ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 03


ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 03

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค






“เซียวจ้าน”

เสียงเรียกแผ่วเบาราวกับปุยนุ่นทำให้ดวงตากลมโตค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆ ความสว่างไสวตรงหน้าทำให้เคลิบเคลิ้มราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์...ถ้าไม่ติดที่ว่า...สวรรค์ไม่ควรจะมีหน้าของซาตานโผล่เข้ามา!

“เหวอ~~ นาย! มาได้ไงเนี่ย??!”   ร่างในชุดฟอร์มสีแดงเด้งตัวขึ้นจากโต๊ะทันทีที่เห็นเต็มตาว่าใครอยู่ตรงหน้า ร่างโปร่งลุกพรวดเตรียมจะวิ่งหนีแต่ด้วยความที่ไม่ทันดูว่ามือตัวเองถูกอีกฝ่ายจับไว้ ความเร็วที่กำลังจะพุ่งไปข้างหน้าจึงถูกแรงลากดึงกลับมา ก่อนจะเกิดเป็นแรงเหวี่ยงให้ร่างโปร่งเซแท่ดๆแล้วล้มกลิ้งลงไปบนพื้น.......

“โอ๊ย....”   มือบางจับสะโพกทีข้อเท้าที ดูท่าทางจะเจ็บไม่ใช่น้อย ดวงตากลมโตถึงได้มีน้ำตาปรอย อยากจะหนีก็หนีไม่ได้เพราะข้อเท้าแพลงไปอีก หวังอี้ป๋อที่ยืนมองอยู่ทั้งขำทั้งสงสาร ตอนแรกก็ตกใจอยู่หรอกแต่รีแอคชั่นน่าเอ็นดูนั่นมันทำให้อยากแกล้งยังไงก็ไม่รู้

“อย่าไปจับมันสิ แล้วก็อยู่นิ่งๆด้วย”  นักบิดของทีมยามาฮ่านั่งลงไปก่อนจะมองดูข้อเท้าที่เริ่มบวมนั่นด้วยสายตา ร่างสง่าเตรียมจะช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้น

“ห๊ะ? จะทำอะไร? เดี๋ยว จะพาชั้นไปไหน?!”   ดีไซเนอร์มือหนึ่งแห่ง Ferrari Design ออกอาการเลิ่กลั่กปนหวาดผวาทันทีที่ถูกอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาว ประสบการณ์เลวร้ายทำให้มือบางทุบตีไหล่หนาอย่างไม่ไว้ใจ ฟันกระต่ายแยกเขี้ยวใส่ขู่ฟ่อจะกัดคอจนคนอุ้มถึงกับส่ายหน้า

“อยู่เฉยๆสิ! เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก ข้อเท้านายแพลง ชั้นจะพาไปห้องพยาบาลเท่านั้นเองน่า ไม่ทำอะไรหรอก”  เสียงทุ้มพูดขำๆ นี่ถ้าใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าเขาเป็นหวังอี้ป๋อตัวปลอมแน่ๆ ปกติแค่จะเข้าใกล้คนแปลกหน้ายังไม่มีทางเล้ย นี่ถึงขนาดอุ้มเชียวนะ

“ชั้นไม่เชื่อนาย! วางชั้นลง!”   เจ้ากระต่ายในอ้อมแขนดิ้นขลุกขลัก ถึงเขาจะแข็งแรงกว่าแต่ว่าอีกฝ่ายก็สูงยาวพอๆกับเขา จะให้อุ้มไปแบบนี้โดยที่อีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะงั้นเสียงทุ้มจึงขู่ออกไป

“ถ้าไม่หยุดดิ้นจะจูบนะ”

“ง่ะ.....”   ได้ผล  เจ้าคนในอ้อมแขนแข็งเป็นหินทันที





หมอและพยาบาลประจำสนามแข่งทำงานรวดเร็วเสมอ เพราะฉะนั้นไม่นานข้อเท้าที่แพลงก็ถูกรักษาเรียบร้อย

ร่างโปร่งซึ่งนั่งอยู่ที่ขอบเตียงกำลังพยายามจะใส่รองเท้าข้างที่ถูกถอดออกตอนทำแผลแต่มันก็ไม่ง่ายเลย ทุกครั้งที่ขยับความเจ็บจี๊ดก็เล่นงานข้อเท้าเขาเสมอ คิ้วเรียวขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์ ริมฝีปากสีสดเม้มแน่นหลังจากที่ใส่รองเท้าไม่ได้ดั่งใจ

“หึ...”   ได้ยินเสียงหัวเราะดังอยู่ไม่ไกล ดวงตาคู่โตจึงตวัดไปมองคนที่ยืนพิงขอบหน้าต่างอยู่อย่างเคืองๆ หมอนั่นทำเขาเจ็บแท้ๆยังมีหน้ามาหัวเราะอีก! ใบหน้ามนยู่หน้าใส่ก่อนจะหันกลับมาสนใจรองเท้าตัวเองต่อ แล้วในขณะที่กำลังคิดว่าจะใส่มันยังไงดีก็มีเงาร่างๆหนึ่งทาบทับอยู่ที่ปลายเท้า...

“มานี่”   หวังอี้ป๋อนั่งคุกเข่าลงไปตรงหน้าก่อนที่มือหนาจะจับเท้าที่มีผ้าพันแผลของเขาเบาๆ มืออีกข้างจับรองเท้ามาใส่ให้...อะไรบางอย่างไหลวนอยู่ในใจ และมันก็ทำให้ใต้อกซีกซ้ายเต้นตึกตัก ความร้อนที่ไม่รู้จักฉาบไล้อยู่บนสองแก้ม ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าคมคายนั่นเงยขึ้นมายิ้มบางๆ ทั้งๆที่กลัวทั้งๆที่ไม่ไว้ใจ แต่ภาพของหวังอี้ป๋อในยามนี้กลับละมุนละไมจนความรู้สึกของเขาเริ่มแปลกไป


ตุบ...


ร่างสูงสง่าลุกขึ้นมาก่อนจะนั่งลงข้างๆ ดวงตาคู่โตจึงแอบชำเลืองมอง

“ขอโทษ”   แล้วคำที่อีกฝ่ายพูดออกมาก็ทำให้เขาชะงักค้างไปทั้งร่าง ว่าไงนะ? ขอโทษเหรอ? ใบหน้ามนหันไปมองโดยมีเครื่องหมายคำถามเต็มหน้า

“ผมก็ไม่อยากจะแก้ตัวหรอกนะว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากความเข้าใจผิด แต่ยังไงผมก็รู้สึกผิดจริงๆที่ทำเรื่องแบบนั้นกับคุณ ผมขอโทษ จะให้ผมชดใช้ยังไงก็ได้”   นักบิดที่ขึ้นชื่อว่าเย็นชาและไม่เป็นมิตรที่สุดในกริดหันมาก้มหัวให้ ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความสำนึกผิดอย่างที่พูดออกมาจนคนถูกขอโทษถึงกับทำตัวไม่ถูก เพราะคิดมาตลอดว่าที่อีกฝ่ายตามติดในช่วงหลายวันนี้เพราะมีจุดประสงค์ไม่ดี พอรู้ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายแค่อยากขอโทษ ร่างโปร่งบางจึงไม่รู้จะรับมือยังไง

“มะ มันเกิดอะไรขึ้น...ชั้นงงไปหมดแล้ว?”  เขากำลังสับสนเพราะจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกจริงๆนั่นแหละ จู่ๆอีกฝ่ายก็มาจับตัวเขาไป ทำร้ายจิตใจเขาโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้ววันนี้จู่ๆก็จะมาขอโทษ ใครไม่งงสิแปลก

“จริงๆแล้ว...”   แชมป์โลกสามสมัยจ้องหน้าเขาราวกับลำบากใจที่จะพูด แต่ในที่สุดก็ถอนหายใจแล้วยอมอธิบายให้เขาฟัง

“จริงๆแล้วผมจับตัวไปผิดคน...มีปาปารัสซี่คนหนึ่งตามตอแยผมอยู่ เขาจะคอยตามถ่ายรูปคอยหาข่าวว่าผมแอบคบกับใครอยู่ไหม มีเรื่องเสียๆหายๆอะไรให้เอาไปขายเป็นข่าวได้บ้าง เขาตามรังควาญผมมาเป็นปีแล้ว แล้ววันนั้นเขาเข้าใจผิดว่าผมไปเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่จริงๆแล้วเธอเป็นพีอาร์ของทีม พวกเราแค่ไปทำงาน ตอนเธอขับรถกลับเธอก็โดนก่อกวนโดยเจ้าปาปารัสซี่นั่นเพราะคิดว่าผมนั่งไปด้วย รถของเธอเลยเกิดอุบัติเหตุ ผมขับรถตามไปอีกคัน เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ตอนนั้นผมโมโหมาก หมอนั่นทำเกินไปจริงๆ ผมเลยขับรถตามเขาไป เขาเลี้ยวเข้าปั๊มตรงจุดพักรถนั่น แล้วพอผมตามเข้าไป ผมก็เจอคุณ...คุณสูงเหมือนเขา แถมมอเตอร์ไซค์ที่คุณใช้ยังเหมือนกันอีก ผมเลยนึกว่าคุณคือปาปารัสซี่คนนั้น....”   ใบหน้ามนถึงกับนิ่งค้าง ที่เขาถูกข่มเหงรังแกแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั่นก็เพราะว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด? จับตัวคนไปผิด? แล้วแบบนี้เขาควรจะทำยังไง? ให้อภัยอีกฝ่ายเหรอ? แต่อีกฝ่ายก็ทำเรื่องเลวร้ายกับเขาไว้ไม่ใช่น้อยเลยนะ ตอนนั้นเขากลัวจนแทบช็อกเลยนะ

“อ่า...อือ...?...แต่ชั้น...ชั้นก็บอกนายแล้วนะว่าชั้นเป็นคนของเฟอร์รารี่?”  ริมฝีปากสีสดพยายามจะซักเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกเขา

“ตอนนั้นผมไม่ได้ฟังคุณหรอก เพราะผมคิดว่าคุณกรุเรื่องขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองหนีรอด”  หวังอี้ป๋อตอบกลับมาตรงๆและมันก็เป็นคำตอบที่เข้าใจได้

“อ่อ......”   คิ้วเรียวขมวดจนแทบจะพันกันยุ่งเหมือนใบหน้า ในหัวยังคงสับสนอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อดี เขาเป็นผู้เสียหาย แต่อีกฝ่ายก็ทำเพราะเข้าใจผิด...

“หลังจากวันนั้น ผมก็ได้เจอเจ้าปาปารัสซี่ตัวจริง ผมเพิ่งเคยเห็นหน้าเขา เพราะปกติเขาจะใส่แมสไม่ก็หมวกกันน็อค ผมเลยช็อกที่เขาหน้าไม่เหมือนคนที่ผมจับตัวไป...เขาหน้าไม่เหมือนคุณเลย ผมถึงได้รู้ว่าผมจับไปผิดคน ถึงได้เพิ่งรู้ว่าผมทำเรื่องเลวร้ายกับคุณลงไป...”   ใบหน้าคมก้มลงอย่างสำนึกผิด

“........”   และมันก็ทำให้เขาจนคำพูด

“ผมจะลบรูปพวกนั้นทิ้ง ส่วนโทรศัพท์มือถือของคุณผมจะซื้อให้ใหม่ มีอะไรที่คุณต้องการให้ผมชดใช้ให้อีกไหม?”   นักบิดชื่อดังแสดงความรับผิดชอบเต็มที่แล้วแบบนี้เขาจะไปเอาเรื่องเอาราวอย่างโกรธแค้นได้ยังไง

“อ่า...ไม่มีหรอก...แค่...ลบรูปพวกนั้นก็พอ....”   ใบหน้ามนเม้มริมฝีปากจนแก้มป่องในขณะที่มองพื้น อย่าต่อความยาวสาวความยืดดีกว่า ให้เรื่องมันจบลงที่การเจรจาภายในแบบนี้ดีกว่า ถ้ายิ่งเรียกร้องให้ยุ่งยากก็มีแต่เสี่ยงที่จะเป็นข่าว อีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาและเขาเองก็มีหน้าตาของเฟอร์รารี่ต้องแบกรับ ขืนข่าวหลุดออกไปไม่ใช่แค่หวังอี้ป๋อจะเสียชื่อ เขาเองก็จะถูกคนทั้งโลกรู้ว่าโดนอีกฝ่ายทำอะไรลงไปบ้าง คราวนี้แหละป๊าม้าของเขาคงได้ลมจับล้มพับไปตามๆกันแน่

