อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] JUNE : 03


อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ เซียวจ้าน]  JUNE : 03

: อี้จ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Warmhearted Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
          




หวังอี้ป๋อนั่งเหยียดขาเงยหน้ามองฟ้าอยู่บนสนามหญ้าข้างอาคารเรียน...เปล่านะ...เขาไม่ได้โดดเรียน แต่ตอนนี้ห้องของเขากำลังอยู่ในคาบวิชาศิลปะและอาจารย์ก็ให้ออกมาวาดรูปนอกสถานที่ จะดอกไม้ใบหญ้าหรือว่าโต๊ะเก้าอี้ อะไรก็ได้ที่มีอยู่ในโรงเรียน

อาจจะฟังดูเหมือนง่ายแต่กับคนที่ไม่มีสกิลเรื่องการวาดรูปเลยแม้แต่น้อยอย่างเขา วิชานี้จึงกลายเป็นวิชาที่น่าเบื่อไป...นึกถึงเจ้าเหมียวแล้วก็น่าทึ่ง วาดรูปสวยๆพวกนั้นออกมาได้ยังไงกันนะ? ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปมองกระดานวาดรูปของตัวเองที่ยังว่างเปล่าก่อนจะหันกลับไปเหม่อมองฟ้าคิดท่าเต้นต่อไป

“ดูสิๆ หล๊อหล่อเนอะ~ อย่างกับเจ้าชายจริงๆ เจ้าชายทั้งกลุ่ม!”   เสียงสาวๆในห้องดังแว่วมาให้ได้ยิน ยัยพวกนี้คุ้นชินกับเขาอยู่แล้ว เสียงกรี๊ดกร๊าดนั่นจึงไม่ได้มีให้เขาแน่ ถ้างั้นก็น่าจะเป็น...

เขาละใบหน้าจากท้องฟ้าก่อนจะมองลงมาที่ทางเดินเชื่อมระหว่างตึก พวกเด็กม.6ห้องคิงกำลังเดินเปลี่ยนห้องเรียนพอดี...ไม่มีใครไม่รู้จักพวกนี้แม้แต่คนที่ไม่ค่อยได้สนใจอะไรแบบเขา เพราะเอกลักษณ์ของพวกเด็กห้องคิงคือ ผมเรียบแปล้ ใส่แว่นตาหนาเตอะ แล้วก็ถือหนังสืออะไรไม่รู้เยอะแยะ...แต่สำหรับม.6ห้องคิงมีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์มากกว่านั้น  ก็คือกลุ่มคน 7 คนที่ได้ชื่อว่าแก๊งเจ้าชายนั่นต่างหาก

7คนนั่นดูต่างจากพวกเด็กห้องคิงคนอื่นๆลิบลับ...ไม่ใส่แว่น ผมถูกเซตมาอย่างดี หุ่นเป็นนายแบบได้ทุกคน หน้าตาก็อย่างกับพวกดารา ที่สำคัญ 7 คนนั้นเป็นระดับหัวกะทิที่มีคะแนนไล่กันอยู่ในอันดับ 1-7 ของโรงเรียน

เขาทอดสายตามองคนที่เดินรั้งอยู่ท้ายกลุ่มก่อนจะอมยิ้ม เรียนเก่งเหมือนกันนะ เจ้าเหมียวนั่น

“นายรู้ไหม ว่าคนไหนคือเฉินจงอี?”   ร่างสูงยาวเอนตัวไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน

“นายรู้จักใครในกลุ่มนั้นบ้างล่ะ?”   เพื่อนหันมาทำหน้าประมาณว่าเขาไปอยู่ไหนมาถึงได้ไม่รู้จักแก๊งเจ้าชาย

“เจ้าเหมีย- ...เอ่อ...เซียวจ้าน...”   เขาเกือบหลุดเรียกชื่อที่ติดปากก่อนจะรีบแก้ทัน

“......ก็ไม่แปลกนะที่นายจะรู้จักแต่รุ่นพี่เซียวจ้าน  นับว่าตาแหลมใช้ได้ ฮ่าๆๆ”  เขาทำหน้างง แล้วมันยังไงฟ๊ะ?

“รุ่นพี่เซียวจ้านน่ะ...ฮ็อตในหมู่ผู้ชายด้วยกันเองมาก”   สิ่งที่เพื่อนพูดมาทำเอาเขาอึ้งไปไม่ใช่น้อย

“นายก็ดูเอาแล้วกัน ถ้าผู้ชายอย่างเราๆจะชื่นชมใครสักคนในแก๊งนั้นได้...ก็ขอเลือกรุ่นพี่เซียวจ้านกันทั้งนั้นแหละ”   เขาหันไปมองกลุ่ม 7 คนที่กำลังเดินผ่านหน้าไป...ก็จริงแหะ...ผู้ชายด้วยกันที่ไหนจะสนใจเรื่องความหล่อของคนอื่น มีแค่เจ้าเหมียวที่ให้ความรู้สึกต่างจากอีก 6 คนอย่างชัดเจน

“ส่วนเฉินจงอีที่นายถาม ก็คนที่เดินอยู่ข้างๆรุ่นพี่เซียวจ้านนั่นแหละ”   เขามองไปที่ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่แล้วก็มีใบหน้าบอกบุญไม่รับ ถ้าไม่หล่อคงไม่มีใครอยากเข้าใกล้แน่ๆ...หมอนั่นเองสินะ เพื่อนสนิทของเจ้าเหมียว...เขาแอบเบะปาก ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย!

