อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] JUNE : 09


อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  JUNE : 09

: อี้จ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Warmhearted Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
          






“เนื้องอกในสมองน่ะ”  


ถึงแม้เจ้าเหมียวจะพูดออกมาเหมือนทำใจได้นานแล้วแต่กับคนที่เพิ่งรู้แบบเขา...ประโยคๆนั้นมันทำให้ถึงกับหน้าชา ร่างทั้งร่างนิ่งงัน  ความเคว้งคว้างเหมือนมองเห็นปลายทางของเราสองคนนี้มันคืออะไร?   เขาไม่ควรรู้มันอาจจะดีกว่าหรือเปล่า? ที่เขาดึงดันในการหาคำตอบเพราะคิดว่าตัวเองทำใจได้ไม่ว่าเจ้าเหมียวจะเป็นโรคอะไร แต่เอาเข้าจริงแล้วมันไม่ใช่เลย...

“ไม่ใช่เนื้อร้าย ไม่เป็นไรหรอกน่า...พ่อฉันเป็นหมอนะ ไม่ปล่อยให้ลูกชายตัวเองตายง่ายๆหรอก”  กลับกลายเป็นคนป่วยที่ต้องมาปลอบใจเขาเสียเอง ถึงเจ้าเหมียวจะพูดอย่างไม่ใส่ใจแต่ใครๆก็รู้ว่าเนื้องอกมันก็มีโอกาสจะกลายเป็นมะเร็งได้ โรคที่เจ้าเหมียวเป็นอยู่นั้นมีอันตรายถึงชีวิต

ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าเหมียวถึงไม่อยากบอกเขา เพราะในใจเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เป็นห่วงจนไม่อยากให้เจ้าเหมียวทำอะไร ไม่อยากให้ไปไหน ไม่อยากให้คลาดสายตา เจ้าเหมียวคงรู้ว่าเขาจะเป็นห่วงแทบบ้าแล้วก็จะคอยเฝ้าอีกฝ่ายจนกลายเป็นไม่มีความสุขไป

เขาสูดหายใจแล้วพยายามเรียกสติ เขารู้ดีว่าอะไรที่มันมากเกินไปก็อาจจะทำทุกอย่างพังได้ เขาเป็นห่วงเจ้าเหมียวได้แต่ไม่ควรทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นคนป่วยใกล้จะตายไม่มีทางหายจากโรคนี้ เขาควรจะปล่อยเจ้าเหมียวใช้ชีวิตไปโดยอยู่ข้างๆก็พอ

“มีอะไรที่ฉันต้องรู้อีกหรือเปล่า...เกี่ยวกับโรคของนาย...อย่างเช่นฉันต้องระวังอะไรไม่ให้นายอาการกำเริบ?”   เจ้าเหมียวส่ายหน้า

“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก...ที่จริง...ระดับของฉัน ถ้าผ่าตัดก็จะหาย”

“แล้วทำไมนายไม่ผ่าตัด?”   เขามองเจ้าเหมียวอย่างมีความหวัง แต่ใบหน้ามนกลับยิ้มขืนๆ

“เอาไว้ต่อรองน่ะ มันอาจจะเป็นไพ่ใบสุดท้ายของฉัน”  เขายอมรับว่าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าเหมียวพูดออกมาเลย ต่อรองอะไร? ต่อรองกับใคร? ทั้งๆที่มันเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองเนี่ยนะ?

จู่ๆสองแขนผอมบางก็ยื่นมากอดเอวเขาก่อนจะดึงตัวเขาลงไป ร่างสูงยาวจึงล้มไปนอนทับอยู่บนตัวเจ้าเหมียว ใบหน้าซบอยู่ที่ข้างแก้มใส เจ้าเหมียวไม่อยากให้เขาซักต่อหรือไง? ถึงได้จงใจปิดปากเขาด้วยไหล่ของตัวเอง

เขาพลิกตัวลงมานอนหันข้างก่อนจะดึงตัวเจ้าเหมียวมากอดไว้ ใบหน้าซุกลงกับกลุ่มผมนิ่มๆของเจ้าเหมียว เรื่องที่เพิ่งรู้ทำเอาจิตใจไม่สงบเลยจริงๆ ถ้าจะบอกว่าไม่ห่วงไม่กังวลก็คงจะเป็นการโกหก ยังมีเรื่องการต่อรองอะไรนั่นอีก...มันยังมีอะไรสำคัญกว่าชีวิตของตัวเองอีกหรือไง ถึงได้เก็บเอาการผ่าตัดที่สำคัญนั่นไว้เดิมพันแบบนี้

ดวงตาเฉยชาเหลือบไปเห็นกองดีวีดีที่ยังดูไม่จบ เขาควรจะเปลี่ยนเรื่องหรือหาอะไรทำเพื่อหยุดความคิดหม่นหมองในหัว

“ดูซีรี่ย์นั่นต่อกันไหม?”   เขาเอ่ยถามในขณะที่ยังกอดอีกฝ่ายเอาไว้

“อื้อ”   เจ้าเหมียวเองก็ตอบทั้งๆที่ยังอยู่ในอ้อมแขน

พวกเขาย้ายลงมานั่งอยู่บนพรมหนานุ่มหน้าโซฟา หมอนอิงใบใหญ่เกลื่อนกลาดเต็มพื้น พวกเขาดูซีรี่ย์เรื่องนี้ด้วยกันมาหลายคืน ก่อนหน้านี้มีทั้งเสียงหัวเราะด้วยกันตอนที่ตัวละครทำอะไรเปิ่นๆ มีทั้งเสียงเถียงกันเมื่อต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวละครน่าจะหาทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ มีทั้งเขินจนต้องเอาหน้าซุกหมอนเมื่อถึงฉากเลิฟซีน  แต่ในวันนี้ไม่รู้ว่าเพราะเป็นฉากดราม่าหรือว่าเรื่องของเจ้าเหมียวกันแน่ที่ทำให้พวกเขาดูด้วยความรู้สึกหน่วงๆในใจ ห้องทั้งห้องจึงมีเพียงเสียงโทรทัศน์

เขาทอดสายตามองภาพในจอแบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ถึงจะพยายามไม่คิดแต่ยังไงก็ยังสลัดเรื่องของเจ้าเหมียวออกไปตอนนี้ไม่ได้อยู่ดี...ปล่อยไว้แบบนี้ เขาคงจะกลายเป็นเฉินจงอีหมายเลขสองแน่ๆ ที่ต้องคอยเฝ้าเจ้าเหมียวจนน่าอึดอัดตลอดเวลา

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งพิงอยู่ข้างๆเมื่อรับรู้ถึงแรงดึงที่แขนเสื้อ มือบางกำเสื้อเขาแน่นและเมื่อเขามองหน้าเจ้าเหมียว...

“เฮ้ย! ร้องไห้ทำไมเนี่ย?”  น้ำตาหยดแหมะๆลงมาตามแก้มใสทำเอาเขาลนลานทำอะไรไม่ถูก

“ฮีวอนน่าสงสารเกินไปแล้ว~ ถ้ารักทำไมถึงต้องยอมเสียสละด้วยล่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจ~”   ...อือ ฮีวอนคือชื่อของพระเอกในซีรี่ย์นั่นแหละ  เขาเอื้อมมือไปดึงทิชชูมาซับน้ำตาให้เจ้าเหมียว

“ไม่ร้องๆ...”   มือใหญ่ซับกระดาษเนื้อดีไปตามแก้มใสไล่ขึ้นไปจนถึงแพขนตา

“ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะเอาเงินฟาดหัวนางเอกซะแล้วบังคับให้มาแต่งงานกับฉัน!”   ....อนาคตเขาคงไม่เป็นแบบนั้นใช่ไหม? จากที่รู้สึกหน่วงๆในใจ มาเจอเจ้าเหมียวที่กำลังอินกับซีรี่ย์แบบนี้ทำเอาไอ้เขาที่กังวลแทบตายกลายเป็นคนบ้าไปเลย...มันน่าจริงๆ

“สั่งน้ำมูกด้วย น่าเกลียดจริงๆ”   เขาโปะทิชชูลงไปบนจมูกโด่งรั้น ใบหน้ามนที่น้ำหูน้ำตาไหลสั่งน้ำมูกฟืดก่อนจะสะอื้นเบาๆ นี่อินเบอร์ไหนกันเนี่ย?

สองแขนผอมบางสอดเข้ามาก่อนจะกอดแขนเขาไว้แล้วหันกลับไปดูซีรี่ย์ต่อ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบว์ ความอินกับซีรี่ย์เกาหลีของเจ้าเหมียวทำให้เขาเผลอหัวเราะในลำคอ...เจ้าตัวเองยังพยายามใช้ชีวิตให้ปกติที่สุดแบบนี้แล้วเขาจะตื่นตระหนกไปทำไม เขาต้องทำใจและยอมรับมันให้ได้ จากนั้นก็อยู่ข้างๆเจ้าเหมียวเท่านั้นก็พอ

จากที่นั่งหลังพิงโซฟา เมื่อเวลาผ่านไปเขากับเจ้าเหมียวก็เริ่มไหลลงไปนอนบนพื้นพรม กองแผ่นดีวีดีที่ยังไม่ได้ดูลดลงเรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็เรื่องราวก็ดำเนินมาถึงตอนจบจนได้

พระเอกตัดสินใจวินาทีสุดท้ายแล้วกลับมาหานางเอก มาบอกรักแล้วเคลียร์ทุกอย่างให้ชัดเจน ตอนจบของซีรี่ย์แฮปปี้เอนดิ้งจนเขาเผลอคิดว่าตอนจบของเขากับเจ้าเหมียวจะเป็นยังไงกันนะ จะได้อยู่ด้วยกันอย่างที่หวังหรือเปล่า...

เขาหันหน้าไปมองคนที่นอนตะแคงอยู่ข้างๆ เจ้าเหมียวหลับไปแล้วทั้งๆที่ยังกอดแขนเขาอยู่

อ่า...พรุ่งนี้เขาคงต้องดูฉากแต่งงานหวานเลี่ยนนี่อีกรอบสินะ...จะนอนทำไมไม่บอกกันก่อนเนี่ย

เขาหันใบหน้าไปหาเจ้าเหมียวทั้งๆที่ยังนอนหงาย ทอดสายตามองใบหน้าสวยที่อยู่ใกล้แค่คืบนั่นไปเรื่อยๆ  ตอนจบจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ เพราะเขาเชื่อว่าทุกอย่างพวกเขากำหนดได้ ชะตาฟ้าอาจจะลิขิตให้เรามาเจอกัน แต่หลังจากนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วไหมว่าจะทำให้มันเป็นยังไง

ถ้ารักก็แค่เดินหน้าต่อไป











หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวของทีม Fire Dragon เดินออกจากห้องน้ำหญิงก่อนจะมุ่งหน้ากลับห้องเรียน ด้วยบุคลิกห้าวๆเซอร์ๆและชอบช่วยเหลือผู้อื่นของเธอทำให้รู้จักกับคนในโรงเรียนไม่น้อยและไม่ใช่แค่สมาชิกในทีมแต่ทั้งเพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้องต่างก็เรียกฉางไป่เหอว่า “เจ๊ลิลลี่” ด้วยกันทั้งนั้น

เด็กสาวก้าวขึ้นบันได อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องเรียนของเธอแล้วแท้ๆแต่กลับมีเงาร่างสูงใหญ่ของใครบางคนมายืนขวางเอาไว้

“ไป๋หลี่จวิน?”   เด็กสาวเงยหน้ามองหนึ่งในแก๊งเจ้าชายที่เป็นเพื่อนสนิทของเซียวจ้านด้วยความสงสัย ดูเหมือนอีกฝ่ายจงใจมาดักรอเธอมากกว่าจะบังเอิญเจอ

“ทำแบบนี้ทำไม?”  ใบหน้าคมคายเอ่ยถามด้วยแววตาดุดัน พอไม่ใช่เซียวจ้านรอยยิ้มเป็นมิตรของไป๋หลี่จวินก็มักจะกลายเป็นยิ้มร้ายๆเสมอ

“ทำอะไร?”   หญิงสาวถามกลับไป เธอไม่ได้ไขสือแต่ไม่รู้จริงๆว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไร

“โพสรูปของเซียวจ้านกับหวังอี้ป๋อตอนที่อยู่ที่บ้านของเธอไง เธอเป็นคนโพสใช่ไหม?”   ไป๋หลี่จวินจึงถามแบบไม่อ้อมค้อมแต่มันกลับเป็นคำถามที่ทำให้เธอถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก

“รูป?”

“รูปที่หวังอี้ป๋อกำลังอุ้มกระต่ายแล้วเซียวจ้านกำลังถ่ายรูปนั่นไง”   เธอนึกออกว่ามันคือรูปไหนแต่ที่กำลังสับสนมึนงงนั่นก็เพราะเธอจำได้ดีว่าเธอไม่ได้ทำอะไรกับรูปพวกนั้น

“ห๋า? ฉันไม่ได้โพสนะ”   ถึงจะเคยคิดแต่เธอก็ไม่ได้โพสจริงๆ และมือเธอไม่ได้ลั่นแน่นอน

“อีกอย่าง ถ้าฉันโพส ป่านนี้คนคงฮือฮากันทั้งโรงเรียนแล้วมั้ง ไม่น่าจะเงียบกริบแบบนี้หรอก”   และแน่นอนว่าปัญหามันก็จะพุ่งมาที่ทีมสตรีทแดนซ์ของเธอแน่ๆเพราะหวังอี้ป๋อคือสมาชิกคนสำคัญ เธอรัก Fire Dragon เธอรักการเต้น เพราะฉะนั้นเธอจะทำเรื่องแบบนั้นไปทำไมถ้ามันจะทำให้ทีมมีปัญหาจนอาจจะส่งผลถึงการแข่งที่กำลังจะมาถึง

“ก็เพราะว่าฉันลบโพสของเธอออกไปก่อนที่จะได้ลงน่ะสิ ฉันเป็นคนควบคุมโซเชียลของโรงเรียนนี้อยู่ เรื่องที่เกี่ยวกับเซียวจ้านจะต้องผ่านฉันก่อนทุกครั้ง รูปนั้นจึงยังไม่ถูกโพสออกไป”  เด็กสาวผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้รู้ความจริงว่าเวบบอร์ดของโรงเรียนแท้จริงแล้วไม่ใช่สื่อสาธารณะที่ใครอยากจะลงอะไรก็ลงได้ แต่มีบางคนใช้อำนาจมืดคอยควบคุมอยู่ เธอลืมไปว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นลูกชายเจ้าของโรงเรียน เรื่องแค่นี้มีหรือจะทำเพื่อเพื่อนคนสนิทไม่ได้!

“ยังไงก็แล้วแต่ ฉันไม่ได้ทำ”   เด็กสาวยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง

“นี่เป็นรูปที่ฉันแคปเอาไว้ มันมาจากไอดีของเธอ โพสจากมือถือของเธอ อีกอย่าง คนที่จะมีรูปนี้ก็คงมีแค่เธอกับฉัน ในเมื่อฉันไม่ได้เป็นคนทำมันก็ต้องเป็นเธอนั่นแหละ ฉางไป่เหอ”   แล้วเธอก็ต้องอึ้งไปเมื่อไป๋หลี่จวินยกจอโทรศัพท์มือถือให้ดู หน้าที่อีกฝ่ายแคปไว้คือไอดีของเธอจริงๆและรูปที่อยู่ในโพสซึ่งถูกลบไปแล้วก็คือรูปที่เธอถ่ายเองจริงๆ

...เป็นไปไม่ได้...

ถึงทุกอย่างจะชี้ชัดว่ามันถูกโพสจากโทรศัพท์มือถือของเธอ แต่เธอไม่ได้ทำจริงๆ!

หญิงสาวยืนนิ่งค้างอย่างพยายามทบทวนว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น...หลังจากที่เปิดรูปนั้นค้างเอาไว้...เธอถูกเรียกให้เอาเอกสารไปให้อาจารย์เซ็นต์...ด้วยความตกใจเลยแค่คว่ำมือถือเอาไว้กับโต๊ะ...ใช่..เธอไม่ได้หยิบมันไปด้วย...ถ้าอย่างงั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีใครสักคนแอบเอามือถือของเธอไปใช้และโพสรูปนั้นออกไป

แต่จะเป็นใครล่ะ? ที่อยู่ใกล้มือถือเธอในตอนนั้นและเห็นว่าเธอกำลังดูรูปอะไรอยู่?

...........มี่ถง?

หญิงสาวสะบัดหัวส่ายหน้าเบาๆ ไม่ๆ เธอจะไปสงสัยคนอื่นทั้งๆที่ยังไม่มีหลักฐานแบบนี้ไม่ได้...อีกอย่างทุกคนก็รักทีมและทุกคนก็รู้ว่าทำเรื่องแบบนี้ไปก็มีแต่จะทำให้ทีมแตกเท่านั้น คนในทีมของเธอไม่น่าจะมีใครทำ...

“หรือว่า...มีคนเอาโทรศัพท์เธอไปใช้?”   ไป๋หลี่จวินเหมือนจะจับพิรุธจากการกระทำของเธอได้จึงถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น

“เปล่าๆ”  เธอรีบปฏิเสธพอดีกับที่เสียงออดเข้าเรียนดังอย่างกับจะมาช่วยชีวิต ไป๋หลี่จวินเหลือบมองไปที่กลุ่มนักเรียนที่ทยอยเดินเข้าห้องด้วยสายตาหงุดหงิด ร่างสูงจำต้องละการคาดคั้นไว้แค่นี้แต่ก็ไม่วายทิ้งคำขู่เอาไว้ก่อนที่จะเดินจากไป

“เธอจะเป็นคนทำหรือไม่ หรือเธอปกป้องใครอยู่ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าทำให้เซียวจ้านเดือดร้อนละก็ ฉันไม่เอาพวกเธอไว้แน่”   เด็กสาวได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคุณชายใหญ่ตระกูลไป๋ที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคุยกับพวกแก๊งเจ้าชายเลย ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยใกล้ชิด เลยไม่คิดว่าจะมีคนที่น่ากลัวกว่าเฉินจงอีอยู่อีก...










วันนี้ทีม Fire Dragon ไม่ได้รวมตัวกันที่ลานหลังตึกเรียนเหมือนอย่างทุกที แต่สมาชิกทั้ง 7 กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องซ้อมที่อยู่นอกโรงเรียน

“หว๋า~ อะไรเนี่ย เหม็นอับชะมัด~”   หนึ่งในสมาชิกทีมบ่นอุบทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไป กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของห้องที่ไม่ค่อยถูกเปิดใช้งานลอยเข้าจมูกจนต้องยกมือขึ้นปิด

“อย่าบ่นมากน่า ก็ที่นี่ค่าเช่าถูกสุดแล้วนี่ มีเงินแค่นี้ก็หาห้องซ้อมได้ประมาณนี้แหละ”  เจ๊ลิลลี่วางกระเป๋าลงก่อนจะหันไปเปิดแอร์ที่ส่งเสียงโหยหวนมาทักทายก่อนจะทำงานอย่างอ่อนระโหยโรยแรง

หวังอี้ป๋อวางกระเป๋าลงบนพื้น ถึงห้องซ้อมนี่จะดูเก่าสุดๆแต่ผนังกระจกเงาที่อยู่รอบตัวซึ่งกำลังสะท้อนภาพของพวกเขาทั้ง 7 คนอย่างชัดเจนนั้นก็เพียงพอแล้วต่อการซ้อมเต้น

ตุบ...

กระเป๋าของใครสักคนวางลงข้างๆกระเป๋าของเขา ใบหน้าหล่อเหลาจึงหันไปมอง

“เก่าใช้ได้เลยนะเนี่ย...”   คำพูดลอยๆเอ่ยออกมาจากเจ้าของกระเป๋าใบนั้น จางมี่ถงเป็นรุ่นพี่เขาหนึ่งปี เขาไม่รู้จักอีกฝ่ายมากนักเพราะบาดเจ็บเลยมารวมทีมไม่ได้ ตั้งแต่เปิดเทอมเขาจึงเพิ่งเจออีกฝ่าย รู้แค่ว่าก่อนเขาจะเข้าทีมมาอีกฝ่ายเคยเป็นเซ็นเตอร์ของทีมมาก่อน

ดวงตาเฉยชาลอบมองใบหน้าคนที่เดินยืดแขนวอร์มร่างกายห่างออกไป...จากสายตาของเขาแล้ว ทั้งโรงเรียนก็มีแค่คนคนนี้แหละที่พอจะสู้เจ้าเหมียวของเขาได้ แต่เขากลับไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ยังไงบอกไม่ถูก

“มารวมกันตรงนี้ก่อน”   เสียงของเจ๊ลิลลี่ดังมาจากอีกมุมของห้องเขาจึงสลัดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกไปจากหัวแล้วเดินไปรวมตัวกัน

ทีมที่ลงแข่งนั้นมีเป็นร้อยทีม จึงต้องมีการแข่งรอบคัดเลือกและรอบแบ่งสาย กว่าจะถึงชัยชนะนั้นไม่ง่ายเลยขอบอก

เพลง The Road ของ Z-Tao ที่พวกเขาใช้ในรอบคัดเลือกถูกเปิดวนซ้ำๆ เดี๋ยวหยุดเดี๋ยวกรอไปข้างหน้า พวกเขากำลังใส่ท่าเต้นลงไปในเพลง ความยากของมันอยู่ที่เพลงนี้เป็นเพลงช้า จะเต้นออกมายังไงให้น่าดู แข็งแรง แต่ก็ยังนุ่มนวลอยู่

“ขอท่อนนี้ใหม่อีกที!”   เสียงตะโกนนี้ก็ดังซ้ำๆเช่นเดียวกับเสียงเพลง เขาเหลือบมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจก เม็ดเหงื่อเกาะพราวอยู่ทั่วใบหน้าและทุกๆครั้งที่ออกท่าเต้นไป...เสี้ยวหนึ่งในใจก็นึกถึงใครบางคน...เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน...ไม่ใช่ว่าไม่มีสมาธิแต่ต้องบอกว่าความคิดถึงนั้นมันอาจจะหลอมรวมอยู่ในหัวใจไปแล้วโดยไม่รู้ตัว เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วที่เขาจะคิดถึงเจ้าเหมียว

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน หมดเวลาแล้วด้วย”  พวกเขาไม่ได้ล่ำลาอะไรกันมากมาย แค่โบกมือแล้วแยกย้ายก็เท่านั้น

เขาเดินกลับบ้านพร้อมหยางเกอเกอ ก็ตั้งแต่วันนั้นหยางเกอเกอก็ยังไม่ได้กลับบ้านแถมขอทำงานพิเศษที่ร้านเฮียไปเสียเลย ตอนนี้จึงยังพักอยู่ในห้องเก็บของชั้นสองของร้านตามเดิม

“ฉันว่าท่อนนี้มันควรจะขยับไปทางซ้ายมากกว่านะ ว่าไหม?”   เขาแค่พยักหน้าเมื่อหยางเกอพูดถึงท่าเต้น ตอนนี้สายตาของเขากำลังจ้องมองหน้าจอมือถือที่สั่นไม่หยุด เพราะต้องซ้อมเต้นจึงไม่ได้ดูมันเลย

“เด็กผู้หญิงสวยๆที่อยู่ห้องนายชื่ออะไรนะ? ได้ข่าวว่าไอ้กัปตันชมรมบาสมันจีบอยู่ เหอะ หน้าอย่างกับปลาดุก ไม่ดูตัวเองเล้ย~”   หยางเกอเปลี่ยนมาพูดเรื่องอะไรเขาแทบไม่ได้ฟัง ใบหน้าหล่อเหลาเพียงพยักหน้าส่งๆไปเท่านั้น ตอนนี้ปลายนิ้วเขากำลังพิมพ์ข้อความรัวๆลงไปในแชท ไม่งั้นโทรศัพท์มือถือของเขาคงสั่นเป็นแผ่นดินไหวเก้าริกเตอร์แน่ๆ ว้อยยยย เจ้าเหมียวนั่น!

“อ้าวอี้ป๋อ? กินอะไรก่อนไหม?”   เสียงทักจากเฮียทำให้เขาเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง นี่เขาถึงกับก้าวขาตามหยางเกอเข้ามาในร้านโดยไม่รู้ตัวเลยเหรอเนี่ย?

“ไม่ละ ขอบคุณครับ”   เขายิ้มแห้งให้เฮีย โทรศัพท์มือถือที่ยัดลงกระเป๋ากางเกงยังสั่นครืดๆๆไม่หยุด เฮียหลงเหลือบมองมันก่อนจะหันมายิ้มให้เขาแล้วเอ่ยปากแซว

“หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นเด็กคนนั้นมากินข้าวที่นี่เลยนะ ฝึกทำกับข้าวกินเองอยู่หรือไง?”  เขาถึงกับผงะอีกรอบ

“เฮียรู้ได้ไง? มีญาณทิพย์? มีจิตสัมผัส? หรือว่ามีกุมาร?”

“ไม่ใช่โว้ย~ วันก่อนเจอที่ซุปเปอร์มาเก็ตน่ะ เห็นกำลังตั้งอกตั้งใจเลือกหัวไชเท้าอย่างขะมักเขม้นอยู่ ฮ่าๆๆ” 

“อ่า...ครับ...”   แค่บังเอิญไปเจอเข้าสินะ...

“ซื้อไปเยอะขนาดนั้นเลยคิดว่าคงไม่ได้กินคนเดียวหรอกมั้ง?” 

“อ่า...ครับ...”   เขายิ้มให้เฮียด้วยรอยยิ้มเพลียๆ คนที่ต้องกินสารพัดเมนูหัวไชเท้าพวกนั้นคือผมเองครับ...

“ผมไปก่อนนะ จะเอาต้นหอมน่ะ”  เขาเหลือบมองโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงพลางมองเฮียที่ยิ้มรับราวกับเข้าใจว่าใครที่จะเอาต้นหอม และพอเดินออกจากร้านได้มือใหญ่ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เจ้าเหมียววายร้ายส่งข้อความมาอีกเป็นสิบ....



เจ้าโฮ่ง~~ ขอต้นหอมหน่อย~ ลืมซื้อมาอ่ะ

ถ้ากลับแล้วเด็ดมาให้หน่อยนะ

เจ้าโฮ่ง กลับยัง? จะเอาต้นหอม

มืดแล้วยังไม่กลับอีกเหรอ...ต้นหอมของฉันล่ะ...

เจ้าโฮ่ง

จะกลับได้รึยัง?

ไปเถลไถลอยู่ไหนเนี่ย?

อย่าลืมต้นหอมของฉันล่ะ!

กลับมาเดี๋ยวนี้!

เอาต้นหอมมาให้ฉันด้วย!

เอาสามต้นนะ ห้ามขาดห้ามเกิน

เจ้าโฮ่งถึงไหนแล้ว?

ต้นหอมได้รึยัง?

จะเอาต้นหอม!

ต้นหอมมมมม!!!




ว้อยยยย มันน่านัก!

ตัวเองลืมซื้อต้นหอมที่จะใส่ข้าวผัดก็เลยให้เขาเอาต้นหอมที่ปลูกไว้หลังอพาท์เม้นต์ไปให้ จริงๆแค่ข้ามรั้วไปเอาเองก็ได้แท้ๆ ไวกว่าด้วย แต่ก็ยังชอบใช้ให้เขาเอาไปให้แถมช้าไม่ได้ด้วยนะ เจ้าเหมียวเอาแต่ใจนี่!

ถึงปากจะบ่นแต่สองขาก็รีบเข้าไปในอพาทเม้นต์ รีบวิ่งไปที่แปลงผักสวนครัวมั่วๆของเขา รีบเด็ดต้นหอมสามต้นไม่ขาดไม่เกิน รีบวิ่งขึ้นบันได รีบไขกุญแจเข้าห้อง รีบโยนของและกระเป๋าเอาไว้บนเตียง รีบกระโดดข้ามรั้วและระเบียง รีบวิ่งเอาต้นหอมไปให้!

“ช้า!”   เจ้าเหมียวยู่หน้าใส่ในขณะที่รับต้นหอมไป มันน่าฟัดให้จมเขี้ยวนัก!

ร่างสูงชะลูดทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวอย่างหมดแรง เขาหอบแฮ่กๆทั้งที่สายตายังคงมองตามเจ้าเหมียวที่เอาต้นหอมไปล้างด้วยท่าทางอารมณ์ดี จะว่าไปช่วงนี้เขาก็วุ่นๆอยู่กับการซ้อมเต้น เวลาอยู่ด้วยกันตอนเย็นก็เลยน้อยลง ถ้าเจ้าเหมียวไม่หาเรื่องให้เขาเอาต้นหอมบ้าง พริกบ้าง ผักชีบ้าง สารพัดผักที่เขาปลูกเอาไว้มาให้ บางทีก็อาจจะไม่ได้เจอกันเลยก็ได้ 

เขาทอดสายตามองต้นหอมที่ถูกซอยเรียบร้อยบนข้าวผัด รอยยิ้มบางๆเผยอยู่บนใบหน้า...เพราะมัน...วันนี้พวกเราถึงได้เจอกัน...

ที่แท้เจ้าเหมียวก็แค่อยากเจอเขานี่เอง?

“อันนี้อร่อย”  เขาชมจากใจหลังจากตักข้าวผัดจานนั้นเข้าปาก นับวันฝีมือการทำอาหารของเจ้าเหมียวก็ยิ่งดีขึ้น

“แน่นอนสิ ฉันทำซะอย่าง อร่อยก็กินเข้าไปเยอะๆ”   เจ้าเหมียวตักข้าวผัดในหม้อโปะลงบนจานของเขาอีก เขาเผลอหัวเราะออกมา ที่หัวใจรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข เจ้าเหมียวเองก็กำลังพยายามดูแลเขาในแบบของตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่ได้มีแต่เขาที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้กินข้าวเย็น เจ้าเหมียวเองก็กลัวว่าเขาจะกินไม่พอ นอนไม่พอ พักผ่อนไม่พอเหมือนกัน

เขาเพิ่งรู้ ว่าการมีคนเป็นห่วงเป็นใยนั้นมันดีแบบนี้นี่เอง











“ฮัดชิ้ว! นี่เจ๊ เราจะตายก่อนจะได้ไปแข่งไหมเนี่ย~ ฉันทนกลิ่นอับของห้องซ้อมผีสิงนี่ไม่ไหวแล้วนะ!   ลูกทีมคนหนึ่งเอ่ยปากบ่นหลังจากที่จามติดๆกันมาหลายที พวกเขาซ้อมเต้นอยู่ที่ห้องซ้อมราคาถูกนี่มาอาทิตย์กว่าๆแล้ว

“อยากใช้ห้องหรูๆก็เอาเงินมาสิ! ฉันก็เหม็นจะตายอยู่แล้วเหมือนกัน!   เจ๊ลิลลี่กระแทกกายนั่งยองๆลงไปก่อนจะใช้หมวกแก๊ปพัดใส่หน้า การซ้อมต้องหยุดชะงักเพราะหลายคนจามไม่หยุดและหลายคนก็เริ่มสูดน้ำมูกฟืดฟาด วันแรกๆก็ยังพอไหวอยู่หรอกแต่ยิ่งผ่านมาหลายวันก็เหมือนพวกเขาจะสูดเชื้อราเข้าไปจนเกินจะรับไหวแล้ว

เด็กหนุ่มน้องเล็กของทีมยกเสื้อเชิ้ตตัวนอกที่ถอดทิ้งไว้มาดม กลิ่นอับชื้นและกลิ่นเชื้อราที่ติดมาในอากาศทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีก่อนจะสะบัดเสื้อสองสามที เป็นเพราะฝนตกแทบทุกวันห้องซ้อมเก่าๆที่ไม่ได้เปิดระบายอากาศเลยจึงยิ่งมีสภาพไม่ต่างอะไรกับที่เกิดเหตุฆาตกรรมที่ถูกปล่อยให้รกร้าง กระจกที่เคยใสเริ่มขึ้นฝ้าเป็นด่างเป็นดวงดูแล้วหลอนเป็นบ้า เขาว่าพวกเราน่าจะต้องหาทางทำอะไรกับห้องซ้อมก่อนที่จะได้ตายกันก่อนแข่งจริงๆนั่นแหละ

“ฉันว่า...ช่วยกันหาเงินแล้วเปลี่ยนห้องซ้อมใหม่เถอะ จะตายอยู่แล้วเนี่ย...ถ้าพวกเราไปช่วยกันทำงานพิเศษก็น่าจะพอค่าเช่าห้องอยู่มั้ง”   สมาชิกคนหนึ่งเสนอ แล้วก็มีเสียงคัดค้านขึ้นทันที

“ห๋า? แต่แค่นี้ฉันก็ทำงานพิเศษทุกวันหลังซ้อมอยู่แล้วนะ ให้ทำมากกว่านี้มีหวังตายกันพอดี”  เป็นหยางเกอเกอนั่นเอง ใบหน้าโหนกนูนส่ายหัวยิกๆ

“ขอสปอนเซอร์ไหม? หวังอี้ป๋อ นายรู้จักกับพวกแก๊งเจ้าชายนี่? ไปขอร้องเซียวจ้านให้หน่อยสิ”   หยางเกอเกอกอดคอเขาพลางพูดทีเล่นทีจริง

“ไม่เอาอ่ะ”   แน่นอนว่าเขาปฏิเสธทันทีอย่างไร้เยื่อใย เขาก็มีศักดิ์ศรีของเขานะ จะให้เอาเรื่องนี้ไปพูดกับเจ้าเหมียวได้ไง ยิ่งกับแก๊งเจ้าชายปีศาจคนอื่นยิ่งไม่อยากยุ่ง เดี๋ยวได้ต่อยกันตายก่อน

“หรือจะเอารูปถ่ายของนายไปขาย แบบรูปลับเฉพาะของหวังอี้ป๋ออะไรงี้? รับรองขายดีแน่”

“นั่นก็ไม่เอาครับ”

“รับบริจาคจากแฟนคลับของนายไหม? เอากล่องไปตั้งไว้อะไรงี้?”

“พวกพี่ไม่มีความคิดที่สร้างสรรค์กว่านี้แล้วหรือไง”   เขาถามขวานผ่าซากตามสไตล์หวังอี้ป๋อและมันคงดูกวนประสาทในสายตาของพี่ๆ ทั้งท่อนแขนทั้งฝ่ามือจึงรุมขยี้หัวเขาอย่างหมั่นไส้

“หนอย...ไอ้เด็กนี่! หล่อแล้วจะพูดอะไรก็ได้เหรอฟ๊ะ โดนซะ! นี่ๆๆๆ”  ถึงจะแกล้งกันแต่มันก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบรรยากาศที่สนุกสนาน ถึงเขาจะเย็นชาและเว้นระยะห่างจากคนรอบกายแต่กับคนในทีมสตรีทแดนซ์แล้วเขากลับวางใจจนเล่นหัวกันได้

“ฮ่าๆๆ”   เสียงหัวเราะโหวกเหวกโวยวายดังออกมาตามประสากลุ่มเด็กผู้ชาย  พวกเขาจึงไม่ทันสังเกตว่ามีเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เข้ามารวมกลุ่มแต่กลับยืนมองอยู่ห่างๆ...

และฉางไป่เหอเองก็กำลังลอบจับตามองเด็กหนุ่มผมทองคนนั้นอยู่เช่นกัน...มี่ถง นายกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?










หลังเลิกเรียนวันหนึ่ง เด็กสาวเพียงคนเดียวของทีมสตรีทแดนซ์กำลังวิ่งกระหืดกระหอบไปยังลานหลังตึกเรียนที่พวกเขามักจะมารวมตัวกันก่อนจะไปห้องซ้อมพร้อมกัน  เด็กสาววิ่งหน้าตั้งอย่างไม่คิดจะหยุดพักเพราะข่าวที่เธอคาบมาบอกลูกทีมนั้นมันต้องทำให้ทุกคนตื่นเต้นดีใจเหมือนกับที่เธอกำลังรู้สึกอยู่แน่ๆ

“พวกนาย!! มีคนจะให้สปอนเซอร์เรา! อาจารย์เพิ่งบอกฉันมาเมื่อกี้ เราจะไม่ต้องไปห้องซ้อมเหม็นอับนั่นกันแล้ว!!”    เสียงเฮดังขึ้นทันทีที่ลูกทีมจับใจความจากประโยคปนเสียงหอบแฮ่กๆของเด็กสาวได้  จากที่นั่งระเกะระกะอยู่ตามม้านั่งต่างก็ลุกขึ้นมากระโดดโล้ดเต้นอย่างยินดี

“เจ๊ ใครมันใจดีขนาดนั้นวะ บอกชื่อมา ฉันจะสรรเสริญซักครึ่งปี ฮ่าๆๆ”   ลูกทีมหันไปกอดคอกันก่อนจะยิ้มหน้าบาน

“ก็น่าจะเป็นคนในสมาคมผู้ปกครองแหละ ฉันไปลองเลียบๆเคียงๆพวกอาจารย์ไว้เรื่องสปอนเซอร์น่ะ อาจารย์เลยช่วยถามให้ เห็นว่าเอาคลิปที่เราแสดงตอนงานวัฒนธรรมไปเปิดให้ดู ปรากฏว่ามีคนสนใจจะซัพพอร์ตทีมเราด้วยเว้ย~   เด็กสาวยกมือขึ้นตบกับฝ่ามือของลูกทีมทีละคน นี่มันเป็นข่าวที่น่ายินดีสุดๆในรอบสัปดาห์เลยก็ว่าได้

“โฮ~~ รักเจ๊ที่สุด~~”  

“ไปเว้ย ก่อนอื่นไปหาอาจารย์ก่อน เห็นว่ามีอะไรจะคุยด้วย”   แล้วพวกเขาก็เฮโลกันไปห้องพักครูอย่างไม่มีอิดออด





“เท่าที่ยืนยันมาตอนนี้คนที่จะให้เงินสนับสนุนการแข่งของพวกเธอมีทั้งหมดด้วยกันสามท่านแล้ว”   อาจารย์ฝ่ายกิจกรรมขยับแว่นในขณะที่หันมาพูดกับพวกเขา ใบหน้าเคร่งครึมดูจริงจังและน่าเชื่อถือ

“เค้าให้เงินมาหรือยังครับอาจารย์ ผมจะได้รีบย้ายออกจากห้องซ้อมผีสิงนั่น”   ลูกทีมกลับถามใส่ตามประสาเด็กวัยรุ่น

“ยังสิ การให้สปอนเซอร์แบบนี้เค้าจะมอบเงินกันในงานเลี้ยงของบอร์ดบริหาร ต้องให้อย่างเป็นทางการและพวกเธอก็ต้องไปรับและขอบคุณพวกเขาอย่างเป็นทางการด้วย”

“ห๋า~ ยุ่งยากจัง~   หยางเกอเกอโอดครวญ

“มันก็เป็นธุรกิจอย่างหนึ่งนั่นแหละ ทำใจซะเถอะ แต่เรื่องนี้ทางโรงเรียนได้อนุญาตแล้ว ให้คนในทีมเต้นของพวกเธอเข้าร่วมงานเลี้ยงของบอร์ดบริหารได้”   ดวงตาของลูกทีมสายปาร์ตี้แวววาวขึ้นมาทันทีที่พูดถึงงานเลี้ยง

“มีของกินหรูๆใช่ไหมครับ?!   แต่หลังจากที่ถามไป อาจารย์กลับส่ายหน้าอย่างระอา

“นี่...ถ้าให้อาจารย์แนะนำละก็ ให้ส่งตัวแทนไปแค่คนสองคนก็พอ แล้วก็เอาคนที่ดูได้หน่อยด้วยนะ เพราะงานเลี้ยงบอร์ดบริหารไม่ใช่งานไก่กา คนที่มามีแต่ระดับมหาเศรษฐีทั้งนั้น งานเลี้ยงเองก็จัดในโรงแรมหรูด้วย นอกจากจะไปรับเงิน ขอบคุณสปอนเซอร์แล้ว พวกเธอก็ควรไปสร้างความประทับใจ เผื่อจะมีใครสนใจให้สปอนเซอร์เพิ่มอีก เข้าใจไหม”   ลูกทีมทุกคนต่างพยักหน้ารับ ตอนนี้ทุกคนเข้าใจยิ่งกว่าเข้าใจ เพราะงั้นสายตาทุกคู่จึงหันไปมองที่หวังอี้ป๋อเป็นตาเดียว

“ห๊ะ? ให้ผมไปเหรอ?”  ปลายนิ้วเรียวชี้มาที่ตัวเองอย่างมึนงง ทุกคนจึงพยักหน้าอย่างพร้อมเพียง

“ใช่ นายนั่นแหละหวังอี้ป๋อ พ่อความหวังของหมู่บ้าน!”  








มือใหญ่เปิดโคมไฟบนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องนอนของตัวเองก่อนที่จะโยนข้าวของทุกอย่างลงไป ร่างสูงชะลูดทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงก่อนจะหมุนคอคลายกล้ามเนื้อไปมา วันนี้พวกเขายังต้องทนซ้อมเต้นอยู่ในห้องเหม็นอับนั่นไปก่อน แล้วพอนึกเรื่องสปอนเซอร์ขึ้นมาได้ มือใหญ่ก็คว้าโทรศัพท์มากดข้อความหาใครบางคนทันที

“เจ้าเหมียว...นอนยัง?”   ผ่านไปไม่ถึงนาทีก็มีเสียงข้อความตอบกลับมา นี่คงนับได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปมากเพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนกว่าเจ้าเหมียวจะตอบแชทกลับมาก็ผ่านไปหลายชั่วโมง ข้ามไปเป็นวันๆยังมี

“ยัง มีไร? กินข้าวไหม? มีเหลือเพี้ยบเลย”   เขาอมยิ้มเมื่ออ่านตามข้อความเหล่านั้น

“ไม่กิน ดึกแล้ว ว่าจะถามว่านายเคยไปงานเลี้ยงของบอร์ดบริหารที่โรงเรียนไหม?”  ปลายนิ้วกดส่งแล้วเจ้าเหมียวก็ตอบกลับมาว่า

“ไปทุกปี มีอะไร?”   อ่า ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละนะ ยังไงเจ้าเหมียวก็ทายาทธุรกิจพันล้านนี่นะ  จากนั้นเขาเลยพิมพ์เล่าให้อีกฝ่ายฟังว่าเขาเองก็ต้องไปเช่นกัน...จากตอนแรกว่าจะบอกแค่สั้นๆแต่พอคุยกันไปคุยกันมาก็ออกนอกเรื่องไปไกล แค่อยากเล่า แค่อยากให้อีกฝ่ายรู้เรื่องของเขา แค่อยากแชร์เรื่องราวที่ไปเจอมา กว่าจะรู้ตัวว่าเขาหลับคาโทรศัพท์ก็ตอนเช้าอีกวันนู่นแหละ








แล้วข่าวมันก็แพร่ไปอย่างไวใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ตอนนี้ทั้งโรงเรียนต่างรู้กันแล้วว่าหวังอี้ป๋อก็จะต้องไปงานเลี้ยงของบอร์ดบริหารด้วย

เด็กสาวต่างจับกลุ่มพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างสนุกสนาน อยากเห็นหวังอี้ป๋อใส่สูทบ้างละ อยากรู้ว่าหวังอี้ป๋อจะแต่งตัวยังไงบ้างละ แม้แต่พวกแก๊งเจ้าชายเองก็ดูจะให้ความสนใจเรื่องนี้เหมือนกัน

“เจ้าเด็กที่ชอบทำโรงเรียนแตกนั่นก็จะไปด้วยงั้นเหรอ”   หนึ่งในแก๊งเจ้าชายที่กำลังใช้กล้องส่องทางไกลส่องไปรอบโรงเรียนเอ่ยขึ้นมาลอยๆเมื่อจับสังเกตได้ว่าวันนี้เด็กนักเรียนหญิงจับกลุ่มพูดคุยกันเยอะกว่าปกติ

“อืม แม่ฉันบอกมาว่าจะให้ไปขอบคุณสปอนเซอร์ที่มอบเงินสนับสนุนทีมเต้นนั่นน่ะ”   ไป๋หลี่จวินพูดทั้งๆที่สายตายังไม่ละจากหน้าหนังสือที่ถืออยู่

“จะตื่นเต้นอะไรนักหนา ก็แค่ไปร่วมงานของบอร์ดบริหาร? อ่อ...ลืมไปว่าคนทั่วไปไม่ได้เข้างานนี้ได้ง่ายๆนี่เนอะ หึ”  มีน้ำเสียงเหยียดๆมาจากเพื่อนแก๊งเจ้าชายอีกคนที่นั่งจิบชาอยู่ที่โซฟา

“เด็กนั่นเป็นชนชั้นกลางไม่ใช่เหรอ? ก็คงไม่ต้องคาดหวังอะไรมากหรอกมั้ง?”   หลินจิวเชินอีกหนึ่งในแก๊งเจ้าชายพูดออกมาขณะที่นั่งเล่นกันอยู่ในห้องศิลปะ เพื่อนอีกหลายคนต่างก็ยักไหล่อย่างดูแคลน มีเพียงคนที่นั่งอยู่หลังเฟรมผ้าใบเท่านั้นที่กำพู่กันแน่น ดวงไฟในดวงตาคู่โตกำลังลุกโชนอย่างตั้งใจว่าจะลบทุกคำปรามาสพวกนี้ให้หมด!

จากตอนแรกที่ฟังเจ้าโฮ่งเล่าอย่างไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้คงปล่อยไปไม่ได้เสียแล้ว!

แล้วเย็นนั้นเอง หวังอี้ป๋อก็ถูกข้อความเอาแต่ใจเรียกให้ไปหาที่ห้องจนได้







นานๆทีหวังอี้ป๋อจะได้ใช้คีย์การ์ดที่พกติดตัวไว้เพราะส่วนใหญ่จะปีนเข้าทางหลังห้องเอา มือใหญ่แตะมันที่ประตูทางเข้าอพาท์เม้นต์หรูหราก่อนจะเดินเข้าไป สายตากำลังจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างสงสัย ไม่รู้เจ้าเหมียวเรียกเขามาทำไม ไม่ได้จะเอาต้นหอมหรือผักชี? ไม่ได้มีคำสั่งให้ซื้ออะไรมาให้นี่นา?

เขาแตะคีย์การ์ดอีกทีที่หน้าประตูห้อง และเมื่อเปิดเข้าไปเท่านั้นแหละ ดวงตาเฉยชาก็ต้องเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ในเมื่อห้องนั่งเล่นที่เขาจัดเอาไว้อย่างเรียบร้อยตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยราวแขวนผ้าและชุดสูทกว่าครึ่งร้อยก็ถูกแขวนอยู่บนนั้น

“เจ้าเหมียว...นายจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าหรือไงเนี่ย?”   มือใหญ่วางกระเป๋าที่สะพายไหล่ลงบนพื้นอย่างงงๆ เจ้าของห้องกำลังยืนเลือกสูทเนื้อดีที่แค่มองก็รู้แล้วว่าแต่ละตัวน่าจะราคาแพงหูฉี่

“สูทของฉันเอง ให้คนเอามาให้จากที่บ้าน นายยืนนิ่งๆซิเจ้าโฮ่ง”   ใบหน้ามนหันมาออกคำสั่ง ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็งมาที่เขาก่อนจะมองขึ้นๆลงๆ

“อ่า...ครับ?”   ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรแต่เขาก็ยืนนิ่งๆให้มองจนกว่าจะพอใจ เจ้าเหมียวหันไปมองสูทสลับกับมองเขาก่อนที่มือบางจะเลือกๆแล้วหยิบมาสามสี่ชุด

“เอ้า ไปใส่มาให้ฉันดูทีละชุด”  มือบางยื่นสูทพวกนั้นมาให้ เขารับมาแบบงงๆแต่ก็ยอมไปเปลี่ยนมาให้อีกฝ่ายดูทีละชุด สงสัยจะวาดภาพโดยให้เขาเป็นแบบอีกแล้วละมั้ง?

“ให้ฉันลองสูทพวกนี้ทำไมเนี่ย?”  เขาเปลี่ยนชุดสุดท้ายออกมาให้อีกฝ่ายดู เจ้าเหมียวมีสีหน้าพอใจสูทสีเทาเข้มตัวนี้มาก เขาก้มลงมองสูทเนื้อดีที่เขาใส่ได้เกือบจะพอดี การตัดเย็บประณีตมากแถมแบบก็ทันสมัยดูไม่ใช่สูทที่พวกคนแก่ๆใส่

“อืม...เอาชุดนี้ แต่คงต้องแก้ตรงไหล่หน่อย”   เจ้าเหมียวลุกมาเดินวนรอบๆตัวเขาพลางจ้องมองจนรู้สึกเขิน

“หื๋อ?”   แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเจ้าเหมียวกำลังทำอะไร แล้วพออีกฝ่ายเฉลยเท่านั้นแหละ

“ฉันให้นายใส่สูทชุดนี้ไปงานเลี้ยงบอร์ดบริหารของโรงเรียนไง”  เขาถึงกับผงะไปหลายวินาที งานนั่นมันต้องขนาดนี้เลยเหรอ?

“ห๊ะ? ฉันใส่ชุดนักเรียนไปไม่ได้เหรอ? ยังไงก็แค่ขอบคุณสปอนเซอร์...”  

“ไม่ได้”  ใบหน้ามนสวนกลับมาทันควัน เขามองหน้าเจ้าเหมียวแล้วก็รู้สึกต้องยกมือยอมแพ้ ก็ดวงตาคู่โตนั่นมันกำลังมีไฟลุกโชน เหมือนมันกำลังบอกเขาว่า คนของฉันต้องดูดีที่หนึ่ง! อะไรแบบนั้น...เอาเถอะ ยังไงเขาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรอยู่แล้ว ให้แต่งก็แต่งได้อยู่หรอก

“มานั่งนี่”   เจ้าเหมียวเรียกให้เขาไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งและเขาก็เดินไปแต่โดยดี เอาเลยครับ อยากจับผมแต่งตัวเป็นตุ๊กตายังไงก็แล้วแต่เลยครับ

เขามองเจ้าเหมียวที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังผ่านกระจก ดวงตาคู่โตนั่นกำลังมองสำรวจไปทั่วใบหน้าเขาผ่านกระจกเช่นกัน จริงๆแล้วมันเขินจนไม่กล้าสบตาเลยแหละ เจ้าเหมียวเอื้อมมือมาจับปลายคางเขาก่อนจะจับหันซ้ายขวา มือบางเอื้อมไปหยิบเจลใส่ผมก่อนจะถูมือไปมาแล้วลงมือเซตผมให้เขา  ช่วงเวลาที่เหมือนถูกเจ้าเหมียวกอดเอาไว้ทำให้เขาเผลอหลับตาลง ใบหน้าเงยขึ้นไปตามแรงที่สางผมเขาเบาๆ ไออุ่นจากแผ่นอกแผ่ซ่านมายังแผ่นหลังของเขา...เป็นความรู้สึกว่าเราต่างก็มีกันและกัน...มันดีจริงๆ

“ว๊าว! หล่อมาก!”   เสียงเจ้าเหมียวเรียกให้เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมา ภาพในกระจกคือเขาที่ดูไม่คุ้นตากับใบหน้าของเจ้าเหมียวที่ขยับมาอยู่ข้างๆ และแค่เขาหันไป...ปลายจมูกก็อยู่ห่างจากแก้มใสแค่นิดเดียว

ดวงตากลมโตยิ่งโตเท่าไข่ห่านเมื่อมองเห็นทุกอย่างผ่านกระจก  ใบหน้ามนรีบหันมามองเขาก่อนจะรีบผละออกไป ถึงเขาจะไม่ทันเห็นหน้าอีกฝ่ายแต่ใบหูที่แดงเถือกของเจ้าเหมียวก็บ่งบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

กับความสัมพันธ์ที่มันยังไม่มีชื่อเรียกแบบนี้...


พวกเราต่างก็รู้ดี...ว่ามีความรู้สึกแบบไหนให้แก่กัน...








.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




กร๊ากกกก ขออภัยที่หายไปนาน5555+ ไปดู F1 ที่สิงคโปร์ ต่อด้วย Moto GP ที่บุรีรัมย์ มาค่ะ อ๊า~~ ชั้นรักความเร็ววว แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือไปดูผู้ชายเค้ารักกันค่ะแม่~~ // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค เป็นติ่งที่ดูแข่งรถด้วยใจอกุศลสุดๆถถถ

นะ...จะเห็นว่ามีไห ป๋อจ้าน เพิ่มมาอีกใบด้วยประการฉะนี้แล // ร้องห้าย... // เอาเป็นว่าถ้าอยากอ่านฟิคดีต่อใจให้มาไหนี้ ถ้าอยากอ่านฟิคเผ็ชๆเบลอๆ(?)ไปไห GLIDE เรยค่ะ 5555+ ขอบคุณทุกๆการติดตามนะค้า




1 ความคิดเห็น:

  1. ฮึก รอตั้งนาน 😥
    ขอบคุณที่มาต่อน้าาา อย่าทิ้งกันแบบเน้ ใจไม่ดีเลย

    ตอบลบ