อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] JUNE : 10


อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  JUNE : 10

: อี้จ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Warmhearted Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
          





เสียงเพลงคลาสสิคดังคลอบริเวณห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมที่หรูหราที่สุดในเมือง แขกเหรื่อระดับวีไอพีของงานเลี้ยงบอร์ดบริหารโรงเรียนเอกชนชื่อดังค่อยๆเริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะเป็นแค่งานเลี้ยงประจำปีของโรงเรียนแต่ศิษย์เก่าที่ถูกเชิญมาก็มีแต่ระดับมหาเศรษฐีและผู้มีอิทธิพล เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเสื้อผ้าหน้าผมจึงจัดมาประชันกันเต็มที่ จะเห็นสตรีสูงศักดิ์สวมชุดราตรีลากยาวกันเต็มงานหรือท่านชายในสูทสุดหรูเดินกันขวั่กไขว่ก็ไม่แปลก

“ยังดีนะที่นายมาด้วย ใครจะไปคิดว่าหวังอี้ป๋อจะหักหลังกันวินาทีสุดท้ายแบบนี้!”   เด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวของทีม Fire Dragon พูดกับเด็กหนุ่มผมสีบรอนด์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เด็กสาวห่อไหล่เพราะไม่ชินกับชุดเดรสสั้นฟูฟ่องที่สวมอยู่ เพชรพลอยวิบวับที่สะท้อนมาจากคอของคนที่เดินผ่านไปมายิ่งทำให้เธออยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

“หักหลัง? หมอนั่นแค่บอกให้พวกเรามาก่อนไม่ใช่เหรอ?”   จางมี่ถงหันไปคุยกับเด็กสาวก่อนที่ใบหน้านิ่งจะหันกลับมามองคนที่เดินอยู่ในงานด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

“เฮ่อะ ให้พวกเรามาก่อนเพราะตัวเองถูกเซียวจ้านเรียกไปเนี่ยนะ ไม่เรียกว่าหักหลังแล้วจะเรียกว่าอะไร?!”   ใบหน้าได้รูปหันไปยิ้มแห้งๆให้เด็กสาวที่เริ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ก็จริงที่พวกเขาสองคนเหมือนมาอยู่ผิดที่ผิดทาง คนธรรมดาดูยังไงก็ต่างจากพวกคนมีเงินจริงๆนั่นแหละ ขนาดพวกเขาหลบออกมานั่งอยู่ในสวนก็ยังรู้สึกแปลกแยกอยู่ดี ใบหน้าได้รูปเหม่อมองไปรอบๆงานจนสายตาไปสะดุดกับรถลีมูซีนคันหนึ่งซึ่งกำลังแล่นเข้ามาหน้าโรงแรมช้าๆ

ลีมูซีนสีบอร์นเงินคันใหญ่ค่อยๆวนรอบน้ำพุก่อนจะมาจอดลงที่หน้าทางเข้างานเลี้ยงและแค่ประตูรถเปิดออกมาก็เรียกสายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ในสวนให้หันไปมอง เสียงฮือฮายังดังต่อไปให้คนที่อยู่ในตัวอาคารมองผ่านหน้าต่างกระจกมาอย่างสนใจ ว่าใครกันที่เปิดตัวราวกับเจ้าชายแบบนี้

“หวังอี้ป๋อ~

“นั่นหวังอี้ป๋อไม่ใช่เหรอ?”

เสียงเด็กสาวในโรงเรียนที่ฐานะดีพอจะมางานเลี้ยงนี้ได้ดังอยู่รอบๆและต่างก็เรียกชื่อเด็กหนุ่มที่ลงมายืนอยู่ข้างรถราวกับกำลังเพ้อฝัน เด็กหนุ่มคนนั้นสวมสูทสีเทาเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีตพอดีตัว ยิ่งเมื่อสวมอยู่บนหุ่นราวกับนายแบบของเด็กหนุ่มก็ยิ่งทำให้ดูดีขึ้นไปอีกหลายเท่า ผมสีน้ำตาลเข้มก็ถูกเซตมาอย่างดี จะบอกว่านี่เป็นทายาทมหาเศรษฐีก็มีแต่คนเชื่อ

ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองรอบกายด้วยสายตาเย็นชา ทว่ากลับเป็นเสน่ห์ที่ฆ่าคนมองได้ราบคาบ เสียงเด็กสาวกรีดร้องเบาๆก่อนจะหันไปกรี๊ดใส่กัน แต่ต้องกรี๊ดหนักกว่าเก่าเมื่อร่างสูงชะลูดนั่นก้มลงไปแล้วผายมือรับใครอีกคนที่กำลังจะลงจากรถ  สายตาที่มองทุกอย่างด้วยความเย็นชากลับอ่อนโยนยามเมื่อมองเข้าไปในลีมูซีนคันนั้น

มือบางของใครบางคนยื่นออกมาก่อนจะจับมือใหญ่เอาไว้ และเมื่อร่างในชุดสูทเข้ารูปสีเทาเงินคนนั้นก้าวขาตามลงมาจากรถ เสียงฮือฮาก็ดังหนักกว่าเก่าเป็นเท่าตัว

“เดี๋ยวนะ...หวังอี้ป๋อ...มากับเซียวจ้าน!!”  

“นั่นรุ่นพี่เซียวจ้านนี่? ทำไมมากับหวังอี้ป๋อ?”

ไม่ใช่แค่เสียงฮือฮาเท่านั้น เสียงชัตเตอร์จากกล้องมือถือเองก็ดังรัวๆเช่นกัน เด็กหนุ่มสองคนที่เดินเคียงข้างเข้ามาในงานนั้นมีรูปลักษณ์ราวกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ทั้งคู่ คนหนึ่งหล่อเหลาดูเย็นชา ส่วนอีกคนถึงจะดูอ่อนโยนกว่าแต่ใบหน้าหวานๆนั่นก็ไม่ได้ยิ้มให้ใคร ทั้งสองจึงกลายเป็นจุดเด่นอย่างช่วยไม่ได้

แม้แต่พวกผู้ใหญ่ในงานยังหันมามอง คุณชายน้อยตระกูลเซียวนั้นเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วแต่อีกหนึ่งหนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆเป็นใคร บางคนถึงกับหยิบมือถือขึ้นมาค้นข้อมูลกันให้ควั่ก หลายคนก็ประหลาดใจที่คุณชายเซียวไม่ได้มาพร้อมกับนายหญิงของเซียวกรุ๊ปผู้เป็นแม่อย่างทุกปี แล้วก็ต้องยิ่งประหลาดใจหนักกว่าเมื่อคุณชายเซียวไม่แม้แต่จะไปนั่งโซฟาเดียวกับพวกเพื่อนๆแก๊งเจ้าชาย แต่กลับพาเด็กหนุ่มนิรนามคนนั้นแยกไปนั่งอีกฝั่ง

“อยู่ข้างๆฉัน”   เจ้าเหมียวหันมาบอกเบาๆเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในงานท่ามกลางแสงแฟลชที่กระพริบยิ่งกว่าดวงดาวทั้งจักรวาล

“อืม”   เขาขยับใบหน้าไปกระซิบบอกข้างใบหูบางในขณะที่เลือกนั่งลงบนโซฟาชุดหนึ่ง ถึงจะแปลกใจอยู่บ้างที่เจ้าเหมียวไม่ไปนั่งกับเพื่อนๆในแก๊งเจ้าชายแต่กลับเลือกมานั่งกับเขาตามลำพัง

