อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] JUNE : 02


อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ เซียวจ้าน]  JUNE : 02

: อี้จ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Warmhearted Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
          




การแอบย่องไปห้องศิลปะหลังจากพวกแก๊งเจ้าชายกลับไปกันหมดแล้วกลายเป็นเรื่องที่เขารอคอยในแต่ละวันไปได้ยังไงกัน?

แต่เขาดันชอบใบหน้ายุ่งๆของเจ้าเหมียวนั่นเวลาถูกเขากวนจริงๆ

“โทษทีทุกคนพวกฉันสองคนถูกอาจารย์เรียกไปพบว่ะ คงอยู่ซ้อมต่อไม่ได้แล้ว”

“ฉันก็ต้องกลับไปช่วยที่บ้านขนของเหมือนกัน กำลังจะเปิดร้าน ยุ่งบัดซบเลยเนี่ย”

“ฉันก็ด้วย”

“ฉันก็ด้วย”

ก็นะ...เพราะแบบนั้นแหละ วันนี้จึงมีแค่เขาที่ว่างแสนว่าง ไม่ใช่วันที่ต้องไปทำงานพิเศษซะด้วย พวกรุ่นพี่ในทีมก็ติดธุระกลับกันไปหมดแล้ว ไอ้ครั้นจะซ้อมเต้นคนเดียวอยู่ตรงนี้มันก็เขินๆแหะ

“อ่ะ...”   เขาหันควับเมื่อเห็นพวกแก๊งเจ้าชายเดินลงจากห้องศิลปะมา เท่าที่ส่องจากเงาสะท้อนในมือถือมีเพียง 6 เงาอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด

หึ เจ้าเหมียวนั่นยังอยู่ข้างบน...

ใบหน้าหล่อเหลาแอบหันไปมอง และเมื่อเจ้าพวกนั้นเดินเลี้ยวพ้นมุมตึกไป เขาก็ลุกจากม้านั่งทันที

เขาเดินไปเต้นไปอย่างอารมณ์ดีแล้วเพียงไม่กี่นาทีร่างสูงชะลูดก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าห้องศิลปะ มือใหญ่เปิดประตูเข้าไปอย่างถือวิสาสะ คนที่นั่งอยู่หลังเฟรมผ้าใบทำหน้ายุ่งทันทีที่เห็นเขา นั่นแหละ  ใบหน้าที่เขาอยากมอง

อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าจะมาที่นี่ทำไมในเมื่อวันนี้เขาไม่ต้องใช้วิทยุ เพราะงั้นแทนที่เขาจะเดินไปหยิบวิทยุเหมือนทุกที เขาจึงเดินเตร่ไปนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง...จากตรงนี้เขามองเห็นแผ่นหลังของเจ้าเหมียวนั่นได้อย่างชัดเจน อีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่เขาถึงสองปี จะว่าไปรูปร่างของเจ้าเหมียวก็นับว่าดีทีเดียว ติดว่าผอมไปหน่อยและไหล่ไม่ได้กว้างมากนัก ต้นคอขาวๆที่เห็นจากข้างหลังนี่ก็น่าหมั่นเขี้ยวจนอยากงับแปลกๆ?

“นี่...จะมาเอาวิทยุก็รีบหยิบๆแล้วก็ไปๆซะ น่ารำคาญจริงเจ้าโฮ่งนี่”   อีกฝ่ายคงรู้ตัวว่าเขามองอยู่เลยไม่มีสมาธิที่จะวาดรูปต่อ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา ถึงเขายืมวิทยุไปก็คงไปเต้นตรงนั้นคนเดียวไม่ไหวหรอก

จริงสิ! เขาเต้นตรงนั้นแล้วมันเขิน แต่ถ้าเป็นในห้องแบบนี้เขาเต้นคนเดียวได้สบาย!

ร่างสูงชะลูดจึงเด้งตัวขึ้นจากขอบหน้าต่าง เจ้าเหมียวเห็นเขาทำท่าจะไปแล้วจึงหยิบพู่กันขึ้นมาเตรียมวาดรูปต่อ แต่ที่ไหนได้...เขาไม่ได้จะไป แต่กลับหยิบแฟลชไดร์ฟขึ้นมาเสียบวิทยุมันซะตรงนี้นี่แหละ

จากเพลงคลาสสิคเปลี่ยนเป็นเพลงฮิปฮอปขึ้นมาทันที

“นาย...”   เจ้าเหมียวอ้าปากค้างอย่างนึกคำด่าไม่ถูก เขาจึงปรบมือเข้ากับจังหวะก่อนจะเดินไปหาด้วยท่าแบบฮิปฮอป เขาวนรอบร่างโปร่งบางอย่างกวนๆอยู่รอบนึงก่อนจะหมุนตัวกลับมาเต้นอยู่กลางห้องอย่างไม่สนใจสายตาเคืองๆกับใบหน้ามนที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หลังเฟรมวาดรูป

เซียวจ้านมองเจ้าโฮ่งนั่นอย่างหงุดหงิด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครกล้ากวนประสาทคุณชายเซียวถึงขนาดนี้มาก่อน เขาต้องห้ามมือของตัวเองแทบตายไม่ให้ปาหลอดสีและพู่กันใส่หัวเจ้าเด็กนั่น เด็กกว่าเขาแท้ๆแต่ความเคารพกลับไม่มี มันน่านัก!

ใบหน้ามนสะบัดหนึ่งทีก่อนจะพยายามหันมาสนใจผืนผ้าใบตรงหน้าต่อ ทว่า หางตาก็แอบเหลือบมองเจ้าโฮ่งนั่นเป็นระยะๆอย่างห้ามใจไม่ได้ ก็โพสิชั่นของเด็กนั่นสวยงามจริงๆ ท่าเต้นพวกนี้ก็เท่ห์ดี เขาเพิ่งเคยเห็นคนเต้นแนวนี้แบบใกล้ๆเป็นครั้งแรก นัยน์ตากลมโตจ้องมองชายเสื้อเชิ้ตที่ร่นลงมาเมื่อหวังอี้ป๋อตีลังกายกขาสูง...เมื่อกี้มันอะไรน่ะ? เจ้าโฮ่งนี่ตัวไม่ได้หนาไม่ได้ล่ำอะไรมากมายเลยนะ? ทำไมถึงมีล่ะ? ถ้าเขาดูไม่ผิดมันน่าจะเป็น...

จู่ๆร่างสูงโปร่งก็ลุกจากหลังเฟรมผ้าใบเดินไปยังวิทยุแล้วกดปิดมันอย่างฉับพลันจนคนที่เต้นอยู่ถึงกับชะงัก เด็กนั่นหันมามองเขาด้วยใบหน้างงๆ

ใบหน้าหล่อเหลามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ เจ้าเหมียวนั่นโกรธเหรอ? หรือว่าเขาก่อกวนแรงไป? เขาก็แค่จะหยอกเล่นเพราะอีกฝ่ายน่ารักดีเท่านั้นเอง

แต่ดูจากดวงตาคู่โตที่จ้องมาที่หน้าท้องของเขาเขม็งแล้วก็ให้รู้สึกหายใจติดขัดแปลกๆ อาการแบบนี้ไม่น่าใช่โกรธมั้ง? เขาก้าวเท้าถอยหลังเมื่อรับรู้ถึงสัญญาณอันตราย เจ้าเหมียวนี่จะจับเขาโยนออกนอกหน้าต่างหรือเปล่า? ถึงแขนจะผอมบางแบบนั้นแต่อาจจะมีแรงมากกว่าที่คิดก็ได้

ร่างโปร่งบางยังคงเดินเข้าหาเขาไม่หยุด แล้วในที่สุดก็จับตัวเขาเอาไว้ได้ สองมือเรียวขาวจู่ๆก็จับหมับมาที่ชายเสื้อเขาก่อนจะดึงมันขึ้นมา! หน้าท้องของเขาจึงปรากฏแก่สายตาของอีกฝ่าย!

“นะ นายทำอะไรเนี่ย?!”   เจ้าเหมียวนี่แกล้งเขาเหรอ? หรือว่าอะไร? ยังไง? เขาทั้งงงทั้งเขิน ความร้อนพวยพุ่งออกมาจากใบหน้า ป่านนี้มันคงจะแดงเถือกไปจนถึงใบหูแล้วมั้ง? เขาทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนเลิ่กลั่กๆ

เขาก้มมองคนที่ค่อมตัวลงไปจนใบหน้ามนนั่นอยู่ระดับเดียวกับหน้าท้องของเขา ดวงตาคู่โตจ้องกล้ามหน้าท้องของเขาเขม็งก่อนจะเงยขึ้นมาถามเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้นเหมือนเด็กๆว่า

“จับได้ไหม?”

“ห๋า? นายจะจับอะไร?!”   ตอนนี้หน้าเขาแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ตกใจก็ตกใจ เจ้าแมวหน้าไม่อายนี่จู่ๆก็พูดอะไรออกมา!

หลังจากที่เขาเอาแต่อึกๆอักๆอ้าปากพะงาบๆ เจ้าคนตรงหน้าก็กระทำการอาจหาญไร้ยางอายไม่สมเป็นเจ้าชาย เจ้าเหมียวกางมือแล้วจับมาที่กล้ามหน้าท้องของเขาโดยไม่รอให้อนุญาต 

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก”   วิญญาณเขาแทบจะหลุดออกจากปาก ดีที่เขากระชากมันกลับมาทันเพราะเขาต้องใช้มันโหยหวน~




หวังอี้ป๋อเดินออกจากห้องศิลปะราวกับสาวน้อยเสียความบริสุทธิ์ เจ้าเหมียวจอมร้ายกาจนี่มันอะไรกัน! มีอย่างที่ไหนมาขอจับกล้ามหน้าท้องของคนอื่นเฉย!

“นี่! นายจะกลับด้วยกันเลยไหม? ยังไงอพาทเม้นต์ก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว”   เขาตั้งสติก่อนจะหันไปถามอีกฝ่ายที่กำลังปิดห้องศิลปะ เขาเว้นระยะห่างอย่างหวาดๆ กลัวว่าเจ้าเหมียวนั่นจะมาตะครุบหน้าท้องของเขาอีก พอได้ยินที่เขาถามเจ้าเหมียวก็หันพรึ่บมามองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย

....จากนั้นก็เป็นเขาเองนี่แหละที่ต้องมานั่งเสียใจพลางโอดครวญอยู่ข้างในว่า...กูไม่น่าถามเล้ยยยยยย

ร่างสูงชะลูดที่เคยเดินกลับบ้านตัวปลิวแต่วันนี้กลับมีเฟรมผ้าใบอันใหญ่แบกอยู่บนไหล่...กลายเป็นว่าเขาต้องมาช่วยเจ้าเหมียวนั่นขนอุปกรณ์วาดรูปกลับบ้านซะงั้น!

“แล้วนายไม่มีรถที่บ้านมารับหรือไง?”   เขาเอ่ยถามในขณะที่แบกเฟรมผ้าใบเดินขึ้นเนิน  เห็นพวกแก๊งเจ้าชายคนอื่นต่างมีรถมาจอดรอรับอยู่หน้าโรงเรียนกันทั้งนั้น

“ก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้วนี่ ไม่อยากให้คนพวกนั้นมาวุ่นวาย นายก็แบกๆไปเถอะน่าอย่าบ่น”   เอ่า ใช้เขาแล้วยังมาปากดีอีกนะเจ้าเหมียวนี่!

“นี่...ปกตินายชอบไปขอจับกล้ามหน้าท้องคนอื่นแบบนี้เหรอ?”   เพี๊ยะ! มือขาวๆฟาดมาที่ต้นแขนเขาอย่างจัง  มันเจ็บนะ!

“ฉันไม่ใช่โรคจิตนะ ก็เพราะไม่เคยเห็นกล้ามหน้าท้องของจริงน่ะสิถึงได้ตื่นเต้น มันต่างจากในหนังสืออนาโตมี่ มันมีแสงมีเงาที่จะสัมผัสได้เฉพาะของจริงเท่านั้น นายไม่รู้หรอกว่า บลาๆๆ....”   เขาหันไปมองใบหน้ามนนั่นพล่ามถึงอนาโตมี่อะไรก็ไม่รู้แหละ ไม่คิดเลยว่าเจ้าคนที่ชอบทำหน้าหยิ่งๆนั่นจะพูดมากขนาดนี้ถ้าเป็นเรื่องที่สนใจ  

“เพื่อนๆเจ้าชายของนายก็มีตั้งหลายคนที่หุ่นดีๆนี่ ทำไมไม่ไปขอดูล่ะ?”  เขานึกถึงผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่หุ่นอย่างกับนายแบบสองสามคนในกลุ่มของอีกฝ่าย พวกนั้นน่าจะหุ่นดีกว่าเขาตั้งเยอะ

“นายจะบ้าเหรอ ขืนไปขอพวกนั้นดูฉันก็ถูกหาว่าเป็นโรคจิตกันพอดี”  แล้วคำตอบของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาถึงกับอ้าปากค้าง

“อ้าว? แล้วขอดูของฉันไม่คิดว่าฉันจะหาว่านายโรคจิตบ้างหรือยังไง?” 

“ช่างนายสิ”   เส้นเลือดที่ขมับของเขาถึงกับเต้นตุบๆ เจ้าเหมียวตัวแสบนี่...ฝากไว้ก่อนเถอะ








ทั้งๆที่ตึกหันหลังชนกันแท้ๆแต่ทำไมมันช่างต่างกันราวฟ้ากับหุบเหวขนาดนี้ หวังอี้ป๋อแบกเฟรมผ้าใบเดินตามร่างโปร่งบางไปตามทางเดินหน้าห้อง ตึกที่เจ้าเหมียวอยู่สะอาดสะอ้านสว่างสไว ทั้งฝ้าทั้งพื้นประดับด้วยบัวดูอย่างกับชนชั้นสูง ประตูห้องแต่ละห้องปิดสนิททำให้โถงทางเดินยาวๆนี้ช่างเงียบสงบ นึกถึงตึกที่ตัวเองอยู่แล้วก็อดสูแปลกๆ ถ้าเป็นที่นั่นละก็...ฝ้าเพดานก็ลอกเหลือง พื้นกระเบื้องก็เป็นคราบเครอะ หมาแมววิ่งกันเลอะเทอะ แถมทุกบ้านยังเปิดประตูคาเอาไว้คุยกันโล้งเล้ง เสียงทำกับข้าว โทรทัศน์ เสียงเด็กวิ่งเล่นดังลั่น นอกนั้นยังมีชั้นวางรองเท้าเอย ราวตากผ้าเอย กองกระดาษลังหนังสือพิมพ์ สารพัดที่จะเอามายัดๆวางๆไว้หน้าห้องได้ ทางเดินเรียบโล่งแบบนี้แทบหาไม่มีในอพาทเม้นต์ที่เขาอยู่

“ถึงแล้ว”  เจ้าเหมียวกดรหัสหน้าห้องอย่างไม่สนใจว่าเขาจะแอบดู ห้องของเจ้าเหมียวอยู่ชั้นสอง แหงละ มันก็ต้องชั้นสองอยู่แล้วเพราะห้องของเขาเองก็อยู่ชั้นสอง

“เอาไปวางไว้ตรงนั้น”   เจ้าเหมียวชี้นิ้วสั่ง นี่เขากลายเป็นทาสแมวไปตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ก็หลวมตัวยกมาถึงนี่แล้วเลยแบกต่อให้อีกหน่อยแล้วกัน

ถึงจะบอกว่าให้เอาไปวางไว้ตรงนั้น...แต่จะให้เขาเดินไปยังไงละฟ๊ะ? ใบหน้าหล่อเหลากวาดมองลังกระดาษที่วางระเกะระกะเต็มห้อง ข้าวของที่ถูกรื้อออกมาก็วางเทินอยู่บนลังนั่นแหละ อย่าบอกนะว่าย้ายมาตั้งเกือบสองอาทิตย์แล้วยังเก็บของไม่เสร็จอีกน่ะ? ไม่สิ สภาพของนี่มันเหมือนกับไม่ได้เก็บเลยมากกว่า จะใช้อะไรก็รื้อๆออกมาจากลังเท่าที่จะใช้แค่นั้น

“ไม่คิดจะเก็บหน่อยเหรอ?”   เขาอดรนทนไม่ไหวจึงถามออกไป

“คิด...แต่ฉันทำไม่เป็น”   .........ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเพลียกับเจ้าเหมียวนี่นักนะ? เขาหันไปมองคนที่เดินไปนั่งที่โซฟาอย่างละเหี่ยใจ ใบหน้ามนหันมาเอียงคอมองเขาก่อนจะอมยิ้มเจ้าเล่ห์

“นาย~~ จะช่วยฉันเก็บงั้นเหรอ~~”   ไม่ต้องมายิ้มหวานเลย!

เวรกรรมอะไรของเขาเนี่ย? รู้งี้ไม่ทักซะก็ดีหรอก! หมอนี่มันเหมือนแมวจริงๆนั่นแหละ เข้ามาอ้อนก็เฉพาะเวลาที่จะจิกหัวใช้ ถ้าไม่มีอะไรก็จะเมินใส่ มันน่านัก! แต่เห็นสภาพห้องที่แปลผกผันกับความหรูหราของอพาทเม้นต์ราคาแพงนี่แล้วเขาก็รับไม่ได้จริงๆ ว้อยยยย เก็บก็เก็บฟ๊ะ!

เขาลงมือรื้อของในกล่องออกมาโดยมีเจ้าเหมียวนั่งสั่งการอยู่บนเก้าอี้  อันที่จริงของในกล่องส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือแล้วก็ไม่ได้เก็บยากอย่างที่คิด เขารื้อกระเป๋าเดินทางที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้า จะไม่เป็นไรแน่เหรอเนี่ยที่ให้เขามาจับของใช้ส่วนตัวแบบนี้? ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองเจ้าเหมียวที่เบื่อกับการคอยดูเขาแล้วย้ายตัวเองไปนั่งอ่านหนังสือสบายใจเฉิบอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น...ช่างเถอะ เก็บๆให้มันเสร็จๆไปเถอะ!

ยังดีที่มันถูกใส่ลงกระเป๋าทั้งไม้แขวน เขาจึงย้ายมันใส่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ได้ไม่ยาก เนื้อผ้าที่ฝ่ามือเขาสัมผัสนั้นเรียบลื่น เสื้อผ้าพวกนี้น่าจะราคาแพงหูฉี่แล้วก็มีแต่ชุดสไตล์คุณชายทั้งนั้น เขาเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย...ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ใช่คนที่เข้ากับคนแปลกหน้าได้ง่ายๆ ไม่เคยพูดกับใครและไม่เคยนึกอยากแกล้งใครแบบนี้มาก่อน มันทำให้เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆว่าทำไมถึงยอมเจ้าเหมียวนี่

ข้าวของที่เคยวางเกะกะเต็มห้องตอนนี้ถูกจัดเก็บจนเรียบ เวลาผ่านไปจนมืดค่ำและตอนนี้เขาก็กำลังเปิดลังสุดท้ายซึ่งเป็นลังเล็กๆ...แล้วมันก็ไม่ได้มีของสำคัญอะไรนอกจากหลอดสีน้ำที่เรียงเป็นตับ

ยิ่งเปิดลังมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งแปลกใจ ถ้าคิดว่าเขาจะเจอความลับอย่างรูปภาพคนรักของหมอนั่นหรือของดูต่างหน้าชิ้นสำคัญอะไรแบบนี้ก็ต้องบอกว่าคิดผิดไปถนัด...เพราะมันไม่มีของแบบนั้นเลย ไม่มีภาพถ่ายของใครสักใบ แม้แต่ภาพของคนในครอบครัวก็ไม่มี

เขากวาดตามองเตียงหลังใหญ่ที่มีร่องรอยเจ้าเหมียวนอนเอาไว้ ที่โต๊ะข้างเตียงเองก็มีแค่หนังสือสองสามเล่ม....หมอนั่นเพิ่งอยู่ม.6เองนะ ไม่มีของสะสมลูกผู้ชายอย่างโมเดลรถ เครื่องบิน หรือฟิกเกอร์ฮีโร่อะไรแบบนี้บ้างเลยเหรอ? เจ้าเหมียวนั่นใช้ชีวิตแห้งเหี่ยวมายังไงกัน??


ตรู๊ด~ ตรู๊ด~ ตรู๊ด~~
 

เสียงเหมือนโทรศัพท์ดังทำให้เขามองหาต้นตอของเสียงโดยอัตโนมัติ...ไม่ใช่โทรศัพท์ของเขาที่มีสายเข้า แต่เป็นของเจ้าเหมียวต่างหาก


[เฉินจงอี]


เขาเหลือบไปเห็นชื่อที่หน้าจอพอดีก่อนที่เจ้าเหมียวจะหยิบมันไป...เฉินจงอี...เฉินจงอี...ถ้าจำไม่ผิดเจ้าของชื่อนี้ก็อยู่ในแก๊งเจ้าชายด้วย พวกรุ่นพี่ในทีมสตรีทแดนซ์เคยร่ายรายชื่อให้เขาฟังตอนที่เขาเอารูปเจ้าเหมียวไปถามชื่อ แต่เขาก็จำไม่ได้แล้วว่าคนที่ชื่อ เฉินจงอี นี่คือคนไหน

“ฮัลโหล”   ร่างโปร่งบางเดินออกไปคุยที่ห้องนั่งเล่นแต่เพราะยังเปิดประตูคาเอาไว้ เขาเลยได้ยินเสียงแว่วๆ

“กินยารึยัง?”   ยา? ยาอะไร? เจ้าเหมียวนั่นป่วยเหรอ?

“อื้อ กินแล้ว”  เจ้าเหมียวตอบสั้นๆ

“ข้าวล่ะ?”   เดี๋ยวนะ...เป็นเพื่อนกันนี่ต้องโทรมาเช็คว่ากินข้าวหรือยังแบบนี้ด้วยเหรอ?

“.....ยัง”  เจ้าเหมียวตอบพลางก้มหน้าเหมือนกำลังลำบากใจ

“จะให้ฉันซื้อเข้าไปให้ไหม?”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวจะสั่งมา....”

“เสี่ยวจ้าน...ถ้าไม่อยากให้ฉันยุ่งกับนายนักก็ช่วยดูแลตัวเองหน่อยสิ ไม่งั้นฉันก็คงปล่อยนายไปไม่ได้สักที นายเองก็รู้...”   เขายืนเบิกตาโพลงอยู่หลังประตู...แบบนี้ไม่น่าเป็นแค่เพื่อนกันแล้วไหม?

“.....เข้าใจแล้ว”

“แค่นี้นะ”

เจ้าเหมียวกดวางสายไปก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องนอน สายตาของเขาจึงสบประสานกับดวงตาคู่โตนั่นโดยบังเอิญ ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบไป ดูเหมือนเจ้าเหมียวเองก็น่าจะรู้ว่าเขาได้ยิน ปิดบังไปก็คงไม่มีประโยชน์ เขาจึงตัดสินใจถามออกไปจะได้รู้ว่าเขาต้องเว้นระยะกับเจ้าเหมียวนี่มากน้อยแค่ไหน

“...คบกันอยู่เหรอ...กับคนที่โทรมา...”   เขามองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่มีแววลำบากใจฉายอยู่ครู่หนึ่ง

“เปล่า...หมอนั่นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยห่วงไม่เข้าเรื่อง”   แต่เขากลับไม่คิดว่าเฉินจงอีจะคิดกับเจ้าเหมียวนี่แค่เพื่อนนะ? แต่ทำไมเขาถึงคิดแบบนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน?

“เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวนายก็แล้วกัน กินอะไร? พิซซ่า?”   เจ้าเหมียวเปลี่ยนเรื่อง พอพูดเรื่องอาหารเขาจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่านี่มันได้เวลาอาหารเย็นมานานแล้ว

“นายจะสั่งมากินที่นี่เหรอ?”   เขาก้มลงไปหยิบลังกระดาษเปล่าๆที่กองรวมกันไว้มุมหนึ่งของห้องขึ้นมาอย่างตั้งใจจะย้ายมันไปที่ระเบียง

“ใช่ไง จะให้ไปกินที่ไหน?”  มือขาวซีดยกโทรศัพท์ขึ้นมาเขาจึงปล่อยให้อีกฝ่ายโทรสั่งไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอก้าวออกไปยังระเบียงหลังห้องได้เท่านั้นแหละ

“นี่เจ้าเหมียว...ไอ้กองกล่องพิซซ่าที่วางอยู่หลังห้องนายนี่มันหมายความว่าไง? ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็กินแต่พิซซ่างั้นเหรอ?”   มือใหญ่รีบดึงโทรศัพท์มือถือของคนที่นั่งอยู่บนเตียงมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้โทรสั่งพิซซ่า

“อืม”   ใบหน้ามนยังมีหน้ามาตอบรับหน้าตาเฉย กินพิซซ่ามาตลอดสองอาทิตย์เนี่ยนะ?...ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของเฉินจงอีขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมถึงไม่สามารถจะปล่อยมือจากเจ้าเหมียวนี่ได้!

“ออกไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย!   เขาคว้าข้อมือของคนที่นั่งงงก่อนจะลากให้เดินตามมา

“ห๋า? นายจะพาฉันไปไหน?”   เจ้าเหมียวถูกลากจนแทบจะปลิวติดมือเขาแต่ปากก็ยังถามไม่หยุด

“นายต้องออกไปกินข้าวกับฉัน แล้วจากนี้ทุกวัน ทุกเย็น ฉันต้องเห็นนายที่ร้าน ไม่งั้นฉันจะบุกมาถึงนี่ คอยดู!”   เขาหันมาขู่ก่อนจะลากร่างโปร่งบางให้เดินตามมาอย่างไม่ฟังเสียงทัดทาน แล้วขวาเลี้ยวซ้ายไม่กี่บลอคก็มาถึงหน้าร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งเขาทำงานพิเศษอยู่


กริ๊งๆ


เสียงกระพรวนหน้าร้านดังขึ้นเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป ภายในร้านตกแต่งเอาไว้ในบรรยากาศสบายๆ ที่นี่ขายทั้งอาหารจีน ฝรั่ง ฟิชชั่น เพราะงั้นมีสารอาหารให้เจ้าเหมียวนี่กินได้ครบห้าหมู่ ครบเจ็ดวันต่ออาทิตย์แน่นอน

“อ้าวอี้ป๋อ? วันนี้ไม่มีเวรไม่ใช่เหรอ?”  เฮียเจ้าของร้านทักเสียงใสเมื่อเห็นหน้าเขา ใบหน้าครึ้มไปด้วยหนวดเคราดูเถื่อนไม่สมเป็นเจ้าของร้านอาหารครอบครัวแบบนี้เลยสักนิด แต่เฮียก็ใจดีและช่วยเหลือเขามามากมาย

“ครับ แต่ขอยืมครัวหน่อยก็แล้วกันครับ”   เขากดไหล่บางของเจ้าเหมียวให้นั่งลงไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง

“โอ้...”   เฮียขานรับเบาๆพลางมองเขาทีมองเจ้าเหมียวที

เขาเดินอ้อมเคาน์เตอร์ไปยังหลังร้าน เขาอาจจะไม่ได้เก่งเรื่องการทำอาหารแต่ก็พอทำของกินง่ายๆอย่างบะหมี่น้ำเป็น เขาลวกเส้นแล้วตักน้ำซุปสูตรเฉพาะของร้านใส่ลงไปจนดูน่ากิน หอมซอยลอยอยู่ด้านบน แต่ก่อนที่จะยกออกไปให้เจ้าเหมียวเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ มือคว้ากรรไกรกับฟองเต้าหู้แผ่นขึ้นมาก่อนจะลงมือทำพลางอมยิ้ม

“เอ้า บะหมี่เจ้าเหมียว สูตรเด็ดของฉันเอง กินซะ”   ถ้วยบะหมี่ถูกวางลงไปตรงหน้าร่างโปร่งบาง ดวงตาคู่โตจ้องฟองเต้าหู้ที่ถูกตัดเป็นรูปแมวก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา

“เจ้าบ้า...”   ถึงจะด่าเขาแต่ใบหน้ามนก็ขำเบาๆ

เขานั่งมองอีกฝ่ายค่อยๆกินบะหมี่อย่างผู้ดี  ริมฝีปากสีแดงที่ค่อยๆดูดเส้นบะหมี่เข้าไป...ทำไม...มันทำให้ใจสั่นได้ขนาดนี้....

“เดี๋ยวฉันไปยกของตัวเองบ้าง”  เขารีบสะบัดหน้าหนีก่อนจะเดินเข้าไปในครัวอีกรอบ แย่แล้ว ใจที่เต้นไม่ธรรมดานี่มันอะไรกัน??











งานวัฒนธรรมของโรงเรียนยังคงเป็นคำที่ทำให้คุณชายแห่งตระกูลเซียวคิดไม่ตกได้ทุกปี ถึงพวกเพื่อนๆของเขาจะเอาห้องศิลปะไว้บังหน้า แต่ตัวเขาเองน่ะอยู่ชมรมศิลปะจริงๆ แล้วในหนึ่งปีก็จะมีหนึ่งวันที่ต้องเอาผลงานของชมรมออกไปโชว์ แน่นอนว่าชมรมกำมะลอที่มีแต่สมาชิกผีที่เอาพื้นที่ชมรมไว้นั่งเล่นพวกนั้นมันไร้ประโยชน์สิ้นดีในเวลาแบบนี้

“เอาภาพที่ติดไว้ที่บ้านฉันมาโชว์ไหม? เป็นของศิลปินอิตาลีอะไรสักอย่าง แม่ซื้อมาหลายล้านดอลล่าอยู่นะ”

“หรือจะจ้างศิลปินมาวาดให้ใหม่ก็ได้นี่? เอาไหมล่ะ?”

“เอารูปอะไรมั่วๆมาใส่กรอบก็พอแล้วมั้ง?”

“ฉันว่าเอารูปของปีที่แล้วมาใช้ก็ได้นี่ ไม่มีใครจำได้หรอก”

นั่นแหละ...นั่นคือความคิดเห็นของไอ้พวกสมาชิกผีที่วันๆเอาแต่มานอนเล่น ขีดเส้นซักเส้นก็ยังไม่เป็นด้วยซ้ำ แล้วมีหน้ามาใส่ชื่อว่าเป็นสมาชิกชมรมศิลปะทำให้ไม่มีใครกล้ามาสมัครเพิ่มอีก เพราะงั้นทุกๆปีจึงมีแต่เขานี่แหละที่ต้องลำบากลำบนวาดภาพออกไปโชว์แทนพวกมัน

“เฮ้อ...”   ดวงตาคู่โตทอดมองเฟรมผ้าใบที่ยังว่างเปล่า ผลงานชิ้นเล็กชิ้นน้อยเขาก็วาดสะสมเอาไว้ทั้งเทอมแล้ว ยังเหลือก็แต่ภาพใหญ่สุดนี่แหละที่ยังคิดไม่ออกว่าจะวาดอะไรดี

ร่างโปร่งบางล้มตัวลงบนเตียงก่อนจะกลิ้งกลุกๆไปจบในท่านอนคว่ำ ปลายคางเกยอยู่บนผ้าห่มหนานุ่ม สายตามองออกไปนอกระเบียงหลังห้อง...เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของเจ้าโฮ่งแขวนอยู่ที่ระเบียงตึกฝั่งโน้น ดวงตาคู่โตมองตามชายเสื้อที่พลิ้วไหวไปกับสายลม...ไม่รู้ทำไม...ภาพของหวังอี้ป๋อที่กำลังเต้นอยู่ถึงไม่ยอมออกไปจากหัวของเขาสักที...ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

ร่างโปร่งบางพรวดพราดลุกขึ้นนั่งเมื่อนึกอะไรออก มือบางรีบฉีกกระดาษแล้วขย๋ำเป็นก้อนเล็กๆสองสามก้อน ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเดินออกไปยังระเบียงหลังห้องก่อนจะปาก้อนกระดาษพวกนั้นไปที่ประตูกระจกของตึกฝั่งนู้น


ก๊อก....


ก๊อก.....


ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงก๊อกๆน่ารำคาญทำให้หัวคิ้วของหวังอี้ป๋อขมวดมุ่น ร่างสูงชะลูดพลิกกายพยายามจะนอนต่อ ทว่าเสียงก๊อกๆพวกนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายไปซ้ำยังทวีความถี่มากขึ้นด้วย  เสียงอะไรฟ๊ะ?  ร่างสูงชะลูดลุกจากการนอนกลางวันบนโซฟาอย่างนึกหงุดหงิด


ครืด!!


ประตูเลื่อนหลังห้องถูกเปิดออกแล้วสายตาที่ยังไม่ค่อยจะเปิดดีของเขาก็เห็นก้อนกระดาษประหลาดๆกระจายอยู่เต็มระเบียง อะไรเนี่ย?

“ฮ่าๆๆๆ”   เสียงเจ้าเหมียว? เขาเงยหน้ายุ่งๆมองอีกฝ่ายที่ยืนหัวเราะอยู่บนระเบียงฝั่งตรงข้าม

“สภาพนายตอนตื่นนี่สุดยอดเลย ฮ่าๆๆ”   เขาก้มลงมองตัวเองที่อยู่ในเสื้อกล้าม ผมเผ้าชี้โด่ชี้เด่

“ขำอะไรเจ้าเหมียว เมื่อคืนฉันกลับดึก นายมากวนฉันถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญละก็ น่าดู”  มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมลวกๆก่อนจะส่งสายตาดุๆไปให้อีกฝ่าย

“ออกไปด้วยกันหน่อย”  แล้วใบหน้ามนก็เอ่ยคำที่ทำให้เขาประหลาดใจ

“หื๋อ? ไปไหน?”   เขาถามกลับไปแบบงงๆ

“สนามเด็กเล่น”   แต่คำตอบของเจ้าเหมียวก็ทำให้เขางงหนักกว่าเดิม

“ห๋า?”

“ลงมาเร็ว ฉันให้เวลานายห้านาที”

“เดี๋ยว......”   ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรหรือตั้งสติ เจ้าเหมียวก็วิ่งออกจากห้องไปแล้ว........โว้ยยยย เจ้าแมวตัวร้าย! เอาแต่ใจชะมัด! เป็นเด็กรึไง?!

มือใหญ่หยิบเสื้อเชิ้ตที่ตากอยู่มาตวัดคลุมไหล่ก่อนจะวักน้ำใส่หน้าสองสามที เสยผมให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป...แล้วทำไมเขาต้องทำตามด้วยเนี่ย? อันนี้สิที่งงหนักมาก



“มีอะไร? จะขอดูกล้ามหน้าท้องฉันอีกงั้นสิ?”   ร่างสูงชะลูดหยุดยืนตรงหน้าร่างโปร่งบางที่นั่งอยู่บนม้านั่งข้างสนามเด็กเล่น

“เกือบใช่”   มือใหญ่ยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกด้วยท่าทางหวาดๆและมันก็ชวนให้อีกคนนึกอยากประทุษร้ายขึ้นมาตะหงิดๆ

“เต้นให้ดูหน่อย”   ใบหน้ามนเงยบอก

“ห๊ะ?”  แหงละที่คนฟังจะงง เพราะงั้นเขาจึงหยิบสมุดสเก็ตขึ้นมาแล้วอธิบายเพิ่ม

“ฉันจะวาดรูป”   เจ้าโฮ่งร้องอ๋อก่อนจะพยักหน้าเป็นจังหวะ

“งั้นก็บอกกันดีๆสิ ฉันต้องเปิดเพลงนะ”   เจ้าโฮ่งหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา หลังจากเปิดเพลงแล้วก็วางมันไว้ข้างๆเขา ร่างสูงชะลูดพลิ้วกายห่างออกไปให้มีระยะก่อนจะเต้นไปตามจังหวะ

เพลงพวกนี้เรียกว่าอะไรกันนะ แร๊พ? ฮิปฮอป? คนที่ฟังเพลงบัลลาดกับคลาสสิคมาตลอดอย่างเขาเรียกไม่ถูก สองแขนกอดสมุดสเก็ตเอาไว้ก่อนจะทอดสายตามองหวังอี้ป๋อ ร่างกายของหมอนั่นราวกับไม่มีกระดูก ทุกการเคลื่อนไหวช่างลื่นไหลไปตามจังหวะเสียงเพลง ทั้งการวางท่า ทั้งการหยุดล้วนทำออกมาแล้วดูดีดูเท่ห์มากจนหยุดมองไม่ได้ ถึงจะมีท่าโยกไปโยกมาทว่าอีกฝ่ายกลับทำมันออกมาได้แข็งแรงมาก

หน้าสมุดสเก็ตค่อยๆเปิดออก ปลายดินสอถูกจรดลงไปกลายเป็นเส้นร่าง เขาค่อยๆใช้มือข้างนี้กอบกุมหวังอี้ป๋อแล้วเอามากักเก็บไว้ในสมุดของเขา...

ร่างสูงยาวเต้นไปเรื่อยๆ มันคงจะเป็นภาพที่ประหลาดดีที่คนหนึ่งซ้อมเต้นอยู่ในสนามเด็กเล่น ส่วนอีกคนก็นั่งวาดรูปอยู่ข้างๆ ปลายนิ้วที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกดปิดเพลงจากมือถือก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆเขา ดวงตาคู่โตเหลือบมองหน้าเจ้าโฮ่งที่มีเหงื่อเกาะพราว เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงได้มีซิกแพ็คทั้งๆที่ตัวไม่ได้หนา นั่นก็เพราะว่าการเต้นก็เหมือนการออกกำลังกาย ต้องใช้พลังงานมหาศาลและใช้ร่างกายทุกส่วน

“ร้อน...”   เจ้าโฮ่งถอดเสื้อตัวนอกออกเขาจึงหันไปจ้องกล้ามที่แขน ถึงจะไม่ใช่กล้ามที่ใหญ่โตเหมือนพวกนักเพาะกาย แต่เขากลับคิดว่ากล้ามประมาณนี้กำลังดีเลย

“ไหน ได้รูปอะไรมาบ้าง?”   ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามามองในสมุดของเขา

“ว้าว นายวาดรูปสวยจัง นี่ฉันเหรอ?”   เพราะยังเป็นแค่เส้นสเก็ตจึงเห็นเพียงท่าทาง ไม่เห็นใบหน้า

“ไม่ใช่นายมั้ง? ฉันคงนั่งวาดรูปหมาอยู่มั้ง?”  เจ้าโฮ่งยิ้มมุมปากทันทีที่ถูกเขากวนประสาท

“นายนี่มันกวนชะมัด~~~”   มือใหญ่จับหมับมาที่สองแก้มของเขาก็จะบีบนวดมันจนเจ็บไปหมด

“อื้อ~”   เขาฟาดป้าบๆลงไปที่ต้นแขนอีกฝ่าย พอต่างฝ่ายต่างยอมปล่อยกันได้ ก็ต้องมานั่งหอบอยู่พักใหญ่

เขาหมุนดินสอในมือก่อนจะเหลือบมองเจ้าโฮ่งที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าสบายๆ

“ไปเดตมาเหรอ ถึงได้กลับดึก”  เขาถามออกไปลอยๆ

“ใครว่า...ไปทำงานมา”   เจ้าโฮ่งตอบอย่างไม่ใส่ใจ ใบหน้าหล่อเหลาเงยมองท้องฟ้าก่อนจะปิดตารับลม

“งาน?”

