Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd : RED Season : 06


Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd :  RED Season : 06

: Scuderia Ferrari Short Fanfiction AU
: คิมี่ ไรโคเนน x เซบาสเตียน เวทเทล
: Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
           : เนื้อเรื่องโฟกัสช่วงที่เซบอายุราวๆ18-19 ส่วนคิมี่ก็ 24-25 นะคะ
           
  
       

ฝ่าเท้าที่สวมเพียงรองเท้าสานจากเส้นใยพืชเหยียบย่ำลงไปบนผืนทรายที่กระจายตัวเป็นริ้วยามเมื่อลมพัดมา เชือกจากรองเท้าที่พันจนถึงหน้าแข้งดูใกล้จะขาดอยู่รอมร่อเพราะเขาใช้มันอย่างหนักมาตั้งแต่เมื่อวาน

ฝ่ามือดึงผ้าที่ใช้คลุมศีรษะและร่างกายให้ขยับลงมาต่ำเพื่อกำบังใบหน้าของเขาจากลมทะเลทรายที่ร้อนระอุ...คิมี่ ไรโคเน่น กำลังเดินอย่างเดียวดายท่ามกลางทะเลทรายที่เวิ้งว้างว่างเปล่า...

เขาเพิ่งไปทำภารกิจช่วยเจ้าชายแห่งอียิปต์ชิงบัลลังก์ที่เมืองเมมฟิสมา แล้วในขณะที่กำลังจะขับรถฟอร์มูล่าวันของเขากลับเมืองธีบส์ น้ำมันก็หมดลงกลางทางอย่างที่คาดไว้จริงๆ...เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเดินเท้ากลับไป

แต่มันไม่เหมือนกับการเดินบนถนนในยุโรป ไม่เหมือนการเดินอยู่ในป่าของฟินแลนด์ ไม่เหมือนเดินอยู่ในสนามแข่งของยุคปัจจุบัน...เขาเดินอยู่ที่นี่...ซึ่งเป็นที่ที่ไม่มีอะไรเลย...

ถ้าเป็นถนนปกติละก็ เขาขับรถผ่านแค่รอบเดียวก็จำได้ แต่กับทะเลทรายที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากฟ้ากับทรายแล้วจะให้เขาไปสังเกตอะไร จำอะไรได้ที่ไหน สองขาทำได้แค่เดินต่อไปด้วยความหวังว่าทิศทางที่เขาเลือกนั้นมันจะถูกต้อง

ใบหน้าคมก้มมองขวดน้ำในมือ มันเป็นขวดน้ำที่พวกนักขับใช้กันและมันก็มักจะติดอยู่ในรถของเขาเสมอ มักจะมีน้ำให้เขาดื่มได้อยู่เสมอ แต่บัดนี้มันกำลังว่างเปล่า...น้ำในขวดหมดแล้ว...เขาเงยหน้ามองแสงแดดอันร้อนแรงนั่นอย่างเหนื่อยล้า ในขณะที่ไม่มีน้ำเข้าร่างกาย แต่น้ำที่ถูกดูดออกไปด้วยแสงแดดพวกนี้กลับมีไม่หยุดหย่อน มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาปาดเหงื่อบนใบหน้าอย่างเพลียๆ

เงาวูบไหวที่สะท้อนอยู่บนผืนทรายทำให้หลายต่อหลายครั้งที่เขาคิดว่าคงจะเข้าใกล้โอเอซิสแล้ว แต่ทุกครั้งมันก็เป็นเพียงภาพลวงตา เขาเดินตรงไปข้างหน้าเพียงเพื่อจะพบว่ามันคือทะเลทรายที่ว่างเปล่า ไม่มีโอเอซิส ไม่มีแอ่งน้ำ ไม่มีต้นไม้ มีเพียงความร้อนระอุและผืนทรายก็เท่านั้น...เขาเหนื่อยและสิ้นหวัง หลายครั้งเขาคิดว่าเขาคงจะตายอยู่ที่นี่ เดินๆไปแล้วก็ล้มลงเหมือนซากสัตว์น้อยใหญ่ที่เขาเดินผ่าน...สักวันร่างกายของเขาก็คงจะเหลือเพียงกระดูกอย่างพวกมัน เหลือเพียงกระดูกที่แม้แต่ทรายก็ยังฝังกลบไม่มิด

เขากัดริมฝีปากก่อนจะพยายามลากตัวเองออกมาจากห้วงความคิดอันมืดมน คิมี่ ไรโคเน่นไม่ใช่คนแบบนั้น เขาไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ให้กับอะไรง่ายๆ การแข่งรถก็เหมือนกับยืนอยู่บนหุบเหวแห่งความตายในทุกวินาที แล้วเขาจะมากลัวอะไรกับทะเลทรายแค่นี้ ยิ่งคิดถึงเจ้าลูกโกลเด้นที่กำลังรอเขาอยู่ที่ธีบส์ เขาก็ยิ่งถอดใจไม่ได้ ก้นแน่นๆนั่นเขายังไม่ทันได้ใช้ให้หนำใจ ถ้าต้องมาตายโดยทิ้งมันไว้ก็น่าเสียดายแย่ สองขาจึงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม

แสงแดดที่ร้อนแรงกำลังอ่อนลงเรื่อยๆ ราตรีคงใกล้จะมาเยือนอีกรอบแล้วละมั้ง?...นี่เป็นคืนที่สองแล้ว...คืนแรกเขาตัดสินใจนอนมันกลางทะเลทรายนั่นแหละ เพราะเซบเคยเตือนเขานักหนาว่าทะเลทรายยามมืดค่ำนั้นอันตรายและน่ากลัวยิ่งนัก เขาเองก็เห็นมากับตาแล้วว่าพลังของมันนั้นร้ายกาจขนาดไหน กองทัพทั้งกองทัพยังถูกดูดถูกพัดหายไป นับประสาอะไรกับคนตัวจ้อยเช่นเขา

แต่สำหรับคืนนี้เขาคิดว่าเขาไม่มีเวลาแล้วที่จะมัวมาเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ นอกจากตัวเขาเองที่กำลังจะขาดน้ำขาดอาหารตาย เขาก็ยังนึกถึงใบหน้าของเจ้าชายแห่งอียิปต์ที่ป่านนี้คงจะเป็นห่วงเขาแย่แล้วที่เขาไม่กลับไปเสียที สองขาจึงดึงดันที่จะเดินต่อไป

จะต้องกลับไปหาเซบ...

ต้องกลับไปหาเซบ...

.
.
.
.
.
.
.
.
.


เปลือกตาขยับอย่างเกียจคร้านก่อนที่นัยน์ตาสีเทาจะค่อยๆลืมขึ้นมา...อ่า...ฝันงั้นเหรอ?...เผลอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนั้นอีกแล้ว จนตอนนี้ก็ไม่คิดเลยว่าจะรอดมาได้จริงๆ 

ใบหน้าคมก้มลงมองคนที่นอนหนุนอยู่ที่แขน ต้องยกความดีความชอบให้ก้นของเด็กนี่ละนะ ที่ทำให้เขาอยากกลับมาซะขนาดนั้น คิมี่ ไรโคเน่นยิ้มบางๆอย่างหาได้ยากในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่เขาข้ามเวลากลับมาเขาก็ยิ้มได้ง่ายจนตัวเองยังแปลกใจ นัยน์ตาสีเทาทอดมองใบหน้าหลับปุ๋ยของคนที่ใช้ท่อนแขนของเขาแทนหมอน เจ้าชาย ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าฟาโรห์แห่งอียิปต์แล้วนี่นะ เด็กนี่ยังนอนอยู่ที่ห้องเขา ยังอยู่ที่ปราสาทหินทรายอย่างไม่คิดจะย้ายไปอยู่ที่พระราชวังหลวงอย่างที่ควรจะเป็น

ตอนนี้ประวัติศาสตร์อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ จากนี้ไปเขาคงต้องเริ่มเรียนรู้และปรับตัวที่จะอยู่ที่นี่ จะกลับโลกเดิมไม่ได้ก็ช่าง ตราบใดที่เขาได้อยู่กับเซบ

ฝ่ามือยกขึ้นมาลูบเส้นผมสีบลอนด์เข้มด้วยความเอ็นดู คนที่ถูกเขาก่อกวนเพียงแค่ขยับซุกตัวเข้าหาเขามากขึ้น ท่อนแขนผอมบางนั่นก็กอดเอวเขามากขึ้นและเขาเองก็ทำเช่นเดียวกัน กอดร่างกายโปร่งบางนั่นจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ใบหน้าที่ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหนก็ขยับไปเกยอยู่บนหัวสีบลอนด์เข้มแล้วจุมพิตมันเบาๆ...รัก...ให้ความรู้สึกนี้มันประจักษ์แน่นอยู่ในใจ เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว...

ถ้าการได้กลับไปยังโลกใบเดิมของเขาแล้วที่นั่นไม่มีเซบ เขาก็ไม่คิดจะกลับไป...










นับว่าฟาโรห์องค์ก่อนวางรากฐานและบริหารจัดการการปกครองอาณาจักรอียิปต์เอาไว้อย่างดี ยามเมื่อเจ้าชายเซบาสเตสขึ้นเป็นฟาโรห์องค์ใหม่และต้องมาสานงานทั้งหลายนั่นต่อจึงไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก ฉะนั้นหลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางในเวลาไม่ถึงเดือน ฟาโรห์องค์ใหม่ก็สามารถเสด็จไปไหนมาไหนได้อย่างสบายใจ

“เราจะไปสักการะเทพเจ้าที่วิหารเมมฟิส ตั้งแต่ขึ้นเป็นฟาโรห์มาเราก็ยังไม่ได้ไปบอกท่านเลย”   และเมื่อฟาโรห์เซบาสเตสพูดออกมาแบบนั้น ข้าราชบริพารจึงไม่คิดจะคัดค้านแต่อย่างใด

กองคาราวานเล็กๆของฟาโรห์จึงออกจากเมืองธีบส์มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเมืองเมมฟิส

ทั้งๆที่เคยเดินทางไปยังสถานที่เดียวกันแต่คราวนี้คิมี่ ไรโคเนนกลับรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเขาไม่ต้องขับรถฝ่าแดดเปรี้ยงๆกลางทะเลทรายอันร้อนระอุอีกแล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนหลังอูฐที่เดินโยกไปเยกมาชวนให้น่าหลับตาเสียจริงๆ

ผ้าที่คลุมไหล่อยู่ตกร่นลงมาที่ต้นแขนทำให้เปลือกตาที่ใกล้จะปิดลงเต็มทีลืมตาขึ้นมาพลางจับผ้ากลับไปพาดไหล่ไว้เหมือนเดิม  นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองกองคาราวานที่มีผู้ร่วมทางแค่สิบคนทั้งๆที่เป็นกองคาราวานของฟาโรห์ผู้ปกครองแผ่นดินอียิปต์แท้ๆแต่เซบกลับไม่ให้คนติดตามไปมากเท่าไหร่ ขบวนอูฐที่ควรจะมีเป็นร้อยจึงเหลืออยู่แค่สิบกว่าตัว รวมพวกที่ต้องลากหีบข้าวของเครื่องใช้ของพวกเขาไปด้วย

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างการเดินทางครั้งนี้กับครั้งที่แล้ว นั่นก็เพราะว่าคราวนี้ไม่ได้ไปเดินตัดผ่านทะเลทรายที่มองไม่เห็นอะไรนอกจากทรายกับทราย แต่พวกเขากำลังเดินเลาะริมแม่น้ำไนล์ไปเรื่อยๆ ความเขียวชะอุ่มชุ่มชื้นจึงมีให้เห็นตลอดทาง และความต่างที่เห็นอย่างหนึ่งก็คือ...

นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองเม็ดฝนที่ตกกระทบแขนของเขาเปาะแปะ ตั้งแต่ถูกดูดกลับมาอยู่ในยุคนี้นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นฝนตก

คาราวานของฟาโรห์คนใหม่จำต้องหยุดลงเมื่อฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ ขบวนอูฐเดินเฉื่อยแฉะเข้าไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทาง คิดไม่ออกเลยว่าถ้าพวกเขาใช้เส้นทางกลางทะเลทรายจะไปหลบฝนกันตรงไหน

คิมี่ ไรโคเนนกระโดดลงมาจากหลังอูฐตัวสูงใหญ่ มันสูงกว่าม้าที่เขาเคยขี่มาเสียอีก นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองหาร่างโปร่งบางของฟาโรห์ก่อนจะเห็นเด็กนั่นยืนลูบแขนตัวเองอยู่ใต้ต้นไม้ถัดออกไป สองขาจึงเดินเข้าไปหา

สำหรับคนที่คุ้นชินกับความร้อนแล้งของทะเลทราย การที่ฝนตกลงมาแบบนี้คือเรื่องดีก็จริงแต่ความหนาวเย็นที่นานๆทีจะได้สัมผัสก็ทำให้ขนทั่วทั้งแขนลุกชันได้โดยง่าย ไหล่บางห่อเข้าหากันก่อนเงยมองท้องฟ้าที่ยังประทานเม็ดฝนลงมาไม่หยุด

แต่แล้วท้องฟ้าดำทะมึนที่มองเห็นกลับถูกผ้าสีขาวผืนหนึ่งมาบดบัง มันคือผ้าที่พวกเขาใช้คลุมไหล่คลุมหัวเพื่อป้องกันความร้อนจากแสงแดดในขณะที่เดินทาง และผ้าผืนนั้นมันก็เต็มไปด้วยกลิ่นของคิมี่

“........”   ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักกางผ้าผืนนั้นไว้เหนือหัวของเขาโดยไม่พูดอะไร หยดน้ำฝนที่ทำให้หนาวไปถึงขั้วกระดูกจึงไม่อาจสัมผัสเขาได้อีกต่อไป

นัยน์ตาสีฟ้าที่สวยงามราวกับอัญมณีเหลือบมองใบหน้าคมของคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง แพขนตายาวกระพริบปริบๆเมื่อคิมี่ยังคงกางผ้ากันฝนให้เขาด้วยสองแขนโดยไม่พูดอะไรต่อไป ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเปล่งประกายนั่นมองตรงไปข้างหน้าด้วยแววตาเฉื่อยชาตามปกติ...นี่จะไม่พูดอะไรกับเขาสักหน่อยเลยเหรอ? เช่นว่าระวังเปียกฝนนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา เป็นห่วงนะ อะไรแบบนี้?