“นอกจากตอนขึ้นไปขอบคุณสปอนเซอร์ นายต้องอยู่ข้างๆฉันตลอด เข้าใจไหม?”   ใบหน้ามนหันมาบอกด้วยสีหน้าจริงจัง เขาก็ไม่รู้อะไรเข้าสิงเจ้าเหมียวอยู่หรอกนะ แต่พอได้มองความหรูหราและสายตาของพวกไฮโซที่อยู่รอบๆตัวตอนนี้ การที่เจ้าเหมียวจับเขาไปแต่งตัว แต่งหน้าทำผมให้ แถมยังให้มาพร้อมกันด้วยลีมูซีนคันนั้น มันทำให้เขาไม่โดนดูถูก ไม่กลายเป็นตัวตลก ถึงจะเป็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอกแต่เจ้าเหมียวอาจจะอยากบอกให้ใครๆรู้ว่าเขาเหมาะสมที่จะคบหากับคนอย่างคุณชายเซียวก็ได้

“ครับ”   เขาส่งยิ้มกวนๆให้ก่อนจะหยิบแก้วน้ำผลไม้ที่บริกรนำมาเสิร์ฟ เขาเอนตัวพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ เป็นเพราะรู้ตัวอยู่ตลอดว่าเขาเป็นใครและไม่ได้คิดจะเอาตัวเองไปเทียบกับคนพวกนี้ แต่บางทีภาพลักษณ์ก็สำคัญ มันทำให้อะไรหลายๆอย่างง่ายขึ้นข้อนี้เขาเข้าใจดี เพราะงั้นเจ้าเหมียวอยากให้เขาทำอะไรเขาก็จะทำ

“วันนี้เธอดูดีมาก หวังอี้ป๋อ”   เสียงคุ้นหูทำให้เขาเงยหน้าขึ้นไปดูแล้วก็พบว่าอาจารย์คนที่หาสปอนเซอร์มาให้กำลังยืนชื่นชมอยู่ตรงหน้า

“ขอบคุณครับ”   ร่างสูงชะลูดลุกขึ้นโค้งให้อย่างมีมารยาท ส่วนเจ้าเหมียวยังนั่งจิบชามองตาไม่กระพริบอยู่บนโซฟา

“ไปกันเถอะ เราต้องนัดแนะกันหน่อยก่อนขึ้นไปขอบคุณสปอนเซอร์ เพื่อนเธออีกสองคนรออยู่ที่หลังเวที เพราะผู้ใหญ่หลายคนเห็นเธอแล้วถูกใจมากเลยอยากให้ทีมของพวกเธอเต้นให้ดู ครูว่าเป็นโอกาสที่ดีนะ เผื่อจะได้สปอนเซอร์เพิ่ม”   แล้วเรื่องที่อาจารย์บอกมาก็ทำให้ใบหน้าคมก้มลงไปมองตัวเองที่ใส่สูทเต็มยศ

“เต้นทั้งชุดนี้เนี่ยนะครับ?”   เขาไม่คิดว่าจะต้องเต้นเลยไม่ได้เตรียมชุดมาเปลี่ยน อาจารย์เองก็ยิ้มแห้งไปเมื่อมองเห็นความเป็นจริง แต่จู่ๆคนที่นั่งจิบชาอยู่ที่โซฟากลับเอ่ยขึ้นมา

“....เต้นทั้งชุดสูท ฉันว่าก็เท่ห์ดีนะ”   เขาถึงกับหันหน้าไปมองเจ้าเหมียวที่พยักหน้าให้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆเขาก็คิดว่ามันน่าจะเท่ห์ดีอย่างที่เจ้าเหมียวบอกจริงๆ

“งั้นก็ได้ครับ”   ใบหน้าหล่อเหลาหันไปบอกอาจารย์ที่ดีใจจนยิ้มกว้าง อีกฝ่ายรีบชักชวนเขาไปหลังเวที ร่างโปร่งบางของเจ้าเหมียวจึงลุกขึ้น

“ฉันไปด้วย”   เจ้าเหมียวตามมาหลังเวทีด้วยซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาเจอกับเจ๊ลิลลี่ที่มีท่าทางตื่นเต้นกับจางมี่ถงรุ่นพี่ในทีมที่เขาไม่ค่อยสนิทใจด้วยเท่าไหร่

“หวังอี้ป๋อ! วันนี้นายเฉียบมาก! ฉันให้อภัยที่นายหักหลังฉันก็ได้แต่นายต้องหาเงินสปอนเซอร์มาอีกเยอะๆนะเข้าใจไหม?!  เด็กสาวยกมือตบไหล่ทักทายร่างสูงที่เปล่งออร่าราวกับเจ้าชายทันทีที่อีกฝ่ายเดินมาถึง ก่อนที่หญิงสาวหนึ่งเดียวของทีมสตรีทแดนซ์จะหันไปค่อมหัวให้ร่างโปร่งบางหนึ่งในแก๊งเจ้าชายที่เดินตามมาด้วยแทนการทักทาย

“ผม?”   หวังอี้ป๋อชี้หน้าตัวเองแบบงงๆเพราะเจ๊ลิลลี่พูดเหมือนกับตัวเองจะไม่ขึ้นไปเต้นด้วย เด็กสาวจึงได้แต่ถอนหายใจ

“นายดูสารรูปชั้น จะขึ้นไปเต้นได้ไงเล่า~ นายไปกับมี่ถงสองคนก็แล้วกัน”   อ่อ...น้องเล็กประจำทีมเพิ่งเห็นว่ารุ่นพี่สาวใส่ชุดเดรสมาคงไม่เหมาะเท่าไหร่ถ้าจะให้ออกไปเต้นสตรีทแดนซ์  ใบหน้าคมจึงหันไปพยักหน้าให้รุ่นพี่อีกคนที่ต้องขึ้นไปเต้นด้วยกัน

“ลองซ้อมซักรอบแล้วกัน พวกนายไม่เคยเต้นด้วยกันสองคนนี่”   เจ๊ลิลลี่หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิด ปกติแล้วพวกเขาเต้นเป็นทีม ตำแหน่งการยืนยามเมื่อเหลือเพียงสองคนจึงต้องมีการซักซ้อมใหม่เพื่อไม่ให้ชนกัน

เสียงเพลงฮิปฮอปเปิดคลอเบาๆ เด็กหนุ่มในชุดสูทเข้ารูปสองคนกำลังเต้นแบบสตรีทแดนซ์ทำให้ดูแปลกตาทีเดียว ทว่า มันกลับเท่ห์มากจนใครมองก็ต้องใจสั่นแน่ๆ เด็กสาวยืนดูเพื่อนในทีมด้วยความรู้สึกทึ่งๆ หวังอี้ป๋อนั้นมีการจัดร่างกายและมูฟเม้นต์ที่ดีเยี่ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะขยับไปไหน ใส่ท่าเต้นยังไงก็ดูเท่ห์ดูมีเสน่ห์ไปหมด ส่วนจางมี่ถงเองถึงแม้จะดูเฉยชาไปบ้างแต่ใบหน้าที่ไม่แสดงออกอะไรนั่นกลับดูดีมากทีเดียว คนหนึ่งแข็งแรง คนหนึ่งให้ความรู้สึกเย้ายวน เธอเพิ่งรู้ว่าเวลาสองคนนี้เต้นด้วยกันแล้วมันลงตัวมาก

เมื่อเสียงเพลงจบลง เด็กหนุ่มทั้งคู่ที่จบด้วยท่าหันหลังชนกันก็ยืนหอบน้อยๆ เด็กสาวจึงปรบมือให้การเต้นที่แสนเพอร์เฟคนั่น จางมี่ถงหันมายิ้มจางๆต่างจากหวังอี้ป๋อที่ไม่หันมองรุ่นพี่อย่างเธอเลย...ซึ่งนั่นนับเป็นเรื่องปกติของเจ้าเด็กไม่สนใจใครคนนั้น แต่วันนี้มันต่างจากทุกทีจนแม้แต่เธอยังสังเกตได้  ก็ตลอดเวลาที่เต้นรวมถึงตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาของหวังอี้ป๋อก็เอาแต่หันไปยิ้มทะเล้นๆให้ร่างโปร่งบางที่นั่งดูอยู่ไม่ไกลน่ะสิ...

