อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] JUNE : 08


อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  JUNE : 08

: อี้จ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Warmhearted Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
          





ดวงตาเย็นชาเปิดพรึ่บขึ้นมาราวกับกดสวิตซ์ ความห่วงกังวลมีผลมากเสียจนคนขี้เซาอย่างเขาถึงกับตื่นได้ในไม่กี่วินาที แว่บแรกเขารีบหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ สองแขนรีบยันร่างขึ้นมาเพื่อมองหน้าเจ้าเหมียวให้ชัดๆ...ดูเหมือนคนที่ยังหลับอยู่จะมีสีหน้าดีขึ้นหน่อย อย่างน้อยบนแก้มใสนั่นก็มีสีเลือดฝาดไม่ได้ขาวซีดเหมือนเมื่อคืน

มือใหญ่เอื้อมไปวัดไข้บนหน้าผากของเจ้าเหมียว...ตัวยังร้อนอยู่หน่อยๆแหะ

เขาดึงผ้าห่มมาห่มให้จนถึงคอก่อนที่ตัวเองจะลุกออกจากเตียง เมื่อเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่ายังไม่ทันจะหกโมงเช้าดีเลย...ก็...นอกจากจะกังวลจนนอนต่อไม่ได้ การดูแลคนป่วยก็มีอะไรต้องทำอีกมากมาย

ร่างสูงชะลูดเดินเข้าครัว...เปลี่ยนเป็นโจ๊กบ้างก็แล้วกัน ให้กินแต่ข้าวต้มเป็นเขาเองก็ยังเบื่อ

นอกจากอาหารก็ยังมียา...แล้วไหนจะผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ กะละมังใส่น้ำอุ่น ชุดใหม่เอาไว้เปลี่ยน เขาเตรียมทุกอย่างที่ว่ามาก่อนจะค่อยๆขนมาวางไว้ข้างเตียง

ดวงตาที่ไม่เคยมองใครอย่างอ่อนโยนแบบนี้มาก่อนทอดมองคนที่ยังไม่ตื่น...เช็ดตัวมันทั้งอย่างงี้เลยดีไหม? เจ้าเหมียวจะได้นอนต่ออีกหน่อย

เมื่อตัดสินใจได้แล้วเขาจึงนั่งลงบนเตียงก่อนจะหยิบผ้าหมาดๆผืนนั้นขึ้นมา ผ้าเนื้อนุ่มกดลงไปบนแก้มที่แผ่ความร้อน เขาค่อยๆซับไปตามใบหน้าของคนที่ยังหลับ จากขมับลงสู่ปลายคาง พอได้มองใกล้ๆแบบนี้ โครงหน้าของเจ้าเหมียวนี่สวยจริงๆ...ยิ่งมอง...ความต้องการครอบครองก็ยิ่งชัดเจน...

มือที่ชะงักค้างหลังจากมัวแต่มองหน้าคนหลับกลับมาขยับอีกครั้ง เขาซักผ้าในกะละมังก่อนจะกลับมาเช็ดตามลำคอระหง เจ้าเหมียวเริ่มร้องอืออาเพราะรู้สึกว่าถูกก่อกวน เขาจึงค่อยๆดึงแขนที่อยู่ใต้ผ้าห่มออกมา ผ้านุ่มเช็ดให้ตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงต้นแขน ดวงตาคู่โตค่อยๆเปิดขึ้นอย่างงัวเงีย เจ้าเหมียวพยายามปรับโฟกัสมาที่แขนของตัวเองซึ่งถูกเขาเช็ดอยู่ รอยยิ้มน้อยๆค่อยๆเผยขึ้นบนใบหน้าที่ยังไม่ค่อยจะตื่นดี เจ้าเหมียวในช่วงเวลาแบบนี้น่ารักสุดๆไปเลย

“ส่งแขนอีกข้างมา”  เขาวางแขนข้างที่เช็ดแล้วลงข้างลำตัวบาง เจ้าเหมียวก็ยื่นแขนอีกข้างมาให้อย่างว่าง่ายเหมือนเด็กๆ

“ลุกไหวไหม จะเช็ดตัวให้”   เจ้าเหมียวพยักหน้าก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นมา มือใหญ่จึงสอดเข้าใต้รักแร้แล้วดึงรวดเดียวให้เจ้าเหมียวไปนั่งพิงหัวเตียงไว้  เขามองกระดุมเสื้อนอนอย่างชั่งใจแต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีจะปฏิเสธแล้วก็ไม่คิดจะเช็ดตัวเองด้วย มือทั้งสองข้างจึงเอื้อมไปปลดกระดุมออก...แผ่นอกขาวเนียนจึงปรากฏสู่สายตาทันที

บาง...ร่างกายของเจ้าเหมียวบอบบางมาก เหมือนแมวไร้ขนตัวมันก็เหลือนิดเดียว

เขาพยายามไม่สนใจยอดอกสีชมพูที่เห็นอยู่รำไรใต้สาบเสื้อ ต้องพยายามเพ่งสมาธิไปที่การเช็ดตัวเพียงอย่างเดียว  ผ้านุ่มลูบไปบนแผ่นอกบางเฉียบก่อนจะไล่ไปที่ไหปลาร้าแล้วลูบลงมาตามสีข้าง เอวบางๆนั่นมันพอดีมือเขาจนเผลอกลืนน้ำลาย ร่างกายที่ทำเอาคิดดีด้วยไม่ได้ทำให้เขาต้องรีบอ้อมไปข้างหลัง แต่ลาดไหล่ที่น่าฝังรอยเอาไว้ก็ร้ายกาจพอๆกับข้างหน้า ยังดีที่เขาไม่ได้ถอดเสื้อเจ้าเหมียวออก แผ่นหลังเรียบเนียนที่เขาสัมผัสอยู่ใต้เสื้อจึงยังไม่อันตรายมากนัก มือใหญ่ล้วงเข้าไปในเสื้อนอนแล้วเช็ดเอาความร้อนออกมา เขาซักผ้าอีกหนึ่งทีก่อนจะถลกขากางเกงขึ้นแล้วเช็ดให้ตั้งแค่โคนขาขาวไปจรดปลายเท้า เจ้าเหมียวนั่งมองเขาที่กำลังเช็ดตัวให้ด้วยสองแก้มที่แดงระเรื่อ

“พอแล้ว...เดี๋ยวฉัน...เปลี่ยนเสื้อเอง...”   เจ้าเหมียวพูดงึมงำพลางหยิบเสื้อนอนชุดใหม่ที่วางไว้ เขาเองก็ถอยออกมาอย่างเก้ๆกังๆ ต่างคนต่างเขิน

“หยุดเรียนสักวันแล้วกัน ตัวนายยังอุ่นๆอยู่เลย”  เขาเอ่ยบอกเมื่อเจ้าเหมียวมองชุดนอนที่หยิบได้ด้วยความสงสัย ใบหน้ามนพยักรับเบาๆ

“มา กินข้าวจะได้กินยา”  เขาหยิบถ้วยโจ๊กแล้วกลับมานั่งข้างเตียงอีกครั้ง ถึงจะอาการดีกว่าเมื่อวานแต่ยังไงเจ้าเหมียวก็ไม่ยอมกินเอง เขาจึงต้องป้อนและไปไหนไม่ได้จนกว่าโจ๊กจะหมดถ้วย ให้ตายเถอะ ถ้าป่วยแล้วจะอ้อนขนาดนี้ สักวันหนึ่งเขาคงได้กลายเป็นคนชั่วไร้มนุษยธรรมเพราะรังแกคนป่วยกันพอดี!

“นอนซะ เดี๋ยวฉันกลับมา”  มือใหญ่ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้หลังจากให้อีกฝ่ายกินข้าวกินยาเรียบร้อย






บอกตามตรงว่าเช้านั้นทั้งเช้าเขาไม่มีสมาธิในการเรียนเลย ถึงกับหยิบหนังสือเลขมาเปิดในวิชาภาษาอังกฤษ ก็พอนึกถึงสภาพของเจ้าเหมียวเมื่อคืนเขาก็เป็นห่วงจนทนอยู่โรงเรียนต่อไปไม่ได้ เพราะงั้นนายหวังอี้ป๋อจึงแอบโดดออกมาทางรั้วหลังโรงเรียนเมื่อถึงช่วงพักกลางวัน

เขาวิ่งกลับอพาทเม้นต์อย่างตั้งใจว่าจะกลับไปดูแค่แป๊บเดียว...ทว่า...เมื่อเขาก้าวขาเข้ามาในห้องล็อบบี้ของอพาทเม้นต์หรูหรา แผ่นหลังคุ้นตาก็ปรากฏอยู่ที่โซฟารับแขกตัวหนึ่ง

“เจ้าเหมียว? ลงมาทำไมเนี่ย? ไข้ล่ะ?”   เขาตรงดิ่งเข้าไปถาม ร่างโปร่งบางยังอยู่ในชุดนอนแต่ก็มีเสื้อคลุมไหมพรมตัวใหญ่สวมทับอยู่

“หายแล้ว...แล้วก็...ไม่อยากอยู่คนเดียว”   ใบหน้ามนที่ยังดูเบลอๆเพราะพิษไข้ตอบอย่างเอาแต่ใจ....มารอเขาเหรอ? แล้วนี่ถ้าเขาไม่แอบกลับมาไม่ต้องนั่งแกร่วอยู่นี่ทั้งวันหรอกเหรอ? ตอนนี้ในหัวเขากำลังวุ่นวายเพราะไม่รู้ว่าจะอยากโกรธ อยากดุ หรืออยากเขินดี เขาจึงกลบเกลื่อนด้วยการยื่นมือไปจับหน้าผากใสแทนการวัดไข้

“หายแล้วอะไร? ยังมีไข้อยู่เลย ไม่รู้ละ ไปหาหมอ”   เขาตัดสินใจทันทีที่สัมผัสได้ว่าตัวอีกฝ่ายยังอุ่นๆอยู่ เขาปล่อยให้เจ้าเหมียวมีไข้จนเกิดอาการแบบเมื่อคืนอีกไม่ได้ มือใหญ่จึงคว้ามือบางแล้วลากให้เดินไปด้วยกัน

ยังดีที่วันนี้ท้องฟ้าสดใสและอากาศไม่เย็นมากมาย เขาจึงพาเจ้าเหมียวไปโรงพยาบาลใกล้ๆได้ไม่ลำบาก

เจ้าเหมียวถูกฉีดยาไปหนึ่งเข็มและได้ยาแก้ไข้มากินอีกชุดใหญ่ ระหว่างทางกลับบ้านเจ้าเหมียวยังเดินน้ำตาคลอเพราะไม่ถูกกับเข็มฉีดยาทั้งๆที่เป็นลูกหมอแท้ๆ  นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาเพิ่งรู้

“เพราะแบบนี้ไงถึงไม่อยากมา! แล้วก็นะ คราวหน้าพาไปโรงพยาบาลของฉันสิ ถ้าเป็นที่นั่นละก็ ไม่มีใครกล้าฉีดยาฉันแน่!”   วางอำนาจขึ้นมาเชียวนะเจ้าเหมียวสามขวบเอ้ย อายุเท่าไหร่แล้วยังกลัวเข็มฉีดยาอีกเนี่ย เขาอมยิ้มพลางส่ายหน้า

“คราวหน้าฉันก็จะพานายมาที่นี่แหละ ฉีดยามันจะได้หายไวๆ”

“นายเป็นมารรึไงเจ้าโฮ่ง? จิตใจนายทำด้วยอะไร? ทำไมมันโหดเหี้ยมอำมหิตแบบนี้! คอยดูเถอะ ยังไงฝ่ายธรรมะก็ย่อมชนะอธรรม!