“ครับ”   อีกฝ่ายรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะทำให้ใบหน้ามนถอนหายใจ นี่เขาต้องมาเจอกับเรื่องบ้าอะไรเนี่ย~~

“แต่เดี๋ยวนะ ปกติเวลานายโมโหเนี่ย ก็จะเที่ยวไปจับคนอื่นเค้าแก้ผ้าถ่ายรูปไว้แบล็คเมล์แบบนี้น่ะเหรอ? นายนี่มันโรคจิตชัดๆ อย่ามาใกล้ชั้นนะ”   ร่างโปร่งขยับออกห่างพลางทำหน้ารังเกียจเมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้ขึ้นมาได้

“หึ...ฮ่าๆๆๆ”   แต่นักบิดที่ขึ้นชื่อว่าเย็นชาที่สุดในกริดกลับหัวเราะออกมายกใหญ่ ร่างสง่าหัวเราะจนตัวงอเพราะไม่เคยมีใครกล้าด่าเขาตรงๆแบบนี้แถมเจ้ากระต่ายตรงหน้ายังด่าเขาด้วยใบหน้าน่ารักๆแบบนั้นอีก

“อะไรเล่า?”   ใบหน้ามนชักแก้มป่องใส่แถมมือบางก็ฟาดมาที่แขนให้เขาหยุดหัวเราะ  ใบหน้าคมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆกว่าจะหยุดขำได้

“บอกตามตรงนะ ผมคิดจะทำเรื่องแบบนั้นเพราะเห็นหน้าคุณนั่นแหละ”   เขาจ้องใบหน้าใสที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นนิ่ง

“ห๊ะ?”   เจ้ากระต่ายทำหน้างง เขาจึงโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ๆก่อนจะกระซิบที่ใบหูเบาๆ

“เพราะคุณน่ารักยังไงล่ะ”   ดวงตาคมตวัดมองแก้มใสที่อยู่ใกล้แค่คืบ สีแดงระเรื่อค่อยๆเบ่งบานอยู่บนนั้นจนเขาถึงกับอมยิ้ม

“อะ อะ อะ......!!!”   ใบหน้าที่กำลังแดงเถือกถึงกับติดอ่างอ้าปากพะงาบๆพูดอะไรไม่ถูกด้วยความเขินอาย แต่แล้วบรรยากาศที่กำลังดีๆก็ถูกขัดจังหวะด้วยประตูที่ถูกเปิดพรวดเข้ามา

“จ้านจ้าน! นายมาทำอะไรอยู่ห้องพยาบาลละเว้ย~ เดินยังไงให้หกล้มแข้งขาหักอีกแล้วเนี่ย~ เผลอไม่ได้เชียวนะ! ไอ้บอสเฮงซวยนั่นเลยโทรมาจิกให้ชั้นมาดูนาย นี่กำลังจะได้แอบชำแหละเครื่องยนต์ทีมดูคาติอยู่พอดีเล้ย~ เฮ้ย!! นี่มันหวังอี้ป๋อนี่!! ตำรวจ~ ชั้นจะไปแจ้งตำรวจ~~”   วิศวกรสาวหัวกระเซิงที่จู่ๆก็โผล่เข้ามาพ่นไฟใส่นักออกแบบรถมือหนึ่งเป็นชุดก่อนจะก้มๆเงยๆดูข้อเท้าที่ถูกพันแผลไว้ จากนั้นจึงค่อยเงยหน้ามาเห็นหวังอี้ป๋อและตอนนี้ก็กำลังวิ่งแหกปากหาประตูทางออกจะไปแจ้งตำรวจอยู่

“ศิษย์พี่~ ใจเย็นก่อน~~”   คนขาเจ็บต้องรีบดึงวิศวกรสาวเอาไว้  นักบิดของทีมยามาฮ่านั่งมองทั้งสองคนยื้อยุดกันไปมา...ศิษย์พี่? นี่หลุดมาจากหนังจีนเรื่องไหนกันเร๊อะ? ใบหน้าคมแอบขำจนไหล่สั่น คนพวกนี้มันอะไรกัน ดูเพี้ยนๆต่างจากตอนใช้สายตาข่มขู่เขาอย่างกับคนละคนเลยนะ











กระเป๋าเดินทางถูกเก็บเรียบร้อย ตอนนี้นักบิดแห่งทีม Movistar Yamaha กำลังนั่งรอเวลาเดินทางไปขึ้นเครื่องกลับบ้านอยู่

ร่างสง่าเอนหลังพิงโซฟาในห้องพักสบายๆ มือใหญ่กำลังไล่ลบรูปในมือถือตามที่สัญญากับเซียวจ้านเอาไว้...แต่บอกตามตรงนะ...บางรูปเขาก็เสียดายจริงๆถ้าจะต้องทิ้งมันไป เพราะงั้นเขาจึงแอบเก็บรูปและคลิปบางส่วนใส่แฟ้มลับเอาไว้

ตอนเรียนม.ต้นกับม.ปลายเขาก็เคยมีความรักมาบ้าง เคยมีแฟน เคยเดทมาบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็คบกันได้ไม่นานเพราะอีกฝ่ายทนความกดดันไม่ไหว บางคนก็บอกว่าเขาเย็นชาเกินไป พอหลังจากที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางนักแข่งรถมืออาชีพ เพื่อตัดปัญหาน่ารำคาญเขาเลยเลิกสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆไป หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้หญิงเพื่อไม่ให้ตกเป็นข่าวน่าปวดหัวด้วย หัวใจของเขาจึงด้านชามาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีแล้ว

ไม่คิดจริงๆ...ว่าจะกลับมามีความรู้สึก กับผู้ชาย...