แล้วเซียวจ้านเอง...ก็ยิ้มตอบกลับมาเหมือนกัน

มันเป็นรอยยิ้มที่หวานมาก...จะมีสักกี่คนที่ได้รับรอยยิ้มจากดอกไม้งามแห่งแก๊งเจ้าชายแบบนี้

หวังอี้ป๋อกับเซียวจ้านไม่ได้เป็นแค่เพื่อนหรือนับถือกันแบบพี่น้องแน่ๆ เพราะการที่เซียวจ้านมานั่งเฝ้าหวังอี้ป๋อมันให้ความรู้สึกเหมือนกับเด็กสาวมาตามเฝ้าแฟนหนุ่มไม่มีผิด...

ฉางไป่เหอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสูดลมหายใจ บางที่ในร่างกายรู้สึกเจ็บแปล๊บๆแต่ก็จะให้ทำอย่างไรได้ ถึงเธอจะแอบมองแอบชื่นชมอีกฝ่ายมานานแต่ก็รู้ดีว่านั่นมันคือสเปคที่เอื้อมไม่ถึง เจ้าชายที่จะตกหลุมรักเด็กสาวธรรมดาๆมีแต่ในนิยายเท่านั้นแหละ ที่เธอได้เข้าใกล้อีกฝ่ายมากขนาดนี้ก็เพราะหวังอี้ป๋อทั้งนั้น

เธอลอบมองร่างสูงสง่าของหวังอี้ป๋อ ต่อให้ตอนนี้เด็กนั่นจะยังเป็นแค่คนธรรมดาๆแต่เธอเชื่อว่าหวังอี้ป๋อยังมีอนาคตอีกไกลและคงทำให้ตัวเองเหมาะสมกับคนอย่างคุณชายเซียวได้แน่ๆ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็แพ้...

“พวกเธอเตรียมตัวกันเสร็จรึยัง?”   กรรมการการจัดงานโผล่หน้าเข้ามาตามทำให้เด็กสาวหลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเอง

“อี้ป๋อ มี่ถง ฝากด้วย!”   เสียงสดใสตะโกนให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีม

“หื๋อ? ในลิสรายการกำหนดให้หวังอี้ป๋อขึ้นไปเต้นคนเดียวนะ? แล้วก็ให้ขอบคุณสปอนเซอร์คนเดียวพอ”   แต่แล้วเรื่องที่กรรมการการจัดงานบอกก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องหนักอึ้งอึดอัดขึ้นทันที ทั้งสามคนต่างหันมองหน้ากัน

“แต่ว่า”   เจ๊ลิลลี่เตรียมจะเถียง

“ขึ้นไปสแตนบายได้แล้ว ไม่มีเวลาแล้ว”   แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือปัด นี่ไม่ใช่งานในโรงเรียนแต่เป็นงานเลี้ยงที่มีผู้หลักผู้ใหญ่มามากมาย พวกเธอไม่อาจจะโต้เถียงอะไรได้จึงจำต้องฝืนพยักหน้าให้หวังอี้ป๋อขึ้นไปเพียงคนเดียว

เด็กหนุ่มน้องเล็กของทีมพยักหน้ารับ ดวงตาคมกล้าเหลือบมองรุ่นพี่ที่ควรจะได้ขึ้นไปด้วยกันอย่างไร้คำพูด ใบหน้าภายในกรอบผมสีบรอนด์ดูจะอึ้งๆไปก่อนจะยิ้มจางๆพลางส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร

“ฉันไปรออยู่ข้างหน้านะ”   ใบหน้าน่ารักของเจ้าเหมียวเอ่ยบอกในขณะที่ร่างโปร่งบางเองก็ขยับเข้ามาใกล้ เจ้าเหมียวคงจะรู้ว่าเขาไม่สบายใจ ดวงตาคู่สวยจึงจ้องมองเขาราวกับจะบอกว่าเชื่อในตัวเขา จะมองแต่เขา ทำให้ดี...

จู่ๆทั้งร่างกายของเขาก็มีแต่ความมั่นใจขึ้นมา

เขาสลัดทุกความรู้สึกออกไปหลงเหลือไว้เพียงพลังที่เจ้าเหมียวส่งมาให้ ดวงตาลุ่มลึกจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมโต ใบหน้าคมขยับผ่านใบหน้ามนอย่างเชื่องช้า สายตายังคงสบประสานซึ่งกันและกัน ถึงแม้ริมฝีปากจะไม่ได้แนบสัมผัส แต่กลับรับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย  เขาเหลือบตามองกลีบปากสีชมพูระเรื่อก่อนจะพูดออกไปเบาๆ

“ไปนะ”  บรรยากาศหวานๆแผ่ออกมาห่อหุ้มร่างกาย ก่อนที่แผ่นหลังกว้างจะค่อยๆหายไปบนเวที ทายาทของเซียวกรุ๊ปจึงไม่มีธุระอะไรกับที่นี่อีก ร่างโปร่งเดินกลับไปหน้าเวที ภายในห้องจึงเหลือเพียงสมาชิกของทีมFire dragonสองคน

เด็กสาวนั้นพุ่งไปเกาะขอบหลังเวทีเพื่อลุ้นหวังอี้ป๋อ ส่วนอีกคน...กลับกำลังมองตามแผ่นหลังกว้างนั่นไปด้วยแววตาที่มีแต่ความมืด...









เพลงที่เคยใช้เต้นตอนงานวัฒนธรรมของโรงเรียนดังขึ้นและทุกสายตาก็หันไปจับจ้องที่เวทีโดยพร้อมเพรียง ถึงแม้จะไม่มีเสียงกรี๊ดเพราะเป็นงานของผู้ใหญ่แต่ยามเมื่อเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่กลางเวทีขยับร่างกายกลับสะกดสายตาจนเสียงพูดคุยที่เคยมีมาพากันเงียบสนิท ท่วงท่าที่พลิ้วไหวแต่ก็แข็งแรงนั้นดูแปลกตาเมื่อเด็กหนุ่มเต้นทั้งชุดสูท พวกผู้ใหญ่ในงานเคยเห็นแต่คนใส่ชุดแบบนี้เต้นรำลีลาศ แต่พอมาเต้นแบบสมัยใหม่และยิ่งเป็นการเต้นของหวังอี้ป๋อ ใครต่อใครจึงอดรู้สึกว่ามันเท่ห์มากๆไม่ได้

ร่างโปร่งบางยืนมองคนของตัวเองด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ เจ้าโฮ่งนั่นมีการจัดระเบียบร่างกายที่ดีมากจริงๆ ยิ่งบวกกับสูทที่เขาเลือกให้ ใบหน้านิ่งๆภายใต้กรอบผมที่เขาเซตให้ รับรองว่าไม่มีใครในงานนี้เทียบได้อีกแล้ว

“ไม่นึกว่าจะเต้นทั้งสูทแล้วยังดูดีแบบนั้นได้ด้วย”   จู่ๆเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นพร้อมกับเงาร่างสูงใหญ่ที่ขยับมายืนอยู่ข้างๆ 

“หลี่จวิน?”  ใบหน้ามนหันไปมองเพื่อนสนิทที่วันนี้มาในสูทสีขาวดูทรงอำนาจราวกับราชนิกูล ไป๋หลี่จวินไม่ได้มองหน้าเขาแต่กลับมองไปที่เวทีด้วยรอยยิ้มเย็นๆ

“ถึงจะดูเหมือนเจ้าชาย แต่เด็กนั่นไม่มีอะไรเลยนะ แบบนั้นนายก็ยังยืนยันจะเลือกงั้นเหรอเจ้าตัวดี?”   เสียงทุ้มเอ่ยออกมาและคงมีแต่เขาที่ได้ยินเพราะรอบๆถูกเสียงเพลงกลบหมด เขามองตามสายตาของหลี่จวินไปก่อนจะหยุดลงที่หวังอี้ป๋อ...

