อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] JUNE : 06


อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ เซียวจ้าน]  JUNE : 06

: อี้จ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Warmhearted Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
          





ตอนนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนในโรงเรียนก็มักจะได้ยินหัวข้อสนทนาที่มีชื่อของ “หวังอี้ป๋อ” พ่วงอยู่ด้วย เด็กหนุ่มโด่งดังขึ้นอีกเป็นเท่าตัวในชั่วข้ามวัน ครึ่งหนึ่งมาจากคลิปการเต้นของทีมสตรีทแดนซ์ที่แพร่กระจายเต็มโซเชียล ส่วนอีกครึ่งก็มาจากภาพวาดฝีมือเซียวจ้านที่ทุกคนต่างสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ไม่รู้ว่าโคจรมาเจอกันได้อย่างไร ยิ่งมีภาพถ่ายที่เห็นว่าเซียวจ้านเองก็ไปดูหวังอี้ป๋อเต้น เรื่องของทั้งคู่จึงยิ่งถูกพูดถึงในวงกว้าง

เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องเรียนชั้นม.4ของตนอย่างไม่สะทกสะท้านต่อสายตาที่จ้องมองอยู่รอบกาย ตั้งแต่วันงานวัฒนธรรมเขากระดิกตัวทำอะไรก็มีแต่คนสนใจเต็มไปหมด...

แต่แทนที่จะมัวมาสงสัยว่าเขากับเจ้าเหมียวรู้จักกันได้ยังไง ช่วยสนใจหาห้องหรือเป็นสปอนเซอร์ให้ทีมสตรีทแดนซ์ของเขาดีกว่าไหม?

ร่างสูงชะลูดเดินเข้าไปหาพวกรุ่นพี่ในทีม Fire Dragon ซึ่งนั่งคุยกันอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนตัวหนึ่งในลานระหว่างตึก ถึงจะมีแต่คนพูดถึงไปทั่วแต่ก็ยังไม่มีห้องเป็นของตัวเองเพราะพวกเขาไม่ใช่ชมรม เสียงเอะอ่ะโวยวายผสมกับเสียงเพลงฮิปฮอปดังเป็นเอกลักษณ์ เขาเดินเข้าไปในขณะที่พวกรุ่นพี่กำลังเถียงอะไรกันอยู่

“มีอะไรเหรอ?”  ใบหน้าหล่อเหลาก้มถามรุ่นพี่คนหนึ่ง

“นายมาก็ดีเลยอี้ป๋อ นี่ไง! งานแดนซ์คอนเทสของปีนี้ประกาศวันแข่งออกมาแล้ว!”   เขาชะโงกหน้าไปดูรูปโปรโมทงานที่ขึ้นอยู่ในหน้าจอมือถือของสักคนที่วางอยู่บนโต๊ะ งานแดนซ์คอนเทสถือเป็นงานใหญ่สำหรับสายเต้นอย่างพวกเขา

“ก็เลยกำลังคุยกันอยู่น่ะว่าจะเอาไงดี ทั้งเรื่องเพลงเรื่องท่า”   ใบหน้าหล่อเหลาพยักรับ ดูจากวันแข่งแล้วนับว่ายังมีเวลา


ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ดๆ...ติ๊ดๆๆ....


จู่ๆก็มีเสียงเตือนออกมาจากโทรศัพท์มือถือของใครบางคน  แล้วก็เป็นเจ๊ลิลลี่ที่ควักโทรศัพท์ออกมาปิดเสียงเตือนนั้น

“วันนี้เลิกประชุมแค่นี้แล้วกัน ฉันต้องไปซื้ออาหารกระต่าย”   รุ่นพี่สาวตัดบทง่ายๆ แต่ด้วยความที่ยังมีเวลาอีกมากจึงไม่มีใครคัดค้าน

“ว่าแต่...พวกนายมีใครว่างบ้าง?”   เจ๊ลิลลี่ถามมาอีกประโยคซึ่งคราวนี้ทุกคนต่างพร้อมใจกันหันหน้าหนีเพราะรู้ดีว่า “อาหารกระต่าย” ที่อิเจ๊จะไปซื้อนั้นไม่ใช่ถุงมุ้งมิ้งน่ารักแต่เป็นไซส์เท่ากระสอบข้าวสารเห็นจะได้ 

“ฉันเดี้ยงขนาดนี้ เธอคงไม่คิดจะใช้ฉันหรอกใช่ไหม?”   หยางเกอเกอเอาตัวรอดไปได้หนึ่งรายด้วยการโชว์แผลที่ยังไม่หายดีให้ดู  

“ครับแม่...กำลังจะกลับแล้วครับ ครับแล้วเจอกันครับ...”   สมาชิกที่เหลือต่างก็หาเรื่องมาแถกันได้ไวเหลือเกิน~ คนที่เสียเปรียบก็คือเด็กหนุ่มน้องเล็กซึ่งเป็นคนพูดน้อยอย่างเขานี่แหละ! 

“อี้ป๋อ...นายว่างสินะ~”   เจ๊ลิลลี่หันมาแสยะยิ้มให้...ถ้าเป็นรอยยิ้มหวานๆอ้อนๆอย่างของเจ้าเหมียวมันก็น่าทำให้อยู่หรอก...หน้าที่เหมือนปลาตายอยู่แล้วของเขายิ่งนิ่งค้างไปกันใหญ่

“ผมก็....”   บ้าเอ้ย! วันนี้เขาไม่มีเวรทำงานพิเศษซะด้วยเลยยิ่งนึกข้ออ้างไม่ออกไปกันใหญ่

“ไปช่วยฉันขนอาหารกระต่ายหน่อยก็แล้วกัน ป่ะ”   แล้วเขาก็โดนเจ๊ลิลลี่ลากไปโดยไร้ซึ่งความเห็นใจจนได้….









กระสอบอาหารกระต่ายถูกวางลงข้างๆกรงที่เรียงกันเป็นสิบ ร่างสูงชะลูดบิดกายไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้า มันต้องมีอย่างต่ำ 5 กิโลแน่ๆไอ้ถุงนี้!

“กระต่ายไปไหนหมดล่ะเจ้?”  เขามองกรงที่ว่างเปล่า จำได้ว่าตอนมาช่วยขนอาหารคราวที่แล้วยังมีเต็มทุกกรงอยู่เลย

“อยู่ที่สวน”   เจ๊ลิลลี่ตอบโดยไม่ได้หันมามองเขา รุ่นพี่สาวง่วนอยู่กับการขนของไปเก็บเขาจึงเดินเลาะผนังบ้านไปดูเอง มีก้อนสีขาวบ้าง ดำบ้าง น้ำตาลบ้างกระจายอยู่ในสวนซึ่งปูหญ้าเทียมและล้อมรั้วเรียบร้อย เจ้ากระต่ายทั้งหลายถูกปล่อยให้วิ่งเล่นอยู่ในนี้นี่เอง

เขาก้าวข้ามรั้วเข้าไปก่อนจะนั่งยองๆถ่ายรูปกระต่ายสีขาวตัวหนึ่งแล้วกดส่งไปให้ใครบางคน

“น่ารักไหม? ฟันมันเหมือนนายเลย555”   ติ๊ง!  เสียงตอบกลับดังแทบจะทันที เขาจึงก้มดูข้อความที่เจ้าเหมียวส่งมา

“นายอยู่ไหน?”   หื๋อ? เขานึกว่าจะส่งสติ๊กเกอร์พ่นไฟมาซะอีก

“บ้านเพื่อน”  ปลายนิ้วยาวพิมพ์ตอบกลับไป

“ขอไปดูกระต่ายหน่อยได้ไหม”  ที่แท้ก็สนใจกระต่ายนี่เอง...เขามองข้อความอย่างชั่งใจเพราะรู้ว่าเจ๊ลิลลี่น่าจะแอบปลื้มเจ้าเหมียวอยู่ เป็นไปได้เขาก็ไม่อยากเพิ่มคู่แข่งโดยไม่จำเป็น เขาจึงพิมพ์ตอบไปว่า

“ไม่ได้” 

“...”    ตอบกลับมาแค่นี้...งอนเหรอ? อ๊า~ 

“ก็ได้ๆ”   เขาถึงกับถอนหายใจ ไม่กี่วินาทีถัดมา เจ้าเหมียวก็ส่งสติ๊กเกอร์แมวยิ้มมาให้ 

“นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี XX นะ”  เขาพิมพ์บอกวิธีการเดินทางให้เจ้าเหมียวก่อนจะชะงักมือเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

“เจ้าเหมียว...นาย...นั่งรถไฟฟ้าเป็นใช่ไหม?”   อพาทเม้นต์ของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ ปกติเลยเดินเอา แล้วพอนึกถึงสกิลการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาของเจ้าเหมียวแล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่า

“เป็นมั้ง”   ว้อย~ เป็นมั้งนี่คืออะไร?!! 

“นายจะรออยู่ที่หน้าสถานีใช่ไหมเจ้าโฮ่ง แล้วเจอกัน”  จากนั้นเจ้าเหมียวก็เงียบไป...

เขาย้ายตัวเองมายืนรออยู่หน้าสถานีด้วยความกระวนกระวายใจ จะรอดไหมเนี่ย? เจ้าเหมียวนั่นอายุกี่ขวบกันแน่? แค่นั่งรถไฟฟ้าทำไมเขาต้องมาคอยลุ้นเหมือนกำลังฝึกให้ลูกน้อยหัดขึ้นรถไฟเองแบบนี้ด้วย?

ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองบริเวณประตูทางออกของสถานีรถไฟฟ้าเป็นระยะๆ...ทว่า...เจ้าเหมียวกลับไปปรากฏตัวอยู่ที่อีกฝั่งถนนหน้าสถานีแทน?

เจ้าเหมียววิ่งข้ามถนนมาหาเขาโดยมีรถลีมูซีนคันหนึ่งจอดอยู่เบื้องหลัง ร่างสูงยาวของไป๋หลี่จวินก้าวขาลงมาจากรถก่อนจะเดินด้วยมาดคุณชายมาหาเขาช้าๆ...เจ้าเหมียวให้เพื่อนในแก๊งเจ้าชายมาส่งเหรอ?

“พอดีเจอหมอนี่ระหว่างทางที่กำลังจะไปสถานีรถไฟ เลยถูกลากขึ้นรถมา บอกว่าอันตราย? แค่ขึ้นรถไฟเอง ทำไมฉันจะทำไม่ได้?”  เจ้าเหมียวทำหน้าไม่เข้าใจอย่างแท้จริง

“นายเองก็คิดว่าหมอนี่ไม่น่าจะทำได้เหมือนกันสินะถึงได้มารอด้วยท่าทางร้อนใจแบบนี้?”  ไป๋หลี่จวินหันมาพูดกับเขา  เขาจึงยกยิ้มมุมปากตอบกลับไปว่าคิดเหมือนกันไม่มีผิด

ไป๋หลี่จวินเดินตามเขากับเจ้าเหมียวมาด้วย เขาจึงไม่จำเป็นต้องถามว่าอีกฝ่ายจะไปด้วยไหม...แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ไป๋หลี่จวินยังมีบรรยากาศที่เป็นมิตรมากกว่าเฉินจงอีหลายเท่า ให้อยู่ด้วยก็ยังพอไหว

“นี่บ้านใคร? เพื่อนในทีมสตรีทแดนซ์ของนายเหรอ?”   เจ้าเหมียวถามขณะที่ก้าวเดิน

“บ้านเจ๊ลิลลี่...เอ่อ...ชื่อจริงอะไรหว่า...ไป่เหอ...ฉางไป่เหอ อ่าใช่ชื่อนั้นแหละ...ฉันโดนให้มาแบกกระสอบอาหารกระต่ายน่ะ”   ใบหน้ามนพยักหงึกๆในจังหวะที่เขาเปิดประตูรั้วบ้านพอดี อันที่จริงเขาบอกเจ๊ลิลลี่เอาไว้แล้วว่าจะมีเพื่อนมาขอดูกระต่ายหน่อย แต่เขาไม่ได้บอกว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใคร เพราะงั้นเมื่อเขาเดินผ่านรั้วบ้านเข้าไป เจ๊ลิลลี่ที่กำลังกวาดหญ้าอยู่ก็ถึงกับทำไม้กวาดร่วงจากมือ

“รบกวนหน่อยนะ”  เจ้าเหมียวหันไปพยักหน้าให้หญิงสาวตามมารยาท

“อะ อื้ม”   รุ่นพี่สาวรีบคว้าไม้กวาดขึ้นมาถือแก้เขิน ก่อนจะขยับตัวมากระทุ้งข้อศอกใส่เขา

“หวังอี้ป๋อ! ทำไมนายไม่บอกฉันก่อนว่าคนที่จะมาคือเซียวจ้านกับไป๋หลี่จวิน!  เจ๊ลิลลี่ตะคอกแบบกระซิบกระซาบ

“คนที่จะมาคือเซียวจ้าน แต่ไป๋หลี่จวินนั่นติดมาเฉยๆ”   เขาตอบหน้าตาย สายตาก็มองตามเจ้าเหมียวที่เดินไปเกาะขอบสวนมองก้อนปุกปุยด้วยดวงตาเป็นประกาย

“นั่นแหละ!   เจ๊ลิลลี่ยังไม่เลิกโวย  เขาเลิกสนใจหญิงสาวแล้วเดินไปหาเจ้าเหมียว มือใหญ่จับต้นแขนผอมบางก่อนจะดึงให้เดินเข้าไปในสวนหญ้าเทียมด้วยกัน เขานั่งยองๆลงไปก่อนจะหยิบกระต่ายสีขาวขนฟูตัวหนึ่งขึ้นมา เจ้าเหมียวนั่งคุกเข่าลงข้างๆ มือบางดูเก้ๆกังๆไม่รู้จะจับดีไหม เขาเลยยื่นกระต่ายตัวนั้นให้

เจ้าเหมียวค่อยๆแตะ ค่อยๆรับกระต่ายสีขาวเข้าไปไว้ในอ้อมแขนอย่างเบามือ  “นิ่มจัง”  ใบหน้ามนก้มลงมองขนฟูฟ่องก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้เขา กระต่ายพวกนี้มันก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่เจ้ากระต่ายเซียวจ้านนี่ดันน่ารักกว่าหลายเท่าเลยแหะ

รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าเขาในขณะที่มองเจ้าเหมียวอุ้มกระต่ายด้วยสีหน้ามีความสุข  “ขอถ่ายรูปได้ไหม?”  เจ้าเหมียวหันไปถามเจ๊ลิลลี่ที่ยืนมองตาไม่กระพริบ

“อะ อื้ม ตามสบาย...”    สาวห้าวประจำทีม Fire Dragon หลบสายตาด้วยท่าทางเขินๆ

“เจ้จะไม่เอาน้ำมาเลี้ยงแขกหน่อยเหรอ? พวกนี้เป็นถึงเจ้าชายเชียวนะ”   เขาพูดขัดบรรยากาศด้วยเสียงราบเรียบทำให้รุ่นพี่สาวเพิ่งนึกขึ้นได้ เจ๊ลิลลี่จึงเดินเข้าครัวไป

เขาหันมามองเจ้าเหมียวที่กำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปกระต่าย เขาจึงปล่อยให้อีกฝ่ายเล่นกับกระต่ายไป ร่างสูงชะลูดย้ายตัวเองไปนั่งที่โต๊ะไม้ข้างสวนแทน มือใหญ่แอบส่องโทรศัพท์ไปทางคนที่กำลังถ่ายรูปกระต่ายก่อนจะกดชัตเตอร์ เสียงแชะดังเบาๆในขณะที่หางตาก็รู้สึกว่ามีเงาใครบางคนนั่งลงมาที่ฝั่งตรงข้าม

ไป๋หลี่จวินนั่นเอง...

ปกติเขาก็เป็นคนไม่ค่อยพูดค่อยจากับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว เพราะงั้นคนที่เปิดบทสนทนาก่อนจึงไม่ใช่เขา

“หายากนะที่เสี่ยวจ้านจะยอมทำความรู้จักกับคนธรรมดา”   เขาเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าคมคาย เขาไม่รู้จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายพูดกับเขาแบบนี้...จะดูถูก? หรือจะกีดกันเขาไม่ให้เข้าใกล้เจ้าเหมียว? แต่ประโยคแรกที่คุยกันก็ตรงเข้าประเด็นทันทีนี่สมกับที่เป็นแก๊งเจ้าชาย...ไม่คิดจะเห็นอกเห็นใจหรือเกรงใจใครเลยจริงๆ! ก็ดี เขาเองก็ชอบทำอะไรตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมเหมือนกัน  เขาจึงตวัดดวงตาเย็นชาขึ้นมองไป๋หลี่จวิน

“หึ...อย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิ”   แต่ใบหน้าที่หล่อระดับไอดอลเกาหลีนั่นกลับหัวเราะในลำคอ

“ไม่ใช่ว่าเสี่ยวจ้านเย่อหยิ่ง แล้วฉันก็ไม่ได้ดูถูกนายด้วย”  แล้วสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาก็มีแต่จะทำให้เขางงหนักยิ่งกว่าเดิม ถ้างั้นต้องการอะไรกันแน่?

“ฉันอยู่ข้างเขาเสมอและฉันก็แค่อยากจะเสนอทางที่จะทำให้เขาเจ็บน้อยที่สุด”   ไป๋หลี่จวินใช้ดวงตาคมกริบคู่นั้นมองเขา ถ้าเขาไม่ใช่หวังอี้ป๋อก็คงจะกลัวหงอไปแล้ว

“นายอาจจะมั่นใจว่านายดูแลเขาได้...แต่ว่า...ตอนนี้...นายยังไม่รู้ว่าจะต้องสู้กับใคร...”   ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่อารมณ์แต่ทุกคำพูดของไป๋หลี่จวินกลับหนักแน่นมากจนเขาต้องฟัง

“ฉันเตือนนายไว้ก่อนแล้วกัน...เลิกตอนนี้น่าจะยังทัน...ที่บ้านของหมอนั่น...แม่ของเสี่ยวจ้านไม่ใช่คนที่จะยอมยกหมอนั่นให้ใคร ต่อให้นายจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายที่ดีพร้อมขนาดไหน...นายก็อาจจะถูกทำให้หายไปจากโลกนี้เลยก็ได้”  เขานิ่งค้างไปกับสิ่งที่ได้ยินเพราะตอนแรกเขานึกว่าไป๋หลี่จวินจะพูดถึงเฉินจงอี แต่กลับกลายเป็นแม่ของเจ้าเหมียวแทน...แม่ของเจ้าเหมียวงั้นเหรอ?...เขาเพิ่งเคยได้ยินใครพูดถึงแม่ของเจ้าเหมียวเป็นครั้งแรก เพราะเจ้าเหมียวเองก็ไม่เคยพูดถึงแม่หรือเรื่องที่บ้านให้ฟังสักครั้ง...

ว่าแต่...ไป๋หลี่จวินมองออกสินะ ว่าเขากับเจ้าเหมียวมีความสัมพันธ์กันแบบไหน

เขานิ่งเงียบโดยไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ เรื่องของเขากับเจ้าเหมียวไม่จำเป็นต้องให้ใครมาออกความเห็น มันเป็นแค่เรื่องของเราสองคนเท่านั้น

“เจ้าโฮ่ง มานี่หน่อย!”  เสียงเรียกจากเจ้าเหมียวทำให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลง เขาหันไปมองก่อนจะลุกไปหาคนที่ยังขลุกอยู่กับฝูงกระต่าย ทิ้งไป๋หลี่จวินไว้ที่ม้านั่งตามลำพัง

“เจ้าโฮ่ง....”   ริมฝีปากของเด็กสาวพึมพำเบาๆในขณะที่ถือถาดใส่ขวดน้ำเข้ามาพอดี...เมื่อกี้เซียวจ้านเรียกอี้ป๋อว่า “เจ้าโฮ่ง” สินะ? ในหัวของเธอกำลังหวนนึกถึงช่อดอกเรพซี้ดช่อนั้น...มันเป็นดอกไม้เพียงช่อเดียวที่หวังอี้ป๋อเก็บกลับไปท่ามกลางดอกไม้สวยๆมากมายของแฟนคลับ...ที่แท้...ดอกไม้ช่อนั้นก็เป็นของเซียวจ้านนี่เอง...

ดวงตาของฉางไป่เหอจ้องมองภาพของคนสองคนที่ยิ้มที่หัวเราะให้กันอยู่ในสวน...คนหนึ่งถูกบังคับให้อุ้มกระต่าย อีกคนหนึ่งก็ถ่ายรูป...เธอไม่เคยเห็นหวังอี้ป๋อยิ้มง่ายแบบนี้มาก่อน ยิ่งเซียวจ้านที่ไม่เหลือมาดเจ้าชายแต่กลายเป็นเด็กหนุ่มน่ารักๆคนหนึ่งเธอยิ่งไม่เคยเห็น...


เพราะเค้าเป็นของผมไงเจ้


จู่ๆคำพูดล้อเล่นของหวังอี้ป๋อก็ลอยวนเวียนอยู่ในหัว

ล้อเล่น...แน่เหรอ?
 


ในขณะที่เด็กสาวเจ้าของบ้านกำลังยืนมองภาพในสวนด้วยสายตาสับสน คนอีกคนหนึ่งก็กำลังลอบสังเกตเด็กสาวอยู่

ดวงตาคมกริบของไป๋หลี่จวินไม่ปล่อยทุกรายละเอียดให้ผ่านไป ตอนนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กสาวที่ใกล้ชิดหวังอี้ป๋อที่สุดคนนี้กำลังแอบชอบใครอยู่กันแน่...ระหว่างเซียวจ้านเพื่อนของเขาหรือหวังอี้ป๋อ...

เขาอยู่ข้างเซียวจ้านเสมอ ไม่ว่าเซียวจ้านจะเลือกอะไรเขาก็พร้อมจะสนับสนุน...เพียงแต่...เขาต้องมั่นใจว่าสิ่งที่เซียวจ้านเลือกจะต้องเป็นของหมอนั่นคนเดียว...ถ้าไม่ใช่...เขาก็พร้อมจะกำจัดเนื้อร้ายนั่นออกไปจากร่างกายของเพื่อนเขา









“จริงๆถ้านายอยากดูกระต่ายตัวเป็นๆนายบอกฉันก็ได้นี่เสี่ยวจ้าน”   ไป๋หลี่จวินพูดในขณะที่เดินกลับออกมาจากบ้านเจ๊ลิลลี่ ไฟข้างถนนค่อยๆติดขึ้นช้าๆบ่งบอกว่าเป็นเวลาพลบค่ำพอดี

“นายจะได้ให้แม่นายสั่งภาคเกษตรเพาะเลี้ยงกระต่ายเต็มคอกหมูอีกงั้นสิ?”   เจ้าเหมียวหันไปหรี่ตาใส่เพื่อนสนิท

“ไม่ดีเหรอ?”   ไป๋หลี่จวินถามกลับด้วยใบหน้าราวกับไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นเรื่องเดือดร้อนตรงไหน

“ไม่ดี!   เจ้าเหมียวชักหน้าหงิกใส่

“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวฉันไปส่ง”  พวกเขาเดินมาถึงรถลีมูซีนที่จอดรออยู่หน้าสถานี เมื่อคนขับรถเห็นคุณชายของตนก็รีบลงมาเปิดประตูรถให้

“ไม่ต้องหรอก ฉันจะขึ้นรถไฟฟ้ากลับกับหมอนี่”   เจ้าเหมียวชี้มาที่เขาด้วยดวงตาเป็นประกายและไป๋หลี่จวินก็รู้ว่าเพื่อนของตนกำลังนึกสนุกอะไรอยู่จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา

“.....จริงๆเลยนายเนี่ย”

“ฝากพาไปส่งให้ถึงบ้านด้วยล่ะ”   คุณชายไป๋หันมาพูดฝากฝังกับเขา  เจ้าเหมียวจึงชักหน้าหงิกใส่อีกรอบ

“ฉันเป็นเด็กสามขวบรึไง? กลับไปเลยไป”  

“นายนี่ก็ถูกเพื่อนสปอยด์ไม่ใช่น้อยเลยนะเจ้าเหมียว”   เขาพาคนที่ยังทำแก้มป่องเดินเข้าไปในสถานีรถไฟ

“แหงละ ก็เจ้าพวกนั้นเป็นทาสของฉันนี่”   ....แมว...คงจะรู้สึกแบบนี้กับเจ้าของที่เอ็นดูมันสินะ...

“เอาบัตรนี่ แตะลงไปตรงแป้นที่มีตัว IC ตรงนั้นเห็นไหม?”  มือใหญ่ส่งตั๋วรถไฟให้เจ้าเหมียวพร้อมกับชี้ให้อีกฝ่ายดูตอนที่คนอื่นเดินผ่านที่กั้นเข้าไป

“อื้อ”   เห็นใบหน้ามนดูตั้งอกตั้งใจขนาดนี้แล้วก็นึกเอ็นดูขึ้นมา

“แล้วพอประตูมันเปิดนายก็เดินเข้าไป อย่าให้มันหนีบเอาได้ล่ะ”

“มันจะหนีบด้วยเหรอ? มันไม่เสี่ยงชีวิตไปหน่อยเหรอ?”  เขาแทบจะหลุดหัวเราะออกมา

“ฉันก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีคนถึงตายเพราะโดนที่กั้นประตูรถไฟฟ้าหนีบเอานะ? ดูฉัน แล้วก็ทำตาม”

“อื้อ”   ในที่สุดเจ้าเหมียวก็รอดชีวิตจากเครื่องตรวจตั๋วของสถานีรถไฟมาได้โดยสวัสดิภาพ เขายืนมองใบหน้าเลิ่กลั่กนั่นด้วยความเอ็นดูก่อนจะพาลงไปชั้นชานชลา

เวลาหลังเลิกงานแบบนี้คนแน่นเกือบทุกสถานีอยู่แล้ว เพราะงั้นจึงไม่แปลกใจเลยหากขึ้นไปบนรถไฟแล้วที่นั่งจะเต็มหมด เขาจับต้นแขนเจ้าเหมียวก่อนจะดันให้ไปยืนหันหลังชนผนังก่อนที่เขาจะเอาตัวขวางไว้อีกที มือใหญ่เอื้อมไปจับห่วงก่อนจะชี้ให้เจ้าเหมียวจับราวด้านข้างเอาไว้ แต่ถึงแม้ราวด้านข้างจะมั่นคงกว่าแต่กับคนที่ไม่เคยยืนบนรถไฟจะทรงตัวไม่ค่อยอยู่ก็คงไม่แปลก

พอรถไฟเริ่มวิ่งเจ้าเหมียวก็เริ่มเซไปเซมาจนเขาต้องเอื้อมมือไปจับไว้อยู่หลายครั้ง ทางตรงยังไม่เท่าไหร่ยังพอยืนเองได้ แต่พอรถไฟเลี้ยวขึ้นมาเท่านั้นแหละ

“อ่ะ”   แรงเหวี่ยงทำให้เจ้าเหมียวเซมาข้างหน้า ถึงฝ่ามือบางจะยันหน้าอกของเขาได้ทันแต่ด้วยความที่เราสูงเท่าๆกัน ใบหน้าจึงอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ...

ทั้งเขาทั้งเจ้าเหมียวต่างนิ่งค้างมองริมฝีปากของอีกฝ่ายที่แทบจะแตะกันให้ได้ หัวใจเต้นโครมครามจนคิดว่ายังดีที่มีเสียงรถไฟมากลบเสียงของมันไว้...บอกตามตรง...มันยากสำหรับเขามากที่จะต้องฝืนแรงดึงดูดจากริมฝีปากสีสดที่อยู่ตรงหน้า...แค่ขยับอีกนิด...อีกแค่นิดเดียว...

“สถานี YY…สถานี YY...”   เสียงประกาศชื่อสถานีที่เขาต้องลงทำให้เราทั้งคู่ต่างผงะออกจากกัน เจ้าเหมียวเองก็เหมือนจะเขินจนทำอะไรไม่ถูก เขาจึงเอื้อมมือไปดึงแขนบางลงจากรถไฟ

ถึงแม้ตลอดทางที่เดินกลับอพาทเม้นต์จะเต็มไปด้วยความเงียบ แต่เสียงหัวใจกลับชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไร

เขาว่า...ทั้งเขาทั้งเจ้าเหมียวต่างก็รู้ตัวดี...










เช้าวันเสาร์อันสงบสุขวันหนึ่งซึ่งหวังอี้ป๋อควรจะได้นอนหลับอย่างสบายอารมณ์กลับต้องลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงเตือนวีแชทที่ดังรัวๆจนเขานอนต่อไม่ได้ มือใหญ่ควานหาโทรศัพท์ทั้งที่ยังสลึมสลือ

“ช่วยด้วย!”   สติ๊กเกอร์แมวร้องให้ช่วยกว่าครึ่งร้อยถูกส่งมาจากเจ้าเหมียวทำให้เขาตื่นเต็มตา ร่างสูงชะลูดเด้งขึ้นมาจากเตียงก่อนจะหันซ้ายแลขวา...เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเหมียว?...เขาสะบัดผ้าห่มออกจากตัว ว่าจะหยิบคีย์การ์ดแต่ไม่ทันใจเลยวิ่งออกทางระเบียงหลังแล้วโดนข้ามรั้วมันทั้งอย่างงั้น

“เจ้าเหมียว?!”   ปากร้องเรียกตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตู และเมื่อเขาก้าวขาเข้ามาในห้องได้...

“เหวอ! เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”   เสียงตะโกนโหวกเหวกของเหมียวก็ดังมาจากทางห้องครัวเขาเลยรีบวิ่งไปดู

แต่แทนที่เขาจะได้เห็นฉากสยองขวัญสั่นประสาทสมกับที่อีกฝ่ายร้องเสียดังลั่น เขากลับเห็นปลาตัวหนึ่งกระโดดไปทั่วห้องโดยมีเจ้าเหมียววิ่งไล่จับมันจนพื้นเละเทะไปหมด...เขายืนมองอย่างสลด...นี่ผมตื่นมาทำอะไรแต่เช้ากันครับ...

“ทำอะไรของนายเนี่ยเจ้าเหมียว?”   เป็นแมวประสาอะไรจับปลาไม่ได้กันฟ๊ะ  มือใหญ่เลยคว้าปลาตัวอ้วนที่ดิ้นพั่บๆอยู่ที่พื้นขึ้นมา 

“ฉันจะทำกับข้าว แต่ปลานี่ไม่ยอมตาย”   ใบหน้ามนมีหน้าหันมาฟ้อง

“นายก็เลยวิ่งไล่จับกับมัน ว่างั้น?”   เขาวางปลาลงบนเขียงก่อนจะใช้ปังตอสับลงไป ความสงบจึงกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง...ทำไมเขาต้องตื่นมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย~~~ 

“คราวหลังก็ให้ที่ร้านเค้าจัดการให้ก่อนสิ”  เขาถอนหายใจ 

“ว่าแต่นายทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ?”   เขาหันไปถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย รู้จักกันมาสักพักแล้วแม้แต่จานเขายังไม่เคยเห็นเจ้าเหมียวนี่ล้างเลย

“ไม่เป็น”   เจ้าเหมียวตอบหน้าตาเฉย

“อ้าว?”  

“ก็เลยจะฝึกทำไง”  

“อ่อ...”   เขาเหลือบมองแทบเล็ตที่เปิดค้างหน้าวิธีทำปลาราดพริกก่อนจะไล่มองไปบนโต๊ะเตรียมอาหาร บนนั้นมีผักที่หั่นเอาไว้อย่างสวยงามสมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะจริงๆ...แต่ก็นั่นแหละ คนที่วาดรูปเก่งไม่จำเป็นต้องทำอาหารอร่อยสักหน่อย เขาจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมาก 

“หมดธุระของนายแล้ว กลับไปได้แล้วๆ”   จิกหัวใช้เสร็จก็ไล่เลยเร๊อะ เจ้าเหมียววายร้ายเอ้ย 

“ไม่กลับ”  เขาตอบไปสั้นๆก่อนจะเดินไปล้มตัวลงบนเตียงของเจ้าเหมียว นอนมันที่นี่แหละ อยากปลุกเขาดีนัก...

แล้วสักพัก...เขาก็หลับไปจริงๆ... 





เปลือกตาหนักๆเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับกลิ่นไหม้ที่ลอยมาแตะจมูก...กลิ่นเหมือน...ปลาไหม้?

สองแขนยันตัวเองขึ้นมาจากเตียงนุ่มเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเจ้าเหมียวกำลังสร้างหายนะอะไรให้ห้องครัวตัวเองอยู่ เขาเดินออกจากห้องนอนโดยไม่สนใจผมที่ชี้โด่เด่ ดวงตาที่เปิดเพียงครึ่งเดียวมองเห็นเจ้าเหมียวกำลังจัดจานอยู่ที่โต๊ะอาหาร

“เจ้าโฮ่ง? มานี่สิ!”   เมื่อเจ้าเหมียวหันมาเห็นเขาก็รีบมาลากเขาไปนั่งลงบนเก้าอี้

“ฉันทำให้นาย กินสิ”   ห๋า? เขามองรอยยิ้มหวานของเจ้าเหมียวด้วยความมึนงง สงสัยว่าเขาจะยังไม่ค่อยตื่นดี...ว่าแต่ปลานี่มันไหม้ไปครึ่งตัวเลยนี่? อีกครึ่งนึงสุกหรือเปล่าเขาก็ไม่แน่ใจ? เพราะแบบนี้สินะถึงได้บอกว่าทำให้เขา! เจ้าเหมียวตัวดี!

“กินเดี๋ยวนี้”   เขาโดนบังคับให้กินปลาที่ดูน่ากลัวนั่น...รู้งี้หนีกลับห้องเสียตั้งแต่ตอนที่ยังมีโอกาสก็ดีหรอก จะมานึกเสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะเจ้าเหมียวจับเขามัดไว้กับเก้าอี้ เขาคงกระโดดข้ามรั้วทั้งๆอย่างนี้ไม่ได้ เขาจึงจำใจต้องตักปลานั่นเข้าปาก

“อร่อยใช่ไหม?”  ช้าก่อน ปกติเค้าต้องถามว่าเป็นไงบ้าง? ด้วยสีหน้ากังวลอะไรแบบนี้สิ แต่เจ้าเหมียวนี่กลับถามด้วยใบหน้ามั่นใจ  เนื้อปลามันไหม้จนขมตัดกับน้ำราดที่หวานราวกับใส่น้ำตาลลงไปทั้งไร่...

“มันก็ไม่ได้แย่หรอก แต่ไม่อร่อย”   เขาบอกไปตามตรง เจ้าเหมียวเกาคางอย่างไม่สลด 

“งั้นคราวหน้าต้องลองลดไฟลงหน่อย”   ยังจะทำอีกเร๊อะ?

“นายไปกินที่ร้านเฮียดีไหม?”   ชีวิตเขาจะได้ปลอดภัยด้วย 

“ไม่ละ ฉันจะฝึกทำอาหารและนายต้องเป็นคนกิน”   เขามาเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย~

“...จะฆ่ากันใช่ไหม นายจงใจจะฆ่าฉันใช่หรือเปล่าเจ้าเหมียวตัวดี”   เจ้าเหมียวยักไหล่อย่างไม่สนใจชีวิตน้อยๆที่สั้นลงเรื่อยๆของคุณหวังอี้ป๋อคนนี้เลย  เขาก้มหน้าน้ำตาตกในจึงเหลือบไปเห็นแครอทรูปหัวใจที่อยู่ในจาน...

เอาเถอะ ถึงรสชาติจะยังใช้ไม่ได้แต่ความตั้งใจเขาก็ให้ผ่านละนะ

“รูปนั่น...”   เขาละจากปลาน่าสยดสยองในจานไปมองเฟรมผ้าใบซึ่งมีรูปสเก็ตด้วยเส้นบางๆเอาไว้ เจ้าเหมียวไม่ตอบอะไรแล้วเดินไปเก็บห้องครัวเฉย

เขานึกว่ารูปของเขาที่เจ้าเหมียววาดไปโชว์ที่งานวัฒนธรรมจะเป็นรูปเฉพาะกิจ วาดแค่รูปเดียวก็จบก็พอแล้ว...เลยไม่คิดว่าจะได้เห็นตัวเองอยู่บนผืนผ้าใบอีกครั้ง...

รูปใหม่ที่เจ้าเหมียวกำลังวาด คือรูปของเขาที่กำลังอุ้มกระต่ายตัวหนึ่งอยู่  น่าจะเป็นภาพตอนที่ไปบ้านเจ๊ลิลลี่ด้วยกัน...

เขาหันไปมองแผ่นหลังโปร่งบางที่กำลังล้างจานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก...

แล้วแบบนี้จะให้เลิกง่ายๆอย่างที่ไป๋หลี่จวินขอได้ยังไง...









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




ที่จริงแล้วจ้านเกอเป็นผู้ชายที่ทำอาหารเก่งมากนะคะ เย็บปักถักร้อย งานบ้านงานเรือนนี่ทำเป็นหมด~ ว้อยยยย อยากมีจ้านเกอเป็นของตัวเองจังค่ะ >/////< ผู้ชายอัลไล น่ารักไปหมด >////< สวยก็สวย ดูเพลินเจริญตามาก ถึงว่า~ คนน้องนี่จ้องพี่ตลอดดดด

รีบปั่นตอนต่อไป แล้วเจอกันตอนหน้านะค้า~



1 ความคิดเห็น: