อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] JUNE : 04


อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ เซียวจ้าน]  JUNE : 04

: อี้จ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Warmhearted Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
          




ติ๊ด...ติ๊ดๆๆ.....ติ๊ดๆๆ......ติ๊ดๆๆ......ติ๊ดๆๆ


เสียงนาฬิกาปลุกทำให้เปลือกตาของหวังอี้ป๋อค่อยๆเปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงมันดังมาจากทางไหน เขาเห็นเพียงแค่คนที่ยังหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขน...อือ...เมื่อคืนเขานอนที่ห้องเจ้าเหมียวนี่นะ

“เจ้าเหมียว...เช้าแล้ว...ตื่นได้แล้ว....”   เขายกมือขึ้นเขย่าอีกฝ่ายทั้งๆที่ตาตัวเองก็จะปิดอยู่รอมร่อ

“อือ....ขออีก...ห้านาที......”   เจ้าเหมียวงึมงำๆก่อนจะนิ่งไป อ่า...เขาเองก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน สติค่อยๆลอยจากไปอีกครั้ง...


ติ๊ด...ติ๊ดๆๆ.....ติ๊ดๆๆ......ติ๊ดๆๆ......ติ๊ดๆๆ


เสียงนาฬิกาปลุกทำให้เปลือกตาของเซียวจ้านค่อยๆเปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงมันดังมาจากทางไหน เขาเห็นเพียงแผ่นอกที่แก้มเขาแนบอยู่ขยับขึ้นลงเบาๆ...อือ...เมื่อคืนเจ้าโฮ่งนอนที่ห้องเขานี่นะ

“เจ้าโฮ่ง...เช้าแล้ว...ตื่นได้แล้ว....”   เขายกมือขึ้นเขย่าอีกฝ่ายทั้งๆที่ตาตัวเองก็จะปิดอยู่รอมร่อ

“อือ....ขอ...ห้านาที......”   เจ้าโฮ่งงึมงำๆก่อนจะนิ่งไป อ่า...เขาเองก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน สติค่อยๆลอยจากไปอีกครั้ง...


ติ๊ด...ติ๊ดๆๆ.....ติ๊ดๆๆ......ติ๊ดๆๆ......ติ๊ดๆๆ


เสียงนาฬิกาปลุกทำให้เปลือกตาของเซียวจ้านค่อยๆเปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงมันดังมาจากทางไหน แต่เขาจะปล่อยมันดังต่อไปอีกไม่ได้แล้ว หนวกหูชะมัด!

มือบางปัดป่ายควานหาโทรศัพท์มือถือ เหมือนเสียงจะดังอยู่อีกฝั่ง แขนผอมบางจึงยันตัวเองขึ้นก่อนพยายามปีนข้ามลำตัวของอีกคนไป แต่ตอนเช้านี่เขาไม่สู้จริงๆปีนได้ครึ่งทางก็นอนพาดค้างอยู่บนตัวหวังอี้ป๋อแล้วหลับต่อไปทั้งอย่างงั้น

คนข้างใต้คงรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น หวังอี้ป๋อจึงเปิดเปลือกตาน้อยๆขึ้นมาดู  “เจ้าเหมียว...”  เสียงงัวเงียเรียกอีกฝ่าย คนที่หลับพาดอยู่จึงพยายามจะโงหัวขึ้นมา

"มือถือฉัน...นาฬิกาปลุก...ดัง หนวกหู ไม่รู้อยู่ไหน..."   

แต่แทนที่หวังอี้ป๋อจะช่วยหากลับอือๆอาๆแล้วต่อด้วยคำว่า  "หาเจอแล้วปลุกด้วยนะจากนั้นก็พลิกตัวซุกหน้าไว้กับหน้าท้องของคนที่พาดอยู่ข้างบน...

สภาพบนเตียงตอนนี้เหมือนมีแมวสองตัวนอนขดเป็นก้อนกลมๆ พอเสียงนาฬิกาปลุกเงียบไป เซียวจ้านก็ไม่หาต่อแต่หลับไปทั้งอย่างงั้น...