“ใช่”   ใบหน้ามนตอบคำถามของเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงจริงจัง กับหลี่จวินเขาไม่มีอะไรต้องปิดบัง เพราะคนที่จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นก็คือหมอนี่

“เฮ้อ....”   ใบหน้าหล่อเหลาแสร้งทำเป็นถอนหายใจ และมันก็เรียกให้ดวงตาคู่สวยตวัดมามองอย่างดุดันได้สำเร็จ

“หลี่จวิน”  ไม่พอ เจ้ากระต่ายน้อยตัวดียังส่งเสียงขู่ตามมาอีก...คงจะชอบเจ้าเด็กหวังอี้ป๋อนั่นจริงๆสินะ? 

“รู้แล้วน่า...ถ้านายจะเอา...นายก็ต้องได้ ฉันรับประกัน”   เสียงทุ้มเอ่ยตอบก่อนจะย้ายสายตากลับไปมองคนที่เต้นอยู่บนเวที นายมันโชคร้ายจริงๆหวังอี้ป๋อที่ดันไปถูกใจเจ้ากระต่ายเอาแต่ใจนี่เข้า นายยังไม่รู้หรอกว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ทั้งๆที่เขาเตือนแล้วแท้ๆแต่เจ้าเด็กนั่นก็ไม่ฟัง

“ฉันจะเอา”   ใบหน้าหวานของเพื่อนสนิทยืนยันหนักแน่น ถึงมันจะดูเอาแต่ใจสมกับที่อีกฝ่ายเป็นคุณหนูจากตระกูลผู้ทรงอิทธิพลอย่างตระกูลเซียว แต่มันก็ทำให้ทายาทตระกูลไป๋ถึงกับยกยิ้มด้วยความถูกใจ...เขาชอบใบหน้าแบบนี้ของเซียวจ้านมากที่สุด...เพราะฉะนั้นย่อมได้...ถ้าหมอนี่จะเอา ไม่ว่าอะไรเขาก็จะหามาให้...และจะไม่มีใครมาแย่งหรือทำอะไรของที่เป็นของเซียวจ้านได้

เพราะเขาจะเป็นคนกำจัดคนพวกนั้นเอง

ในกลุ่มสามคนของพวกเขาที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เฉินจงอีจะเป็นคนที่คอยปกป้องเซียวจ้านจากทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนเขาก็คงจะเป็น...ผู้สมรู้ร่วมคิด? เพราะไม่ว่าจะเรื่องดีๆหรือเลวร้ายแค่ไหนถ้าเซียวจ้านจะทำจะเอา เขาก็คือคนที่คอยถางทางไว้ให้

เขาละสายตากลับไปมองเด็กหนุ่มที่เต้นอยู่บนเวที ใยแมงมุมบางๆกำลังค่อยๆรัดพันร่างกายที่พลิ้วไหว ถึงมันจะเป็นเส้นใยที่มองไม่เห็นแต่เด็กนั่นไม่มีวันดิ้นหลุดไปได้แน่ๆ...จะน่าดีใจหรือน่าสงสารกันนะ?

จากนี้ไป...นายจะไม่มีสิทธิ์หันมองใครได้อีกแล้ว หวังอี้ป๋อ











“เป็นไง? เท่ห์ไหม?”   พอลงจากเวทีได้น้องเล็กจากทีม Fire Dragon ก็ตรงดิ่งไปหาคนที่ยืนยิ้มรออยู่ข้างเวที เส้นผมชื้นเหงื่อยิ่งทำให้ใบหน้าคมดูเซ็กซี่ขึ้นไปอีก

“อื้ม”   เจ้าเหมียวอมยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้ ถึงจะเอ่ยคำชมเพียงสั้นๆแต่ดวงตาที่มองเขาด้วยแววเป็นประกายก็ทำให้เขายิ้มกว้างได้ไม่ยาก

“หิวแล้ว ไปกินอะไรกัน”   มือบางกระตุกแขนเสื้อเขาเบาๆก่อนจะเดินนำออกไป

อาหารในงานเป็นแบบค็อกเทลให้หยิบทานเอง ในขณะที่เขายังยืนงงอยู่ท่ามกลางชั้นวางอาหารยาวเหยียด เจ้าเหมียวก็ไปหยิบจานใบใหญ่มาเป็นที่เรียบร้อย

เขาเดินตามแผ่นหลังโปร่งบางที่กำลังหยิบนู่นหยิบนี่ อาหารฝรั่งพอดีคำถูกจัดวางตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เขาไม่ค่อยคุ้นกับงานเลี้ยงแบบนี้นักเพราะส่วนมากงานเลี้ยงแถวบ้านก็จะเป็นโต๊ะจีนคุยกันโล้งเล้ง ไอ้ที่จะมาหยิบทีละนิดละหน่อยแบบนี้แทบไม่เคยรู้จัก

“นายจะกินหมดนี่เลยเหรอเจ้าเหมียว?”   เขาชะโงกมองผ่านไหล่บาง จานที่เมื่อกี้ยังโล่งๆตอนนี้กลับมีอาหารอยู่เต็ม

“ของนายด้วยเจ้าโฮ่ง”   เจ้าเหมียวตอบโดยไม่มองหน้าเขาแต่ยังตั้งอกตั้งใจหยิบคานาเป้โรลกุ้งทอดซอสแอปเปิ้ลต่อไป เขามองอาหารในจานที่อย่างหนึ่งจะมีอย่างน้อยสองชิ้นขึ้นไป เขาแทบหุบยิ้มไม่ได้เมื่อรู้ว่าเจ้าเหมียวตั้งใจหยิบมาเผื่อเขาด้วย สักที่ในใจมันกำลังล้นทะลักไปด้วยความสุขจากความเอาใจใส่ที่เจ้าเหมียวมีให้

“นั่นอะไรอ่ะ?”   ถ้าอยู่บ้านเขาคงจะเอาคางเกยไหล่บอบบางนี่ไปแล้ว แต่เพราะอยู่ท่ามกลางสายตาคนมากมายเขาจึงต้องยกหน้าตัวเองให้อยู่ในระดับปกติ เจ้าเหมียวเหลือบมามองโดยมือยังหยิบเบคอนพันด้วยเห็ดเข็มทองราดน้ำอะไรซักอย่าง

“ชิมไหม?”   มือบางหยิบไม้เล็กๆที่จิ้มอาหารนั้นอยู่มาชูให้  เขาไม่ได้ยื่นมือไปรับแต่กลับยื่นหน้าไปงับเบคอนนั่นแทน มันเลยเหมือนเจ้าเหมียวกำลังป้อนเขาอยู่

“อร่อย”   เขาฉีกยิ้มให้คนที่ยู่หน้าใส่เขา

“ชอบเหรอ? กลับไปฉันทำให้กิน ฉันทำเป็น”   เจ้าเหมียวก้มลงไปมองเบคอนพันเห็ดเข็มทองอย่างเก็บรายละเอียด

“อื้ม ชอบ”   เขาตอบพลางอมยิ้ม

“งั้นนายชิมให้หมดนี่เลย แล้วบอกฉันว่าชอบอันไหน”   เจ้าเหมียวยัดจานใส่อาหารมาไว้ในมือเขาก่อนจะมองมาด้วยดวงตาวิ้งวับ ดูสนุกกับการทำอาหารให้เขากินจนเขาเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย

“ครับ”   ใบหน้าคมพยักรับก่อนจะหยิบอาหารแต่ละอย่างมากินโดยไม่สนใจเสียงเพลงที่เริ่มบรรเลงขึ้นเลย 