แล้วก็เพราะเขาจ้องไปที่เฉินจงอีเหมือนมีเรื่องกันมาแต่ชาติปางก่อน คนที่เดินอยู่ข้างๆจึงรู้ตัว ใบหน้ามนมองมาทางนี้พอดี เขาจึงแอบโบกมือให้ แต่เจ้าเหมียวก็ทำหน้าดุแล้วชี้ไปที่กระดานวาดรูป  “วาดรูปสิ มัวแต่เล่นนะเจ้าโฮ่ง”  สายตาพูดประโยคนี้มาเต็มมาก ฮ่าๆๆ เขาถึงกับหลุดหัวเราะ

เขามองตามเด็กม.6ห้องคิงพวกนั้นไป ปลายทางรู้สึกจะอยู่ที่ห้องสมุด...

หรือว่าจะเป็นวิชาค้นคว้าอิสระ?

ใบหน้าหล่อเหลาลอบยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วแอบปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน  ไม่นานเขาก็ไปผลุบๆโผล่ๆอยู่ข้างๆห้องสมุด

เจ้าเหมียวยืนเปิดหนังสือดูอยู่ที่ชั้นตามลำพังได้การละ...เขาหันมาขีดเส้นสองสามเส้นลงบนกระดาษที่อยู่บนกระดานวาดรูป จากนั้นก็ฉีกมุมกระดาษออกมาปั้นเป็นก้อนๆแล้วปาไปที่หัวเจ้าเหมียว

ป๊อก...

ก้อนกระดาษที่กระทบโดนหัวก่อนจะหล่นลงไปกลิ้งอยู่ที่พื้นทำให้เซียวจ้านก้มลงไปมองอย่างสงสัย ใบหน้ามนเหลียวซ้ายแลขวา มันต้องมีคนปามาแน่ๆและคนที่จะใช้วิธีนี้กับเขาก็น่าจะมีอยู่คนเดียว

“มาทำอะไรที่นี่เจ้าโฮ่ง?”  ร่างโปร่งบางชะโงกตัวออกไปนอกหน้าต่าง หวังอี้ป๋อนั่งหลบอยู่อีกฝั่งของผนัง ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมาส่งยิ้มทะเล้นๆให้เขา

“มีเรื่องให้ช่วยหน่อยน่ะ”  เขากับเจ้าโฮ่งคุยกันผ่านหน้าต่าง เขายังอยู่ในห้องสมุด ส่วนเจ้าโฮ่งก็ยังนั่งยองๆอยู่ข้างนอก

“อะไร?” 

“....วาดรูปให้หน่อยสิ~”   เจ้าโฮ่งทำหน้าอ้อนๆในขณะที่พยายามมองตาเขาปริบๆ แต่มีรึที่คนรักวิชาศิลปะอย่างเขาจะติดกับ

“ไม่...วิชาศิลปะนายต้องวาดเอง”   แต่เจ้าโฮ่งก็ยังไม่ยอมแพ้

“โอเคๆ ฉันจะวาดเองก็ได้ แต่นายช่วยวาดให้ดูก่อนได้ไหม แล้วฉันจะวาดตาม”  ไม่พูดเปล่ายังชูกระดานวาดรูปให้เขาดู เส้นขนแมวที่วาดเป็นวงกลมซ้อนกันสองสามวงนั่นเขาดูไม่ออกจริงๆว่านี่มันคือรูปอะไร

“นี่อะไร?”   ใบหน้ามนจึงถามออกไป

“ดอกไม้ไง”   แล้วคำตอบของเจ้าโฮ่งก็ทำเขาอึ้งไปสามนาที

“..........โรงเรียนอนุบาลของนายไม่เคยให้วาดรูปเลยเหรอ? น่าสงสารจัง”  เจ้าคนที่เด็กกว่าถึงกับนั่งขำในคำประชดของเขา

“เห็นสภาพแล้วนายจะไม่ช่วยฉันหน่อยเหรอ?”  เขารู้สึกสุดจะทนจริงๆนั่นแหละ ร่างโปร่งบางเลยปีนออกจากห้องสมุด และตอนที่จะก้าวขาข้ามขอบหน้าต่างก็ไม่รู้ไปสะดุดอะไร แต่ผลก็คือเขากำลังจะล้มหน้าทิ่ม!

ตุบ...

ดีที่ได้อ้อมแขนของเจ้าคนที่นั่งอยู่รับเอาไว้ทัน...