จนกระทั่งแสงแดดส่องจนแยงตา หวังอี้ป๋อถึงได้ตื่นขึ้นมา มือใหญ่ยกขึ้นบังแสงก่อนจะพยายามเรียกสติ ใบหน้าสลึมสลือเหลือบไปเห็นเซียวจ้านนอนพาดอยู่บนตัวเขาก็ถึงกับอมยิ้ม ถึงว่าทำไมรู้สึกหนักๆ ที่แท้เจ้าเหมียวมานอนทับเขาอยู่นี่เอง ว่าแต่นี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย?


ตรู๊ด....ตรู๊ด......ตรู๊ด..........


ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังเขาเลยนึกว่าเป็นนาฬิกาปลุกของเจ้าเหมียว ใบหน้างัวเงียหันไปหันมาก็เห็นมือถือถูกทิ้งอยู่ปลายเตียงเลยหยิบขึ้นมาตั้งใจว่าจะกดปิดนาฬิกาแต่กลายเป็นว่าไปกดรับสายเรียกเข้าแทน

"เสี่ยวจ้าน? นายตื่นรึยังเนี่ย? จะเข้าเรียนแล้วนะ"  เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังออกมาจากโทรศัพท์ เขาจึงมองหน้าจอมือถืองงๆ

"อ้าว? สายเข้าหรอกเหรอ?"   เขาพูดพึมพำ อีกฝ่ายเลยถามกลับมาด้วยเสียงดุดัน

"นายเป็นใคร? เอาโทรศัพท์เซียวจ้านไปได้ยังไง?"   น้ำเสียงหาเรื่องเต็มที่ ถ้าอยู่ตรงนี้คงกระชากคอเขาไปถามแล้วมั้ง?

"เปล่าๆ ไม่ได้เอาไป..."   เขาพยายามตั้งสติมาตอบ ทว่าเจ้าเหมียวก็ยื่นมือมาหยิบโทรศัพท์ไป

"อือ...หนวกหู…"   ดวงตากลมโตเปิดขึ้นมานิดหน่อยเพื่อหาทางปิดโทรศัพท์

"เสี่ยวจ้าน? นายอยู่ตรงนั้นเหรอ? แล้วหมอนั่นเป็นใคร? นี่! อย่าเพิ่งวาง-"

แล้วก็เป็นเจ้าเหมียวที่ตัดสายไป เขาจึงเห็นชื่อคนที่โทรมา ถึงจะเบลอๆแต่นั่นเป็นชื่อเฉินจงอีแน่ๆ จากนั่นเขาจึงเห็นเวลาที่หน้าจอมือถือ….แปดโมงสิบห้า...ห๊ะ?!

"เจ้าเหมียว ลุกๆ! แปดโมงกว่าแล้ว! ปกติแม่เขาจะมาลากออกจากเตียงทุกเช้าทำให้ไปโรงเรียนทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปดตลอด แต่ดูจากสภาพเจ้าเหมียวที่ยังไม่ยอมลืมตาคงต้องบอกว่าพวกเขาคงเป็นคู่ที่บรรลัยทุกๆเช้าแน่ เขาดึงเจ้าเหมียวให้ลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ตัวเองก็ยังงัวเงีย... เขา...คงต้องหาทางรับมือกับเรื่องนี้!

นาฬิกาปลุกที่พักไปทุกๆสิบนาทีดังขึ้นมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ในที่สุดเจ้าเหมียวก็เริ่มได้สติ

"กี่โมง…..ห๊ะ? แปดโมงสิบแปด?!"  ดวงตากลมโตขยายใหญ่เกือบเท่าไข่ห่านก่อนที่มือบางจะหันมาเขย่าคอเขา  "ตื่นสิเจ้าโฮ่ง! สายแล้วนะ!"  เขาพยักหน้าให้ก่อนจะแยกย้ายกันวิ่งลงจากเตียง เจ้าเหมียววิ่งเข้าห้องน้ำหูตั้ง ส่วนเขาเองก็กระโดดข้ามรั้วกลับบ้านตัวเอง 

หลังจากวิ่งผ่านน้ำ ใส่เสื้อผ้าภายในห้านาที เขาก็วิ่งลงเจอกับเจ้าเหมียวที่หน้าอพาทเม้นต์พอดี ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองเวลาที่หน้าจอมือถือ แปดโมงครึ่งไปแล้ว ขืนเดินไปคงไม่ทันเช็คชื่อแน่ๆ เขาหันซ้ายหันขวาก่อนจะนึกขึ้นมาได้ สองขารีบวิ่งตามเจ้าเหมียวที่ออกเดินนำไปไกลก่อนจะคว้ามือขาวๆนั่นเอาไว้

“มานี่”   เขาบอกเบาๆจากนั้นจึงพาเจ้าเหมียววิ่งไปทางร้านอาหารที่เขาทำงานพิเศษอยู่ เขาทิ้งให้เจ้าเหมียวยืนงงอยู่หน้าร้านแป๊บนึงก่อนจะวิ่งออกมาพร้อมกุญแจรถ

เบาะมอเตอร์ไซค์สกูตเตอร์ที่ใช้ส่งอาหารของร้านถูกเปิดออกก่อนที่เขาจะหยิบหมวกกันน็อคออกมาสองอัน เขาสวมมันอันนึงก่อนจะสวมให้เจ้าเหมียวอันนึง ดูท่าทางที่ยังงงๆของเจ้าเหมียวแล้วเขาจึงจัดการคล้องสายคาดที่คางให้เรียบร้อย

“ขึ้นมา”   เขาสั่งเบาๆ เจ้าเหมียวที่เลิกงงแล้วกำลังจ้องสกูตเตอร์ของเขาราวกับเป็นของแปลก

“อย่าเพิ่งมองเลยน่า ขึ้นมาก่อน เดี๋ยวก็สายหรอก”   เออ ถึงตอนนี้จะสายไปแล้วก็เถอะ แต่ถ้ารีบไปเขาน่าจะยังเช็คชื่อทัน  มือใหญ่จึงดึงเจ้าเหมียวให้นั่งซ้อนข้างหลัง

“จะจับไหล่หรือจับเอวก็ได้ ไปละนะ!”   เขาบิดคันเร่งทำให้คนที่ยังลังเลไม่รู้จะเอามือไว้ตรงไหนต้องรีบตวัดมาจับเอวเขาไว้ เจ้าเหมียวโวยวายอยู่ข้างหลังแต่เขากลับรู้สึกขำจึงหัวเราะออกมา


สกูตเตอร์คันน้อยวิ่งลัดเลาะซอกซอยอย่างชำนาญ เจ้าเหมียวเลิกโวยวายแต่กลับกำลังตื่นเต้นแปลกๆ?

ถึงมันจะวิ่งไม่ได้ไวเท่าบิ๊กไบค์แต่ก็พาพวกเขามาถึงโรงเรียนได้ทันเวลาปิดประตูพอดี...ไม่สิ...จริงๆประตูน่ะปิดไปแล้ว แต่พอยามเห็นเป็นคุณชายเซียวเท่านั้นแหละ ประตูก็เปิดออกราวกับเป็นเรื่องปกติ...

เขาจูงรถมอเตอร์ไซค์เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในโรงเรียน  “นายมาสายอย่างงี้ทุกวันเลยหรือไง? ดูยามหน้าประตูจะคุ้นกับนายดีนะ?”   เขาเอ่ยถามเจ้าเหมียวที่เดินนำอยู่ข้างหน้า

“ไม่ทุกวันซักหน่อย แค่เกือบทุกวัน”   ยังไม่ยอมรับอีก...แต่เขาก็เข้าใจแหละนะว่าตอนเช้ามันลำบากขนาดไหน

เขาจอดรถไว้ที่เพิงจอดซึ่งมีทั้งจักรยานและมอเตอร์ไซค์เรียงเป็นแถว แล้วยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามาหาเขากับเจ้าเหมียวด้วยใบหน้าทะมึน

“เสี่ยวจ้าน เจ้าหมอนั่นเป็นใคร?”   เฉินจงอีหันไปถามเจ้าเหมียวเพราะมองไม่เห็นหน้าเขา แต่พอเขาถอดหมวกกันน็อคออกเท่านั้นแหละ

“นาย...หวังอี้ป๋อ?...”   เฉินจงอีอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาเป็นใคร แต่ร่างสูงใหญ่ก็ไม่คิดจะอ่อนข้อให้