ฟลอเต้นรำเริ่มขึ้นแล้วแต่สองเจ้าชายซึ่งเป็นที่หมายตาของสาวๆทั้งงานกลับยืนทานอาหารอย่างไม่สนใจใคร เล่นเอาสาวใหญ่สาวน้อยยืนมองกันตาละห้อยเพราะไม่มีทีท่าว่าสองคนนั้นจะหันมาขอใครเต้นรำ บางทีพวกเธอก็ไม่เข้าใจว่าอาหารพวกนั้นมันน่าอร่อยกว่าพวกเธอหรือยังไงกัน? คุณชายน้อยตระกูลเซียวกับหวังอี้ป๋อถึงได้ชี้ชวนกันกินไม่หยุด









แชะ

เสียงชัตเตอร์กลืนหายไปกับเสียงเพลงจากรอบข้าง  จางมี่ถงมองภาพคนสองคนที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ถึงแม้เหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นเร็วจนคนอื่นๆอาจจะถ่ายรูปไม่ทัน แต่กับเขาที่เฝ้ามองคนทั้งคู่อยู่ตลอด ภาพที่เซียวจ้านกำลังจิ้มอาหารป้อนหวังอี้ป๋อจึงไม่อาจหลุดรอดจากการถูกแอบถ่ายของเขาไปได้

สายตาเย็นชาเหลือบมองภาพนั้นอีกครั้ง ปลายนิ้วตั้งใจเลื่อนไปที่โพสของเว็ปบอร์ดโรงเรียน

ทว่า...

ยังไม่ทันได้ทำอะไร โทรศัพท์มือถือของเขาก็ถูกมือใหญ่ๆของใครบางคนดึงออกไปเสียก่อน...

ใบหน้าได้รูปภายใต้กรอบผมสีบรอนด์หันไปมองเจ้าของมือนั่นทันที...ไป๋หลี่จวิน?

“เดี๋ยว! นายกำลังจะทำอะไร?!”   ใบหน้าที่เคยเฉยชาร้อนลนขึ้นมาทันทีเมื่อหนึ่งในแก๊งเจ้าชายผู้สูงส่งกำลังไล่ลบรูปในโทรศัพท์มือถือของเขาอย่างถือวิสาสะ ฝ่ามือที่เล็กกว่าพยายามแย่งโทรศัพท์ของตัวเองคืนแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออีกฝ่ายสูงกว่า แข็งแรงกว่า

ไม่นาน...รูปที่เขาสู้อุตส่าห์แอบถ่ายมาได้ก็ถูกลบจนเกลี้ยง...

ไป๋หลี่จวินโยนโทรศัพท์คืนให้ การกระทำที่ดูเหมือนมาเฟียมากกว่าเจ้าชายทำให้ใบหน้าได้รูปถึงกับกัดฟัน

“นายใช่ไหม คนที่โพสรูปของเซียวจ้านกับหวังอี้ป๋อจากโทรศัพท์มือถือของฉางไป่เหอ?”   แล้วจู่ๆสิ่งที่เสียงทุ้มพูดออกมาก็ทำให้เขาถึงกับหน้าตึง

“รูปอะไร? ฉันไม่รู้เรื่อง”   ริมฝีปากสีระเรื่อเอ่ยปฏิเสธโดยต้องรีบเรียกความเฉยชาให้กลับมาเคลือบบนใบหน้า ดวงตาเรียวสวยเสหลบสายตาคมกริบที่จ้องเขม็งมาที่เขา ไป๋หลี่จวินคงไม่คิดจะปล่อยเขาไปง่ายๆ มือใหญ่ยื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งมาตรงหน้าเขา ก่อนที่วีดีโอที่เล่นอยู่บนนั้นจะฟ้องทุกอย่างว่าเขาเป็นคนทำ...

มันเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด...ที่ชี้ชัดว่าเขาหยิบโทรศัพท์มือถือของเจ๊ลิลลี่ไปใช้จริงๆ...

จางมี่ถงถึงกับเถียงไม่ออกจึงคิดจะเดินหนี แต่คุณชายไป๋ก็รู้ทัน มือใหญ่คว้าข้อมือที่เล็กกว่าก่อนจะบีบไว้จนแน่น ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้าไปใกล้ๆใบหน้าได้รูปก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงข่มขู่

“นายจะทำร้ายใครฉันไม่สนหรอกนะ แต่คนคนนั้นต้องไม่ใช่เซียวจ้าน”   ใบหน้าได้รูปตวัดสายตาจ้องกลับไปอย่างดื้อดึง เขาสะบัดมือที่ถูกจับกุมแล้วเดินออกไป เก็บความขุ่นเคืองเอาไว้ในใจ อะไรๆก็หวังอี้ป๋อ อะไรๆก็เซียวจ้าน ไม่มีคนอื่นอยู่ในโลกนี้แล้วหรือยังไง?!











“อิ่มหรือยัง?”   เจ้าเหมียวหันมาถามหลังจากที่ถ่ายรูปอาหารไปล้านแปด

“อิ่มแล้ว”   เขาตอบกลับในขณะที่โดนบังคับให้กินอาหารไปล้านแปดเช่นกัน ตอนนี้หนังท้องของหวังอี้ป๋อกำลังตึงแบบสุดๆ

“งั้นก็กลับกัน”   เจ้าเหมียวเก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อสูทโดยไม่สนใจเสียงเพลงเต้นรำ ตลอดทางที่พวกเขาเดินผ่านก็มีงานสายตาของเหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ที่หากทำได้ก็คงจะพุ่งมาขวางขอพวกเขาเต้นรำเสียเองแน่ๆ

พวกเขาเดินผ่านสวนและอีกไม่กี่เมตรก็กำลังจะถึงบริเวณที่รถจะมาจอดรอรับ ทว่า เจ้าเหมียวกลับยกมือขึ้นห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน ดูเหมือนเจ้าเหมียวจะมองเห็นอะไรบางอย่าง

“...?”   เขามองตามสายตาของเจ้าเหมียวไป รถที่มาจอดรออยู่กลับไม่ใช่ลีมูซีนคันเดิมแต่เป็นโรลส์-รอยซ์สีดำสนิทคันหนึ่ง สิ่งที่ทำให้ขาเขาถึงกับชะงักก็คือบอร์ดี้การ์ดนับสิบที่ยืนล้อมรถคันนั้นเอาไว้ เขาไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร รู้แต่ว่าน่าจะรวยมาก มีอำนาจมาก มีอิทธิพลมาก แล้วก็อันตรายมาก

“นายรอฉันอยู่นี่ก่อน”   เจ้าเหมียวเอ่ยบอก ดวงตาคู่สวยมองตรงไปที่รถคันนั้นด้วยสายตาดุดันแต่ก็คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด...เจ้าเหมียวน่าจะรู้จักคนในรถคันนั้นดี?

ร่างโปร่งบางเดินตรงไปที่โรลส์-รอยซ์สีดำอย่างไม่กลัวเกรง เขาได้แต่ยืนมองจากที่ไกลๆ กระจกรถค่อยๆเลื่อนเปิดลงมาและใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็ค่อยๆเผยสู่สายตาของเขา ถึงจะเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังสวยมาก ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มไว้อย่างดีมีความคล้ายเจ้าเหมียวอยู่หลายส่วน แต่บรรยากาศกลับไม่เหมือนเจ้าเหมียวเลย ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทั้งความอ่อนโยนหรือรอยยิ้ม แต่สิ่งที่แผ่ออกมากลับเป็นความทรงอำนาจราวกับราชินี

หรือว่านั่นจะเป็น....