ใบหน้าของเขากับใบหน้าของเจ้าโฮ่งอยู่ห่างกันแค่คืบ ทั้งหน้าผาก คิ้ว ตา จมูก ปาก แม้แต่ลมหายใจ...ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน

ชัด...เสียจนหัวใจเต้นกระหน่ำ...

สองมือรีบผลักไหล่กว้างนั่นออกไปก่อนจะลุกออกมาจากตัวของอีกฝ่าย “....เอากระดาษมาสิ...ฉันแค่วาดเป็นตัวอย่างนะ ห้ามเอาไปส่งอาจารย์เด็ดขาด”

“อะ อืม...”   เจ้าโฮ่งยื่นกระดานวาดรูปมาให้ด้วยท่าทางอ้ำๆอึ้งๆ เขาพยายามไม่สนใจมือใหญ่ที่ยกขึ้นไปถูปลายจมูกอย่างเขินๆ แต่พยายามหันมาเพ่งสมาธิในการวาดภาพแทน

ดวงตาของคนอายุน้อยกว่าลอบมองคนที่นั่งวาดรูปอยู่ข้างๆ...กลิ่น...กลิ่นของเจ้าเหมียวยังติดจมูกเขาอยู่เลย...มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมเพราะถ้าไม่เข้าใกล้ในระดับถึงตัวก็จะไม่ได้กลิ่น...ใช่...มันน่าจะเป็นกลิ่นสบู่ที่เขาเห็นตอนไปช่วยเก็บของ เป็นสบู่มียี่ห้อที่ราคาไม่ธรรมดาเพราะงั้นจึงติดตัวได้ดีขนาดนี้

ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปซบหัวเข่าที่ยกชันขึ้นมา...บ้าเอ้ย...หวังอี้ป๋อ นายไม่ใช่คนโรคจิตนะ แต่กลิ่นนี่มันทำให้ทนไม่ไหวแล้ว!

จู่ๆเขาก็ขยับกายเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ต้นคอขาวๆนั่น...ขยับเข้าไปจนใกล้พอ...ที่จะได้กลิ่น

“อ่ะ...ทำอะไรของนายเนี่ยเจ้าโฮ่ง? คิดจะกัดคอฉันเหรอ? แค่ไม่ให้เอารูปไปส่งอาจารย์ถึงกับจะกัดคอกันเลยหรือไง? ถอยออกไปนะ ไม่งั้นฉันจะฟาดด้วยกระดานนี่แหละ!”   ใบหน้าหล่อเหลาชะงักไปชั่วครู่เมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ดีที่เจ้าเหมียวไร้เดียงสาดันคิดว่าเขาจะกัดคอเพราะไม่ยอมให้รูป รอยยิ้มร้ายเผยอยู่บนริมฝีปาก...ถ้างั้นก็เลยตามเลยไปเลยแล้วกัน

เขาใช้สองมือต้านแรงของอีกฝ่ายก่อนจะจรดริมฝีปากลงไปบนต้นคอของเจ้าเหมียวจริงๆ...อ่า...กลิ่นมันสุดยอดเลย...หอมชะมัด...จากนั้นจึงอ้าปากงับไปเบาๆ แต่ด้วยความขาวของผิว รอยแดงบางๆจึงปรากฏขึ้นเป็นรอยฟัน

“ยอมหรือยังเจ้าเหมียว?...จะให้ฉันเอารูปไปส่งอาจารย์ไหม? ไม่งั้นฉันจะกัดอีก...”  เขาทำเป็นละออกมาทำหน้าขู่อีกฝ่าย เจ้าเหมียวได้แต่อ้าปากพะงาบๆก่อนจะหลับหูหลับตาตะโกนว่า

“ยอม! ยอมแล้ว!”  หวังอี้ป๋อยิ้มยิงฟันให้คนที่หันไปลูบคอตัวเองปรอยๆพลางมองเขาตาเขียว มือบางฟาดมาที่แขนเขาหนึ่งทีก่อนจะก้มหน้าก้มตาหยิบกระดานมาวาดรูปต่อ

น่ารักแหะ...แย่ละ...

เขาไม่ได้มองรูปบนกระดาษเลยเพราะมัวแต่จ้องหน้าคนวาด รู้ตัวอีกทีก็มีดอกทานตะวันบานอยู่เต็มหน้า

“เสร็จแล้ว!”  เจ้าเหมียวใช้กระดานวาดรูปยันหน้าเขาออกมา เขาจึงเพิ่งเห็นว่าบนกระดาษมีรูปดอกทานตะวันสวยๆดอกหนึ่งอยู่

“แต่โรงเรียนเราไม่มีดอกทานตะวันนี่นา?”   เขาลูบคางพลางเอ่ยออกไป  ใบหน้ามนถึงกับชะงัก แล้วกระดานวาดรูปในมือก็ถูกใช้เป็นอาวุธในการฟาดเขา