ดวงตาคมกล้าทอดมองคลิปที่อยู่ในมือถือ ภาพที่ค่อยๆไล่จากใบหน้าลงไปจนถึงต้นขาทำเอาถึงกับต้องกลืนน้ำลาย เรียวลิ้นแลบเลียริมฝีปาก...เจ้ากระต่ายนั่น...น่ากินจริงๆแหะ...


ก๊อกๆๆ


เสียงเคาะประตูทำให้ปลายนิ้วต้องรีบสไลด์ปิดหน้าจอ ทีมงานคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าจะไปสนามบินเลยไหม เขาจึงพยักหน้ารับไป

“พี่ พอรู้ไหมว่า F1 จะแข่งอีกทีเมื่อไหร่? ผมอยากไปดู”   เขาเอ่ยถามทีมงานในขณะที่ลากกระเป๋าออกจากห้อง

“หื๋อ? เดี๋ยวเช็คให้แล้วกัน”   ทีมงานถึงกับหันมาทำหน้างงใส่ เพราะเขาไม่เคยสนใจการแข่งรายการอื่นเลยนอกจากมอเตอร์ไซค์ พี่ทีมงานคงจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ










และเพราะแบบนั้น อาทิตย์ถัดมาเขาถึงได้มาเดินอยู่ในสนามมอนซ่า เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ท่ามกลางสีแดงเทือกของเหล่าทิโฟซีทั้งสนาม!

ร่างสง่าเดินเอื่อยเฉื่อยเข้าไปในแพดดอกซึ่งถือเป็นโซนวีไอพีของสนามแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ต่างกันตรงที่บัตรมันไม่ได้ขายในราคาหลักพันหรือหลักหมื่นแต่มันขายกันเป็นหลักแสน! คนที่เดินอยู่ในนี้มีแต่พวกเซเลปไม่ก็นักธุรกิจ มีแต่พวกเศรษฐีที่ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร แล้วที่เขายอมจ่ายแพงขนาดนี้ก็เพราะว่าโซนนี้เป็นโซนเดียวที่สามารถเข้ามาเดินหลังพิตของทีมแข่งได้ และเป้าหมายของเขาก็คือมอเตอร์โฮมสีแดงเด่นที่เห็นอยู่ไกลๆนั่น

สนามนี้เป็นเหมือนโฮมเรซของพวกเฟอร์รารี่เพราะเป็นทีมแข่งสัญชาติอิตาลีและมีฐานการผลิตของทีมอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะมีแต่สีแดงและสีแดง เขารู้สึกได้ถึงความเป็นเอกภพของสนามแห่งนี้ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาแล้ว มันมีมนต์ขลัง มันมีตำนาน มันมีความยิ่งใหญ่ มันไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเฟอร์รารี่ถึงเป็นมากกว่าทีมระดับโลก

ก็ถือว่าดีแล้วที่เขาทันได้มาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ เพราะมันจะทำให้เขาเข้าใจเจ้ากระต่ายถึงความภาคภูมิใจที่อีกฝ่ายมีต่อเสื้อสีแดงที่ตัวเองใส่อยู่

“หวังอี้ป๋อ?! เอ่อ ขอถ่ายรูปได้ไหมครับ?”  ตากล้องประจำสนามและนักข่าวจากทั่วโลกที่หันมาเห็นเขาเข้าต่างรีบกรูกันมาถ่ายรูปเมื่อเขาพยักหน้าอนุญาต เขาก็ยังสมกับเป็นเขา ไปที่ไหนก็เป็นข่าวได้ตลอด

“มาเชียร์ใครหรือทีมไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?”   นักข่าวเริ่มจ่อไมค์เตรียมจะสัมภาษณ์ เขาจึงชักสีหน้าเรียบเฉยกลับไป เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะออกสื่อใดๆ เขามาเป็นส่วนตัวเข้าใจกันบ้างไหม?

“โทษที เค้าเป็นแขกของเฟอร์รารี่ เชิญทางนี้ครับ”   แล้วจู่ๆผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก็เข้ามาขวางระหว่างเขากับพวกนักข่าว โลโก้รูปม้าพยศเด่นหราอยู่บนเสื้อสีแดงของอีกฝ่าย เขามองใบหน้าที่ส่งสายตาให้ตามไป เขาจึงผละออกจากการรุมล้อมของบรรดานักข่าวมาได้ แต่เขารู้ว่าผู้ชายผมทองคนนี้ไม่ได้มาช่วยเขาหรอก

“หวังอี้ป๋อ...สินะ? เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้วละ”   ถึงเขาจะไม่ได้รู้จักคนในเอฟวันมากนัก แต่กับคนคนนี้มันยากจริงๆที่คนในวงการแข่งรถจะไม่รู้จัก...เอลวิน สมิธ ทีมบอสของเฟอร์รารี่กำลังเชิญเขาด้วยตัวเอง และเขารู้ว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ได้คิดจะญาติดีกับเขานักจากสิ่งที่เขาทำลงไป

เขาถูกพาเข้าไปในห้องส่วนตัวของทีมบอสซึ่งอยู่ในมอเตอร์โฮมสีแดงและอีกฝ่ายก็เปิดประเด็นทันทีไม่มีรีรอ

“ผมรู้เรื่องที่คุณทำกับเซียวจ้านหมดแล้ว และก็รู้จากเขาแล้วว่าเรื่องมันเป็นมายังไงและเขาจะไม่เอาความคุณ”  อีกฝ่ายเว้นจังหวะในขณะเหลือบตาขึ้นมามองหน้าเขา ต้องบอกว่าผู้ชายคนนี้สมกับที่เป็นบอสของคนกว่าร้อยชีวิต ทั้งน้ำเสียงทั้งใบหน้าช่างกดดันฝ่ายตรงข้ามอย่างเขาได้ดีจริงๆ

“ถึงเซียวจ้านจะไม่เอาเรื่องคุณ แต่ผมในฐานะทีมบอส ผมจำเป็นต้องตรวจสอบให้ดีว่ามันจะไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง คุณอาจจะไม่รู้ แต่เซียวจ้านเป็นดีไซเนอร์คนสำคัญของพวกเรา ในสายการผลิตเขาสามารถทำเงินให้เฟอร์รารี่ได้ปีละหลายหมื่นล้าน ในสายการแข่งเขาสามารถทำให้ทีมเฟอร์รารี่ชนะมาไม่รู้กี่สมัย ชื่อของเขาอาจจะไม่ได้ถูกเปิดเผยมากนักในฐานะวิศวกร แต่เราใช้เขาเป็นจุดขายสำหรับ Ferrari Design ในฐานะดีไซเนอร์ ถ้าคุณสนใจรถซุปเปอร์คาร์เหมือนพวกเศรษฐีทั่วๆไป คุณจะรู้ได้เลยว่ารถรุ่นที่ถูกออกแบบโดยเซียวจ้านมันพิเศษขนาดไหน”

