อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] JUNE : 01


อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ เซียวจ้าน]  JUNE : 01

: อี้จ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Warmhearted Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
          





“หวังอี้ป๋อ ที่คุณให้สัมภาษณ์ในรายการสดเมื่อวานว่าเคยมีแฟนที่รักมากตอนเรียนมัธยมปลายเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ?”  

“แล้วตอนนี้ยังคบกันอยู่ไหมครับ?”

“แต่เท่าที่เราทราบมา คุณเรียนม.ปลายที่จีนถึงแค่ม.4เองนี่คะ แล้วก็จากที่ทราบมาคุณไม่เคยคบผู้หญิงคนไหน?”

“หรือว่าคุณจะมีแฟนตอนอยู่ที่เกาหลี? แต่ตอนนั้นคุณเข้าเป็นเด็กฝึกแล้วนี่? มีเวลาเหรอครับ?”

ไมค์นับครึ่งร้อยพร้อมด้วยกองทัพสื่อมวลชนต่างเบียดเสียดเยียดยัดกันเข้ามาเพื่อให้ได้ข่าวของไอดอลชื่อดัง แค่เด็กหนุ่มพูดอะไรออกไปนิดเดียวก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ไปเสียหมด

“ขอโทษนะคะ ตอนนี้อี้ป๋อต้องรีบไปงานต่อ ถ้ายังไงเอาไว้คราวหน้านะคะ”  แต่คำถามมากมายก็ไม่ได้รับคำตอบเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงชะลูดฝ่ากองทัพนักข่าวไปจนถึงรถตู้จนได้ ผู้จัดการที่ตามประกบท้ายปิดประตูรถทันทีโดยไม่มีใครได้รับสิทธิ์ในการสัมภาษณ์แม้แต่คนเดียว

“ออกรถเลยค่ะ”  ผู้จัดการสาวตะโกนบอกคนขับ  เมื่อรถแล่นออกไปจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีนักข่าวคนไหนวิ่งตามมาได้ กระเป๋าถือใบใหญ่ที่เอาไว้ใส่สารพัดของใช้จำเป็นของหวังอี้ป๋อก็ถูกวางลวกๆลงไปบนเบาะ หญิงสาวหยิบพัดมาพัดใส่หน้าด้วยท่าทางทั้งร้อนและเหนื่อยจัด

“เฮ้อ~...ขยันก่อเรื่องจริงๆนะนายเนี่ย ไอดอลที่กระแสไม่มีตกคงมีแต่นายนี่แหละพ่อตัวดี”  ถึงปากจะบ่นแต่ใบหน้าของผู้จัดการสาวกลับยิ้มเจ้าเล่ห์ ข่าวรอบนี้คงทำให้ชื่อของเด็กหนุ่มติดลมบนไปอีกนาน

“ก็เป็นหน้าที่ของผมนี่นา”   ร่างสูงชะลูดล้มตัวลงนอนอยู่ที่เบาะหลังสุด เขาไม่ได้หลับแต่กลับกำลังเปลี่ยนกางเกงอยู่ต่างหาก จากชุดสบายๆสไตล์วัยรุ่นดูภูมิฐานขึ้นมาทันทีที่เด็กหนุ่มเปลี่ยนไปใส่กางเกงสแล็คกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำสนิท สูทเข้ารูปถูกรูดออกมาจากไม้แขวนก่อนจะสวมทับลงไปบนไหล่กว้าง

“แต่ไม่คิดว่าจะพูดถึงเรื่องนี้...คนที่ประวัติเรื่องความรักใสสะอาดอย่างนาย พอพูดออกมาใครก็ต้องอยากรู้เป็นธรรมดา”  ผู้จัดการสาวนั่งกระพืดพัดอยู่เบาะหน้าเอ่ยออกมาลอยๆ แต่เอาจริงๆเธอก็สงสัยอยู่หน่อยๆเหมือนกันนั่นแหละ ก็ตั้งแต่เดบิวต์มาหลายปี หวังอี้ป๋อก็ไม่เคยทำให้เธอต้องปวดหัวกับการแก้ข่าวเรื่องรักๆใคร่ๆเลย ไม่เคยเป็นข่าวกับผู้หญิงคนไหนแม้แต่คนเดียว

“......”  เด็กหนุ่มไม่ตอบ ทำแค่เซตผมกับกระจกอยู่แบบนั้น

“อี้ป๋อ...ไม่ใช่ว่านายพยายามจะซุกซ่อนเขาเอาไว้หรอกเหรอ?”   คงจะมีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องที่เด็กหนุ่มให้สัมภาษณ์ไปเป็นเรื่องจริง และการที่อี้ป๋อไม่เคยยอมให้ตัวเองเป็นข่าวกับสาวคนไหนนั่นก็เพราะว่าเด็กหนุ่มมีคนที่รักมากอยู่แล้วจริงๆ

“.......”   ใบหน้าเรียวยาวหล่อเหลาเอาการหันไปหันมาต่อหน้ากระจกเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะหันมาเอ่ยปาก

“ช่วยแวะร้านขายดอกไม้ก่อนจะไปที่นั่นด้วยนะครับ”   แต่เด็กหนุ่มกลับพูดกับคนขับรถโดยไม่สนใจจะตอบคำถามของผู้จัดการ

จะซุกซ่อนหรือไม่...ยังไงซะตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์แล้วละ...






“ไม่ต้องรอนะ เดี๋ยวผมกลับเอง”  หวังอี้ป๋อหันไปบอกใส่ประตูรถตู้ที่ปิดลงอย่างรู้ดี

ร่างสูงยาวในเสื้อสูทแบบลำลองเดินเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งพร้อมกับช่อดอกไม้สีขาว ใครๆก็อาจจะคิดว่าเขามาหาสาวคนรักแน่ๆถ้าเขาจะไม่ได้ใส่สีดำสนิททั้งชุดแบบนี้  เขาเดินผ่านผืนหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยแผ่นหิน ณ.สถานที่นี้เขาไม่ต้องคอยระแวดระวังนักข่าวหรือแฟนคลับเพราะคงไม่มีใครตามเขามาถึงที่แบบนี้

สองขาหยุดลงเมื่อถึงที่ที่ต้องหยุด

ช่อดอกไม้สีขาวถูกวางลงไปบนแผ่นป้ายหน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง...ชื่อที่สลักอยู่บนนั้นคือชื่อที่อยู่ในใจของเขาตลอดมา...

ร่างสูงชะลูดยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะมองชื่อนั้นด้วยความคำนึง...ทุกๆปีเขาทำได้แค่มายืนอยู่ตรงนี้ เฝ้ามอง เฝ้าคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่มันผ่านไปแล้ว

ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้...

เขาจะทำอะไรเพื่อพี่ชายคนนั้นได้มากกว่านี้ไหมนะ...

ตอนนั้น...เขาไม่มีทั้งแรงและกำลัง แต่ตอนนี้เขามีทุกๆอย่าง...

โลก...มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน...












เรื่องระหว่างเขา...กับเจ้าของป้ายหลุมศพนี้...


คงต้องย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน...










ย้อนกลับไป...เมื่อสมัยที่หวังอี้ป๋อยังเป็นแค่เด็กมัธยมปลายธรรมดาๆ...

ที่มาโรงเรียนแค่อาทิตย์แรกก็ทำเอาลานหลังตึกเรียนแทบแตกด้วยเสียงกรี๊ด!

“พวกเราซื้อน้ำมาให้~ รับไว้สิ~”  ก็ยังดีที่ไม่ใช่แค่มากรีดร้องไร้ประโยชน์อย่างเดียว แต่กลุ่มแฟนคลับที่ตั้งกันอย่างรวดเร็วแล้วก็มีจำนวนสมาชิกเพิ่มอย่างรวดเร็วต่างมีของติดไม้ติดมือมาให้ทุกวัน

“นี่ขนม ซ้อมเยอะๆถ้าหิวจะได้มีอะไรรองท้อง”   เด็กสาวกลุ่มใหญ่ที่ยืนรุมล้อมเด็กหนุ่มร่างสูงชะลูดต่างยัดสารพัดของใส่มือหวังอี้ป๋อ แรกๆเด็กหนุ่มก็ไม่คิดจะรับหรอก แต่ไม่ว่าจะปฏิเสธแค่ไหนวันต่อๆไปมันก็ยังมีมาอีก แถมยังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ในเมื่อปฏิเสธจนรู้สึกเหนื่อยก็เลยรับๆมันมาซะจะได้หมดเรื่องไป

“ขอบคุณนะ”   และแค่เขาหันไปก้มหัวให้น้อยๆพร้อมรอยยิ้มบางๆ เสียงกรี๊ดสนั่นก็ดังจนอุดหูแทบไม่ทัน...มันอะไรกันนักหนาเนี่ย??

"อร๊าย~   บางครั้งเขาก็สงสัยนะว่าที่โรงเรียนนี้ไม่มีคนหน้าตาดีคนอื่นแล้วหรือไง? เขาเองก็ไม่ได้หล่ออะไรมากมายทำไมถึงตามกรี๊ดกันอยู่ได้? ถึงจะไม่ได้รำคาญแต่เขาก็ไม่ถนัดจริงๆนั่นแหละ การต้องเข้าหาคนแปลกหน้า

“ผมต้องซ้อมแล้ว หวังว่าจะทำตามสัญญากันนะครับ”   มีเสียงเง้างอดนิดหน่อยก่อนที่กลุ่มเด็กสาวจะยอมถอยทัพกลับไปแต่โดยดี เพราะเขายอมรับในการมีอยู่ของกลุ่มแฟนคลับถึงได้ทำการตกลงกันไว้ว่า เวลาที่เขาต้องซ้อมเต้นพวกเธอจะไม่มาก่อกวนและไม่อยู่ดูทำให้เขาเสียสมาธิ

“ตั้งแต่เจ้าเด็กนี่เข้าม.4มา กลุ่มสตรีทแดนซ์ของพวกเราก็อุดมสมบูรณ์ขึ้นเยอะเลยเนอะ”   อาหยางมองเด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังโกยกองขนมลงไปจากโต๊ะด้วยอารมณ์ที่ไม่รู้จะดีใจที่ได้ของกินหรือหมั่นไส้ในความป๊อปปูล่าของเจ้าเด็กนั่นดี  ถึงแม้ว่าหวังอี้ป๋อจะเพิ่งเข้าม.4และมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ได้แค่อาทิตย์เดียว แต่ใครบ้างในละแวกนี้จะไม่รู้จักราชานักเต้นคนนี้  เด็กหนุ่มเป็นที่รู้จักในวงการสตรีทแดนซ์ของเมืองมาตั้งแต่สมัยม.ต้นและก็รู้จักกับรุ่นพี่ทุกคนในกลุ่มเป็นอย่างดี