“โอ๊ย! เจ็บ!”  สองมือพยายามจับมืออีกฝ่ายไว้  

“แล้วทำไมไม่บอกเล่าว่าอาจารย์ให้วาดของในโรงเรียน!”  เขาหัวเราะแทนคำตอบ ใบหน้ามนบูดบึ้งจึงก้มลงไปวาดใหม่...แล้วไม่นาน...ดอกโบตั๋นก็เบ่งบานอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น

“โรงเรียนเรามีดอกโบตั๋นด้วยเหรอ?”  เจ้าเหมียวตวัดดวงตากลมโตมามองแทนคำพูดว่ารอบนี้ไม่ยอมเสียรู้เขาหรอก

“มีสิ อยู่ที่แปลงเกษตร” 

“พาไปดูหน่อย”  เขาคว้ามือเจ้าเหมียวได้ก็รีบดึงให้ลุกขึ้น

“ห๊ะ?”   เจ้าเหมียวถูกเขาลากตามมาอย่างงงๆ เขาใช้ฝ่ามือกดหัวเจ้าเหมียวให้ก้มต่ำๆในขณะที่แอบย่องจากข้างห้องสมุด เมื่อพ้นตึกเรียนมาได้ถึงกลับมาเดินตามปกติ

แปลงเกษตรตั้งอยู่หลังโรงเรียนและในเวลาแบบนี้คงไม่มีใครอยู่ เขาให้เจ้าเหมียวเดินนำเพราะไม่รู้ว่าดอกโบตั๋นมันอยู่ที่ไหน ร่างโปร่งบางพาเขาเดินเข้าไปในกลุ่มเรือนเพาะชำที่เรียงกันเป็นสิบ แล้วเจ้าเหมียวก็เปิดเข้าไปในเรือนเพาะชำหลังหนึ่ง

ดวงตาของเขาถึงกับเบิกกว้างเมื่อประตูเรือนเพาะชำเปิดออก...จากตรงนี้ไปจนสุดลูกตาดอกโบตั๋นสีชมพูกำลังเบ่งบานแซมกับใบสีเขียวสวยงามจับตา 

“ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามีที่แบบนี้ในโรงเรียนด้วย”   เขาพูดออกไปด้วยเสียงลอยๆ ดอกโบตั๋นในเรือนเพาะชำหลังนี้มีแต่ดอกใหญ่ๆ สวยๆ แล้วก็สมบูรณ์มาก พวกมันน่าจะได้รับการดูแลอย่างดีเลย

“ก่อนหน้านี้ฉันวาดรูปดอกโบตั๋นอยู่น่ะ เจ้าหลี่จวินเลยไปบอกแม่มัน ให้ภาควิชาเกษตรปลูกโบตั๋นไว้เป็นแบบวาดรูป ในเรือนเพาะชำนี่”   เขาถึงกับหันควับไปมองเจ้าเหมียว...เดี๋ยวนะ...ที่ปลูกโบตั๋นทั้งแปลงนี่ก็เพื่อนายหรอกเหรอ~ ไม่ใช่ปลูกเพื่อทดลองของภาควิชาเกษตรหรอกเหรอ~

หลี่จวิน...ถ้าเขาจำไม่ผิดก็เป็นหนึ่งในแก๊งเจ้าชายเหมือนกัน เหมือนคนคนนั้นจะเป็นลูกชายของผอ.โรงเรียน...อ่า...ก็น่าจะใช่แหละนะ ถึงกับสั่งปลูกดอกโบตั๋นทั้งแปลงเอาไว้ให้เจ้าเหมียวใช้เป็นแบบวาดรูปได้นี่คงไม่ใช่ลูกตาสีตาสาที่ไหน  เจ้าพวกนี้นี่มันอภิสิทธิ์ชนจริงๆ!

เขาลอบมองร่างโปร่งบางที่ก้มลงไปจนใบหน้าอยู่ใกล้ดอกโบตั๋น...ใบหน้าหวานนั่นอมยิ้มน้อยๆ...

ก็สวยซะขนาดนี้...จะมีใครไม่ยอมตามใจบ้าง











อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานวัฒนธรรมแล้ว ทีมสตรีทแดนซ์ของเขาก็ซ้อมเต้นกันอย่างหนักหน่วง กว่าจะปล่อยกลับบ้านได้ก็แทบล้มประดาตาย หมู่นี้เขาเลยไม่ค่อยได้ไปทำงานพิเศษ แต่กระนั้นก็ยังแวะไปทุกวันเพื่อเช็คอะไรบางอย่าง... 