แต่ไม่ว่าเขาจะยิ้มหวานหรือจะมองอย่างกดดันให้พูดเท่าไหร่ คิมี่ก็ยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาก็รู้หรอกว่าคิมี่ไม่ใช่คนพูดมากและเขาก็ชอบนิสัยแบบนี้ของอีกฝ่าย แต่หลายๆครั้งมันก็ทำให้เขานึกอยากจะแหย่ให้พูดขึ้นมา  ใบหน้ารูปไข่จึงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววซุกซน ปากหนักๆนั่นมันทำให้เขานึกอยากจะแกล้งขึ้นมาตะหงิดๆ....หึ...ดูซิว่าถ้าเจอแบบนี้เข้า...จะไม่ยอมพูดยอมจาไปได้สักกี่น้ำ!

ร่างโปร่งบางขยับถอยเข้าไปใกล้ๆร่างกายของคิมี่...จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการง้างปากอีกฝ่ายทันที!

“...........Fuck...yo...”   ได้ยินเสียงกัดฟันก่อนที่เสียงทุ้มดุดันจะพูดบางอย่างออกมาจนได้ รอยยิ้มซนๆจึงเผยอยู่บนใบหน้ามนรูปไข่ก่อนจะหันกลับไปราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราว

“หื๋อ?”   คิมี่กัดฟันก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วขยับใบหน้ามากระซิบที่ข้างใบหูของเขา

“อยากโดนเสียบใช่ไหม? แล้วนายก็จะได้โดนภายในสองนาทีนี้แน่ถ้ายังไม่เลิกเอาก้นมาถูกับน้องชายของชั้นน่ะ”   ฮ่าๆๆ ในที่สุดก็ยอมพูดออกมาแล้ว~  เขาชนะ! ถึงแม้ว่าจะยอมพูดแต่เรื่องดิบๆเถื่อนๆแบบนั้นก็เถอะนะ!

“คิก  ก็มันหนาวนี่นา~~   เขาขยับห่างออกมาเมื่อแหย่คิมี่ได้ดั่งใจ ใบหน้าภายใต้มงกุฎฟาโรห์ยิ้มร่าชอบใจ ก็ไม่ได้โกหกสักหน่อย มันหนาวจริงๆนี่

ได้ยินเสียงถอนหายใจอยู่ข้างหลังแต่เขาก็ยังยิ้มไม่หุบ ใบหน้ารูปไข่เงยมองสายฝนอย่างสุขใจ...ก่อนจะรับรู้ได้ว่าผ้าที่เคยกางอยู่เหนือหัวตกละลงมาข้างหนึ่ง...เพราะว่ามือข้างนั้นที่เคยจับมันไว้ย้ายลงมาอยู่ที่เอวเขาแทน ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักโอบกอดเขาไว้ทำให้ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างกายคิมี่ส่งผ่านมายังร่างกายของเขาโดยตรง

“อุ่นรึยัง?”   คำพูดสั้นๆห้วนๆดังอยู่ที่ใบหู แต่มันกลับเป็นถ้อยคำที่ทำเอาใบหน้าที่กำลังยิ้มถึงกับร้อนผ่าว ทีเมื่อกี้ตัวเองทำเรื่องหน้าไม่อายกลับไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้แค่คำพูดสั้นๆกับการกระทำเล็กๆของคิมี่กลับทำให้เขาเขินจนหน้าแดงไปจนถึงใบหู

“อุ่น...อุ่นมากเลยละ”   ใบหน้าที่ก้มงุดตอบออกไปเบาๆ หัวใจดวงน้อยรู้สึกเอ่อล้นไปด้วยความสุข รู้สึกได้ถึงความรักจากคำพูดและการกระทำที่ไม่ได้มากมายอะไรเลยนั่นอย่างเต็มเปี่ยม สองแขนผอมบางจึงยกขึ้นกอดท่อนแขนข้างนั้นตอบ

มันอุ่นมากๆ อุ่นจนอยากจะอยู่แบบนี้ตลอดไป อุ่นจนไม่อยากให้มันหายไปไหน อุ่นจนเขาเริ่มเกิดความลังเลใจ....

เขาอยากอยู่กับคิมี่...อยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้...

หรือเขาควรจะเลือกความสุขของตัวเองดี เลือกความรักของคิมี่ เลือกโลกที่เขามีทุกอย่าง มีทั้งอำนาจ ฐานะ ทรัพย์สมบัติ เขาควรจะเลือกมันใช่ไหม?


เพราะถึงจะแก้แค้นต่อไป...คนที่เขารักสุดหัวใจคนนั้นก็ไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีกแล้ว...


คนคนนั้นจากเขาไปตลอดกาลแล้ว แต่คิมี่ยังอยู่...

คิมี่จะยังอยู่ข้างๆเขา มอบความรักให้เขา ตราบใดที่เขาไม่คิดจะส่งคิมี่กลับไปยังโลกที่คิมี่ควรจะอยู่...เราก็จะไม่มีวันพรากจากกัน


ทำไม...ท่านถึงมาหาเราเอาป่านนี้กันนะคิมี่...






“กรี๊ด!  เสียงร้องอย่างตกใจของข้ารับใช้ทำให้เขาหันไปมอง พวกหล่อนไม่ได้ตกใจที่เขากับคิมี่กอดกันอยู่หรอกแต่กลุ่มข้ารับใช้พวกนั้นกำลังถอยห่างอย่างแตกตื่นออกมาจากรถลากบรรทุกสิ่งของคันหนึ่งมากกว่า

“มีอะไรอยู่ในรถสัมภาระ?”   เขากับคิมี่เดินไปดูวงล้อมของข้ารับใช้ที่กำลังจดๆจ้องๆหีบใส่ของในรถอย่างหวาดๆ

“มะ ไม่ทราบเพคะฝ่าบาท มันผลุบหายเข้าไปอย่างรวดเร็ว ฝ่าบาทระวังด้วยนะเพคะ”  แล้วในขณะที่เขาจะเดินเข้าไปดู คิมี่กลับยกมือขึ้นมาขวางเอาไว้เสียก่อน ใบหน้านิ่งส่งสัญญาณว่าให้เขารออยู่ตรงนี้และตัวเองจะเข้าไปดูเอง เขาจึงมองตามแผ่นหลังกว้างนั่นไปด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก คิมี่เอาไม้เขี่ยๆกองสัมภาระแต่เพราะในรถลากที่คลุมด้วยผ้านั้นมืดเกินไปจนมองไม่เห็นอะไร ใบหน้าคมจึงหันกลับมาบอกกับเขาว่า

“ขอไฟฉายหน่อย”  มือแข็งแรงแบเหมือนกำลังขออะไรบางอย่างจากเขา แต่เขาไม่รู้จักสิ่งที่คิมี่พูดออกมาจึงได้แต่ทำหน้างงส่งกลับไป

“ไฟฉาย?”  แล้วก็เหมือนกับคิมี่จะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีของสิ่งนั้นอยู่ในยุคนี้ นัยน์ตาสีเทาจึงกรอกไปมาอยู่เสี้ยววินาทีก่อนจะบอกเขาใหม่ว่า

“เอ่อ...ขอคบเพลิง คบไฟ อะไรก็ได้ที่มีแสงสว่าง”  อ๋อ~ ขอคบไฟนี่เอง

“ช่วยจุดคบไฟให้หน่อย!   เขาจึงหันไปสั่งให้ข้ารับใช้หามาให้ หลังจากที่ได้คบไฟส่องเข้าไปในกองหีบสัมภาระจึงได้เห็นว่าตัวการของเรื่องนี้คืออะไร

“แค่กิ้งก่า ไม่มีอะไรหรอก”  คิมี่ใช้ไม้เขี่ยจนมันวิ่งหนีออกไป ความแตกตื่นจึงกลับคืนสู่ภาวะสงบอีกครั้ง ร่างหนาส่งคบไฟให้ข้ารับใช้ เขาจึงตามประกบติดคิมี่ก่อนจะถามอีกฝ่ายทันที

“คิมี่ ไฟฉายคืออะไร?”  ใบหน้าคมอมยิ้มน้อยๆราวกับกำลังขำในความอยากรู้อยากเห็นของเขา

“มันเป็นเครื่องให้กำเนิดแสง ก็คล้ายๆคบไฟของนายนี่แหละ เพียงแต่มันไม่ต้องมาคอยจุดยุ่งยากแบบนี้ แล้วก็ไม่มีเปลวไฟ ไม่ต้องคอยระวังด้วยว่าเปลวไฟจะไปติดอะไรทำให้เกิดไฟไหม้ มันทำงานด้วยถ่านไฟฉายแค่กดเปิดก็จะมีแสงออกมาแล้ว”  น้ำเสียงราบเรียบพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ ซึ่งมันก็ทำให้เขาพอจะจินตนาการออกอยู่บ้าง

“สะดวกจัง...”   ริมฝีปากสีชมพูเผลอพูดออกไปเบาๆเมื่อนึกถึงสิ่งของที่ไม่ต้องคอยจุดไฟก็ให้แสงสว่างได้ แถมไม่ต้องคอยระวังเปลวไฟจะไปไหม้ของที่อยู่ใกล้ๆด้วย จะเปิดจะปิดก็คงง่ายเสียยิ่งกว่าง่ายเลยสินะ

“ของที่สะดวกกว่านี้ แล้วก็ให้แสงเยอะกว่ายังมีอีกนะ อย่างหลอดไฟฟ้า”

“หลอดไฟฟ้า?”

“เป็นอุปกรณ์ให้กำเนิดแสงที่ไม่ได้ใช้พลังงานของถ่านแต่ใช้พลังงานไฟฟ้าแทน แทนที่จะจุดคบไฟไว้ตามทางหรือจุดเทียนในปราสาท ก็ติดหลอดไฟฟ้าแทน และแค่นายกดสวิตซ์เปิดมันแค่ทีเดียว ปราสาททั้งหลังของนาย แม้แต่เมืองธีบส์ทั้งเมืองของนายก็จะสว่างไสวในทันที...ดูนี่สิ คบไฟนี่แค่ลมพัดมันก็ดับ แต่ไฟฉายน่ะเจอลมได้สบายๆ”

“เห๋...”   เขาลูบคางอย่างทึ่งๆในสิ่งที่คิมี่พูดถึง ดูท่าแล้วในโลกที่คิมี่อยู่คงจะสะดวกสบายมากแน่ๆ ดูอย่างเจ้าม้าสีแดงตัวนั้นสิ คิมี่อยู่ในโลกที่สามารถเดินทางไปเมมฟิสได้ในเวลาชั่วโมงเดียว เพราะฉะนั้นการที่ต้องมานั่งอยู่บนหลังอูฐถึงสองวันเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเดียวกันมันคงจะเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับคิมี่มากๆเลยสินะ พอคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกหดหู่ใจยังไงแปลกๆ

เพราะเขาไม่เคยถามคิมี่ ไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย...บางที...คิมี่อาจจะอยากกลับโลกเดิมของตนมากว่าจะอยากอยู่ในที่ที่ลำบากและไม่มีอะไรเลยแบบนี้...

เขาลืมคิดถึงความรู้สึกของคิมี่ คิดแต่ว่าอยากจะอยู่กับอีกฝ่ายเท่านั้น ลืมคิดไปว่าที่ที่คิมี่จากมา...ก็อาจจะมีคนที่กำลังรอคิมี่กลับไปอยู่...

ถ้าเขารักคิมี่และอยากให้คิมี่สบาย...เขาควรจะส่งคิมี่กลับไปใช่ไหม?

“นี่คิมี่...”  

“หื๋อ?”

“ท่าน...คิดถึงโลกที่ท่านจากมาบ้างไหม?”   นัยน์ตาสีฟ้าหลุบต่ำหลังจากตัดสินใจถามออกไป

“คิดถึงแล้วยังไงล่ะ? ยังไงก็กลับไปไม่ได้อยู่ดี”  ...แสดงว่าคิดถึงสินะ...

เขาได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ แต่มันคงเผลอแสดงออกไปทางสีหน้า คิมี่จึงขยับมือมากอบกุมมือเขาเอาไว้ ก่อนจะพูดถ้อยคำที่ทำเอาใจสั่น

“กำลังคิดอะไรไม่เข้าท่าอยู่ล่ะสิ?...จำเอาไว้...ว่าฉันจะอยู่ที่นี่ อยู่กับนาย...My Prince”   แก้มใสร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที คำพูดที่หนักแน่นของคิมี่ทำให้หัวใจที่แปรปรวนกลับมาแข็งแกร่งดังหินผา แต่ว่า...มันไม่ดีต่อเขาเลย...

คิมี่ทำให้เขาลังเลใจอีกแล้ว...จากที่คิดจะส่งคิมี่กลับไปแล้วทำตามแผนการของตัวเองต่อ แต่ตอนนี้เขากำลังลังเล...

ถูกอย่างที่ตำรามหาฟาโรห์เคยว่าไว้...คิดจะทำการใหญ่ ไม่ควรมีความรักเลยจริงๆ










พวกเขาใช้เวลาเดินทางไปสองวัน ในที่สุดกองคาราวานของฟาโรห์คนใหม่ก็มาถึงเมมฟิสจนได้

ฟาโรห์เซบาสเตสแห่งอียิปต์เข้าไปในตัวเมืองเพื่อปฏิบัติหน้าที่อยู่พักใหญ่ก่อนที่ทั้งขบวนจะออกเดินทางไปพักที่วิหารเมมฟิสซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาแทนที่จะนอนที่พระราชวังเก่าในตัวเมือง

ท้องนภาเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีดำ ค่ำคืนมาเยือนในไม่ช้า และตอนนี้คิมี่ ไรโคเนนก็กำลังยืนแหงนหน้ามองภูเขาหินทรายที่ค่อยๆไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ...วิหารเมมฟิสตั้งตระหง่านอยู่บนนั้น

คนที่จะได้พักในตำหนักหินทรายข้างๆวิหารบนยอดเขามีเพียงฟาโรห์แห่งอียิปต์เท่านั้น ส่วนผู้ติดตามและข้ารับใช้ทั้งหมดต้องพักอยู่ที่ตีนเขา นี่คือประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน...

แล้วทำไมเขาถึงมายืนทำตัวลับๆล่อๆมองทางขึ้นวิหารในยามวิกาลอยู่แบบนี้น่ะเหรอ?


“คิมี่...หลังจากข้ารับใช้นอนกันหมดแล้ว...ท่านแอบขึ้นมาหาเรานะ น้า~~เรากลัว เรานอนคนเดียวไม่ได้~


เจ้าฟาโรห์ตัวร้ายกระซิบบอกเขาเอาไว้แบบนั้นก่อนจะเดินตัวปลิวขึ้นยอดเขาไป เขาก็รู้อยู่หรอกว่าเด็กนั่นไม่ได้กลัวอย่างที่ปากพูดแต่ในเมื่อเชิญชวนกันขนาดนี้มีหรือที่เขาจะปฏิเสธ

สองขาลอบเดินขึ้นไปตามบันไดหินที่มีคบเพลิงจุดไว้เป็นระยะๆ ปลายทางที่รอเขาอยู่คือทางเข้าวิหารที่ขุดเข้าไปในภูเขา สองแขนเปิดประตูหินบานใหญ่เพื่อพบกับเสาต้นมหึมาตั้งเรียงราย สุดสายตามีรูปสลักหินของเทพเจ้าอียิปต์นั่งอยู่...

ในนี้เงียบและก้องมาก แค่ฝ่าเท้าของเขาก้าวเข้าไปเสียงที่ราวกับมีมนต์ขลังก็ดังขึ้นอย่างมีพลังทันที นัยน์ตาสีเทากวาดมองผนังทั้งสองข้างแต่ก็พบเพียงผนังหินปิดทึบ ระหว่างนี้ไม่มีห้องแยกออกไปแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นฟาโรห์แห่งอียิปต์คงจะอยู่ด้านในสุดของวิหารแน่ๆ ดูจากแสงไฟเรืองๆที่ลอดช่องประตูออกมา...

ช่องประตูนั้นอยู่ด้านหลังรูปสลักเทพเจ้า ดวงตาหินทรายที่จ้องมองเขายามที่ก้าวขาเข้าไปหานั้นสร้างความกดดันไม่น้อยเลยทีเดียว...คงจะรู้สินะ ว่าเขาขึ้นมาทำอะไรที่นี่

ร่างแข็งแกร่งยืนเผชิญหน้ากับดวงตามหึมาคู่นั้นอยู่หลายวินาทีก่อนที่จะตัดสินใจก้าวขาเดินต่อไป...ขยับกายลอดผ่านช่องประตูที่ไม่มีบานประตู...แล้วเขาก็หาตัวฟาโรห์แห่งอียิปต์พบจนได้

เซบไม่ได้นั่งคุกเข่าประสานมือสวดมนต์หรือพูดคุยกับเทพเจ้าอย่างที่กลุ่มคนซึ่งรออยู่ข้างล่างคิด แต่ฟาโรห์แห่งอียิปต์กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่งซึ่งปูด้วยผ้าขนสัตว์ดูหนานุ่มในท่าทางสบายๆ แขนบางข้างหนึ่งกอดโหลใส่น้ำผึ้งเอาไว้ ไม้กลมที่ใช้ตักน้ำผึ้งถูกมืออีกข้างหนึ่งดึงออกมาจากริมฝีปากสีชมพู นัยน์ตาสีฟ้าปรายมาที่เขาราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังมา

น้ำผึ้งวาววับที่เคลือบอยู่บนริมฝีปากสีชมพูมันช่างยั่วเย้า ยิ่งบวกกับสายตาเชิญชวนก็ยิ่งทำให้เขาไม่คิดจะห้ามตัวเองอีกต่อไป คิมี่ ไรโคเน่นเดินตรงไปหาคนที่ยังนอนอยู่บนตั่ง ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักดึงต้นแขนผอมบางขึ้นมาก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะประกบจูบลงไปบนกลีบปากรสน้ำผึ้งนั้นทันที เรียวลิ้นพัวพันกันอย่างหนักหน่วงจนไม่รู้แล้วว่าความหวานนี้มันเกิดจากรสจูบหรือน้ำผึ้งกันแน่

น้ำสีอำพันเหนียวหนืดไหลเลอะออกมาจากริมฝีปาก ลิ้นสากๆไล่เลียมันกลับไปจนหมดก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปดื่มด่ำน้ำผึ้งพระจันทร์ในโพรงปากนั้นอีกรอบ...พอละออกมา...เจ้าฟาโรห์แห่งอียิปต์ก็มองเขาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“หวานไหม?”  ริมฝีปากแดงช้ำเอ่ยถาม เขาจึงมองกลับไปด้วยสายตาท้าทาย

“หวาน”  คำตอบเพียงสั้นๆของเขาถือเป็นประโยคเปิดของละครรักบทใหญ่ เจ้าคนที่ทรงตัวแทบไม่อยู่เอนซบมาที่แผงอกเขาแต่ก็ยังมิวายเงยหน้าขึ้นมาพูดจายั่วเย้า

“ถ้าท่านชอบ...ก็กินอีกสิ...”   และไม่พูดเปล่า มือบางหยิบโหลน้ำผึ้งขึ้นมาก่อนจะราดมันลงบนไหล่ของตัวเอง  น้ำผึ้งเหนียวหนืดค่อยๆไหลลงมาตามไหปลาร้าที่บางจนแทบจะหักได้ ก่อนจะไหลผ่านเนินอกขาวเนียนช้าๆ ช้าๆ ค่อยๆคืบคลานผ่านยอดอกสีชมพู เสียงครางอย่างเย้ายวนจึงดังขึ้นในลำคอเบาๆ

“อื้ม~”  ริมฝีปากสีชมพูถูกกัดด้วยฟันกระต่ายน้อยๆของตัวเอง คิมี่ ไรโคเนนมองภาพตรงหน้าด้วยลมหายใจที่ร้อนผ่าว ไม่เคยมีใครอ่อยเขาได้ร้ายกาจเท่าเจ้าเด็กนี่เลย สัญชาติญาณดิบที่ถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุดทำให้มือแข็งแรงกระชากต้นแขนบางเข้ามาแล้วจัดการปิดปากที่กำลังครางเพราะถูกน้ำผึ้งพวกนั้นสัมผัส ฝ่ามืออีกข้างลากไล้น้ำผึ้งจากไหปลาร้าลงมาที่ยอดอกก่อนจะวนไล้เคล้นคลึงจนคนที่ถูกปิดปากได้แต่ส่งเสียงครางเครืออยู่ในลำคอ ปลายนิ้วบดขยี้เม็ดสีชมพูราวกับอยากให้น้ำผึ้งมันซึมเข้าไป ดูซิว่าจะหวานได้ขนาดไหน

ริมฝีปากละออกมาจากโพรงปากรสน้ำผึ้ง ในนั้นว่าหวานล้ำดูซิว่าปลายยอดที่เขาบดขยี้อยู่นี้จะหวานเท่าหรือเปล่า ปลายลิ้นจึงแตะชิมน้ำผึ้งที่ไหลเยิ้มอยู่บนยอดอกก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะครอบครองมันทั้งหมด...ตรงนี้ก็หวาน...แรงดูดดึงจากริมฝีปากของเขาทำเอาฟาโรห์แห่งอียิปต์บิดเร่า

“อ๊า~~ คิมี่~~”  เสียงครางอย่างรัญจวนใจดังสลับกับฝ่ามือบางที่สอดเข้าไปในกลุ่มผมหลังท้ายทอยของเขาก่อนจะขยี้ขย๋ำมันราวกับกำลังทรมาน ลิ้นร้อนยังคงไล้เลียดูดดึงยอดอกรสน้ำผึ้งนั่นอย่างเมามัน แกนกายของฟาโรห์หนุ่มน้อยค่อยๆชูชันจนแตะมาที่หน้าท้องของเขาซึ่งทาบทับอีกฝ่ายอยู่ รู้สึกดีขนาดนั้นเลยสินะ

ริมฝีปากที่ละจากการครอบครองยอดอกสีชมพูลอบยิ้มมุมปาก คิดจะยั่วคิมี่ ไรโคเนนก็ต้องรับผิดชอบด้วยการครางไม่เป็นภาษาอยู่ใต้ร่างเขาแบบนี้นี่แหละ ปลายลิ้นไล้เลียน้ำผึ้งที่ไหลย้อยอยู่บนผิวขาวเนียนนั่นต่อไป กลืนกินมันให้หมดไปพร้อมๆกับร่างกายของเด็กนี่

“อะ อ้า~”   เขาปล่อยยอดอกที่ถูกดูดจนขึ้นสีแดงข้างนี้ไปก่อนจะหันไปครอบครองอีกข้างที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำผึ้งเช่นกัน ฟาโรห์แห่งอียิปต์แอ่นกายให้เขาตามแรงกระตุ้น  ใบหน้ารูปไข่ที่กำลังครางไม่เป็นภาษาอยู่นั้นเคลิบเคลิ้มราวกับจะขึ้นสวรรค์เสียให้ได้ มันทั้งแดงซ่านทั้งล่องลอยทั้งสุขสม มันเซ็กซี่จนคิมี่น้อยของเขาถึงกับตื่นจากการหลับใหล แค่มองหน้าก็เกิดอารมณ์ได้นี่มันคำสาปฟาโรห์ชัดๆ

นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองน้ำผึ้งที่ยังเหลือติดก้นโหลอยู่นิดหน่อยก่อนจะลอบยิ้มน้อยๆ  เขาละออกมาจากยอดอกรสหวานก่อนจะทอดมองผลงานที่กำลังนอนอ่อนระทวยอยู่บนผ้าขนสัตว์ เซบไม่มีแรงจะสู้หรือต่อต้านเขาได้อีกต่อไป ร่างโปร่งทำได้แค่หอบหายใจและร้องครางอยู่ใต้ร่างเขา ยอดอกทั้งสองข้างแดงสดราวกับผลเชอร์รี่ ริมฝีปากรสดีนั่นก็แดงช้ำเหมือนสีของกลีบกุหลาบ ถ้าเพิ่มร่องรอยตามตัวอีกหน่อยนี่คงจะเป็นภาพสุดแสนอีโรติกระดับโลกได้เลย

มือแข็งแรงดึงหมอนอิงอันใหญ่มารองใต้สะโพกบางให้  “ตื่นมาจะได้ไม่บ่นว่าปวดเอวอีก”  ถ้อยคำหยอกเย้าถูกกระซิบข้างใบหูจนคนถูกแซวกัดริมฝีปากก่อนจะมองตรงมาด้วยสายตาไม่ยอมแพ้ทั้งๆที่ตอนนี้เขาจับให้อยู่ท่าไหนก็ต้านไม่ไหวแล้วแท้ๆ

สองมือจับต้นขาขาวนั่นแยกออกจากกันและเพราะสะโพกถูกหมอนหนุนเอาไว้ ตอนนี้...เขาเลยได้เห็นมุมดีๆจนมุมปากยกยิ้ม เจ้าฟาโรห์ตัวร้ายถึงกับแก้มขึ้นสี...ก็ยังมีความอายกับเค้าบ้างเหมือนกันนะเจ้าเด็กนี่

ปลายนิ้วกลางกวาดน้ำผึ้งที่เหลือติดก้นโหลออกมา...ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไล้ไปตามแก้มใสของคนที่นอนหอบหายใจอยู่บนพื้น นัยน์ตาสีฟ้ามองตามน้ำผึ้งหยดสุดท้ายที่ติดปลายนิ้วกลางซึ่งกำลังค่อยๆลากผ่านร่างกายของตนลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ...ยิ่งมันลงต่ำไปมากแค่ไหน ลมหายใจก็ยิ่งติดขัด

“อ๊ะ~”   เสียงครางสั้นๆดังรับกับปลายนิ้วกลางที่แตะหยาดน้ำผึ้งเหนียวหนืดกับปากทางเข้าด้างล่างก่อนจะผลักดันมันเข้าไป สะโพกมนขยับหนีตามสัญชาติญาณแต่หมอนใบใหญ่ก็ทำให้มันหนีไปไหนไม่ได้ ช่องทางที่คับแน่นจึงต้องรองรับหยดน้ำสีอำพันที่ไหลเยิ้ม ความรู้สึกลื่นไหลกับอุณหภูมิที่ต่างออกไปทำให้ผนังภายในเผลอตอดรัดปลายนิ้วของเขา ดูเหมือนเจ้าฟาโรห์ตัวร้ายจะพยายามควบคุมสติไม่ให้เตลิดเปิดเปิงแล้วถูกเขาควบคุม แรงที่ตอดรัดมันจึงกลายเป็นจังหวะขึ้นเรื่อยๆและมันก็กำลังยั่วยุให้เขาหมดความอดทนจนต้องใส่เข้าไป!

“อื้อ~~ คิมี่~~”   ร่างโปร่งบางครวญครางไม่ได้สรรพทันทีที่เส้นความอดทนของเขาขาดลง มือดึงปลายนิ้วที่เพิ่งจะใส่เข้าไปได้แค่นิ้วเดียวออกมาก่อนจะเสียบแกนกายของเขาเข้าไปแทนในเสี้ยววินาที เล่นเอาเจ้าคนที่พยายามจะยั่วเขาต้องบิดเร่าไปเสียเอง

“อะ อ้า~”  เขากดร่างของเจ้าคนที่เผลอผลักไสตามสัญชาติญาณให้นอนราบลงกับพื้นอีกครั้ง ข้างล่างสอดใส่เข้าไปให้ลึกกว่าเดิมในขณะที่เขาโน้มตัวลงไปกอดเซบเอาไว้ ซุกไซ้ใบหน้าลงกับลาดไหล่บางอย่างนุ่มนวล ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักแนบไปกับท่อนแขนผอมบาง ฝ่ามือทั้งสองคู่สองประสานกันอยู่เหนือหัว ลำตัวทาบทับแนบสนิทอย่างไม่คิดจะให้แม้แต่อากาศผ่านไปได้

“ฮ้า...ฮ้า....”   เขาไม่ได้ถามเด็กนี่ว่าไหวไหม แต่หลังจากปล่อยให้หอบหายใจอยู่หลายวินาที เขาก็เริ่มขยับเบื้องล่างทันที

“อ๊า คิมี่~”   เสียงครางไม่ได้สรรพเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง น้ำผึ้งทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ข้างในจึงลื่นไหลแม้จะยังขยายได้ไม่เต็มที่ แต่เขาก็ชอบช่วงเวลาแบบนี้นะ มันแน่นและบีบรัดราวกับกำลังจดจำรูปร่างของเขายังไงอย่างงั้น

เขากดจูบเบาๆที่ขมับชื้นเหงื่อ ตอนนี้แพขนตายาวกำลังปิดแน่น หัวคิ้วสีน้ำตาลกำลังขมวดมุ้นและแก้มใสที่ขึ้นสีแดงจัดก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเด็กนี่กำลังรู้สึกดีขนาดไหน เขาเร่งจังหวะมากขึ้นจนเสียงครางดังราวกับจะขาดใจ เขารู้ดีว่าจุดไหนจะทำให้เซบแทบจะคลั่งเสียให้ได้ และตอนนี้เขาก็กำลังจงใจใช้ความเป็นชายเสียดสีมัน

“อ้า~~ คิ คิมี่~~”  รอยเล็บลากยาวอยู่บนแผ่นหลังและมันคงจะสร้างรอยแผลให้เขาอีกแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายทำให้เด็กนี่รู้สึกดีจนแทบขึ้นสวรรค์ เขาก็ต้องรับผิดชอบมันด้วยรอยแผลพวกนี้แหละ

เขาหอบหายใจหนักหน่วงในขณะที่ขยับกายด้วยจังหวะถี่กระชั้น ไม่ได้มีแต่เซบหรอกที่หลงมัวเมาไปกับสิ่งที่เขามอบให้ เขาเองก็แทบไม่ไหวแล้วเหมือนกัน มันเป็นเซ็กส์ที่รู้สึกดีมากและยิ่งมากขึ้นทุกครั้งที่เราทำกัน เขาไม่อยากจะคิดว่าเขาอาจจะเสพติดเด็กนี่ไปแล้วก็ได้ เขาขาดเซบไม่ได้ เขาอาจจะต้องตายถ้าไม่ได้กอดเด็กนี่

“อะ อ๊า~~”  เสียงครางขึ้นสูงเมื่อถึงจุดสิ้นสุดของอารมณ์ เพลิงร้อนถูกปลดปล่อยออกมาในลักษณะของน้ำสีขาวขุ่น มันสาดกระจายเต็มหน้าท้องของเขา แน่นอนว่าเขาเองก็ฉีดมันใส่ร่างกายของเด็กนี่เช่นกัน ลำตัวบางที่เขากอดอยู่กระตุกรัวๆเมื่อน้ำอุ่นร้อนแผ่ซ่านไปทั่วข้างใน ดวงตาสีฟ้าถึงกับล่องลอยไปไกล และอีกไม่นานมันก็คงจะปิดลงด้วยความเหนื่อยล้าเหมือนทุกที

เขาก้มลงไปจูบที่ขมับชุ่มเหงื่อนั่นเบาๆ และหลังจากรอจนลมหายใจกลับมาเป็นปกติ เขาก็ละออกมาอย่างตั้งใจจะไปหยิบผ้ามาเช็ดตัวให้ แต่เจ้าคนที่เขาคิดว่าคงจะเหนื่อยจนหลับไปกลับดึงเขาเอาไว้

“อึก...”   เขาถึงกับต้องกัดฟันเมื่อมือบางช่างซุกซนนั่นลูบลงมาที่ความเป็นชายของเขา นัยน์ตาสีฟ้ามองมาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“ยังไม่อิ่มเลยไม่ใช่เหรอ?  จะกินต่อก็ได้นะ...”  เขากัดริมฝีปากพลางแสยะยิ้ม เจ้าฟาโรห์ตัวร้ายนี่มันแข็งแกร่งขึ้นสินะ เมื่อก่อนยังไม่ทันจะเสร็จดีก็คอพับคออ่อนไปแล้ว เดี๋ยวนี้มีการมาเชิญชวนเขาให้ทำต่ออีกรอบเสียด้วย

เขาขยับไปคร่อมร่างโปร่งบางนั่นอย่างไม่ให้เสียคำชวน  “ไม่กลัวเทพเจ้าโกรธเอาหรือไง?”  เขาพูดขำๆในขณะที่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้า

“เดี๋ยวเราไปคุยกับท่านเทพเจ้าเอง”   ใบหน้ารูปไข่อมยิ้มท้าทาย แน่นอนว่าเขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้วถึงได้ขึ้นมาถึงนี่ ริมฝีปากโน้มเข้าหากันในขณะที่ท่อนแขนบางค่อยๆโอบมารอบคอเขา เรียวลิ้นพัวพันบ่งบอกว่าบทรักบทใหม่กำลังจะดำเนินต่อไปในไม่ช้า...








“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก.......”   เสียงหอบหายใจดังก้องไปทั่ววิหารศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเหนื่อยล้ากับบทรักที่วนเวียนมามากกว่าห้ารอบแต่ดูเหมือนเจ้าของแผ่นดินอียิปต์จะยังไม่ยอมหยุดอยู่เพียงแค่นี้

เรียวลิ้นไล้เลียแกนกายของเขาให้ลุกชันขึ้นมาอีกก่อนที่ริมฝีปากสีชมพูนั่นจะรับมันเข้าไป เขากัดฟันพลางสางเส้นผมสีบลอนด์เข้มนั่นอย่างพยายามผ่อนลมหายใจ นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองเจ้าคนที่คุกเข่าอยู่กลางหว่างขาของเขาอย่างสงสัย

ที่จริงเขาจะหยุดหลายรอบแล้วเพราะรู้ดีว่าถ้ายังทำต่อไปเด็กนี่จะต้องลุกไม่ขึ้นแน่ๆพรุ่งนี้ แล้วก็จะต้องลำบากเขาต้องมาคอยตอบคำถามยัยองครักษ์หน้าตายนั่นอีกว่าเซบเป็นอะไรไป แต่ทุกครั้งที่เขาจะหยุดกลับเป็นเด็กนี่ที่ไม่ยอมหยุด

เซบ...เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำอย่างกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายงั้นแหละ?

“อึก...”  แต่ยังไม่ทันถาม บทรักรอบใหม่ก็เริ่มขึ้นเสียก่อน












นัยน์ตาสีฟ้ากระพริบมองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งนอนหลับอยู่ข้างๆ ฟาโรห์แห่งอียิปต์จ้องมองคิมี่ ไรโคเนนเป็นสิบเป็นยี่สิบนาที จ้องมองใบหน้าที่รักแสนรักนั้นราวกับจะจดจำเอาไว้ในทุกอณูของหัวใจ  แขนผอมบางค่อยๆยันกายลุกขึ้นมา ความเหนื่อยล้าทำให้ท่อนแขนสั่นน้อยๆแต่เขาก็ยังใช้มันหยิบกระโปรงลินินและมงกุฎผ้ามาสวมใส่จนแล้วเสร็จ

ใบหน้ารูปไข่หันไปมองคนที่ยังหลับสนิท...ตามปกติแล้วต้องเป็นเขาที่มักจะหลับยาวหลังจากที่มีอะไรกันหนักหน่วงขนาดนี้ ปกติแล้วต้องเป็นเขาที่ลุกไม่ขึ้นไปอีกเป็นวันๆ

แต่ครั้งนี้กลับต่างกัน...

ถึงแม้ว่าสองขาจะยังสั่นอยู่บ้างและของๆคิมี่ยังตกค้างอยู่ในร่างกาย แต่จิตใจเขากลับสงบและลุกขึ้นมายืนอย่างมั่นคงได้...เมื่อรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร

สองขายังไม่อาจก้าวไปไหนเพราะสองตายังคงจ้องมองคิมี่อย่างอาลัยอาวรณ์ น้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวหยดแหมะลงไปบนฝ่ามือที่โอบกอดเขามาตลอดคืน

“คิมี่...ท่านคือความผิดพลาดเดียวของเรา ท่านทำให้เราเกิดความลังเล ท่านทำให้เรามีความรักและไม่อยากจะจากโลกใบนี้ไป...”  ฝ่ามือยกขึ้นกอบกุมหัวใจที่กำลังสั่นไหวขนาดหนัก เขาควรจะอยู่กับความรักและคนที่รักเขา แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำให้คิมี่มีความสุขได้จริงๆหรือเปล่า...ในโลกที่ล้าหลังใบนี้ โดยเฉพาะหากคิมี่จะต้องอยู่กับคนที่หัวใจเต็มไปด้วยไฟแค้นอย่างเขา...ไฟแค้นที่สุมอยู่เป็นสิบๆปีมันจะมอดดับด้วยความรักได้จริงๆหรือเปล่า...เขาไม่แน่ใจ

เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจ...เลือกที่จะจบทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้...จบมันในวันที่ความรักของเรายังสวยงาม



เขาจะส่งคิมี่กลับไป...



อย่างน้อยคิมี่ก็จะยังจดจำภาพที่ดีๆของเขาได้ จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีความรักที่มีแต่ความสุขกับเขา




สองขาก้าวถอยออกมาก่อนที่น้ำตาซึ่งหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆจะทำให้คิมี่ตื่น...ภาพใบหน้ายามหลับใหลของคิมี่ที่เขาเห็นผ่านม่านน้ำใสๆจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขาตลอดไป...

ร่างโปร่งบางก้าวขาออกมาจากห้องพักซึ่งนั่นทำให้เขากลับมายืนอยู่ในวิหาร ใบหน้ารูปไข่เงยมองรูปสลักหินขนาดใหญ่ของเทพเจ้าอียิปต์ก่อนจะยิ้มเย้ยหยันให้ ถ้อยคำที่คิมี่พูดกับเขาเมื่อคืนลอยขึ้นมาให้เขาต้องหัวเราะเยาะอยู่ในใจ

“ไม่กลัวเทพเจ้าโกรธเอาหรือไง?”  ที่มาทำเรื่องผิดบาปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้

หึ...เขาไม่กลัวก้อนหินพวกนี้จะโกรธเอาหรอก เพราะเขาไม่เคยเชื่อเลยต่างหากล่ะว่าเทพเจ้ามีจริง...ไม่เช่นนั้นท่านคงฟังคำขอร้องจากเขาบ้างในวันที่เขาร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด!

เขาสะบัดหน้าให้ก่อนจะเดินตรงไปยังด้านหลังวิหารซึ่งเป็นลานหินขนาดไม่กว้างมากเท่าไหร่ เลยออกไปมองเห็นเพียงอากาศและความว่างเปล่าเพราะลานแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยหุบเหว

ระหว่างที่ก้าวขาอย่างเยือกเย็นเพื่อมายังที่แห่งนี้เขาก็ได้ทบทวนเรื่องราวของตัวเองมาเป็นอย่างดี

ที่จริงแล้วเขาต้องการเป็นฟาโรห์เพราะอยากได้อัญมณีสีแดงที่มีเพียงฟาโรห์เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ครอบครองและใช้มันได้...แล้วเขาจะอยากได้มันมาทำไมน่ะเหรอ?









เขาก็แค่อยากจะทำลายอียิปต์ให้ย่อยยับยังไงล่ะ!




.
.
.
.
.
.


คิมี่...ประวัติศาสตร์ในยุคของท่านเขียนไว้น่ะถูกต้องแล้ว...

จากนี้ไปอียิปต์จะล่มสลาย...และพ่อของเราก็จะเป็นฟาโรห์องค์สุดท้ายจริงๆ....






.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


โปรดติดตามตอนต่อไป...




อะโห หายไปชาติเศษกว่าจะกลับมาต่อได้5555 ติ่งจะตั้งใจแก้บนแร้วค่ะ เพราะงั้นปีนี้ขอแชมป์ให้มาดามเถอะนะคะ >/\<

ส่วนฟิค อ่ะ แนะนำให้ฟังเพลงนี้จากท้ายตอนนี้ไปจนถึงตอนหน้าเรย กร๊ากกกก  It's Not Goodbye - Luara Pausini







คือ รู้จักเพลงนี้ก็จาก mad ของซิมี่นี่แหละค่ะ ละก็ฟังตลอดเลยเวลาแต่งฟิคเรื่องนี้ มันได้มากช่วงท้ายๆเนี่ย โอ๊ยยยยย

ยังไงก็ต้องขอขอบคุณทุกๆการติดตามนะค้า ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และเสียงทวงจากไหอื่นๆด้วยค่ะ555 เวลาใครทวงอะไรมาละอยากหันไปปั่นให้มากง๊ากกกก แล้วเจอกันตอนหน้าค่า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น