ป๋อจ้าน Au Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] หนึ่งบุปผา หนึ่งมังกร หนึ่งรักนิรันดร : 04


ป๋อจ้าน Au Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]   หนึ่งบุปผา หนึ่งมังกร หนึ่งรักนิรันดร : 04

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Chinese Period Drama Incest
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ







ดวงตาที่เหนื่อยล้าเปิดขึ้นช้าๆ รู้สึกคอแห้งเป็นผุยผงริมฝีปากซีดเซียวจึงเอ่ยออกไปอย่างไร้สติ

“น้ำ”    เงารางๆของใครบางคนหันมาทันที

“เจ้าอยากดื่มน้ำรึ?  น้ำถูกรินใส่ถ้วยก่อนที่ใครคนนั้นจะยกมันมาให้เขา มือบางช่วยประคองจนเขาสามารถดื่มน้ำเข้าไปได้

เขานอนลงโดยมีเงานั่นนั่งมองอยู่ข้างเตียง สายตาค่อยๆปรับโฟกัสจนในที่สุดก็เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

ก่อนหน้านี้คนที่จะอยู่ดูแลเขายามเจ็บไข้ก็มีเพียงเสด็จแม่กับฟางหยางอี้...แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเพิ่มมาอีกคน

“ท่านอา

“ยอมเรียกข้าว่าอาแล้วรึ?  ใบหน้าคมยิ้มจางๆ อาจจะเป็นเพราะพิษไข้หรือพิษของหมอกทำให้พยัคฆ์ร้ายอย่างเขาเชื่องกว่าปกติ แต่จะอย่างไรเสีย "ท่านอา" ที่เขาเรียกก็ไม่ได้แปลว่าท่านอาจริงๆเสียหน่อย เขาไม่ได้รู้สึกนับถืออีกฝ่ายราวกับญาติผู้ใหญ่ แต่นับถือในน้ำใจที่อีกฝ่ายคอยช่วยเหลือเขามากกว่า

“แล้วลูกน้องของข้า”    คนที่ถูกพิษเป็นยังไงกันบ้าง

“ไม่ต้องห่วงหรอก กำลังให้ยาถอนพิษกันอยู่ หมอกพิษพวกนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแร่ธาตุที่ทำปฏิกิริยากับอากาศบริเวณนั้น ถ้าสูดกลิ่นเข้าไปไม่นานก็ยังพอมีทางแก้ไข”   เสียงนุ่มอธิบายให้เขาเบาใจ แต่ถึงอย่างไรทหารพวกนั้นก็ไม่ควรจะต้องเจ็บตัวเพราะเขา

เพราะทิฐิและความโง่เขลาของข้าทำให้พวกเขาต้องบาดเจ็บ  ใบหน้าคมเอ่ยออกไปอย่างสำนึกผิด หากเขาฟังคนตรงหน้า ทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้

ไอเย็นของอะไรบางอย่างแนบมาที่แก้มของเขา และเมื่อเหลือบไปมองจึงรู้ว่าเป็นมือบางของท่านอาประคองใบหน้าของเขาอยู่ ใบหน้างดงามก้มลงมาสบประสานสายตากับเขา

แค่เจ้ายังมีสำนึกอยู่นั่นก็นับว่าเพียงพอแล้ว  อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวโทษหรือตำหนิติเตียนในเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ท่านอาเพียงแต่ปลอบโยนเขาและให้เขาจำเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้เป็นบทเรียน หลายๆอย่างมันทำให้เขานึกถึงเรื่องราวหนึ่ง นึกถึงคนคนหนึ่ง ริมฝีปากสีซีดจึงพูดออกมาเหมือนคนเพ้อด้วยฤทธิ์ไข้

“เจ้ารู้ไหม...แต่ไหนแต่ไรมาคนมักจะติดภาพที่ว่าฮองเฮาต้องเป็นหญิงร้ายกาจขี้อิจฉา ทั้งๆที่เสด็จแม่ของข้าเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนโยนใจดีคนหนึ่งเท่านั้นเอง ข้าทำผิดตรงไหนที่ปกป้องคนไร้ทางสู้อย่างนาง ข้าทำผิดตรงไหนที่ปกป้องแม่ของข้า...”   ท้ายประโยคค่อยๆแผ่วเบาลงเรื่อยๆจนในที่สุดก็เงียบไป นัยน์ตาคมกล้าปิดลงพร้อมลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ

“หลับซะ เด็กโง่...”  มือบางที่ประคองแก้มเกลี้ยงเกลาขยับลูบมันเบาๆก่อนจะละมือออกมา ดวงตาคู่โตทอดมองคนที่มีศักดิ์เป็นหลานชาย เอาเข้าจริงมันก็ไม่ง่ายสำหรับเขานักที่จะให้ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเหมือนเป็นอาหลานกันจริงๆ ด้วยเพราะไม่เคยพบกันมาก่อน เขาไม่เคยเห็นองค์ชายเจ็ดตอนเด็กๆ เขาไม่รู้จะเอ็นดูอีกฝ่ายที่ตัวเล็กๆได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่เคยเห็น เมื่อได้เจอหน้ากันอีกฝ่ายก็โตจนสมชายชาตรีไปแล้ว คนตรงหน้าเขาห่างไกลกับคำว่าหลานชายยิ่งนัก ถ้าให้คิดว่าเป็นเพื่อน เป็นน้องชายยังจะง่ายกว่า เขาจึงทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กนี่

“เสด็จแม่...”   ใบหน้าคมของคนที่หลับใหลงึมงำพร้อมขมวดคิ้วทั้งๆที่ยังหลับ มือบางจึงเอื้อมไปจับมือใหญ่เอาไว้ ดวงตาคู่สวยทอดมองหัวคิ้วที่เริ่มผ่อนคลาย...คงจะเป็นห่วงฮองเฮามากสินะ เพราะที่องค์ชายเจ็ดอาละวาดจนถูกเนรเทศออกมาจากวังหลวงก็เพราะเรื่องของผู้เป็นแม่ทั้งนั้น

เขาทอดสายตาไล่มองใบหน้าที่หลับใหล

แต่ถ้าเจ้าไม่ทำความผิดในครั้งนั้น เราจะได้พบกันหรือไม่เล่า...









หลังจากที่หลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ใบหน้าคมก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ร่างกายรู้สึกเบาโหวงอย่างน่าประหลาด รู้สึกราวกับว่าเขาไม่เคยโดนพิษเสียอย่างนั้น จะหายเป็นปลิดทิ้งขนาดนี้ นอกจากมียาดีแล้วยังต้องมีพยาบาลดีด้วย

นัยน์ตาคมกล้าเหลือบมองอ่างทองเหลืองที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ขอบอ่างยังมีผ้าหมาดๆพาดอยู่ แสดงว่าเพิ่งมีคนมาเช็ดตัวให้เขาเมื่อไม่นานมานี้และดีไม่ดีคนคนนั้นอาจจะคอยเช็ดตัวให้เขาทั้งคืนเลยก็ได้  ไม่เช่นนั้นคงไม่สลบไสลเช่นนี้

เขาทอดสายตามองร่างระหงที่ฟุ้บหลับอยู่ข้างเตียง ไหล่ที่เขาเคยฝังรอยจูบเอาไว้ช่างดูบอบบางจนไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนไปช่วยเขาออกมาจากป่าหมอกพิษนั่นได้ จริงอยู่ที่เขาเริ่มสงสัยในตัวคนคนนี้แต่ก็เริ่มจะเปิดใจให้ด้วย อีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอและเป็นแค่ท่านอ๋องปลายแถวอย่างที่เขาเคยคิด อีกฝ่ายไม่ได้ใช้ชีวิตสันโดษราวกับชาวบ้านคนหนึ่งแต่อย่างน้อยต้องมีทหารอยู่ในมือ เมื่อวานเขาถึงได้ยินเสียงม้าจำนวนไม่น้อยที่ออกตามหาเขา ชาวบ้านธรรมดาไม่มีทางขี่ม้าในป่านั่นได้แน่ๆ

เสียงเคาะประตูทำให้เขาเงยหน้าขึ้นไปมอง พ่อบ้านชราเดินเข้ามาก่อนจะผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่ตื่นคือเขาและคนที่หลับไปคือเจ้านายของตน

“ให้ข้าปลุกท่านอ๋อง –“

“ชู่ว....”   เขายกนิ้วเป็นสัญญาณไม่ให้พ่อบ้านเสียงดังจนไปปลุกคนหลับเข้า ชายชราจึงพยักหน้าแล้วเก็บอ่างทองเหลืองบนโต๊ะออกไป

มือใหญ่ลูบเส้นผมดำขลับที่ยาวถึงกลางหลังของคนที่มีศักดิ์เป็นอา...จะให้ข้าเห็นเจ้าเป็นญาติผู้ใหญ่ได้อย่างไรในเมื่อเจ้ายังเยาว์วัยเช่นนี้...เขามองจมูกโด่งรั้นกับริมฝีปากสีราวกับดอกเหมยด้วยความรู้สึกสับสน

อีกฝ่ายอาจจะเห็นว่าเขาเป็นหลานเลยดูแลเหมือนตัวเองเป็นผู้ปกครอง แต่เขาไม่ได้อยากมีแม่คนที่สองนี่

ใบหน้าคมจึงก้มลงไปใกล้ๆ เขาไม่รู้ว่าเขาอยากเป็นอะไรกับอีกฝ่ายกันแน่ ก่อนหน้านี้เป็นศัตรูที่ไม่ชอบขี้หน้ากันก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ ถ้าสมองยังหาคำตอบไม่ได้ งั้นก็ให้ร่างกายและหัวใจลองหาคำตอบดูบ้างก็แล้วกัน

ดวงตาคมกล้าจ้องมองริมฝีปากสีแดงระเรื่อที่เผยอออกน้อยๆนั่นราวกับมีแรงดึงดูด ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักจึงยิ่งขยับเข้าหา...

แล้วจู่ๆแพขนตาที่ปิดแนบแก้มใสก็ค่อยๆเปิดขึ้นเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่ใกล้แสนใกล้ สิ่งที่ดวงตาคู่โตมองเห็นหลังจากที่ตื่นขึ้นมาก็คือใบหน้าของหลานชายที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบ...อีกนิดเดียวริมฝีปากก็แทบจะแนบชิด

ร่างโปร่งถอยพรวดจนเกือบจะหกล้ม และเมื่อทรงตัวได้มือบางก็ยกขึ้นมาแตะริมฝีปากของตัวเองพร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่โตเท่าไข่ห่าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าองค์ชายเจ็ดกำลังจะทำอะไร ในเมื่อคราวที่แล้วยังทิ้งร่องรอยเอาไว้เต็มคอเขา

ร่างโปร่งบางไม่ได้พูดอะไรแต่รีบเดินหนีไปทันที

สองขาก้าวยาวๆจนถึงเรือนฝั่งตะวันตกและไม่ว่าข้ารับใช้จะทักทายอย่างไรเขาก็เดินผ่านราวกับไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว

มือบางปิดประตูห้องนอนของตนก่อนจะเดินไปนั่งที่ปลายเตียง มือที่ทาบอยู่บนหน้าอกยังสั่นระริกเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นราวกับจะทะลุออกมาเสียให้ได้...เขาตกใจ...ตกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำมากจริงๆ

การที่หลานชายจูบผู้เป็นอาอย่างเขามันถูกต้องหรือ? ถึงเรื่องที่ผู้ชายกอดจูบกับผู้ชายด้วยกันเขาจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่กับคนที่มีสายเลือดเดียวกันแล้ว มัน.....

หรือจะเป็นแค่การล้อเล่น? หรือจะเป็นแค่การกลั่นแกล้งรังแกเขาเหมือนอย่างที่เคยทำ? แต่นี่ไม่นับว่ารุนแรงเกินไปหน่อยหรือ?











ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา องค์ชายเจ็ดก็โดนหลบหน้าจากผู้เป็นอาอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งๆที่ยืนสั่งงานพ่อบ้านอยู่ตรงนั้นแท้ๆ แต่พอเขาจะเดินเข้าไปทัก ร่างโปร่งบางนั่นก็หายเข้ากลีบเมฆไปทันที แล้วมันก็เป็นแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งจนเขาชักจะหงุดหงิด ว่าจะยอมญาติดีด้วยสักหน่อยแท้ๆเชียว ถ้าแบบนี้ก็ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิมเถอะ 


ทั้งๆที่คิดแบบนั้น...


แต่พอเห็นคนที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในศาลาริมสระทำทีเหมือนจะลุกหนีเขาอีกแล้ว ความอดทนก็หมดลงทันที

ร่างกายมันขยับไปเองโดยอัตโนมัติ มือใหญ่กระชากแขนคนที่กำลังจะเดินหนีจนลำตัวบางแทบปลิวมาปะทะแผงอก

“เจ้า!”   ผู้มีศักดิ์เป็นอาถลึงตาใส่ก่อนจะพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการจับกุม ท่าทางแบบนี้แสดงว่ารู้แล้วสินะว่าถูกเขาทำอะไรลงไปบ้าง แต่ว่านะ ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย ไม่ได้เสียหายตรงไหน ไม่เห็นต้องตั้งแง่ขนาดนั้นเลย

“ทำไม? หลบหน้าข้าเพราะกลัวว่าข้าจะจูบเจ้าหรือไง?”   ใบหน้าสวยชะงักไปบ่งบอกให้รู้ว่าที่เขาคิดไว้นั้นไม่ผิดเลย แล้วยิ่งเห็นอีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบ แสดงออกว่ารังเกียจ แสดงออกว่าอยากจะหลบหนีไปจากเขา ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ยิ่งอยากจะรังแกหนักกว่าเก่า ใบหน้าคมจึงยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน

“ไม่ต้องกลัว แล้วจากนี้ไปก็ไม่ต้องหนีแล้ว”   อีกฝ่ายยังไม่ทันจะเข้าใจที่เขาพูด ไหล่บางก็ถูกสองมือของเขาดึงเข้ามาหา ใบหน้าคมจู่โจมริมฝีปากสีสดนั่นทันที

เขาจูบอีกฝ่าย

เขาจูบคนที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านอาของเขา

แล้วก็ไม่ใช่จูบเพียงแผ่วเบาเหมือนที่เด็กน้อยทำกับญาติผู้ใหญ่

แต่ริมฝีปากของเขากำลังบดเบียดลงไปบนกลีบปากนิ่มจนแทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน

“อื้อ?!”   มือบางพยายามจะผลักเขาออก จากที่แค่จับต้นแขนไว้เขาจึงรวบลำตัวบางมากอด ยิ่งขัดขืนเขาก็ยิ่งรัดแน่น ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งดูดกลืนริมฝีปากรสดีนั่นไม่ยอมปล่อย เขาไล่งับกลีบปากที่พยายามเบี่ยงหนี ทำไมถึงรู้สึกดีขนาดนี้ก็ไม่รู้

“ปล่อย!”   มือบางผลักเขาออกมาจนได้ ความจริงแล้วเขาเป็นฝ่ายปล่อยเองแหละ

ใบหน้าสวยหอบน้อยๆพร้อมกับจ้องเขาเขม็ง มือใหญ่ตรงเข้าไปดึงข้อมือเล็กก่อนจะกระชากให้ร่างโปร่งขยับมาแนบชิดอีกครั้ง ใบหน้าคมโน้มไปพูดกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มร้าย

“ไม่ต้องหนี เพราะข้าได้ริมฝีปากของเจ้ามาแล้ว”  เขาจงใจยิ้มกวนประสาทให้ แล้วก็ทั้งๆที่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะโมโหจนตบหน้าเขาได้ ทั้งๆที่เตรียมยกมือมารอรับไว้แล้ว แต่ท่านอากลับเม้มปากแน่นแล้วมองมาด้วยสายตาที่สั่นพร่าเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา เขาจึงชะงักไป

อีกฝ่ายโกรธเขาดูออก แต่เพราะไม่ตอบโต้อะไรนี่สิที่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก

“เอ่อ...เจ้า...”    น้ำตาหยดแหมะลงมาจากดวงตาคู่สวยทำให้เขาปล่อยมืออย่างทำอะไรไม่ถูก มือบางจึงยกขึ้นไปปาดน้ำตาตัวเองลวกๆแล้วรีบเดินหนีไป

ร่างสูงสง่ายืนมองร่างโปร่งบางที่เดินปาดน้ำตาไปตามสะพานซับซ้อนพวกนั้นด้วยหัวใจที่รู้สึกหน่วงๆชอบกล เขาแกล้งหนักไปงั้นเหรอ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถึงกับร้องไห้ แต่ไม่พอใจตรงไหนทำไมไม่พูดกับเขาล่ะ จะเอาแต่หนีไปถึงไหน?









แล้วเขาก็ได้รู้ว่าการหนีของท่านอาก่อนหน้านี้มันเทียบกับการหนีในครั้งนี้ไม่ได้เลย...

ก็ตั้งแต่วันที่เขาไปบังคับจูบอีกฝ่าย ท่านอาก็หายตัวไปจากจวนอย่างไร้ร่อยรอย...

องค์ชายเจ็ดนั่งเหม่ออยู่ในศาลาริมสระ บัวหิมะทิเบตออกดอกสวยงามแต่เขาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะชื่นชมความงามของมัน เขาไม่ได้เห็นหน้าเจ้าของจวนแห่งนี้มาเป็นเดือนแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านอาหนีไปตอนไหน ไปยังไง ไปกับใคร ไปที่ไหน เพราะนอกจากร่างโปร่งบางนั่นแล้วข้ารับใช้ในจวนฝั่งตะวันตกก็ยังอยู่กันครบ

ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปเกยราวกันตกของศาลาเอาไว้ด้วยท่าทางซังกะตาย ความรู้สึกโหยหาที่รุนแรงนี้คืออะไรกัน ทั้งๆที่ตอนเจอหน้าก็เอาแต่ชวนทะเลาะ แต่พอไม่เห็นหน้ากลับคะนึงหาเสียมากมาย

มันเป็นความรู้สึก...ที่เข้าใจง่ายแต่ก็ยากที่จะเข้าใจ...

ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพียงแต่เขาไม่เคยรู้ว่ามันจะเกิดกับผู้ชายด้วยกันและมีสายเลือดเดียวกันได้ด้วย...

แต่มันก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ในเมื่อเขากับร่างโปร่งบางนั่นก็แทบจะเป็นคนแปลกหน้า เราไม่เคยพบ ไม่เคยรู้จักกันในฐานะอาหลานมาก่อน แล้วต่างฝ่ายต่างอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน เขายอมรับว่ารูปร่างหน้าตาของท่านอาดึงดูดเขาไม่น้อย ยิ่งต้องถูกจับมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ จะเกิดความรู้สึกบางอย่างต่อกันมันก็ไม่เห็นแปลก

ตัวเขาเองไม่สนใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ขอแค่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น แต่ดูเหมือนท่านอาจะคิดมากกว่าเขา อีกฝ่ายถึงได้เลือกที่จะตีตัวออกห่างไปแบบนี้

ท้องฟ้ารอบกายมืดลงตั้งแต่เมื่อไหร่เขาแทบไม่รู้ตัวเลย ร่างสง่าลุกขึ้นเตรียมจะก้าวขากลับเรือนฝั่งตะวันออก ป่านนี้เจ้าฟางหยางอี้คงตามหาเขาให้ควั่กเพราะคิดว่าเขาจะไปก่อเรื่องก่อราวที่ไหนอีกแน่ๆ


ฟึ่บ!!


เงาอะไรบางอย่างที่วิ่งผ่านหน้าทำให้องค์ชายเจ็ดขยับกายไปหลบหลังเสาโดยอัตโนมัติ ดวงตาคมกล้ามองตามเงาร่างที่กระโดดไปตามหลังคาเพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนฝั่งตะวันตก หรือจะเป็นโจรผู้ร้าย? เป็นนักฆ่าที่อาจจะมาลอบสังหารท่านอา?

ร่างสูงสง่ากระโดดตามไปทันที อยู่ในบ้านเขาไม่ได้พกกระบี่เพราะฉะนั้นจึงมีเพียงกิ่งไม้ที่ใช้เป็นอาวุธ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

มือใหญ่เด็ดกิ่งไม้ก่อนจะใส่พลังเข้าไป กิ่งไม้สี่ห้าอันพุ่งออกไปราวกับลูกธนู ร่างในชุดดำนั่นหันมาเห็นก่อนจะพลิ้วตัวหลบไปแบบฉิวเฉียด เขาตรงเข้าไปซัดฝ่ามือใส่ ถึงอีกฝ่ายจะรับไว้ได้แต่ก็เซไปเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่ถนัดการต่อสู้ที่ต้องใช้แรงสินะ คนในชุดดำนั่นจึงชักกระบี่ออกมาวาดใส่เขา กิ่งไม้ยาวในมือปัดป้องคมกระบี่พวกนั้นอย่างต่อเนื่อง อีกฝ่ายมีวิชากระบี่ที่ร้ายกาจมาก ทั้งคมคาย แข็งแรง แถมยังว่องไวราวกับกระต่ายอีกแหน่ะ นี่ถ้าเขาไม่ใช่องค์ชายเจ็ดที่วรยุทธแข็งแกร่งที่สุดในวังหลวงแล้วละก็ ป่านนี้เขาคงลงไปกองที่พื้นไปแล้ว

ฝ่ามือซัดเข้าไปที่ไหล่บอบบางจนคนในชุดดำนั่นกลิ้งตกลงไปหลังกำแพง เขายืนมองเงาร่างที่กระโดดหนีไปก่อนจะก้มลงมองมือของตัวเอง ที่เขาไม่ตามต่อเพราะเขารู้สึกว่านั่นเป็นคนคุ้นเคย จากรูปร่างแล้วก็กลิ่นหอมอ่อนๆที่เหมือนกลิ่นของท่านอาไม่มีผิด...






วันเวลายังคงเคลื่อนผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย องค์ชายเจ็ดออกมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในเมือง อยู่บ้านไปก็ไม่มีคนให้แกล้ง น่าเบื่อ

ใบหน้าคมยังคงครุ่นคิดถึงคนในชุดดำคืนนั้น...ถ้านั่นคือท่านอาจริงๆ แสดงว่าอีกฝ่ายยังกลับบ้านอยู่ตลอด...จริงๆแล้วอาจจะไปหลบอยู่ใกล้ๆ ถึงไม่ได้เอาพ่อบ้านหรือข้ารับใช้ไปด้วย รอให้ฟ้ามืดค่อยกลับจวน พอเช้าก็ออกไปใหม่เพราะไม่อยากเจอหน้าเขา?

“หึ...”   ใบหน้าคมถึงกับยิ้มร้าย ถ้าไม่ได้คิดอะไรเรื่องจูบ ทำไมต้องทำตัวให้วุ่นวายขนาดนี้ด้วย แค่ต่อยหน้าหลานลามปามอย่างเขาสักทีสองทีแบบที่อาหลานทั่วไปทำกันเรื่องมันก็จบแล้วไหม

แบบนี้ชักน่าสนใจแล้ว...

ร่างสูงสง่าเดินอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี เขาเดินทอดน่องเข้าไปในตลาดที่แทบไม่มีอะไรขาย จะว่าไปผู้คนในเมืองนี้ก็ดูบางตาและมีท่าทางแปลกๆ จะว่าเป็นเพราะอยู่ในที่ทุรกันดานก็ไม่น่าใช่ เขาที่คุ้นเคยกับพวกทหารดีบอกได้เลยว่าคนในเมืองนี้ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่จะบอกว่าทั้งหมดเป็นทหารปลอมตัวมามันก็ไม่น่าใช่ มันเหมือนกับเป็นเมืองของ...อะไรที่จำเพาะเจาะจงสักอย่าง แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร

องค์ชายเจ็ดเดินเล่นไปรอบๆเมือง เขาสังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่างซึ่งคนที่ปกปิดมันไว้คงคิดว่าเขาจะไม่รู้ แต่ขอโทษที ค่ายกลพวกนี้เขาดูออกทั้งหมด นั่นก็เพราะว่าเขาคือองค์ชายเจ็ดไง

ใบหน้าคมลอบยิ้มก่อนจะเดินกลับจวนอย่างถูกใจ  ท่านอาของเขานี่ร้ายกาจจริงๆ และถ้าเขาจะมีคนข้างกายสักคน เขาก็อยากได้คนแบบนี้นี่แหละ

“หน้าตาเหมือนกำลังคิดแผนชั่วอยู่เลยนะพะยะค่ะ”   เจ้าฟางหยางอี้ที่ยกถ้วยชามาตอบรับที่เขากลับมาหรี่ตามอง

“ไม่ใช่แผนชั่ว แต่เป็นแผนดักจับกระต่ายป่าที่มันหนีข้าไปต่างหาก”   ฟางหยางอี้มองอย่างละเหี่ยใจ นั่นแหละพะยะค่ะที่เรียกว่าแผนชั่วน่ะ

“บอกทุกคนเตรียมตัว พรุ่งนี้ข้าจะออกไปงานเทศกาลโคมไฟที่เมืองข้างๆ บอกพ่อบ้าน บอกข้ารับใช้ บอกใครก็ได้ให้เรือนนู้นรับรู้ด้วย”   ...บอกท่านอานั่นแหละ สิ่งที่เขาต้องการ

ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปาก...ดูซิว่ากระต่ายป่าจะติดกับเขาไหม

ไม่สิ

เจ้าไม่รอดมือข้าแน่ ท่านอา...









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.





1 ความคิดเห็น:

  1. ไหที่สาม กระซิก
    รอไหโคงามิไหเดิมอยู่นะคะ แงงง

    ตอบลบ