“เฮีย เจ้าเหมียวมากินข้าวหรือยัง?”  เขาเปิดประตูก่อนจะชะโงกหน้าถามคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ 

“อ้าวอี้ป๋อ? ถ้าเด็กคนนั้นละก็ วันนี้ยังไม่เห็นเลยนะ”  เฮียหลงเจ้าของร้านหยุดเช็ดจานก่อนจะทำท่านึก

“หนอย...ไม่ยอมลงมากินข้าวอีกแล้ว”  ร่างสูงชะลูดเลยเดินเข้ามาในร้านแล้วสั่งข้าวใส่กล่องให้ 

“นี่นายไม่คิดว่าเค้าจะไปกินข้าวที่อื่นบ้างรึไง?”   เฮียทำหน้าเพลียๆใส่เขาเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าเหมียวไม่ยอมลงมากินข้าวแล้วไม่เขาไปลากลงมาก็ซื้อใส่กล่องไปให้กิน

“ไม่ละ ยังไม่ได้กินแน่ๆ”  เขาตอบอย่างมั่นใจ



แล้วเขาก็มายืนกดอินเตอร์โฟนที่หน้าตึกของเจ้าเหมียวพร้อมข้าวอีกกล่องหนึ่ง...แต่ไม่ว่าจะกดหมายเลขห้องของเจ้าเหมียวไปกี่ครั้งก็ยังไม่มีการตอบรับ...หรือว่าจะไม่อยู่อย่างที่เฮียบอกจริงๆ?

เขามองข้าวกล่องในมือก่อนจะตัดสินใจเดินกลับห้องตัวเอง สงสัยจะออกไปกินข้าวที่อื่น หรือว่าจะไปกับเฉินจงอี? หรือพวกเพื่อนๆแก๊งเจ้าชาย? อ๊า~ ไม่สบอารมณ์เลยแหะ นี่เขาเป็นบ้าอะไร?

หลังจากเดินขยี้หัวเข้าห้องของตัวเองได้แล้ว เขากลับเห็นไฟในห้องของเจ้าเหมียวสว่างอยู่ อ้าว ก็อยู่นี่? 

เขาเดินออกไปที่ระเบียงหลังห้องก่อนจะก้มลงมองรั้วสลับกับระเบียงฝั่งตรงข้าม...เออ! เขาคงจะเป็นบ้าจริงๆนั่นแหละ เพราะถ้าไม่บ้า เขาคงไม่ทำแบบนี้!

ร่างสูงโหนตัวขึ้นไปยืนอยู่บนราวกันตกระเบียงห้องตัวเองก่อนจะกระโดดเหยียบรั้วแล้วเทคตัวไปเกาะระเบียงห้องของเจ้าเหมียว เขายกขาเกี่ยวราวกันตกก่อนจะกระโดดลงไปยืนอยู่บนพื้นระเบียงห้องเจ้าเหมียวได้อย่างสบายๆ


ก๊อกๆๆ


เขาเคาะกระจกประตูหลังห้องของเจ้าเหมียวแต่มันก็ยังไม่มีการตอบรับเช่นเคย จะว่าหลับก็ไม่น่าใช่เพราะบนเตียงนั้นว่างเปล่า หรือจะนอนอยู่ที่โซฟา?

มือใหญ่ลองเลื่อนประตูดูแล้วมันก็ดันเลื่อนได้ซะงั้น นี่ไม่ได้ล็อคไว้หรอกเหรอ? เขาจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปเองเลย

แล้วเขาก็เจอตัวเจ้าเหมียวจนได้...แผ่นหลังบางนั่งอยู่หน้าเฟรมวาดรูป ใบหน้าที่กำลังจดจ่อกับผืนผ้าใบแบบนั้นไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่ยอมตอบรับเขา

“เจ้าเหมียว”   ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะหันมา เขาจึงเพิ่มความดังเข้าไปอีก

“เจ้าเหมียว!”   ยัง...ยังไม่หัน...

“เจ้าเหมียว!!!”   คราวนี้เขาแทบจะตะโกน เจ้าเหมียวจึงหันมามองด้วยท่าทางประหลาดใจ

“อ้าว? เจ้าโฮ่ง? นายมาได้ไง?”   เขาถึงกับถอนหายใจ

“ฉันcallขึ้นมาจากหน้าตึกนายเป็นสิบรอบแล้วนายก็ไม่ตอบ ฉันเลยโดดข้ามรั้วข้างหลังมา เคาะประตูก็แล้วนายก็ไม่ตอบ เลยเปิดเข้ามาเองเลย ว่าแต่นาย! ทำไมไม่ลงไปกินข้าว?”   เจ้าเหมียวไม่ยอมตอบแต่กลับเดินไปหยิบอะไรบางอย่าง

“เอ้า”   เจ้าเหมียวโยนการ์ดใบหนึ่งมาให้ เขาจึงรับมาแบบงงๆ 

“อะไร?”  

“คีย์การ์ดไง จะได้ไม่ต้องcall ฉันขี้เกียจลุกไปดู”   แล้วเจ้าเหมียวก็กลับไปนั่งหลังเฟรมผ้าใบต่อ

“ห๋า? ปกตินายให้คีย์การ์ดคนอื่นง่ายๆงี้เลยเหรอ?”  เขามองของในมืออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

“ง่ายๆบ้าอะไร มันมีอยู่ใบเดียว จะให้หลายคนได้ไง จะไปไหนก็ไปไป๊ ฉันจะวาดรูป”  เจ้าเหมียวโบกมือไล่เขา

“อ่อ อืม...”  เขาก้มลงมองคีย์การ์ดด้วยความรู้สึกหลากหลาย กำลังดีใจอยู่เหรอตัวเขา? อะไรแปลกๆเกิดขึ้นในหัวใจ แล้วก็ต้องรีบสะบัดหัว ไม่สิ เขามาที่นี่เพราะจะให้เจ้าเหมียวกินข้าว แต่ดูแล้วถ้าวางกล่องข้าวเอาไว้ มันก็คงจะถูกวางอยู่อย่างงั้น

ร่างสูงชะลูดจึงเดินเข้าไปในครัวแล้วเทข้าวใส่จานมาให้ 

“นายจะกินดีๆหรือจะให้ฉันป้อน?”   ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ต้องบอกว่ากินเองอยู่แล้วใช่ไหม แต่เจ้าเหมียวนี่ดันไม่ธรรมดา เลยตอบเขาว่า 

“ฉันจะไม่ลุกไปจากตรงนี้ ถ้านายจะให้ฉันกินให้ได้ก็ป้อนฉันซะ น่ารำคาญจริง”   ........ครับ พ่อคุณชาย ว่าแต่หมอนี่เป็นเด็กหรือไงถึงเอาแต่ใจได้ขนาดนี้!  กล้าท้าเขาก็กล้าป้อน!

หวังอี้ป๋อลากเก้าอี้อีกตัวมาใกล้ๆก่อนจะนั่งลงไป ช้อนตักข้าวพอดีคำก่อนจะยื่นไปจ่อปากเจ้าเหมียว ดวงตาคู่โตมองเขาอย่างไม่คิดว่าเขาจะป้อนจริงๆ แต่ด้วยความดื้อ ริมฝีปากสีสดนั่นจึงอ้าปากกินข้าวเข้าไป ยังไงก็ไม่ยอมกินเอง

เขาป้อนข้าวอีกฝ่ายคำแล้วคำเล่า ในขณะที่มองไฝเม็ดเล็กที่มุมปากล่างซ้ายขยับไปมาในขณะเคี้ยว จู่ๆก็นึกอยากจูบขึ้นมา...

ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดน้อยๆอย่างพยายามตั้งสติ หมู่นี้เขาต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ถึงเจ้าเหมียวจะน่ารักแต่ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายนะ เป็นผู้ชายเหมือนกันกับเขา

เขาพยายามดึงสายตาของตัวเองออกมาจากริมฝีปากของอีกฝ่ายโดยการหันไปมองรูปที่เจ้าเหมียวกำลังวาดแทน แต่ว่าบ้าจริง หันมาทางนี้ก็ยังหนีไม่พ้น!

ในเมื่อรูปที่อยู่บนผ้าใบผืนใหญ่นั้นมันคือรูปของเขาเอง...

เขามองดูรูปที่ยังลงสีไม่เสร็จสลับกับใบหน้าของคนวาดที่ดูตั้งอกตั้งใจแล้วก็รู้สึกเขินแปลกๆ  ตั้งแต่เกิดมาเขาเคยถูกถ่ายรูปนับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนวาดรูปของเขาด้วยมือ... 

เขาไม่รู้ว่าเจ้าเหมียวได้คิดอะไรตอนวาดรูปนี้หรือเปล่า แต่หัวใจของเขา...มันกำลังร่ำร้องบอกว่ามันอาจจะกำลังตกหลุมรักใครสักคน...


โธ่เว้ย! จะผู้ชายเหมือนกันก็ช่างมันแล้ว!


เจ้าเหมียวกินข้าวหมดแล้วแต่เขาก็ยังนั่งมองอีกฝ่ายวาดรูปไปเรื่อยๆ  บนผืนผ้าใบไม่ได้มีแต่รูปเขาที่กำลังเท้าแขนตีลังกา ทว่ามันยังมีใบหน้าของเขาครึ่งหน้าอยู่ด้วย...มันเหมือนเขาจนเขาเองยังตกใจ เจ้าเหมียวจดจำรายละเอียดบนหน้าเขาได้ขนาดนี้เชียวเหรอ ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งอยากกอดแผ่นหลังโปร่งบางนั่น

“นาย...ชอบวาดรูปคนเหรอ?”   เขาถามออกไป

“ปกติฉันไม่วาดรูปคน”   เจ้าเหมียวตอบทั้งๆที่ดวงตากลมโตยังคงจับจ้องอยู่ที่ผืนผ้าใบตรงหน้า

“งั้นเหรอ...ทำไมล่ะ?”   ใต้แผ่นอกซ้ายของเขากำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ เจ้าเหมียวนี่กำลังอ่อยเขาอยู่หรือยังไง? ทำไมร้ายกาจขนาดนี้! ปากบอกไม่ชอบวาดรูปคนแต่กลับวาดรูปเขาเนี่ยนะ? หรือจะเห็นเขาเป็นเจ้าโฮ่งจริงๆ? ไม่ใช่คน?