“คืนวันศุกร์กับเสาร์จะทำงานที่บาร์ด้วย”   ทั้งๆที่วันธรรมดาก็ทำงานพิเศษที่ร้านอาหารตอนหลังเลิกเรียนเนี่ยนะ?

“นายไม่มีพ่อแม่เหรอ?”   เจ้าโฮ่งถึงกับหัวเราะพรืดไปกับคำถามประชดประชันของเขา ก่อนจะผงกหัวมาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“....นายไม่เห็นผ้าถุงกับเสื้อลุงๆที่ตากอยู่หลังห้องฉันรึไง?”

“......เห็น”   เออ แล้วจะสงสัยอะไร? สายตาของเจ้าโฮ่งบอกอย่างงั้น

“งั้นทำไมต้องทำงานเยอะแยะแบบนั้นด้วย?”

“เอาไว้เป็นค่าสมัครไง เวลาจะไปแข่งแดนซ์คอนเทส บางที่มันก็ต้องมีค่าสมัคร ไม่ก็ค่าเดินทาง ฉันไม่อยากขอพ่อกับแม่”   เขาอึ้งไปกับคำตอบที่ได้รับ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนจริงจังกับการเต้นขนาดนี้ด้วย คงต้องมองเจ้าเด็กนี่ใหม่เสียแล้ว

“เห๋....ถ้างั้นฉันก็ต้องจ่ายค่าจ้างนายด้วยไหม? ที่เรียกออกมาให้เต้นให้ดูเนี่ย?”  ใบหน้ามนถามทีเล่นทีจริง

“ต้องจ่ายสิ”   เจ้าโฮ่งขยับลุกขึ้นมานั่งเท้าสองแขนเอาไว้กับต้นขาแล้วค่อมกายมาเผชิญหน้ากับเขา

“เท่าไหร่”   ดวงตาคู่โตสบประสานกับนัยน์ตาลุ่มลึก เขาไม่ได้คิดมากหากจะต้องจ่ายค่าจ้างให้เด็กนี่ เพราะยังไงมันก็เสียเวลา...ทว่า...คำตอบของอีกฝ่ายกลับเป็น

“ให้ฉันมองหน้านาย”

“ห๊ะ?”   สมองของเขาประมวลผลไม่ทัน ว่าอะไรนะ??

“ให้ฉันมองหน้านายเป็นค่าตอบแทน”  ความร้อนจากทั้งร่างกายกำลังพุ่งไปรวมกันอยู่ที่ใบหน้า  เจ้าโฮ่งนี่มันพูดอะไรออกมา?!

หวังอี้ป๋อยิ้มจนเห็นฟัน รอยยิ้มนั้นช่างมีเสน่ห์และเจ้าเล่ห์ ร่างสูงชะลูดลุกขึ้นก่อนจะออกเดินนำ

“เย็นแล้ว กลับบ้านกันเถอะ ว่าแต่นายมีอะไรกินรึยังวันนี้”

“ยัง....”  เขาลุกขึ้นเดินตามราวกับสติยังไม่กลับโลก

“งั้นก็แวะไปซื้อก่อน”

“อือ...”



นี่มันอะไรกันๆๆๆ  นี่มันอะไรกัน!!










.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




ดูจากความไวในการปั่นแล้วก็พอจะรู้ตัวค่ะว่าติดหนักขนาดไหน 5555+ โอย ซีรี่ย์มันดีงามมมม อี้ป๋อกับเซียวจ้านก็น่าร้ากกกก ชอบความตีกันอวยกันตลอดเวลา5555+

จริงๆตอนแรกก็กังวลอยู่ค่ะว่าจะลงฟิคดีไหม กลัวกองเซ็นเซอร์พี่จีนเค้านั่นแหละ แต่พอแม่จีนออกมาบอกว่าไม่ต้องกังวลไป ในโซเชียลยังได้อยู่...โอเค ได้ จัดไป ไหนๆพ่อกัปตันเรืออี้ป๋อเค้าก็มาให้ชื่อเรือด้วยตัวเองแล้ว ก็เลยเปลี่ยนหัวเรื่องตามเป็น อี้จ้าน ค่ะ 555+

จริงๆจะไม่ค่อยรู้ข้อห้ามหรืออะไรทางฝั่งจีนมากนัก ถ้าอันไหนไม่ได้ก็บอกคุณกวางได้เด้อ คือเกร็งมากกกกอ่ะตั้งแต่เริ่มแต่งฟิคด้อมนี้ กลัวทำอะไรผิดไปหรือละเมิดกฎอะไรเค้า ^ ^

ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆการติดตามนะคะ =v= แล้วเจอกัลตอนหน้า~




1 ความคิดเห็น:

  1. การแต่งฟิคนักแสดงไม่ผิดกฏค่ะ แต่ถ้าจะแต่งคู่หลานจ้านเว่ยอิง ก็แต่งได้แต่ห้ามสลับโพสิชั่น ห้ามเอาไปทำการพาณิชย์(ค้าขายเอากำไร) ปรับห้าล้าน(ถ้าจำไม่ผิด)
    แต่งได้แต่งเลยจ้า
    ชอบบบ อิอิ
    เป็นกำลังใจให้นะคะ แล้วก็...เรารอเรื่องpsychopassอยู่นะ ยังไงก็รอ

    ตอบลบ