ป๋อจ้าน Au Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] หนึ่งบุปผา หนึ่งมังกร หนึ่งรักนิรันดร : 01
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Chinese Period Drama Incest
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
ฝูงอาชาสีดำวิ่งทะยานออกจากเมืองหลวงราวกับต้องการจะทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง
ท่ามกลางฝูงม้าที่ดูไม่เหมือนขบวนที่ประทับขององค์ชายกลับมีรถเทียมม้าหรูหราคันหนึ่งแทรกอยู่แม้ทั้งคันจะเป็นสีโทนดำก็ตาม
มู่ลี่ไม้ไผ่ที่สะบัดไหวไปตามแรงลมเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของคนที่นั่งอยู่ข้างใน
เจ้าของสีหน้าเย็นชานั่นคงจะฆ่าคนได้เพียงแค่ใช้สายตาคมกริบคู่นั้น สายลมทำให้เส้นผมสีดำขลับตกเคลียไหล่ถึงแม้ส่วนใหญ่จะถูกรวบไว้ด้วยมาลารัดเกล้าซึ่งบ่งบอกว่าเขาผู้นี้คือเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
แท้จริงแล้วร่างสูงสง่าที่นั่งอยู่ในรถเทียมม้ามีศักดิ์เป็นถึงองค์ชายเจ็ดแห่งแผ่นดินมังกร
เป็นองค์ชายที่เกิดจากฮองเฮาและเป็นองค์ชายที่มีสิทธิ์จะได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทมากที่สุด
แต่ตอนนี้เขากลับถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวง…
ด้วยความผิดซึ่งเจ้าตัวไม่คิดจะสำนึกเลยสักนิด...
ฝ่ามือใหญ่กำแน่นอยู่บนหน้าตัก
ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกสลักยังคงนิ่งเฉยแม้ว่าในใจกำลังพุ่งพล่านไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ทั้งโกรธ
ทั้งเกลียด ทั้งเคียดแค้น
เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเสด็จพ่อจะเชื่อกลลวงง่ายๆพวกนั้นแล้วขับไล่ไสส่งเขาออกจากวังหลวง
เนรเทศเขาให้ไปอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้นสุดแสนจะทุรกันดาร ไม่มีทั้งกองทหาร ไม่มีบ้านเรือนอันงดงาม
ไม่มีความเจริญ ไม่มีอะไรเลย
ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะได้ครองบัลลังก์มังกร...
จากความผิดที่เขาก่อไว้
ป่านนี้พวกขุนนางคงเปลี่ยนสายไปสนับสนุนองค์ชายใหญ่กันจนหมดแล้ว...ไม่มีที่สำหรับองค์ชายเจ็ดอย่างเขาอีกต่อไป
แต่ใครจะสน
เขาจะไม่ยอมไปตายอย่างไร้ค่าอยู่ในดินแดนที่ไม่มีอะไรเลยแบบนั้นแน่ๆ
ถ้าเสด็จพ่ออยากจะขังให้เขาอยู่ที่นั่นนัก เขาก็จะทำลายกรงนั้นให้สิ้นซากแล้วออกไปด้วยตัวเอง
ขบวนม้าวิ่งฝ่าลมหนาวและความมืดมากว่าสองวัน
ในที่สุดองค์ชายเจ็ดและบรรดาองค์รักษ์รวมถึงทหารรับใช้ที่ฮ่องเต้โปรดให้ติดตามมาด้วยก็มาถึงเมืองเล็กๆกลางหุบเขาแห่งหนึ่งจนได้
ที่นี่มีบ้านอยู่ไม่ถึงห้าสิบหลังคาเรือนและตั้งแต่เข้าเมืองมาพวกเขาก็ยังไม่เห็นหน้าคนแม้แต่คนเดียว
ถนนที่ควรจะคึกคักไปด้วยร้านค้ากลับว่างเปล่าไร้เงาผู้คน มีเพียงลมเย็นๆพัดหญ้าแห้งและฝุ่นผงลอยตลบไม่ต่างจากเมืองร้าง
ต้นไม้ที่เหลือเพียงกิ่งก้านทำให้รอบกายยิ่งดูแห้งแล้งไร้สีสัน
เหล่าอาชาสีดำหยุดลงที่หน้าจวนหลังใหญ่ซึ่งหาได้ไม่ยากท่ามกลางบ้านผุพังจำนวนน้อยนิด
ป้ายหน้าจวนทำด้วยไม้ง่ายๆจนดูแทบไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ภายในนั้นมียศเป็นถึงท่านอ๋อง
เป็นน้องชายคนสุดท้องของฮ่องเต้
ร่างสูงสง่าก้าวขาลงจากรถม้าก่อนจะมายืนมองป้ายไม้นั่นด้วยสายตาเหยียดๆ “เซียวอ๋อง...” ริมฝีปากยกยิ้มก่อนจะหัวเราะเย้ยหยันในลำคอ
เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเสด็จพ่อถึงส่งเขามาอยู่กับท่านอ๋องไร้ชื่อคนนี้
คงคิดจะตัดหางปล่อยวัดเขาจริงๆเสียกระมัง เพราะหากเสด็จพ่อยังมีเมตตาและคิดจะให้เขาหวนคืนบัลลังก์ก็ควรจะส่งเขาไปอยู่กับท่านอาคนอื่น
คนที่ควบคุมกองทัพอยู่แดนเหนือก็ยังมี คนที่เชี่ยวชาญด้านการค้าก็ยังมี
คนที่ดูแลเมืองในปกครองของตนจนยิ่งใหญ่ทัดเทียมเมืองหลวงก็ยังมี
แต่เสด็จพ่อกลับส่งเขามาอยู่กับคนรักสันโดษที่ไม่มีอะไรเลยแบบนี้...
คิดยังไงเขาก็อยู่ไม่ได้แน่ๆ
ต่อให้ต้องหนีหรือใช้กำลัง
เขาก็ต้องไปจากที่นี่ จะปล่อยให้ผืนดินว่างเปล่าพวกนี้กลืนกินเขาไม่ได้
“องค์ชายเจ็ด
เชิญทางนี้ขอรับ”
พ่อบ้านวิ่งออกจากจวนมาต้อนรับเขา
ร่างสูงสง่าในชุดสีดำปักลายพยัคฆ์ก้าวขาข้ามธรณีประตูเข้าไป
ยังดีที่สวนภายในจวนไม่ได้ดูรกร้างแห้งแล้งเหมือนบ้านเมืองภายนอก
อาคารไม้ที่ดูเรียบง่ายเองก็สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ
เขาถูกเชิญเข้าไปในเรือนรับรองซึ่งมีม่านไม้ไผ่กางกั้นอยู่
มีเงาของคนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายจะต้อนรับองค์ชายเจ็ดอย่างเขาด้วยวิธีนี้?
นัยน์ตาเย็นชามีแววดุดันขึ้นมาทันที
“ยินดีต้อนรับสู่จวนเซียวอ๋อง
ข้าคืออาของเจ้า เจ้าใช้เรือนทางฝั่งตะวันออกได้ตามสบาย ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นของข้า
หากไม่มีเหตุจำเป็นก็อย่าเข้าใกล้ ข้าจะให้พ่อบ้านนำไป เชิญเจ้าตามสบาย”
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาของเขาร่ายยาวโดยไม่ให้เขาพูดแทรกแม้เพียงประโยค
หลังจากพูดจบก็ผายมือทันทีราวกับไม่อยากได้แม้แต่การคาราวะจากหลานอย่างเขา
ใบหน้าคมจ้องเงาร่างที่อยู่หลังม่านไม้ไผ่อย่างไม่พอใจ
การต้อนรับที่ดูแห้งแล้งเหมือนสภาพบ้านเมืองนี่คืออะไร
ปกติเขาก็ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่ได้เรื่องมากอะไรอยู่แล้ว
แต่การต้อนรับเขาซึ่งต้องเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัวคนใหม่แบบนี้มันก็เกินไปหน่อยหรือเปล่า
หรือเป็นเพราะอีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นแค่องค์ชายตกกระป๋องที่ไร้ประโยชน์
ก็เลยต้อนรับส่งๆไปเพราะปฏิเสธเสด็จพ่อของเขาไม่ได้?
มือใหญ่กำแน่นก่อนจะจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตามืดมน
สองมือยกขึ้นก่อนจะคาราวะส่งๆไปเช่นกัน พ่อบ้านมองเขาพลางยิ้มแหยๆแล้วผายมือให้เขาเดินตามไป
“เรือนขององค์ชายอยู่ทางนี้ขอรับ
เรือนฝั่งตะวันออกกับตะวันตกจะมีสระบัวกั้น ท่านอ๋องเป็นคนรักสันโดษ
ไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใดอาจจะไม่ค่อยได้เจอหน้าองค์ชาย หากองค์ชายมีเรื่องอะไรหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมก็บอกข้าน้อยได้ขอรับ” พ่อบ้านโค้งคำนับเขาอย่างนอบน้อม
ร่างสูงสง่าจึงโบกมือไล่ ตอนนี้เขาไม่อยากจะเรื่องมากอะไรแล้ว
ดูก็รู้ว่าท่านอาก็ไม่ได้อยากจะให้เขามาอยู่ที่นี่นัก
หึ
รักสันโดษหรือหยิ่งยโสกันแน่ แม้แต่หน้ายังไม่ยอมให้เขาเห็น
ทั้งๆที่ตัวเองก็เป็นแค่อ๋องปลายแถวไร้ชื่อไร้นามในวังหลวงแท้ๆ
ครืด!!
องค์ชายเจ็ดลากเก้าอี้มากระแทกตัวนั่งลงไปอย่างไม่สบอารมณ์
ท่อนแขนแข็งแรงยกขึ้นมาเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย ที่นี่มันยิ่งกว่าคุกเสียอีก
ถึงเรือนหลังนี้จะดูดีพอสมฐานะองค์ชายของเขาอยู่บ้างก็เถอะ
“องค์ชาย
ท่านจะให้เอาของพวกนี้ไว้ที่ไหน?”
ฟางหยางอี้ องครักษ์คนสนิทที่ใช้ชีวิตอยู่กับเขามาตั้งแต่เด็กโผล่พรวดเข้ามาพร้อมกับทหารรับใช้ที่ขนหีบข้าวของของเขามาด้วย
“อยากวางไว้ตรงไหนก็วางไป
แล้วก็ไม่ต้องรื้อออกมา ข้าคงอยู่ที่นี่ไม่นาน”
เขาบอกปัดไปอย่างรำคาญ ตอนนี้ในหัวมีแต่ความไร้มารยาทของท่านอาที่วนเวียนอยู่
เขาอยากจะทำอะไรบางอย่าง อะไรก็ได้ให้อีกฝ่ายหลาบจำว่าอย่ามาทำให้คนอย่างองค์ชายเจ็ดไม่พอใจ!
“ทำไมท่านทำหน้าอย่างงั้น?
ท่านกำลังคิดเรื่องชั่วร้ายอะไรอยู่ใช่หรือไม่?”
เจ้าฟางหยางอี้กอดอกมองเขาอย่างรู้ทันสมกับที่อยู่ด้วยกันมานาน
“เจ้าว่าข้าควรจะไปลองของเสียหน่อยดีไหม?”
เรือนฝั่งตะวันตก...ห้ามไม่ให้เขาเข้าไปดีนักใช่ไหม?
หึ!
“แล้วแต่เลยพะยะค่ะ
แต่อย่าให้เดือดร้อนมาถึงกระหม่อมก็แล้วกัน
ยังไงก็ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานน่าองค์ชาย ญาติดีกับเสด็จอาเอาไว้เถอะ” องครักษ์ที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขามาไม่รู้กี่ครั้งส่ายหน้าอย่างระอา
ถึงเขาจะได้ชื่อว่าเป็นองค์ชายที่เย็นชาและไม่เห็นหัวใคร
แต่ฟางหยางอี้เป็นคนเดียวที่รู้ดีว่าเขาจะยอมไม่ได้มากที่สุดเมื่อใครไม่เห็นหัวเขา!
“หึ” ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักยิ้มร้ายก่อนจะก้าวขาเดินออกไป
องครักษ์คนสนิทได้แต่ถอนหายใจ แต่เสด็จอานั่นก็จริงๆเล้ย แค่ออกมาพูดคุยกับองค์ชายของเขาแบบคนทั่วไปก็พอแล้วแท้ๆ
ถึงองค์ชายจะต่อต้านการมาอยู่ที่นี่แต่องค์ชายก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล
ยิ่งเสด็จอาทำแบบนี้ก็ยิ่งไปกระตุกหนวดเสือให้มันยิ่งดุร้ายหนักกว่าเดิมเสียเปล่าๆ
“ยกไปซ้อนๆกันไว้ตรงนั้นแหละ” องครักษ์หนุ่มหันไปชี้นิ้วสั่งทหารรับใช้ก่อนจะหันไปสนใจเรื่องความเป็นอยู่ของตัวเองแทนที่จะมากลุ่มใจกับเรื่องของเจ้านายดีกว่า
เท่าที่พ่อบ้านบอก
เรือนทั้งสองฝั่งถูกกั้นเอาไว้ด้วยสระบัว
เพราะฉะนั้นหากข้ามสระบัวไปได้ก็คงจะถึงเรือนของอีกฝ่าย
ร่างสูงสง่าเดินลัดเลาะกลุ่มอาคารจนมองเห็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กจนได้
แต่ยังไม่ทันจะได้หาทางข้ามไป
เสียงลุ่มลึกของเครื่องสายบางอย่างก็ทำให้ร่างกายของเขาชะงักงัน
สายตาสะดุดเข้ากับเงาร่างของคนคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งดีดฉินอยู่ในศาลาริมสระ บัวที่ขึ้นอยู่โดยรอบล้วนเป็นบัวหิมะทิเบตที่หาได้ยากในภาคกลาง
เช่นเดียวกับความงามของคนตรงหน้า ใบหน้าใสของคนคนนั้นงดงามหมดจด ดวงตาคู่โตที่ทอดมองสายพิณนั้นช่างอ่อนโยน
ปากนิดจมูกหน่อยนั่นก็ดูรับกันไปหมด
เขาวนเวียนอยู่ในวังหลวงซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวบรวมสาวงาม
แต่เขาไม่เคยเจอใครที่คนงดงามเท่าคนตรงหน้านี้มาก่อนเลย จะยกเป็นหนึ่งในใต้หล้าก็หาได้เกินจริงไม่
เสียดาย...ที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย...
ว่าแต่ในจวนหลังนี้ยังมีคนอื่นอยู่นอกจากท่านอาของเขาด้วยอย่างนั้นหรือ?
เห็นทีต้องเข้าไปทักทายเสียหน่อยแล้ว
มือใหญ่หยิบกิ่งไม้แห้งที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาก่อนจะส่งพลังจากฝ่ามือจนกิ่งไม้กลายเป็นลูกธนูพุ่งตรงไปหาร่างระหงที่นั่งอยู่กลางศาลา
แล้วคนตรงหน้าก็ไม่ทำให้องค์ชายเจ็ดผิดหวัง...
มือบางที่ลากผ่านสายพิณตวัดขึ้นมารับกิ่งไม้แห้งนั้นด้วยสองนิ้ว
ดวงตาคู่สวยค่อยๆปรายมองไปยังต้นทางที่ปล่อยกิ่งไม้มาและร่างสูงสง่าก็ไม่ได้หลบหนีแต่อย่างใด
“ขอโทษ
ข้าทำกิ่งไม้หลุดมือ” องค์ชายเจ็ดเดินเอามือไพล่หลังเข้ามาหา
ถึงปากจะเอ่ยขอโทษแต่ใบหน้าเย็นชาหาได้รู้สึกผิดไม่
มือบางที่ถือกิ่งไม้อยู่จึงค่อยๆวางมันลงข้างฉินอย่างไม่ใส่ใจ
“เจ้าเป็นใคร?
เท่าที่ข้ารู้ ท่านอาของข้ายังมิได้สมรส ไม่น่าจะมีบุตรที่โตเช่นเจ้า” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ใบหน้ามนที่งดงามราวกับภาพวาดจ้องตาเขากลับมาโดยไม่ได้พูดอะไรแต่กลับค่อยๆเก็บฉินแล้วลุกขึ้นอย่างนุ่มนวล
เขาจึงได้รู้ว่าร่างโปร่งบางนั้นแท้จริงแล้วสูงพอๆกับเขา
อีกฝ่ายหันหลังเตรียมจะเดินจากไป
มือใหญ่จึงคว้าต้นแขนผอมบางนั่นเอาไว้อย่างถือสิทธิ์
“ทำไมเจ้าไม่ตอบข้า” ไม่เคยมีใครกล้าหันหลังให้องค์ชายเจ็ดแบบนี้มาก่อน
และไม่เคยมีใครกล้าไม่ตอบคำถามของเขาด้วย คนในจวนนี้มันยังไงกัน?
ใบหน้างดงามค่อยๆหันมามองเขา
ดวงตาคู่สวยค่อยๆปรายมองฝ่ามือที่ถือวิสาสะก่อนจะค่อยๆตวัดกลับมามองหน้าเขา
แล้วในที่สุดริมฝีปากสีสดน่าบดขยี้นั่นก็ยอมพูดกับเขาจนได้
“เจ้าถามว่าข้าเป็นใคร?
ข้า...ก็เป็นอาของเจ้ายังไงล่ะ” เสียงนี่...คือเสียงเดียวกับคนที่นั่งอยู่หลังม่านไม้ไผ่ไม่ผิดแน่
คนคนนี้...คือท่านอาของเขาจริงๆ...
ไม่อยากจะเชื่อ...ว่าอีกฝ่ายจะยังดูเด็กขนาดนี้
เท่าที่เขารู้คือท่านอาเป็นน้องคนเล็กของเสด็จพ่อ ตอนที่ท่านอาเกิด
เสด็จพ่อของเขายังเป็นองค์ชายรัชทายาทอยู่เลย
แต่จะว่าไปพี่ใหญ่ของเขาก็เกิดปีเดียวกับท่านอานี่แหละ
เพราะฉะนั้นก็เท่ากับว่าคนตรงหน้าแก่กว่าเขาแค่แปดปีเท่านั้น
“.........”
เขาจ้องใบหน้างดงามนั่นอย่างไม่ลดละและเจ้าของใบหน้าสวยนั่นก็มองตอบเขากลับเช่นกัน
ริมฝีปากสีสดเริ่มเอ่ยกับเขาด้วยเสียงแข็ง
“ตอนอยู่ในวังหลวงเจ้าอาจจะเป็นองค์ชายเจ็ดที่มีอำนาจและเป็นรองแค่ฮ่องเต้
แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ในจวนของข้า เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”
ถึงอีกฝ่ายจะพูดด้วยเสียงแข็งแต่น้ำเสียงกลับนุ่มนวล
ถึงอีกฝ่ายจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังแต่เพราะใบหน้านั้นอ่อนหวานยิ่งกว่าผู้หญิงเขาจึงไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวเลยสักนิด
“เชื่อฟังท่าน?” เขาตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
สายตาดูหมิ่นไล่มองลงไปยังร่างกายสะโอดสะองที่เขาเหวี่ยงทีเดียวก็คงจะปลิวไปถึงไหนต่อไหน
จะให้องค์ชายเจ็ดอย่างเขาเชื่อฟังเนี่ยนะ? แม้แต่เสด็จพ่อเขายังไม่ฟังเลย
“อย่างเช่นตอนนี้
ข้าสั่งให้เจ้าปล่อยแขนข้า เจ้าก็ต้องปล่อย”
ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ปล่อย
เขายังออกแรงบีบต้นแขนผอมบางนั่นมากกว่าเดิมจนใบหน้าสวยต้องนิ่วหน้า
ถึงอีกฝ่ายจะมีศักดิ์เป็นอาแล้วอย่างไร? เขาเคยกลัวเกรงใครเสียที่ไหน
“........” ริมฝีปากสีสดเม้มแน่น ดวงตาคู่โตจ้องเขาเขม็ง
ทั้งๆที่ถูกเขาบีบแขนจนแทบหักแต่ท่านอากลับไม่ร้องหรือโวยวายใช่อำนาจกับเขา
ทั้งๆที่น่าจะเจ็บมากแต่กลับเลือกที่จะปิดปากเอาไว้
“หึ” เขาหัวเราะในลำคอ
ถึงจะรังแกคนอ่อนแอผู้นี้ไปก็ไม่ได้ทำให้เขามีเกียรติมีศักดิ์ศรีมากขึ้น
มือใหญ่จึงสะบัดปล่อยต้นแขนบางจนร่างโปร่งเซตามไปนิดๆ
“อย่าคิดว่าจะสั่งข้าได้
เจ้าเป็นท่านอาของข้าเพียงในนาม ข้ามิได้นับถือเจ้า” ใบหน้าคมทิ้งคำพูดไว้ก่อนจะสะบัดกายเดินจากไป
จึงไม่ได้เห็นสายตาที่ทอดมองมาอย่างห่วงใยจากคนที่ถูกทำร้าย
.
.
.
ท่านพี่...ท่านคิดผิดแล้วหรือไม่ที่ฝากให้ข้าดูแลเขา
เด็กคนนั้นจะอ่อนโยนลงได้อย่างไร
ข้าสงสัยยิ่งนัก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
ป๋อก็คือองค์ชายเจ็ด
ส่วนจ้านเกอก็คือท่านอ๋องนั่นแหละค่ะ
ไปดูรายการ
Our
song ที่จ้านเกอไปออกมาค่ะ แล้วกรุ๊ปของจ้านเกออ่ะ ร้องเพลงดี
เพลงเพราะมว๊ากกันทุกคู่เลย แง๊~~ เหมือนจะเป็นเพลงเก่าด้วย
คือฟังแล้วจิ้นชิบหายวายวอดมากค่ะ ฮืออออออออ
ไหใหม่นี่ก็โทษจ้านเกอกับน่าเจี่ยแล้วกันค่ะ คุณกวางไม่ผิดดดด // โดนไมค์รูปตัววาย(?)ปาหัว
ส่วนชื่อฟิคเรื่องนี้
จะเห็นว่ามีความคล้าย คล้ายพ่อง เหมือนเป๊ะ5555+ กับฟิครีเอบางเรื่อง ใช่แร้วค่ะ ขี้เกียจคิดชื่อใหม่ค่ะ ลอกแม่มเลยค่ะ
5555+ ลอกชื่อฟิคตัวเองไม่ผิดดดด 5555+
แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันนะคะ
แค่ชื่อคล้ายเฉยๆ 5555+
นอกจากจะลอกชื่อฟิคแล้ว ชื่อตัวละครบางตัวยังลอกมาด้วยค่ะ555+
ความขี้เกียจคิดนี้ TvTb แล้วก็ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าไม่ถนัดฟิคที่เป็นจีนโบราณนะคะ
ภาษงภาษาหรือตำแหน่งตัวละคร ชื่อจีนอะไรงี้ ถ้าผิดก็มองข้ามๆไปเด้อ ขี้เกียจหาข้อมูลอ่ะ
นิยายจีนก็ยังอ่านไม่เยอะ มีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยเด้อ
ขอบคุณทุกๆการติดตามนะค้า
ฝากไหน้อยๆใบนี้ด้วยค่า พยายามจะเขียนให้จบทุกไหอยู่นะ แง๊ ฮึบๆๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น