Tsurune. Au S.Fic [Shuu x Minato] SARANG : 01


Tsurune. Au S.Fic [Shuu x Minato]  SARANG : 01

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction Au
: Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
: Romantic Dark Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ    
         




สายฝนที่กำลังตกพรำๆทำให้รู้สึกถึงความเหงา...

เขานั่งอยู่ในรถตามลำพังกับคนขับ...รถเมล์ที่ไม่มีใครดูจะกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน...

อีกไม่กี่ป้ายก็จะถึงบ้านของเขา...อีกแค่ไม่กี่ป้ายเท่านั้นก่อนที่ชีวิตของเขาจะพลิกผันจนไม่เหลือเค้าเดิม...


บรรยากาศรอบกายจู่ๆก็สั่นสะเทือนเหมือนอะไรบางอย่างพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ก่อนที่เสียงปะทะจะดังสนั่น



ตึง!!!!



แผ่นดินอาจจะยุบเป็นหลุมลงไปหลายเมตรและตอนนี้ตัวเขากำลังลอยอยู่เหนือเบาะเพราะแรงปะทะนั่น รถเสียการทรงตัวอย่างไม่ต้องสงสัย

“อะไรวะเนี่ย?!”   ได้ยินเสียงคนขับสบถพร้อมกับพยายามควบคุมรถ หัวใจที่มักจะสงบนิ่งของเขายังสั่นไหวไปชั่วขณะหนึ่งเลย คนขับรถจะตกใจขนาดนี้คงไม่แปลก

สายตาของเขาถูกตรึงอยู่ที่กระจกหน้ารถ รอยแตกลั่นเปรี๊ยะเป็นทาง...แล้วข้างนอกนั่น...ก็มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่?

ร่างกายที่สูงราวๆ180อยู่ในชุดดำสนิท ชายเสื้อโค้ทโบกไหว ข้างนอกคงจะมีสายลมรุนแรงไม่ใช่น้อย

ผู้ชายคนนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้น และมันก็ทำให้ทั่วร่างของเขาราวกับถูกหมุดตรึงเอาไว้

ทั้งๆที่ใบหน้าหล่อเหลานั่นช่างดูเย็นชาและน่ากลัว ดวงตาหลุบต่ำคู่นั้นก็มีแต่แววมืดมน...ทว่า...ยามเมื่อใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชามองตรงมาที่เขา...ความเศร้าที่ราวกับโลกจะสลายแผ่นดินจะทลายที่สะสมมานับร้อยนับพันปีกลับแผ่ซ่านออกมา...จนน้ำตาของเขา...ไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว...

ทำไม...ถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้น?

แล้วเพราะอะไรกัน...มันถึงส่งผ่านมายังเขาจนหมดแบบนี้...






ปรี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!!!!!!







พรึ่บ!

ดวงตาที่ท่องไปในนิทราอันยาวนานเปิดขึ้นราวกับถูกปลุก เขาลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ความฝันที่กระจัดกระจายอยู่ในหัวค่อยๆถูกดูดมารวมกันอีกครั้ง...น่าแปลกที่เขากลับจำมันได้ทั้งหมด...

ไม่สิ...นั่นไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาจริงๆต่างหาก



วี้หว่อวี้หว่อวี้หว่อ~

เสียงไซเรนดังใกล้เข้ามาก่อนรถพยาบาลจะจอดลงตรงหน้า

“หลบไป! ผู้ไม่เกี่ยวข้องกรุณาอย่าเข้ามาครับ!”  เสียงตะโกนอย่างรีบร้อนทำให้เขาหันไปมองอย่างเลิ่กลั่ก...ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องนี่หมายถึงเขาหรือเปล่า? ร่างโปร่งบางจึงรีบลุกขึ้นก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเปลพยาบาลที่วิ่งผ่านไป

เขายังคงมึนงงไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองมาตื่นเอาในที่แบบนี้ได้ยังไง?

ตอนนี้เขายืนอยู่กลางถนน...มีฝนตก...มีกลุ่มควันและไอเย็นลอยคลุ้ง...มีแสงไฟที่สาดส่องมาจากหน้ารถ...มีความมืดอยู่รอบกาย...มีผู้คนยืนมุงดูอะไรบางอย่างด้วยสายตาหวาดหวั่น...มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและบุรุษพยาบาลวิ่งกันให้วุ่น.....มีรถเมล์ที่เขานั่งมาพลิกคว่ำอยู่ข้างถนน...มีต้นไม้ที่ถูกชนหักคาอยู่หน้ารถ...นอกจากนั้นก็ยังมี...ตัวเขา...ที่เลือดโชก...ถูกห้ามอยู่ในเปล.........?

“ตายคาที่เลยแหะ...ยังเด็กอยู่แท้ๆ น่าสงสารจริงๆ...”   ดวงตาสีมรกตเบิกกว้างไปกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนคุยกันอยู่ข้างๆ ดวงตาที่เบิกค้างของเขายังคงมองตามร่างกายของตัวเองไปเรื่อยๆ...เขาทำได้แค่ก้าวตามไป...หยุดยืนมองร่างกายที่นิ่งสนิทถูกหมอตรวจอย่างละเอียด...ก่อนที่ถุงบรรจุศพจะค่อยๆห่อร่างของเขาไว้

“เวลาตายอยู่ในช่วงห้าโมงเย็น ส่วนสาเหตุการตายคือแรงกระแทกที่ศีรษะและเลือดออกมากจนช็อค ส่วนมันจะเป็นอุบัติเหตุหรือฆาตกรรมก็เป็นหน้าที่ของพวกคุณแล้วละ”   หมอเงยหน้าบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ...ซิปของถุงบรรจุศพค่อยๆถูกรูดขึ้นช้าๆ...และไม่นานมันก็ปิดบังใบหน้าของเขาไปจนหมด

“พบหลักฐานแสดงตัวของผู้ตายไหม?”  แสงไฟจากไซเรนยังคงสาดส่องให้ถนนมืดๆนี้พอจะมองเห็นอะไรได้บ้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงเก็บหลักฐานและค้นหาสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ต่อไป เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนโชกเลือดของเขาเดินเข้ามาหาคนที่ดูจะเป็นหัวหน้าทีม มือที่อยู่ในถุงมือยางหยิบบัตรนักเรียนที่เต็มไปด้วยคราบเลือดออกมา

“มีบัตรนักเรียนอยู่ในกระเป๋าครับ ส่วนชื่อคือ....”   ปลายนิ้วขยับเช็ดคราบเลือดก่อนที่ความเป็นจริงอันโหดร้ายซึ่งออกมาจากปากของตำรวจคนนั้นจะทำให้เขาทรงตัวแทบไม่อยู่

“...นารุมิยะ...มินาโตะครับ”

เพราะมันคือชื่อของเขาเอง...เด็กผู้ชายที่ตาย...คือเขาเอง...








ที่งานศพของเขา...ทาเคฮายะ เซยะ กำลังนั่งร้องไห้หมอนั่นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพิธีสวดคืนนี้จบแล้วและคนอื่นๆก็กำลังทยอยกันกลับบ้าน

“เซยะ...”  เขานั่งคร่อมเก้าอี้ตัวที่อยู่ด้านหน้าเพื่อหันเข้าหาคนที่ยังอยู่ในภวังค์ ถึงจะรู้ว่าเรียกไปอีกฝ่ายก็ไม่ได้ยินแต่สภาพของเซยะในตอนนี้มีแต่จะทำให้เขารู้สึกปวดใจจนปล่อยไปไม่ได้เลย

“หยุดร้องเถอะเซยะ นายร้องไห้มากี่วันแล้ว”  มือที่เอื้อมออกไปและปลายนิ้วของเขาไม่สามารถจะเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายได้จริงๆ แต่กระนั้นเขาก็ยังพยายามจะปลอบใจทั้งๆที่อีกฝ่ายคงไม่เห็น...เซยะช็อคจนเป็นลมตอนที่รู้ข่าวของเขา หลังจากนั้นก็ร้องไห้มาตลอด ร้องจนตาบวมไปหมด วันทั้งวันเอาแต่เหม่อมองไปที่โลงศพของเขาเห็นแล้วมันทรมานยิ่งกว่าตอนรู้ว่าตัวเองตายเสียอีก

เขาทำให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวต้องทุกข์ใจขนาดนี้ เขาจะขอโทษได้ยังไง

“เซยะคุง กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวห้องจะปิดแล้ว...”   พ่อของเขาเป็นคนเดินเข้ามาเรียกเซยะ ใบหน้าที่เศร้าหมองของพ่อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้เขาเสียใจกับความตายของตัวเอง 

ที่จริงแล้วความตายไม่ได้น่ากลัวเลยแต่การต้องมาเห็นคนที่เรารักร้องไห้อยู่ตรงหน้าแต่กลับหาคำปลอบใจส่งไปให้ไม่ได้นี่ต่างหากที่ทำให้ความตายมันน่ากลัว ความทุกข์ทรมานใจที่ต้องเห็นน้ำตาของพวกเขาเหล่านั้นโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยต่างหากที่ทำให้ความตายน่ากลัว



เขายืนมองที่จัดงานศพของตัวเองค่อยๆปิดไฟทีละดวงๆจนมืดสนิท รถของที่บ้านแล่นจากไปแล้วและตอนนี้ร่างของเขาก็กำลังนอนหลับตามลำพังอยู่ในอาคารหลังนั้น

ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะอยู่ที่นี่ เขาไม่สามารถจะกลับเข้าไปในร่างกายที่เย็นชืดไร้ลมหายใจนั่นได้อีกแล้ว สองขาจึงออกเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย...


[สวัสดีครับ ขอต้อนรับสู่รายการข่าวเที่ยงคืนที่จะคอยเกาะติด รายงานและเจาะลึกข่าวที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้เช่นเคยนะครับ วันนี้เราก็ยังติดตามข่าวอุบัติเหตุรถเมล์พุ่งชนต้นไม้ซึ่งถือเป็นอุบัติเหตุใหญ่ที่คนในเมืองของเราให้ความสนใจกันมาก ส่วนความคืบหน้านั้น....]


และสถานที่ที่จะยังเปิดไฟสว่างไสวต่อให้ฟ้ามืดแค่ไหนก็ตามนั่นก็คือ...โรงพยาบาล...สถานที่ที่เขาเลือกที่จะมานั่งอยู่นี่แหละ บอกตามตรงว่าเขาไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากกลับไปเห็นใบหน้าทรมานของพ่อ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะไปไหน เขาไม่รู้เลยว่าเป็นวิญญาณแล้วจะต้องทำยังไง จึงได้แต่นั่งฟังข่าวของตัวเองไปเรื่อยๆ


[ทางตำรวจปักใจเชื่อไปกว่า90%แล้วว่าน่าจะเป็นอุบัติเหตุครับ เพราะในเย็นวันนั้นมีฝนตกและถนนแถวนั้นก็ลื่นมาก คนขับรถน่าจะควบคุมรถไม่อยู่จนรถลื่นไถลไปชนต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง]   


อุบัติเหตุ? ไม่สิ...มันไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุธรรมดาๆ...เพราะเขาจำได้ว่า....

แปล๊บ~

อึก...จู่ๆก็ปวดหัวขึ้นมาเมื่อพยายามนึกถึงเรื่องในคืนนั้น...ใช่...ความทรงจำของเขาค่อนข้างสับสน...เหมือนจะจำได้ว่าตอนเกิดอุบัติเหตุมีผู้ชายอีกคนอยู่ด้วย...ผู้ชายคนนั้นเดินตัดหน้ารถ...ไม่สิ ยืนขวางรถ? จนคนขับต้องหักพวงมาลัยหลบ รถถึงได้พุ่งไปชนต้นไม้? มันน่าจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?


[ดูจากกล้องวงจรปิดของบ้านที่อยู่แถวนั้นซึ่งทางตำรวจได้นำมาเปิดเผยก็ไม่พบว่ามีเหตุการณ์อะไรที่ผิดปกติ ดูนะครับ...รถเมล์วิ่งมาถึงตรงจุดเกิดเหตุ จากนั้นจู่ๆรถก็ส่ายเหมือนกำลังลื่น จากนั้นก็พุ่งออกไปชนต้นไม้]


เขามองภาพจากกล้องวงจรปิดนั่นด้วยความสับสน...ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เขาจำได้รางๆนี่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงอย่างงั้นเหรอ? เป็นความฝัน? หรือเป็นภาพในจินตนาการ? จะว่าไปเขาก็จำหน้าของผู้ชายคนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ มีเพียงความรู้สึกบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ แน่นอนว่าเขาจำไม่ได้ว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่?

...เขา...คงจะคิดไปเองจริงๆสินะ...?

ดวงตาสีมรกตมองภาพจากกล้องวงจรปิดในโทรทัศน์ซ้ำไปซ้ำมา ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นจริงๆด้วย ก่อนที่รถเมล์จะขับมาถึงที่เกิดเหตุ ถนนก็มีเพียงความว่างเปล่า...


กึก!


“อุ๊บ...”   จู่ๆกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งก็ลอยมาแตะจมูก นี่มันกลิ่นอะไรกัน?...เหม็น...มันเหม็นมาก เหม็นเหมือนซากศพที่เน่าจนหนอนฟอนเฟะ...

ไม่ไหว...เขาทนกลิ่นไม่ไหวจริงๆ ทั้งๆที่กวาดสายตามองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าจะเป็นต้นเหตุเลย กลิ่นอะไรกันนะ?

สองขาเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยนอกแต่กลิ่นเหม็นนั่นก็ยังตามเขามาไม่หยุดหย่อน  จากที่เคยก้าวเดินในจังหวะปกติตอนนี้เขาเริ่มออกวิ่ง...อะไรบางอย่างนั่นมันตามเขามาจริงๆ

แฮ่ก...แฮ่ก....แฮ่ก......เขาเริ่มหอบ...ถึงจะเป็นวิญญาณแต่ก็ยังเหนื่อยอยู่แหะ? จะว่าไปแล้วถ้าตัดเรื่องที่เขาพูดคุยกับใครไม่ได้ไม่มีใครมองเห็น ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม เขายังเต็มไปด้วยความรู้สึกนึกคิดเหมือนเดิม

เขาวิ่งมาจนถึงริมน้ำ ที่นี่โล่งพอที่จะทำให้อะไรก็ตามที่ไล่ล่าเขาอยู่มันไม่มีที่หลบซ่อน...อย่างน้อยเขาก็จะได้พอรู้ว่าเขากำลังหนีอะไรอยู่และจะสู้มันได้ยังไง

“อึก!!”   มือข้างหนึ่งถึงกับยกขึ้นมาปิดปากโดยอัตโนมัติเมื่ออะไรบางอย่างนั่นค่อยๆคืบคลานออกมาจากซอกตึก กลิ่นเหม็นเน่ายืนยันตัวตนของพวกมันและเขาก็รู้ว่าเขาคงคิดผิดที่อยากจะเห็นหน้าพวกมัน...ร่างกายและใบหน้าที่เละเทะนั่นสยดสยองเกินกว่าที่เขาจะรับได้ เขาไม่รู้ว่าพวกมันคือตัวอะไรแต่ความน่าขยะแขยงก็ทำให้เขาก้าวขาถอยหลัง เขาไม่คิดว่าท่าทางคุกคามและหิวโหยนั่นจะเป็นมิตรสำหรับเขา...ต้องหนี...ต้องวิ่งหนีไปจากตรงนี้



ตึง!!!



จู่ๆก็รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน ในขณะที่เขากำลังคิดหาทางหนี อะไรบางอย่างก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า

ดวงตาของเขาเบิกกว้างแล้วจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นระรัว  อะไรบางอย่างที่หล่นลงมาท้องฟ้านั่นกำลังเหยียบเท้าข้างหนึ่งลงไปบนใบหน้าเละเทะก่อนที่น้ำหนักตัวของผู้ชายคนนั้นจะทำให้ซากศพเหม็นเน่านั่นล้มลงไปกองกับพื้น  ปืนสั้นถูกจ่อลงไปบนหัวของมันแล้วไกปืนก็ลั่นออกไปด้วยปลายนิ้วในถุงมือสีดำทันที



ปัง!!!



นัยน์ตาสีม่วงจ้องมองซากศพหัวแหลกเละกระจุยกระจายนั่นด้วยสายตาเฉยเมย ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก...เหมือนเขาจะเคยเห็นใบหน้าเย็นชาแบบนี้มาก่อน?

ร่างในชุดสีโทนดำนั่นยืดตัวขึ้นเขาถึงได้เห็นว่าผู้ชายคนนี้สูงมากทีเดียว ใบหน้าภายใต้กรอบผมหยักศกยุ่งๆสีชานั่นก็หล่อเหลามากทีเดียว

ดวงตาเย็นชาของผู้ชายคนนั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ซากศพที่ปลายเท้าโดยไม่สนใจจะเช็ดใบหน้าของตนซึ่งมีของเหลวสีเขียวคล้ำกระเด็นมาติดอยู่....แต่ไม่นานของเหลวพวกนั้นก็ค่อยๆระเหยหายไปเอง...?

แล้วชั่วพริบตาที่เขามัวแต่ยืนตื่นตะลึง ฝ่ามือในถุงมือหนังก็จับมือเขาแล้วพาวิ่งออกไปจากตรงนั้น






เขามองเสี้ยวใบหน้าของคนที่วิ่งนำอย่างสับสนมึนงง เขาไม่รู้แล้วว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเป็นยังไงกันแน่ พวกซากศพเน่าเหม็นนั่นก็ยังคงไล่ตามเขามา และฝ่ามือในถุงมือหนังสีดำนี้ก็ยังคงจับมือเขาไม่ปล่อย

เขาถูกเหวี่ยงเข้าไปในซอกตึกแห่งหนึ่งโดยมีแผงอกของอีกฝ่ายรองรับเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเขาจึงยอมให้ผู้ชายคนนั้นกอดเอาไว้แต่โดยดี เขาเงยมองใบหน้าได้รูปที่กำลังหันออกไปมองท้องถนน...เขาคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้จริงๆแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน แต่ดูจากใบหน้าที่หล่อขนาดนี้กับการแต่งกายที่ดูเท่ห์ดี อีกฝ่ายอาจจะเป็นพวกไอดอลไม่ก็นักร้องก็ได้มั้ง? เขาอาจจะเคยเห็นอีกฝ่ายผ่านโปสเตอร์ไม่ก็จอทีวี? ถึงได้รู้สึกคุ้นๆแบบนี้?

จู่ๆใบหน้าที่หันมองถนนก็ก้มลงมาไม่บอกกล่าว เพราะงั้นมันจึงสบประสานกับสายตาที่เขากำลังจ้องอีกฝ่ายอยู่พอดี

ยิ้ม...

ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้เขา...

ถึงมันจะเป็นรอยยิ้มที่เบาบาง...แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนมากหากเทียบกับความเย็นชาที่อยู่บนใบหน้านั้นมาตลอด...

“ขอเติมพลังหน่อย”   ริมฝีปากได้รูปขยับพูดออกมาแค่นั้นก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะขยับลงมาอย่างรวดเร็ว

เอ๊ะ?

จูบ...

ผู้ชายคนนั้นจูบเขา...

แล้วมันก็ไม่ใช่แค่จูบเบาๆ เพราะลิ้นชื้นแฉะกำลังล่วงล้ำเข้ามาท่ามกลางดวงตาที่ได้แต่เบิกกว้างของเขา

เราเพิ่งเจอกันไม่ใช่เหรอ? แล้วจูบเขาขนาดนี้มันหมายความว่ายังไง?

“อื้อ~”   เขาพยายามต่อต้านริมฝีปากที่บดเบียดเข้ามาไม่หยุด ท้ายทอยถูกฝ่ามือในถุงมือสีดำนั่นกดเอาไว้จนหนีไปไหนไม่ได้

ผู้ชายคนนั้นยอมละออกไปแต่ก็ยังทอดสายตามองเขาอย่างโหยหา...อีกฝ่ายทำเหมือนกับว่ารู้จักเขามานานแล้ว?

“ไปจากตรงนี้กันเถอะ”   เสียงนุ่มพูดออกมาก่อนที่ท่อนแขนแข็งแรงนั่นจะกระชับร่างกายของเขาเข้าไปหาแผงอกของอีกฝ่ายมากขึ้น เขามองเห็นปีกสีดำจางๆที่ราวกับจะกลืนหายไปในอากาศแผ่สยายออกมา...

แล้วไม่นานเขาก็ต้องหลับตาปี๋เพราะลำตัวที่ถูกกอดไว้กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

ไม่ๆ...ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ไอดอลหรือนักร้องแน่ๆ...แต่ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็น...


ตุบ...


คราวนี้พวกเขาลงมายืนอย่างนุ่มนวลลงบนดาดฟ้าของตึกแห่งหนึ่ง ท่อนแขนที่กอดเขาแน่นมาตลอดลากเขาให้เดินตามไป เขาถูกดันให้เข้าไปในตัวอาคารก่อนที่อีกฝ่ายจะนั่งลงที่ปลายบันไดขั้นบนสุดนั้นเอง

“รออยู่ที่นี่จนกว่าจะเช้าแล้วกัน”   เขาถูกดึงให้นั่งลงไปข้างๆอย่างมึนงง เขาคงต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะดึงสติกลับมาจากเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เพิ่งได้เจอมา เอาจริงๆนะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะเริ่มถามจากเรื่องไหนก่อนดี

“พวกนั้น...มันตัวอะไรกันน่ะ?”   เขาถามออกไปอย่างมึนๆ

“เราเรียกพวกมันว่าสัมภเวสี”   คนที่นั่งอยู่ข้างๆตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนเขาเผลอจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ริมฝีปากเอ่ยถามออกไปอย่างเลื่อนลอย...

“แล้วนายล่ะ? เป็นอะไร? วิญญาณเหมือนกับฉัน...หรือว่า...ยมทูต?”







.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




มายังไงไม่รู้แหละไหนี้ 5555+ แปะเพลงแรงบันดาลใจก่อนเรยถถถ ของ EXO ล้วนทั้ง 3 เพลง กร๊ากกกก

Monster : EXO





Mama : EXO





For you : EXO





ฟังแล้วอยากแต่งเรื่องแนวนี้มากอ่ะ >////< พระเอกดาร์กๆหน่อย มีพลังพิเศษอะไรแบบนี้ เพลง monster นี่ความหมายค่อนข้างใกล้เคียงกับชูในเรื่องนี้เรย 5555+  ส่วน For you เนี่ยฟังมานานแล้วตั้งแต่ตอนดูซีรี่ย์ Moon lovers ชอบมากๆอ่ะค่ะ เอามาฟังอีกทีแล้วนึกถึงชูนั่งอยู่บนยอดตึกเฝ้ามองมินาโตะที่มองไม่เห็นตัวเอง คิดถึงแต่มินาโตะมาตั้งแต่มินาโตะเกิด ชุดสีดำพัดไปตามลม อะไรแบบนี้ >////<

ส่วนชื่อเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับใครเค้า555+ นั้นได้มาจาก คือตอนนี้คุณกวางติดการ์ตูนเรื่องนึง(จะว่าไปก็หลายเรื่องแหละ)ใน comico แล้วนายเอกชื่อ ซารัง ตอนอ่านก็คิดว่าเออ มันน่ารักดีนะที่ตั้งชื่อผู้ชายว่า ซารัง แบบนี้ ไม่เคยเห็นมาก่อน >////< นะ...ซารัง เป็นภาษาเกาหลี ทุกคนน่าจะรู้ดีแหละว่ามันแปลว่าอะไร กร๊ากกกก

มาพูดถึงตัวละครกันบ้าง อยากให้ลุคของชูในเรื่องนี้เป็นแบบเท่ห์ๆอ่ะ ดาร์กๆเท่ห์ๆ ไม่ต้องคุณชายจ๋าแบบลุคปกติของเจ้าชายเค้า แล้วก็ขอเปลี่ยนคำเรียกสีผมของชูจากเรื่องก่อนๆที่ใช้เป็นสีน้ำตาลหน่อย คือก่อนหน้านี้ก็ตะหงิดๆกับสีผมของคุณชายเค้าอยู่แหละว่ามันไม่ใช่สีน้ำตาลแท้ๆแต่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าสีอะไรดีถถถ เรื่องนี้เลยจะขอใช้เป็นสีชาแล้วกันค่ะ อาจจะเป็นชาแก่หน่อย5555+

แล้วเจอกันตอนหน้า ไหอื่นก็พยายามจะทุบอยู่นะ TvT



4 ความคิดเห็น:

  1. ทุบไหอื่นดั้วววว
    ยังรอคอยอยู่น้าาา รีไวเอเรน ห้องที่แสงส่องไม่ถึง...psycho passตอนโคกามิกิโนสะด้วยย

    ตอบลบ
  2. เป็นแนวใหม่น่าติดตามมากเลย หนำซ้ำยังเป็นคู่ที่ชอบ ชูจ๋า มินาโต่~~

    ตอบลบ
  3. รอต่อนะคะ! พี่ชูไทป์ไม่คุณชายจ๋าก็งานดีไปอีกแบบ

    ตอบลบ
  4. รอนะคะ คือดีทุกตอนเลย

    ตอบลบ