ป๋อจ้าน Au Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] หนึ่งบุปผา หนึ่งมังกร
หนึ่งรักนิรันดร : 03
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Chinese Period Drama Incest
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
แพขนตาหนาค่อยๆกระพริบเปิดขึ้นมา
แสงแดดแผดจ้าบ่งบอกว่าคงจะเลยเวลาเช้ามานานมากแล้ว
ร่างโปร่งบางขยับน้อยๆอย่างเกียจคร้าน ดูเหมือนอาการปวดท้องจะหายไปแล้ว?
ใบหน้าใสซุกแนบลงกับหมอน
และตอนนั้นเองท่านอ๋องแห่งจวนเซียวอ๋องถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองซบอยู่นั้นไม่ใช่หมอน
แต่เป็นแผ่นอกของใครบางคน…
“....?” ใบหน้ามนเงยมองด้วยความแปลกใจก่อนที่ดวงตาคู่โตจะต้องเบิกกว้างเท่าไข่ห่าน
เด็กนั่น...ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?
แล้วทำไมเขาถึงนอนซบอกผู้เป็นหลานชายอยู่ล่ะ???
ร่างโปร่งบางเด้งออกมาจากร่างของอีกฝ่ายก่อนที่สองมือจะผลักจนหลานชายกลิ้งตกเตียง
ตุ้บ…
“อูย…” องค์ชายเจ็ดลูบบั้นท้ายตัวเองอย่างมึนงง
เขาเองก็เผลอหลับไปและพอนึกขึ้นได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ใบหน้าคมก็มองไปยังคนที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยรอยยิ้มมุมปาก
ผู้มีศักดิ์เป็นอากำลังกระชับคอเสื้อด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ
ช่างเป็นปฏิกิริยาที่น่าสนใจยิ่งนัก
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”
ดวงตาคู่สวยเหลือบมองเขาก่อนจะเสไปมองอย่างอื่นด้วยความเขินอาย
องค์ชายเจ็ดลุกขึ้นปัดฝุ่นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ใบหน้าคมลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
บอกตามตรงว่ารอยยิ้มนั่นมันทำให้เจ้าของห้องไม่วางใจจนต้องก้มลงสำรวจตัวเองแต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ?
จนกระทั่งได้ส่องกระจกดูถึงรู้ว่าที่ต้นคอระหงมีรอยฟันเรียงอยู่…
ใบหน้าสวยถึงกับอ้าปากพะงาบๆ
เจ้าเด็กถือดีนั่นกล้าดียังไงมากัดคอเขา?! ไม่รู้ว่าโตมาจนป่านนี้ได้ยังไงทำไมฮองเฮาผู้เป็นพี่สะใภ้ถึงไม่สั่งสอนบ้าง!
อายุย่างยี่สิบแล้วนะไม่ใช่เด็กสามขวบ!
ดวงตาคู่สวยตวัดมองหลังคาเรือนอีกฝั่งอย่างคาดโทษ
เห็นทีคงต้องอบรมกันยกใหญ่แล้ว!
ปลายนิ้วลูบไปตามรอยฟัน
แล้วยิ่งเอียงคอเข้าหากระจกเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นร่องรอยอย่างอื่นเยอะขึ้น...เปื้อนสีแดงพวกนี้มันอะไร? มีหลายจุดกระจายอยู่ทั่วคอและลาดไหล่ของเขา…
“พ่อบ้าน
ท่านพอจะรู้ไหมว่าตัวอะไรกัดคอข้า?” ปลายนิ้วบางแตะๆที่รอยสีแดงแต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บหรือคัน
พ่อบ้านชราตรงรี่เข้ามาช่วยดูก่อนจะผงะถอยครูดไปหลายก้าวเมื่อเห็นรอยนั่นเข้า
“เอ่อ....ท่านอ๋อง...คือว่านั่น…”
คนที่อาบน้ำร้อนมาจนอายุปูนนี้ย่อมรู้ดีว่านั่นคือรอยอะไรแต่ก็ไม่กล้าจะพูดออกไป
ในเมื่อคนที่อยู่กับท่านอ๋องทั้งคืนคือ...
“หื๋อ?”
ใบหน้าสวยหันมาเร่งคำตอบทำให้พ่อบ้านจนใจและจำต้องตอบไป
“.....นั่นมัน...เป็นรอยจูบขอรับ”
เคร้ง…
กระจกทองเหลืองถึงกับร่วงจากมือบาง
จูบงั้นเหรอ?