“ทำไมนายถึงไปอยู่กับเซียวจ้านได้? นายทำอะไรเค้า? ตอบมา!”  สองมือของหมอนั่นหันมากระชากคอเสื้อเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาจะยกมือขึ้นมาปัดแต่เจ้าเหมียวก็เข้ามาแทรกพอดี

“จงอี จะเข้าเรียนแล้ว รีบไปกันเถอะ”   เซียวจ้านดึงเฉินจงอีออกไปพลางลอบพยักหน้าให้เขาก่อนจะรีบลากคนที่แทบจะวางมวยให้ได้นั่นไปทางอื่น

“ตกลงหมอนั่นทำอะไรนายหรือเปล่า? ฉันจะไปอัดมันให้เละเลย”   ทั้งสองคนเดินคุยกันไปเรื่อยๆ เฉินจงอียังหันมามองเขาตาเขียวเป็นระยะๆ

“ไม่มีอะไรหรอกน่า ฉันให้เขามาเป็นแบบวาดรูปให้ ไปได้แล้ว”   เขายืนมองสองคนที่เดินห่างออกไปจนลับสายตา มือยกขึ้นมาจับคอเสื้อตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง...ที่จริงเขาค่อนข้างชินแล้วเวลาที่ถูกแฟนหนุ่มของบรรดาสาวๆที่กรี๊ดเขาเข้ามาหาเรื่องหรือข่มขู่ทั้งๆที่เขาจำหน้าสาวๆพวกนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ เขายังมองมันเป็นเรื่องขำๆอยู่เลย

แต่นี่เป็นครั้งแรก...ที่เขาอยากจะโต้ตอบกลับไป

เจ้าเหมียวไม่ใช่ของนายซักหน่อยเฉินจงอี มีสิทธิ์อะไรมาหวงขนาดนี้!








เพราะแบบนั้นวันนี้ทั้งวันเขาจึงตกอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว จากปกติก็มีท่าทีเย็นชาอยู่แล้ว วันนี้จึงเหมือนมีไอเย็นๆแผ่ออกมาจากรอบตัวเขาจนแม้แต่เพื่อนในห้องก็ยังเข้าหน้าไม่ติด ขนาดจะซ้อมเต้นก็ยังไม่มีสมาธิจนทำเพื่อนในทีมสะดุดไปหลายรอบ ประกอบกับอาหยาง พี่ใหญ่ในทีมก็ไม่รู้หายไปไหน วันนี้พวกเขาจึงตัดสินใจเลิกซ้อมไวหน่อยเพื่อพักกันบ้าง

เขาเดินหน้าตายมาที่จอดมอเตอร์ไซค์เพื่อจะกลับบ้าน แต่แล้วเงาร่างที่เขาเห็นกลับทำให้อารมณ์ร้ายที่ปกคลุมเขาอยู่ทั้งวันกระจัดกระจายหายไปทันที

เจ้าเหมียวกำลังเดินวนๆเวียนๆอยู่รอบๆรถสกูตเตอร์ของเขา? และพออีกฝ่ายเห็นเขาเข้า ร่างโปร่งบางก็ขยับยืนตัวตรงพลางยิ้มหวานให้  เขาอมยิ้มน้อยๆก่อนจะถามออกไป

“จะเอาอะไร?”   เขาถามอย่างรู้ทัน

“ฉันจะขี่เจ้านี่กลับด้วย”   ใบหน้าหล่อเหลายิ้มพลางส่ายหน้า จริงๆเล้ยเจ้าเหมียวนี่...

เขาเดินไปที่สกูตเตอร์แล้วส่งหมวกกันน็อคให้ เจ้าเหมียวก็เอาไปใส่หัวไว้เฉยๆ

“คาดสายล็อคคางนี่ด้วยสิ”  แล้วก็ยื่นมือไปทำให้ ปลายนิ้วสัมผัสปลายคางมนอย่างไม่ได้ตั้งใจแต่นั่นก็ทำให้ใต้แผ่นอกซ้ายสั่นไหวแปลกๆ

“นายไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์เหรอ?”   เขาถามในขณะที่ขยับไปนั่งบนเบาะ เจ้าเหมียวส่ายหน้าแล้วนั่งตามลงมา คราวนี้สองมือจับไหล่ของเขาเอาไว้โดยไม่ต้องบอก

สกูตเตอร์วิ่งช้าๆกลับไปตามทางเดิม...ทั้งๆที่เขาก็กลับบ้านเหมือนทุกวัน ขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนที่เคยขี่ แต่ทำไมวันนี้หัวใจของเขามันพองโตแปลกๆนะ จะเป็นเพราะคนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังหรือเปล่า ที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป...











ก๊อก....


ก๊อก...


ก๊อกๆๆๆๆ....


เสียงก๊อกๆนี่มันช่างคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้น เพราะงั้นร่างสูงชะลูดจึงลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะตรงไปเปิดประตูระเบียงโดยไม่ต้องมองหาเลยว่าเสียงมันมาจากไหน หวังอี้ป๋อขยี้ตาขยี้หัวไปพร้อมๆกัน ฝ่าเท้าเตะเข้ากับก้อนกระดาษที่ร่วงเกลื่อนเต็มระเบียง...ฝีมือเจ้าเหมียวอีกแล้วแน่ๆ

“มีอะไร คนกำลังนอน...”   เขาลืมตามองอีกฝ่ายอย่างยากเย็น บ่ายวันอาทิตย์แท้ๆ จะให้เขานอนหลับพักผ่อนบ้างไม่ได้เลยหรือไงเจ้าเหมียวนี่

“พาไปนี่หน่อยสิ”   เจ้าเหมียวชูรูปในมือถือให้เขาดู เขาพยายามเพ่งแล้วเพ่งอีกแต่ก็ยังมองไม่เห็นว่ามันคือที่ไหน รู้แค่เป็นสวนดอกไม้สีเหลือง เขาเลยเดินกลับเข้าห้องเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือกับปากกา แล้วก็คว้าก้อนกระดาษที่เจ้าเหมียวปามานั่นแหละ เขียนแอดเดรสวีแชทของตัวเองแล้วก็ปากลับไป

“แอดซะ แล้วก็ส่งรูปมา”   เจ้าเหมียวก้มหน้าก้มตาพิมพ์อะไรลงไปในมือถือ ไม่กี่นาทีก็มีรูปส่งมาถึงเขา รู้สึกจะเป็นทุ่งดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ 

“มันต้องใช้รถนะ เดินไปไม่น่าไหว”   และแค่เขาบอกไปเท่านั้นแหละ ดวงตาคู่โตก็ส่องประกายระยิบวิบวับขึ้นมาทันที

“เอารถส่งของที่ร้านนายไปสิ”  หมายถึงมอเตอร์ไซค์สกูตเตอร์นั่นน่ะนะ? เจ้าเหมียวนี่ก็ประหลาดคน ความจริงแค่โทรบอกที่บ้านหรือบอกเฉินจงอีหรือบอกเพื่อนๆในแก๊งเจ้าชาย รถหรูราคาหลายสิบล้านก็พร้อมจะมาเกยถึงหน้าอพาทเม้นต์แท้ๆ แต่ดันอยากนั่งมอเตอร์ไซค์ไปกับเขาซะงั้น 

“ถ้างั้นก็เดี๋ยวลงไปเจอกันข้างล่าง ฉันล้างหน้าก่อน”   ถึงเขาจะพยักรับด้วยใบหน้าซังกะตายแต่ที่จริงแล้วเขาชอบใบหน้าที่ยิ้มเหมือนเด็กๆของเจ้าเหมียวนั่นตอนวิ่งกลับเข้าไปเตรียมตัวเป็นที่สุด...น่ารัก

ตอนที่เขาก้าวขาไวๆลงไปถึงปลายบันได เจ้าเหมียวก็มายืนรอเขาอยู่ที่หน้าอพาทเม้นต์แล้ว

“เจ้าเหมียว เอาโทรศัพท์มือถือของนายมาให้ฉัน”  และแค่เจอหน้ากันเขาก็พูดประโยคนั้นออกไปพร้อมกับแบมือ เจ้าเหมียวทำหน้างงแต่ก็ยอมหยิบโทรศัพท์ให้เขา เขาเซฟเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไปจากนั้นก็กดโทรออกจนสายเรียกเข้ามาดังที่มือถือของเขา แล้วจัดการเซฟเป็นชื่อ “เจ้าเหมียว” เสร็จสรรพ

