ป๋อจ้าน Au Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] หนึ่งบุปผา หนึ่งมังกร
หนึ่งรักนิรันดร : 06
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Chinese Period Drama Incest
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
องค์ชายเจ็ดนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนเรียบง่ายในสวนของเรือนฝั่งตะวันออก
มือใหญ่กำลังแปะกระดาษลงไปบนโครงว่าวตัวหนึ่งอย่างอารมณ์ดี
จะไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไรในเมื่อตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ท่านอาก็ไม่หลบหน้าเขาอีก ถึงจะโผล่มาให้เห็นด้วยใบหน้างอนๆก็เถอะนะ
“ท่านกำลังวางแผนร้ายอะไรอยู่ใช่หรือไม่? มนุษย์โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นท่านอารมณ์ดีเช่นนี้ฟ้าต้องถล่มดินต้องทลายแน่ๆ” คนที่กล้าทักเขาแบบนี้คงมีอยู่แค่คนเดียว
ดวงตาคมดุจเหยี่ยวตวัดไปมององครักษ์คู่กายที่เดินถือถ้วยชามาให้
“หึ
ข้ากำลังวางแผนจับท่านอาทำเมียอยู่ เจ้ารู้แล้วก็หุบปากซะ” ฟางหยางอี้วางถ้วยชาลงบนโต๊ะหินอ่อนด้วยใบหน้านิ่งสนิท....
“พะยะค่ะ
ต่อให้กระหม่อมรู้กระหม่อมก็ไม่กล้าบอกใครแน่เรื่องชวนประหารเจ็ดชั่วโคตรเช่นนี้~ องค์ช๊าย~
ท่านเอาจริงรึ? ถึงจะงดงามเพียงใดแต่นั่นก็เป็นเสด็จอาของท่านนะ
แถมเป็นชายทั้งแท่งด้วย” มือหยาบกร้านยกขึ้นมาจับคอตัวเองว่าหัวยังตั้งอยู่ดีไหม
เรื่องที่องค์ชายของเขาจะทำนั้นผิดตั้งแต่ศีลธรรมยันราชประเพณี ผิดจารีต ผิดปกติ
ผิดมันทุกอย่าง
“ข้าไม่สน” แต่นายเหนือหัวกลับตอบด้วยสีหน้าไม่แยแส...
“ท่านทำไปเพราะโกรธแค้น?” ฟางหยางอี้พยายามตะล่อมถาม
“ไม่ใช่”
“ท่านทำไปเพราะรัก?”
“เป็นอย่างที่เจ้าคิด” อกฟางหยางอี้จะแตก
สาวงามมีมาให้เลือกไม่ขาดสายแต่เจ้านายจอมเรื่องมากของเขากลับหาข้อเสียมาติติงพวกนางได้หมด
เจ้าคนที่ไม่สนใจหญิงงามทั่วหล้ากลับมาตกหลุมรักเสด็จอาของตัวเองเนี่ยนะ?
ถ้าฮ่องเต้รู้เข้ามีหวังได้ถูกสั่งตัดคอรัวๆแน่ๆและคนที่จะโดนคนแรกก็คือองครักษ์อย่างเขานี่แหละ!
“อย่าคิดจะห้ามข้าให้เสียเวลา
เจ้าก็รู้ว่าเจ้าห้ามข้าไม่ได้ เพราะงั้นก็ให้ความร่วมมือซะ”
ร่างสูงสง่าลุกขึ้นก่อนจะเดินถือว่าวจากไปด้วยใบหน้าอารมณ์ดี....พะยะค่ะ
กระหม่อมไม่เคยห้ามองค์ชายได้
ถึงต้องคอยตามเช็ดตามล้างหาทางปิดบังให้แทบทุกเรื่องแบบนี้ไง~!! แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ถ้าแดงขึ้นมาเขามีกี่หัวก็ไม่พอให้ตัดแน่
องครักษ์ผู้น่าสงสารได้แต่ยืนร้องไห้กระซิกๆต่อไป
มือบางจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษขนาดใหญ่ที่กางเต็มโต๊ะทำงานโดยมีร่างแบบบางขององครักษ์คนสนิทยืนบอกตำแหน่งต่างๆให้
แผนที่ของเมืองเมืองหนึ่งค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาด้วยปลายพู่กันของท่านอ๋อง
“องค์ชาย
ช้าก่อนขอรับ! ท่านอ๋องกำลังทรงงาน....”
เสียงโหวกเหวกที่ดังอยู่ข้างนอกทำให้ดวงตาคู่สวยตวัดขึ้นมาจากแผนที่ที่เขียนอยู่
ปัง!
ประตูหน้าห้องเปิดออกอย่างถือวิสาสะและใบหน้าสวยก็ต้องถอนหายใจอย่างระอาเมื่อเห็นหน้าคนกระทำ
องครักษ์ข้างกายยกมีดสั้นขึ้นมาทันที
“เฟยหลิง...”
เสียงนุ่มเอ่ยห้ามทำให้มีดสั้นนั้นจำต้องลดระดับลง
ความจริงแล้วฉินเฟยหลิงใช่ว่าจะเพิ่งเคยเจอองค์ชายเจ็ด ร่างบางที่อยู่ข้างกายเขาตลอดเวลาคงจะทนต่อพฤติกรรมที่ไม่ให้เกียรติเขานั่นไม่ไหวแล้ว
จึงนึกอยากจะลงไม้ลงมือกับผู้เป็นหลานชายของเขาคนนี้เต็มที
“เจอหน้ากันเสียทีนะ” องค์ชายเจ็ดยกยิ้มมุมปากให้องครักษ์ของเขา
เด็กนั่นคงรู้ตัวเหมือนกันสินะว่าเขามีคนคอยติดตามอยู่
“เจ้าออกไปก่อนเฟยหลิง” เสียงนุ่มเอ่ยบอกองครักษ์ของตน
แต่ฉินเฟยหลิงก็ยังมององค์ชายเจ็ดอย่างไม่วางใจ
กว่าร่างแบบบางจะยอมออกไปได้ก็ผ่านไปหลายนาที
“ถ้าเจ้าไม่มีอะไรทำ
ช่วยไปไล่เตะเจ้าฟางหยางอี้ให้ข้าทีเถอะ ร้องไห้คร่ำครวญน่ารำคาญอยู่นั่นเอง” องค์ชายเจ็ดตะโกนหยอกคนที่เดินหน้าบึ้งออกไป
“เจ้ามีธุระอะไร?
ข้ากำลังทำงานอยู่”
ใบหน้าสวยเอ่ยถามคนที่เดินเข้ามามองแผนที่ก่อนที่จะชะงักไป
ร่างสูงสง่าไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนการทำงานของอีกฝ่าย ทว่า
แผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะก็ทำให้เขาวางเฉยต่อไปไม่ได้
“เมื่อเช้า...ข้าเห็นเหยี่ยวหิมะบินมาทางนี้ แล้วนี่ก็...แผนที่เมืองลั่วหยาง?” ใบหน้าคมเงยมองผู้เป็นอาด้วยสายตาคาดคั้น
เหยี่ยวหิมะจะมีชีวิตอยู่ได้เฉพาะในเมืองลั่วหยางที่มีอากาศเย็นจัดตลอดปีเท่านั้น
เพราะงั้นมันจะบินมาจากที่อื่นไม่ได้เลย
นั่นหมายความว่าต้องมีข่าวอะไรส่งมาจากเมืองลั่วหยางแน่ๆ
และข่าวที่ส่งมาหาเซียวอ๋องย่อมไม่ใช่ข่าวธรรมดา แต่น่าจะเป็นสายลับส่งมามากกว่า
ร่างโปร่งบางยังคงทำหน้าเฉยก่อนจะหยิบพู่กันวาดแผนที่ต่อไป
มือใหญ่จึงเอื้อมไปบีบข้อมือบางนั่นเอาไว้
ดวงตาคู่โตจึงได้ตวัดมองใบหน้าคมที่ยังคงมองอย่างกดดัน เสียงทุ้มกดต่ำเอ่ยออกไปหลังจากสมองประมวลผลได้ว่า
“เจ้า...กำลังตรวจสอบสกุลหลานแห่งลั่วหยางอยู่ใช่หรือไม่
เจ้า...กำลังสงสัยอัครเสนาบดีฝ่ายการคลัง
หลานอี้เฟิง...ท่านตาของข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
ใบหน้าคมเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
สกุลหลานคือสกุลเดิมของเสด็จแม่และเป็นตระกูลผู้สนับสนุนองค์ชายเจ็ดอย่างเขาด้วย
ใบหน้าสวยก้มลงมองมือที่บีบข้อมือของตัวเองอยู่ก่อนจะค่อยๆเงยหน้ามองเขา
ริมฝีปากสีสดเอ่ยออกมาถึงจะแผ่วเบาแต่ก็ชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่ใช่ข้าที่สงสัย...แต่เป็นฮ่องเต้...เป็นเสด็จพ่อของเจ้าที่สงสัย” มือใหญ่ถึงกับชะงักค้างจนปล่อยข้อมือบางออกไป...หมายความว่าอย่างไรที่เสด็จพ่อสงสัยตระกูลหลานแห่งลั่วหยาง
นั่นหมายถึงเสด็จพ่อทรงสงสัยในตัวท่านตา สงสัยในตัวเสด็จแม่ และสงสัยในตัวเขา?
ฝ่ามือใหญ่กำแน่นก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยใบหน้ามืดมน
“อี้ป๋อ...”
เสียงนุ่มเรียกอีกฝ่ายอย่างนึกห่วงแต่แผ่นหลังกว้างนั่นก็ไม่คิดจะหันกลับมา
มือบางที่เอื้อมออกไปจึงจำต้องดึงกลับมาแล้วทิ้งลงข้างตัว
ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ มันเป็นเพียงข้อสงสัย
หากหาข้อเท็จจริงมาโต้แย้งได้ทุกอย่างก็จะคลี่คลายเอง
ใบหน้าสวยเหลียวมองรอบกายก่อนที่สายตาจะไปสะดุดอยู่ที่ว่าวสีขาวสะอาดตัวหนึ่ง...ขององค์ชายเจ็ดงั้นเหรอ?
มือบางหยิบมันขึ้นมาก่อนจะพินิจพิจารณา
ว่าวตัวนี้ไม่ควรจะขาวโล่งเช่นนี้ ปลายพู่กันจึงจรดลงไป
ดอกเหมยสีแดงท่ามกลางหิมะจึงค่อยๆเบ่งบานอยู่บนว่าวตัวนั้น
ข้าขอมอบมันให้เจ้า
ดอกไม้ที่เข้มแข็งและเบ่งบานได้แม้ในอากาศที่หนาวเหน็บ...ไม่ว่าเจ้าจะเจอกับเรื่องที่หนักหนาแค่ไหน
ก็ขอให้เจ้ายืนหยัดอยู่ได้ดั่งเช่นดอกเหมยสีแดงนี้...
เหล่าทหารขององค์ชายเจ็ดต่างยืนละล้าละลังกันอยู่ที่ประตูชมจันทร์ทางเข้าสระบัวหิมะ
ถ้วยชาในมือต่างถูกยัดเยียดส่งต่อกันเป็นทอดๆอย่างน่าสงสาร ไม่มีใครอยากยกชาไปให้องค์ชายเจ็ดในยามนี้เพราะรอบร่างสง่าที่นั่งอยู่ในศาลานั่นมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
คนที่จะรับมือกับองค์ชายในเวลาแบบนี้ได้ดีที่สุดอย่างฟางหยางอี้ก็ดันไม่อยู่เสียนี่
เห็นว่าถูกองครักษ์ของท่านอ๋องไล่ฟาดอย่างไร้เหตุผลจนต้องหนีไป?
“พวกเจ้า...มายืนทำอะไรกันตรงนี้?” จู่ๆเสียงนุ่มราวกับสวรรค์มาโปรดก็ดังขึ้น
เหล่าทหารจึงถอนหายใจเหมือนรอดตายแล้วงานนี้
“ยกชามาให้องค์ชายของพวกเจ้ารึ?
ตามมาสิ”
เหล่าทหารยิ้มอย่างโล่งใจก่อนจะเดินตามร่างโปร่งบางของท่านอ๋องไป
ถ้วยชาถูกวางเอาไว้ก่อนที่เหล่าทหารจะรีบเดินออกไป
ดวงตากลมโตจึงทอดมองร่างสง่าที่นั่งมองดอกบัวด้วยใบหน้ามืดมน
อีกฝ่ายจะอารมณ์ไม่ดีเขาก็พอจะเข้าใจได้อยู่
ร่างโปร่งบางจึงเดินเข้าไปใกล้ๆก่อนจะยื่นว่าวที่มีลายดอกเหมยสีแดงไปให้
นัยน์ตาคมกล้าเหลือบมองสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาก่อนจะเบิกตาค้างเล็กน้อย
มือใหญ่รับมันมาดู
หัวใจที่ถูกไฟสุมค่อยๆสงบลงเพราะดอกเหมยสีแดงดอกน้อยที่เบ่งบานอยู่บนว่าวของเขา
มันงดงามเหมือนคนวาดไม่มีผิด
ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักหันไปมองท่านอา
มือใหญ่คว้ามือบางเอาไว้ก่อนจะลากให้เดินมาด้วยกัน ขายาวก้าวเร็วๆผ่านเรือนหน้าจนคนที่ถูกลากตามมาต้องวิ่ง
ร่างทั้งสองหยุดลงที่คอกม้า มือใหญ่ดันแผ่นหลังโปร่งบางให้โดดขึ้นไปบนหลังม้าอย่างมึนงงก่อนที่องค์ชายเจ็ดจะโดดตามขึ้นไป
อาชาสีดำทะยานออกจากจวนโดยไม่มีใครรู้ว่าเจ้านายของพวกตนไปไหน
เพราะองค์รักษ์ของทั้งคู่ต่างวิ่งไล่กันอยู่อีกฝั่งของเมืองนู่น
แสงแดดอบอุ่นฉาบไล้ไปบนทุ่งหญ้าสีทองที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
บางทีความแห้งแล้งมันก็ยังมีความงดงามซ่อนอยู่เช่นเนินเขาแห่งนี้ที่หญ้าเริ่มกลายเป็นสีชาเพราะใกล้จะเข้าสู่ฤดูหนาวเต็มที
ม้าสีดำหยุดลงบนเนินกว้าง
มันถูกผูกไว้ใต้ต้นไม้ที่เหลือแต่กิ่งสีรัตติกาล ร่างสง่าที่มือหนึ่งถือว่าวส่วนมืออีกข้างยังคงจับมือบางไม่ปล่อยค่อยๆเดินเข้าไปในทุ่ง
ลมเย็นๆพัดมาปะทะใบหน้ายังดีที่มีแสงแดดอุ่นๆทำให้ที่นี่ไม่หนาวอย่างที่คิด
“ถือไว้
พอข้าบอกให้ปล่อยเจ้าค่อยปล่อยนะ”
ว่าวรูปดอกเหมยถูกยัดใส่มือบางก่อนที่องค์ชายเจ็ดจะวิ่งถือปลายเชือกออกไป
ร่างโปร่งยังคงมองว่าวในมืออย่างเงอะๆงะๆ
เขาไม่เคยเล่นมาก่อนจึงไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
ถึงจะเคยใช้ในภารกิจแต่ความเคร่งเครียดมันก็ต่างจากตอนนี้มาก
“ปล่อย!
ปล่อยได้แล้ว!”
อีกคนตะโกนมาจากที่ไกลๆ
“ปล่อย?
ปล่อยเหรอ?” ท่านอ๋องถึงกับลนลาน ให้ปล่อยอะไร?
ปล่อยว่าวนี่ไปงั้นเหรอ? หรืออะไร? ยังไง?
แล้วเชือกที่ตึงจนได้ที่ก็เป็นฝ่ายดึงว่าวในมือเขาออกไปเอง
ดอกเหมยสีแดงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ว่าวตัวนั้นถลาเล่นลมจนใบหน้าสวยที่มองตามเผลออมยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ร่างสูงสง่าค่อยๆเดินกลับมาหา
สายป่านในมือใหญ่ยังคงผูกโยงกับดอกเหมยสีแดงเหล่านั้นอยู่
“รับหน่อย”
องค์ชายเจ็ดยัดม้วนสายป่านใส่มือบางโดยอีกฝ่ายยังคงมึนงง
“ข้าต้องทำอะไร?” มือบางที่รับม้วนสายป่านไปถือไว้อย่างเก้ๆกังๆ
ใบหน้ามนดูจะไม่รู้ว่าต้องเล่นยังไงจนองค์ชายเจ็ดอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้
“มือนี้ถือม้วนเชือกเอาไว้
ส่วนมือนี้จับที่เชือก ชักมันเบาๆเพื่อไม่ให้มันร่วงลงมา
ถ้าเจ้าอยากให้มันลอยไปไกลก็ค่อยๆปล่อยเชือกออกไป ถ้าเจ้าอยากให้มันมาหาเจ้าก็ค่อยๆดึงเชือกเข้ามา”
องค์ชายเจ็ดค่อยๆสอนและผู้มีศักดิ์เป็นอาก็เล่นมันราวกับเป็นเด็ก
ใบหน้ามนยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นว่าวตัวนั้นลอยอยู่บนฟ้า
องค์ชายเจ็ดมองรอยยิ้มนั้นอย่างตื่นตะลึง
เขาเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก
มันเป็นรอยยิ้มที่หวานมากและเขากล้าพูดว่ามันคือรอยยิ้มที่งดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า
หารอยยิ้มของใครจะสวยเท่านี้ไม่มีอีกแล้ว
“อ๊ะ!” ใบหน้าสวยอุทานออกมาเบาๆเมื่อจู่ๆลมก็พัดแรงขึ้น
ร่างโปร่งบางแทบจะถลาไปตามแรงลากของว่าวจนร่างสูงสง่าต้องไปดึงไว้จากทางด้านหลัง
มือใหญ่จับมือบางเอาไว้เพื่อช่วยยื้อยุดไม่ให้อีกฝ่ายปลิวตามว่าวไป
“เดี๋ยวก็ถูกลากปลิวหรอก
ออกแรงดึงไว้สิ เจ้านี่ทำไมไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงเลย กินแต่ผักก็อย่างงี้แหละ” ใบหน้าคมแสร้งทำเป็นบ่นอยู่ข้างใบหูบาง
“ว่าวของเจ้ามันตัวใหญ่เกินไปต่างหาก
อีกอย่างข้าก็ถนัดใช้สมอง ไม่ได้ถนัดใช้แรงเยี่ยงสัตว์ป่าเช่นเจ้า” แต่ท่านอาก็ตอบกลับมาอย่างเจ็บแสบ
“เจ้าว่าใครเป็นสัตว์ป่าหื๋อ?” ใบหน้าคมก้มลงไปงับตามแขนผอมบางจนร่างโปร่งถึงกับหัวเราะออกมา
ถ้าบอกเขาว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในวันแรกที่เขามาถึงที่นี่
เขาคงไม่มีวันเชื่อแน่ๆ
ในวันนั้นเขายังเหยียดหยามอีกฝ่ายอยู่เลยและท่านอาเองก็ยังตั้งแง่กับเขามากมาย
ใครจะไปรู้ได้ว่าเราสองคนก็มีวันที่ค่อยๆปรับตัวเข้าหากัน...