เจ้าเด็กนั่นจูบเขางั้นเหรอ?!!!
มันจะมากไปแล้ว!!
ถึงจะถูกขับไล่ออกจากวังหลวงแต่มังกรก็ยังเป็นมังกรวันยังค่ำ
ใบหน้าคมจ้องมองแผนที่ที่มีเพียงเส้นคร่าวๆตรงหน้าก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบคาง
จะว่าไปแล้วดินแดนแถบนี้แทบไม่มีใครสำรวจ
ถึงมันจะขึ้นชื่อเรื่องความแห้งแล้งทุรกันดานแต่มันก็กินพื้นที่ไม่ใช่น้อย
ถ้าหาทางใช้ประโยชน์จากมันได้
จากที่ดินที่ไม่มีใครต้องการอาจจะมีมูลค่ามหาศาลเลยก็ได้
เขาจึงตัดสินใจว่าจะออกไปลาดตระเวนในหุบเขาลูกนี้เสียหน่อย
เสบียงอาหารรวมถึงการเตรียมความพร้อมม้าสำหรับวิ่งระยะไกลนั้นไม่เหมือนระยะสั้น
เพราะอย่างนั้นคนในจวนจึงรู้ถึงความผิดปกติ
“องค์ชาย
ท่านกำลังจะเดินทางไปไหนหรือขอรับ” แล้วก็เป็นพ่อบ้านชราที่เข้ามาถามเขา
ถ้าให้เดานี่น่าจะเป็นคำสั่งจากท่านอาคนงามไม่ผิดแน่ หึ
ถ้าอยากรู้ทำไมไม่มาถามเขาด้วยตัวเองกันเล่า
ทำอย่างกับการออกมาเจอหน้าเขานั้นมันน่ารังเกียจเสียเต็มประดาอย่างงั้นแหละ
“ข้าจะออกไปลาดตระเวนบนภูเขา”
ที่จริงแล้วนอกจากเรื่องสำรวจทรัพยากร เขาเองก็ต้องหาทางหนีทีไล่เอาไว้บ้าง
ถึงจะถูกเนรเทศมาไกลปืนเที่ยงขนาดนี้แต่ศัตรูที่ต้องการจะลอบปลงพระชนม์องค์ชายเจ็ดเพื่อหวังตำแหน่งรัชทายาทก็ยังมีอยู่
จวนอ่อนแอที่แม้แต่ลมพัดเบาๆยังแทบจะพังได้หลังนี้คงต้านทานไว้ไม่ไหวหรอก
“....บนภูเขาหรือขอรับ?...เอ่อ...คือว่า…เอ่อ…...ขอรับ” พ่อบ้านทำท่าอึกอักเมื่อได้ฟังว่าเขาจะไปที่ไหนราวกับกำลังลำบากใจและไม่อยากให้เขาไปที่นั่น
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าทัดทานแล้วได้แต่ขอตัวจากไป….น่าจะไปรายงานเจ้านายสินะ?
ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปาก
อยากจะรู้นักว่าท่านอาจะทำยังไงต่อไป
“นี่ท่านไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกแล้วใช่หรือไม่องค์ชาย? ทำไมเสด็จอาคนงามถึงได้ไม่อยากเจอหน้าท่าน?” ทำไมเจ้าฟางหยางอี้ถึงรู้ทันเขาทุกที?
ข้อนี้เขาสงสัยมาก
“ก็แค่ฝากรอยไว้บนคอนิดหน่อยเอง”
องค์ชายเจ็ดตอบราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนต้องคอยรับหน้าเสืออย่างองครักษ์หนุ่มแล้วไซร้
นึกอยากจะเป็นลมเสียให้ได้
“..........จริงๆเลยนะท่านเนี่ย ข้าไม่รู้จะตามเช็ดตามล้างอย่างไรแล้ว” ทั้งๆที่ปกติแล้วองค์ชายของเขาไม่ใช่คนที่จะเข้าไปหาเรื่องใครก่อนแท้ๆ
ถึงแม้ว่าคนที่กล้ามาหาเรื่ององค์ชายจะถูกเล่นงานกลับปางตายเลยก็เถอะ
แต่องค์ชายเจ็ดไม่ใช่คนที่จะเข้าไปก่อกวนหรือยุ่งกับใครก่อนแบบที่เป็นกับเสด็จอาแน่ๆ
“ไม่อยากเจอก็ไม่ต้องเจอ
ข้าไม่เห็นจะสนใจ เตรียมตัวกันเสร็จรึยัง?” ร่างสูงสง่าตัดรำคาญด้วยการรวมพลในห้องโถงใหญ่ ทั้งทหารทั้งเสบียงต่างพร้อมจะออกไปอยู่ข้างนอกได้เป็นอาทิตย์
“องค์ชายเจ็ดขอรับ!