“ถ้าวาดออกมาไม่สวยก็จะโดนว่า จะให้วาดสวยได้ยังไงในเมื่อคนเป็นแบบมันหน้าตาอย่างกับผีเฝ้าสุสาน! น่ารำคาญ ฉันก็เลยไม่วาดคน”   เหตุผลเอาแต่ใจชะมัด ฮ่าๆๆ แต่ก็สมเป็นเจ้าเหมียวแล้ว

“งั้นก็แปลว่าฉันหล่อ? นายวาดออกมายังไงก็หล่อ อืมๆ”   เขาส่งรอยยิ้มทะเล้นๆไปให้เพื่อปิดบังความเขิน

“.....”   เจ้าเหมียวปรายตามองเขาก่อนจะส่ายหน้าอย่างระอา

“เพราะนายไม่มีสิทธิ์บ่นต่างหาก ถ้านายบอกว่าฉันวาดไม่สวย ฉันจะสอยนายให้ร่วงเลย”   ขำถึงกับหัวเราะพรืด

“ไม่สวย...แต่หล่อมากครับ”   เจ้าเหมียวเหวี่ยงหมัดมาด้วยความหมั่นไส้แต่เขาก็รับได้ด้วยมือเปล่า แต่แมวดื้อมีหรือจะยอมรามือ พู่กันในมือบางอีกข้างตวัดเขียนลงมาบนหน้าเขา เส้นสีเขียวเลยเปื้อนเป็นทางยาว

“ฮ่าๆๆๆ”  ยัง...เจ้าเหมียวยังมีหน้ามาหัวเราะ เขาเลยโดดคว้าเอวบางจนล้มลงพื้นด้วยกันทั้งคู่ เขาคร่อมอยู่บนตัวเจ้าเหมียว มือคว้าพู่กันอันเดียวกันนั่นแหละก่อนจะวาดหนวดแมวสามเส้นลงไปบนใบหน้ามน

“อื้อ~~”   เจ้าเหมียวดิ้นรนอยู่ใต้ร่างเขาแต่ก็สู้แรงของเขาไม่ได้ แก้มใสจึงเต็มไปด้วยหนวดแมวทั้งสองข้าง ข้างละสามเส้น

“ฮ่าๆๆ”  คราวนี้เป็นทีเขาหัวเราะบ้าง เจ้าเหมียวเลยฟาดสีข้างเขาหลายทีก่อนจะนอนแผ่อยู่กับพื้นอย่างหมดแรง แน่นอนว่าเขายังคร่อมอยู่บนร่างโปร่งบางแล้วมุมที่เขาเห็นตอนนี้ก็ชวนเอาคิดดีไม่ได้เลยจริงๆ...

เขาขยับลุกออกมาจากตัวของอีกฝ่ายก่อนที่จะสติกระเจิงไปมากกว่านี้ เจ้าเหมียวหันหน้ามามองเขาทั้งๆที่ยังนอนอยู่กับพื้น มือบางยื่นออกมาให้เขาช่วยดึงขึ้น ให้ตายเถอะ เขาต้องพกสติมาแค่ไหนถึงจะพอ!

หลังจากที่เขาช่วยดึงขึ้นมาจากพื้น เจ้าเหมียวก็กลับไปวาดรูปต่อโดยไม่ยอมไปล้างหนวดแมวออก บ้าเอ้ย น่ารักเกินไปแล้ว!




เขาหันไปมองนาฬิกา เที่ยงคืนตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?

“เจ้าเหมียว...นอนได้แล้วมั้ง?”  ใบหน้าหล่อเหลาหันไปบอกคนที่ยังง่วนอยู่กับเฟรมผ้าใบ เขาเก็บถ้วยเก็บจานล้างให้เรียบร้อย

“หื๋อ? กี่โมงแล้ว?”

“เที่ยงคืน นอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยทำต่อ”

“.....”   เจ้าเหมียวทำท่าลังเลเขาจึงดึงพู่กันในมือบางออกก่อนจะลากอีกฝ่ายไปยัดไว้ในห้องน้ำ

“ล้างหน้าล้างตาซะ จะอาบน้ำด้วยก็ได้”  เจ้าเหมียวหายไปพักใหญ่ก่อนจะออกจากห้องน้ำทั้งชุดนอน ร่างโปร่งบางทำท่าจะกลับไปที่เฟรมวาดรูปอีกเขาจึงต้องรีบลากไปที่เตียง

“นอนลงไป”   เขากดไหล่บางให้นอนลงแล้วดึงผ้าห่มจนถึงคอให้เรียบร้อย

“ห้ามลุกขึ้นมาอีกล่ะ”   เขาจัดการปิดไฟจนทั้งห้องมืดสนิท ก่อนจะเดินออกจากห้องทางประตูหน้า ในเมื่อมีคีย์การ์ดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกระโดดข้ามรั้วอีก....