“หม่าม้า...”   ใบหน้ามนเอ่ยเรียกคนที่อยู่ในรถ ดวงตาเรียวสวยตวัดมองผู้เป็นลูกชายก่อนที่ริมฝีปากซึ่งเคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีแดงสดจะเอ่ยออกมา

“เมื่อไหร่จะเลิกหนีออกจากบ้าน?”   ริมฝีปากสีระเรื่อถึงกับเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตาคู่สวยมองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาดื้อดึง

“ถึงผมไม่กลับ ม้าก็ให้คนมาตามเฝ้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”   มีหรือเขาจะไม่รู้ว่ารอบๆตัวเขามีบอร์ดี้การ์ดแอบแฝงอยู่ เขาถึงได้ใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจเชิบแบบนี้ อีกอย่าง ต่อให้หนีไปที่ไหนเขาก็ไม่มีวันหนีอิทธิพลของตระกูลเซียวพ้น แม่ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่

“รู้ก็ดี...ว่าแกไม่มีวันหนีฉันพ้น ส่วนเจ้าคนที่ฉันให้ไปคอยดูแกน่ะ ฉันจะไล่มันออก เพราะมันรายงานฉันไม่หมด...”   แล้วดวงตาคมกริบก็กรีดมองไปยังหวังอี้ป๋อที่ยืนรออยู่ไกลๆ

“เจ้าเด็กนั่นสินะ ที่ทำให้แกไม่ยอมกลับบ้าน”   หัวใจดวงน้อยแทบหล่นวูบทันที จะให้แม่มายุ่งวุ่นวายกับเจ้าโฮ่งไม่ได้

“ไม่เกี่ยวกับเค้า! ม้าก็รู้ดีว่ามันเพราะอะไร ถ้าม้าไม่หยุด ผมก็ไม่กลับ ผมไม่อยากอยู่ใกล้คนที่ทำให้โรงพยาบาลของพ่อต้องแปดเปื้อน”   ใบหน้ามนเอ่ยปฏิเสธอย่างร้อนลนก่อนจะพยายามเมินใส่ผู้เป็นแม่ มันเป็นเรื่องจริงที่เขาหนีออกจากบ้านเพราะรู้เรื่องที่แม่ทำไว้และเขาก็รับไม่ได้ เขาโกรธ เขาไม่พอใจ และแม่ก็รู้ดีจึงไม่ได้บังคับให้เขากลับบ้านทันทีอย่างที่ควรจะเป็น

“หึ...เมื่อไหร่แกจะโตซักทีอาจ้าน...แล้วแกจะได้รู้...ว่าฉันทำอะไรได้บ้างเพื่อให้แกกลับมาอยู่ในมือฉัน”   ดวงตาคมกริบตวัดมามองหน้าเขาอีกครั้งก่อนจะหันไปสั่งคนขับรถ

“ออกรถ” 

โรลส์-รอยซ์สีดำเคลื่อนผ่านหน้าไปตามด้วยรถของบอร์ดี้การ์ดอีกหลายคัน ร่างโปร่งบางได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น มือบางถึงกับกำแน่น...ตอนนี้แม่รู้ถึงการมีอยู่ของเจ้าโฮ่งแล้วสินะ...แต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมปล่อยอีกฝ่ายไปหรอก เขาต้องรู้และต้องเตรียมรับมือเอาไว้แล้วตั้งแต่วันที่ตัดสินใจจะเลือกหวังอี้ป๋อ เขาเกิดและเติบโตมายังไง อะไรที่อันตรายที่สุดมีหรือเขาจะไม่รู้ ต่อให้เขาจะทำอะไรเพื่อโลกใบนี้ไม่ได้เลยแต่แค่เจ้าโฮ่งคนเดียวเขาปกป้องได้ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนที่เขารักถูกทำร้ายอย่างแน่นอน

“แม่นายนี่...น่ากลัวชะมัด...”   เสียงแซวที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เขาหลุดจากภวังค์ เจ้าโฮ่งขยับมายืนใกล้ๆทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง

“ดูเค้าหวงนายมากเลยนะ? ไป๋หลี่จวินก็เคยเตือนฉันแต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้”   ใบหน้าคมเงยมองตรงที่ที่โรลส์-รอยซ์สีดำเคยจอดอยู่ บรรยากาศเมื่อกี้มันหนักอึ้งและกดดันจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนนายหญิงของพวกมาเฟียมากกว่านักธุรกิจธรรมดาๆเสียอีก

“สำหรับแม่...ฉันก็เป็นแค่ตุ๊กตาตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ”   น่ารักขนาดนี้แถมขี้โรค แม่จะหวงก็คงไม่แปลก  เขาทอดสายตามองเจ้าเหมียวที่มีใบหน้าหมองลง เจ้าเหมียวไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านหรือเรื่องของแม่ให้ฟังเลย การพบกันครั้งนี้จึงเหนือความคาดหมายของเขามาก เขาเพิ่งรู้ว่าที่บ้านของเจ้าเหมียวมีอิทธิพลมากขนาดนี้ แล้วก็เพิ่งรู้ว่าเจ้าเหมียวมีปัญหากับที่บ้านถึงได้หนีออกมา ไม่ใช่ย้ายเพื่อให้ใกล้โรงเรียน

“คนเรานี่ก็ไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีเลยเนอะ หลายๆคนก็อยากเป็นเหมือนฉัน มีเงินใช้ มีอาหารดีๆ มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ ถึงแม้ว่าจะต้องเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง...แต่ฉันน่ะ กลับอยากโบยบินออกไป ใช้ชีวิตง่ายๆธรรมดาๆมากกว่า”   เจ้าเหมียวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิด เขาเองก็ไม่มีคำพูดใดจะเอ่ยปลอบใจเจ้าเหมียวได้ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในจุดที่เจ้าเหมียวเผชิญมา เขาไม่มีวันเข้าใจหรอกต่อให้รักมากแค่ไหน

“กลับบ้านกันเถอะ”  เขาทำได้แค่ยื่นมือให้ เจ้าเหมียวก็ยิ้มบางๆแล้วยื่นมือมาจับมือเขา

เราสองคนเดินกลับด้วยกัน ต่อให้หนทางจะไกลและเต็มไปด้วยอุปสรรคแค่ไหน แต่แค่มีมือข้างนี้ที่จับกันไว้ มันก็รู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด

“ตกลงแม่นายนี่ไม่ใช่แนวคุณหนูที่ถูกจับแต่งกับเจ้าของโรงพยาบาลสินะ?”   ใบหน้าคมหันไปคุยด้วยเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง ถึงแม้แม่ของเจ้าเหมียวจะดูน่ากลัวขนาดไหน แต่เขาสัมผัสได้ว่าจริงๆแล้วเจ้าเหมียวเองก็สนิทกับแม่มากและลึกๆก็ยังมีความภาคภูมิใจในตัวนายหญิงคนนั้นอยู่

“ใครว่าล่ะ แม่ฉันเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเซียว พ่อต่างหากที่แต่งเข้าตระกูลแม่ฉัน ตระกูลทางฝั่งแม่ฉันเป็นผู้ค้าเหล็กรายใหญ่ของจีนและของโลก มีอิทธิพลกว้างขวางมาตั้งแต่สมัยคุณตาทวด ทางฝั่งพ่อที่มีแค่โรงพยาบาลน่ะเทียบไม่ติดหรอก”

“แล้วแม่ฉันก็ไม่ใช่ไทป์คุณหนู แต่เป็นไทป์นายหญิงขาโหด...แม่ฉันน่ะ ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย...เป็นคนที่เด็ดขาดและเลือดเย็น”   เขาเพิ่งได้ฟังเรื่องราวของแม่จากปากของเจ้าเหมียวเป็นครั้งแรก เอาเข้าจริงเขาไม่ค่อยแปลกใจนักว่าทำไมเจ้าเหมียวถึงเอาแต่ใจได้ขนาดนี้

“เพราะงั้นนะ ถ้านายกล้าขัดใจฉันละก็ นายไม่ตายดีแน่”   ใบหน้าราวกับกระต่ายหันมาขู่ มันน่ากลัวจนเขาเผลอหัวเราะออกมา

“ฮึ”

“หัวเราะอะไร?”

“ใครจะกล้าขัดใจคุณชายเหมียว เอ้ย คุณชายเซียวละครับ ฮ่าๆๆๆ”   เจ้าเหมียวจิกตามองก่อนจะยกมือไล่ฟาดเขาที่วิ่งหนีเป็นวงกลม ใบหน้ามนยิ้มออกมาได้ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเขา

เงาร่างคนสองคนในชุดสูทเข้ารูปดูดีกำลังไล่ตีกันเป็นเด็กๆอยู่ในสวนสาธารณะยามค่ำคืน รอยยิ้มบนใบหน้าและเสียงหัวเราะของทั้งคู่ดูก็รู้ว่ากำลังมีความสุขขนาดไหน

และนั่นก็ทำให้คนที่นั่งมองอยู่ในรถถึงกับกำหมัดแน่น

“ออกรถ”   เฉินจงอีเอ่ยสั่งคนขับรถด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาอยากจะเดินลงไปกระชากตัวเสี่ยวจ้านกลับไปด้วยกันแต่ก็ทำได้แค่ยับยั้งชั่งใจจนเล็บที่จิกลงไปบนฝ่ามือแทบจะมีเลือดไหลออกมาแล้ว

ก่อนหน้านี้เขายังไม่แน่ใจ เขายังหลอกตัวเองได้ว่าเสี่ยวจ้านไม่มีใคร...แต่วันนี้ทุกอย่างคือชัดเจน

ชัดเจน...ว่าเสี่ยวจ้านกำลังมีใจให้เจ้าเด็กนั่น

ซึ่งเขาไม่มีวันยอม










แสงไฟติดขึ้นทำให้ห้องที่เคยมืดจนถึงเมื่อครู่สว่างไสว ร่างสูงชะลูดเดินตามร่างโปร่งบางเข้ามา มือใหญ่ถอดเนคไทพาดไว้ที่โซฟา เจ้าเหมียวให้เขาขึ้นมาเปลี่ยนชุดที่ห้องของเจ้าเหมียวก่อน แล้วในขณะที่เจ้าของห้องเดินเข้าไปหยิบนู่นหยิบนี่อยู่ในห้องน้ำ เขาจึงถอดสูทรวมถึงเสื้อเชิ้ตที่แสนอึดอัดใส่ไม้แขวนเอาไว้ ตอนนี้ทั้งตัวของหวังอี้ป่อจึงมีเพียงกางเกงสแลคสีเทาเข้มตัวเดียว

“เจ้าโฮ่ง มาล้างหน้า”   เสียงเจ้าเหมียวเรียกเขาดังมาจากห้องน้ำ เขาจึงเดินเข้าไปทั้งอย่างนั้น

“.....”   ใบหน้ามนชะงักน้อยๆเมื่อมองเห็นร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเขา แก้มใสขึ้นสีระเรื่อก่อนจะหันไปเทน้ำยาใสๆอะไรบางอย่างลงบนสำลี

“นายแต่งหน้าเอาไว้ ต้องใช้คลีนซิ่งเช็ด ล้างแต่น้ำเปล่ามันไม่สะอาด เดี๋ยวเป็นสิว”   สำลีในมือบางแปะซับมาบนใบหน้าเขา ความอ่อนโยนและเอาใจใส่ของเจ้าเหมียวทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแผ่ซ่านอยู่ในใจลามมาจนถึงต้นคอและใบหน้า มันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้แต่เขารู้สึกหลงรักการกระทำเล็กๆน้อยๆของเจ้าเหมียวจนถอนตัวไม่ขึ้น

“เอ้า ทำเองได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะออกไปเปลี่ยนชุด”   เจ้าเหมียวยัดสำลีกับขวดคลีนซิ่งใส่มือเขา ใบหน้ามนดูจะเขินนิดๆจึงก้มหน้าก้มตาเดินออกไป เขาก้มมองขวดใสๆในมือก่อนจะอมยิ้มเจ้าเล่ห์

“พอใช้คลีนซิ่งเช็ดหมดแล้วค่อยล้างหน้านะ โฟมอยู่บนเคาเตอร์อ่างล้างหน้านั่นแหละ”   ขนาดออกไปแล้วก็ยังไม่วายตะโกนบอกจากข้างนอก ดูสิว่าเจ้าเหมียวน่ารักขนาดไหน เขายกยิ้มมุมปากก่อนจะรีบเช็ดหน้าเช็ดตาด้วยความไวแสง

“โอ๊ย!!! เจ้าเหมียว! มันเข้าตาอ่ะ มาดูหน่อย!”   เสียงทุ้มตะโกนโวยวายทำให้คนที่ยังเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เสร็จวิ่งพรวดพราดมาดูด้วยความเป็นห่วง เขาเปิดน้ำในอ่างล้างหน้าก่อนจะเอาหัวจุ่มลงไปทำให้เนื้อตัวเปียกโชก หยดน้ำไหลจากปลายผมลงมาตามใบหน้าคมและไหล่กว้าง บางหยดก็ไหลลงไปตามแผงอกและกล้ามหน้าท้อง

“เจ้าโฮ่ง? ทำอะไรของนายเนี่ย? แค่เช็ดหน้า ปล่อยให้มันเข้าตาได้ไง? ไหนมาดูซิ”   มือบางประคองใบหน้าที่มีน้ำเกาะพราวของเขาก่อนจะมองสำรวจอย่างห่วงใย ดวงตาคมแกล้งหลับลงข้างหนึ่ง อีกข้างจึงเห็นว่าเจ้าเหมียววิ่งเข้ามาทั้งๆที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตตัวเดียว...นี่เขาแกล้งอีกฝ่ายหรือทำร้ายตัวเองอยู่กันแน่เนี่ย ต้นขาขาวๆที่โผล่พ้นชายเสื้อมานั่นมันอันตรายมากนะ

“เช็ดน้ำออกก่อน อยู่นิ่งๆ”   เจ้าเหมียวหยิบทิชชูมาซับน้ำตามขอบตาให้เขา สายตาที่มองมานั้นมันเต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนเขากลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ไหว พอเจ้าเหมียวเห็นรอยยิ้มกว้างนั่นเข้าอีกฝ่ายก็รู้ทันทีว่าโดนเขาหลอก

“แกล้งเหรอ? เจ้าโฮ่ง ตีให้ตายเลย!”   ฝ่ามือบางวางทิชชูลงก่อนจะหันมาฟาดใส่เขา ร่างสูงชะลูดเอี้ยวตัวหลบไม่ยอมให้เจ้าเหมียวตีดีๆ ร่างโปร่งจึงไล่ตีเขาอยู่ในห้องน้ำแคบๆ

สองแขนแข็งแรงรวบเอวบางเอาไว้เพื่อไม่ให้เจ้าเหมียวตีเขาต่อ เสียงหัวเราะดังสลับกับเสียงข่มขู่ของเจ้าเหมียว เขารวบเอวบางก่อนจะอุ้มร่างโปร่งนั่นขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์หินอ่อนกว้างใหญ่ของอ่างล้างหน้า ขวดคลีนซิ่ง โทนเนอร์ ครีมบำรุงผิวที่เคยจัดเรียงไว้อย่างดีล้มระเนระนาด สองแขนที่เป็นกล้ามเนื้อสวยงามยกขึ้นยันกระจกขังเจ้าเหมียวไว้ในอ้อมแขน

เขาช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้ามนของคนที่นั่งอยู่สูงกว่า เจ้าเหมียวก็มองลงมาด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เราเฝ้ามองกันและกันอยู่ในความเงียบงัน

หัวใจต่างเรียกร้องให้ขยับเข้าหากัน...

บรรยากาศหวานๆแผ่ซ่านอยู่รอบกาย แรงดึงดูดมากมายมหาศาลทำให้เขาขยับเข้าหาอีกฝ่าย

จนในที่สุด...

ริมฝีปากของเขาก็แนบสัมผัสอยู่ที่กลีบปากนุ่มของเจ้าเหมียว...

ความอ่อนนุ่มและวูบโหวงทำเอาหัวแทบระเบิด ความร้อนพุ่งมากจากไหนไม่รู้จนเขารู้สึกมึนเบลอ หัวใจเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้ ในที่สุด จูบรสเชอร์รี่นี้ก็เกิดขึ้นจนได้...

หากไม่มีลมหายใจที่เป่ารดกันเขาคงคิดว่าเป็นความฝัน เจ้าเหมียวหลับตายอมให้เขาจูบแต่โดยดี ทั้งตื่นเต้น มีความสุข รู้สึกดี ความล้นปรี่บนโลกใบนี้กำลังหลอมอยู่ในใจเขา...ดีใจ...จนต้องกอดเจ้าเหมียวไว้ยามเมื่อละริมฝีปากออกมา

ใบหน้ามนเองก็ดูเบลอๆ เจ้าเหมียวแตะปลายนิ้วลงไปบนริมฝีปากของตัวเองเบาๆ

“นั่น...เรียกว่าจูบแรกได้รึเปล่า?”   เจ้าเหมียวทอดสายตามองเขาด้วยความกล้าๆกลัวๆ กลัวว่าเขาจะปฏิเสธ กลัวว่าเขาจะบอกว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญหรือบรรยากาศพาไป เขาจึงอยากจะบอกให้เจ้าเหมียวมั่นใจ

“ไม่ใช่ซักหน่อย”

“......”

“ถ้าจูบแรก ต้องแบบนี้ต่างหาก”  มือใหญ่เอื้อมไปกดหลังคอระหงให้ใบหน้ามนขยับเข้ามา ริมฝีปากประกบจูบลงไปใหม่ให้กลีบปากบดเบียดแนบแน่น เขางับกลีบปากล่างสีกุหลาบให้เผยอออกก่อนจะค่อยๆกวาดลิ้นเลียจนชุ่มชื้น เรียวลิ้นค่อยๆสอดเข้าไปในโพรงปากที่ไม่ได้ขัดขืน ฝ่ามือใหญ่ยังคงกดอยู่ที่หลังคอไม่ให้เจ้าเหมียวขยับหนี รสชาติหวานๆผสมผสานกันอยู่ในปาก ทั้งรู้สึกจั๊กจี้ ทั้งรู้สึกดี ทั้งรู้สึกแปลก นี่สิถึงเรียกว่าจูบแรกของพวกเราสองคน

“อื้ม...”   เจ้าเหมียวส่งเสียงครางในลำคอก่อนที่ท่อนแขนบางทั้งสองข้างจะโอบมาคล้องคอเขาไว้ เรียวลิ้นยังคงเกี่ยวพันกันอย่างเชื่องช้า...โหยหา...และเต็มไปด้วยความรัก...

จูบแรกนั้นช่างหอมหวานจนไม่อยากจะละออกมาจากกันเลย...

ถึงมันจะไร้เดียงสาและไร้ประสบการณ์ แต่มันคงจะเป็นจูบที่ดีที่สุดในชีวิต


เขากับเจ้าเหมียวมองหน้ากันทั้งๆที่ยังหอบน้อยๆ พวกเราต่างก็รู้ตัวดี ถ้าปล่อยให้จูบนี้ยังคงดำเนินต่อไป...คืนนี้คงไม่จบลงง่ายๆอย่างแน่นอน


นับวันก็ยิ่งควบคุมตัวเองได้ยากเต็มที ต่างฝ่ายต่างเหมือนยาเสพติดของกันและกัน ขาดไม่ได้ มีแต่จะอยากเสพมากขึ้นและมากขึ้นเท่านั้น...



เสียงเพลงดังมาจากที่ไหนสักที่หันเหให้พวกเขาหลุดออกมาจากบรรยากาศล่อแหลม ใบหน้ามนหันหาที่มาของเสียง มือใหญ่จึงยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาให้ดู จังหวะเบาๆที่เอาไว้เต้นรำดังออกมาจากหน้าจอ หวังอี้ป๋อจ้องมองใบหน้ามนก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม

“เรายังไม่ได้เต้นรำกันเลยนะ”   สองแขนของเจ้าเหมียวยังคล้องอยู่ที่คอเขา ใบหน้ามนที่อยู่ใกล้จึงหลุดขำเมื่อได้ฟัง  

“นายเต้นลีลาศเป็น?”   

“อะไรฉันก็เต้นเป็นทั้งนั้นแหละ”   ท่อนแขนแข็งแรงอุ้มเจ้าเหมียวลงจากเคาน์เตอร์ มือใหญ่ดึงให้ร่างโปร่งเดินตามออกไป


ในห้องนอนที่มีเพียงแสงไฟสลัวๆ...

เงาร่างคนสองคนกำลังขยับกายตามจังหวะเบาๆ อ้อมแขนต่างกอดกันไว้หลวมๆ

ดวงตาคู่สวยจ้องมองใบหน้าคมที่มองตรงมาที่เขาเช่นกัน ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้อยู่กลางฟลอเต้นรำที่สวยงามยิ่งใหญ่แต่อยู่ในห้องนอนเล็กๆ ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้แต่งตัวราวกับเจ้าชายแต่ฝ่ายหนึ่งสวมเพียงเสื้อเชิ้ตฝ่ายหนึ่งสวมเพียงกางเกงขายาว ถึงแม้จะไม่มีความหรูหรา ทว่า มันกลับเป็นการเต้นรำที่มีความสุขที่สุด โรแมนติกที่สุด

เพียงแค่มันเป็นการเต้นรำกับคนที่รัก...เท่านี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว...








.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




เด่วนะ ผ่านมาสิบตอนอย่างเอื่อยเฉื่อย เนื้อเรื่องไม่คืบไปไหนเลยเว้ยค่ะ5555+ // หัวเราะทั้งน้ามตา

ตอนที่เขียนก็มีความสับสนคำเรียกที่จ้านเรียกพ่อกับแม่อยู่เหมือนกัน คือเนื้อแท้แล้วจ้านสนิทกับแม่ค่ะก็เลยให้เรียกแม่ว่าหม่าม้า ส่วนพ่อจริงๆก็สนิทแต่จ้านจะเคารพนับถือพ่อมาก จะให้เรียกป่ะป๊ามันก็....เลยให้เรียกคุณพ่อแล้วกัน =v= ดูสับสนแต่คิดมาแร้วนะ 5555+

แล้วก็ตอนนี้ดูเหมือนจะเปิดตัวตัวละครรว้ายๆมากมาย แต่เอาจริงๆฟิคเรื่องนี้เป็น Warmhearted Romantic ค่ะ ไม่มีดราม่าแน่นอล สบายใจได้5555+

ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ อิอิ หลังจากปีที่ผ่านมาทำอะไรไม่ทันเทศกาลอะไรกะเค้าซักอย่าง TvT อย่างน้อยปีใหม่ก็มีฟิคมาลงละ แง๊

ขอให้เป็นปีที่ดีๆๆของทุกคนนะคะ ขอบคุณป๋อจ้านที่ทำให้เราได้มารู้จักกันค่ะ!!

แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้า~~




5 ความคิดเห็น:

  1. สวัสดีปีใหม่2020ค่า

    ตอนแรกของปี เลิป

    ตอบลบ
  2. เขินมากเลยฮืออออออ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ15 มกราคม 2563 เวลา 15:20

    หาตอน9ไม่เจอ...ทำยังไงคะ งงกับการใช้อย๊่

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ลิ้งค์ตอนที่ 9 ค่ะ

      https://waketsu.blogspot.com/2019/10/aufic-x-june-09.html

      ลบ
  4. ดีใจที่ได้หลงมาอ่าน ฮือออออออออ ละมุนละไมอะไรกันขนาดนี้
    อยากอ่านเรื่องนี้ไปจนจบ เปิดเรื่องเศร้ามาก มันจะ...ไม่จบที่ความเศร้าจริงๆใช่มั้ย....

    ตอบลบ