“เป็นไข้จนเพี้ยนไปแล้วรึไง?...หมอเค้าฉีดยาผิดสินะ...กลับไปฉีดใหม่ไหม?”   แล้วเขาก็โดนเจ้าเหมียวฟาดมาเต็มๆ มีแรงตีเขาได้แบบนี้คงค่อยยังชั่วแล้วสินะ

ทางที่พวกเขาเดินกลับนั้นมีร้านรวงอยู่ประปรายเพราะส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย ร่างสูงชะลูดเดินผ่านหน้าร้านเช่าดีวีดีอย่างไม่คิดอะไร แต่ร่างโปร่งบางกลับหยุดยืนมองโปสเตอร์แผ่นใหญ่ที่ติดไว้หน้าร้าน...

มันเป็นโปสเตอร์ของซีรี่ย์เกาหลีเรื่องหนึ่ง

“อยากดูเหรอ?”   เขาเดินถอยหลังกลับมายืนดูอยู่ข้างๆกัน

“อื้อ...”   เจ้าเหมียวตอบพร้อมกับจับจ้องโปสเตอร์แผ่นนั้นไม่วางตา เขาเองก็ไม่เคยดูแต่เคยได้ยินพวกผู้หญิงในห้องชอบพูดถึงกัน มันคงสนุกละมั้ง?

“ในโรงเรียนพูดถึงกันเยอะเลยนี่”  เจ้าเหมียวบอก

“งั้นมั้ง”

“แล้วต้องทำยังไง?”   เจ้าเหมียวชะเง้อมองข้างในร้านซึ่งอัดแน่นไปด้วยชั้นวางแผ่นดีวีดี เขาก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายไม่เคยเข้าร้านเช่าดีวีดีมาก่อน เขาเลยพาเข้าไป

“ขอเช่าเรื่องนั้น”   เขาบอกพนักงานก่อนจะชี้ไปที่โปสเตอร์ แล้วไม่นานถุงใส่แผ่นดีวีดีถุงใหญ่ก็มาอยู่ในมือเจ้าเหมียวจนได้

“นายดูละครด้วยเหรอ?”  เขาถามคนที่เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆอย่างสงสัย

“ไม่ค่อยได้ดูหรอก แต่ได้ยินคนพูดถึงกันเยอะ ก็เลยอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง แต่ฉันก็ไม่คิดจะชวนเจ้าพวกนั้นมาดูด้วยหรอก”   หมายถึงเพื่อนๆในแก๊งเจ้าชายสินะ? ก็นะ...บุคลิกแต่ละคนก็ไม่น่าจะสนใจละครอะไรพวกนี้อยู่แล้ว เขามองเจ้าเหมียวอย่างเห็นใจ ถึงเพื่อนแต่ละคนจะรวยล้นฟ้า มีฐานะ มีอำนาจ แต่บางทีเจ้าเหมียวอาจจะอยากได้เพื่อนที่อยู่ทำเรื่องธรรมดาๆด้วยกันตามประสาเด็กๆแค่นั้นก็ได้

เขาลอบมองใบหน้ามนที่ดูเริ่มจะเหนื่อย ถึงทางที่เดินกลับจะไม่ได้ไกลแต่สำหรับคนป่วยมันก็ไม่ได้ใกล้หรอกนะ

“เจ้าเหมียว มานี่สิ”  เขาไม่ถามและไม่รอฟังคำตอบ สองแขนแบกเจ้าเหมียวขึ้นหลัง อีกฝ่ายทำท่างงๆแต่ก็ยอมกอดคอเขาแต่โดยดี

“ฮึๆๆ”  ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังอยู่ข้างหลัง

“หัวเราะอะไร?  เขาหันไปมองใบหน้าที่ขยับมาเกยอยู่บนไหล่

“ถ้าเป็นคนอื่น คงโทรเรียกรถมารับไปแล้ว ไม่มีใครแบกฉันกลับแบบนี้หรอก”

“โทษทีที่ฉันไม่มีรถ”   เขาหันหน้ากลับมามองทาง สองขาก้าวย่างต่อไปอย่างมั่นคง

“แต่ฉันชอบแบบนี้มากกว่า”  คำพูดที่ได้ยินทำเอารอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา

“อุ่นกว่านั่งรถตั้งเยอะ”   เสียงงึมงำดังอยู่ที่หัวไหล่ ตอนนี้ในใจของเขาเองก็อุ่นมากเหมือนกัน อาจจะดีแล้วก็ได้ที่เขาไม่มีทั้งเงินทั้งรถ เขาถึงได้สามารถเดินแบกเจ้าเหมียวเก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆแบบนี้ สองขาเดินผ่านบ้านเรือนที่คุ้นตา แต่ว่าวันนี้มันกลับมีสีชมพูจางๆ

“อย่ารัดคอฉันก็แล้วกันเจ้าเหมียว เดี๋ยวฉันก็ตายหรอก”   บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปเช่นเดียวกับสองขาที่ก้าวไปเรื่อยๆของเขา บนหลังไม่รู้สึกหนักเลยสักนิด

“อื้อ...งั้น...เอาหน้าเกยไว้ตรงนี้ คางฉันทิ่มไหล่นายหรือเปล่า?”

“ไม่ทิ่ม”

“เจ้าโฮ่ง”

“หื๋อ?”

“นายต้องดูซีรี่ย์นี่กับฉันด้วย”

“ห๋า? ไหงงั้น?”

“ฉันไม่ดูของน่าอายแบบนี้คนเดียวหรอก ถ้าใครถามจะได้บอกว่านายก็ดูด้วย ขนาดหวังอี้ป๋อยังดู อย่างฉันก็คงธรรมดาไปเลย ฮ่าๆๆ”

“อยากตกลงไปใช่ไหม? โยนลงข้างทางซะเลยดีไหม?”

“กล้าเหรอ?!

“ทำไมจะไม่กล้า?”

“ถ้านายโยนฉันลงไปละก็ ฉันจะฟัดนายให้ตายตรงนี้เลย”  แล้วเจ้าเหมียวก็กดปลายจมูกลงที่ลาดไหล่เขาก่อนจะสะบัดหัวไปมาด้วยท่าทางหมั่นเขี้ยว เขาหัวเราะออกมาและเฝ้าภาวนาให้วันแสนธรรมดาแบบนี้มันคงอยู่ตลอดไป

เขาคงถอนตัวจากอีกฝ่ายไม่ได้แล้วจริงๆ...
