ท่านอ๋องให้นำแผนที่นี้มาให้ขอรับ!” แต่ก่อนที่เขาจะได้ออกจากจวน
พ่อบ้านชราก็วิ่งหน้าตั้งหอบแผนที่ม้วนใหญ่มาให้ เขาหยิบมาคลี่ดูผ่านๆ
มันเป็นแผนที่อย่างละเอียดของภูเขาลูกที่เขากำลังจะไปสำรวจและมันก็ค่อนข้างจะซับซ้อนมากจนยากจะเชื่อว่ามันเป็นของจริง
อีกอย่าง...ถ้ามีแผนที่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่ส่งทางการ?
ใบหน้าคมเหลือบมองไปยังระเบียงจวนฝั่งตะวันตก
ท่านอาของเขานั่งใช้พัดปิดครึ่งหน้าลอบมองมาจากตรงนั้น…
มือใหญ่จึงโยนแผนที่ลงพื้นอย่างไม่ไยดี
ทำเอาคนที่เฝ้ามองอยู่ถึงกับชะงัก
“ข้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนไม่ได้ความอย่างเจ้าหรอก
ออกจากบ้านสักก้าวเจ้ายังไม่เคยทำ แล้วจะไปรู้สภาพภูมิประเทศภายนอกได้อย่างไร
ใครเชื่อเจ้าก็เสียสติแล้ว” เขาตะโกนบอกร่างโปร่งบางที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
ร่างสง่าตวัดตัวเตรียมจะเดินออกไปแต่เจ้าของบ้านกลับตะโกนเรียกจนผิดวิสัย
“เจ้า! หยุดเดี๋ยวนี้
อย่าเพิ่งไป!” ดูเหมือนท่านอาจะกำลังวิ่งจากเรือนฝั่งตะวันตกมาหาเขา
แต่เขาก็ก้าวเดินออกจากบ้านอย่างไม่สนใจ ไม่อยากเห็นหน้าเขานักไม่ใช่หรือไง?
“หวังอี้ป๋อ!” ดวงตาเย็นชาถึงกับเบิกกว้าง...เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่ท่านอาเรียกชื่อจริงของเขา
ชื่อที่มีเพียงเสด็จพ่อและเสด็จแม่เท่านั้นที่มีสิทธิ์เรียก
“เจ้าอย่าดื้อสิ
ใช้แผนที่นี่ซะ บนภูเขานั่นอันตรายมาก” ใบหน้าสวยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเหมือนจะขอร้องอยู่นัยๆ
แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาประกาศกร้าวไปแล้วว่าจะไม่มีวันใช้แผนที่อันนี้
อีกอย่าง
เขาก็มีศักดิ์ศรีองค์ชายของตัวเองอยู่เหมือนกัน จะให้พึ่งพาคนอื่นได้อย่างไร
ร่างสูงสง่าจึงสะบัดกายแล้วกระโดดขึ้นม้าไปโดยไม่รับแผนที่จากอีกฝ่าย
ฝูงอาชาสีดำวิ่งออกจากจวนไปโดยมีสายตากังวลเฝ้ามองตาม ริมฝีปากสีสดเม้มแน่น
“ฉินเฟยหลิง” ชื่อชื่อหนึ่งถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีสด
และแค่ชั่ววินาทีเท่านั้น