ใครว่าล่ะ!


เขากลับห้องมายังไม่ทันไร แค่หายเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำอาบท่าแป๊บเดียว ออกมาตากผ้าเช็ดตัวอีกที ห้องเจ้าเหมียวก็เปิดไฟอีกแล้ว!

เขาคว้าคีย์การ์ดก่อนจะกระโดดข้ามรั้วมันทั้งอย่างงั้นแหละเพราะขี้เกียจเสียเวลาเดินอ้อมไปข้างหน้า เจ้าเหมียวตัวดีนี่มันจริงๆเลย!

“เซียวจ้าน”   เขาจงใจเรียกชื่ออีกฝ่ายเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าเขากำลังจริงจัง ใบหน้ามนหันมามองเขาก่อนจะทำหน้ามุ่ย มือบางยอมวางพู่กันลงแต่โดยดี

“ฉันลืมกินยา พอลุกขึ้นมาก็มานั่งอยู่ตรงนี้ได้ไงไม่รู้”   ไม่ต้องมาแถเลย

“แล้วกินยารึยัง?”   ถึงเขาจะไม่รู้ว่ามันเป็นยาอะไรแต่ก็น่าจะเป็นยาสำคัญ เฉินจงอีถึงได้โทรมาย้ำแทบทุกวันแบบนั้น

“กินแล้ว”

“ถ้างั้นก็ไปนอน”   เจ้าเหมียวเดินหน้าหงิกกลับเข้าห้องนอน ปากบ่นงึมงำว่า “แกเป็นแม่ฉันเร๊อะ”   เดี๋ยวเถอะ! จะเป็นยิ่งกว่าแม่ให้ดู!

“ฉันจะนอนที่นี่ด้วย นายจะได้ไม่ลุกไปวาดรูปอีก ฉันขี้เกียจกระโดดข้ามรั้วแล้ว”   เขาใช้วิธีเผด็จการ

“.....”   ถึงจะไม่ตอบอะไรแต่เจ้าเหมียวก็เว้นที่ให้ บางทีเขาก็งงเหมือนกัน ว่าเขากับเจ้าเหมียวสนิทกันถึงขั้นนี้แล้วเหรอ?

เขาเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมาล้มตัวลงนอนข้างๆ...เจ้าเหมียวนี่ก็แปลก...ปกติแล้วคนที่ไม่เคยนอนร่วมกันต่อให้สนิทแค่ไหนก็ต้องหันหน้าออกไปคนละทาง แต่ร่างโปร่งบางกลับหันหน้ามาหาเขา เปลือกตาของดวงตาคู่โตปิดลงอย่างรวดเร็ว ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ทั้งๆที่ง่วงขนาดนี้แท้ๆแต่ดันไม่ยอมนอน... มือใหญ่ยกขึ้นก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้ามนเบาๆ เขาจ้องมองใบหน้ายามหลับใหลของอีกฝ่ายไม่ละสายตา


อ่า....


ในที่สุดเขาก็รู้ตัว...


ที่เขาอยากแกล้ง ที่เขาชอบเข้ามาวอแววุ่นวายกับอีกฝ่าย...


เขาก็แค่ชอบคนคนนี้เท่านั้นเอง







.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.



เล่นเอาตับพังมากค่ะซีรี่ย์ตอน32ที่เพิ่งฉายเมื่อคืนวันพุธ แง๊~~ ชีวิตเว่ยอิงมันจะบัดซบเกินไปแล้วววว แต่ที่บัดซบกว่าคือตรูต้องรอไปอีก5วันนี่แหละ โอ๊ยยยย จะลงแดงตาย สนุกเกินไปแล้วววว // ดิ้นๆๆ

นะ ด้วยความสะเทือนใจเลยหันมาปั่นฟิคเยียวยาตัวเอง 5555+ อ่า...จะวอล์มฮาร์ทๆแบบนี้ละนะคะฟิคเรื่องนี้ อยากเห็นเค้ารักกัลลลล ฮิ้ววว >////<

นอกจาก IF Only ของ JJ Lin แล้วก็มีอีกเพลงที่ฟังตอนแต่งเรื่องนี้ คืออ่านชื่อเพลงไม่ออกและไม่รู้ว่าใครร้อง 5555+ แต่ถ้าดูคลิปของป๋อจ้านจะเจอเพลงนี้ประกอบอยู่บ่อยๆ แล้วเพลงมันจังหวะน่ารักอ่ะ แปะ






แล้วก็ขอบคุณทุกๆการติดตามมากๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้า~




1 ความคิดเห็น:

  1. ตกลงเซียวจ้านเป็นอะไรอ่า...
    อี้ป๋อน่ารักเกินไปละนะ ยอมรับใจตัวเองง่ายๆ แบบนี้ 😳😳😳 เขียนอีกเยอะๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ชอบมากกก

    ตอบลบ