“คุณ...ต้องการให้ผมทำอะไร”  เขาถามออกไปตรงๆซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะชอบใจ ทีมบอสของเฟอร์รารี่ยกยิ้มมุมปากก่อนจะพูดออกมา

“ผมอยากจะขอ...ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของคุณ ถึงคุณจะบอกว่าลบรูปพวกนั้นไปหมดแล้ว แต่ผมอยากให้คุณเข้าใจว่าผมจำเป็นต้องตรวจสอบ เพราะหน้าตาและชื่อเสียงของเซียวจ้านมีความสำคัญต่อธุรกิจของเรา”   สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาทำให้เขาชะงักไป สายตาเหลือบมองไปที่โทรศัพท์มือถือก่อนจะตัดสินใจยกมันให้อีกฝ่าย

“...เชิญครับ”   เขาตวัดตามองทีมบอสของเฟอร์รารี่สลับกับโทรศัพท์ของตัวเอง รู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ไหลอยู่บนหลัง เขาพยายามทำหน้านิ่งในขณะที่มองอีกฝ่ายเปิดมือถือของเขาเช็คดูรูปทุกโฟลเดอร์

“เรียบร้อยครับ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะครับ”   เอลวิน สมิธส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้แล้วมองเขาด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะไว้ใจมากขึ้น

“ไหนๆคุณก็เป็นแขกของเราแล้ว ใช้ป้ายห้อยคออันนี้ก็แล้วกัน”   ทีมบอสของเฟอร์รารี่หยิบป้ายวีไอพีเฉพาะของทีมออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้เขา...เจ้านี่น่าจะทำให้เขาเข้าไปในพิตของเฟอร์รารี่ได้เลย?

“จะไปที่พิตด้วยกันไหมครับ?”   เขาเพิ่งรู้สึกว่าการเป็นแชมป์โลก Moto GP สามสมัยมันดีแบบนี้นี่เอง เขาแค่อยากชนะการแข่งขันแต่ถ้ามันจะใช้เป็นใบเบิกทางได้ขนาดนี้ก็นับว่าน่ายินดี เพราะเขาเป็นหวังอี้ป๋อ เพราะเขามีชื่อเสียง เขาจึงถูกต้อนรับอย่างดีไม่เว้นแม้แต่ที่นี่

ร่างสง่าลุกเดินตามทีมบอสของเฟอร์รารี่ไป เพราะอีกฝ่ายเดินนำอยู่ข้างหน้าจึงไม่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขายามที่เหลือบตามองโทรศัพท์มือถือ...เขาไม่ได้ลบรูปที่เหลือไว้ทิ้งไปหรอก แต่ที่อีกฝ่ายหาไม่เจอนั่นก็เพราะเขาเพิ่งย้ายมันไปไว้ในคอมพิวเตอร์ที่บ้าน...ก็แหงละ ต้องมาในถิ่นของศัตรูมีหรือเขาจะไม่รู้ว่าอาจจะต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้

ด้านในพิตการาจสีแดงมีที่สำหรับแขกวีไอพีอยู่นิดหน่อย วันนี้เป็นวันศุกร์ซึ่งมีการซ้อมสองรอบเช้า-บ่าย ภายในพิตจึงวุ่นวายกันสุดๆ แต่ละทีมมีรถจอดอยู่สองคันไม่ต่างจากการแข่ง Moto GP แต่ทั้งขนาดรถ จำนวนวิศวกรและทีมช่างกลับต่างกันมาก รถฟอร์มูล่าวันคันนึงใช้คนดูแลมากกว่าสิบคน ล้อแต่ข้างยังต้องมีคนดูแลข้างละคนเล้ย

เขามองหาเป้าหมายคนที่ทำให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วเขาก็หาตัวเจ้ากระต่ายนั่นเจอจนได้...

ร่างโปร่งบางยืนอยู่หลังคอมพิวเตอร์ที่เรียงเป็นตับท่ามกลางเพื่อนร่วมทีมนับสิบคน แผงควบคุมพวกนั้นอยู่ตรงกลางพิตระหว่างรถสองคันและเขาคิดว่ากลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นน่าจะเป็นวิศวกรทั้งหมด เขาเฝ้ามองใบหน้าจริงจังที่กำลังหันไปหารือกับคนในทีม มีสมาธิอยู่กับการปรับแต่งรถ จดจ่ออยู่แต่กับเรื่องตรงหน้าจนไม่คิดจะละสายตาไปมองอย่างอื่น แววตาของเจ้ากระต่ายในยามนี้มันน่าหลงใหลมากสำหรับเขา

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาสนใจจนถึงกับต้องตามมานั่นก็เพราะว่าอีกฝ่ายรักรถ รักความเร็วเหมือนกับเขา

เขายืนมองรถสีเพลิงทั้งสองคันแล่นออกไปเมื่อได้เวลาซ้อม พอพิตการาจโล่งพวกตากล้องก็เดินเข้ามาถ่ายบรรยากาศข้างในทันที ยิ่งเป็นพิตเฟอร์รารี่ที่มีแขกอย่างหวังอี้ป๋อ...ตอนนี้คนทั้งโลกคงรู้แล้วแหละว่าเขาอยู่นี่

และนอกจากภาพถ่ายทอดสดจะแพร่ไปทั่วโลกแล้ว ในจอมอนิเตอร์ของสนามเองก็ขึ้นภาพของเขาเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่จอที่อยู่ในพิต!  เจ้ากระต่ายเบิกตากว้างทันทีที่เห็นหน้าเขา ใบหน้ามนหันควับกลับมามอง เขาจึงส่งยิ้มพลางโบกมือให้ อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหราส่งยิ้มงงๆกลับมาจากนั้นจึงหันไปมองรถแข่งในความดูแลของตัวเองต่อ

เอฟวันใช้เวลาซ้อมหนึ่งชั่วโมงเต็มและมันก็เป็นหนึ่งชั่วโมงเต็มที่สายตาของเขาไม่เคยละไปไหน ไม่น่าเชื่อว่าใบหน้าหลากหลายของเจ้ากระต่ายนั่นมันจะน่ามองขนาดนี้...เขายืนมองราวกับต้องมนต์อยู่แบบนั้น...จนการซ้อมของวันนี้จบลง

นักบิดจากทีมยามาฮ่ามายืนดักรอเป้าหมายของตนอยู่หลังพิตสีแดง และเมื่ออีกฝ่ายเดินอ่านชาร์ตข้อมูลออกมา เขาก็ไปยืนขวางหน้าไว้ทันที


ตุบ...


“หื๋อ?”   ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อเมื่อเจ้ากระต่ายนี่เดินชนเขาซะงั้น เวลาเดินนี่ช่วยเงยหน้ามองทางบ้างเถ้อ เดี๋ยวก็โดนรถสอยไปหรอก

“นาย! หวังอี้ป๋อ!”   ใบหน้ามนตกใจจนปล่อยรีแอคชั่นน่าเอ็นดูใส่เขา

“ทำไมยังอยู่อีกล่ะ?”  ใบหน้ามนเลิกลั่กมองซ้ายมองขวา เวลาซ้อมจบลงมานานแล้ว คนที่เหลืออยู่ในสนามตอนนี้ส่วนใหญ่ก็มีแค่พวกวิศวกรกับทีมช่างเท่านั้นแหละ

“คุณเลิกงานรึยัง?”   เขาไม่ตอบคำถามอีกฝ่ายแต่กลับยิงคำถามกลับไปเสียเอง

“หื๋อ? ก็เลิกแล้ว....”   อีกฝ่ายทำหน้างงพลางเอียงคอมองเขา รอยยิ้มร้ายปรากฏอยู่ในใจส่วนใบหน้าของเขาก็พยายามฉีกยิ้มที่ดูใสซื่อสุดๆให้คนตรงหน้า

“ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับอิตาลีเท่าไหร่...ยังเราก็เป็นคนจีนเหมือนกัน...ถ้ายังไง...ช่วยดูแลผมหน่อยได้ไหมครับ จ้านเกอ”   เขารู้มานานแล้วว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าเขา 6 ปี...แล้วพอถูกเรียก “พี่” ด้วยสายตาอ้อนๆต่อให้ใจแข็งหวาดระแวงแค่ไหนก็ต้องยอมใจอ่อน ใบหน้ามนที่มีลักษณะคล้ายกระต่ายจึงพยักหน้าเบาๆ

“....ก็ได้อยู่หรอก   เขาไม่รอช้าเมื่อเห็นว่าเจ้ากระต่ายตรงหน้าติดกับเขาแล้ว มือใหญ่รีบชูพวงกุญแจรถให้ทันที ใบหน้ามนยังดูงงๆแต่ก็ยอมเดินนำเขาไปที่จอดรถ

“จะไปไหนล่ะ?”   ถึงจะขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็นแต่ตอนนี้ร่างโปร่งบางกลับเป็นฝ่ายนั่งอยู่หลังพวงมาลัยด้วยท่าทางคุ้นเคย เขาไม่เกี่ยงหรอกที่อีกฝ่ายจะขับให้ ร่างสูงสง่าจึงก้าวเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับอย่างสบายใจ

“อืม….” เขาแสร้งทำหน้าหยุดคิดก่อนจะโพล่งออกไปว่า

“ไปบ้านพี่!”

“ห๋า???   ใบหน้ามนอ้าปากค้างก่อนจะหันมาส่ายหน้าให้เขาทันที

“ไม่ไหวหรอก บ้านชั้นอยู่มาราเนลโล่นู่นนะ”  ถึงจ้านเกอจะอ้างแบบนั้นแต่มีหรือที่คนอย่างหวังอี้ป๋อจะไม่หาข้อมูลมา เขาจึงอ้อนกลับไปว่า

“มาราเนลโลกับมิลานห่างกันแค่สองชั่วโมงเอง ผมอยู่ที่นี่ก็มีแต่นักข่าวตาม วุ่นวายจะตาย ขอไปพักบ้านพี่สงบๆหน่อย ให้ผมหลบภัยที่บ้านพี่เถอะนะ น้า~ จ้านเกอ~  อีกฝ่ายอาจจะคิดว่าเขาเคารพถึงได้เรียกพี่ แต่ที่จริงคำว่าพี่สำหรับเขาไม่ได้แปลว่าพี่จริงๆเสียหน่อย เขาฉีกยิ้มมองตาปริบๆแบบแอ๊บแบ๊วจนในที่สุดคนที่อายุมากกว่าก็ยอมใจอ่อน

“กะ ก็ได้….แต่ชั้นไม่ได้กลับบ้านมาเดือนกว่าแล้วนะ ไม่รู้เป็นไงบ้าง?”   จ้านเกอถอยรถก่อนจะขับออกไปด้วยความคุ้นเคย

“อ้าว แล้วปกตินอนไหน? บ้านแฟน?   เขาหลอกถามไปแบบเนียนๆ

“นอนที่สนาม แล้วก็ยังไม่มีแฟน”   อ่อ...ยังไม่มีแฟนจริงๆด้วยสินะ ว่าแต่ทำไมถึงไปนอนอยู่ที่สนามล่ะครับ?!

เขาชวนอีกฝ่ายคุยมาตลอดทางอย่างที่คนอย่างหวังอี้ป๋อไม่มีทางทำได้เมื่ออยู่กับคนอื่น ดูเหมือนจ้านเกอจะผ่อนคลายหายระแวงเขามากขึ้นหลังจากที่ได้ทำความรู้จักกันและเขาเองก็ยิ่งรู้สึกว่าคนข้างๆช่างน่าสนใจนัก ถึงอายุจะมากกว่าเขาแต่กลับยังมีความเป็นเด็กอยู่เต็มตัว

รถที่เขาเช่ามาใช้ช่วงที่อยู่ที่นี่เลี้ยวออกจากทางหลวงหมายเลข A1 มันวิ่งตามถนนเส้นไม่ใหญ่ไปอีกไม่นานก็มีป้ายบอกทางไป Maranello มาคอยต้อนรับ...ในอดีตเมืองนี้เป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆที่ไม่มีอะไรเลยไม่มีใครรู้จัก แต่หลังจากค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่างเฟอร์รารี่เลือกเมืองนี้เพื่อทำโรงงานและเป็นฐานการผลิตหลักของค่าย จากเมืองที่ไม่มีอะไรก็กลายเป็นเมืองของเฟอร์รารี่ไปทันที ทั่วหัวระแหงเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ม้าลำพอง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่สิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นเฟอร์รารี่

รถของเขาแล่นผ่านกลุ่มอาคารซึ่งมีป้ายคำว่า Ferrari ขนาดยักษ์ปักอยู่ด้านหน้า นี่คงจะเป็นโรงงานรวมถึงเฮดออฟฟิศของเฟอร์รารี่อย่างไม่ต้องสงสัย

ขอแวะรับอาม่าก่อนได้ไหม?”  จู่ๆคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็พูดขึ้นมา...อาม่า? อาม่าที่หมายถึงย่าน่ะเหรอ? โธ่เอ้ย เขาก็นึกว่าอยู่คนเดียวซะอีก นักบิดทีมยามาฮ่าคิดในใจ เขาทำได้แค่พยักหน้าตอบรับไป จะให้ทิ้งคนแก่ไว้ก็คงไม่ดี

เจ้านักออกแบบรถมือหนึ่งของเฟอร์รารี่ขับรถอ้อมโรงงานก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นหนึ่ง ป้ายด้านหน้าของมันเขียนเอาไว้ว่า Pista di Fiorano…ถ้าเขาจำไม่ผิด ที่นี่น่าจะเป็นสนามส่วนตัวของเฟอร์รารี่ ที่บอกว่านอนที่สนามคงจะหมายถึงที่นี่เองสินะ

รถจอดลงที่หน้าอาคารสีขาวซึ่งมีหน้าต่างสีแดง เขาเดินตามอีกฝ่ายไปด้านหลังซึ่งน่าจะเป็นส่วนของพิตการาจ...แล้วหวังอี้ป๋อก็ต้องยืนอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นอาม่าของอีกฝ่าย...นี่มันหมีแพนด้าไม่ใช่เร๊อะ?! แถมเป็นตุ๊กตาหมีแพนด้าอีกต่างหาก!

“นี่คืออาม่า?”   เขาเหยียดมองอย่างอึ้งๆ เจ้าแพนด้านี่ตัวไม่เล็กเลยนะ น่าจะสูงเมตรกว่าเลยอ่ะ

“ใช่ นี่คืออาม่า รู้จักกันไว้ซะสิ”   จ้านเกอหันมายิ้มน่ารักให้เขา แล้วเขาต้องจับมือกับเจ้าหมีนั่นไหมเนี่ย?

“นายเดินไปรอที่รถก่อนก็ได้...เอ...ชั้นเอากุญแจรถของชั้นไว้ไหนเนี่ย?”   ร่างโปร่งบางก้มลงไปคุ้ยหาอะไรสักอย่างในกองอะไหล่ที่อยู่ข้างโซฟาซึ่งมีทั้งหมอนและผ้าห่มสภาพไม่ต่างจากเตียงนอนเท่าไหร่นัก ปกตินอนตรงนี้สินะ...

“เจอแล้ว”   มือบางคว้ากุญแจรถออกมา โลโก้บนพวงรีโมทนั่นคือม้าพยศไม่ผิดแน่...นี่นายเอาพวงกุญแจรถราคาหลายสิบล้านไปกองรวมกับอะไหล่พวกนั้นเร๊อะ

เขาเดินนำออกมาก่อนจะหันไปมองอีกฝ่ายอย่างนึกห่วง ร่างผอมแห้งนั่นกำลังแบกตุ๊กตาแพนด้ายักษ์ด้วยความทุลักทุเล เหมือนไอ้หมีนั่นมันจะล้มทับอยู่รอมร่อ ดูไปก็ลุ้นไปว่าจะเดินออกมาจากห้องได้ไหม ว้อยยยย แล้วเขาก็ทนไม่ไหว เดินกลับไปแบกหมีนั่นมาให้แทน

ใบหน้ามนหันมาหัวเราะแหะๆให้เขาก่อนจะเดินนำไปที่กลุ่มรถสีแดงบ้างดำบ้างที่จอดอยู่เป็นฝูง ต้องบอกว่ามีม้าเป็นฝูงจริงๆตรงนี้เพราะมันเต็มไปด้วยรถเฟอร์รารี่หลายรุ่นหลายสิบคัน

ติ้ดๆ

ไฟรถคันหนึ่งกระพริบทักทายเมื่อมือบางกดรีโมท มันคือ Ferrari Portofino สีแดงสด...รถคันนี้สวยมาก ขนาดเขาที่ไม่สนใจรถซุปเปอร์คาร์ยังคิดเลยว่ามันสวย...และมันจะสวยกว่านี้มาก...ถ้าไม่มีหมีแพนด้าไปนั่งอยู่ที่เบาะหน้า!

มือบางเปิดประตูรถแล้วยัดหมีไว้ที่เบาะข้างคนขับ แล้วก็ถึงกับต้องเปิดประทุนเพราะยัดไม่เข้า!

เขายืนมองหมีนั่นอย่างเพลียๆ มันไม่ได้เข้ากับเฟอร์รารี่สีแดงเพลิงคันนี้เลยสักนิด

นายขับรถตามมาก็แล้วกัน ชั้นจะเอารถกลับ”  จ้านเกอหันมาบอกเขา เขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับไปที่รถของตัวเอง

รถเปิดประทุนที่ดูปราดเปรียวโฉบเฉี่ยวแต่กลับเข้ากับความน่ารักของเจ้ากระต่ายนั่นอย่างไม่น่าเชื่อวิ่งนำไปช้าๆ  เขามองตามรถสีแดงนั่นไป ถ้าให้เดานะ รถคันนี้ทีมคงบังคับให้ซื้อแบบลดแลกแจกแถมเพราะอยากให้ขับรถกลับบ้านไปซะไม่ต้องมานอนที่สนามแน่ๆ!

แล้วก็ดูเหมือนเจ้ากระต่ายนั่นจะขับเลยซอยบ้านตัวเองอยู่สองสามรอบ...กว่าเขาจะมาถึงบ้านสไตล์อิตาลีสีอิฐหลังนี้ได้ก็งงแทบตายทั้งๆที่ตามแผนที่แล้วมันไม่ได้หายากเลย...นี่ไม่ได้กลับบ้านแค่เดือนเดียวหรือครึ่งปีกันแน่เนี่ย?

ในบ้านมีที่จอดรถคันเดียวเขาจึงต้องจอดรถตัวเองไว้นอกบ้าน เขาเดินผ่านสวนที่ปูด้วยหิน กลิ่นดอกกุหลาบลอยมาแตะจมูก ถึงตอนนี้จะมืดจนมองไม่เห็นแต่เขาคิดว่าในสวนนี่ต้องมีกุหลาบไม่น้อยแน่ๆ เผลอๆอาจจะมีเป็นดงเพราะมันคงถูกปล่อยให้โตตามยถากรรม ก็เจ้าของบ้านเล่นไม่กลับบ้านเป็นเดือนๆอย่างงี้

บ้านหลังนี้ตกแต่งภายในสไตล์อิตาเลี่ยน ห้องรับแขกกึ่งห้องนั่งเล่นดูอบอุ่นน่ารักดีทีเดียว  ดูเหมือนบ้านหลังนี้จะมีสองห้องนอน ห้องหนึ่งอยู่ชั้นบน ส่วนอีกห้องอยู่ชั้นล่าง แล้วมันกลายเป็นห้องทำงานไปแล้ว...

เตียงถูกเอาออกไป ผนังทั้งสี่ด้านกลายเป็นชั้นหนังสือกับโต๊ะที่มีชิ้นส่วนโมเดลต้นแบบของรถวางซ้อนๆกันอยู่ มีทั้งแบบย่อส่วนและเท่าสเกลจริง ถึงของในห้องจะดูค่อนข้างเป็นระเบียบแต่ด้วยความเยอะของมัน ถ้าเขาเดินไม่ระวังก็อาจจะไปสะกิดให้มันถล่มลงมาได้  ร่างโปร่งบางพาเขาไปหยุดอยู่หน้าโซฟาตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง บนนั้นยังมีกองหนังสือกับกระดาษสเก็ตอยู่เลย ใบหน้ามนหันมายิ้มแห้งให้เขาก่อนจะพูดออกมา

“เอ่อ...นาย...นอนที่โซฟาได้ไหม? หรือว่าจะไปนอนโรงแรมดีกว่าไหม ถ้าเป็นโรงแรมแถวนี้นักข่าวไม่น่าจะมากวนนายแล้วนะ?” จ้านเกอถามอย่างไม่มั่นใจว่าเขาจะนอนได้ แน่ละ เขาก็ไม่คิดจะนอนบนโซฟานี่เหมือนกัน

“ผมนอนได้ ไม่มีปัญหา”  แต่เขาก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มใสๆให้เจ้ากระต่ายตายใจไปก่อน ใบหน้ามนพยักหน้าหงึกๆก่อนจะก้มลงไปเก็บหนังสือและกระดาษสเก็ตที่กองอยู่บนโซฟาให้ เขาละอยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ต้องเก็บหรอก...



เพราะว่าคืนนี้...ผมจะนอนบนเตียงพี่ต่างหาก...







.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.




เอาแร้วววว เจ้ากระต่ายดันพาหมาป่าเข้าบ้านไม่รู้เรื่องรู้ราวซะงั้นนนน จะโดนกินไหมเนี่ยยย > <

จ้านเกอในฟิคเรื่องนี้จะเป็นลุคปุ๊กปิ๊กผมหน้าม้าใส่แว่นอ่ะนะคะ ส่วนป๋อก็ลุคพ่อทุกสถาบันตามปกติของทั่นนั่นแหละ555 อ่า...ว่าจะเม้าท์หลายเรื่อง เริ่มจากรถของจ้านเกอก่อน ให้พี่ใช้รุ่น Portofino เรย สวยมว๊ากกกก >////< คือตอนแรกก็คิดอยู่ว่าเอาสีไรดีหนอ เหมือนพี่จะเหมาะกับสีขาว แต่คิดไปคิดมา ไม่ดีกว่า แดงเลยแล้วกัน มันต้องแดงแหละ~~ >////<



นึกสภาพจ้านเกอปุ๊กปิ๊กกับหมีแพนด้านั่งไปด้วยกันในรถคันนี้.....55555+ น่าร้ากกกก พูดถึงหมี...เดี๋ยวนะเฮ้ยคุณกวาง GLIDE จะมีหมีทุกภาคแบบนี้ไม่ด้ายยย 555+  จากหมีดำมาหมีขาวขั้วโลก ภาคนี้เพราะเป็นคนจีนเลยหมีแพนด้างี้เหรอ?? 5555+

อ่า ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆน้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า




2 ความคิดเห็น:

  1. คือ มันคืจ้านเกอมากๆ ตุ๊กตาพกตลอดเวลา 55555 คนอะไรอายุปูนนี้แล้วแต่ก็ยังน่ารักน่าเอ็นดูน่าหมันเขี้ยวมากมากกกก(ก.ไก่ล้านล้านตัว)

    ส่วนอี้ป๋อนั้นเราไม่ใช่เมน แต่คงความโหดตามคอนเซปต์ดีค่ะ อิอิ

    ในที่สุดหมาป่าป๋อก็ได้เข้าบ้านกระต่ายจ้านแล้ว รอวันสูบเลือดสูบเนื้อกินเข้าไปทั้งตัว คิคิ

    ปล.anime psycho pass มาแล้ว อย่าลืมมาอัพเดทนิยายเก่าๆ ของโคงามิด้วยนะ!! เรารอไหดองอยู่ (ทวงทุกคอมเมนต์) 55555

    ตอบลบ
  2. รอตอนต่อไปเลยค่ะ555555 จะรอนะคะ สู้ๆ

    ตอบลบ