“จะได้ไม่ต้องปาก้อนกระดาษ ฉันขี้เกียจกวาด  เอ้า จากนี้ก็โทรมาแล้วกัน”  เขาคืนมือถือให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินนำออกไป เขาไม่อยากให้เจ้าเหมียวเห็นว่าเขาเองก็กำลังเขิน

สกูตเตอร์คันน้อยค่อยๆวิ่งสู่ถนนใหญ่ เจ้าเหมียวดูท่าจะชอบสายลมที่เข้ามาปะทะ มือข้างหนึ่งจึงจับไหล่เขาไว้ส่วนอีกข้างก็กางออกไปรับสายลม

“แล้วนี่นายวาดรูปเสร็จแล้วเหรอ?”  เขาเอ่ยถามทั้งๆที่ยังมองตรงไปยังถนน พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ซึ่งมีงานวัฒนธรรมที่โรงเรียนและเจ้าเหมียวก็ต้องเอารูปนั้นไปจัดแสดงแล้ว

“เสร็จแล้วสิ ฉันซะอย่าง”  ปลายเสียงที่ดังอยู่ข้างหูเชิดขึ้นอย่างน่าหมั่นไส้

“ครับๆ”  จะสำนึกในบุญคุณคนป้อนข้าวป้อนน้ำอย่างเขาซักนิดก็ไม่มี

เขาขี่สกูตเตอร์ขึ้นเนินทำให้ขับได้ช้ากว่าพื้นราบมาก แต่แค่พ้นโค้งตรงหน้าไป...ทุ่งดอกเรพซี้ดสีเหลืองอร่ามก็ปรากฏสู่สายตา

ยังไม่ทันจะจอดรถดีเจ้าเหมียวก็โดดลงไปแล้ววิ่งเข้าใส่ทุ่งดอกไม้ ใบหน้ามนยิ้มกว้างในขณะที่มองภาพตรงหน้า เขาเดินตามไปช้าๆ ทอดสายตามองเจ้าเหมียวที่วิ่งเข้าไปอยู่ท่ามกลางดงดอกเรพซี้ด สองมือกางออกเหมือนเด็กๆ ถ้าชอบขนาดนั้นคนพามาอย่างเขาก็ดีใจแล้ว

เขาเดินกลับไปนั่งรอที่รถ ปล่อยเจ้าเหมียววิ่งเล่นไป ร่างโปร่งบางนั่งยองๆสองมือพลิกดูช่อดอกไม้สีเหลืองพวกนั้นก่อนจะถ่ายรูปเก็บไว้ คงเอาไว้ใช้วาดรูปละมั้ง?

เจ้าเหมียวใช้เวลาอยู่ที่ทุ่งดอกเรพซี้ดนานทีเดียว ซึ่งเขาก็ไม่คิดจะเร่งเร้าให้รีบกลับ เพราะการได้มองใบหน้ามนที่มีหลากหลายอารมณ์นั้นมันคือการพักผ่อนสายตาอย่างหนึ่งของเขา มองเพลินจนอยากจะมองไปนานๆ ประมาณนั้น

จากบ่ายจึงกลายเป็นเย็นโดยไม่รู้ตัว...

“เจ้าเหมียว กลับได้แล้วมั้ง?”   เขาเรียกคนที่ยังง่วนอยู่กับการถ่ายรูปดอกไม้ เพราะหันมองรอบกายแล้วก็รู้สึกว่าแถวนี้เปลี่ยวพอสมควร ขืนรอให้ค่ำมืดน่าจะอันตราย

“อื้อ”   เจ้าเหมียวขานรับก่อนจะเดินกลับมาหา เขาเห็นกล้องถ่ายรูปในมืออีกฝ่ายแล้วก็นึกสนุกขึ้นมาจึงฉุดต้นแขนบางให้ร่างโปร่งนั่งลงมาบนเบาะรถด้วยกัน

“นายจะไม่ถ่ายรูปคนพามาไว้บ้างเลยเหรอ?”  เขายกกล้องอีกฝ่ายขึ้นมาถ่ายเซลฟี่ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะออกมาดีไหมเพราะเขาก็ไม่เคยใช้กล้องแบบนี้  แล้วตอนที่เปิดเช็ครูปอยู่นั้น เขาก็สไลด์ไปเจอรูปของตัวเองที่นั่งอยู่บนสกูตเตอร์โดยมีดอกเรพซี้ดเป็นพื้นหลัง....ต้องบอกว่าฝีมือการถ่ายรูปของเจ้าเหมียวก็ใช่ย่อย...ไม่สิ...ฝีมือการแอบถ่ายนี่ต่างหากที่ใช่ย่อยกว่า! เพราะว่าเขาไม่รู้ตัวเลย!

“....ก็ใครบอกล่ะ...ว่าฉันไม่ได้ถ่ายรูปคนพามา...”   เจ้าเหมียวงึมงำพลางทำแก้มป่องไปมา เขาละอยากจะบ้า  ทำไมต้องมาทำให้ใจเขาสั่นขนาดนี้ด้วย!

เขาควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาบ้าง  “ฉันไม่ยอมให้นายมีรูปฉันฝ่ายเดียวหรอก!”   จากนั้นก็ลงมือถ่ายอีกฝ่ายรัวๆ มันมีทั้งรูปที่อยู่ใกล้เสียจนเห็นแค่ปลายจมูก มีทั้งรูปที่อีกฝ่ายพยายามจะปัดป่าย มีทั้งรูปที่อีกฝ่ายกำลังยิ้ม กำลังหัวเราะ มีทั้งรูปที่ถอยออกไป มีทั้งรูปที่เอามือปิดกล้อง ถึงรูปดีๆอาจจะน้อยกว่ารูปเสียๆ แต่ทั้งหมดมันก็เป็นธรรมชาติ...

“รูปสุดท้ายแล้ว มาถ่ายดีๆ เร็ว”   เขาคล้องแขนบางให้ขยับมานั่งใกล้ๆ ก่อนจะถ่ายรูปสุดท้าย...คู่กัน









กว่าสกูตเตอร์คันน้อยจะค่อยๆลงเนินมาได้ ข้างล่างก็ถึงเวลาโพล้เพล้พอดี เขาก็ขับของเขาด้วยความเร็วสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆเงาดำๆของอะไรบางอย่างก็วิ่งมาตัดหน้ารถ!


เอี๊ยดดดดด!!


เขาเบรกซะหัวเกือบทิ่ม แผ่นหลังรับรู้ถึงแรงกระแทก หน้าผากเจ้าเหมียวคงชนหลังเขาเต็มๆ

“ขับยังไงของนายเนี่ยเจ้าโฮ่ง!”   เจ้าเหมียวเตรียมโวยวายแต่เขากลับยกมือห้ามเอาไว้ก่อน เพราะคนที่โดดมาขวางรถเขานั้นช่างเป็นคนคุ้นหน้า

“พี่? ทำไมมาอยู่แถวนี้ล่ะ?”   เขาร้องทักรุ่นพี่ในทีมสตรีทแดนซ์ของเขาที่ค่อยๆลุกจากพื้น...หยางเกอเกอหรืออาหยางนั่นเอง ใบหน้าโหนกนูนนั่นมีรอยแผลฟกช้ำและมีรอยแตกจนเลือดซิบอยู่หลายรอยจนเขาตกใจ เพราะพี่ชายคนนี้ไม่น่าจะไปทะเลาะกับใครได้...

“อี้ป๋อ? แล้วก็...อ่ะ นั่นมัน....”   หยางเกอเกอชะงักค้างเมื่อมองเห็นคนที่ซ้อนท้ายเขาอยู่ เจ้าเหมียวเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังตัวตนจึงยื่นหน้าออกมามองจากแผ่นหลังของเขา

“หน้าพี่ไปโดนอะไรมาเนี่ย?”  เขาถามด้วยความเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายกลับยกมือขึ้นปิด

“มะ ไม่มีอะไร ฉันไปก่อนนะ...”  พูดจบก็รีบเดินจากไปด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนแปลกๆ เขาได้แต่มองตามอย่างงงๆ

“นั่นคนรู้จักของนายเหรอ?”   เจ้าเหมียวถามด้วยเสียงนิ่ง

“อื้อ รุ่นพี่ในทีมสตรีทแดนซ์ไง” 

“นายระวังตัวไว้หน่อยก็ดี...หมอนั่น...น่าจะมีปัญหากับพวกมาเฟีย”   แล้วสิ่งที่เจ้าเหมียวบอกก็ทำให้เขาหันไปมองอย่างตกใจ

“ห๋า? นายรู้ได้ไง?”

“นายเห็นรถสีดำที่จอดอยู่ตรงนั้นไหม? นั่นพวกมาเฟีย”   เขามองตามไปบริเวณสุดถนนที่อาหยางวิ่งมา มีรถสีดำจอดอยู่จริงๆด้วย

“นายรู้ได้ไงว่าเป็นรถพวกมาเฟีย? รถสีดำใครเค้าก็ใช้กัน”   เขายังไม่ปักใจเชื่อว่าอย่างหยางเกอเกอน่ะเหรอจะกล้ามีเรื่องกับพวกมาเฟีย ปกติแค่ต่อยกันในโรงเรียน หมอนั่นยังวิ่งหนีเป็นคนแรกเลย

“เชื่อฉันเถอะน่า...คนพวกนั้นฉันรู้จักดี แล้วก็ที่พวกมันไม่ตามมากระทืบรุ่นพี่ของนายซ้ำ บอกได้เลยเพราะว่ามันเห็นฉันอยู่ตรงนี้”  เจ้าเหมียวยังพยายามเกลี้ยกล่อมเขาต่อไป แล้วมันก็ทำให้เขาสงสัย

“คนของบ้านนายเหรอ?”  ถึงได้รู้จักดีขนาดนี้?

“......เปล่า กลับกันเถอะ”   แต่เจ้าเหมียวก็ปฏิเสธ เขาที่ยังสับสนจึงทำได้แค่ขี่มอเตอร์ไซค์กลับให้ถึงบ้านเท่านั้น









เขาเก็บความสงสัยกลับมา ถึงเรื่องของหยางเกอเกอจะยังค้างคาอยู่ในใจแต่เรื่องของเจ้าเหมียวกลับทำให้เขาสงสัยมากกว่า ก็เลยลองเสิร์จหาข้อมูลดู แล้วไม่ว่าจะพิมพ์คำว่า “เซียวจ้าน” ที่ไหนมันก็จะบอกเหมือนกันหมด 

บอกเพียงแค่ว่าเซียวจ้านคือทายาทของกลุ่มผู้ค้าเหล็กรายใหญ่ในประเทศจีน นอกจากนี้ยังเพิ่งเสียพ่อไปเมื่อสองปีก่อน ซึ่งพ่อของเซียวจ้านเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงมากด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ เพราะงั้นตอนนี้โรงพยาบาลจึงถูกยกให้เป็นสมบัติของเซียวจ้านไปโดยปริยาย...

เขาปิดโน้ตบุคก่อนจะนิ่งค้างไปหลายนาที...เจ้าเหมียวนั่น...เป็นทายาทธุรกิจพันล้านที่แท้จริงเลยนี่!

เขาไปยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนี้จะเหนื่อยตายไหมเนี่ย?


แต่ที่เหนื่อยใจกับตัวเองมากกว่านั้นก็คือ เขาไม่มีคำว่าถอยอยู่ในหัวเลยน่ะสิ


เฮ้อ...หวังอี้ป๋อ นะ หวังอี้ป๋อ~~








.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.








2 ความคิดเห็น:

  1. ทำไมตอนนี้สั้นจังงง 😭😭😭😥
    ยิ่งอ่านยิ่งชอบพล็อตเรื่อง ขอร้องล่ะ ขอให้จบแฮปปี้นะตัวเอง ไม่งั้นงอนจริงๆ ด้วยนะ

    ตอบลบ
  2. จริงๆ แล้วอิมเมจเซียวจ้านในความคิดเรา นึกถึงกระต่ายมาตลอดเลย(เพราะฟันหน้าอันเป๋นเอกลักษณ์ของนาง บวกกับเนื้อเรื่องในเฉินฉิงลิ่งมีกาตุ่ยยย) แต่ไม่เป็นไร เป๋นแมวก็น่าเอ็นดูเหมียนกัน ติดตามน้าาา

    ตอบลบ