ป๋อจ้าน Au Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] หนึ่งบุปผา หนึ่งมังกร
หนึ่งรักนิรันดร : 05
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Chinese Period Drama Incest
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
องค์ชายเจ็ดเดินอาดๆอยู่ในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านต่างจากเมืองของเซียวอ๋องราวกับฟ้ากับหุบเหว
คนที่นี่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ของค้าของขายก็เต็มถนน
ร่างสูงสง่าเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างไร้การปิดบังตัวตน
เขาแทบจะป่าวประกาศไปทั่วด้วยซ้ำว่าเขาคือองค์ชายเจ็ด
ใบหน้าคมลอบยิ้มเมื่อกวาดสายตามองอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เขาที่ทำตัวราวกับเป็นเป้าแบบนี้คงกำลังทำให้ใครบางคนแทบเต้นเป็นเจ้าเข้าอยู่แน่ๆ
ไม่ยอมปลอมตัวเป็นสามัญชนแล้วยังมาเดินอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
ถ้าเขาไม่บ้าก็ต้องวางแผนอะไรอยู่นั่นแหละ...แน่นอนว่าเป็นอย่างหลัง
เขาเดินวนไปวนมาอยู่ในเมืองที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟสวยงาม
เดินเหมือนอยากจะให้ศัตรูคู่แค้นหาเขาเจอ
แล้วในที่สุดก็มีหนูตกมาอยู่ในแผนการของเขาจนได้
เคร้ง!
กระบี่ของฟางหยางอี้ตวัดมารับคมกระบี่ที่กำลังฟาดใส่หน้าเขาสมกับที่เป็นองครักษ์อันดับหนึ่งของวังหลวง
“คุ้มกันองค์ชาย!”
เสียงดุดันตะโกนกร้าวก่อนที่ศัตรูจะกระโจนออกมาจากทุกทิศทุกทางแล้วล้อมเขาไว้
เขาก็ไม่รู้หรอกนะว่าองค์ชายคนไหนส่งพวกนี้มา หรืออาจจะรวมๆกันแล้วก็ได้เพราะเมืองนี้คือเมืองที่ใกล้เมืองที่เขาอยู่มากที่สุด
น่าจะเป็นแหล่งกลบดานชั้นดีของพวกมัน
กลบดานเพื่อรอเขาออกมาเพราะพวกมันเข้าไปในเมืองที่เขาอยู่ไม่ได้
เคร้งๆๆ
เขาเบี่ยงตัวหลบกระบี่ที่ฟาดฟันอยู่รอบกาย
ฝีมือของนักฆ่าพวกนี้ไม่ใช่เล่นๆเลยจริงๆ
เพราะงั้นมันน่าแปลกไหมล่ะที่พวกมันเข้าไปในเมืองที่เขาอยู่ไม่ได้
ร่างสง่าจงใจปลีกตัวออกมาจากองครักษ์และทหารของตน
เขาล่อศัตรูสองสามคนให้ตามมาด้วย เขาหยุดยืนอยู่กลางถนนโดยไม่คิดจะชักกระบี่
คมสีเงินวาวทั้งสามอันในมือนักฆ่าจึงพุ่งตรงมาที่คอของเขาทันที
เคร้ง!!!
และมันก็ถูกปัดออกไปหมด...ด้วยกระบี่ในมือบาง
ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปากเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน
แผ่นหลังโปร่งบางของท่านอากำลังขวางกั้นระหว่างเขากับนักฆ่าอยู่...เป็นอย่างที่คิด...คนคนนี้ก็มีหน้าที่ต้องปกป้องเขาเช่นกัน...
“เจ้าเด็กโง่
ใครใช้ให้เจ้าออกมาจากเมืองของข้า” ใบหน้าสวยที่เขาไม่ได้เห็นมาแรมเดือนหันมาดุเหมือนแม่เสือขู่
แต่ในสายตาเขามันน่ารักเสียจนอดที่จะหยอกเย้าไม่ได้
“เมืองของเจ้าแล้วมันยังไง?
ทำไมข้าถึงจะออกมาไม่ได้?”
เขาแกล้งทำไขสือ
ใบหน้าสวยก็ชะงักไปเพราะนั่นคือความลับที่ไม่อาจบอกเขาได้
ริมฝีปากสีสดเม้มแน่นก่อนจะหันกลับไปวาดเพลงกระบี่ใส่ศัตรูต่อ
ดูเหมือนพวกนักฆ่าจะรู้แล้วว่าองค์ชายเจ็ดอยู่ตรงนี้
จำนวนของพวกมันถึงได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนเริ่มตึงมือของท่านอา
เขาจึงชักกระบี่ออกมาช่วยกันประมือกับศัตรู
ดวงตาคู่โตเหลือบมองเขาเมื่อเขาประสานกระบี่เข้าไปสองสามท่า
ตอนนี้ท่านอาคงรู้แล้วว่าเราน่าจะมีอาจารย์คนเดียวกัน
เขายิ้มให้ใบหน้ามนโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ร่างโปร่งบางประสานกระบี่กับเขา
ท่วงท่าที่สวยงามสอดรับและขับเคลื่อนไปด้วยกันทำให้มันมีอนุภาพร้ายแรงเป็นสองเท่า
ต่อให้ศัตรูมีจำนวนมากกว่าแต่ก็มิอาจต้านทานพวกเขาได้
เคร้ง!
นักฆ่าคนสุดท้ายถูกกระบี่ซัดจนล้มลงกับพื้น
แต่ในจังหวะที่พวกเขาละกระบี่ออกจากกัน มีดสั้นที่ถูกซุกซ่อนไว้ก็พุ่งมาหาองค์ชายเจ็ดทันที
ดวงตาคู่โตที่มองเห็นสีเงินวาวของมีดเบิกตากว้างก่อนจะผลักร่างหนาจนกระเด็น คมมีดจึงถากแขนบางจนเลือดซิบ
“ท่านอา!” เสียงทุ้มตะโกนเรียกก่อนที่ใบหน้าคมจะตวัดไปมองนักฆ่าคนนั้นด้วยแววตามืดมน
ฝ่ามือซัดกระบี่ใส่กลางลำตัวอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี นักฆ่าจึงล้มลงทันที
“เจ้าเป็นยังไงบ้าง?!”
อ้อมแขนแข็งแรงตรงเข้าไปประคองคนที่ได้รับบาดเจ็บ
“ไม่เป็นไร
แค่ถากๆ”
เลือดไหลออกมาจากต้นแขนจนเสื้อสีขาวกลายเป็นสีแดง ใบหน้าคมก้มมองแผลพลางขมวดคิ้ว
สองหูของเขาได้ยินเสียงฝีเท้านับสิบกำลังวิ่งมาทางนี้
เขาจึงดึงร่างโปร่งบางให้ลุกตามขึ้นมา ตอนนี้ต้องหาที่ซ่อนก่อน
พวกเขาวิ่งเข้าไปในเมืองที่ซับซ้อนก่อนจะเจอโรงเก็บฟืนที่เปิดแง้มเอาไว้
ร่างสูงสง่าจึงพาร่างโปร่งบางเข้าไปหลบข้างใน
มือใหญ่ประคองลำตัวบางให้นั่งลงพิงกองฟืน
ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มถูกดึงออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะพันห้ามเลือดให้
ดูเหมือนแผลจะไม่ได้ใหญ่มาก น่าจะไม่เป็นไร เขาจึงละออกมาจ้องมองใบหน้าสวยที่กำลังก้มมองแผล
“นึกว่าเจ้าจะหลบหน้าข้าไปทั้งชีวิตเสียอีก” องค์ชายเจ็ดพูดด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าสวยชะงักไปก่อนจะค่อยๆช้อนสายตากลับมามองหน้าเขา
“ข้าก็คิดจะทำเช่นนั้น
เรื่องที่เจ้าทำมันผิดมหันต์จนให้อภัยไม่ได้”
ริมฝีปากสีสดที่สะกดสายตาเขาพูดออกมา
เขาจ้องมองทุกการขยับของมันอย่างหลงใหล เขายังจำรสชาติหวานๆของมันได้
“ให้อภัยไม่ได้เชียวรึ?” ใบหน้าคมถึงกับหัวเราะในลำคอ
และอีกฝ่ายคงไม่คาดคิดว่าเขาจะไม่สำนึกผิดถึงเพียงนี้ เพราะจู่ๆมือใหญ่ก็ดึงต้นคอระหงเข้ามาในชั่วพริบตา
ริมฝีปากประกบจูบลงไปบนกลีบปากสีสดอย่างที่เจ้าของมันไม่ทันตั้งตัว
“อื้อ?!” ดวงตาคู่สวยโตเท่าไข่ห่าน ท่านอาพยายามจะถอยออกไปแต่มือใหญ่ๆก็จับต้นคอระหงเอาไว้
ริมฝีปากแนบชิดจูบจนพอใจจึงยอมละออกมา จากนั้นองค์ชายเจ็ดก็พูดใส่เป็นชุดต่อทันที
“ถ้าเจ้าหลบหน้าข้า
ข้าก็จะหนีออกมาจากเมืองของเจ้าอีก ในนั้นเจ้าตั้งค่ายกลเอาไว้ใช่หรือไม่? ข้าจะปลอดภัยหากอยู่ในเมืองของเจ้า
เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าตาย เจ้าก็ต้องโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นทุกวัน” เขายื่นข้อเสนอเอาแต่ใจ
ก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อเขาดันไปค้นพบว่าท่านอาเองก็มีหน้าที่ต้องปกป้องเขาเช่นกัน เจ้าคนที่ดูบอบบาง ไม่มีพิษภัย
ใช้ชีวิตเรียบง่ายคนนี้คือคนที่เปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้เป็นป้อมปราการได้
ถึงตัวเองจะไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงแต่ค่ายกลที่อีกฝ่ายใช้กลับเป็นค่ายกลระดับสูงที่ได้ผลพันเปอร์เซ็นต์
จะไม่มีแม้แต่หนูสักตัวเล็ดลอดเข้าไปในเมืองของอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน มันบ่งบอกได้ว่าคนคนนี้เก่งกาจขนาดไหน
เก่งและฉลาดจนเขาอยากได้มาอยู่ข้างกาย
“เจ้า!”
ท่านอาขึ้นเสียงใส่เขาเมื่อได้ฟังข้อต่อรอง แต่เขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายคัดค้านอะไรทั้งนั้น
ใบหน้าคมจึงขยับไปปิดปากที่คิดจะเถียงนั่นเสีย
“อื้อ!”
มือบางพยายามจะผลักหน้าอกเขาออกแต่แรงเขาก็เยอะกว่าอีกฝ่ายมาก
ริมฝีปากจึงรุกไล่กันอยู่หลายที เขาดูดดึงกลีบปากล่างที่นุ่มนิ่มชุ่มฉ่ำจนริมฝีปากสีแดงเผยอออก
ปลายลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าไปทันที
“อื้อๆๆ!!”
มือบางทุบมาที่แขนเขาอย่างตกใจเมื่อรับรู้ถึงเรียวลิ้นที่รุกล้ำเข้าไปในโพรงปากตัวเอง
แต่เขากลับบดเบียดริมฝีปากเข้าไปมากขึ้น
ใช้ลิ้นหยอกเย้าปลายลิ้นที่พยายามผลักใสเขาอย่างไร้เดียงสา น่าประหลาดใจที่อีกฝ่ายอายุขนาดนี้แล้วแต่กลับจูบไม่เก่งเอาเสียเลย
แล้วพอเขายอมละริมฝีปาก
นอกจากฝ่ามือบางจะฟาดแขนเขาเต็มๆ ปากที่เริ่มช้ำนั่นก็เริ่มเถียงเขาอีก
“ข้าเป็นอาของเจ้า
ทำแบบนี้ไม่ อื้อ!” เขาใช้ริมฝีปากปิดปากที่คิดจะเถียงนั่นอีก
คราวนี้เขาสอดปลายลิ้นเข้าไปตั้งแต่เริ่ม จูบนี้จึงดูดดื่ม หวานล้ำแต่ก็เร่าร้อนเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมแต่โดยดี
เขาจึงต้องใช้กำลังบังคับ
สองแขนแข็งแรงโอบกอดแผ่นหลังบอบบางแล้วกดเข้าหาตัวจนอีกฝ่ายไร้ทางหนี
เรียวลิ้นพัวพันกันจนแทบไม่เหลืออากาศไว้หายใจ
ร่างโปร่งบางหอบจนตัวโยนเมื่อเขายอมปล่อย
แต่คราวนี้ใบหน้ามนกลับเม้มปากแน่นมองเขาด้วยสายตาเคืองๆ
“ไม่เถียงแล้วรึ?” สมกับที่เป็นคนฉลาด
ช่างเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ได้ไวมาก
“.........” ใบหน้าสวยเป่าลมจนแก้มป่อง
ดวงตาคู่โตนั่นจ้องเขาอย่างดุดัน
แต่เขากลับยกยิ้มอย่างชอบใจก่อนจะเดินไปดูม้าที่อยู่ในคอกติดกับโรงเก็บฟืน
มีม้าเหลืออยู่ตัวเดียว
มือใหญ่โยนถุงใส่เงินเอาไว้แล้วเดินกลับมาอุ้มคนที่ยังตามเขาไม่ทันไปวางไว้บนหลังของม้าตัวนั้น
“ข้าขี่เอง
เจ้านั่งเฉยๆ” ร่างสูงสง่ากระโดดตามขึ้นไป
“จะไปไหน?” คนที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้นมาถาม กลิ่นหอมอ่อนๆโชยออกมาจากเส้นผมดำขลับที่แม้จะผ่านการต่อสู้ที่หนักหน่วงมามันก็ยังเรียบลื่นราวกับแพรไหม
“กลับเมืองของเจ้าไง” เขาตอบพลางกระตุกเชือกให้ม้าตัวนั้นออกวิ่ง
“แล้วองครักษ์กับทหารของเจ้าล่ะ?”
“เดี๋ยวมันก็หาทางกลับมาเองนั่นแหละ” ฟางหยางอี้ได้ยินคงน้ำตาไหลเป็นสายเลือดแน่ๆ
ขนาดใบหน้าสวยยังส่ายน้อยๆอย่างระอา
จู่ๆนิ้วเรียวก็ยกขึ้นมาจ่อริมฝีปากแดงช้ำก่อนที่ท่านอาจะส่งเสียงเป็นสัญญาณออกไป
มันเป็นสัญญาณที่องค์ชายเจ็ดถึงกับเหลือบตาลงมามองอย่างอึ้งๆเมื่อได้ยิน
“เจ้ารู้...” ใบหน้าคมมองเสี้ยวใบหน้าของคนที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยความประหลาดใจ
เพราะสัญญาณนั่นเป็นสัญญาณจำเพาะ มีเพียงทหารขององค์ชายเจ็ดเท่านั้นที่รู้
ใบหน้าสวยปรายตามองเขาแว่บหนึ่งก่อนที่ริมฝีปากสีแดงช้ำจะส่งสัญญาณอีกแบบออกไป
รอบนี้น่าจะบอกทหารของตัวเอง
“ข้ารู้...และข้าก็คิดว่าเจ้าพอจะเดาออกว่าข้าเป็นใคร” เสียงนุ่มเอ่ยบอก คงรู้ว่าปิดเขาต่อไปไม่ได้แล้วสินะถึงยอมบอกแต่โดยดีแบบนี้
“เจ้ายังรู้สัญญาณของกองทหารรักษาพระองค์ขององค์ชายคนอื่นอีกหรือไม่?” อันที่จริงเขายังไม่แน่ใจนักจึงต้องซักเพิ่มอีกสักข้อสองข้อ
“ข้ารู้หมดทุกกอง” เสียงนุ่มเอ่ยบอกในขณะที่ม้าวิ่งเร็วขึ้น
หากคุยกันบนนี้ไม่น่าจะมีใครดักฟังได้แน่ หลักการง่ายๆที่สายลับต้องเรียนรู้
“เจ้าทำงานให้ใคร?” องค์ชายเจ็ดเอ่ยถาม
“ข้าทำงานขึ้นตรงต่อฮ่องเต้”
“เสด็จพ่อไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่
หากข้ารู้เรื่องนี้?”
“เขาต้องการให้เจ้ารู้
ถึงได้ส่งเจ้ามาอยู่กับข้า” ใบหน้าคมนิ่งไปหลายนาทีก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงกดต่ำ
“...เจ้า...คือหัวหน้าหน่วยสอดแนมที่ขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิใช่หรือไม่...”
ใบหน้าสวยค่อยๆพยักลงช้าๆ...
และการที่อีกฝ่ายยอมเปิดเผยตัวตนต่อเขานั้นนับเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
เพราะปกติพวกสายลับหรือหน่วยสอดแนมนั้นจะต้องซ่อนตัวแม้แต่คนในครอบครัวก็จะให้รู้ไม่ได้
ยิ่งอีกฝ่ายเป็นถึงหน่วยสอดแนมของฮ่องเต้ยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากเสด็จพ่อของเขาแล้วก็ไม่น่าจะมีใครรู้ถึงการมีตัวตนของหน่วยนี้อีก
ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าอ๋องปลายแถวที่อยู่ในเมืองแร้นแค้นคนนี้จะมีความสำคัญยิ่งกว่าองค์ชายรัชทายาทเสียอีก
แท้จริงแล้วเมืองของเซียวอ๋องไม่ได้สร้างไว้เพื่อปกป้องเขาโดยเฉพาะ
แต่มันเป็นแหล่งกลบดานของพวกสายลับที่มีมานานแล้วต่างหาก
ถ้าอย่างนั้นที่เสด็จพ่อส่งเขามาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่จะตัดหางปล่อยวัด
แต่กลับเป็นหนทางให้เขาเข้าใกล้บัลลังก์มากกว่าเก่า เพราะท่านอาของเขาคนนี้ควบคุมสายลับทั่วทั้งแผ่นดิน
มีสายอยู่ทุกเมือง รู้เรื่องภายในของตระกูลทุกตระกูลไม่เว้นแม้แต่แคว้นเพื่อนบ้าน หลายๆครั้งที่เขารู้สึกว่ามีคนชุดดำแว่บไปแว่บมาอยู่รอบๆบ้าน
พวกนั้นก็น่าจะเป็นสายลับที่มารายงานต่อเซียวอ๋องนั่นเอง
และผู้ที่รู้จุดอ่อนของศัตรูก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่ายๆโดยไม่ต้องทำสงครามเลยด้วยซ้ำ
ม้าสีเทาวิ่งผ่านทุ่งหญ้าท่ามกลางดวงจันทราสีเงินที่ขึ้นอยู่เบื้องหลัง
เสื้อผ้าสีขาวกับสีดำของสองคนที่อยู่บนหลังม้าพลิ้วไหวผสมผสานกันไปในสายลมช่างดูสวยงามราวกับภาพวาด
แต่แทนที่อาชาตัวนั้นจะวิ่งต่อไปมันกลับเลี้ยวออกนอกเส้นทางแล้วหยุดลงที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง
“คืนนี้พักที่นี่ก็แล้วกัน”
องค์ชายเจ็ดอุ้มร่างโปร่งบางลงจากหลังม้าก่อนจะเดินไปเคาะประตูโรงเตี้ยมที่ดูท่าจะไม่มีใครมาพักแรมนอกจากพวกเขาอีก
“ตรงไปอีกไม่ถึงสองชั่วยามก็ถึงเมืองของข้าแล้วแท้ๆ
แวะค้างคืนที่นี่จะไม่อันตรายรึ” ใบหน้าสวยเหลียวมองรอบกายอย่างไม่วางใจ
“เข้าไปตอนนี้สิอันตราย
ป่านนี้พวกนักฆ่าคงไปดักรอที่หน้าประตูเมืองกันมากมายแล้ว
รอให้เจ้าฟางหยางอี้ไปเก็บกวาดเสียก่อนค่อยตามเข้าไป” ใบหน้าสวยมองใบหน้าคมที่พูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับการส่งทหารของตัวเองไปเป็นทัพหน้า
น่าสงสารองครักษ์คู่กายคนนั้นเสียจริง
ต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพราะเจ้านายเอาแต่ใจคนนี้มากี่ครั้งกี่หนกันแล้วเนี่ย
“แล้วใครว่าข้าจะเข้าทางประตูหน้าเล่า”
ร่างโปร่งบางพยายามหาทางอื่น เอาจริงๆเขาไม่ได้กลัวพวกนักฆ่าจะตามมา
แต่เขาไม่ไว้ใจเจ้าคนที่มีศักดิ์เป็นหลานชายนี่มากกว่า
การต้องค้างแรมกับอีกฝ่ายสองต่อสองมันอันตรายกว่าเจอนักฆ่ามากมายนัก
“ถ้าไปเข้าทางอื่นก็ต้องอ้อมและตอนนี้ก็มืดแล้ว
อันตราย ทำตามที่ข้าบอก พักที่นี่ก่อน” ใบหน้าคมเอ่ยอย่างไม่สนใจความเห็นของใคร
ร่างสูงสง่าจัดการเลือกห้องพักเสร็จสรรพเมื่อเสี่ยวเอ้อออกมาต้อนรับ
“แต่ว่า”
“ถ้าเจ้าเถียง
ข้าจะจูบเจ้า”
“......” ใบหน้าสวยถึงกับหุบปากทันที
ดวงตากลมโตทำได้แค่มองอีกฝ่ายอย่างนึกเคือง
ร่างโปร่งบางหยุดยืนอยู่หน้าห้องไม่ยอมก้าวขาเข้าไปจนองค์ชายเจ็ดต้องออกมาลากเข้าไป
ข้อมือบางขัดขืนเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพักห้องเดียวกันด้วยในเมื่อโรงเตี้ยมที่นี่ว่างทุกห้อง
“ถ้ามีนักฆ่าบุกเข้ามาตอนข้ากำลังหลับล่ะ
เจ้าอยู่อีกห้องจะปกป้องข้าได้ยังไง?” ทีตอนนี้ละกลัวนักฆ่าขึ้นมาเชียวนะ
แล้วฝีมืออย่างเจ้าคงไม่ต้องให้ข้าปกป้องหรอก!
ใบหน้ามนมองเจ้าคนที่เดินไปหยิบอ่างน้ำอย่างนึกหมั่นไส้
ไม่ต้องทำเป็นหาเหตุผลมากมายมาบอกเขาหรอก
มีหรือเขาจะรู้ไม่ทันว่าอีกฝ่ายต้องการจะหาเศษหาเลยกับเขามากกว่า!