เงาร่างแบบบางของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ข้างท่านอ๋องทันที
“พ่อบ้าน...เจ้าไปตามกองทหารองครักษ์ของข้าที่กระจายตัวเฝ้าอยู่รอบเมืองมาที
ส่วนเฟยหลิง...เจ้าตามองค์ชายไปแล้วคอยบอกตำแหน่งให้ข้ารู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน” สิ้นคำสั่งทั้งสองคนก็หายไปจากตรงนั้นราวกับควัน
ใบหน้าสวยขมวดคิ้วอย่างกังวล
ทำไมถึงได้ถือทิฐิและดื้อรั้นขนาดนั้นกันนะเจ้าเด็กนั่น หุบเขาที่เป็นปราการให้กับเมืองของสายลับคือที่ที่อันตรายที่สุดในโลกแล้ว
เจ้าควรจะฟังข้าบ้าง…
ฝูงม้าสีดำวิ่งเข้าไปในหุบเขา
จากที่เห็นไกลๆเขาไม่คิดว่าพอเข้ามาใกล้แล้วแนวเขาลูกนี้จะทอดยาวราวกับปราการแบบนี้
มันดูเหมือนกำลังโอบล้อมเมืองที่รกร้างแห้งแล้งนั่นอยู่ทำให้ยิ่งดูเป็นหุบเขาปิดเข้าไปใหญ่
แล้วยิ่งควบม้าเข้าไปใกล้ ไอหมอกจางๆก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างพร่าเลือน
“องค์ชาย
ทัศนวิสัยไม่ดีเลยพะยะค่ะ คืนนี้หยุดพักที่นี่ดีหรือไม่พะยะค่ะ” องครักษ์คู่กายหันมาถามและเขาก็มีความเห็นแบบเดียวกัน ใบหน้าคมพยักรับก่อนทั้งขบวนจะหยุดลงท่ามกลางบรรยากาศวังเวงที่รายล้อมอยู่รอบกาย
อาจจะเพราะเย็นแล้วทำให้หมอกเริ่มลงจัด พวกเขามองเห็นได้ในระยะไม่กี่เมตรเท่านั้น
ทางที่ดีที่สุดคือต้องหยุดพักแล้วรอให้หมอกพวกนี้จางลงเสียก่อน
เขานั่งมองกองไฟที่แตกลั่นดังเปรี๊ยะ
ในหัวกำลังนึกถึงแผนที่ที่ผู้มีศักดิ์เป็นอาจะให้เขามาเมื่อเช้า เท่าที่เขาจำได้
สิ่งที่เขาเจอมาตลอดทางกับสิ่งที่อยู่ในแผนที่นั้นแทบจะตรงกันทุกอย่าง และตรงนี้
ตรงที่ที่พวกเขานั่งอยู่ มันถูกเขียนเอาไว้ว่าป่าหมอกพิษ…
“แค่ก!
แค่กๆๆ!”
เสียงไอของทหารสองสามคนทำให้ใบหน้าคมหันไปมอง
คนที่อยู่ข้างๆทหารพวกนั้นต่างลุกไปประคองอย่างตกใจเมื่อจู่พวกเขาก็ไอออกมาเป็นเลือด!
“เกิดอะไรขึ้น?”
ฟางหยางอี้วิ่งเข้าไปดูก่อนจะวิ่งมารายงานเขา
“องค์ชาย
จู่ๆพวกนั้นก็ไอออกมาเป็นเลือดเหมือนสูดพิษเข้าไปเลยพะยะค่ะ”
“......ป่าหมอกพิษ?....” คำๆนี้ลอยวนเวียนอยู่ในหัวของเขาทันที
“อะไรนะพะยะค่ะ?”
ฟางหยางอี้ถามกลับมาอย่างมึนงง
“ต้องออกไปจากตรงนี้!
หมอกที่นี่มีพิษ! เร็วเข้า ให้ทุกคนหาผ้าปิดจมูกไว้!” ใบหน้าคมหันไปตะโกนสั่งก่อนจะลงมือดับไฟ
เหล่าทหารรีบเก็บข้าวเก็บของแล้วกระโดดขึ้นหลังม้าตามเจ้านายไปแบบมึนงง
ฝูงม้าควบต่อไปท่ามกลางความมืด
ตอนนี้พวกเขาวิ่งแบบไม่รู้ทิศรู้ทาง ถ้าป่านั่นถูกตั้งชื่อว่าป่าหมอกพิษ
แสดงว่าไม่ว่าจะรออีกนานแค่ไหน ไอหมอกก็จะไม่จางไปแน่ๆ ต่อให้พวกเขานั่งรอจนเช้า
หมอกก็น่าจะยังหนาอยู่
ด้วยตัวของมันเองอาจจะมีพิษไม่มากแต่หากนั่งสูดไปนานๆก็น่าจะเล่นงานพวกเขาได้
ช่างเป็นกลไกของธรรมชาติที่ร้ายกาจจริงๆ ค่อยๆให้เขาสูดพิษเข้าไปแบบไม่รู้ตัว
นี่ถ้าเขาไม่เห็นแผนที่นั่นมาก่อนคงยังไม่รู้แน่ๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“องค์ชาย
พวกนั้นดูท่าจะทนไม่ไหวแล้ว ไอเป็นเลือดตลอดเวลาเลยองค์ชาย” ฟางหยางอี้ตะโกนบอกเขาจากม้าตัวข้างๆด้วยท่าทางร้อนลน
“ทนไม่ได้ก็ต้องทน!
เราต้องออกไปให้พ้นระยะจากป่าหมอกพิษพวกนี้”
ใบหน้าคมขมวดคิ้วอย่างร้อนใจ
เท่าที่จำได้ป่าหมอกนี้มีขนาดกว้างมากในแผนที่
แล้วตอนนี้เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังควบม้าไปทางไหน
พุ่งเข้าไปในป่าหมอกมากกว่าเดิมหรือกำลังจะออกจากมันมา
“แค่กๆๆๆ” เสียงไอข้างหลังดูเหมือนจะดังมากขึ้น
“องค์ชาย!” ฟางหยางอี้หันมองเขาทีมองทหารพวกนั้นทีอย่างไม่รู้จะทำยังไง
ใบหน้าคมได้แต่กัดฟันกรอด
หมอกพวกนั้นมีพิษอะไรเขาก็ไม่รู้ วิธีแก้พิษต้องทำอย่างไรเขาก็ไม่รู้ ซึ่งทุกอย่างล้วนมีเขียนอยู่ในแผนที่นั่นทั้งนั้นเพียงแต่เขาไม่ได้สนใจจะอ่านมัน
เขากำลังจะพาลูกน้องมาตายเพราะทิฐิและความถือตัวของเขาเอง
ถ้าเขาเชื่อท่านอาเสียตั้งแต่แรก เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น
“องค์ชาย!
ท่านได้ยินเสียงม้าไหม?” ฟางหยางอี้ตะโกนอยู่ข้างๆ
เขาจึงเงี่ยหูฟัง มีเสียงฝีเท้าม้าฝูงไม่ใหญ่ไม่เล็กกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
แต่จะเป็นใครได้ล่ะ? ดึกดื่นเที่ยงคืนแบบนี้
คนที่จะออกตามหาเขาไม่น่าจะมี สิ่งที่ได้ยินคงจะหูแว่วไปเอง…
น้ำอะไรบางอย่างทำให้จมูกรู้สึกเปียกแฉะ
มือใหญ่จึงยกหลังมือขึ้นไปถูก่อนจะก้มลงดู
…..มันคือเลือด….
หรือเขาเองก็กำลังโดนพิษเล่นงานเช่นกัน?
“องค์ชาย!”
เสียงของฟางหยางอี้ฟังดูห่างไกลยิ่งนัก
ตอนนี้นัยน์ตาของเขากำลังพร่าเลือน ไม่รู้ว่าหมอกกำลังหนาขึ้นหรือสติของเขากันแน่ที่กำลังจางหายไป
“องค์ชาย!!
ทำใจดีๆไว้องค์ชาย!”
เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองโงนเงนไปมา ก่อนจะวูบไป
“ท่านอ๋อง?”
เสียงเจ้าองครักษ์ของเขาพูดถึงใครกัน?
“พาเขาขึ้นมาบนม้าข้า” เสียงนุ่มนวลนี้ช่างคุ้นหู
เหมือนร่างกายของเขาจะถูกเคลื่อนย้าย
ไออุ่นสัมผัสแนบกายและก่อนที่ดวงตาของเขาจะปิดลง
ใบหน้าของท่านอากลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้า
อ่า...นี่ข้าคิดถึงใบหน้ายิ่งยโสของเจ้าจนเก็บมาฝันเลยหรืออย่างไร...ท่านอา
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
เงอะะ ท่านอ๋องอา กับหลานชายเจ็ด 😂😂
ตอบลบ