ดอกเหมยสีแดงลงจากท้องฟ้ามาวางอยู่บนพื้นหญ้าเมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
เช่นเดียวกับร่างโปร่งบางที่ลงมานั่งพักหลังจากที่ไม่ได้เล่นอย่างผ่อนคลายแบบนี้มาไม่รู้กี่ปี
ใบหน้ามนเงยมองผืนหญ้าที่กำลังพลิ้วไหวไปตามสายลมพลางอมยิ้ม
ร่างสูงสง่านั่งลงข้างๆหลังจากม้วนสายป่านเสร็จ
แล้วจู่ๆองค์ชายเจ็ดก็ล้มตัวลงนอนหนุนตักนิ่มของผู้มีศักดิ์เป็นอาจนร่างโปร่งทำหน้าเลิ่กลั่ก
“ทำอะไรของเจ้า?!”
“อยู่นิ่งๆ
หลานชายจะนอนหนุนตักท่านอาไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” ร่างสง่าพลิกกายมานอนหงายก่อนจะส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาให้
เจ้าเด็กนี่ชอบอ้างความเป็นอาหลานแต่ดูยังไงมันก็ไม่ใช่ชัดๆ
“........แล้วปกติ...อากับหลานเค้า...เอ่อ...จูบกันแบบนั้นด้วยหรือ?” ร่างโปร่งบางพูดด้วยความกระดากอาย
ยามใบหน้าสวยก้มลงไปปลายผมยาวก็ตกลู่จนพาดอยู่บนใบหน้าคมของอีกฝ่าย
ผู้เป็นหลานชายยังคงยิ้มน่าหมั่นไส้ก่อนจะตอบออกมา
“ไม่อยู่แล้ว”
ฝ่ามือบางจึงตีไหล่หนาไปหนึ่งที
เขาว่าแล้วเชียวว่าเจ้าเด็กนี่มันต้องคิดไม่ซื่อกับเขา
“ทำไมเจ้าจึงมาเป็นสายลับ?” องค์ชายเจ็ดเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวว่าเขาจะไล่ลงจากตัก
“....พอข้าเกิดมา
พ่อของเจ้าก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้ น้องชายอย่างข้ายังไม่ทันจะถูกแต่งตั้งเป็นองค์ชายด้วยซ้ำก็ต้องกลายเป็นอ๋อง
ต้องทำตามคำสั่งของพ่อเจ้าแล้ว...ข้าถูกส่งตัวไปอยู่กับหลินอ๋องตั้งแต่เด็ก” ใบหน้าสวยพยายามนึกถึงเรื่องราววัยเด็กของตัวเอง
เขาเป็นลูกของสนมคนหนึ่งซึ่งไม่ได้มีชื่อเสียงหรือแรงสนับสนุนใดๆ ยามเมื่อสิ้นบุญของเสด็จพ่อ
เขาจึงต้องทำตามคำสั่งของพี่ชายคนที่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้อย่างช่วยไม่ได้ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่
“ท่านอารองน่ะรึ?” คนที่หนุนตักอยู่เอ่ยออกมาด้วยสายตาลุกวาว
“ใช่”
“ถึงว่า
เจ้ามีวิชากระบี่เหมือนข้า ที่แท้เราก็มีอาจารย์คนเดียวกันจริงๆ” ดูเหมือนองค์ชายเจ็ดก็จะได้พี่รองของเขาเป็นคนสั่งสอนมา
เด็กคนนี้ถึงได้แข็งแกร่งไม่เกรงกลัวใคร นิสัยเหมือนพี่รองของเขาเสียจริงๆ
“แต่ว่าข้าไม่ได้แข็งแกร่งเช่นเจ้า
ข้ามิอาจยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เขาในสนามรบได้
พี่รองจึงส่งข้าไปเป็นสายลับในเมืองต่างๆ พอพ่อเจ้ารู้เข้า จึงให้ข้าทำงานขึ้นตรงต่อเขาแทน” หลินอ๋องมักอยู่ประจำที่ชายแดนและถึงเขาจะฝึกฝนแค่ไหนหรือมีวิชากระบี่ที่ล้ำเลิศเพียงใด
แต่จุดอ่อนของเขาก็คือเรื่องพละกำลัง
พี่รองมองเห็นความปราดเปรียวและความชาญฉลาดของเขาจึงส่งไปทำงานที่เขาน่าจะถนัดกว่าแทน
ซึ่งมันก็ได้ผลจนเขามีหน่วยเป็นของตัวเองในที่สุด
“ข้าจะช่วยเจ้า” จู่ๆองค์ชายเจ็ดก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เขาจึงถามกลับไปด้วยความมึนงงเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไร
“ช่วย?”
“เรื่องเมืองลั่วหยาง
เรื่องสกุลหลานแห่งลั่วหยาง” ใบหน้าคมที่หนุนอยู่บนตักส่งสายตาจริงจังขึ้นมาให้
“ถ้าท่านตามีความผิดจริงข้าก็จะไม่ปรานี
แต่ถ้าเขาไม่ใช่คนผิดข้าก็จะปกป้องเขา”
เขาชั่งใจกับคำพูดของอีกฝ่าย
ถึงเขาจะเคยได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความเฉียบขาดขององค์ชายเจ็ดมาบ้างแต่อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ละเอียดอ่อนยิ่งนัก
“เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้
เพราะจะทำให้ข้อเท็จจริงที่สืบมาได้มีข้อครหาว่าเจ้าอาจจะเข้าข้างคนสกุลหลาน” ใบหน้าสวยเอ่ยบอกอย่างคนที่คลุกคลีกับเรื่องแบบนี้มาทั้งชีวิต
ความระแวงแค่นิดเดียวก็อาจจะเปลี่ยนขาวเป็นดำได้
“เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าดูดาย
ยืนดูท่านตาของข้าถูกใส่ร้ายเหมือนที่เสด็จแม่ของข้าโดนอย่างนั้นรึ? ข้าทำไม่ได้
และหากเจ้าไม่ให้ข้ายุ่ง ข้าก็คงต้องหาทางทำอะไรบางอย่าง และมันอาจจะทำเจ้าเสียเรื่องมากกว่า” ในถ้อยคำเหล่านั้นยังมีความเป็นห่วงเขา
กลัวว่าจะทำให้เขาเดือดร้อนอยู่ด้วย และเขาก็เข้าใจอีกฝ่ายดี
ที่เด็กนี่ถูกเนรเทศออกมาจากวังหลวงก็เพราะเรื่องของผู้เป็นแม่
เพราะความใจร้อนไม่ฟังใคร แล้วถ้าคราวนี้เหตุการณ์มันเกิดซ้ำรอยขึ้นมาล่ะ?
ถ้าเขาปล่อยอีกฝ่ายทำตามใจมันก็อาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงจนสั่นคลอนถึงการครองบัลลังก์ในอนาคตก็ได้
เขาควรจะให้อีกฝ่ายรับรู้และเฝ้าดูอยู่ข้างๆ
คอยห้ามไม่ให้องค์ชายเจ็ดอาละวาดจนไปฆ่าใครเข้าเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
“......ข้าเข้าใจแล้ว.......แต่ว่า...เจ้าจะให้ฮ่องเต้รู้ไม่ได้
ว่าข้ายอมบอกข้อมูลแก่เจ้า” ใบหน้าสวยก้มมองคนที่หนุนอยู่บนตักอย่างเป็นกังวล
แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มบางๆตอบกลับมา
“อืม” อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนดีใจที่เขายอมรับข้อเสนอ
ทำหน้าเหมือนดีใจที่เขายอมอยู่ข้างๆ
ทำหน้าเหมือนดีใจที่ไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวเหมือนที่ผ่านๆมา...
ถึงจะยังกังวลแต่รอยยิ้มขององค์ชายเจ็ดก็ทำให้ลึกๆในใจของเขารู้สึกอุ่นขึ้นมา
เขาเอง...ก็ไม่เคยทำเพื่อใคร
ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งแบบนี้เหมือนกัน...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
อ่านเพลิน มาไวมากเว่อ 😂😂😂
ตอบลบขอบคุณมากจ้า