มือบางกระชับสาบเสื้อเข้าหากันก่อนจะเดินไปนั่งที่ตั่งซึ่งอยู่ไกลๆเตียง
แต่ร่างสูงสง่านั่นก็ยังเดินตามมา
อ่างทองเหลืองในมือใหญ่วางลงใกล้ๆก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มจู่โจมเขา
“เจ้าจะทำอะไร?!”
มือใหญ่ปลดผ้าคาดเอวบางออกอย่างรวดเร็ว
สาบเสื้อถูกดึงออกจากกันก่อนที่เสื้อสีขาวจะถูกปลดออกจากไหล่
“ถ้าไม่ถอดเสื้อเจ้าแล้วจะทำแผลได้ยังไง
มาให้ข้าดูซิ เผื่อมีดนั่นอาบยาพิษเอาไว้” มือบางพยายามดึงสาบเสื้อปิดแผ่นอกเอาไว้ถึงแม้ลาดไหล่จำต้องเปลือยเปล่า
บาดแผลที่ต้นแขนรู้สึกแสบๆเมื่อโดนอากาศ
“ถ้ามีดนั่นอาบยาพิษข้าคงตายไปนานแล้ว” ริมฝีปากสีสดพยายามเถียงว่าแผลแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก
“พิษแบบที่ใช้เวลากว่าจะออกฤทธิ์ก็มี” แต่มือใหญ่ของคนดื้อดึงก็ยังคงใช้ผ้าเช็ดรอบๆแผลให้
มาถึงขนาดนี้แล้วเขาก็คงต้องปลงแล้วยอมอีกฝ่ายแต่โดยดี จะได้จบๆไป
ร่างโปร่งบางจึงยอมนั่งนิ่งๆให้อีกฝ่ายทำแผลให้
แต่สายตาลุกวาวราวกับเสือเห็นเหยื่อของเจ้าเด็กตรงหน้าก็ทำให้เขารู้สึกผวาทุกครั้งที่อีกฝ่ายเหลือบมองไปตามผิวกายเปลือยเปล่าของเขา
“อ๊ะ” ริมฝีปากสีสดอุทานออกไปเบาๆเมื่อผงยาถูกแตะลงที่ปากแผล
ฝ่ามือบางรีบตะครุบปิดปากตัวเองเมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าคมอมยิ้มเจ้าเล่ห์...ตั้งใจหรือไม่
เจ้าเด็กนั่นจงใจหรือเปล่า?
ทันทีที่ผ้าพันแผลผูกเป็นปมเสร็จ
มือบางก็รีบดึงเสื้อขึ้นก่อนจะกระชับปิดให้เรียบร้อย
นี่เขาต้องระวังตัวขนาดนี้กับหลานชายด้วยหรือยังไง? ปกติอาหลานเค้าเป็นแบบนี้กันเหรอ?
ไม่น่าใช่...ไม่น่าใช่...
“มานอนนี่สิ” ผู้มีศักดิ์เป็นหลานเอ่ยเรียกและมือใหญ่ก็ตบปุๆลงไปบนเตียง
“ข้านอนตรงนี้ก็ได้...” เขาปรายตามองอย่างระแวง
“เจ้าบาดเจ็บอยู่
ต้องนอนบนเตียงดีๆสิ” องค์ชายเจ็ดยังคงพยายามหว่านล้อมให้เขาไปนอนบนเตียงที่อันตรายยิ่งกว่าสมรภูมิรบนั่น
“ถ้าข้าไปนอนที่เตียงแล้วเจ้าจะไปนอนที่ไหน?”
“ข้าก็นอนกับเจ้าสิ
ที่ออกกว้างขวาง แล้วเราก็เป็นอาหลาน นอนร่วมเตียงไม่เห็นจะเป็นไร หรือเจ้าไม่ได้คิดกับข้าแค่หลาน?” ใบหน้ามนถึงกับสะอึก เขาสิที่พยายามคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่หลาน! แต่เจ้าเด็กนั่นต่างหากที่ทำให้เขาคิดว่าหลายๆอย่างมันก็เกินอาหลานไปแล้ว!
“.....”
ร่างโปร่งบางจำต้องเดินไปนั่งลงบนเตียงอย่างไม่ไว้ใจ
“นอนลงสิ
ข้าจะดับไฟแล้ว” อีกฝ่ายเร่งเร้าจนเขาต้องค่อยๆนอนลงริมเตียงสุดๆจนแทบจะตกลงไปเสียให้ได้
“อ๊ะ?”
แล้วจู่ๆมือแข็งแรงก็รั้งเอวเขาแล้วดึงเข้าไปกลางเตียง
ท่อนแขนที่เป็นกล้ามเนื้อกอดรัดจนแผ่นหลังเขาแทบจมลงไปในแผงอกของอีกฝ่าย
“ปล่อยข้านะ
ทำอะไรของเจ้า?!” ร่างโปร่งบางดิ้นขลุกขลัก
เขาไม่น่าหลงเชื่อคำว่า “อาหลาน” ของเจ้าเด็กเจ้าเล่ห์นี่เลยจริงๆ!
“ไม่ปล่อย
ข้าจะนอนกอดเจ้า ถ้าเจ้าไม่ยอมให้ข้ากอด ข้าอาจจะนึกอยากทำอย่างอื่น” แล้วมือใหญ่ก็ลูบลงบนต้นขาให้เขารู้ว่า
“อย่างอื่น” นั้นมันคืออะไร
“......” ใบหน้ามนกัดฟันก่อนจะยอมนอนนิ่งๆให้อีกฝ่ายกอด
ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยโดนคุกคามอย่างไร้ทางสู้ขนาดนี้มาก่อน
เพราะอีกฝ่ายมีศักดิ์เป็นหลานชายเขาเลยลอบทำร้ายจนถึงตายไม่ได้ แต่จะลงโทษตรงๆให้หลาบจำเขาก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้
คงไม่มีอาที่ไหนน่าสมเพชเท่าเขาอีกแล้ว ถูกหลานรังแกเอาๆแบบนี้
“ขอบคุณ...”
เสียงกระซิบจากแผ่นหลังทำให้ดวงตาคู่โตถึงกับเบิกกว้างเพราะเป็นคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากร้ายๆขององค์ชายเจ็ด
“ขอบคุณที่เจ้าออกไปตามหาข้าที่ป่าหมอกพิษ
ขอบคุณที่เจ้าคอยปกป้องข้า ขอบคุณที่เจ้าเป็นห่วงข้า...เจ้ารู้ไหมว่าข้าเกิดและเติบโตมาในสถานที่เช่นไร
ในวังหลวงที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดี คนที่เป็นห่วงข้าด้วยใจจริงนั้นหาได้ยากยิ่ง” ต้นคอด้านหลังรู้สึกได้ถึงแรงจุมพิตแผ่วเบา
แต่ร่างกายของเขากลับไม่ต่อต้าน
ถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาราวกับน้ำชุ่มฉ่ำที่กำลังซึมซับลงสู่หัวใจโดยไม่รู้ตัว
เขาเองก็เติบโตมาอย่างเดียวดาย
เขาไม่เคยคิดถึงใครหรืออะไรนอกจากภารกิจที่ได้รับ ไม่เคยได้สัมผัสไออุ่นจากอ้อมแขนใครสักคนแบบนี้มาก่อน
ฝ่ามือบางค่อยๆยกขึ้นก่อนจะวางทาบลงไปบนมือใหญ่ที่กอดเอวเขาอยู่
ทั้งๆที่รู้ว่าทางที่จะเดินนั้นมันผิดแต่หัวใจกลับเรียกร้องให้ก้าวต่อไปไม่หยุด
แล้วข้า...ควรจะทำอย่างไรดี....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
รุกเข้าไปเลยค่ะคุณหลานเจ็ด
ตอบลบจูบนิดลูบหน่อย อาเซียวยอมอยู่ละ