อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] JUNE : 07
: อี้จ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Warmhearted Romantic
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
เด็กหนุ่มร่างสูงชะลูดนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงของตัวเอง สองหูมีหูฟังเสียบอยู่ ในโสตประสาทกำลังดังก้องไปด้วยเสียงเพลงที่ถูกเลือกเอาไว้ว่าจะใช้ในการแข่งแดนซ์คอนเทส ตอนนี้หวังอี้ป๋อกำลังยุ่งอยู่กับการคิดท่าเต้น พวกเขาไม่มีโค้ช ไม่มีคนคิดท่าเต้นให้ เพราะงั้นทุกอย่างเลยต้องคิดต้องฝึกกันเอง
ใบหน้าหล่อเหลาหันข้างไปมองนอกหน้าต่าง สายฝนกำลังโปรยปรายลงมา...ถึงว่า...รู้สึกหนาวๆ
ดวงตาที่เฉยชากับทุกสิ่งเหลือบมองไปทางระเบียงหลังห้อง...จะว่าไปเขาไม่ได้คุยกับเจ้าเหมียวหลายวันแล้ว ถึงจะเจอหน้ากันที่โรงเรียนบ้างแต่ก็โดนจอมมารเฉินจงอีคอยขวางไว้ตลอด
คิดถึงจัง...
ร่างสูงลุกขึ้นนั่ง ไหนๆก็นึกท่าเต้นไม่ออกแล้ว แอบไปดูเจ้าเหมียวแป๊บเดียวคงไม่เป็นไรมั้ง?
เขาไม่ได้หยิบคีย์การ์ดแต่โดดข้ามรั้วเอาเพราะกะจะไปไม่นาน แต่ทั้งๆที่ตั้งใจจะมาดูหน้าหน่อยเดียวเท่านั้น ความคิดของเขากลับต้องพังครืนเมื่อก้าวขาเข้ามาในห้อง...มองไปบนเตียง...แล้วเห็นก้อนกลมๆอยู่ในผ้าห่ม เจ้าเหมียวม้วนตัวอยู่ในนั้นโผล่มาแค่ปลายผม...
ว้อยยยย น่ารักเกินไปแล้ว~
คำถาม : เมื่อคุณเห็นเซียวจ้านก้อนกลมๆแบบนี้คุณจะทำยังไง?
ข้อ 1. นอนทับลงไป
ข้อ 2. ก็นอนทับลงไป
ข้อ 3. ก็ยังนอนทับลงไป
ข้อ 4. ถูกทุกข้อไปเลย!
แทบไม่ต้องคิดอะไรเพราะเขาอดไม่ไหวจริงๆ เขาค่อยๆหย่อนตัวเองลงไปนอนทับเจ้าเหมียวเอาไว้
“อื้อ?” มีเสียงร้องดังมาจากคนที่โดนทับ แต่เจ้าเหมียวก็ยังไม่ยอมออกมาจากโปงผ้าห่ม อีกฝ่ายคงรู้ว่าเป็นเขาเพราะมีเขาเข้ามาในห้องนี้ได้แค่คนเดียว เจ้าเหมียวก็เลยไม่ว่าอะไร มีเพียงเสียงงึมงำดังลอดผ้าห่มออกมา
“เจ้าโฮ่ง”
“ว่าไงเจ้าเหมียว?”
“เจ้าโฮ่ง”
“เจ้าเหมียว”
“เจ้าโฮ่ง”
“เจ้าเหมียว”
“เจ้าโฮ่ง”
“เจ้าเหมียว”
“เจ้าโฮ่ง”
“เจ้าเหมียว”
พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันมากไปกว่านั้น แค่เรียกกันไปมาแต่หัวใจกลับเหมือนได้เติมไฟอย่างบอกไม่ถูก
เขาพยายามแหวกโปงผ้าห่มจนเจอใบหน้าของเจ้าเหมียวที่อยู่ใกล้แค่คืบ ใบหน้ามนทำแก้มป่องเหมือนรำคาญที่เขาไปรบกวนการนอน แต่เขารู้ว่าเจ้าเหมียวไม่ได้หลับอยู่จริงๆหรอก เพราะถ้าหลับ แค่นอนทับนี่ไม่มีทางตื่นมาเรียกเขาได้แน่ๆ
“สบายจริงนะ อากาศแบบนี้ได้นอนมุดอยู่ในผ้าห่มเนี่ย” เขาพูดในระยะประชิดอย่างไม่คิดจะลุกออกไปไหน
“แหงสิ และมันจะสบายกว่านี้ถ้าไม่มีคนมากวน” เจ้าเหมียวเองก็ไม่ได้ผลักเขาออกไปแต่ยังคงพูดจาน่าหมั่นไส้อยู่ใต้ร่างเขา มันน่าฟัดให้ตายเลยจริงๆ
“ลุกเลยเจ้าเหมียว ฉันไม่ยอมให้นายนอนสบายๆอยู่คนเดียวหรอก” จู่ๆเขาก็นึกอะไรออกจึงพยายามดึงคนที่พยายามจะมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มออกมา บ่ายกว่าๆแล้วแต่เจ้าเหมียวนี่ยังอยู่ในชุดนอนอยู่เลย
“ไปอาบน้ำสิ ออกไปข้างนอกกัน” เขาดันร่างโปร่งบางเข้าห้องน้ำ
“ไปไหนอ่ะ?” เจ้าเหมียวหันมาถามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยแววสนุก
“เถอะน่า~” เขายัดอีกฝ่ายใส่ห้องน้ำได้สำเร็จ บางทีเขาก็สงสัยว่าเจ้าเหมียวนี่จะสนุกอะไรนักหนา เพราะที่ที่เขาพาไปก็มักจะเป็นที่ธรรมดาๆเอง
เขาเดินกลับมานั่งรอที่โซฟา รูปของเขาที่เจ้าเหมียววาดอยู่เริ่มลงสีบ้างแล้ว กระต่ายตัวนั้นเป็นสีขาวเหรอเนี่ย...จำไม่ได้เลยแหะ
ในห้องของเจ้าเหมียวไม่มีร่มด้วยซ้ำ เขาจึงต้องวิ่งไปซื้อจากร้านขายของชำแถวนั้นมาให้ แหงละที่จะซื้อมาคันเดียว เสียดายเงิน!
ถึงจะเป็นผู้ชายที่ตัวสูงด้วยกันทั้งคู่ แต่ไหล่เจ้าเหมียวไม่ได้กว้างมากนัก พวกเขาจึงอยู่ใต้ร่มคันเดียวกันได้สบายๆ แล้วก็ดูท่าว่าเจ้าเหมียวจะชอบที่มีคนถือร่มให้แบบนี้เสียด้วย ใบหน้ามนจึงไม่บ่นสักคำ
ดวงตาดำขลับกลมโตเหลือบมองเม็ดฝนเป็นระยะๆ เขานึกว่าเจ้าเหมียวจะยื่นแขนออกไปเล่นน้ำเสียอีกแต่กลับเดินอยู่ในร่มอย่างสงบเสงี่ยมกว่าที่คิด
“โรงเรียน?” เจ้าเหมียวเงยหน้ามองรั้วอย่างแปลกใจเมื่อเขาพามาหยุดอยู่หน้าโรงเรียน วันนี้เป็นวันหยุดโรงเรียนจึงปิดอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเขามาทำอะไรที่นี่? เจ้าเหมียวตวัดมองเขา
“ปีนเข้าไปกัน” เขายัดร่มใส่มือเจ้าเหมียวก่อนจะโหนตัวเองขึ้นไปนั่งบนประตูรั้วที่ไม่ได้สูงมากนัก มือข้างหนึ่งถูกส่งให้เจ้าเหมียวจับ ใบหน้ามนแค่งงงวยแต่ก็ไม่ได้ลังเลที่จะกระโดดตามเขาขึ้นมา
หลังจากกระโดดลงไปอีกฝั่งของรั้วได้แล้ว ร่มใสคันนั้นก็เดินต่อไปยังอาคารหอประชุมที่ใช้เป็นโรงยิมด้วยในตัว มือใหญ่ผลักประตูเหล็กให้เลื่อนออกพอให้ตัวคนรอดเข้าไปได้ เขารู้มาจากเพื่อนๆในห้องที่เป็นสมาชิกชมรมกีฬาว่าที่นี่มักจะไม่ได้ล็อคเอาไว้ พวกชมรมกีฬาก็แอบมาใช้กันตอนวันหยุด แต่ในวันที่ฝนตกแบบนี้คงมีแต่เขากับเจ้าเหมียวเท่านั้นแหละที่มาที่นี่
“ฉันคิดท่าเต้นไม่ออกน่ะ เลยคิดว่าถ้ามายืนอยู่บนเวที อาจจะนึกอะไรดีๆออกมาได้บ้าง” เสียงของเขาก้องอยู่ในโรงยิมที่ว่างเปล่า สองขาเดินไปยังเวทีที่ครั้งหนึ่งทีม Fire Dragon ก็เคยโลดแล่นอยู่บนนั้น
เขากระโดดขึ้นไปยืนอยู่กลางเวทีโดยมีเจ้าเหมียวเป็นผู้ชมเพียงหนึ่งเดียว ดวงตาเย็นชาค่อยๆปิดลงแล้วขยับร่างกายไปตามเสียงเพลง...เป็นอย่างที่คิดจริงๆ พอได้มายืนอยู่บนเวทีทำให้เขามองภาพออกว่าจะต้องมูฟไปทางไหนบ้าง ต้องเต้นแบบไหนบ้างถึงจะเอาเวทีอยู่
เขาลืมตาขึ้นมาจึงได้รู้ว่าผู้ชมเพียงหนึ่งเดียวของเขากำลังมองเขาอยู่เช่นกัน คนตรงหน้าเป็นทั้งกำลังใจและแรงผลักดันชั้นดีทีเดียว เขาที่เต้นเพื่อตัวเองมาตลอดเพิ่งเคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้ อยากให้คนคนนี้มองแต่เขาตลอดไป
อยากจะเก่งให้มากกว่านี้ อยากจะเท่ห์ให้มากกว่านี้ อยากจะประสบความสำเร็จให้มากกว่านี้ เพื่อที่เจ้าเหมียวจะได้ไม่ลำบากใจหากต้องอยู่ข้างกายเขา
“ถ่ายวีดีโอให้หน่อยสิเจ้าเหมียว” เขาบอกอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ใบหน้ามนพยักรับเบาๆแล้วหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาเพราะว่ามือถือของเขาใช้เปิดเพลงอยู่ เจ้าเหมียวมองเขาอย่างตั้งใจและไม่ละสายตาไปจากเขาเลย ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศธรรมดาๆแบบนี้มันแสนโรแมนติกเหลือเกิน...
แค่ได้อยู่ด้วยกัน...
ไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไหร่ ทำอะไร...มันก็พิเศษไปหมด...
พวกเราอยู่ที่โรงเรียนกันจนบ่ายแก่ๆ แต่เป็นเพราะฝนยังคงโปรยปรายอย่างต่อเนื่องทำให้ท้องฟ้าดูมืดครึ้มราวกับเย็นมากแล้ว
“เดี๋ยวฉันเอาโน้ตบุคไปให้นายย้ายวิดีโอใส่แล้วกัน ท่าทางจะเยอะ” เขาพูดกับเจ้าเหมียวในขณะที่เดินกลับบ้านภายใต้ร่มคันเดียวกัน
“อื้อ นี่เจ้าโฮ่ง นายว่าปลาราดพริกใส่ผักชีหรือขึ้นฉ่ายดี?” จู่ๆเจ้าเหมียวก็เปลี่ยนเรื่อง แต่เวลาพวกเขาคุยกันก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ คุยกันเรื่อยเปื่อย พูดถึงเรื่องนู้นทีเรื่องนี้ทีเถียงกันที
“ก็ต้องผักชีสิ?” เขาตอบ
“ขึ้นฉ่ายไม่สวยกว่าเหรอ?” เจ้าเหมียวถาม
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าสวยไม่สวยสิ รสชาติมันต่างหาก” เขาตอบ
“ใครเค้ากินจริงจังกัน” เจ้าเหมียวถาม
“ฉันไง” เขาตอบ
“เอาไว้ฉันผัดผักชีให้นายกินแล้วกัน แต่ปลาราดพริกใส่ขึ้นฉ่ายไปก่อน” เจ้าเหมียวถาม
“ไม่เอาอ่ะ ใส่ผักชีซะ” เขาตอบ
“ขึ้นฉ่าย?” เจ้าเหมียวถาม
“ผักชีสิ” เขาตอบ
“อ่ะ ระวัง!” จู่ๆเจ้าเหมียวก็ตะโกนออกมาพร้อมดึงแขนเขาเข้าไปหาตัว แรงกระแทกที่ได้รับจึงไม่รุนแรงเท่าไหร่ อะไรชนเขาเนี่ย?
“เป็นไรหรือเปล่าเจ้าโฮ่ง?” เจ้าเหมียวมองแขนเขาด้วยสายตาเป็นห่วง
“เปล่า” เขาบอกเจ้าเหมียวก่อนจะหันไปมองต้นเหตุที่ล้มอยู่ที่พื้น ใครสักคนจู่ๆก็วิ่งมาชนเขา
“นี่คุณ ระวังหน่อยสิ” เขาก้มลงไปมอง แต่แล้วคนที่ลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนก็ดันเป็นคนคุ้นเคยของเขาเอง
“เอ่อ ขอโทษที...อ้าว...อี้ป๋อ?” หยางเกออีกแล้ว เขาบังเอิญเจอกับอีกฝ่ายบ่อยไปไหมเนี่ย?
“หยางเกอ? ทำไมมาอยู่แถวนี้ล่ะ? บ้านพี่ไม่ได้อยู่แถวนี้นี่?” รุ่นพี่ในทีมสตรีทแดนซ์ของเขาดูอึ้งๆไป ยิ่งอีกฝ่ายหันไปเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างๆเขายิ่งอึ้งไปกันใหญ่
“เปล่า...ไม่มีอะไร...ไปละ” ท่าทีอีกฝ่ายดูร้อนลนเหมือนกำลังหนีอะไรอยู่ ในขณะที่หยางเกอกำลังจะผละไป เขาก็จับแขนเอาไว้ได้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อน พี่กำลังหนีอะไรอยู่หรือเปล่า? มีอะไรก็บอกผม เผื่อผมช่วยได้ ขี้เกียจฟังเจ๊ลิลลี่บ่นแล้ว” ที่ทะเลาะกันครั้งที่แล้วมันทำให้บรรยากาศภายในทีมแย่ลง กว่าจะกลับมาเป็นปกติได้เขาก็ต้องฝ่าสงครามเย็นอยู่เป็นอาทิตย์เลยนะ เป็นไปได้ก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว
“คือ...โทษทีว่ะ...คือ....” หยางเกอตอบอย่างอึกๆอักๆ ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้อยากจะปิดบังเขาแต่ก็ลำบากใจที่จะต้องพูดออกมา
“ว่าไง?” เขากดดันต่อไป เรื่องนี้หวังอี้ป๋อถนัด จนในที่สุดหยางเกอก็ถอนหายใจแล้วยอมปริปากออกมาจนได้
“ฉัน...กลับบ้านไม่ได้ว่ะ มีคนคอยตามอยู่ จะให้พวกมันรู้ไม่ได้ว่าบ้านฉันอยู่ไหน” ดวงตาเรียวเล็กของหยางเกอเหลือบมองไปรอบๆกายอย่างหวาดหวั่น
“.......” เขาได้แต่พูดอะไรไม่ออก คนเรามันต้องอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายขนาดไหนที่จะทำให้ถึงกับกลับบ้านตัวเองไม่ได้แบบนี้
“ถ้านายอยากช่วย...ฉันขอที่นอนซักคืนก็แล้วกัน” หยางเกอก้มหน้าอย่างจนหนทาง เขามองอีกฝ่ายพลางนิ่งคิด...ให้ไปนอนที่บ้านเขาก็ได้อยู่หรอกแต่มันก็เสี่ยงที่ความลับระหว่างเขากับเจ้าเหมียวจะรั่วไหล ตอนนี้เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าระเบียงหลังห้องของเขาสามารถข้ามไปถึงห้องของเจ้าเหมียวได้ มันอันตรายเกินไป
“ถ้างั้นก็ตามผมมา” เขาหันไปพูดกับหยางเกอแล้วออกเดินนำ เจ้าเหมียวยังคงตามเขามาด้วย
ขาทั้งสามคู่หยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหารครอบครัวร้านหนึ่ง...ในเวลาแบบนี้เขาก็นึกออกแค่ที่นี่แหละ...ร้านของเฮียหลงที่เขาทำงานพิเศษอยู่
“เฮีย ห้องเก็บของข้างบนยังว่างอยู่ป่ะ? ให้เพื่อนผมนอนซักคืนได้ไหม?” เขาพาอีกสองคนเข้าไปทางหลังร้าน เขาตะโกนถามเฮียเพราะจำได้ว่ามีห้องเก็บของว่างๆอยู่พอจะซุกหัวนอนได้ เฮียหันมามองเขาอย่างสงสัย
“อ๋อ เอาสิ แต่รกหน่อยนะ” แต่ก็อนุญาตอย่างไม่ได้ซักไซ้อะไรมาก เขาจึงตั้งใจว่าเดี๋ยวค่อยลงมาอธิบายให้ฟังอีกที
เขาเดินนำขึ้นบันไดหลังซึ่งมีลังใส่ของวางเกะกะ ฝ่ามือเอื้อมไปจับมือเจ้าเหมียวไว้ไม่ให้เหยียบอะไรล้มลงไป บนชั้นสองแบ่งเป็นโซนหน้าร้านซึ่งมีโต๊ะอาหารจัดมุมน่ารักๆเอาไว้นั่งเล่น กับโซนหลังร้านซึ่งเป็นห้องเก็บของ มีทั้งวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหาร อุปกรณ์ครัว โต๊ะเก้าอี้สำรอง และหนึ่งในห้องเก็บของพวกนั้นก็มีห้องหนึ่งที่ว่างอยู่
หวังอี้ป๋อเปิดประตูเข้าไป ฝุ่นที่ตลบออกมาทำให้รู้ว่าห้องนี้ไม่มีคนใช้งานมานานแล้ว
“กวาดซักหน่อยก็พอนอนได้นะ” เขาหันกลับมามองหยางเกอที่พยักหน้ารับ เจ้าเหมียวย่องข้ามสิ่งกีดขวางตามเข้ามา พวกเราเข้ามาอยู่ในที่ที่ปลอดภัยพอแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะถามไปตรงๆ มาถึงขนาดนี้แล้วเขาต้องรู้ว่าหยางเกอไปทำอะไรไว้ จะได้หาทางป้องกันไม่ให้เฮียต้องเดือดร้อนไปด้วย
“ตกลงพี่ไปมีเรื่องกับพวกมาเฟียมาจริงๆใช่ไหม? พี่จำเป็นต้องบอกผมนะ ไม่งั้นผมจะช่วยได้ยังไง” หยางเกอชะงักไปพร้อมกับเครื่องหมายคำถามวิ่งวนเต็มหน้าว่าเขารู้ได้ยังไง หยางเกอเหลือบไปมองเจ้าเหมียวอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดต่อหน้าอีกฝ่ายดีไหมเพราะแทบไม่รู้จักกัน
“เค้าน่ะ ไม่เป็นไรหรอก บอกมาเถอะ” เขาเหลือบมองเจ้าเหมียวอย่างเชื่อใจ
“ฉัน...ติดเงินพวกนั้นอยู่ ก็เลย...ถูกตามทวงหนี้น่ะ...” คำตอบของหยางเกอไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่าไหร่นัก กับมาเฟียพวกนั้นมันก็คงมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก
“เท่าไหร่?” เขาถามออกไปด้วยเสียงราบเรียบ
“ห้าหมื่นหยวน...”
“ไม่น้อยเลยนะ แล้วทำไมถึงไปยืมทั้งๆที่รู้ว่าจะใช้ไม่ได้” การซักถามที่ตรงไปตรงมานี่สมกับที่ออกมาจากปากของหวังอี้ป๋อจริงๆ
“ก็เพราะฉันคิดว่าจะใช้ได้ไง ถึงได้ยืม แต่ใครจะไปคิดว่าไอ้พวกนั้นจะโกงฉัน...”
“ใคร?”
“ก่อนหน้านี้ฉันไปรับเต้นประกอบงานอีเว้นต์มาใช่ไหมล่ะ ฉันตั้งใจจะเอาเงินก้อนนั้นไว้ใช้หนี้ แต่พวกนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ไม่จ่ายค่าตัวฉัน...” ทั้งห้องเงียบกริบ เขามองหยางเกออย่างเห็นใจ ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายต้องเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ทั้งๆที่สร้างเสียงหัวเราะให้ Fire Dragon อยู่เสมอ
“แล้วพี่คิดจะทำยังไงต่อ? จะหลบพวกนั้นไปถึงเมื่อไหร่?”
“ฉันจะลองหางานทำดู แล้วก็แข่งแดนซ์คอนเทสนี่ไง เงินรางวัลมันไม่ใช่น้อยเลยนะ ถ้าทีมเราชนะก็น่าจะแบ่งกันได้เยอะอยู่” ก็ยังดีที่พี่ชายคนนี้ของเขาไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย ยังพยายามที่จะสู้อยู่
“เอาเถอะ ยังไงคืนนี้พี่ก็นอนที่นี่ไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมกลับไปเอาหมอนกับผ้าห่มจากที่บ้านมาให้” เขาไม่คิดจะตำหนิในเรื่องที่มันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว หากอีกฝ่ายไม่ท้อและเขาพอช่วยได้ เขาก็จะช่วย เขาจึงเลิกซักไซ้เพียงแค่นั้น
“เจ้าเหมียว กลับกัน” เขาหันไปเรียกเจ้าเหมียวที่นั่งฟังเงียบๆตั้งแต่ต้นจนจบ
“อี้ป๋อ!” หยางเกอเรียกเขาในขณะที่กำลังจะก้าวออกจากห้อง
“หื๋อ?”
“ขอบใจนะ”
“อื้อ” เขาเพียงแค่หันไปยิ้มบางๆให้
ร่างสูงชะลูดเดินตามร่างโปร่งบางเข้าไปในอพาทเม้นต์ด้วยจนใบหน้ามนต้องหันมาถามอย่างสงสัย
“จะตามมาทำไมเนี่ย? นายไม่ต้องเอาผ้าห่มไปให้รุ่นพี่ของนายเหรอ?” เจ้าเหมียวกดรหัสก่อนจะเปิดประตูห้องของตัวเอง
“ฉันแค่สงสัยอะไรนิดหน่อย” เขาเดินเข้าไปประกบก่อนจะดันเจ้าเหมียวจนแผ่นหลังบางแนบไปกับผนังห้อง สองแขนกางกั้นไม่ให้หนีไปไหน
“อะไร?” เจ้าเหมียวมองหน้าเขาที่อยู่ใกล้แค่คืบก่อนจะเสสายตาหลบ
“นายเป็นไรหรือเปล่า? หน้านายแดงๆตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?” ดวงตาเฉยชาจ้องมองใบหน้ามน ยิ่งอยู่ใกล้แค่นี้ สีแดงระเรื่อบนแก้มใสยิ่งเห็นชัดจนแทบจะรู้สึกถึงไอร้อนที่ส่งออกมา
“...เปล่า...” เชื่อเจ้าแมวปากแข็งนี่ก็ไม่ใช่เขาแล้ว มือใหญ่ยกขึ้นทาบลงไปบนหน้าผากใสอย่างไม่รอขออนุญาตจึงรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่สูงผิดปกติ
“เปล่ายังไงเนี่ย? มีไข้ไม่ใช่เหรอ? ตัวร้อนจนหน้าแดงขนาดนี้ มานี่เลย” เขาลากเจ้าเหมียวเข้าห้องนอนก่อนจะจับถอดเสื้อผ้าแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอนสบายๆ ผ้าชุบน้ำอุ่นถูกยื่นให้คนที่นั่งอยู่บนเตียงใช้เช็ดหน้าเช็ดตา
“นายมียาลดไข้อยู่บ้างหรือเปล่า?” เขาค้นกล่องยาสามัญประจำบ้านก่อนจะเจอยาลดไข้จึงนำมันมายื่นให้เจ้าเหมียว
“ที่จริง...ฉันไม่ค่อยถูกกับฝนเท่าไหร่...” เจ้าเหมียวเอ่ยบอกเขางึมงำ ในขณะที่กลืนยาลงคอ
“ห๋า?” เขาหันไปมองอย่างนึกว่าหูฝาดไป
“ถ้าอากาศหนาวไม่เป็นไร แต่กับความชื้นในอากาศนี่ไม่ค่อยไหว...” ร่างทั้งร่างของเขาชะงักค้างไป เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย ตรงไหนสักที่รู้สึกเจ็บแปลบที่เขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนตรงหน้าป่วยด้วยความไม่รู้ของตัวเอง
“แล้วทำไมไม่บอก” เขาดุคนที่นั่งเบลออยู่บนเตียงด้วยพิษไข้ที่เหมือนจะหนักขึ้น...ถ้าบอกเขาคงไม่พาออกไปตากฝนทั้งวันแบบนี้หรอก
“ก็ฉันอยากออกไปกับนาย...”
“ก็ฉันอยากออกไปกับนาย...”
“ก็ฉันอยากออกไปกับนาย...”
เหมือนมีเสียงแอคโค่เป็นประโยคเดียวกันดังซ้ำๆ ซ้ำๆ อยู่ในหู...สมองของเขาเหมือนจะว่างเปล่าไปชั่วขณะ มีเพียงหัวใจที่เต้นระรัวราวกับทั้งตัวเขามีเพียงมันเท่านั้นที่ยังทำงานอยู่...
“......” ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับพูดอะไรต่อไม่ถูก ประโยคเอาแต่ใจเพียงประโยคเดียวของเจ้าเหมียวมันกำลังจะทำให้เขาทนไม่ไหว เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการถูกคนที่ตัวเองชอบอ้อนนิดเดียวแค่นี้มันจะทำให้เกือบจะสูญเสียความเป็นตัวเองไป สองมือเอื้อมไปยันไหล่ของเจ้าเหมียวเอาไว้ก่อนจะก้มหน้าอย่างพยายามหักห้ามใจตัวเองอยากหนัก
.....อยากกอด...
อยากกอดแน่นๆ กอดให้หักคามือเขาได้เลยยิ่งดี
อยากกอด....
อยากกอด!!!
“โธ่โว้ย!......โทษที ฉันทนไม่ไหวแล้ว!” เขาสบถออกไปไม่รู้เหมือนกันว่าพูดกับตัวเองหรือพูดกับเจ้าเหมียว แต่พริบตาเดียวกันนั้นสองมือที่พยายามยันเจ้าเหมียวไว้กลับคว้าไหล่บางแล้วดึงร่างโปร่งเข้ามากอดอย่างรั้งตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป
“เจ้าโฮ่ง...” เจ้าเหมียวดูงุนงงอยู่ในอ้อมแขนเขา กลิ่นหอมเฉพาะตัวโชยมายั่วเย้าให้เขาฝังใบหน้าลงไปกับลาดไหล่ผอม ฝ่ามือกดแผ่นหลังบางเข้าหาตัว เขากอดเจ้าเหมียวแน่นจนแทบจะกลืนหายไปในร่างกายของกันและกัน
ฝนยังคงตกลงมา...
ถึงแม้ว่าข้างนอกจะหนาว ทว่า...
“อุ่น...” เสียงเบาๆดังออกมาจากใบหน้าที่เกยไหล่เขาอยู่ เจ้าเหมียวไม่ต่อสู้ดิ้นรนให้พ้นไปจากการกระทำอุกอาจของเขา ไม่รู้ว่าเป็นไข้จนไม่มีแรงหนีหรือว่าเต็มใจให้เขากอดกันแน่...แต่ใครจะสน
เขาดึงคอเสื้อนอนก่อนจะฝังริมฝีปากลงไปบนไหปลาร้า ถึงจะรู้ว่าไม่ควรรังแกคนป่วยแต่มันก็ยากจริงๆที่จะถอนตัวออกมา...
ตรู๊ด...ตรู๊ด.....ตรู๊ด...........
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นราวกับจะช่วยขัดขวางการก่ออาชญากรรมของเขา ฝ่ามือที่กำลังลูบไล้อยู่บนแผ่นหลังบางชะงักค้างไปทันที เขาผงะไปก่อนจะปล่อยให้คนในอ้อมแขนเป็นอิสระ เจ้าเหมียวโงนเงนไปมาเมื่อเขาคลายอ้อมกอดจนเขาต้องประคองให้นอนลงไปบนเตียง ใบหน้ามนมึนเบลอเหมือนไม่มีสติ เขาจึงลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆส่วนอีกมือก็กดรับโทรศัพท์
“นายจะเอาผ้าห่มมาให้ฉันเมื่อไหร่วะ? ฉันกวาดห้องเสร็จแล้วเนี่ย ไงก็มากินไรด้วยกัน ฉันเลี้ยงมาม่านายเอง” หยางเกอโทรมา...เขาลืมไปเลยว่าต้องเอาผ้าห่มไปให้อีกฝ่ายจึงได้แต่นึกขอโทษในใจ
“พี่ โทษที พอดีเจ้าเหมีย- เอ่อ จ้านเกอไม่ค่อยสบาย พี่เดินมาเอาผ้าห่มเองได้ไหม” ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองคนที่หลับไปแล้วด้วยสายตาเป็นห่วง เขาพอจะรู้อยู่ว่าร่างกายของเจ้าเหมียวไม่ค่อยปกติถึงได้ต้องกินยาอะไรบางอย่างตลอดเวลา แต่ไม่นึกว่าเวลาจะป่วยขึ้นมาก็วูบไปไวขนาดนี้
“เอ๋? อ้อ ได้สิ ตรงไหนล่ะ?” ปลายสายทำเสียงประหลาดใจเพราะตอนที่จากกันเมื่อชั่วโมงก่อนก็ยังดีๆอยู่ เขาจึงบอกหยางเกอไปว่าต้องเดินมาทางไหน
“เดี๋ยวฉันมานะ” เขาก้มลงไปจูบหน้าผากคนที่หลับด้วยพิษไข้ก่อนจะรีบโดดข้ามรั้วกลับไปบ้านตัวเองแล้วกลับมาใหม่พร้อมผ้าห่ม
ร่างสูงชะลูดวิ่งจากชั้นสองลงบันไดแบบแทบจะโดดลงมาเสียให้ได้ ไม่อยากทิ้งเจ้าเหมียวไว้คนเดียวแม้สักวินาที ยังดีที่หยางเกอเดินมาถึงหน้าอพาทเม้นต์พอดี
“นี่บ้านนายเหรอ?” รุ่นพี่ในทีมสตรีทแดนซ์เงยมองอพาทเม้นต์หรูหราตรงหน้าอย่างอึ้งๆ
“เปล่า บ้านจ้านเกอ” เขารีบรวบผ้าห่มก่อนจะยัดใส่มืออีกฝ่าย
“สมกับเป็นเจ้าชาย น่าอิจฉาจริงๆ...แล้วนี่...นายอยู่กับหมอนั่นเหรอ?”
“ไว้ค่อยคุยกัน นี่ผ้าห่ม ผมขึ้นไปดูเค้าก่อนนะ” เด็กหนุ่มร่างสูงตัดบทแล้วรีบกลับเข้าอพาทเม้นต์ไป
“อ่า อืม ขอบใจ...” จูหยางซื่อรับผ้าห่มไว้ ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรหรือแม้แต่จะขอบใจได้จบประโยค หวังอี้ป๋อก็หายวับไปแล้ว...คนเป็นรุ่นพี่ถึงกับยืนงง...เจ้าเด็กเย็นชานั่นออกอาการว่าห่วงใยใครสักคนแบบนั้นได้ด้วยเหรอ? แถมยังอยู่ด้วยกันอีก...
ใบหน้าที่มีพลาสเตอร์ยาแปะอยู่สองสามอันเงยมองอพาทเม้นต์สีขาวอย่างประหลาดใจ จะว่าไปเขาเจอสองคนนี้อยู่ด้วยกันนอกโรงเรียนสองครั้งแล้ว...และทุกครั้งมันก็ทำให้เขาหนีรอดจากพวกทวงหนี้มาได้ตลอด...ครั้งแรกเขายังไม่มั่นใจ แต่ครั้งนี้เขาแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เขาหนีรอด แต่พวกทวงหนี้ไม่เข้ามาทำอะไรเขาเองมากกว่า...เป็นไปได้ว่าเพราะเขาอยู่กับสองคนนั่น...เขาไม่รู้ว่าหวังอี้ป๋อหรือเซียวจ้านกันแน่ที่พวกมาเฟียกลัว...เขารู้แต่ว่าถ้าเขาอยู่ใกล้ๆสองคนนั้น เขาจะปลอดภัย...
เปลือกตาหนักๆค่อยๆเปิดขึ้นอย่างงัวเงีย ข้างนอกฝนหยุดตกแล้ว…
ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลาทุ่มนึงพอดี เขาก้มลงมองคนที่ยังหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขน มือใหญ่ยกขึ้นมาทาบหน้าผากใสที่มีเหงื่อออกน้อยๆ...ดูเหมือนไข้จะลดลงแล้ว ยาน่าจะได้ผล
เขาค่อยๆลุกจากเตียงช้าๆ ว่าจะนั่งกอดเอาไว้เฉยๆดันเผลอหลับไปด้วยซะนี่...ยังไงก็ไปทำข้าวต้มไว้ให้เจ้าเหมียวดีกว่า ตื่นมาจะได้กินยาอีกรอบ
ตั้งแต่เริ่มฝึกทำอาหาร ตู้เย็นของเจ้าเหมียวก็มีวัตถุดิบเต็มแน่นไม่ว่าจะเนื้อสัตว์หรือผักสด เพราะงั้นข้าวต้มของเขาวันนี้จึงน่ากินกว่าทุกที เขาตักมันใส่ถ้วยใบเล็กก่อนจะถือออกมาจากห้องครัว
“เจ้าเหมียว...” เขาปลุกคนที่ยังนอนนิ่ง
“ตื่นมากินข้าวกินยาก่อน” เขาเขย่าไหล่บางเบาๆจนอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว
“อือ...” คนขี้เซาส่งเสียงอืออาแต่ยังไม่ยอมลืมตา เขาจึงเรียกซ้ำๆ
“เจ้าเหมียว...ลุกก่อน...ตื่นกินข้าวก่อน” เสียงทุ้มที่กระซิบเบาๆอยู่ข้างหูค่อยๆปลุกอีกฝ่ายอย่างใจเย็น เจ้าเหมียวส่ายหน้าทั้งๆที่ยังหลับตา สภาพเหมือนแมวเพิ่งตื่นนอนนี้มันน่ารักจนเขาต้องกำมือแน่น...หวังอี้ป๋อ ไม่ได้นะ นายจะรังแกคนป่วยไม่ได้....
“นี่ ลุกมากินข้าวก่อน...เจ้าเหมียว...” เขาใช้เวลาปลุกอยู่นานกว่าดวงตาคู่โตจะยอมเปิดขึ้น
เขาช่วยพยุงเจ้าเหมียวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ใบหน้ามนยังดูมึนเบลอแต่ก็ดีกว่าเมื่อตอนเย็นมาก เขานั่งลงไปบนเตียงก่อนจะยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมาเป่า ขนาดเวลาปกติยังไม่ค่อยจะยอมกินข้าวเองเลย ป่วยแบบนี้คงมีแต่ต้องป้อน
“ห้ามไปอ้อนใครแบบนี้นะ” มือใหญ่ตักข้าวต้มจ่อไปที่ปากนิ่ม เจ้าแมวป่วยยู่หน้าก่อนจะอ้าปากกินข้าวต้มเข้าไป
“นายก็ห้ามไปป้อนใครแบบนี้เหมือนกัน” ดวงตาคู่โตหรี่มองเขา
“หึ...คิดว่าคนอย่างฉันจะทำแบบนี้ให้ใครงั้นเหรอ?” ไม่กินก็อดตายไปซะ...ปกติเขาเป็นคนแบบนั้นแท้ๆ~ เจ้าเหมียวถึงกับยิ้มขำเมื่อนึกถึงความเย็นชาของหวังอี้ป๋อที่คนทั้งโรงเรียนพูดถึง
เขาป้อนข้าวต้มใส่ปากสีระเรื่อนั่นไปเรื่อยๆ “ฉันนึกว่านายจะพารุ่นพี่ของนายมานอนที่บ้านซะอีก...เพราะฉันเหรอ?” เจ้าเหมียวถามด้วยสายตาลอยๆจากพิษไข้
“อืม” เขาตอบออกไปอย่างไม่คิดจะปิดบัง เพราะเจ้าเหมียวก็คงเดาได้ว่าที่เขาไม่พาหยางเกอมานอนที่บ้านเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าจากบ้านของเขาสามารถข้ามมาบ้านของเจ้าเหมียวได้และเจ้าเหมียวเองก็ไม่เคยล็อคประตูหลังเพราะเอาไว้ให้เขาเข้ามา ถ้าคนอื่นรู้มันจะอันตราย
“....ขอบคุณ” ใบหน้ามนเอ่ยงึมงำๆ เขามองใบหน้าแดงระเรื่อนั่นพลางยิ้มออกมา ป่วยแบบนี้ก็ยังน่ารัก ไม่สิ เพราะป่วยแบบนี้แหละ ออร่าความน่ารังแกเลยพุ่งสูงจนปรอทแทบแตก! เขารีบหันหน้าไปทางอื่น ยังดีที่ข้าวต้มหมดถ้วยแล้ว เขาจึงทำทีลุกจากเตียง
“เจ้าโฮ่ง...” ดวงตาคู่โตที่ปรือปรอยน้อยๆช้อนขึ้นมามองเขา
“หื๋อ?”
“........นอนที่นี่สิ” ได้ยินเสียงอะไรระเบิดอยู่ในหัว โชคดีจริงๆที่เขาเป็นคนหน้าตาย เขาถึงยังรักษาลุคคูลๆเอาไว้ได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
“อืม” เขาตอบรับไปด้วยใบหน้าราบเรียบแต่ข้างในกำลังระเบิดราวกับภูเขาไฟ...เจ้าเหมียวตัวร้ายเอ้ยยยยย ป่วยแล้วยังจะอ่อยเขาได้อีก!
เขายืนสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ก่อนจะช่วยพยุงเจ้าเหมียวให้นอนลง ดวงตาคู่โตหลับไปในเวลาไม่นาน เขาจึงนั่งมองใบหน้ายามนิทราของอีกฝ่ายพลางลูบเส้นผมนิ่มไปด้วย...น่าแปลก...ที่เราไม่เคยบอกชอบหรือบอกรักกัน แต่ทุกการกระทำกลับทำให้รู้ดีว่าหัวใจสองดวงนี้มันตรงกัน
แสงไฟแยงเข้ามาในดวงตาทำให้เขาถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล ห้องทั้งห้องมืดไปหมดมีเพียงแสงที่สาดออกมาจากประตูห้องน้ำ...เจ้าเหมียวลุกไปเข้าห้องน้ำเหรอ?
เขากวาดมองรอบๆกาย เจ้าเหมียวไม่ได้อยู่บนเตียงแสดงว่าเขาคิดถูกแล้ว ก็ได้แต่แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ปิดประตู เขาจึงลุกขึ้นมาดู แล้วยิ่งเข้าใกล้ห้องน้ำก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ
“อึ่ก...แหวะ!....” ดวงตาที่ยังเปิดเพียงครึ่งเดียวของเขาถึงกับเบิกกว้างกับเสียงที่ได้ยิน เพราะมันเหมือนกับเจ้าเหมียวกำลังอ้วก?
มือใหญ่ยันประตูให้เปิดกว้างขึ้นก่อนที่สองตาจะมองเห็นเจ้าเหมียวนั่งหมดแรงอยู่หน้าชักโครก ใบหน้ามนมีเหงื่อเกาะพราวและซีดเซียว เขารีบถลาเข้าไปด้วยความตกใจ
“เจ้าเหมียว?!” สองแขนกอดแผ่นหลังที่กำลังโงนเงนเอาไว้ มือบางยกขึ้นมาบีบขมับด้วยใบหน้าทรมานเหมือนปวดหัวอย่างหนัก เขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“โรง...โรงพยาบาล...ไปโรงพยาบาล....” เขาพยายามจะตั้งสติและต้องทำอะไรสักอย่างเพราะอาการของเจ้าเหมียวไม่ดีเลย เขาเพิ่งเคยเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ สิ่งแรกที่คิดได้ก็คือต้องพาเจ้าเหมียวไปโรงพยาบาล
“ยา...ไปหยิบยาของฉันให้หน่อย...” คนที่อยู่ในอ้อมแขนบอกเขาด้วยเสียงแผ่วเบา มือบางยังบีบศีรษะของตัวเอง
“อุก!...” ร่างโปร่งเด้งตัวจากอ้อมแขนเขาก่อนจะอาเจียนใส่ชักโครกอีก เขาเห็นสภาพของอีกฝ่ายเลยยิ่งลนลาน มือข้างหนึ่งก็ลูบหลังให้ ใบหน้าก็หันไปหันมาอย่างไม่รู้จะทำยังไง...ยา...ต้องไปเอายาของเจ้าเหมียว
ร่างสูงชะลูดวิ่งออกจากห้องน้ำมาที่โต๊ะข้างเตียง เขารู้ว่าเจ้าเหมียวเก็บยาที่กินทุกวันเอาไว้ตรงนี้ มือใหญ่รีบคว้ากระปุกสีชาแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องน้ำ
“เจ้าเหมียว ยามาแล้ว” เขาเทยาใส่มือบางทั้งๆที่มือตัวเองก็สั่นระริก...น้ำ...ต้องไปเอาน้ำ...เขาวิ่งออกจากห้องน้ำอีกครั้งก่อนจะคว้าขวดน้ำดื่มกลับเข้ามา มือใหญ่รีบบิดฝาก่อนจะยกจ่อปากสีระเรื่อให้
“เป็นไงบ้าง? ไปโรงพยาบาลไหม?” เขานั่งลูบหัวลูบหน้าเจ้าเหมียวที่ดูลอยๆอย่างเป็นห่วงแทบขาดใจ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ก่อนนอนก็ยังดีๆอยู่เลย? เพราะร่างกายอ่อนแอจากพิษไข้งั้นเหรอ? แล้วเจ้าเหมียวเป็นโรคอะไรอยู่กันแน่? โว้ย! เขาเป็นห่วงจนแทบจะบ้าแล้ว!
เขาจ้องหน้าคนที่นั่งพิงผนังห้องน้ำตาไม่กระพริบ ผ่านไปสักพักก็ดูเหมือนอาการปวดหัวจะทุเลาลงทำให้อาการอื่นๆค่อยๆหายไปด้วย
“ตรงนี้มันเย็น ไปที่เตียงเถอะ” เขาไม่รอฟังคำตอบ ท่อนแขนสอดเข้าไปใต้ร่างโปร่งก่อนจะอุ้มเจ้าเหมียวขึ้นมา สองขาเดินกลับไปที่ห้องนอน
“ไม่ไปโรงพยาบาลแน่นะ? ไปให้หมอดูหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ?” เจ้าเหมียวส่ายหน้าก่อนจะซุกตัวเข้าหาเขา ดวงตาคู่โตปิดลงด้วยความอ่อนเพลีย แล้วไม่นานก็หลับไป...
เขายังคงตาค้างท่ามกลางความมืดสลัว...เพิ่งเกิดเรื่องทำเอาหัวใจจะวายแล้วใครมันจะไปหลับลง! เขาหยิบกระปุกยาที่ตกอยู่บนเตียงมาดู...ชื่อยาเป็นภาษาอังกฤษเขาเลยไม่รู้ว่ามันคือยาอะไรกันแน่? ใช่ว่าเขาจะไม่เคยถาม แต่เจ้าเหมียวก็บอกเขาแค่ว่ามันคือยาแก้ปวดหัว...ใครมันจะไปเชื่อลง...คนเราจะต้องกินยาแก้ปวดหัวทุกวันเลยงั้นเหรอ? แล้วยิ่งเมื่อกี้ก็เห็นๆอยู่ว่าถึงกับอ้วกออกมา ไม่น่าจะเป็นอาการปวดหัวธรรมดาๆ...
ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองใบหน้าที่หลับสนิทในอ้อมแขน...เจ้าเหมียวป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่? ถ้าเจ้าตัวไม่ยอมบอก เห็นทีเขาคงต้องไปถามเฉินจงอีเสียแล้ว หมอนั่นน่าจะรู้...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To be Con.
ใสๆ...เลาต้องคีฟลุคฟิคใสๆอบอุ่นหัวจัยเอาไว้~~~ แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....ว้อยยยย อยากกดจ้านเกอ~~ // โดนป๋อตบคว่ำ ถถถ
ปล่อยคุณกวางมันทะเลาะกับตัวเองไปค่ะ = =
แง๊~ ซีรี่ย์ปรมาจารย์ลัทธิมารจบแง้ววววว เป็นซีรี่ย์ที่ไม่อยากให้จบเลยจริงๆค่ะ TvT งานดีจนประทับใจทุกๆอย่าง อยากให้ฉายไปนานๆๆๆ อยากดูพ่อกับแม่เลิฟๆกันนนน ที่ผ่านมามันยังไม่หนำใจ~ แล้วก็นะ พอซีรี่ย์จบปุ๊บก็ประกาศมีตติ้งปั๊บอย่างกับกลัวกรูจะหนีกลับวอลล์มาเรียถถถ จะรอดไหมเนี่ยดูจากปริมาณชาวยุทธที่จะเข้าสู่สงครามในครั้งนี้แล้ว...แง๊~
พักเรื่องสะเทือนไตไว้ก่อน...
ก็...หลังจากดูรายการ day day up ที่ป๋อจ้านไปออกแล้วก็เลยไปหาเพลงที่ป๋อกับจ้านร้องในรายการมาฟังค่ะ....แม่~ มันเพราะมากทั้งสองเพลงเลย งื้ออออ
อันนี้เพลงที่ป๋อร้อง
ส่วนอันนี้เพลงที่จ้านเกอร้อง แต่คุณกวางชอบเป็นเวอร์ชั่นที่ JJ lin ร้องอ่ะนะ (ตรูเป็นไรกับตาคนนี้มากไหมเนี่ย555+ ชอบบังเอิญไปฟังละก็บังเอิญชอบเพลงของเค้าทุกที๊ย์~ แต่เคืองนาง ตอนมาดู F1 นางไปอยู่พิตเมอร์ซิเดส555+ อ่ะ ย้อเย่นนะก๊ะ~)
เพราะง่า~~ >/////<
ขอขอบคุณทุกๆการติดตาม ทุกๆคอมเมนต์นะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่า...เนื้อเรื่องแม่งไม่คืบไปไหนเล้ยฟิคเรื่องนี้555+ แต่ไม่อยากดุเดือดมากค่ะ ค่อยๆไปเรื่อยๆแบบนี้ดีก่า =v= แบบดุๆเอาไว้ตรูไปดู Moto GP กลับมาก่อง หรึ! มีโปรแกรมจะไปดูแข่งรถสองรายการค่ะปีนี้ คือ F1 ที่สิงคโปร อันนี้รถสูตรหนึ่งสี่ล้ออาจจะไม่ใช่สายป๋อ แต่อีกรายการที่จะไปดูนี่น่าจะเกี่ยวเต็มๆ555+ Moto GP ที่บุรีรัมย์ค่ะ >////< จริงๆแล้วตามเพื่อนไปด้วยความเผือก ไม่คิดว่าจะได้เอามาใช้จริงๆ กร๊ากกกก
สรุปเซียวจ้านเป็นอะไรนิ
ตอบลบจ้านปลุกถ่ายอวัยวะใหม่เหรอพี่?
ตอบลบ