หวังอี้ป๋อเปิดตู้ล็อคเกอร์หลังห้องเรียนของตัวเองก่อนจะพบกับความว่างเปล่า...

ตายละ เขาลืมเอาชุดพละมา

ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบไปมองเพื่อนผู้ชายที่กำลังเปลี่ยนชุดกันอยู่ในห้อง เขาลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้มีเรียนพละและจะต้องเอาชุดมาเปลี่ยน...ไม่สิ...จะว่าลืมก็ไม่เชิง ต้องบอกว่าเมื่อเช้าเขาตื่นสายจนไม่มีเวลาทำอะไรเลยมากกว่า แค่กระโดดข้ามรั้วกลับมาอาบน้ำที่บ้านตัวเองนี่ก็แทบจะไม่ทันแล้ว จะมีเวลาไปคิดได้ไงว่าวันนี้มีเรียนอะไรบ้าง

ต้องโทษเจ้าเหมียวนั่นแหละที่ไม่ยอมหลับยอมนอนแถมบังคับให้เขาดูซีรี่ย์เกาหลีเป็นเพื่อนอีก เป็นความผิดของเจ้าเหมียวคนเดียว!

มือใหญ่ปิดล็อคเกอร์ก่อนจะก้าวขาเดินออกจากห้อง

“หวังอี้ป๋อ จะไปไหนน่ะ? นายยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลยนี่?”   เสียงเพื่อนตะโกนไล่หลัง

“ไปเอาชุดพละ เดี๋ยวมา”   เขาตอบไปสั้นๆก่อนจะเริ่มเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง สองขากระโดดขึ้นบันไดไปอย่างชำนาญทาง แล้วไม่นานเขาก็มายืนอยู่หน้าห้องคิงของชั้น ม.6

“หวังอี้ป๋อ...”   รุ่นพี่ที่อยู่ห้องเดียวกับเจ้าเหมียวเดินออกจากประตูมาพอดี อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาอย่างกับไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าจะเห็นเขามายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ

“เซียวจ้านอยู่ไหม?”   อีกฝ่ายผงะไปเมื่อเขาพูดด้วย ก่อนจะหันไปชี้ด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก

“อยู่...นั่นไง”   และเขาก็ก้าวขาเดินเข้าห้องไปทันทีที่เห็นเป้าหมายโดยไม่สนใจสายตาของคนทั้งห้องที่หันมามอง  จริงๆเด็กเรียนพวกนี้ไม่ได้สนใจเขาเพราะหน้าตาเหมือนคนทั้งโรงเรียนหรอก แต่ที่สนใจเขาก็เพราะเขารู้จักกับคนอย่างคุณชายเซียวต่างหาก ก็เลยอยากรู้ว่าเขามีอะไรดี

“เจ้าโฮ่ง? มีอะไร?”   เจ้าเหมียวเองยังทำหน้างงเมื่อเห็นเขา เพราะชั้นเรียนของเราอยู่กันคนละโยชน์

“ยืมชุดพละหน่อย ฉันลืมเอามา”  เขาจำได้ว่าเมื่อเช้าเขาเห็นเจ้าเหมียวและเพื่อนๆในห้องตีแบดกันอยู่ เพราะงั้นวันนี้เจ้าเหมียวน่าจะมีเรียนพละเหมือนกันและต้องมีชุดพละแน่ๆ

“แต่ฉันใส่ไปแล้วนะ เพิ่งเรียนพละเมื่อเช้า”   ใบหน้ามนเลิกคิ้วบอกมาตามตรง

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เอามา”   เขาแบมือไปตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ได้นึกรังเกียจกลิ่นเหงื่อของเจ้าเหมียวเลยสักนิด

“อือ”  เจ้าเหมียวเองก็พยักหน้ารับอย่างไม่คิดอะไร ร่างโปร่งบางลุกไปเปิดล็อคเกอร์หยิบชุดพละที่ใส่แล้วมายื่นให้...จริงอยู่ที่พวกเขาไม่ได้คิดมากแต่คนในห้องต่างมองกันตาค้าง...เพราะมันเป็นชุดพละที่ใส่แล้ว...เพราะมันเป็นชุดพละของคนอย่างเซียวจ้าน...เพราะคนที่ยืมไปใส่ต่อคือคนอย่างหวังอี้ป๋อ...คนรอบกายจึงแตกตื่นทันที

พวกแก๊งเจ้าชายถึงกับลุกจากเก้าอี้ เฉินจงอีถึงกับเดินตรงดิ่งมาหา  เจ้าเหมียวจึงรีบหันมาบอกกับเขา  “รีบไปเถอะ ต้องเปลี่ยนชุดอีก เดี๋ยวก็ไม่ทันเช็คชื่อหรอก”  มือบางข้างหนึ่งดันหลังหวังอี้ป๋อออกจากห้องในขณะที่มืออีกข้างก็จับตัวเฉินจงอีเอาไว้  เด็กหนุ่มยังมีหันมาส่งสายตาท้าทายก่อนจะเดินสบายๆจากไป

ใบหน้ามนมองตามแผ่นหลังของเจ้าโฮ่งที่วิ่งลงบันไดไปก่อนจะถอนหายใจ ดวงตาคู่โตเหลือบลงไปมองสองมือของเฉินจงอีที่กำหมัดแน่น

“หมอนั่นมันมายุ่งวุ่นวายอะไรกับนายนักหนา? มันเป็นอะไรกับนายกันแน่เสี่ยวจ้าน?”   ใบหน้าดุดันหันมามองก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ถึงกับให้ยืมชุดพละที่ใช้แล้วแบบนี้มันไม่น่าเป็นแค่คนรู้จักแล้ว แต่เฉินจงอีก็กดดันเซียวจ้านได้ไม่นาน เมื่อใบหน้าหวานขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาด้วยเสียงเย็นชา

“ก่อนจะถามว่าหวังอี้ป๋อเป็นอะไรกับฉัน นายถามตัวเองก่อนดีกว่าจงอี ว่านายเป็นอะไรกับฉัน? คนที่บอกว่าเราเป็นแค่เพื่อนกันก็คือนายเองไม่ใช่เหรอ?”   ใบหน้ามนเชิดใส่จนอีกคนได้แต่นิ่งค้างไป

“เสี่ยวจ้าน....ฉัน...”   เสียงที่เอ่ยออกมานั้นอ่อนลง  มือใหญ่คว้ามือบางเอาไว้ มีคำพูดและความรู้สึกมากมายที่อยากบอกออกไป...แต่มันก็สายไปแล้ว

“ปล่อย”  มือบางสะบัดออกจากการจับกุมของอีกฝ่ายก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่ไยดี เฉินจงอีได้แต่มองแผ่นหลังโปร่งนั่นด้วยสายตาเจ็บปวด...มันควรจะเป็นของเขา...ทั้งตัวและหัวใจของเซียวจ้านมันควรจะเป็นของเขา...แต่คนที่ทำมันหลุดมือไปก็คือเขาเอง

และเซียวจ้านก็ไม่เคยให้โอกาสเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่เคยเลย...








เพื่อนในห้องลงไปที่สนามกันหมดแล้ว เด็กหนุ่มจึงถอดเสื้อเชิ้ตออกทางหัวอย่างไม่คิดจะเสียเวลาปลดกระดุม  มือใหญ่หยิบเสื้อพละสีขาวมีแถบสีน้ำเงินที่ไหล่และข้างลำตัวมาสวมใส่ กลิ่นหอมที่ถูกซุกซ่อนไว้จึงฟุ้งกระจายแตะจมูกทันที

กลิ่นของเจ้าเหมียว...

หอม...

หอมมาก...

เขาดึงชายเสื้อขึ้นมาดมราวกับคนโรคจิต...ไม่มีกลิ่นเหงื่อเลยสักนิด มีแต่กลิ่นหอมๆที่ติดอยู่

น้ำลายถูกกลืนลงลำคอ ความรู้สึกของเขาตอนนี้เหมือนกับถูกเจ้าเหมียวกอดเอาไว้ หันไปทางไหนก็ได้กลิ่นหอมๆนี่เต็มไปหมด...

เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกผู้หญิงถึงชอบกอดเสื้อของคนที่ชอบนัก...มันเป็นแบบนี้นี่เอง...

หัวใจ...ไม่ยอมหยุดเต้นอย่างบ้าคลั่งเลย








[หวังอี้ป๋อใส่ชุดพละของเซียวจ้านละ


บล็อกของโรงเรียนที่เงียบเหงามาหลายวันกลับคึกครื้นขึ้นมาทันทีที่มีคนเอารูปถ่ายหวังอี้ป๋อในวันนี้มาลง  ภาพเด็กหนุ่มกำลังยืนปาดเหงื่ออยู่ในสนามฟุตบอลคงไม่เป็นที่ฮือฮาขนาดนี้แน่ถ้าชุดพละที่ใส่อยู่มันจะไม่มีชื่อของหนึ่งในแก๊งเจ้าชายปักอยู่ที่หน้าอก

“แน่ะ สองคนนี้ยังไงกันแน่~” 

“ฉันก็อยากใส่ชุดของรุ่นพี่เซียวจ้านบ้าง~

“ตอนนี้ฉันอยากเป็นชุด > <

“ได้ข่าวว่าเมื่อเช้าเซียวจ้านก็ใส่ชุดนี้นะ”

“กรี๊ด~ ขอซื้อต่อได้ไหมคะ~


สารพัดคอมเม้นต์ต่างแสดงความเห็นกันอย่างเมามัน แต่เป็นเพราะทั้งเซียวจ้านและหวังอี้ป๋อต่างคบหากันอย่างเปิดเผย ทุกคนเลยคิดว่าทั้งคู่เป็นเพียงเพื่อนเพียงพี่น้องกัน

แต่ก็อาจจะมีบางคนที่ไม่คิดแบบนั้น...

ฉางไป่เหอ ยืนมองโทรศัพท์มือถือนิ่ง คอมเม้นต์ที่ไหลเร็วยิ่งกว่าสายน้ำถูกปล่อยผ่านไปเพราะตอนนี้สายตาของหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในทีม Fire Dragon กำลังจับจ้องอยู่ที่รูปหวังอี้ป๋อซึ่งสวมชุดพละของเซียวจ้านอยู่ 

“อี้ป๋อ ทางนี้ๆ!”   ชื่อของเด็กหนุ่มที่ลูกทีมเรียกทำให้เด็กสาวละสายตาจากโทรศัพท์

“โทษที โดนอาจารย์ดักตัวไว้น่ะ เลยสายไปหน่อย”   หวังอี้ป๋อหันมาผงกหัวให้เธอก่อนจะโยนกระเป๋าไว้ที่โต๊ะแล้วเดินไปหารุ่นพี่คนอื่นๆที่กำลังคุยเรื่องท่าเต้นกันอยู่ เพราะกระเป๋ามันปิดไม่สนิทด้วยมีเสื้อผ้ายัดเพิ่มเข้ามาหรือยังไงไม่รู้ แต่ตอนนี้สายตาของเธอมองเห็นชุดพละนั่นเต็มๆ มีคำว่า “เซียวจ้าน” ปักอยู่ที่หน้าอกจริงๆ


เพราะเค้าเป็นของผมไงเจ้


เหมือนเธอจะถูกหวังอี้ป๋อตอกย้ำด้วยคำนี้อยู่ตลอดเวลา...เจ้าเด็กนั่น...ไม่ได้ล้อเล่นแน่ๆ

ปลายนิ้วที่ทาเล็บไว้อย่างดีสไลด์หน้าจอมือถือของตัวเอง จากหน้าเว็บบอร์ดของโรงเรียนเปลี่ยนเป็นรูปหนึ่งซึ่งอยู่ในแกลลอลี่ของเธอ...มันเป็นรูปที่เซียวจ้านกำลังถ่ายรูปหวังอี้ป๋อซึ่งถูกบังคับให้อุ้มกระต่ายเอาไว้...บนใบหน้าของทั้งสองคนมีรอยยิ้มที่ดูยังไงก็ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือพี่น้องกัน...

ถ้าเธอโพสรูปนี้ลงไป...จะเป็นยังไงกันนะ...

“เจ๊ เรื่องใบสมัครเอาไง? ต้องเอาไปให้อาจารย์เซ็นชื่อรับรองด้วยไม่ใช่เหรอ?”   มือที่ทาเล็บไว้หลากสีคว่ำหน้าจอโทรศัพท์มือถือลงเมื่อจู่ๆก็มีเสียงทักดังจากข้างหลัง

“มี่ถง? ไหน? เอามาสิ เดี๋ยวฉันเอาไปให้อาจารย์เซ็นเอง”   หญิงสาวเหลือบมองจางมี่ถง สมาชิกคนสุดท้ายของ Fire Dragon ที่เพิ่งจะกลับเข้าทีมเพราะก่อนหน้านี้บาดเจ็บที่เอ็นหัวเข่าจนเต้นไม่ได้ จากที่เคยเป็นเซ็นเตอร์ของวงจึงต้องยกตำแหน่งนั้นให้หวังอี้ป๋อแทน

“นี่”   เด็กหนุ่มที่ย้อมผมสีบรอนด์ยื่นแบบฟอร์มมาให้ ถึงจะไม่เท่าหวังอี้ป๋อแต่จางมี่ถงเองก็หน้าตาไม่เลว ก่อนที่อี้ป๋อจะเข้ามาเป็นสมาชิกของ Fire Dragon มี่ถงก็เคยเป็นหน้าตาของวงมาก่อน

“เดี๋ยวฉันมา”   เด็กสาวรับแบบฟอร์มแล้วรีบก้าวขาจากไป ถ้าช้าเดี๋ยวพวกอาจารย์ก็กลับกันหมดพอดี










ร่างสูงชะลูดสะพายกระเป๋าที่มีชุดพละไว้บนบ่าก่อนจะเดินไปเต้นไปตามทางเดินที่ทอดสู่ห้องศิลปะ เขาเพิ่งเลิกซ้อมแล้วก็กำลังจะไปหาเจ้าเหมียวเพราะอีกฝ่ายจะให้เขาไปช่วยขนเฟรมผ้าใบกลับบ้าน

ทว่า...เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป คนที่อยู่ในนั้นกลับไม่ใช่เจ้าเหมียว...

แต่เป็นเฉินจงอีที่กำลังยืนดูรูปของเขาที่วาดโดยเจ้าเหมียว...สายตาที่มองไปยังใบหน้าของเขาซึ่งอยู่บนผ้าใบนั้นดูเย็นชาและน่ากลัว  เขารู้ตัวดีว่าพวกเราทั้งคู่ต่างก็ไม่ถูกชะตากัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็พยายามข่มใจแล้วเดินเข้าไปดีๆ เพราะเขาอยากรู้เรื่องของเจ้าเหมียวที่อาจจะมีแค่เฉินจงอีคนเดียวที่ตอบเขาได้...

“ฉันมีเรื่องจะถามนายหน่อย...เซียวจ้านเป็นโรคอะไรอยู่กันแน่?”  เขาถามเข้าประเด็นทันทีที่เฉินจงอีหันมาเห็นเขาเข้า ก็ที่ผ่านมาพวกเราไม่เคยคุยกันได้เกินสามนาทีเลยจริงๆ เพราะงั้นรีบพูดรีบจบดีกว่า

“นายรู้ได้ยังไง”   เฉินจงอีหันมาพูดกับเขาด้วยสายตาดุร้าย ให้ตายเถอะเขาเดาไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ

“ฉันเห็นเขาต้องกินยาอะไรบางอย่างทุกวัน”   เขาพยายามข่มใจเอาไว้ไม่ให้ตัวเองเผลอไปกวนประสาทหมอนี่เข้า คนบ้าอะไรดุยิ่งกว่าหมี นี่ถ้าหน้าไม่หล่อนะ ใครจะอยากเข้าใกล้วะ

“นั่นแหละ นายไปเห็นเขากินยาได้ยังไง?!”   ก็แค่ตอบมาว่าเจ้าเหมียวเป็นโรคอะไรคำเดียวไม่ได้หรือไงฟ๊ะ? จะซักไซ้เพื่อ?

“ทำไมจะเห็นไม่ได้?”   เขาตอบออกไปอย่างไม่คิดว่ามันจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

“ยานั่นต้องกินก่อนนอน”  

“เอ่อะ.....”   เขาถึงกับสะอึก ลืมคิดไปว่าหมอนี่ต้องรู้รายละเอียดของยานั่นอยู่แล้ว แล้วก็ลืมคิดไปว่าเขาไม่ควรจะไปเห็นเจ้าเหมียวกินยาที่ต้องกินตอนกลางคืน!

“ตอบมา!”   เฉินจงอีกระชากคอเสื้อของเขาทันทีพร้อมกับตะคอกถาม  ถึงเขาจะยังหาข้อแก้ตัวมาแถไม่ได้แต่เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายมาใช้กำลังกับเขาฝ่ายเดียวหรอก เขาบีบข้อมือที่กระชากคอเสื้อเขาอยู่ นัยน์ตาเย็นชาจ้องหน้าเฉินจงอีเขม็งแทนคำสั่งให้ปล่อยคอเสื้อเขาซะ

“ถ้างั้นนายก็ต้องตอบฉันเหมือนกันว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ ถึงกับอ้วกออกมาไม่น่าจะเล็กน้อยแล้ว”   เขาพยายามข่มอารมณ์เต็มที่ พยายามอดทนกับความหัวรุนแรงของเฉินจงอีเพื่อที่จะได้คำตอบมา

“อ้วก? ทำไมถึงอาการกำเริบล่ะ? นายทำอะไรเขา?!”   คอเสื้อยิ่งถูกดึงยิ่งกว่าเก่า เขาแทบจะหมดความอดทนกับหมอนี่แล้วจริงๆ

“โว้ย ฉันไม่ได้ทำ!”   ใบหน้าหล่อเหลาจึงตะคอกกลับไปบ้าง

“จะไม่ได้ทำได้ยังไง?! ถ้าร่างกายเขาปกติ ไม่มีทางที่เขาจะปวดหัวจนอ้วกหรอก!”   เฉินจงอียังซักไม่เลิก ซักอย่างกับตัวเองเป็นตำรวจแล้วเขาเป็นผู้ร้ายยังไงอย่างงั้น!

“......เขาแค่เป็นไข้...เพราะออกไปเจอฝน...”   เขาพยายามผ่อนลมหายใจแล้วตอบออกไป

“นายพาเขาออกไปข้างนอก วันที่ฝนตก?”   เขาพยักหน้ารับเพราะมันก็เป็นความผิดของเขาจริงๆ ที่เขาไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าเหมียวไม่ถูกกับฝน


ผลั๊วะ!!


จู่ๆแก้มซีกขวาก็รู้สึกชา หมัดหนักๆซัดเข้ามาเต็มๆ มันหนักมากจนเขาถึงกับเซ ใบหน้าสะบัดไปตามแรงหมัด จู่ๆเฉินจงอีก็ต่อยเขา!

เจ็บ...

หลังจากทรงตัวได้ เขาก็ยกมือขึ้นมาปาดเลือดที่มุมปาก ดวงตาเย็นชาตวัดขึ้นไปมองไอ้หมาบ้าที่ยืนจ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เป็นบ้าอะไรวะ?!”   เส้นความอดทนของเขาก็ขาดผึงเช่นกัน เขาตรงเข้าไปซัดกับอีกฝ่ายอย่างไม่สนใจอะไรอีก เรื่องอะไรจะยอมให้หมอนี่ต่อยอยู่ฝ่ายเดียว ถึงตัวเขาจะไม่หนาแต่ว่าแรงเขาก็มีไม่น้อย เขาต่อยหมอนั่นจนล้มคว่ำ


โครม!!


เฟรมวาดรูปหลายอันล้มไปตามร่างของเฉินจงอี เขายังตามไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายก่อนจะต่อยซ้ำลงไป เขาก็โมโหเป็น เขาก็หึง ก็หวงเป็น เขาก็ไม่อยากเห็นหมอนี่อยู่ข้างๆแล้วทำตัวเหมือนเป็นมากกว่าเพื่อนของเจ้าเหมียวเหมือนกัน!

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”   ในจังหวะที่เขากำลังง้างหมัดเตรียมจะต่อยซ้ำ เสียงของเจ้าเหมียวก็ทำให้สองมือชะงักค้าง ร่างโปร่งบางวางกระป๋องน้ำล้างพู่กันอย่างลนลานก่อนจะวิ่งเข้ามาขวางพวกเขาไว้

“เจ้าโฮ่งลุก!”   เจ้าเหมียวดึงเขาออกจากร่างเฉินจงอีที่ล้มอยู่กับพื้น โธ่เว้ย! จังหวะไม่ดีเอาซะเลย! แบบนี้ก็เหมือนเขาต่อยหมอนั่นฝ่ายเดียวสิ ทั้งๆที่หมอนั่นเริ่มก่อนแท้ๆ!

“เลือด...”   เจ้าเหมียวมองหน้าเฉินจงอีด้วยสีหน้าตกใจ มือบางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดแผลที่มุมปากห้ามเลือดให้

“กดไว้สิ เดี๋ยวฉันทำนายเจ็บ”   เจ้าเหมียวจับมือของเฉินจงอีให้มากดแผลเอง เขาได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหน่วงๆในหัวใจ ใบหน้ามนตวัดมามองเขา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนที่ร่างโปร่งบางจะลุกขึ้นมา...จับมือเขา...แล้วลากออกจากห้องศิลปะ

เจ้าเหมียวไม่ยอมหันมามองเขาเลย มือบางอีกข้างกดโทรศัพท์ก่อนจะยกขึ้นแนบหู

“ว่าไงเสี่ยวจ้าน?”   ปลายสายน่าจะเป็นไป๋หลี่จวิน

“ไปดูจงอีหน่อย อยู่ที่ห้องศิลปะ”   เจ้าเหมียวพูดเสียงห้วน

“เกิดอะไรขึ้น?”  

“หมอนั่นต่อยกับอี้ป๋อ ไม่รู้เป็นบ้าอะไร”   เขาเบิกตาค้าง...นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อของตัวเองออกจากปากเจ้าเหมียว แถมเรียกเขาว่า “อี้ป๋อ” เฉยๆด้วย...จู่ๆก็อยากจะยิ้มขึ้นมา...

“อ่อ...เพราะนายนั่นแหละเจ้าตัวดี”  ได้ยินเสียงไป๋หลี่จวินล้อเลียนผ่านโทรศัพท์ออกมา

“หุบปาก! ฉันจะพาอี้ป๋อกลับก่อน นายไปดูหมอนั่นด้วยล่ะ”   เจ้าเหมียวกรอกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างหงุดหงิด

“ครับๆ”   ปลายสายรับคำก่อนที่เจ้าเหมียวจะวางสายไป


เจ้าเหมียวพาเขาตรงดิ่งกลับบ้านแทนที่จะพาไปห้องพยาบาล คงไม่อยากให้เขาเจอกับเฉินจงอีอีก ถ้ายังอยู่ในโรงเรียนก็อาจจะถูกอีกฝ่ายตามมาหาเรื่องได้

“นั่งลง”  เจ้าเหมียวสั่งให้เขานั่งที่โซฟาส่วนตัวเองเดินไปหยิบกล่องยา

มือบางเทยาลงบนสำลีก่อนจะแตะมาที่มุมปากของเขา ความแสบสันทำเอาเผลอร้องออกไป “โอ๊ย! เบาๆหน่อยสิ! โอ๊ยๆๆ”  แต่มือบางก็ยังทายาต่อไปอย่างไม่สนใจเสียงร้องของเขา

“ดี! เจ็บแล้วจะได้จำ!”  ใบหน้ามนเข้าโหมดดุ เจ้าเหมียวมองเขาตาเขียวในขณะที่ทาครีมแก้ฟกช้ำบนแก้มต่อ

“นึกยังไงถึงไปต่อยกับจงอีกันนะนายนี่”   คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะมองเขา

“ฉันก็แค่ถามเขาว่าตกลงนายเป็นโรคอะไรกันแน่”   มือบางชะงักไปก่อนจะค่อยๆลดหลอดยาลง

“......”   ริมฝีปากสีสดเม้มน้อยๆ ใบหน้ามนเองก็ดูเหมือนมีเรื่องที่ปิดบังเขาเอาไว้และมันก็ยิ่งทำให้เขาคาใจหนักขึ้นเรื่อยๆ

“.....ฉันก็บอกนายแล้วนี่...ว่าแค่ปวดหัวน่ะ”   


ตุบ....


เขาจับเจ้าเหมียวกดลงกับโซฟา ถ้าไม่ยอมบอกคราวนี้เขาก็จะขู่จนกว่าจะบอก เขาไม่อยากจะเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่อยากจะเป็นห่วงจนแทบบ้า ไม่อยากจะอิจฉาเฉินจงอีที่รู้เรื่องอีกฝ่ายมากกว่าเขาแบบนี้อีกแล้ว

“ถ้านายไม่บอก ฉันก็จะไปถามจากหมอนั่น แล้วก็คงต่อยกันตายไปข้างนึง เอาไง?”   เขาทำหน้าขู่คนที่ถูกกดอยู่ใต้ร่าง

“........”   เจ้าเหมียวทำหน้าลังเล คงจะเห็นแล้วว่าเขากับเฉินจงอีเหมือนน้ำกับน้ำมัน ยังไงก็เข้ากันไม่ได้ ถ้าวันนี้เจ้าเหมียวไม่เข้ามาเจอ พวกเขาคงได้ต่อยกันตายไปข้างอย่างที่ว่าจริงๆ

“เจ้าเหมียว”   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มลังเลเขาจึงเรียกเพื่อกระตุ้นให้ยอมบอก

“.....ถ้ารู้แล้ว นายห้ามเปลี่ยนไปนะ”   ดวงตาคู่โตมีแววสั่นไหวยามเมื่อมองมาที่เขา

“ฉันไม่รังเกียจนายหรอกน่า”   ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรเขาก็จะอยู่ข้างๆแบบนี้ตลอดไป เขาสัญญา

“เปล่า...ฉันแค่ไม่อยากให้นายต้องมากังวลกับเรื่องของฉัน...ทุกคนที่รู้ก็จะทำเหมือนว่าฉันจะใช้ชีวิตเองไม่ได้...ฉันก็แค่อยากเป็นเหมือนคนปกติ”   เขาพยักหน้ารับว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไป เจ้าเหมียวทำหน้าลำบากใจก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะยอมเอ่ยออกมาช้าๆ เบาๆ....






“เนื้องอกในสมองน่ะ”  















.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.



แต่งตอนนี้จบก็ถึงกับนั่งเหม่อ...เออ...จะว่าไปตรูไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับโรงเรียนของจีนยุคปัจจุบันเลยนี่!! ซีรี่ย์หรือละครจีนที่ดูก็เป็นย้อนยุคทั้งนั้นถถถ โรงเรียนจีนยุคปัจจุบันนี่จะเหมือนญี่ปุ่นกับเกาหลีไหมวะ 5555+ ช่างมัน ยึดหลักสากลโลกไว้ก่อน // โดนตบ

แล้วก็ตอนนี้มีตติ้งปรมาจารย์ประกาศวันออกมาแล้วเรียบร้อย อยากจะกรีดร้องเป็นภาษา G มากค่ะ อ๊ากกกกกกกกก 21 กันยาตรูอยู่สิงคโปร์~~~~ TTT[ ]TTT ร้องห้ายน้ำตาเป็นสายเลือด กดบัตรไม่ได้ยังไม่เสียใจเท่าไม่มีโอกาสกดเลยค่ะ!! แล้วก็นะ แม้แต่แผ่นดินเดียวกันก็ยังไม่มีโอกาสได้เหยียบ ฮือออออ เค้ามาประเทศไทยส่วนกรูไปเกาะ ฮืออออ จ้านเกอออ อี้ป๋อออออ อยากเจออออออออ TTT[ ]TTT ทำไมต้องมาตอนที่ตรูไม่อยู่ด้วยยยยย มาดามก็รักก็ทิ้งนางไม่ได้ ที่ทิ้งไม่ได้คือบัตรเอฟวันมากกว่า แพงเหี้ยๆ555 จ้านเกอก็รัก แง๊~~~

ปาดน้ำตา TAT

พักเรื่องสะเทือนใจไว้ก่อน  เมื่อวันก่อนๆนั่งดูพวกคลิปพิเศษของปรมาจารย์ลัทธิมารที่ลงอยู่ใน WeTv แล้วมันมีสัมภาษณ์ป๋ออันนึงค่ะ คือชอบเพลงเปิดมากกกกก เลยไปหามาฟัง(อีกแล้ว5555)  เพราะง่า >////< 

단비(Sweet Rain) - 사랑 하고 싶은 날

เอ่อ คุณกวางอ่านชื่อไม่ออกหรอกนะ ไม่ต้องถาม 5555







แล้วก็มีอีกคลิปนึงที่ชอบมาก น่าจะอฟช.แหละไหม ก็ลงอยู่ใน Wetv อ่ะ แล้วแม่งตัดต่อซะอย่างกับเป็นอีกเรื่องนึง นี่มันตำนานรักดอกเหมยชัดๆๆๆ >////< แล้วคือใช้เพลงได้แบบ ว้อยยยยยย ชอบบบบบ  
อันเนี้ยๆ >> https://wetv.vip/play?cid=gnwjazjgmg997xg&vid=i0031p0ruba&languageid=1491973&ptag=1_5186

ค่ะ เลยไปหาเพลงมาฟังอีกแล้ว!!! 

林宥嘉 Yoga Lin [天將明 The Dawn] 




แล้วเจอกันตอนหน้าน้า ขอบคุณทุกๆการติดตามมากค่า





1 ความคิดเห็น: