Attack
on Titan feat.KHR Au.Fic [Levi x Eren] GLIDE : RED Season : 04
:
Attack on Titan feat KHR Fanfiction Au
:
Levi x Eren
:
Romance
:
NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
เจ้าม้าสีเพลิงถูกซุกซ่อนไว้ในดงปาปิรุสอีกครั้ง
ก่อนที่วันรุ่งขึ้นเขาจะต้องเป็นคนแบกเจ้าชายแห่งอียิปต์กลับเข้าเมืองธีบส์ด้วยตัวเอง
หลังจากนอนหมดสภาพอยู่สองสามวันเพราะอาการเอวเคล็ดก้นระบมอันเนื่องมาจากการมีเซ็กส์กับเขา
ในที่สุดวันนี้เจ้าชายลำดับที่สี่ก็ลุกขึ้นมาเดินเหินเป็นปกติได้เสียที
นี่ถ้าขืนเอเลนยังลุกไม่ขึ้นไปมากกว่านี้เขาคงได้ถูกยัยเด็กมิคาสะลอบฆ่าเอาสักทีสองทีแน่ๆหลังจากเด็กสาวยืนแผ่รังสีทะมึนอยู่หน้าห้องของเขามาตั้งแต่วันที่กลับถึงปราสาท
แล้วก็น่าประหลาดใจที่เด็กสาวไม่มีแผลแม้แต่รอยเท่าแมวข่วน...
ส่วนเจ้าชายเอเลน่า...แทนที่จะเดินแต่พอควรอยู่ในปราสาทเพราะเพิ่งหายไข้
เจ้าเด็กนั่นกลับวิ่งโร่ไปถึงพระราชวังหลวงที่อยู่ริมแม่น้ำไนล์เสียแบบนั้น
นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองกลุ่มหลังคาพระราชวังที่เห็นอยู่ไกลๆ
ที่นั่นเขาเคยไปแค่ครั้งเดียวแล้วก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ไปอีก เขารำคาญพิธีการมากมายของราชสำนัก
รำคาญสายตาของพวกชนชั้นสูงของที่นี่ที่มองเขาราวกับเป็นตัวประหลาด
ยิ่งช่วงที่ข่าวความสัมพันธ์ของเขากับเอเลนแพร่ออกไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนพวกนั้นจะยิ่งปากมากน่ารำคาญแค่ไหน
ทุกครั้งเจ้าชายแห่งอียิปต์จึงไปที่พระราชวังนั่นตามลำพัง...รีบไป แล้วก็รีบมา...
คราวนี้ก็เช่นกัน
เขาทอดสายตามองขบวนลาที่วิ่งเหยาะๆมาถึงหน้าปราสาทก่อนที่ร่างโปร่งบางจะกระโดดลงมา
แล้วไม่นานเสียงวิ่งตึงตังเป็นเด็กๆก็ดังก้องโถงบันไดหินก่อนจะมาหยุดลงตรงหน้าห้องเขา
“คุณรีไว! โหรที่สนิทกับเราทำนายได้ว่า
อีกสามวันจะเกิดพายุทะเลทรายขึ้นที่ใกล้ๆเมืองเมมฟิส!!”
เจ้าชายแห่งอียิปต์พุ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยแววตาเป็นประกาย
มือทั้งสองข้างจับมือเขาไว้ก่อนจะเขย่ารัวๆ
แล้วมันยังไง?
เขาไม่เข้าใจความตื่นเต้นของเด็กนั่นเลยสักนิด...ไม่สิ...ไม่เข้าใจตั้งแต่ประโยคไม่มีที่มาที่ไปที่ออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อนั่นแล้ว!
และก็ดูเหมือนเด็กนั่นจะเข้าใจเครื่องหมายคำถามที่วิ่งวนอยู่บนใบหน้าเขา
ใบหน้ามนที่มีแววซุกซนระคนแสบสันเล็กๆจึงดึงเขานั่งลงไปบนเตียงก่อนจะเฉลยให้ฟัง
“เมืองเมมฟิสเป็นเมืองใหญ่ลำดับสองของอียิปต์และตอนนี้มันก็กลายเป็นขุมกำลังของเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง
พี่ชายคนโตของเรา...ตั้งแต่เราเกิดมา
เจ้าชายลำดับที่หนึ่งก็ย้ายไปอยู่ที่เมมฟิสแล้ว”
เขาฟังเด็กนี่เล่าไปพลางระลึกชาติไปพลางว่าเขาเคยอ่านประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณผ่านรายงานที่ทีมเตรียมให้เผื่อใช้ตอบคำถามสื่อว่ายังไงบ้าง?...อืม...ดูเหมือนอียิปต์โบราณจะมีเมืองหลวงที่สำคัญๆอยู่สองเมือง
ช่วงต้นของอาณาจักรจะอยู่ที่เมืองชื่อเมมฟิส ก่อนที่ช่วงปลายจะย้ายมาเมืองธีบส์
“พี่ชายเราคนนี้มีกองทหารที่แข็งแกร่งมาก
มากที่สุดในอาณาจักรอียิปต์เลยก็ว่าได้
เพราะท่านพี่ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านพ่อมาตั้งแต่เด็ก หากเราสู้กับท่านพี่ตรงๆคงไม่มีวันชนะแน่
และเราคิดว่า
พายุทะเลทรายที่โหรทำนายได้นี้...มันอาจจะช่วยเราทำลายกองทัพที่แข็งแกร่งนั่นได้ก็ได้...เหมือนตอนที่เราใช้หลุมทรายดูด” ใบหน้ามนเริ่มแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นเรื่อยๆ...ก่อนที่เขาจะแทบตกเก้าอี้เมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา
“แต่เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะต้องทำยังไง?”
เจ้าลูกหมาทำหน้างงจนเขาได้แต่ส่ายหัว...อย่างงี้ยังคิดจะไปชิงบัลลังก์กับเค้าอีกนะ!
“เฮ้อ...” ใบหน้าคมภายใต้กรอบผมสีดำถึงกับถอนหายใจ
สงสัยว่าถ้าเขาไม่ช่วยคิด แผนชิงบัลลังก์นี้คงไม่มีวันสำเร็จแน่
แต่เขาเองก็ไม่ใช่จอมวางแผน ถ้าเป็นเจ้าเอลวินก็ว่าไปอย่าง...
พายุทะเลทรายงั้นเหรอ....
ถ้าเป็นเจ้าเอลวินจะทำยังไงกันนะ?
“นี่...พายุทะเลทรายที่ว่านั่นร้ายกาจกว่าหลุมทรายดูดหรือเปล่า?”
เอาจริงๆคือเขาไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักพายุในทะเลทรายมาก่อน
ถ้าเป็นพายุไต้ฝุ่นหรือทอร์นาโดก็ยังพอจะนึกภาพออก
“รุนแรงกว่ามากเลยละ
ลมพายุขนาดใหญ่จะหอบทรายมาจากทั่วสารทิศ
ท่านจะมองไม่เห็นอะไรแล้วก็โดนฝุ่นทรายถาโถมเข้าใส่อย่างต่อต้านไม่ได้ หาทางออกก็ไม่ได้
สุดท้ายก็ถูกทะเลทรายกลบทับจนตาย”
สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามยกขึ้นมากอดอกอย่างใช้ความคิด
ถึงเขาจะไม่ใช่จอมวางแผนแต่เขาก็อยู่กับคนอย่างเจ้าเอลวิน
ยัยแว่นฮันซี่หรือแม้แต่เจ้าเด็กในปกครองอย่างฮายาโตะมานาน แผนการซับซ้อนที่พวกนั้นคิดกันมันเลยซึมซับมายังเขาโดยไม่รู้ตัว
จู่ๆแผนน่ากลัวแผนหนึ่งจึงเข้ามาอยู่ในหัว
“ถ้าทำแบบนี้...ดีไม่ดีอาจจะจัดการกับกองทหารของเจ้าชายลำดับที่สองไปพร้อมกันเลยก็ได้...” เขาพึมพำออกไปเบาๆ นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองท้องทะเลทรายที่ปลายระเบียงอย่างใช้ความคิด
“เอเลน...พวกเราจะยุให้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งกับเจ้าชายลำดับที่สองรบกันในสามวันนี้...หลังจากนั้นกองทัพที่อ่อนล้าย่อมถูกพายุทะเลทรายเล่นงานแน่” นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้างในชั่ววินาทีที่เขาพูดออกไป
คงไม่อยากจะเชื่อว่าคนรักของตนจะคิดแผนการที่เลือดเย็นแบบนี้ออกมา...เพราะมันคือการยืมมือคนอื่นฆ่าคน
การจุดชนวนก่อให้เกิดสงครามแบบนี้มันก็คนบาปดีๆนี่เอง
แต่คนที่บาปหนาพอๆกันก็คงจะเป็นเด็กนั่น...เพราะหลังจากนั้นเอเลนก็นิ่งฟังเขา...โดยไม่คิดจะห้ามหรือคัดค้านเลยสักนิด
การที่พวกเรากลายเป็นแบบนี้มันก็ช่วยไมได้...
ในเมื่อเหตุผลที่ทำให้พวกเรามาถึงจุดนี้ได้นั้นมันมีอยู่...
ถ้าไม่เห็นกับตาว่าเจ้าชายลำดับที่สามทำร้ายพวกเขาไว้ยังไงคงไม่คิดจะเชื่อหรอกว่าพี่น้องจะฆ่าแกงกันเองได้...แต่พี่น้องที่เกิดมาเพื่อเป็นใหญ่ก็อาจจะเป็นแบบนี้กันทุกคนก็ได้มั้ง
เขาเล่าแผนการคร่าวๆให้เจ้าชายแห่งอียิปต์ฟัง
“แต่ยังไงกองทัพของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งก็แข็งแกร่งเกินไป
เจ้าชายลำดับที่สองอาจจะทำให้อีกฝ่ายอ่อนล้าจนกว่าพายุจะมาไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง.....อาจจะต้อง....วางยา....” เขายังคิดไม่ทันจะเสร็จดี
ในแผนการจึงยังมีช่องโหว่มากมาย ริมฝีปากช่างเจรจาจึงพยายามจะหาทางอุดช่องโหว่พวกนั้นให้
“ถ้าเช่นนั้นแผนการก็น่าจะเป็นแบบนี้....เราจะลอบขี่อูฐไปเมมฟิสเพื่อวางยากองทัพของท่านพี่ใหญ่ให้อ่อนล้า...ก็คงใช้เวลาสักสองวันกว่าจะถึง...แล้วก่อนไป
เราก็จะไปบอกท่านพี่รองว่ากองทัพของท่านพี่ใหญ่เตรียมจะยกออกมาตีเมืองธีบส์เพื่อชิงบัลลังก์
ยุยงให้ท่านพี่รองนำทัพออกไปจัดการท่านพี่ใหญ่ที่เมมฟิส กว่าทัพของท่านพี่รองจะไปถึงเมมฟิสก็คงจะใช้เวลาสามวันพอดี
พอรบกันเสร็จก็เกิดพายุทราย เท่านี้ก็กำจัดพี่ชายทั้งสองคนได้แล้ว....” ใบหน้ามนนิ่งเงียบไปหลังจากพูดจบ
เขาได้แต่มองใบหน้าของเอเลนอย่างรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำร้ายคนในครอบครัวแบบนี้
ใบหน้ามนสะบัดไปมาสองสามทีราวกับพยายามเรียกสติ
“ไม่ได้การ...จะช้าไม่ได้แล้ว
เราต้องรีบลงมือ”
เจ้าชายแห่งอียิปต์เตรียมจะพุ่งออกจากห้องเพื่อดำเนินตามแผนการนั่นด้วยตัวเอง เขาที่นั่งฟังพลางคิดตามมาตลอดจึงรีบห้ามไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวเอเลน” เขาคว้าข้อมือผอมบางนั่นเอาไว้ มาคิดดูแล้ววิธีนี้ถ้าทำสำเร็จ
พวกเขาจะกำจัดศัตรูตัวร้ายที่สุดได้ในคราวเดียวทั้งสองคน...แต่ดูจากกำลังของเอเลนตอนนี้ยังมีไม่พอ
คนสนิทที่จะใช้ดำเนินการแทนตัวเองก็ใม่มี กำลังทหารก็ไม่มี
คนที่นับเป็นพวกได้ก็มีแต่โหร นักบวช พ่อครัว....ดูแล้วไม่ไหวแน่
“คุณรีไว?
มีอะไรล่ะ? เราต้องรีบแล้วนะกว่าจะไปถึงเมมฟิสอีก”
ข้อมือบางยื้อยุดกับมือเขาด้วยอารามรีบร้อนและมันก็ทำให้คนขี้รำคาญอย่างเขาเริ่มจะหงุดหงิด
“ก็นั่นแหละถึงได้บอกให้รอก่อน
นายจะเดินดุ่มๆเข้าไปบอกเจ้าชายลำดับที่สองว่าพี่ชายคนโตกำลังจะยกกองทัพมาให้ยกทัพออกไป?
ใครที่ไหนเค้าจะเชื่อ?
พี่ชายนายแต่ละคนมีแต่พวกเขี้ยวลากดินทั้งนั้น...นายต้องอยู่ที่นี่เพื่อเตรียมหนังสือหรือสร้างสถานการณ์อะไรก็ได้ที่จะทำให้เจ้าชายลำดับที่สองเชื่อ
แล้วก็ยกทัพออกไป...นอกจากนี้ยังต้องให้พวกนักบวชช่วยปรุงยาถ่ายใช่ไหม?
นายคิดว่าปริมาณที่จะทำให้คนทั้งกองทัพเกิดอาการอาหารเป็นพิษได้มันใช้เวลาทำแค่ชั่วโมงเดียวหรือไง?
แถมไปถึงเมมฟิสแล้วนายรู้หรือไงว่าห้องครัวอยู่ตรงไหน?
นายควรจะต้องไปถามจากพ่อครัวเพื่อนของนายมา
ว่าจะเอายาไปใส่ที่ไหนคนถึงจะกินกันอย่างทั่วถึง...ที่ชั้นจะบอกคือแค่ตัวนายเองคนเดียวน่ะ
ทำงานนี้ไม่ได้หรอก” สิ่งที่เขาพูดออกไปทำให้ใบหน้ามนถึงกับชะงัก
“................หมายความว่าแผนล้มเหลวสินะ...” เจ้าเด็กตรงหน้าไม่ใช่คนโง่
เพราะงั้นเมื่อเขาจี้เป็นจุดๆ
เด็กนั่นจึงรู้ทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ตนจะทำทุกอย่างตามเวลาที่ว่ามาทัน
“เฮ้อ.....ก็ถึงได้บอกไง...ว่าถ้าแค่ตัวนายคนเดียวน่ะ
ทำงานนี้ไม่สำเร็จหรอก แต่ถ้าเราสองคนช่วยกัน...มันก็ยังมีทางเป็นไปได้อยู่” ลืมไปแล้วหรือไงว่าเคยขอร้องอะไรเขา...จะให้เขาช่วยชิงบัลลังก์ไม่ใช่หรือไง?
“คุณรีไว~...ท่านจะช่วยเราจริงเหรอ?....” นัยน์ตาสีมรกตที่เคยจริงจังอยู่จนถึงเมื่อกี้เต็มไปด้วยประกายวิ้งๆน่าหมั่นไส้ขึ้นมาทันที
“อือ...” เขาพยักหน้ารับพร้อมกับตอบสั้นๆ
“ยังไงล่ะ?
เรานึกไม่ออกเลยว่าเราจะใช้เวลาเตรียมของแล้วเอาไปเมมฟิสทันได้ยังไง” เจ้าชายแห่งอียิปต์นั่งลงบนเตียงอีกครั้งเพื่อฟังแผนการของเขา
“นั่นก็เพราะว่านายใช้เวลาเดินทางตั้งสองวันยังไงล่ะ
แต่ถ้าให้ชั้นไป ชั้นสามารถไปถึงที่นั่นได้ภายในหนึ่งชั่วโมง”
อูฐกับรถฟอร์มูล่าวัน...ถ้าเทียบกันก็คงจะประมาณนั้นแหละ
“นี่ท่าน....ท่านจะขี่ม้าของท่านไปงั้นเหรอ?” เจ้าลูกหมาดวงตาเป็นประกาย ชอบจริงๆเลยนะ
รถของเขาเนี่ย
“ใช่...แต่ก็อาจจะไปแล้วกลับมาได้แค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย”
น้ำมันกับยางมีพอให้ทำแบบนั้นได้นี่ก็แทบจะปาฏิหาริย์แล้ว
ต้องบอกว่ามันเป็นเพราะใจของเขาล้วนๆต่างหาก
“นายอยู่ที่นี่
หาทางตะล่อมให้เจ้าชายลำดับที่สองยกทัพออกไปให้ได้...อ้อ...แล้วคืนนี้นายก็ไปบอกพวกนักบวชให้ช่วยทำยาให้หน่อย
เสร็จซักพรุ่งนี้เย็นก็ยังทัน...ระหว่างนั้นชั้นจะไปคุยกับพ่อครัว
เพื่อนของนายเอง...แล้วเช้ามืดของวันถัดไป ชั้นจะไปเมมฟิส” เขาทวนแผนการให้เด็กนั่นฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับแค่เอ่ยถึงบทหนึ่งในวรรณกรรม
ไม่ใช่แผนการที่จะใช้ก่อการร้ายทำลายชีวิตคนอีกทั้งกองทัพ!
เขาอาจจะเป็นแบบนี้มานานแล้ว
ยิ่งตอนนี้ไม่ได้มีแค่เขาตัวคนเดียวแต่มีอีกหนึ่งชีวิตที่เขาอยากจะปกป้อง...เพราะฉะนั้น...ถ้าเพื่อเอาชีวิตรอด
ต่อให้เรื่องเลวร้ายหรือสกปรกแค่ไหนเขาก็จะทำ
“คุณรีไว~~”
เจ้าชายแห่งอียิปต์โผเข้ามากอดเขาอย่างต้องการจะขอบคุณในความช่วยเหลือ
แต่ผิวเนื้ออ่อนนุ่มที่ถูไถเบียดแนบอยู่กับผิวกายของเขาก็มักจะทำให้ห้ามตัวเองไม่ได้อยู่เสมอ
สองมือจึงเผลอดันร่างโปร่งจนแผ่นหลังชิดผนัง
จมูกเป็นสันขยับดอมดมกลิ่นน้ำหอมที่โชยออกมาจากกกหู
ก่อนที่ริมฝีปากบางเฉียบจะกดจูบลงไปที่ซอกคอระหง
เขาเพิ่มแรงกดย้ำลงไปจนได้ยินเสียงครางเครืออยู่ในลำคอ
เขาชอบที่จะเห็นเด็กนี่มีอาการเหมือนจะขาดใจตายอยู่ใต้ร่างเขา
จุมพิตแผ่วเบาจึงย้ายจากลำคอไปที่ริมฝีปาก
กลีบปากสีระเรื่อนั้นชุ่มชื้นราวกับทาลิปสติกเอาไว้บางๆ
เขาก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกนักบวชจัดเครื่องประทินโฉมอะไรให้เจ้าชายแห่งอียิปต์บ้าง
เขารู้แค่ว่าเวลาจูบเอเลนแล้วจะรู้สึกดีมากเพราะกลีบปากที่นุ่มนิ่มนั่นราวกับจะถูกดูดติดมา
เขาค่อยๆสอดลิ้นเข้าไปตามรอยแยกที่ยั่วเย้า
กวาดต้อนแผ่วเบาไปตามกระพุ้งแก้มและผนังอ่อนนุ่ม
สัมผัสวูบโหวงเรียกเกรียวคลื่นให้ปั่นป่วนอยู่แถวๆท้องน้อย
ยิ่งภายในโพรงปากสัมผัสกันมากเท่าไหร่ เรียวลิ้นทั้งคู่พันพัวกันมากแค่ไหน
ก็มีแต่จะยิ่งทำให้ความร้อนโหมกระพือจนลมหายใจแทบจะขาดรอนๆ
เขาละริมฝีปากออกมาในขณะที่ใบหน้ามนพยายามหันหนีเพื่อกอบโกยอากาศเข้าปอด
ร่างโปร่งหอบจนตัวโยน ใบหน้าใสก็แดงก่ำไปจนถึงใบหู สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามตวัดรอบลำตัวบางก่อนจะบังคับให้เด็กนั่นขยับมาแนบชิด
คนที่ยังหายใจไม่ทันพยายามดันเขาออก แต่เขาก็ไม่สน ใบหน้าคมเปลี่ยนมุมเล็กน้อยก่อนจะประกบริมฝีปากแดงระเรื่อนั่นอีกครั้ง
จุมพิตที่เร่าร้อนถูกยัดเยียดให้ในทันที
บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยหิวกระหายขนาดนี้...มีแต่คนเรียกเขาว่าปีศาจ...เขาเย็นชา
เขาไม่สนใจใคร แน่นอนว่าเขาไม่เคยอยากในตัวใครมากขนาดนี้มาก่อน
“คุณรีไว...อื้อ...เดี๋ยว....เดี๋ยว....อื้ม.....”
ริมฝีปากที่เริ่มแดงช้ำห้ามเขาได้แค่ไม่กี่คำมันก็ถูกปิดไปอีกรอบ
ท่อนแขนของเขากอดรัดลำตัวโปร่งไม่ให้หนีไปไหนและไม่ให้มีที่ว่างระหว่างผิวเนื้อที่แนบชิด
ใช้แผงอกของตัวเองบดเบียดกระตุ้นเร้าเจ้าเม็ดสีชมพูให้ก่อเกิดความรู้สึก
เจ้าของมันถึงได้บิดเร่าราวกับกำลังรัญจวนใจ
เขาเฝ้าจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จูบจนกว่าจะพอใจ จูบจนแทบไม่มีลมหายใจเหลืออยู่อีก
“คุณรีไว
หยุดก่อน แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”
ท่อนแขนผอมบางถึงกับยกขึ้นมาดันแผ่นอกหนาของเขาออกก่อน
เขาเองก็ยอมละออกมาทอดสายตามองใบหน้าขึ้นสีแดงจัดที่กำลังหอบขนาดหนัก...เจ้าชายแห่งอียิปต์ที่ร้อนเป็นไฟแบบนี้เขาชอบที่สุด
“เรา...เราก็ไม่ได้อยากจะห้ามหรอกนะ...แฮ่ก...แฮ่ก....แต่...แต่ถ้าทำแล้วเราลุกไม่ขึ้นไปอีกสองวัน
เกรงว่าพายุทรายจะผ่านไปเสียก่อน...”
อืม...ที่เจ้าลูกหมาพูดมามันก็มีเหตุผล ถือว่าเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ทำให้เด็กนี่ชินจนสามารถมีอะไรกับเขาได้ทุกที่ทุกเวลา
ครั้งนี้...จะปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน
เขายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะถอยห่างออกมา
ทว่ากลับเป็นเอเลนเองที่ดึงแขนเขาไว้
จุ๊บ...
ริมฝีปากสีแดงช้ำจู่โจมริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะละออกไปเสหน้ามองพื้นเตียงอย่างอายๆ...ถ้านั่นแทนคำขอโทษ
ก็ถือว่าโอเค
เขายกมือขึ้นไปดึงแก้มใสก่อนจะโยกไปมาพลางหัวเราะในลำคอ
แล้วใช้มือข้างนั้นดึงหัวในมงกุฎผ้ามาซบที่ไหล่ก่อนจะกระซิบให้ได้ยิน
“ชั้นจะเอามันมาให้นายให้ได้...My Prince” บัลลังก์สีทองอันนั้น
ชั้นจะเอามันมาวางแทบเท้านายให้ได้ เจ้าชายของชั้น
“ไปเตรียมตัวกันเถอะ”
มือแข็งแรงดันหัวในมงกุฎผ้าออกจากไหล่ก่อนจะพยักหน้าให้กันและกัน
เด็กนั่นคงไม่รู้หรอกว่า My
Prince หมายความว่าอะไร
เครื่องแปลภาษาในหัวของเขาจงใจให้เด็กนั่นได้ยินเป็นภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาอียิปต์ตามปกติ
ใบหน้ามนมีสีหน้าสงสัยแต่เขาก็รีบลุกจากเตียงมาเสียก่อน...จะให้พูดออกไปตรงๆได้ไง
น่าอายตายชัก
เขากับเจ้าชายแห่งอียิปต์แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง
เขาเพิ่งรู้ว่าการคุยกับพ่อครัวนั้นน่าปวดหัวกว่าที่คิด
มันอาจจะผิดที่เขาเองที่สื่อสารกับคนทั่วไปไม่ค่อยจะได้เรื่อง
เพราะงั้นกว่าเขาจะหาคนที่เคยเป็นพ่อครัวอยู่ที่เมมฟิสเจอ
กว่าจะสอบถามจนรู้ว่าต้องเดินไปทางไหนถึงจะได้พบห้องครัว
ต้องเอายาใส่ตรงไหนทหารถึงจะกินอย่างทั่วถึง...ก็เล่นเอาหมดไปค่อนวันเต็มๆ
กว่านักขับมือหนึ่งของเฟอร์รารี่จะเดินสโลสเลกลับมาถึงห้องพักบนปราสาท
เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์ก็กลับจากวิหารมาถึงพอดี
นัยน์ตาสีมรกตทอดมองแผ่นหลังซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นกระชับที่นั่งหันหลังให้อยู่บนเตียง...ใบหน้าคมกำลังจ้องมองไปยังทะเลทรายที่ค่อยๆกลืนหายไปในความมืด
คุณรีไวมักจะมองตรงไปข้างหน้าเสมอ ไม่ว่าหนทางมันจะมืดมัวแค่ไหนหรือมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม
และนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่แน่วแน่คู่นั้นมันก็ทำให้เขาหลงใหล
หลงใหล...จนเกิดติดใจโลกใบนี้ขึ้นมา...
ใบหน้ามนส่ายเบาๆก่อนจะย่องเข้าไปหาร่างหนาที่นั่งอยู่บนเตียง
“คุณ~รี~ไว~~”
ริมฝีปากเอ่ยเรียกพร้อมกับร่างทั้งร่างที่โถมเข้าใส่แผ่นหลังกว้างใหญ่นั่น
อันที่จริงผู้ชายคนนี้ไม่ได้สูงไปกว่าเขา แต่ร่างกายกลับบึกบึนสมชายชาตรีกว่ามาก
“กลับมาแล้วเหรอ?” ใบหน้าคมภายใต้กรอบผมสีดำสนิทไถเกรียนที่ท้ายทอยหันมาถามสั้นๆแต่เขากลับตอบเสียยืดยาว
“อื้อ~
พวกนักบวชรับปากจะช่วยทำยาให้ พรุ่งนี้บ่ายๆเราจะแอบไปเอา ส่วนท่านพี่รองเราก็เตรียมการเอาไว้แล้ว
พรุ่งนี้เช้าเราจะเริ่มแผนทันที”
เขาเอ่ยบอกคุณรีไวในขณะที่ยังกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง
ใบหน้าเกยอยู่บนหัวไหล่หนา เขาชอบเวลาที่ได้สัมผัสร่างกายที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครนี่
แค่เพียงเล็กน้อยก็ยังรู้สึกดี
“นายจะไม่เสียใจแน่ใช่ไหมที่ทำแบบนี้
ไม่ใช่ว่าเจ้าชายลำดับที่สองก็ดีกับนายมากหรอกเหรอ?” คุณรีไวหันกลับไปมองทะเลทรายที่สุดปลายระเบียงอีกครั้งเมื่อถามคำถามนี้กับเขา
เศษเสี้ยวหนึ่งในหัวใจของเขากระตุกวูบไป เขายอมรับว่ามันเป็นบททดสอบที่ยากจริงๆ
เพราะในบรรดาพี่ชายทั้งหมด
พี่คนรองรักและเป็นห่วงเขามากกว่าใคร...มันยาก...ที่จะต้องทำร้ายคนที่จริงใจกับเขา
“เรา...ก็คงเสียใจนั่นแหละ
เพราะท่านพี่นั้นดีกับเราจริงๆ” เขาบอกคุณรีไวไปอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“แต่ไม่ว่าท่านพี่จะดีกับเราแค่ไหน...ในวันที่เราต้องการให้เค้าช่วย
เค้ากลับไม่กล้ายื่นมือออกมาหาเรา ไม่กล้าช่วยเรา”
ใบหน้ามนที่เกยอยู่บนไหล่หนาพูดออกไปราวกับตกอยู่ในภวังค์
ภาพในวันที่เขาร้องไห้แทบตายแต่กลับไม่มีใครคิดจะฟังคำขอร้องจากเขามันยังคงเป็นแผลฝังลึกอยู่ในใจไม่มีวันหาย
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำดีกับเขาในภายหลังแค่ไหนก็ตาม
มันก็ไม่อาจจะลบเลือนภาพในวันนั้นไปได้
“ไม่เหมือนคุณรีไว...”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
“ถ้าเป็นท่าน...จะต้องช่วยเราแน่ๆ....” ถ้าคนที่อยู่กับเขาในวันนั้นเป็นคุณรีไว...อีกฝ่ายจะต้องหาทางช่วยเขาได้แน่ๆ
เขามั่นใจ
...ก็ขนาดตอนนี้...คุณรีไวยังช่วยเขาทำลายกองทัพทั้งกอง
ทำลายชีวิตคนนับร้อยนับพันเพื่อเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ...
“หื๋อ?” ใบหน้าคมหันมาหาและมันก็ทำให้แก้มของคุณรีไวเฉียดปลายจมูกของเขาไปแค่นิดเดียว
“ช่างเถอะ
เราง่วงแล้ว นอนกันเถอะ” เขาตัดบทเพราะไม่อยากจะพูดถึงคืนวันที่เจ็บปวดพวกนั้น
ท่อนแขนบางๆจึงดึงร่างแข็งแกร่งให้ล้มตัวลงนอนตามมา
สองแขนโอบรอบเอวหนาก่อนจะซุกหน้าเข้าไปที่แผงอกเปลือยเปล่า
บางครั้งเขาก็เฝ้าภาวนานะว่า...ขออย่าให้แผนการในวันพรุ่งนี้สำเร็จเลย...
ทำไมท่านถึงมาหาเราเอาป่านนี้นะคุณรีไว...
ถ้าเราพบกันเร็วกว่านี้...ก็คงดี...
เจ้าลูกหมานั่นไปหลอกล่อเจ้าชายลำดับที่สองไว้ยังไงก็ไม่รู้นะ
แต่ว่าตอนนี้ทั่วทั้งเมืองธีบส์กำลังชุลมุนไปด้วยคำสั่งเรียกรวมพลทหารอย่างเร่งด่วนอยู่
นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองความวุ่นวายเหล่านั้นจากบนปราสาทของเจ้าชายเอเลน่า
พวกทหารต่างจูงอูฐจูงลามาอย่างเร่งรีบ
พวกพลเรือนเองก็เร่งหาเร่งหาบเสบียงกันมาจนเต็มลำรถลาก
ถนนสายหลักบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความโกลาหลจนถ้าเขากับเจ้าชายลำดับที่สี่จะหายตัวไปก็คงไม่มีใครสงสัย
มือใหญ่กุมขวดสีใสที่ใส่ยาเอาไว้จนเต็ม
เอเลนไปเอามาจากพวกนักบวชเมื่อคืนและเช้านี้มันก็จะเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องรับไม้ต่อ
“คุณรีไว...ได้เวลาแล้ว”
เจ้าชายแห่งอียิปต์เดินเข้ามาบอกเขาหลังจากลงไปดูลาดเลารอบๆปราสาทมา
ในเมืองวุ่นวายขนาดนั้นคงไม่มีใครมีแก่ใจจะสนหรอกว่าอาคันตุกะอย่างเขาจะยังอยู่ดีมีสุขหรือเปล่า
เขาพยักหน้าให้เด็กหนุ่มเบาๆก่อนจะก้าวขาเดินตามเอเลนไป
พวกเขาใช้ทางเดินในท่อระบายน้ำที่เชื่อมจากปราสาทออกไปยังทะเลทราย
และไม่นานเจ้าเฟอร์รารี่สีแดงเพลิงของเขาก็ได้ออกมาอวดโฉมท้าทายพระอาทิตย์อีกครั้ง
ตอนนี้เขานั่งอยู่ในรถด้วยชุดนักขับ...เพราะไม่รู้ว่าเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงนี้แสงแดดจะแผดเผาเขาไปแค่ไหน
อย่างน้อยถ้าอยู่ในชุดหมีสีแดงกับหมวกกันน็อคก็ยังพอจะช่วยป้องกันรังสีและความร้อนได้ระดับหนึ่ง
“ขอบใจนะที่ช่วยเราขนาดนี้
เราควรจะตอบแทนท่านยังไงดี?”
เจ้าชายแห่งอียิปต์ยืนมองเขาอยู่ข้างรถด้วยสายตาซาบซึ้ง เขาจึงยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดหยอกออกไป
“เอาไว้กลับมา
นายค่อยนอนกับชั้นเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”
ร่างโปร่งบางชะงักไปก่อนแก้มใสจะค่อยๆขึ้นสีจนแดงระเรื่อ เขาอมยิ้มก่อนจะก้มลงไปสตาร์ทรถ
ปลุกเจ้าม้าหลับให้ตื่นขึ้นมา
เสียงทุ้มต่ำดังกระหึ่มไปทั่วท้องทะเลทราย
ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคพยักให้คนที่ยืนอยู่น้อยๆก่อนจะพาเจ้าม้าสีเพลิงวิ่งออกไป
เจ้าชายแห่งอียิปต์ยืนมองเจ้าม้าตัวนั้นพุ่งทะยานเข้าไปในทะเลสีน้ำผึ้ง
นัยน์ตาสีมรกตยังคงจับจ้องมองตาม
แสงแดดอ่อนๆของยามเช้าที่สาดกระทบสีแดงสดของมันช่างงดงามจับใจ
ยิ่งมันวิ่งฝุ่นตลบไปตามสันทรายก็ยิ่งเป็นภาพที่อลังการตระการตาจนคงจะจดจำไปจนวันตายได้เลย
เขาหลงรัก...ทั้งเจ้าม้าสีแดงตัวนั้น
ทั้งคุณรีไว...
ภาพข้างหน้ายังคงกระจ่างชัดต่างจากด้านหลังที่ฝุ่นทรายม้วนตลบอบอวลจนมองไม่เห็นอะไร
แน่นอนว่านักขับมือหนึ่งของทีมม้าลำพองไม่ได้สนใจอยู่แล้วเพราะนี่ไม่ได้อยู่ในสนามแข่ง
ไม่ต้องห่วงข้างหลังว่าใครจะแซงหรือใครจะมาสอยตูดรถของเขาหรือไม่
เวลานี้เขามีแค่ต้องวิ่งไปข้างหน้า วิ่งตรงไปอย่างเดียวเท่านั้น
ยังดีที่ระหว่างเมืองธีบส์กับเมืองเมมฟิสสามารถวิ่งเป็นเส้นตรงได้...บนสันทรายที่เจ้าชายแห่งอียิปต์วาดให้เขาดู
ถึงแม้ฝีมือการวาดรูปของเจ้าเด็กนั่นจะไม่ค่อยได้เรื่องนัก
แต่กลับมีวิธีเขียนแผนที่ให้เขาเข้าใจได้
รอยยิ้มเผยอยู่ใต้หมวกกันน็อคโดยไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงเอเลน ความมึนงงไม่ได้เรื่องได้ราวของเด็กนั่นทำให้เขานึกขำได้แทบทุกเรื่อง
อยู่ด้วยแล้วไม่มีเบื่อหรือรำคาญเลยจริงๆ
สองมือถือพวงมาลัยให้ตั้งตรง
ปลายเท้ายังคงเหยียบคันเร่งจนความเร็วเฉียดใกล้ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่รอมร่อ
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าใครจะมองเห็น ไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยิน
เพราะไม่มีมนุษย์ชาวอียิปต์หน้าไหนใช้เส้นทางนี้แน่ๆ เอเลนบอกว่าคนส่วนใหญ่จะใช้การล่องเรือไปตามแม่น้ำไนล์หรือไม่ก็ใช้อูฐใช้ลาวิ่งไปตามทางเลาะริมแม่น้ำมากกว่า
ไม่มีใครบ้าระห่ำมาเดินกลางทะเลทรายที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทางแบบเขาแน่
ไม่สิ...คนที่บ้าบิ่นกว่าเขาก็คือคนที่ดันรู้ว่ามีเส้นทางบนสันทรายที่ใช้ให้รถวิ่งได้แบบเด็กนั่นมากกว่า
ถึงได้บอกว่าเจ้าลูกหมานั่นมันไม่ธรรมดา
สครูเดอเรียเฟอร์รารี่สีแดงสดวิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอไปตามสันทราย
ฝุ่นสีน้ำผึ้งที่ตีตลบอยู่ด้านหลังทำให้ภาพๆนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกรวดเร็ว
รุนแรง แต่ก็สวยงามจนละสายตาจากไปไม่ได้ ไอร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากเม็ดทรายที่เรียงตัวกันจนกลายเป็นทะเลกว้างใหญ่ยิ่งส่งให้เลือดในกายร้อนเป็นไฟตามไป...ถ้าภาพนี้เป็นรูปถ่าย...คงจะได้รับรางวัลระดับโลกแน่ๆ
นัยน์ตาสีขี้เถ้ารู้สึกพร่าเลือนเล็กน้อยจนต้องดูดน้ำจากกระติกเพื่อดับความกระหาย
เขาน่าจะขับรถมาได้เกือบๆชั่วโมงแล้วและแสงแดดอันแรงกล้านี่ก็ทำให้เขาอ่อนล้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้ในค็อกพิทร้อนจนแทบจะกลายเป็นเตาย่าง
ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคจึงต้องกัดฟันเพื่อที่จะทนต่อไปให้ถึงจุดหมายให้ได้
หัวใจของเขายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องยากมากที่จะประคองรถในสภาพอากาศและภูมิประเทศแบบนี้ไปจนถึงที่ที่ต้องการได้
เขาไม่รู้เลยนะ ว่าหากรถเกิดพังกลางทางขึ้นมา เขาจะทำยังไง อย่าว่าแต่แผนของเอเลนจะล่มเลย
ตัวเขาเองอาจจะต้องตายอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างใหญ่
ตายอย่างที่ไม่มีใครจะหาศพเขาพบอีกเลยก็ได้
เงาวูบไหวของต้นปาล์มและแอ่งน้ำทำให้เขารู้ว่าน่าจะเข้าใกล้โอเอซิสสักที่
เขาไม่ได้ขาดน้ำเพราะงั้นจึงไม่น่าจะเป็นอาการภาพหลอน
ฝ่าเท้าจึงเบาคันเร่งลงก่อนที่ในที่สุดรถสีแดงจะจอดสนิทใกล้ๆแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยต้นกก
เขาลุกออกจากรถ...ตามที่เจ้าเด็กซุกซนนั่นบอก
หากเขามาเจอโอเอซิสแห่งนี้ก็แสดงว่าน่าจะใกล้ถึงเมืองเมมฟิสเต็มที
จากตรงนี้เขาต้องเดินเท้าเข้าไป
เพราะไม่เช่นนั้นเสียงของเจ้าม้าสีแดงนี่อาจจะทำให้ชาวบ้านรู้ตัวเสียก่อน
มือใหญ่ถอดหมวกกันน็อคและปลดชุดนักขับออกจากร่างกาย
ชุดแบบอียิปต์โบราณที่ใส่มานานหลายเดือนถูกดึงออกมาสวมอย่างคุ้นเคย
ดูเหมือนสีผิวของเขาจะเข้มขึ้นนิดหน่อยหลังจากที่หลุดมาอยู่ในยุคนี้เพราะทุกวันก็เปลือยท่อนบนจนเป็นปกติ
เขาใช้ผ้าคลุมผมของตัวเองไว้
ชาวอียิปต์ส่วนใหญ่จะโกนหัวแต่เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แค่เอาผ้าคลุมผมที่ยาวไม่เหมือนใครนี่ไว้
เหมือนที่ชาวอียิปต์ส่วนใหญ่จะออกจากบ้านด้วยการสวมวิกหรือไม่ก็หาอะไรคลุม
เขาก็คงพอจะเนียนๆไปได้บ้าง
สองขาก้าวผ่านทะเลทรายที่ร้อนระอุ
เขาพอจะรู้ทิศรู้ทางบ้างแล้วว่าต้องเดินไปทางไหนด้วยกลิ่นของอาหารที่ลอยมาตามลม
อาหารของที่นี่จะมีกลิ่นเครื่องเทศแรงมากกว่าอาหารบ้านเขา เพราะงั้นแค่เขาเดินตามกลิ่นฉุนๆพวกนี้ไปก็คงถึงเมืองเมมฟิสได้ไม่ยาก
แล้วเขาก็เดินอยู่ในทะเลทรายยังไม่ถึงยี่สิบนาที
ต้นไม้เขียวชะอุ่มก็เริ่มมีให้เห็นประปรายจนค่อยๆหนาตาขึ้นเรื่อยๆ
เขาน่าจะเข้าเขตเมืองที่มีคนอาศัยอยู่แล้วละ
เขามั่นใจได้ในทันทีว่าเขามาถึงเมืองเมมฟิสไม่ผิดแน่
เมื่อนัยน์ตาสีขี้เถ้ามองเห็นพระราชวังใหญ่โตที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง...สมกับที่เป็นพระราชวังเก่าของอาณาจักรอียิปต์จริงๆ
เพราะมันยิ่งใหญ่มาก
เขาไม่ได้สนใจถนนดินอัดที่ทอดยาวเข้าสู่พระราชวังเพราะที่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเขา
สองขาเดินเลี้ยวไปตามทางแคบๆซึ่งมีขยะสดกองอยู่ประปราย
อาณาจักรยุคโบราณแบบนี้ยังไม่ค่อยจะรู้วิธีจัดการกับระบบสาธารณูปโภคเท่าไหร่
บางด้านของเมืองจึงไม่สะอาดนัก
โดยเฉพาะส่วนที่จะมีของสดซึ่งเน่าเสียได้ผ่านเข้าออกทุกวันอย่างด้านที่เป็นโรงครัว
ฝ่าเท้าเหยียบย่างลงไปบนถนนที่ส่งกลิ่นไม่ดีเท่าไหร่
ในหัวก็พยายามนึกสิ่งที่พ่อครัวบอกกับเขามา...ว่าสุดถนนเส้นนี้ก็จะเป็นโรงครัวของเมมฟิส
เป็นสถานที่ที่ทำอาหารเลี้ยงคนทั้งพระราชวัง รวมทั้งพวกทหารด้วย
แน่นอนว่าเขาคงไม่ได้จะแอบเข้าไปเทยาใส่หม้ออาหารทีละหม้อๆตรงๆแบบนั้นหรอก
แต่พ่อครัวบอกกับเขาว่าถ้าจะวางยาให้ได้ผลดีที่สุด
มันต้องวางยาใส่ถังเก็บน้ำของเมมฟิส...น้ำที่จะเอามาใช้ประกอบอาหาร
น้ำที่เอาไว้ดื่ม
ฝ่ามือกระชับผ้าคลุมก่อนจะมองตรงไปยังกลุ่มอาคารทรงสี่เหลี่ยมมินิมอลๆที่สร้างด้วยดินอัด
ควันและไอน้ำสีขาวที่ลอยคลุ้งออกมาผสมกับกลิ่นเครื่องเทศที่รุนแรงทำให้เขารู้ว่าสิ่งก่อสร้างตรงหน้าคือโรงครัวไม่ผิดแน่
สองขายังมีความลังเลอยู่บ้างที่จะก้าวเดินเข้าไปหามัน
เพราะเขาไม่ใช่นักฆ่ามืออาชีพ
เขาเป็นแค่นักขับเอฟวัน...ใช่...เขาเป็นแค่นักกีฬาคนหนึ่ง
ถึงเขาจะถูกสื่อมองว่าเป็นตัวอันตราย เป็นแบดบอยที่ต้องระวังเวลาจะเข้าใกล้
แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยคิดจะวางยาใคร
ไม่เคยคิดจะทำให้คนทั้งเมืองต้องเจ็บป่วยหรือเดือดร้อน เขาไม่ได้เลวถึงขนาดนั้น เขาอาจจะมีเรื่องชกต่อยอยู่บ้างแต่คู่กรณีก็มีแต่พวกอันธพาลทั้งนั้น
เขาไม่เคยทำร้ายคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่หรือคนไม่มีทางสู้
เพราะฉะนั้น...งานนี้จึงทดสอบจิตใจของเขายิ่งกว่าตอนขับฟอร์มูล่าวันเสียอีก
เขาเจอเด็กนั่นยังไม่ทันจะถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ...ทำไมถึงยอมทำให้ขนาดนี้กันนะ?
