆเจ้ากระต่ายก็ไปบอกทุกอย่างกับอีกฝ่ายมันดื้อๆ ทั้งๆที่เขาพยายามปิดบังแทบตายเนี่ยนะ?

“ถ้าคุณเอารูปพวกนี้ไปเรียกเงินจากเฟอร์รารี่ คุณจะได้เงินมากกว่าที่มาเรียกจากหวังอี้ป๋อสิบเท่า”   แล้วมือบางก็โยนนามบัตรใบหนึ่งลงไปบนโต๊ะ จ้านเกอลากเขาออกมาจากตรงนั้นโดยไม่สนใจจะเก็บรูปพวกนั้นด้วยซ้ำ

ปาปารัซซี่มองสองคนที่เดินจากไปอย่างอึ้งๆ มือหยาบกร้านหยิบนามบัตรใบนั้นขึ้นมาดู

และชื่อเดียวที่เด่นหราอยู่บนนั้นก็คือ




เอลวิน สมิธ
Scuderia Ferrari Team Principal







.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.




Cape Woolamai & The Pinnacles จริงๆไม่ให้เอารถขึ้นไปนาคะ มีแต่ในนิยายเท่านั้นแหละที่ทำได้ 555+

ฮือออ เวลาแต่ง GLIDE มันสนุกตรงนี้แหละ เหมือนได้เที่ยวไปรอบโลกด้วยเลย เพราะทั้ง F1และ Moto GP ต่างก็ตระเวนแข่งไปทั่วโลก ตอนแต่งของภาคก่อนๆก็จะรู้จักแค่ 21สนาม 21ประเทศ 21เมือง แต่พอมาแต่งภาคนี้ก็ทำให้ได้รู้จักเมืองอื่นๆเพิ่มมาอีก >////<b

วันนี้มีเพลย์ลิสมาแนะนำค่ะ 555 จริงๆมันคือเพลงแรงบันดาลใจที่มักจะเปิดฟังตอนแต่งเรื่องนี้อ่ะนะ  จิ้ม >> GLIDE Music Inspiration

สะสมมาตั้งแต่ภาคแรกรวมภาคพิเศษทั้งหลายแหล่เลยเยอะหน่อย ^ ^ เพลงหลักๆที่เป็นให้เธอแล้วทุกภาคก็คือเพลง GLIDE กับ PLEDGE ค่ะ  เพลง GLIDE นี่ก็อย่างที่เห็น เป็นตั้งแต่ชื่อเรื่องยันธีมของเนื้อเรื่องเลยค่ะเพลงนี้555+


…Fushigi na mahou kakete…yogoreta doresu kisete….
[ฉันจะเสกเวทมนต์ที่ลึกลับ...และเสื้ออันแสนสกปรกสวมใส่ให้กับเธอ…]


ดูเหมือนจะทำให้แปดเปื้อนยังไงก็ไม่รู้ >////< แต่มันก็ดูดาร์ก ลึกลับ เจ้าเล่ห์ อีโรติก แต่ก็เท่ห์บัดโซบเลย พระเอกของฟิคเรื่องนี้ทุกภาคคือใช้เพลงนี้ได้หมด 5555+

ขอบคุณทุกๆการติดตามนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้า~




1 ความคิดเห็น: