Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd : RED Season : 07


Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd :  RED Season : 07

: Scuderia Ferrari Short Fanfiction AU
: คิมี่ ไรโคเนน x เซบาสเตียน เวทเทล
: Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
             : เนื้อเรื่องโฟกัสช่วงที่เซบอายุราวๆ18-19 ส่วนคิมี่ก็ 24-25 นะคะ
           
  
       


ร่างโปร่งบางเดินข้ามลานหินไปยังริมหน้าผาด้วยสายตาแข็งกร้าว...

เจ้าชายลำดับที่สี่เซบาสเตสนั้นมีสายเลือดของนักบวช...

เพราะเขาเป็นเจ้าชายเพียงองค์เดียวที่เกิดกับหญิงสาวจากตระกูลนักบวช เสด็จแม่ของเขามาจากตระกูลนักบวช...

เขาไม่รู้หรอกว่าความตั้งใจของเสด็จพ่อเป็นอย่างไร จงใจทำผิดพลาดเอง หรือไม่รู้ หรือไม่คิดว่าเขาจะก้าวมาจนถึงจุดนี้ได้...

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ พลาดที่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา พลาดที่พรากเสด็จแม่ไปจากเขาด้วยวิธีการที่โหดร้ายทารุณ พลาด...ที่ยังปล่อยให้เขามีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้

เพราะเลือดของนักบวชที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเขานับเป็นพิษร้ายที่จะทำลายอียิปต์ได้

และเขาก็ล่วงรู้ความลับที่มีอยู่ในสายเลือดของตัวเอง มันเป็นความลับที่จะบอกกันปากต่อปากเฉพาะในตระกูลเท่านั้น ไม่มีบันทึกไว้ที่ไหนจึงไม่เคยมีคนนอกรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วสายเลือดของนักบวชนั้นมีพลังมหาศาล มีพลังมากจนสามารถบันดาลลมฝนจนกระทั่งสายฟ้า


เพียงแต่ว่ามันต้องใช้คู่กับอัญมณีสีแดง...


หากจะเล่าก็คงต้องเท้าความกันตั้งแต่สมัยโบราณ...กาลก่อนนั้นเทพเจ้าทรงประทานพลังให้แก่มนุษย์โดยพระองค์ทรงกรีดเลือดแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมอบให้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนักบวช อีกส่วนหนึ่งทำให้กลายเป็นผลึกแล้วมอบให้แก่กษัตริย์  ของสองสิ่งนี้ต้องอยู่แยกกันเพื่อไม่ให้มันมีพลังมากเกินไป เพราะหากของสองสิ่งนี้รวมกันได้เมื่อไหร่ พลังของมันนั้นสามารถสร้างโลกใบใหม่หรือทำให้โลกใบนี้ป่นปี้กลายเป็นเถ้าธุลีตราบที่เจ้าของมันต้องการ

แน่นอนว่าไม่เคยมีใครคิดจะรวมมันเข้าด้วยกันมาก่อน

แต่บัดนี้ของทั้งสองสิ่งนั้นได้อยู่ในมือของเขาแล้ว...

เลือดของนักบวชที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย

กับอัญมณีสีแดงของฟาโรห์















นัยน์ตาสีเทาค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆ บรรยากาศแปลกประหลาดที่กดดันอยู่รอบกายทำให้เขานอนต่อไปไม่ได้อีก เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร มันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังราวกับโลกทั้งโลกกำลังพังทลาย เสียงหวีดหวิวจากภายนอกทำให้เขาเผลอยกมือขึ้นมาป้องใบหน้า ทว่า ก็ไม่ได้มีกระแสลมแรงพัดเข้ามาอย่างที่คาด เขาจึงเริ่มกวาดสายตาหาคนที่น่าจะนอนอยู่ข้างกัน

เซบ...หายไปไหน?

เขาหรี่ตาก่อนจะพยายามนึกภาพที่พร่าเลือน...มันเหมือนกับอยู่ในฝัน...เขาไม่แน่ใจ ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันคือความจริงหรือเปล่า

มันอาจจะเป็นความฝัน...เขาฝันเห็นเซบกำลังร้องไห้...ริมฝีปากสีชมพูนั่นพูดอะไรบางอย่าง เขาพยายามนึก แต่สิ่งที่คิดว่าได้ยินนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินจริงหรือไม่


“ท่านคือความผิดพลาดเดียวของเรา...
ท่านทำให้เราเกิดความลังเล...
ท่านทำให้เรามีความรักและไม่อยากจะจากโลกใบนี้ไป...”


เซบพูดอะไรกันแน่? เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเลยและนั่นมันจึงทำให้เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นความฝันหรือเปล่า

คิมี่ ไรโคเนนลุกขึ้นมาจากตั่ง อย่างเดียวที่เขาแน่ใจก็คือเขารู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก ทำไมภาพเซบที่น้ำตานองหน้านั่นถึงได้ติดตาเขานักนะ?

เขาเดินออกมาจากห้องข้างวิหาร...เดินผ่านหน้ารูปสลักเทพเจ้าไป...เขามองไม่เห็นเซบไม่ว่าจะที่ใด แต่เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ก็ราวกับร้องเรียกให้เขาเดินไปหา

เขาเดินทะลุออกไปอีกฝั่งของวิหาร มันเป็นลานหินขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ที่น่าตื่นตะลึงคือรอบด้านทั้งหมดถูกล้อมเอาไว้ด้วยหุบเหวและตอนนี้กลุ่มเมฆสีเพลิงก็กำลังเคลื่อนตัวไปมาราวกับท้องฟ้ากำลังบ้าคลั่ง นี่มันหนังไซไฟอะไรกัน? เขาได้แต่มองภาพตรงหน้าตาค้าง

“เซบ...”

เขาเอ่ยเรียกแผ่นหลังคุ้นตาซึ่งกำลังตามหาอยู่ ใบหน้ารูปไข่จึงหันกลับมาหาเขาด้วยแววเศร้าหมอง ในมือบางถือกระดาษที่เขาเขียนให้ เซบมักจะเอามันขึ้นมาดูอยู่เสมอ...คำบอกรักของเขาที่เจ้าตัวไม่เข้าใจ...ทั้งๆที่มันเป็นภาพที่เขาเห็นอยู่บ่อยๆแต่ไม่รู้ว่าทำไมคราวนี้เขาถึงได้รู้สึกหนักอึ้งในใจอย่างบอกไม่ถูก

ทำไมถึงมองมันราวกับจะมองเป็นครั้งสุดท้าย...


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?




ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืน?...เปลี่ยนไปแค่ช่วงเวลาก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาเท่านั้นเอง?




“นายกำลังจะทำอะไร?”   ใบหน้าหล่อเหลาถามอีกฝ่ายด้วยความมึนงง เขาแยกไม่ออกแล้วว่านี่คือความจริงหรือความฝัน เรื่องเหลือเชื่อพวกนี้มันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน



ครื้นนนน



เมฆสีราวกับโลหิตยังคงหมุนวนกระจายตัวปกคลุมไปทั่ว สีของมันทำให้ขนทั้งร่างลุกชัน สภาพอากาศที่แปรปรวนราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลายนี้มีแต่จะทำให้ยิ่งหวั่นวิตก มีเพียงภาพของฟาโรห์แห่งอียิปต์ที่หันหน้ากลับมาเท่านั้นที่ให้ความรู้สึกตรงกันข้ามกับความบ้าคลั่งข้างหลัง ร่างโปร่งบางยืนอย่างโดดเดี่ยวด้วยใบหน้าเศร้าหมอง นัยน์ตาสีเทาจึงจ้องลึกลงไปในดวงตาสีฟ้าเพื่อค้นหาคำตอบ เรื่องราวที่เปลี่ยนไปราวกับหนังคนละม้วนทำให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้พวกเขายังมีความสุขด้วยกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไม? จู่ๆเกิดอะไรขึ้น?

“เซบ...”   เขาเอ่ยเรียกฟาโรห์แห่งอียิปต์อีกครั้ง ใบหน้าที่เศร้าสร้อยนั้นมองมาที่เขาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ก่อนที่ริมฝีปากสีชมพูจะค่อยๆพูดออกมา

“คิมี่...เราจะทำลายอียิปต์ เราจะลบอาณาจักรนี้ออกไปจากแผนที่...”  



เปรี้ยง!!!



เสียงสายฟ้าฟาดอยู่ข้างหลังและตอนนี้มันก็กำลังฟาดลงไปกลางหัวใจของเขาด้วย  นัยน์ตาสีเทาถึงกับเบิกกว้าง ถึงแม้ว่าเจ้าลูกโกลเด้นนี่จะชอบล้อเล่น แต่สภาพของเซบตอนนี้เขากลับรู้ดีว่าที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นเป็นเรื่องจริงทุกอย่าง

“เป็นอย่างที่คิมี่เคยสงสัย...ว่าทำไมถึงไม่มีชื่อของเราจารึกอยู่ในรายชื่อฟาโรห์แห่งอียิปต์...นั่นก็เพราะทุกคนจะตายกันหมดจนไม่เหลือใครไว้จดบันทึกยังไงล่ะ นับจากวันนี้ไป...อียิปต์ก็จะล่มสลายตามประวัติศาสตร์ในยุคของท่านไม่ผิดเพี้ยน”  เสียงของเซบฟังดูอ่อนแรงราวกับคนกำลังจะขาดใจตาย แต่ทุกประโยคที่ขาดเป็นห้วงๆนั้นมันกลับชัดเจนอยู่ในหูเขาจนน่าโมโห

“ตอนแรกเราก็ไม่คิดหรอกว่าความตั้งใจนี้จะสำเร็จ จนกระทั่งวันที่ท่านปรากฏตัวขึ้นมา จนกระทั่งวันที่คิมี่บอกเราว่าท่านมาจากอนาคตและอียิปต์จะล่มสลายหลังจากหมดยุคฟาโรห์พ่อของเราไปแล้ว เราจึงมั่นใจทันทีว่าเราจะต้องทำสำเร็จ เลยคิดที่จะชิงบัลลังก์อย่างจริงๆจังๆ”

คิมี่ ไรโคเนน ถึงกับยืนนิ่งเป็นหินเมื่อได้ยิน จากที่คิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนข้ามมาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์เพราะเขาทำให้มีฟาโรห์คนต่อไป...แต่มันไม่ใช่เลย เขาข้ามเวลามาเพื่อทำให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามประวัติศาสตร์ต่างหาก...อียิปต์...กำลังจะล่มสลายเพราะเขาเอง

เพราะหากเขาไม่ข้ามเวลามา คนที่จะได้เป็นฟาโรห์องค์ต่อไปก็คงจะเป็นพี่ชายของเซบาสเตสและพี่ชายพวกนั้นคงไม่คิดจะทำลายอียิปต์ อาณาจักรโบราณแห่งนี้ก็คงจะมีชีวิตต่อไปอีกหลายพันปี...

เขาถึงกับทรงตัวไม่อยู่ ร่างแข็งแกร่งเซไปพิงผนังหินทรายเอาไว้ ตอนนี้หัวสมองและร่างกายของเขามันกำลังชาวาบจนคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกหลากหลายกำลังถาโถมเข้ามาจนสับสนมึนงงไปหมด

“คิมี่...ที่ผ่านมาเราต้องขอโทษด้วยที่เราโกหกท่าน...”   น้ำเสียงของเซบสั่นเครือเหลือเกินยามที่เอ่ยขอโทษเขา จริงอยู่เขาที่เพิ่งมารู้ทุกอย่างเอาป่านนี้ย่อมรู้สึกว่าถูกทรยศหักหลัง แต่เขาก็ยังอยากจะรู้เหตุผลของอีกฝ่าย...ว่าทำไมถึงคิดที่จะทำลายอียิปต์...เซบอาจจะโกหกเขา แต่เขาเองก็รู้สึกลึกๆอยู่ในใจมาตลอดว่าเด็กนั่นมีเรื่องที่ปิดบังเขาเอาไว้และมันน่าจะเป็นแผลใจขนาดใหญ่ เขาถึงไม่เคยคิดจะถามและยอมให้อีกฝ่ายใช้เขาเป็นเครื่องมือมาตลอด

ถึงตอนนี้...เขาก็ควรที่จะได้รู้...ก่อนที่เราจะลาจากกันไป...

เขารู้ดีว่าเวลาของเขากับเซบนั้นหมดลงแล้ว...

หัวใจ...แทบจะฉีกขาดเสียให้ได้...แต่กระนั้นเขาก็ต้องกล้ำกลืนฝืนถามออกไป

“เซบ...บอกชั้นมา...ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...อดีตของนาย...เล่าให้ชั้นฟังได้ไหม...”  

น้ำใสๆไหลลงมาจากขอบตาข้างหนึ่งของฟาโรห์แห่งอียิปต์ทันทีที่ คิมี่ ไรโคเนน ถามออกไป

แต่กระนั้นใบหน้าเศร้าหมองก็ยังคงพยายามมองตรงมาด้วยรอยยิ้มจางๆ

“คิมี่...ท่านเคยมีคนที่เป็นดั่งโลกทั้งใบของท่านบ้างไหม? ท่านจะให้อภัยคนที่ทำร้ายคนคนนั้น ท่านจะให้อภัยคนที่ทำลายโลกทั้งใบของท่านได้หรือเปล่า”  

ภาพของหญิงสาวแสนสวยที่กำลังอ้าแขนรับเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งเข้าไปหาผุดขึ้นมาในความทรงจำ รอยยิ้มที่อ่อนโยนและฝ่ามือที่อบอุ่นคู่นั้นคอยโอบอุ้มเขาเอาไว้เสมอ

และเธอผู้นั้นก็คือ...


เสด็จแม่ของเขาเอง...


นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลย ตอนนี้ใบหน้าของคิมี่ดูพร่าเลือนเพราะเขาต้องมองมันผ่านม่านของน้ำตา ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากให้คิมี่หลับใหลให้นานกว่านี้ จะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวของเขา ให้คิมี่ตื่นอีกทีในโลกของคิมี่แล้วคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่ฝันดีเท่านั้นก็พอ

“ท่านคงจะพอรู้อยู่บ้างสินะ...ว่าเราเป็นลูกชายของราชินีองค์ที่สอง เป็นลูกคนละแม่กับพี่ชายทั้งสามคน”   คิมี่พยักหน้ารับเงียบๆ น้ำตาของเขาไหลลงไปอีกหยด ทั้งๆที่พยายามฝืนยิ้มแต่หัวใจที่เจ็บปวดคงไม่มีทางฝืนน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาได้เลยสินะ

“หลังจากที่ราชินีองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ เสด็จแม่ของเราก็ถูกรับเข้าวัง พระนางเป็นลูกสาวคนเล็กของหัวหน้านักบวช เป็นราชินีที่มาจากตระกูลนักบวช...ซึ่งไม่เคยมีในหน้าประวัติศาสตร์ของอียิปต์มาก่อน...ไม่เคยมีฟาโรห์องค์ไหนแต่งงานกับหญิงสาวจากตระกูลนักบวชมาก่อน เพราะผู้คนต่างล่ำลือกันไปต่างๆนานาว่ามันจะทำให้เกิดอาเพศ แต่ในเมื่อฟาโรห์สั่งก็ไม่มีใครขัดขืนได้...เสด็จแม่ของเราถูกรับเข้าวัง เรารู้ว่าเสด็จพ่อฝ่าฝืนจารีตประเพณีพวกนั้นเพราะความรักและถือกำเนิดเราขึ้นมา...ด้วยความรัก”  บนใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มจางๆ ถึงแม้ว่าความรู้สึกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเกิดมาจากความรักของคนทั้งคู่และตอนเด็กๆเขาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทุกๆวันมีแต่ความทรงจำดีๆ มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

“จริงอยู่ที่ว่าไม่มีใครขัดขืนคำสั่งของพ่อเราได้ แต่ทุกคนต่างก็เฝ้ามองอย่างกังวลมาตลอด...ทั้งๆที่ไม่มีใครรู้ความจริงเลยสักคน...ว่าทำไม...ทำไมถึงห้ามไม่ให้คนของตระกูลนักบวชแต่งงานกับฟาโรห์ผู้เป็นกษัตริย์...ไม่มีใครรู้ความจริง ได้แต่หลงอยู่ในความเชื่อของตัวเองเพียงอย่างเดียว”   แล้วใบหน้าของเขาที่กำลังอมยิ้มก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก ริมฝีปากสีชมพูยังคงเล่าต่อไป...

“ถึงทุกคนจะกังวล...แต่เราก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความชิงชัง ตรงกันข้าม เราถูกรักและเอ็นดูมากกว่าใครในพระราชวัง...ก็อย่างที่ท่านเห็นมาตลอดนั่นแหละ”

“เพราะฉะนั้น...ยามที่เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นมา จึงไม่มีใครโทษเราเลยสักคน...แต่ทุกอย่าง...กลับไปลงที่เสด็จแม่...”   เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ไฟแค้นในใจคงกำลังทำให้ใบหน้าของเขาบึ้งตึงและบิดเบี้ยว เพลิงอารมณ์มักจะโหมกระหน่ำเสมอเมื่อเขานึกถึงเรื่องราวในอดีต

“หลังจากที่เราเกิดมาได้ไม่นาน อาณาจักรอียิปต์ที่เคยรุ่งเรืองกลับค่อยๆแร้นแค้นขึ้นเรื่อยๆ ฝนที่ไม่ตกติดต่อกันหลายปีทำให้แม่น้ำไนล์แห้งเหือด ไม่มีน้ำที่จะใช้ปลูกพืช ไม่มีน้ำที่จะใช้เลี้ยงสัตว์ นั่นก็เท่ากับจะไม่มีอาหาร...สภาวะแบบนี้ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังมีสงครามกับอาณาจักรรอบข้างไม่หยุดหย่อน ผู้คนอดอยากและเริ่มทนไม่ไหว ในเมื่อไม่รู้จะเอาไปลงกับใครจึงได้แต่โทษเสด็จแม่ของเราที่ทำให้เกิดอาเพศนี้ขึ้นมา”   ฝ่ามือบางเผลอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว

“ในที่สุดก็ถึงจุดแตกหัก...ตอนที่เราอายุเก้าชันษา...โหรหลวงในตอนนั้นก็ทำนายว่า การที่อียิปต์จะรอดพ้นจากอาเพศนี้ไปได้ จะต้องทำพิธีล้างเมืองและบูชาเทพเจ้าด้วยเลือดของนักบวช...”

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครจะถูกเสนอชื่อให้ถูกบูชายัญในครั้งนี้...”  ร่างทั้งร่างสั่นระริกด้วยความโกรธแค้น เขาแทบจะเล่าต่อไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพอันโหดร้ายในวันนั้น


“เสด็จแม่ของเราถูกฝังทั้งเป็น ท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งอียิปต์”


น้ำตาไหลลงมาโดยไม่รู้ตัวทั้งๆที่มีไฟแค้นสุมอยู่ทั่วร่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันกลายเป็นบาดแผลที่ฝังอยู่ในจิตใจของเขา...คนพวกนั้นใช้มีดที่มองไม่เห็นกรีดแทงลงมาบนหัวใจของเด็กเก้าขวบเช่นเขา หลุมขนาดใหญ่ที่ใช้บูชายัญในวันนั้นเขายังจำได้ไม่มีวันลืม...น้ำตาของเสด็จแม่ที่กอดเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถูกพาลงไปยังก้มหลุมนั่นเขาก็ไม่มีวันลืม

สองมือได้แต่กำแน่นเพื่อที่จะเล่าต่อไปถึงแม้กำลังจะหายใจไม่ออกแล้วก็ตาม

“เราที่เป็นเพียงแค่เด็กเก้าขวบไม่มีทั้งพลังและอำนาจใดๆจะช่วยแม่ของเราได้...เราเฝ้าขอร้องท่านพ่อ...เราเฝ้าขอร้องญาติพี่น้อง...เราเฝ้าขอร้องข้าราชบริพาร...แต่ก็ไม่มีใครยอมช่วยเหลือ...”  ภาพของเด็กน้อยที่ร้องไห้จนตาแดงกล่ำทำทุกวิถีทางเพื่อขอร้องทุกคนให้ปล่อยแม่ของตนไปยังคงสะท้อนให้เห็นทุกครั้งยามที่เขาส่องกระจก

“เราออกไปขอร้องประชาชนที่ลานกลางเมืองแต่กลับไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเราสักคน...”   เด็กน้อยคนนั้นตะโกนจนแทบสิ้นเสียง ทั้งคุกเข่าทั้งอ้อนวอน เพื่อที่จะได้เห็นเพียงสายตาเวทนาตอบกลับมาเท่านั้น ไม่มีใครคิดจะช่วยเขาเลย...แม้แต่เทพเจ้า...ก็ไม่เคยฟังคำขอร้องของเขาเลย

“ในวันที่แม่ของเราถูกฝังทั้งเป็น...เราจึงสาบานเอาไว้...ว่าจะทำลายเมืองบ้าๆนี่ไปซะ จะแก้แค้นทุกคนที่ยืนดูแม่ของเราถูกฝัง”   เขาเปล่งเสียงออกไปด้วยความเคียดแค้น

“เราเกลียดอาณาจักรอียิปต์ เราเกลียดคนอียิปต์ เราเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่พรากเสด็จแม่ไปจากเรา เราเลือกที่จะอยู่ด้วยความแค้นแทนที่จะให้อภัย”   ไหล่ทั้งสองข้างของเขาสั่นเทิ้มเมื่อนึกถึงเม็ดดินเม็ดทรายที่กลบลงไปในหลุมต่อหน้าต่อตา เขาถูกมัดเอาไว้เพื่อไม่ให้กระโดดตามมารดาลงไป...ถูกมัดเอาไว้...ให้มองแม่ของตนถูกฝังทั้งเป็น....

มันโหดร้าย...โหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กเก้าขวบเช่นเขา...

“หลังจากวันนั้นเราแกล้งช็อคจนหมดสติไป...เมื่อตื่นขึ้นมาเราแสร้งว่าจำเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสด็จแม่ไม่ได้และกลับมาใช้ชีวิตเป็นเจ้าชายองค์เล็กที่เชื่อฟังต่อไป...เราใช้ชีวิตในฐานะเจ้าชายลำดับที่สี่เพื่อรอวันชิงบัลลังก์มาเป็นของตัวเองให้ได้...และเราจะทำลายอียิปต์ให้ย่อยยับไปกับมือเรา”   ร่างโปร่งบางจำต้องหยุดหอบหายใจไปหลายนาที เรื่องเหล่านี้คือบาดแผลในใจของเขาซึ่งใช่ว่าจะไปสะกิดมันได้ง่ายๆ เมื่อลมหายใจเริ่มเข้าที่ ริมฝีปากสีชมพูจึงกลับมาเล่าต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“ทุกคนไม่รู้หรอกว่าแท้ที่จริงแล้วคนที่ทำให้เกิดอาเพศไม่ใช่เสด็จแม่...แต่เป็นเราเอง...เป็นเราเอง...เด็กที่เกิดจากกษัตริย์และนักบวชอย่างเราเอง”



เปรี้ยง!!!


สายฟ้าสีเพลิงฟาดลงมายังเบื้องหลัง เขายังคงเล่าต่อไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมยต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังจะถูกทำลาย

“กาลก่อนนั้นเทพเจ้าทรงประทานพลังให้แก่มนุษย์...โดยพระองค์ทรงกรีดเลือดแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมอบให้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนักบวช อีกส่วนหนึ่งทำให้กลายเป็นผลึกแล้วมอบให้แก่กษัตริย์  ของสองสิ่งนี้ต้องอยู่แยกกันเพื่อไม่ให้มันมีพลังมากเกินไป เพราะหากของสองสิ่งนี้รวมกันได้เมื่อไหร่ พลังของมันนั้นสามารถสร้างโลกใบใหม่หรือทำให้โลกใบนี้ป่นปี้กลายเป็นเถ้าธุลีตราบที่เจ้าของมันต้องการ...”   ดวงตาสีเทาของคิมี่ถึงกับเบิกกว้างเมื่อได้ฟัง มันคงจะเชื่อยากหากไม่ได้เห็นอยู่กับตาเช่นนี้

“ที่กษัตริย์แต่งงานกับหญิงสาวจากตระกูลนักบวชไม่ได้ นั่นก็เพราะหากให้กำเนิดบุตรที่มีเลือดของนักบวชไหลเวียนอยู่ในร่างกายและได้ครอบครองอัญมณีสีแดงของฟาโรห์ละก็ โลกทั้งโลกอาจจะสั่นคลอนได้ด้วยน้ำมือของเด็กคนนั้น”

“หรือก็คือ...เราไม่ควรถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนั่นเอง...”   ใบหน้าที่อยู่ใต้มงกุฎผ้าของฟาโรห์ยิ้มเย้ยหยันให้กับโลกใบนี้ มันคงจะเป็นรอยยิ้มร้ายที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา...ผู้คนทั้งอียิปต์ต่างไม่เคยรู้เลยว่าได้หลงให้ความรักความเอ็นดูกับลูกอสรพิษเช่นเขา

ใบหน้ารูปไข่หันไปมองทะเลเมฆสีเพลิงด้านหลังอย่างเศร้าสร้อย...เรื่องของเขามันกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร...หากชาวอียิปต์เชื่อมั่นและไม่ทำร้ายคนที่เขารักที่สุดแล้วละก็...ไม่คิดหรือว่าจากทำลาย เขาอาจจะกลายเป็นคนที่ทำให้อียิปต์เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดเลยก็ได้

เขาเอง...ก็รู้ความจริงเกี่ยวกับสายเลือดของตัวเองช้าไป เพราะมันไม่ได้มีเขียนไว้ในตำราเล่มไหน มีเพียงแค่การบอกกันปากต่อปากของผู้นำตระกูลนักบวชเท่านั้น เขาจึงหยุดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่ได้เลย...

นัยน์ตาสีฟ้าหลุบต่ำมองพื้นหินเมื่อสิ้นคำจะพูด เขาไม่คิดว่าคิมี่จะยอมให้อภัยเขา แต่เขาก็ทำใจเอาไว้แล้ว เพียงแค่เสียดาย...อย่างน้อย...หากเขาสามารถหลอกลวงอีกฝ่ายต่อไปได้อีกหน่อย คิมี่ก็คงได้ตื่นขึ้นมาด้วยฝันดี ไม่ใช่ต้องมารับรู้ความจริงที่มันเจ็บปวดแบบนี้

แต่แล้วนัยน์ตาสีฟ้าของฟาโรห์แห่งอียิปต์ก็ต้องเบิกกว้าง...เมื่อจู่ๆร่างหนาของคิมี่ ไรโคเนนก็สวมกอดเข้ามา ดวงตาที่หลุบต่ำอยู่มองเห็นท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักซึ่งกำลังกอดรัดรอบเอวบางได้อย่างชัดเจน

“คิมี่?”  ใบหน้ารูปไข่เงยมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย ไม่โกรธ ไม่เกลียดเขาหรือไง?

นักขับแห่งค่ายม้าลำพองมองคนในอ้อมแขนด้วยใบหน้าสงบ คิมี่ ไรโคเนนยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขามันยากที่จะทำใจได้จริงๆ แต่ที่ทำใจไม่ได้กลับไม่ใช่เรื่องที่เขาถูกเด็กนี่หลอกใช้หรือโกหกหลอกลวง แต่หัวใจของเขากลับเจ็บปวดที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซบต้องทรมานขนาดไหน เขากลับเจ็บปวดที่ไม่สามารถอยู่เคียงข้างยามที่เด็กนี่ร้องไห้ได้ ไม่สามารถจะแบ่งเบารอยแผลพวกนั้นได้ต่างหาก

ถ้าเราเจอกันเร็วกว่านี้...ถ้าเขารู้เรื่องเร็วกว่านี้...ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนไปไหมนะ?...ความรักของเขาจะช่วยเยียวยาและทำให้เซบเลือกที่จะไว้ชีวิตตัวเองแล้วอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขได้หรือเปล่านะ? ความรักจะชนะความแค้นได้หรือเปล่า?

ท่อนแขนแข็งแรงกอดกระชับร่างโปร่งบาง ปลายคางของเขาเกยอยู่บนหัวที่สวมมงกุฎผ้า เขาเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ชั้นขอถามนายเพียงคำถามเดียว...ต่อให้นายจะหลอกใช้ชั้น โกหกชั้น...แต่คำที่บอกรักกันนั้นไม่ใช่เรื่องโกหกใช่ไหม?”   ท่อนแขนผอมบางกอดกระชับเขากลับมาทันที แผ่นดินที่กำลังสั่นสะเทือนร้องเตือนว่าเวลาของพวกเขามันใกล้จะหมดลงแล้วจริงๆ

“คิมี่...ความรักที่มีต่อท่าน...นั่นคือเรื่องจริงเพียงเรื่องเดียวของเรา ตั้งแต่วันที่สาบานต่อหน้าสุสานของเสด็จแม่”   เขายิ้มออกมาก่อนจะกดจูบหน้าผากมนเบาๆ

“เท่านั้นก็พอแล้ว”   เซบยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย มันเป็นรอยยิ้มที่สวยงามจับใจ

สิ้นเสียงกระซิบของเขา ฝ่ามือบางก็ผลักเขาออกก่อนจะปล่อยให้ตัวเองร่วงหล่นลงไปในหน้าผาพร้อมด้วยศิลา เมฆสีเพลิงเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง แต่ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักกลับคว้าตัวฟาโรห์แห่งอียิปต์มากอดเอาไว้...แล้วร่วงลงไปด้วยกัน...











อียิปต์พังพินาศราบพนาศูนย์ด้วยพายุทรายสีแดงขนาดใหญ่...











เมืองทั้งเมืองจมหายไปในกองทรายทันที...












อาณาจักรที่เคยรุ่งโรจน์ล่มสลายหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไม่เหลือหรอ...











มีเพียงพีระมิดเท่านั้นที่พลังของธรรมชาติก็ยังไม่อาจทำอะไรได้















คิมี่ ไรโคเนนรู้สึกเหมือนถูกพายุทรายปะทะจนมองอะไรไม่เห็นและไม่รู้สึกตัวอีก...

สติ สัมปชัญญะ ค่อยๆลอยคว้างห่างออกไป...ไกลแสนไกล....



















“คิมี่? ได้ยินไหมคิมี่? นายฟื้นแล้ว พระเจ้า!!!”  

เสียงแตกตื่นของคนที่วิ่งกันโกลาหลไปทั่วห้องทำให้เปลือกตาที่ปิดมากว่าค่อนเดือนค่อยๆเปิดขึ้นมาด้วยความรำคาญ

“หมอ!! หมอครับ! เชิญทางนี้ครับ! ผมเห็นนิ้วของเขากระดิกแล้วเปลือกตาของเขาก็...คิมี่! นายลืมตาแล้ว!!”  

เสียงร้องไห้โฮดังสลับกับเสียงโหวกเหวกอย่างตกอกตกใจ ทั้งหมอทั้งพยาบาลต่างวิ่งกันให้วุ่น ทั้งปรับสายน้ำเกลือ ทั้งวัดชีพจรให้วุ่นวาย ลูกทีมบางส่วนก็พุ่งเข้ามาหา บางส่วนก็ยืนกอดคอกันร้องไห้...ชุดฟอร์มสีแดงสดล้อมเขาอยู่รอบห้องแบบนี้...ถึงสายตาจะยังพร่าเลือนจับโฟกัสอะไรไม่ได้...แต่เขาก็รู้ว่าเขาคงจะกลับมายังโลกปัจจุบันของเขาแล้วสินะ...

เซบล่ะ? กลับมากับเขาด้วยหรือเปล่า?





หลังจากที่ความวุ่นวายทุกอย่างเริ่มกลับสู่ความสงบและคิมี่ ไรโคเนนพบว่าตัวเองฟื้นขึ้นมาอีกทีที่โรงพยาบาลในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์

เขานอนนิ่งๆให้หมอตรวจจนพอใจและเมื่อหมอออกไปแล้ว ลูกทีมจึงเริ่มเล่าให้เขาฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“การแข่งโดนพายุทรายเล่นงานจนต้องยกเลิกน่ะสิ รถของหลายทีมก็พังไปตามๆกัน แต่ที่หนักสุดก็นายนี่แหละคิมี่...กว่าจะไปเจอตัวได้ก็หลังจากนั้นอีกหลายชั่วโมง เหมือนรถจะพุ่งออกนอกเส้นทางจนตกลงไปในหน้าผาใต้วิหารเก่าแก่สมัยอียิปต์ นี่ก็สลบไปเดือนนึงเต็มๆทั้งๆที่บาดแผลดูเหมือนไม่มีอะไรมากแต่ทำยังไงนายก็ไม่ฟื้น ทุกคนกังวลกันแทบแย่ กลัวว่านายจะกลายเป็นเจ้าชายนิทรา”   ลูกทีมมีสีหน้าโล่งใจเมื่อเห็นเขายังคงลืมตาฟังเรื่องราวที่ถูกเล่าออกมา เขาจึงถามอีกฝ่ายออกไปด้วยเสียงลอยๆว่า

“แล้วเซบล่ะ...นายเจอเซบหรือเปล่า?”   ลูกทีมทำหน้างงทันที

“เซบ? ใครละนั่น? ตอนที่พบนาย นายก็สลบอยู่ในค็อกพิทของรถตามลำพัง ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยนะ?”

ใบหน้าคมหันไปเหม่อมองท้องฟ้าท่ามกลางใบหน้าพิศวงของลูกทีม...เป็นอย่างที่คิด...เขาคงถูกพากลับมายังโลกปัจจุบัน ส่วนเซบก็คงกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับศิลา อิยิปต์ถึงได้สาปสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์ตามความต้องการของเซบ



นายมันใจร้ายจริงๆเลยนะ...

ตอบฉันที...ว่าฉันจะหนีไปจากคำสาปของฟาโรห์อย่างนายได้ยังไง

ฉันจะเลิกรักนาย ฉันจะลืมนายได้ยังไง

ตอบฉันที My Prince…



แขนที่เต็มไปด้วยรอยสักยกมือขึ้นมาปิดบังดวงตาเอาไว้ ไหล่ที่สั่นน้อยๆกับน้ำใสๆที่ไหลลงมาตามแก้มก็คงจะบ่งบอกได้เป็นอย่างดี...ว่าตอนนี้หัวใจของเขามันกำลังแหลกสลายแค่ไหน แหลกสลายพังทลายเสียยิ่งกว่าอาณาจักรที่สูญหายนั่นเสียอีก

อียิปต์ก็แค่หายไปในพริบตา แต่เขาล่ะ...เขาที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปจะทำยังไงดีล่ะ

เซบ...บอกฉันที...










.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


โปรดติดตามตอนต่อไป...







ฟิคแก้บนแบบด่วนๆ 5555+

เด่วมาเม้าท์ รีบปั่นตอนต่อไปก่องถถถถถ ตอนหน้าจบแน่นอลคร่า~~

ส่วนฟิคป๋อจ้านก็รอหน่อยเน้~ คือคุณกวางไปดูแข่งรถเอฟวันที่สิงคโปร์มาค่ะ555+ ช่วงก่อนหน้านี้เลยยุ่งบัดซบนรกแตกมาก แต่ตอนนี้เริ่มพอมีเวลาหายใจหายคอได้บ้างแระ เด่วรีบทลายไห เคี๊ยกกกกกก




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น