“จะเริ่มซ้อมแล้วนะ พวกนายเข้าประจำตำแหน่งกันได้แล้ว”   หญิงสาวหนึ่งเดียวของทีมปรบมือเรียกเพื่อนๆ คนอีก 5 คนที่นั่งระเกะระกะอยู่รอบๆจึงโดดขึ้นมายืนประจำที่

หวังอี้ป๋อเป็นเด็กม.4 เพียงคนเดียว นอกนั้นก็มีทั้งรุ่นพี่ม.5และม.6คละกันไป ร่างสูงชะลูดยืดแขนยืดขาคลายกล้ามเนื้อก่อนจะกลับสู่ท่าเตรียมพร้อม แต่หมุนหัวไหล่ก็แล้ว หมุนคอรอก็แล้ว เสียงเพลงที่จะใช้ซ้อมเต้นก็ไม่ยอมดังขึ้นมาสักที

“ยังไม่เปิดเพลงอีกเหรอ?”   ไม่ต้องรอให้เด็กหนุ่มเอ่ยปาก รุ่นพี่อีกคนก็ถามแทนให้แล้ว

“มันเปิดไม่ได้น่ะสิ ไม่รู้วิทยุเป็นอะไร?”  เด็กสาวดึงแฟลชไดร์ฟออกมาก่อนจะเสียบเข้าไปใหม่ ตบก็แล้ว เขย่าก็แล้ว แต่วิทยุมอซอเครื่องนั้นก็ยังนิ่งสนิทราวกับเสียชีวิตไปนานแล้ว...

“ชาร์ตไฟมารึยัง? อ้าว ไฟก็เต็มนี่หว่า?”   รุ่นพี่อีกคนเข้าไปช่วยดู ลองลูบๆคลำๆก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

“สงสัยจะเสียแล้วมั้งเนี่ย? เก่าซะขนาดนี้”  ทุกคนต่างขยับมามุงดูก่อนจะกล่าวขอบคุณเจ้าวิทยุสมัยสงครามโลกนั่นจากใจเพราะคิดว่ามันคงถึงอายุไข พวกเขาไม่ใช่ชมรมแต่เป็นเพียงแค่การรวมกลุ่มกันเองของคนที่ชอบสตรีทแดนซ์ เพราะงั้นเรื่องงบประมาณจึงมีจำกัด

“ต้องเปิดจากมือถือเอาแล้วมั้ง”   เด็กสาวหันไปมองคนอื่นๆซึ่งพยักหน้ารับ พวกเขากำลังจะซ้อมเต้นเพื่อขึ้นแสดงในงานวัฒนธรรมของโรงเรียน จะไม่ซ้อมก็ไม่ได้เสียด้วย

“เฮ้ๆ พวกนายได้ยินเสียงเพลงไหม?”   แล้วจู่ๆสมาชิกคนหนึ่งก็ทักขึ้น ทุกคนจึงหันไปเงี่ยหูฟัง...มีเสียงเพลงลอยมาตามสายลมจริงๆด้วย  ถ้ามีเสียงเพลง ก็แสดงว่าจะต้องมีใครใช้เครื่องกระจายเสียงอะไรสักอย่างซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นวิทยุ!

“หรือว่าจะเป็นห้องศิลปะ? ฉันจำได้ว่าที่นั่นมีวิทยุหรูๆอยู่เครื่องนึง!”   ดูจากทิศทางที่เสียงลอยมาแล้วรุ่นพี่อีกสองสามคนก็พยักหน้ารับ และเสียงนี้ก็คงเป็นคนที่อยู่ในห้องศิลปะเปิดเพราะเป็นเพลงคลาสสิคที่ไม่มีเด็กวัยรุ่นคนไหนในโรงเรียนเค้าฟังกันเหมือนเจ้าพวกนั้น

พอพูดถึงห้องศิลปะ รุ่นพี่ทุกคนต่างมองหน้ากันเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง ต่างคนต่างส่ายหน้า ต่างคนต่างเกี่ยงกัน ไม่มีใครยอมไปยืมวิทยุให้สักคน

“พี่ไปสิ พี่เป็นรุ่นพี่สุดนะ”

“จะบ้าเหรอ แกไม่เห็นสภาพฉันรึไง? ขืนไปยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าพวกนั้นมีหวังได้กลายเป็นมดปลวกกันพอดี เธอก็ไปสิ”   รุ่นพี่ม.6หันมาโบ้ยให้หญิงสาวหนึ่งเดียวในทีมหน้าตาเฉย

“โอ๊ย ไม่เอาหรอก รำคาญไอ้พวกบ้านั่น ใครจะไปอยากยุ่งด้วย!

“เธอนี่มันยังไงนะ? ฉันเห็นผู้หญิงออกจะชอบเจ้าพวกนั้น”

“เอ่อ...ถ้าไงผมไปยืมให้ไหมครับ?”  หลังจากเห็นพวกพี่ๆเกี่ยงกันอยู่นาน น้องเล็กซึ่งไม่รู้อะไรจึงอาสาแทนให้ กับอีแค่ไปยืมวิทยุมันจะอะไรนักหนา?  แน่นอนว่ารุ่นพี่ทั้งหลายต่างหันมามองเขาด้วยประกายตาระยิบระยับ

เด็กหนุ่มเดินจากลานระหว่างตึกเรียนไปยังห้องศิลปะซึ่งอยู่บนชั้นสอง แล้วทันทีที่เปิดประตูเข้าไป...เขาก็ได้รู้ว่าโรงเรียนนี้ยังมีคนหน้าตาดีอีกไม่ใช่น้อยและคนเหล่านั้นก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่!



โดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่หลังเฟรมวาดรูป

ไม่รู้ทำไม...ใบหน้าที่ไม่แม้แต่จะหันมามองผมนั่นถึงได้ติดอยู่ในใจขนาดนี้

เขาเป็นผู้ชาย...ที่สวยมาก...



"นึกว่าใคร...ที่แท้ก็เจ้าเด็กที่ชอบทำเสียงดังนี่เอง"   เสียงเย็นๆเสียงหนึ่งพูดกับเขา สายตาทุกคู่หันมามองเขาทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ในห้องนั้นมีคนอยู่ไม่ถึงสิบคน ถึงจะบอกว่ามันเป็นห้องศิลปะแต่กลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กำลังวาดรูป คนอื่นๆนอกจากนั้นไม่ได้มีบรรยากาศของการทำงานศิลปะเลย เหมือนมานั่งเล่น? นอนเล่น? อ่านหนังสือมากกว่า?

"มีธุระอะไร?"   เด็กหนุ่มคนหนึ่งลุกจากโซฟาเดินมาหยุดตรงหน้าเขา ผู้ชายคนนี้สูงมาก น่าจะสูงกว่าเขาเสียอีก เวลาที่เหยียดมองลงมาจึงทำให้คนถูกมองรู้สึกต่ำต้อยได้ไม่ยาก ถึงจะมีบรรยากาศที่กดดันแต่หวังอี้ป๋อก็ไม่ใช่คนธรรมดา เด็กหนุ่มจึงตอบออกไปโดยไม่สนใจคนตรงหน้า

"คือ...ผมจะมาขอยืมวิทยุหน่อยน่ะครับ ไม่ทราบว่าพอจะให้ยืมได้ไหม แค่วันนี้วันเดียว

"ไม่ได้หรอก พวกเราก็ใช้อยู่"   เขาถึงกับผงะไปเพราะไม่คิดว่าจะได้ฟังคำปฏิเสธเร็วขนาดนี้

“ออกไปได้แล้ว มันรบกวน”   เด็กหนุ่มแห่งทีมสตรีทแดนซ์ถูกดันออกมาทั้งที่ยังอึ้งไม่หาย กว่าจะหันกลับไปได้ ประตูไม้บานนั้นก็ปิดใส่หน้าเขาไปแล้ว

.....ไอ้คนพวกนี้นี่มันอะไรกัน?! หน้าตาก็ดีแต่ไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย! ยังไม่ทันจะถามสักคำว่าเขาจะเอาวิทยุไปทำอะไร เดือดร้อนแค่ไหน แล้วจะว่าไป ตัวเองก็แค่นั่งเล่นนอนเล่น ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้วิทยุเลย!

ร่างสูงชะลูดเดินกลับมายังลานระหว่างตึกเรียนพลางก่นด่าในใจ พวกรุ่นพี่เห็นเขากลับมาตัวเปล่าก็พยักหน้าเข้าใจแล้วเดินมาตบไหล่

“เป็นไง? ไม่ได้เรื่องสินะ? ว่าแล้ว...”

“ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมพวกฉันถึงไม่อยากไป? เจ้าพวกนั้นถูกเรียกจากสาวๆทั้งโรงเรียนว่าแก๊งเจ้าชาย มีกันอยู่ 7คน เป็นพวกหัวกะทิของชั้นม.6 หน้าตาดีทุกคน บ้านรวยทุกคน แล้วก็หยิ่งทุกคน!   อาหยางที่อยู่ชั้นปีเดียวกับเหล่าเจ้าชายพูดอย่างออกรส

“ใช่ ที่ชอบรวมตัวกันแต่พวกนั้นก็เพราะไม่เห็นหัวคนอื่นไง มองว่าพวกเรามันคนละชนชั้นละมั๊ง แต่พวกผู้หญิงก็มองกันตาเยิ้มทั้งๆที่รู้ว่าจับต้องไม่ได้แท้ๆ ฮ่าๆๆ”

“เอาน่า ช่างไอ้พวกบ้านั่นมันไป เปิดมือถือเอาก็ได้”   หญิงสาวหนึ่งเดียวของทีมยักไหล่ก่อนจะสไลด์หน้าจอมือถือเพื่อเปิดเพลง ถึงเสียงจะไม่เท่าวิทยุแต่พวกเขาก็ซ้อมต่อไปได้ไม่มีปัญหา



ส่วนที่ห้องศิลปะ

"โห...เจ้าเด็กนั่นยังไม่เลิกล้มความตั้งใจอีกแหะ เปิดเพลงด้วยมือถือก็เอา"  หนึ่งในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าแก๊งเจ้าชายหันกล้องส่องทางไกลไปยังลานเล็กๆที่อยู่ระหว่างอาคารเรียน ร่างสูงโปร่งที่ยืนสเก็ตรูปหันหลังพิงหน้าต่างอยู่จึงเบือนหน้าไปมองบ้าง ภาพของเด็กหนุ่มที่กำลังเต้นอยู่ฉายเข้าสู่ดวงตาคู่โต การจัดโพซิชั่นและร่างกายที่ได้สัดส่วนนั่นทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้ เพราะในทางศิลปะ รูปร่างของเด็กนั่นจัดว่าดีทีเดียว อีกอย่าง...เขายังรู้สึกว่าเด็กนั่นน่าสนใจดีที่กล้าเดินเข้ามาหาพวกเขาตรงๆแบบนี้

“เซียวจ้าน กลับบ้านกัน”   ใบหน้ามนหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะพยักรับ

“อืม”







สมุดสเก็ตถูกวางลงไปบนเตียงเมื่อเด็กหนุ่มกลับถึงบ้าน...จะเรียกว่าบ้านก็คงไม่ถูกนักเพราะเขาเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ที่อพาทเม้นต์นี่ยังไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำ

มือบางดึงเนคไทออกจากคอก่อนจะโยนมันลงไปบนข้าวของที่ยังกองระเกะระกะ ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเดินหลบหลีกสิ่งของที่ยังไม่ได้จัดให้เข้าที่เข้าทางก่อนที่ฝ่ามือจะดึงผ้าม่านให้เปิดออก ประตูหลังห้องของเขาเชื่อมต่อกับระเบียงขนาดกำลังดี อพาทเม้นต์ที่เขาอยู่นี้ถือเป็นอพาทเม้นต์ระดับ A++ ค่าเช่าแต่ละเดือนจึงแพงหูฉี่ แน่นอนว่าต้องเป็นอพาทเม้นต์ที่ดูดีมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ภายในตึกหรูหราและสะอาดสะอ้าน สวนที่อยู่ข้างหลังอาคารนี่ก็เช่นกัน

ร่างสูงโปร่งออกไปยืนรับลมอยู่ที่ระเบียงก่อนจะทอดสายตามองไปรอบๆ...ถึงภายในตัวอพาทเม้นต์นี้จะควบคุมได้ แต่สิ่งที่เหนือการควบคุมก็คือด้านที่เลยเขตที่ดินของพวกเขาไปแล้วนั่นต่างหาก...มันช่วยไม่ได้จริงๆที่อพาทเม้นต์ของเขาดันต้องหันหลังชนกับอพาทเม้นต์เก่าๆโกโรโกโสหลังหนึ่ง

ดวงตาคู่โตเหลือบมองความต่างระหว่างรั้วทั้งสองฝั่ง ฝั่งของเขาเป็นสวนแบบฝรั่ง มีม้านั่ง มีซุ้มกุหลาบสวยๆส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ส่วนอีกฝั่งของรั้วเป็นเหมือนที่เก็บของรกๆ ใครนึกจะเอาอะไรมาโยนไว้ก็โยน? มีตั้งแต่ไม้กวาดยันตู้เย็นเครื่องซักผ้าที่ดูท่าจะพังแล้ว และตรงส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับห้องเขาพอดีก็เหมือนมีใครมาทำเป็นที่ปลูกผักสวนครัวเอาไว้? เพราะมันมีแปลงผักเล็กๆที่ต้นคะน้าและกวางตุ้งขึ้นจนแน่น มีกระถางพริก ต้นหอม ตะไคร้ สารพัดผักที่จะใส่อาหารได้นั่นแหละ ถึงจะมีอย่างละนิดละหน่อยแต่ก็ถือว่าครบครันทีเดียว

เขายืนมองอย่างนึกขำกับความต่างนี้ทั้งๆที่มีรั้วติดกันแท้ๆ แล้วจู่ๆก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากใต้ตึกพร้อมกับบัวรดน้ำในมือ ดวงตาคู่โตเบิกว้างจนแทบจะโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร ร่างกายโปร่งบางขยับหลบเข้าไปในห้องโดยอัตโนมัติโดยไม่รู้ว่าเขาจะหลบทำไม? แต่ผู้ชายคนนั้นคือหวังอี้ป๋อแน่ๆ เพิ่งเจอกันเมื่อเย็นเขาไม่มีทางจำผิด

ใบหน้ามนแอบมองอีกฝ่ายผ่านบานประตูกระจก  อย่าบอกนะว่าเจ้าเด็กนั่นอยู่ที่อพาทเม้นต์โกโรโกโสนี่? แล้วแปลงผักสวนครัวมั่วๆนั่นก็เป็นของหวังอี้ป๋อ?  ชัดเลย ดูจากการรดน้ำอย่างเอาใจใส่ก็ไม่น่าจะเป็นของใครไปได้

โฮ่ง!”  จู่ๆก็มีลูกหมาวิ่งมาจากไหนไม่รู้ หวังอี้ป๋อหยุดรดน้ำแล้วลงไปนั่งยองๆเล่นกับมัน  รอยยิ้มบนใบหน้าได้รูปทำให้เขาเผลอมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ตัวเลย...










วันนี้ทีมสตรีทแดนซ์ก็ยังคงซ้อมเต้นกันด้วยเพลงที่เปิดจากมือถือ...เจ้าวิทยุสมัยสงครามโลกยังคงตั้งตระหง่านเป็นอนุสาวรีย์อยู่ที่เดิม สมัยนี้พวกเขาจะเอามันไปซ่อมที่ไหน เสริจหาข้อมูลเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอ

จู่ๆเสียงเพลงก็ดับลงทั้งๆที่อยู่กลางเพลงทำให้การซ้อมต้องชะงักค้าง

“โทรศัพท์ฉันแบตหมดแล้วว่ะ เอาของพวกนายมาบ้างดิ๊”   เจ้าของมือถือมองหน้าจอมืดสนิทที่กดเปิดเท่าไหร่ก็ไม่ติด

“ฉันต้องไปเดตต่อ ขืนแบตไม่พอยัยนั่นโทรหาฉันไม่ได้ งานนี้เอาตายแน่ โทษทีๆ”

“ฉันก็ต้องไปซื้อของให้ที่บ้าน ต้องใช้โทรถามตอนซื้อของ”  เด็กสาวส่ายหน้าปฏิเสธเช่นกัน

ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องที่จะต้องใช้โทรศัพท์มือถือต่อจากนี้กันทั้งนั้น หวังอี้ป๋อเองก็มองมือถือตัวเองอย่างชั่งใจเหมือนกัน เขาจะต้องไปทำงานพิเศษต่อ อาจจะมีเรื่องจำเป็นต้องใช้ก็ได้ แล้วในขณะที่พวกรุ่นพี่ยังเถียงกันอยู่นั้น ดวงตาของเขาก็เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้า

นั่นมันพวกแก๊งเจ้าชาย? กำลังเดินลงมาจากตึกที่เป็นห้องศิลปะ...

ดีล่ะ! ดูเหมือนพวกนั้นจะกลับบ้านกันแล้ว ถ้าเขาแอบไปหยิบวิทยุมาก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง?

“ผมว่าผมหาวิทยุให้พวกพี่ได้แล้วละ...รออยู่นี่นะ”  เขาบอกพวกรุ่นพี่ไว้แค่นั้นก่อนจะรีบเดินไปยังห้องศิลปะ เขาจ้องพวกแก๊งเจ้าชายเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา จะได้รู้ว่าพวกนั้นจะไม่กลับมาแล้วและเขาจะได้ทางสะดวก...ว่าแต่...เหมือนพวกรุ่นพี่บอกว่าแก๊งเจ้าชายมี 7 คน แต่ทำไมแผ่นหลังที่เขานับได้ถึงมี 6 ...

ฝ่ามือที่จะเปิดประตูห้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเขามองเห็นเงาคนอยู่ในห้องศิลปะ  อ้าว? ยังกลับไปไม่หมดหรอกเหรอ? ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงแอบมองผ่านกระจกของบานประตู...ยังมีคนอยู่จริงๆด้วย แล้วก็เป็นคนคนนั้น...คนที่นั่งอยู่หลังเฟรมวาดรูป...

เขามองตามปลายพู่กันที่จรดลงไปบนผืนผ้าใบ...ค่อยๆไล่มองขึ้นมาที่มือขาวๆที่เรียวสวย...ไล่มองตามแขนผอมบางจนถึงหัวไหล่...ไล่มองลำคอระหงที่รับกับใบหน้ามน...ใบหน้ามนที่จัดว่าหล่อเหลา แต่เพราะดวงตาคู่โตคู่นั้นทำให้กล่าวได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าออกไปทางหนุ่มหน้าสวยมากกว่า...และทุกๆครั้งที่มือขาวๆข้างนั้นลากไล้พู่กันไปมา ดวงตากลมโตที่มองมันอย่างมีความสุขนั่นก็ทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้

แชะ...

เขาหยิบมือถือขึ้นมาแอบถ่ายรูปอีกฝ่ายเอาไว้ และนั่นก็ทำให้ใบหน้ามนหันมามองที่ประตูทันที

ในเมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาแล้ว เขาจึงจำใจต้องเปิดประตูอย่างช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจก่อนจะพูดเบาๆว่า

เจ้าโฮ่งนี่เอง…”   เพราะนึกถึงภาพที่หวังอี้ป๋อเล่นกับลูกหมาเมื่อวานทำให้เซียวจ้านพึมพำออกไปแบบนั้น แต่คนถูกเรียกที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร คิ้วจึงขมวดก่อนจะพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ

หวัง-อี้-ป๋อ-ครับ”   ใบหน้านิ่งมองมาที่เขาราวกับไม่ชอบใจที่ถูกเรียกว่า “เจ้าโฮ่ง” จากที่ไม่คิดอะไรเลยรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ

ฉันจะเรียกนายว่าเจ้าโฮ่ง มีปัญหาไหม?”   มือบางวางพู่กันก่อนจะยกขึ้นมากอดอก ใบหน้ามนเชิดขึ้นอย่างตั้งใจจะก่อกวน

นาย-

มีธุระอะไร?”   ร่างโปร่งบางไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจนจบก็ตัดบทอย่างรำคาญๆ

“....จะมาขอยืมวิทยุ…”   คราวนี้หวังอี้ป๋อเสียงอ่อนลงนิดหน่อย ยังไงก็ต้องขอร้องอีกฝ่าย ถึงแม้จะอยากขย้ำคอที่ตั้งใบหน้าหยิ่งๆนั่นให้ตายก็จำต้องอดทน...มีอย่างที่ไหนเรียกคนอย่างเขาว่า “เจ้าโฮ่ง” เนี่ยนะ?!

เอาไปสิ”  ร่างสูงชะลูดผงะไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะให้ยืมแต่โดยดี ถึงจะกวนประสาทแต่คนคนนี้ก็ยอมให้พวกเขายืมวิทยุ สองขาจึงเดินเข้าไปเอาวิทยุอย่างเสียมิได้ ใบหน้าหล่อเหลาแอบเหลือบมองภาพที่อีกฝ่ายวาด...มันเป็นภาพดอกไม้ที่สวยมากทีเดียว












แขนแข็งแรงถึงจะไม่ได้ใหญ่โตแต่ก็มีกล้ามเนื้อที่สมส่วนหิ้วตะกร้าผ้าก่อนจะออกไปที่ระเบียงหลังห้อง กระเบื้องปูพื้นขึ้นเป็นคราบที่ทำความสะอาดไม่ออกบ่งบอกถึงอายุของมันได้เป็นอย่างดี หวังอี้ป๋อเป็นเพียงเด็กที่เกิดมาในครอบครัวชั้นกลางและเขาก็ไม่ได้รู้สึกน่าอายอะไรที่ต้องอยู่ในอพาทเมนต์เก่าๆหลังนี้

มือใหญ่หยิบผ้าขึ้นสะบัดก่อนจะพลิ้วตัวเต้นไปตามเสียงเพลงที่ดังคลอเบาๆจากในห้อง เขาหลงใหลในการเต้นมาตั้งแต่เด็กจึงฝึกฝนจนแทบจะกลายเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว ผ้าเปียกชื้นถูกแขวนไปบนราวตัวแล้วตัวเล่า จะว่าไปเขาก็เพิ่งสังเกตว่าที่ระเบียงห้องฝั่งตรงข้ามเริ่มมีข้าวของมาวางเอาไว้ สงสัยจะมีคนย้ายมาอยู่แล้วละมั้ง? เขาไล่สายตามองม้านั่งเหล็กดัดอิตาลีและกระถางต้นไม้ดูดีทั้งหลายที่จัดวางอย่างมีรสนิยม...ก็นะ...ถ้าเทียบกับแปลงผักมั่วๆของเขาข้างล่างนี่ ก็คงต้องบอกว่าต่างกันพอสมควร

แล้วจู่ๆเงาวูบไหวก็มาปรากฏกายอยู่หลังประตูกระจกของห้องฝั่งตรงข้าม เด็กหนุ่มคนหนึ่งเปิดมันแล้วเดินออกมาทำให้เขาขยับหลบไปยืนอยู่หลังเสื้อผ้าที่เพิ่งตากโดยอัตโนมัติทั้งๆที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะหลบทำไม?

แล้วคนที่เดินออกมาก็ทำให้เขาประหลาดใจเพราะไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนเลย...ก็นั่นมันเจ้ารุ่นพี่ที่อยู่ในแก๊งเจ้าชายแถมยังเรียกเขาว่าเจ้าโฮ่งอีกแน่ะใครจะไปลืมลง!

คนคนนั้นออกมายืนจิบกาแฟพลางมองลงไปที่สวนไฮโซของตึกฝั่งนั้น...แมวสีขาวตัวหนึ่งเดินเลาะอยู่บนราวกันตกเข้ามาหาแต่เจ้าชายผู้เย่อหยิ่งนั่นกลับไม่ได้ไล่มันไป มือสีขาวซีดกลับยื่นออกไปลูบหัวมันเบาๆก่อนจะไล่ลงมาเกาคางจนเจ้าเหมียวนั่นร้องอย่างพึงพอใจ รอยยิ้มบางๆประดับบนใบหน้าที่จัดได้ว่าสวยมาก...พอยิ้มแบบนี้แล้วก็น่ารักดีนี่นา

เซียวจ้าน...คือชื่อของคนคนนั้น...เขาเอารูปที่แอบถ่ายอีกฝ่ายในห้องศิลปะไปถามพวกรุ่นพี่ในทีมสตรีทแดนซ์มา

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างโปร่งบางเดินเข้าห้องไปรับแล้วหายไปเลย เขาจึงค่อยๆกอดตะกร้าผ้าแล้วหลบเข้าห้องของตัวเองบ้าง...นี่มันจะไม่บังเอิญเกินไปหน่อยเหรอที่ต้องมาเป็นเพื่อนบ้าน? จะเรียกแบบนั้นได้หรือเปล่า? กับเจ้าชายนั่น







วันนี้วิทยุของทีมสตรีทแดนซ์ก็ยังคงตายสนิทและพวกเขาก็ยังคงต้องเปิดเพลงจากมือถือกันต่อไป
แต่จะว่าไปหมู่นี้แก๊งเจ้าชายก็กลับบ้านกันไว เขาจึงได้โอกาสไปหยิบวิทยุในห้องศิลปะมาใช้  ร่างสูงชะลูดรอให้แผ่นหลังสูงใหญ่พวกนั้นเดินพ้นมุมตึกไปเขาจึงแอบย่องขึ้นบันได ในใจลึกๆแอบหวังว่าในห้องศิลปะจะยังมีคนอยู่...
แล้วคนคนนั้นก็ยังอยู่จริงๆ ร่างโปร่งบางนั่งวาดรูปอยู่ที่เดิม และคราวนี้เขาก็ยืนมองแบบไม่คิดจะปิดบัง ใบหน้ามนนั่นจึงหันมาจ้องเขาบ้าง
มีอะไรเจ้าโฮ่ง?”

จะมาขอยืมวิทยุน่ะ เจ้าเหมียว”  เซียวจ้านผงะไปจนถึงกับทำพู่กันร่วง

เจ้าเหมียว? นายเรียกใครว่าเจ้าเหมียว?”   ใบหน้าสวยๆนั่นหันมาข่มขู่เขาอย่างเอาเรื่อง

ก็นายไง”  ไม่ว่าเปล่า เขาเดินเข้าไปหยิบวิทยุเองอย่างถือวิสาสะ

ห๋า? ฉันเนี่ยนะ? ไม่สิ นายมีสิทธิ์อะไรมาเรียกฉันแบบนั้น?”  เขาเลยหันไปยิ้มกวนๆให้

ที่ระเบียงห้อง...นายเล่นกับเจ้าแมวสีขาวนั่น น่ารักซะไม่มี   เขาชมจริงๆนะ นึกถึงรอยยิ้มตอนนั้นทีไร ใจเขายังสั่นอยู่เลย แต่อีกฝ่ายคงคิดว่าเขากวนประสาท ปากดีๆนั่นเลยด่ากราดกลับมา

อะ...นาย...นาย….ไอ้เจ้าโฮ่ง! ห้ามเรียกฉันแบบนั้นนะ! แล้วนายเห็นได้ไง? นี่!   เขาไม่ได้อยู่ฟังแถมยังหิ้ววิทยุเดินหัวเราะจากมา...น่ารักจริงๆนั่นแหละ สมแล้วที่เป็นเจ้าชายที่ผู้หญิงทั้งโรงเรียนถวิลหา


น่าแกล้งดีจริงๆ...











.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




โดนป๋อจ้านตกจนได้ อ๊ากกกกกกกกกกกก // เอาหัวโขกกำแพง

นะ เชื่อว่าตอนนี้สาววายไม่มีใครไม่รู้จักซีรี่ย์ปรมาจารย์ลัทธิมารที่กำลังฉายอยู่ทาง We TV แน่ๆ5555 โอย เป็นซีรี่ย์ที่ดูแล้วเหนื่อยมากๆค่ะ นอกจากจะเหนื่อยกับดราม่าน้ำตาท่วมของเนื้อเรื่อง ตรูก็ยังต้องมาฟินจนเหนื่อยกับความน่ารักของเว่ยอิงและหลานจ้าน ความผัวเมียนี้ไม่ธรรมดา555 ต้องมาเหนื่อยลุ้นอีกว่าอฟช.มันจะฉายได้ครบ 50 ตอนไหม เปรี้ยวซะเหลือเกิน5555+ ไม่พอ หลังจากดูจบยังต้องมาเหนื่อยเพราะขำมีมที่ทำตามมาอีก โอย แต่ละอันคือขำมากกกกกกกก หัวเราะจนปวดท้องไปหมด

เรียกว่าติดงอมแงมมากค่ะเวลานี้ 5555+ ใครยังไม่ได้ดูก็ไปดูกันเถอะ มันดีย์จริงๆๆนะ >/////<

ก็หลังจากดูซีรี่ย์แล้วก็ทำให้เราติดป๋อจ้านไปโดนปริยาย 5555+ นอกจอคู่นี้เค้าก็งุ้งงิ้งกันไม่ธรรมดา >////< ก็หลังจากที่ดูคลิปไปเรื่อยๆก็ไปเจอคลิปอันนึงที่เค้าตัดต่อมาซะอย่างกับเป็นเรื่องเดียวกัน คือตัดต่อดีมากอ่ะ ชอบมากค่ะ เลยอยากจะเอาเนื้อเรื่องในคลิปมาเขียนเป็นฟิค แต่มันอาจจะไม่ตรงเป๊ะหรอกนะ เพราะคุณกวางก็อ่านจีนไม่ออกฟังไม่รู้เรื่อง เลยจิ้นเอาจากภาพ กร๊ากกกก

อันนี้ค่ะ 





ทำเอาติดเพลง If Only ของ JJ lin ไปเลย งื้อออออ >////<

แล้วเจอกันตอนหน้า~






2 ความคิดเห็น:

  1. อ๊ากกก มาาาาา

    ชอบบบบบบ ติดเฉินฉิงลิ่งอยู่พอดี โคตรชอบเลยจ้าคู่นี้ เอาออีกกกก

    ตอบลบ
  2. เม้นก่อนอ่าน อ่านแล้วเม้น อิ๊ว ชอบบบบ
    โดนป๋อจ้านตกจริงๆ ค่า ซีรี่ส์ดังมากจริงสำหรับสาววาย โฮกกกก คู่จิ้นอันดับหนึ่งในดวงใจ!!! หลานจ้านเว่ยอิงของแม่

    ตอบลบ