ต้องเป็น...คำสาปของฟาโรห์แน่ๆ
ใบหน้าหล่อเหลาส่ายน้อยๆกับความคิดของตัวเอง
จริงๆแล้วผู้ชายที่ชื่อรีไวไม่ใช่คนอารมณ์ร้ายอย่างที่ใครๆคิด
เขาออกจะกวนประสาทด้วยซ้ำถ้าสนิทกัน...เพราะงั้นถึงคิดได้ว่ามันเป็นคำสาปของเจ้าชายลูกหมานั่น!
“นี่เจ้า!
เป็นใครมาจากไหนน่ะ? หยุดก่อน!”
แต่แล้วเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ฝ่าเท้าของเขาต้องชะงัก
นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบไปเห็นทหารยามสองคนเดินตรงมาหา
ฝ่ามือจึงยิ่งต้องกระชับผ้าคลุมหัวเข้าไปอีก
หัวใจที่เย็นเป็นน้ำแข็งไม่ได้ตื่นเต้นหรือตกใจเท่าไหร่
เพียงแต่หงุดหงิดนิดๆที่ต้องมาหลบๆซ่อนๆแบบนี้ ก็ปกติรีไวแห่งเฟอร์รารี่เคยเป็นแบบนี้เสียที่ไหน
เขามักจะเดินอาดๆอย่างไม่กลัวใคร แล้วดูตอนนี้สิ
“นี่มันเลยเวลาส่งของหรือเวลาเปลี่ยนเวรพ่อครัวมาแล้วนี่?” ทหารยามสองคนนั้นเดินมาดักข้างหน้า
เขาพยายามจะไม่เงยขึ้นไปสบตาตรงๆ เพราะทั้งโครงหน้า สีผิว
สีตาของเขามันไม่เหมือนชาวอียิปต์โบราณเลยแม้แต่นิดเดียว ต้องบอกว่าคงถูกจับได้ทันทีแน่ว่าเขาไม่ใช่คนของที่นี่
แต่ก็เพราะแบบนั้นแหละ
คำโกหกของเขาจึงดูมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อเขาตอบเบาๆกลับไปว่า
“เป็น...พ่อครัวที่มาทำอาหารต่างชาติ
เพิ่งเดินทางมาจากมาซิโดเนีย ยังไม่ค่อยรู้กฎหรือเวลาของเมืองนี้
เลยมาสาย...”
มาซิโดเนียอะไรนั่นอยู่ตรงไหนเขาก็ไม่รู้หรอก นึกขึ้นมาได้แล้วก็บอกมั่วๆไป
แต่คำตอบของคำถามนี้พวกพ่อครัวเพื่อนของเอเลนเคยบอกกับเขาเอาไว้
ว่าถ้าตอบแบบนี้ทหารยามจะไม่เข้ามาจู้จี้นัก
“อ้อ
พ่อครัวอาหารต่างชาตินี่เอง งั้นก็เข้าไปเถอะ”
แล้วก็เป็นอย่างที่พ่อครัวพวกนั้นบอกจริงๆด้วย
เมื่อทหารยามยอมปล่อยเขาไปโดยไม่ซักไซร้อะไรต่ออีก
เขาจึงรีบก้าวขาเดินเข้าไปในโรงครัวก่อนที่พวกนั้นจะเปลี่ยนใจแล้วกลับมาค้นตัวเขาใหม่
เขาไม่ได้สนใจเลยว่าพื้นที่ประกอบอาหารของพ่อครัวต่างชาติอยู่ตรงไหน
แต่สิ่งที่นัยน์ตาสีเทากวาดหาคือสิ่งที่มีลักษณะเหมือนแท็งก์เก็บน้ำขนาดใหญ่มากกว่า
เขาเดินอ้อมไปด้านหลังโรงครัวแล้วในที่สุดเขาก็เจอมันเข้าจนได้....
มันดูเหมือนบ่อน้ำขนาดใหญ่มากกว่าจะเรียกว่าแท็งก์
เขาเห็นพ่อครัวหลายคนช่วยกันตักน้ำในบ่อนั่นแล้วหิ้วเข้าไปในโรงครัว
เหงื่อหลายเม็ดซึมอยู่ใต้ไรผมอย่างช่วยไม่ได้ เปล่าหรอกเขาไม่ได้ร้อน
แต่ขวดยาที่มือกุมอยู่นี่มากกว่าที่ทำให้เหงื่อไหลออกมาแบบนั้น
เอเลนบอกกับเขาว่ายานี่จะมีฤทธิ์อยู่ได้ราวๆสองวัน
นั่นหมายความว่าหลังจากนี้น้ำที่มีพิษก็จะกลับเป็นน้ำตามปกติ
คนที่นี่จะถูกเขาทำร้ายอยู่แค่วันนี้เท่านั้น...แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้ไม่รู้สึกผิดอยู่ดี...ตอนนี้ในจิตใจของเขากำลังกดดันอย่างรุนแรง
จิตสำนึกสีขาวกับสีดำกำลังต่อสู้กันอยู่ในหัว
สองมือที่ถือขวดยาอยู่ก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
แต่แล้ว...
ภาพของเอเลนที่เดินโซเซอยู่ท่ามกลางทะเลทรายในวันที่หนีจากการจับกุมก็ทำให้เขาตัดสินใจ...เทยาในขวดลงไป...
เขาเฝ้าขอโทษต่อคนที่ต้องถูกเขาทำร้ายตั้งแต่ยาหยดแรกไหลลงไปจนกระทั่งหยดสุดท้าย...รู้สึกผิดจนอยากจะร้องไห้แต่ก็จำต้องกัดฟันเก็บมันเอาไว้...หน้าที่นี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
ฝ่ามือที่สั่นสะท้านบีบขวดยาที่ว่างเปล่าแน่น
เขาหอบหายใจอย่างรุนแรงจากสภาพจิตใจที่ตกอยู่ในความกดดันจนถึงขีดสุด
น้ำใสๆที่เคยอยู่ในขวดค่อยๆแพร่กระจายหายไปกับน้ำที่อยู่ในบ่อ
เขายืนนิ่งงันมองมันอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งเสียงตีฆ้องร้องป่าวดังปาวๆอยู่รอบๆเมือง
ได้ยินพวกพ่อครัวพูดกันในขณะที่มีท่าทางตื่นๆว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเรียกรวมพลทหารด่วน
ดูเหมือนจะมีข่าวจากทางเมืองธีบส์ว่าเจ้าชายลำดับที่สองยกกองทหารบุกมา
ทางนี้เลยจะออกไปตั้งรับ เขาได้แต่ฟังด้วยใบหน้าเรียบเฉย
มาถึงขั้นนี้แล้วคงช่วยอะไรไม่ได้แล้วละ สงครามคงกำลังจะเกิดในอีกไม่ถึงวันแน่ๆ
เขาเร้นกายออกไปจากโรงครัว
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาอยู่ในสภาวะสงครามแบบนี้ แล้วยิ่งเป็นสงครามยุคโบราณเขายิ่งไม่เคยคิด
ใบหน้าเฉยชาทอดสายตามองกองทหารที่รับอาหารจากฝ่ายโรงครัวไปเป็นเสบียง
ฝ่ามือได้แต่กำแน่นเพื่อห้ามตัวเองไม่ให้กระโดดลงไปขวางการแจกจ่ายเสบียงเหล่านั้น...ถ้าเขาเลวกว่านี้
ถ้าเขาเป็นแบดบอยจอมร้ายกาจอย่างที่สื่อประนามเขาก็คงจะดี...จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนี้
“เจ้าชาย...ผู้สังเกตการณ์ประจำเมมฟิสขอเข้าเฝ้า” เสียงราบเรียบของมิคาสะ
องครักษ์ประจำกายทำให้เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์เงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะเดินตามเด็กสาวไปยังห้องรับรองที่มีคนขอเข้าเฝ้ารออยู่
“เจ้าชาย”
ผู้สังเกตการณ์ประจำเมืองเมมฟิสทำความเคารพเขาก่อนที่จะเริ่มรายงานสถานการณ์ที่ตนถึงกับต้องรีบเร่งมาถึงที่นี่ให้ฟัง...เพราะตอนนี้...ไม่น่าจะมีคนที่มีศักดิ์สูงกว่าเขาเหลืออยู่ในอียิปต์แล้ว
“บัดนี้การสู้รบระหว่างกองทัพของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกับกองทัพของเจ้าชายลำดับที่สองนั้นจบลงแล้วขอรับ
ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียกำลังพลไปเกือบหมด
กองทัพของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งซึ่งควรจะชนะในศึกครั้งนี้กลับอ่อนแรงก่อนที่จะได้ต่อสู้เสียอีก
คาดการว่าน่าจะมาจากโรคติดต่อที่ทำให้อาเจียนและถ่ายทั้งวัน จนทำให้กองทัพของเจ้าชายลำดับที่สองเอาชนะได้ในที่สุด
แต่กองทัพของเจ้าชายลำดับที่สองกลับโดนพายุทรายเล่นงานระหว่างที่กำลังจะกลับเมืองธีบส์
กองทหารที่กำลังเหนื่อยล้าต่างหนีไม่ทันและล้มหายตายจากไปเกือบหมดขอรับ” เจ้าชายเอเลน่านั่งฟังคำรายงานด้วยใบหน้านิ่งเพราะทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่คาดการไว้
เป็นไปตามแผนของเขาทุกอย่าง
แต่คนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอย่างผู้สังเกตการณ์กลับคิดว่าเจ้าชายผู้อ่อนโยนคนนี้คงกำลังเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแน่
“แล้ว...พี่ชายทั้งคู่ของเราเล่า...เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง” ใบหน้ามนถามออกไปด้วยเสียงหมองๆ
“ฟังจากทหารที่เหลือรอดกลับมา...เจ้าชายลำดับที่หนึ่งถูกไล่ต้อนจนไปจบชีวิตลงในหน้าผาหลังวิหารเมมฟิสขอรับ...ส่วนเจ้าชายลำดับที่สองก็ถูกพายุทรายพัดหายไปในทะเลทราย
ไม่มีใครทราบเลยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง แต่จากการที่ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ
จึงคาดการได้ว่า...อาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว...ขอรับ” ร่างโปร่งถึงกับทิ้งตัวเอนพิงพนักเก้าอี้
ทั้งๆที่มันเป็นไปตามแผนการของเขาทุกอย่าง แต่ตอนนี้หัวใจกลับเจ็บแปลบ
เขาไม่ได้ดีใจเลยที่ได้บัลลังก์สีเลือดนั่นมา ไม่ได้ตั้งใจจะให้ผู้เป็นพี่ชายต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้เลย
เขาตัดสินใจถูกหรือเปล่านะที่เลือกทางนี้...
หรือเขาควรจะเชื่อคุณรีไว...ที่ให้เขาหนีไปหาที่สงบๆอยู่
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร
ตอนนี้เขาก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้อีกแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
เขามีแต่จะต้องเดินหน้าต่อไป ต่อให้มีความรักของคุณรีไวแต่เขาต้องไม่ลืมความแค้นที่มีต่ออาณาจักรนี้
แผนการของเขา...ยังต้องดำเนินต่อไป...
“เจ้าชาย...ถึงท่านจะยังเศร้าโศกเสียใจอยู่
แต่ก็ขอให้ท่านโปรดเตรียมตัวด้วย
ข้าจะไปแจ้งเรื่องนี้ต่อขุนนางชั้นผู้ใหญ่และนักบวช...และคงจะมีการสถาปนาเจ้าชายขึ้นเป็นฟาโรห์พระองค์ใหม่ของอาณาจักรอียิปต์ในไม่ช้า”
ผู้สังเกตการณ์ขอตัวกลับไปแล้ว
ร่างโปร่งบางถึงได้เดินอย่างหมดแรงกลับมายังห้องนอนของคุณรีไว
เขาทรุดนั่งลงไปบนเตียงที่ว่างเปล่า...
ความเสียใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังคงอยู่
แต่ตอนนี้เขากลับมีความกังวลใจเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง ใบหน้าภายใต้มงกุฎผ้าหันไปมองหมอนที่เคยใช้หนุนนอนร่วมกันก่อนจะขมวดคิ้ว...นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว...หลังจากที่เกิดพายุทราย
แล้วทำไม...
คุณรีไว...
ทำไมท่านถึงยังไม่กลับมา?
เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือเปล่า?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป...
กร๊ากกกกก
เมืองเมมฟิสนี่มีอยู่จริงๆในแผนที่อียิปต์โบราณนะคร้า
คุณกวางไม่ได้ไปเอาชื่อพระเอกการ์ตูนตาหวานบางเรื่องมาตั้งเป็นชื่อเมืองนะเออ 55555
เป็นเมืองใหญ่ของอียิปต์โบราณทั้งคู่จริงๆค่ะ
เมืองธีบส์กับเมืองเมมฟิส แล้วก็เป็นเมืองหลวงเก่ากับเมืองหลวงใหม่จริงๆนะถ้าอ่านมาไม่ผิด
55555 ก็จะพยายามมั่วให้น้อยที่สุดอ่ะนะแต่ก็อย่าเชื่อคุณกวางมันมากนักค่ะ
เอิ้ก
อาจจะเป็นวันเกิดที่ฉุกละหุกหน่อยเพราะอิมี๊มันจำวันผิดถถถถ
นึกว่าวันพรุ่งนี้ >[
]< อยากจะบ้าตาย แต่ไงก็
สุขสันต์วันเกิดนะก๊าหนูเลน~~~ >////<
มีความสุขมากๆๆๆนาลูก
ขอให้อ.อิซารักandหลง จะได้ให้หนูและคุณรีไวอยู่ยืนยงคงกระพันใน Attack on Titan นาลูก โอยยย ลุ้นระทึกมันทุกตอนจริงๆ =A=
วันเกิดหนูเลนทั้งทีจะลงแค่ตอนเดียวไม่ด้าย
555 ก็นะ จริงๆเตรียมเอาไว้ให้หลายอาทิตย์แล้ว
แต่เพราะจำวันผิดนี่แหละเลยไม่ได้ลงตั้งแต่เที่ยงคืนถถถ //
เอาหัวโขกวอลล์มาเรียตายไปซะนังมี๊~
มาค่ะ
ยังมีอีก 2 ตอนที่จะลงวันนี้ ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์นะคะ
หลายคนเข้ามาอ่านละอาจจะงงๆว่านี่มัน GLIDE ตรงไหน...ต้องอ่านไปให้ถึงตอนจบค่ะ
เด่วก็รู้เอง55555 // หลายคนอาจจะบอกว่า เมิงก็แต่งให้จบซักทีสิคุณกวาง!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น