Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 07 : END


Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato]   หรือรักเรียกหา : 07 : END

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction 
: Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
: Warmhearted
: PG


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ    
         





นัยน์ตาสีมรกตกลมโตเหลือบมองไปรอบกาย สายตายังคงกวาดมองหาคนที่นัดกันไว้ท่ามกลางฝูงชนมากมายที่ยืนเบียดเสียดกันจนแทบจะไม่มีอากาศหายใจ




“ได้เวลาแล้วนะครับ เรามาเริ่มนับถอยหลังกันเลยดีกว่า~  สิบ....เก้า....แปด.....”




ใบหน้ามนหันไปหันมาอย่างเริ่มร้อนลน เขาก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือครั้งแล้วครั้งเล่าแต่มันก็ยังคงมืดสนิท ไม่มีการติดต่อใดๆมาทั้งสิ้น และเขาเองก็โทรหาเป็นสิบๆรอบแต่ก็มีเพียงเสียง ไม่มีการตอบรับตอบกลับมา

ร่างโปร่งบางแหวกฝูงชนนับพันเพื่อตามหาร่างสูงสง่าที่คุ้นตานั่นไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งหาก็ยิ่งท้อใจเพราะเขาไม่เห็น ฟูจิวาระ ชู แม้แต่เงา ตอนนี้อากาศข้างนอกนั้นหนาวมากแต่ภายใต้เสื้อโค้ทของเขากลับร้อนจนรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลซึมกาย




“....เจ็ด.....หก......ห้า.......”




ยิ่งได้ยินเสียงนับถอยหลังของพิธีกรในงานก็มีแต่จะยิ่งทำให้เขากังวล

[ชู นายอยู่ไหน? ตอบฉันที]

เขาส่งข้อความแบบนี้ไปทางไลน์จนเกือบจะครึ่งร้อยข้อความอยู่แล้วแต่คนที่นัดกันไว้อย่างดิบดีก็ไม่แม้แต่จะเปิดอ่าน

เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆจะไม่มาก็ไม่บอกแบบนี้?

ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่น เขาไม่ใช่คนที่จะร้องไห้หรือน้อยใจอะไรง่ายๆ แต่การถูกทิ้งเอาไว้ในคืนที่ทุกคนรอบกายเต็มไปด้วยความสุขจากการได้อยู่กับคนที่รักนั้นมันช่างเจ็บปวดจนน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเลยจริงๆ




“...สี่......สาม......สอง.............หนึ่งสวัสดีปีใหม่!!!!




เสียงพลุดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงระฆังและน้ำตาที่พยายามห้ามไว้ก็หยดแหมะลงไปที่ปลายเท้า เสียงแห่งการเฉลิมฉลองที่ดังอยู่รอบกายยิ่งตอกย้ำว่าคืนนี้เขายืนอยู่เพียงลำพัง มือที่ควรจะจับมือของเขาเอาไว้มันหายไป

ชู...นายหายไปไหน...

เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆเมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะอ่อนแอขนาดนี้ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยโดนเพื่อนเบี้ยวนัดโดยไม่บอกกล่าวแต่มันกลับไม่เคยรู้สึกปวดแปลบที่หัวใจขนาดนี้มาก่อน...อ่า...นี่สินะ ความแตกต่างระหว่างเพื่อนกับแฟน...นับวันเขาก็เริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชูมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นคนรักกันมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องได้ขนาดไหนและสามารถจะเจ็บปวดได้ขนาดไหน...เขาเริ่มจะเข้าใจมันมากขึ้นเรื่อยๆ

ร่างโปร่งบางทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่กับที่ในขณะที่ผู้คนรอบกายต่างเคลื่อนย้ายราวกับภาพสโลโมชั่น จากที่เคยเบียดเสียดกันอยู่เต็มศาลเจ้ากลับค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆ...เรื่อยๆ....

“มินาโตะ?”  เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากข้างหน้า ใบหน้าที่ก้มมองพื้นอยู่ทำให้เขาเห็นแค่ปลายชุดกิโมโนสำหรับประกอบพิธีกรรมและมันก็ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เขารออยู่

“มาสะซัง...”  เขาเงยหน้าขึ้นไปโดยที่น้ำตาไหลลงมาไม่รู้ตัว นัยน์ตาสีน้ำเงินที่ทอดมองเขาอยู่เบิกกว้างก่อนที่มือแข็งแรงจะดึงเขาเข้าไป ไออุ่นจากแผงอกกว้างรับร่างกายของเขาไว้ ตอนนี้เขามองไม่เห็นอะไรนอกจากกิโมโนสีน้ำเงินกับม่านน้ำตาของตัวเอง ฝ่ามือยกขึ้นไปดึงรั้งชุดสีน้ำเงินนั่นไว้ก่อนจะร้องไห้ราวกับเด็กๆ...เขาเป็นอะไรไป เขาไม่ใช่คนที่จะร้องไห้กับเรื่องแบบนี้...คงจะเป็นเพราะมาสะซัง คงจะเป็นเพราะแผ่นอกกว้างๆที่เขาพึ่งพาได้เสมอนี่ที่ทำให้น้ำตาของเขาไม่หยุดไหลสักที รวมไปถึงความอัดอั้นตันใจที่ค่อยๆถูกระบายออกไปนี่ก็ด้วย..








“ยังจะอยู่รออีกเหรอ? ตีสองแล้วนะ”   เขาเงยหน้ามองมาสะซังที่กลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยชาอุ่นๆ มาสะซังพาเขามานั่งพักที่ม้านั่งก่อนจะหายเข้าไปในศาลเจ้า  มือใหญ่ยื่นถ้วยชาให้เขาและเขาก็รับมันมา

“ครับ...”   เขาทอดสายตามองไออุ่นๆที่ลอยกรุ่นขึ้นมาจากถ้วยชา พอได้ระบายความกังวลใจออกไป เขาจึงเริ่มคิดได้

“...ชูไม่เคยผิดนัด...ผมเลยคิดว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ติดต่อเขาไม่ได้...ผมเลยว่าจะรอต่ออีกสักหน่อย...”   ปกติชูมักจะมาก่อนเวลาเสมอและจะตอบกลับหรือโทรหาทันทีที่เห็นข้อความจากเขา

“มาสะซัง...ขอบคุณนะครับ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะกลับ เมื่อถึงเวลาที่ควรกลับ”  เขาเงยหน้าขึ้นไปยิ้มให้คนที่มองเขาอย่างห่วงใยเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลใจ มือใหญ่ยื่นมาลูบหัวเขาเบาๆ

“ถ้างั้นก็เข้าไปนั่งรอข้างใน ตรงนี้มันหนาว”  แล้วมือที่วางอยู่บนหัวก็ย้ายมาจับที่ข้อมือของเขา มาสะซังออกแรงดึงเขาให้ลุกขึ้น แล้วในขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะตามไปดีไหม...


หมับ!


ฝ่ามือของใครบางคนก็จับลงไปที่แขนของมาสะซังก่อนจะสะบัดให้มันหลุดออกจากการจับกุมมือเขา

“ชู?....”   เขาหันไปมองคนมาใหม่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ร่างสูงสง่านั่นคือคนที่เขารอคอยมาทั้งคืนจริงๆด้วย

“ขอบคุณที่ช่วยดูแลมินาโตะให้ แต่คงต้องขอตัวเพียงเท่านี้ ไปกันเถอะมินาโตะ”  ชูที่มีอาการหอบน้อยๆจ้องมองมาสะซังด้วยสายตาดุดันก่อนจะหันมาจับข้อมือเขาเตรียมจะก้าวเดินออกมา ทว่า มาสะซังเองก็ไม่ยอมปล่อยพวกเขาง่ายๆเช่นกัน มือใหญ่จับแขนชูเอาไว้

“นายไม่ควรจะทำให้มินาโตะร้องไห้ ถ้าจะมาช้าก็ควรจะบอก ไม่ใช่ปล่อยให้รอแบบนี้”  ใบหน้าของมาสะซังจริงจังจนเขาเองยังแปลกใจ มาสะซังจ้องเขม็งประสานกับสายตาเย็นชาของชูอย่างไม่ลดละ

“......”  ชูไม่โต้ตอบอะไรกลับไปแต่ทั้งใบหน้าและแววตากลับมืดมนจนเขาเริ่มกลัว จนแล้วจนรอดก็เป็นมาสะซังเองที่ยอมปล่อยแขนชูก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะมองที่มือตัวเองแล้วหันมาถามชู

“นี่นาย...ทำไมตัวร้อนขนาดนี้?”

“ขอบคุณที่ช่วยเตือน”   แต่ชูกลับตัดบทแล้วพาเขาเดินออกมาจากตรงนั้นทันทีโดยไม่ฟังเสียงของมาสะซังที่ร้องเรียกอยู่ข้างหลัง เขาเองก็ทำได้แค่หันหน้ากลับไปก้มหัวขอโทษมาสะซังทั้งๆที่ยังโดนชูลากห่างออกไปเรื่อยๆ

ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า? แต่ดูเหมือนชูกับเซยะจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับมาสะซังอย่างชัดเจน?...ทำไมกันนะ??








เขาโล่งใจที่ในที่สุดก็หาชูเจอจนได้ อีกฝ่ายไม่ได้ทิ้งเขาไว้ตามลำพังแต่ยังพยายามออกมาหาเขาทั้งๆที่เลยเวลานัดไปสามชั่วโมงกว่าแล้ว นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของชูที่ดูจะขึ้นสีระเรื่อผิดปกติ ชูเป็นคนที่ขาวมาก อาจจะขาวกว่าเขาเสียอีกและถึงจะหนาวหรือโดนละอองหิมะขนาดไหนชูก็ไม่เคยหน้าแดงขนาดนี้...จะว่าไปมือที่จับข้อมือของเขาอยู่มันก็ร้อนจริงๆ

หรือว่าชูจะไม่สบาย?

“ชู...นายเป็นอะไรหรือเปล่า?”  ฝ่ามือที่จับข้อมือของเขากระตุกน้อยๆแต่ชูก็ยังคงเดินต่อไปอย่างไม่ต้องการจะให้เขารู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่มีหรือที่จะปิดบังเขาได้ เราคบกันมานานขนาดไหนแล้ว

“นี่...หยุดก่อนชู”   เขาดึงข้อมือขืนไว้สุดชีวิตจนร่างสูงสง่าจำต้องหยุดลงจนได้ 

“....ฉัน...ไม่เป็นไร...”  ชูค่อยๆหันหน้ามาและอาการหอบน้อยๆบวกกับความอิดโรยบนใบหน้าของชูมันก็ไม่ได้บ่งบอกเลยว่า ไม่ได้เป็นอะไร อย่างที่อีกฝ่ายว่า

“จะไม่เป็นไรได้ไงเล่า หน้าแดงขนาดนี้ มือนายก็ร้อนมากด้วย”  เขายกมือขึ้นแนบไปกับหน้าผากของชู ความร้อนระอุพุ่งเข้ามาจนเขาชักมือออกแทบไม่ทันนี่มันร้อนมากเลยนะ

“ตัวร้อนจริงๆด้วย ที่มาช้าแล้วก็ติดต่อไม่ได้นี่เพราะไม่สบายงั้นเหรอ...”   ตอนนี้เขาทิ้งความรู้สึกน้อยใจที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงที่แล้วไปแล้วแต่เขากำลังกังวลเรื่องของคนตรงหน้ามากกว่า...กับความร้อนที่เขาสัมผัสได้...ชูคงกัดฟันลุกขึ้นมาทั้งๆที่จะรั้งสติไว้ก็แทบจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำถ้าเป็นคนปกติ

“มินาโตะ...ขอโทษนะที่ต้องให้รอ...ฉันหาโทรศัพท์ไม่เจอก็เลยออกมาทั้งแบบนี้......หมอนั่นบอกว่ามินาโตะร้องไห้เหรอ...ขอโทษนะ ขอโทษ...”   สองมือที่ร้อนระอุของชูจับไหล่ของเขาไว้ก่อนจะขอโทษออกมาด้วยใบหน้าอ่อนแรง ชูพูดไปหอบไป แล้วแบบนี้เขาจะโกรธลงได้ยังไง

“ช่างมันเถอะ นายตัวร้อนมากเลยนะชู ออกมาแบบนี้ไม่เป็นไรแน่เหรอเนี่ย?”  เขาอังสองมือเย็นๆไว้กับแก้มและต้นคอของชูหวังว่าจะช่วยระบายความร้อน สภาพของชูทำให้เขาเป็นห่วงมากกว่าคืนวันปีใหม่อะไรนี่เสียอีก แต่ชูกลับ...

“คืนนี้...คืนข้ามปี...ฉัน...อยากอยู่กับมินาโตะ...ไม่ว่ายังไง...ก็อยากอยู่กับนาย...” 

“ชู...”   เพราะคนเรามีความเชื่อ...ว่าหากทำอะไรหรืออยู่กับใครในคืนข้ามปี...ปีนั้นก็จะได้ทำสิ่งนั้นหรืออยู่กับคนคนนั้นไปตลอดทั้งปี เพราะงั้นต่อให้ไอร้อนระอุจะแผ่ออกมาจากร่างกายของชูยังไง ชูก็ยังพยายามจะมาหาเขาให้ได้สินะ

ชูโงนเงนไปมาก่อนจะต้องยกมือยันผนังเอาไว้ทำให้เขาถูกขังอยู่ในอ้อมแขนของชูโดยอัตโนมัติ เขาเงยหน้ามองใบหน้าแดงระเรื่อกับดวงตาเชื่อมปรอยด้วยพิษไข้นั้นก่อนจะเป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาชูเอง สองแขนยกขึ้นโอบรอบลำคอที่พันผ้าพันคอเอาไว้ลวกๆก่อนจะดึงหัวสีน้ำตาลนั่นเข้ามา

ริมฝีปากแตะลงที่กลีบปากร้อนผ่าวแผ่วเบา ถึงจะเป็นจูบท่ามกลางฤดูหนาว แต่จูบแรกของปีก็เต็มไปด้วยไออุ่น...และมันก็คงจะเป็นแบบนี้ไปอีกทั้งปี...

“กลับบ้านกัน ชู”   เขาละออกมาจากใบหน้าที่ดูเบลอๆ ชูยิ้มน้อยๆก่อนจะปล่อยเขาออกจากวงแขน ฝ่ามือจับกันไว้ถึงแม้จะร้อนแค่ไหนก็ตาม นิ้วทั้งห้าสอดประสานจวบจนถึงบ้านของเขาที่เป็นปลายทาง











“ชู...กินยาก่อน”   เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ชูกินยาอะไรมาบ้าง แต่ตอนนี้ที่ในบ้านเขามีก็แค่ยาสามัญเท่านั้นเอง

เขาเรียกคนที่นอนขดอยู่บนเตียงของเขาให้ลุกขึ้นมา มองดูอีกฝ่ายกินยาจนหมดแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ผ้าห่มผืนหนาถูกโปะลงไปหลายชั้น แล้วไม่นานชูก็หลับไป เขานั่งลงที่พื้นข้างเตียงก่อนจะมองใบหน้าที่กำลังหลับสนิท ชูที่อยู่ในสภาพอ่อนแอแบบนี้มันทำให้เขากังวล แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจที่อีกฝ่ายยอมพึ่งพาเขาบ้าง เพราะปกติชูจะเป็นคนดูแลเขาตลอด  ฝ่ามือยกขึ้นช้าๆก่อนจะเกลี่ยเส้นผมที่ปรกละใบหน้าออกไป จากนั้นจึงลูบหัวสีน้ำตาลเบาๆซ้ำไปซ้ำมา เขาได้แต่หวังว่าสัมผัสจากความรักนี้จะทำให้ชูอาการดีขึ้นบ้าง


ครืด....ครืด.....ครืด........


เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือทำให้เขาจำต้องละออกมาจากคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง...ตีสาม...ใครโทรมาเอาป่านนี้กันนะ? อาจจะเป็นมาสะซังที่โทรเช็คเพราะเป็นห่วง? เขาเหลือบตามองชื่อที่หน้าจออย่างไม่คิดอะไร แต่ชื่อที่ปรากฏสู่สายตากลับทำให้ปลายนิ้วที่จะกดรับของเขาชะงักไป...

สายจาก...แม่ของชู...

เขานิ่งค้างมองโทรศัพท์ที่สั่นระรัวอยู่แบบนั้น

ตอนนี้...เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าทางบ้านของชูรู้ลึกแค่ไหน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชูรู้หรือยัง...ว่าเราไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

แต่เรื่องหนึ่งที่เขารู้คือชูไม่ใช่คนที่คิดจะปิดบังการมีอยู่ของเขา ชูไม่เคยคิดจะซุกซ่อนเขาเอาไว้ในเงา เพราะฉะนั้น…

ชู...จึงต้องใช้อะไรหลายๆอย่างในการแลกเปลี่ยน...เพื่อให้ได้อยู่กับเขา...และสำหรับทางบ้านของชู...เขา...ก็เป็นเหมือนกับเครื่องมือที่เอาไว้ควบคุมชู




ถ้าไม่มีฉัน...นายจะเป็นอิสระมากกว่านี้หรือเปล่า?




เขาเคยถามชูเมื่อวันที่รู้ว่าชูต้องแลกกับอะไรไปบ้างเพื่อที่จะคบเขาเป็นเพื่อน




ถ้าไม่มีมินาโตะ ฉันคงไม่รู้จักคำว่าอิสระต่างหาก...ฉันคงถูกขังอยู่ภายใต้คำว่าคุณชายแห่งตระกูลฟูจิวาระไปจนวันตายและคงไม่คิดจะพยายามทำอะไรเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นเหมือนอย่างตอนนี้หรอก

เพราะมีมินาโตะ ทำให้ฉันพยายามลุกขึ้นมาทำอะไรหลายๆอย่าง เพื่ออิสระของตัวเอง




แล้วคำตอบของชูก็ยังดังก้องอยู่ในหัวใจ มันทำให้เขาปล่อยผ่านความสัมพันธ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นนี้ไป มันทำให้เขามั่นใจ ว่าเราจะไปกันได้ตลอดรอดฝั่ง



“สวัสดีครับ...”  เขากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์หลังจากตัดสินใจกดรับ

“นารุมิยะคุง?”  เสียงนิ่งจากปลายสายเป็นเสียงคุณแม่ของชูจริงๆ เขาเคยเจอท่านหลายครั้ง ถึงจะไม่ใช่คนที่ดุหรือเข้มงวดจนน่ากลัว แต่ความที่เป็นกุลสตรีแบบญี่ปุ่นแท้ๆก็ทำให้เขารู้สึกเกร็งทุกครั้งที่ต้องพูดคุยด้วย

“ครับ...”

“ชูซังอยู่กับคุณใช่ไหม?”   ก็เป็นคุณแม่ประเภทที่เรียกลูกชายและเพื่อนของลูกชายแบบสุภาพชนสุดๆ...

“ครับ...ชู...หลับอยู่ครับ...”

“ว่าแล้วเชียวว่าเค้าต้องไปหานารุมิยะคุง ชูซังมีไข้สูงมาตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อตอนหัวค่ำยังแทบไม่มีสติอยู่เลย จู่ๆก็หายตัวไป...”   ปกติคุณแม่ของชูไม่ใช่คนพูดมาก แต่วันนี้กลับพูดกับเขาเกินสามคำได้แสดงว่าคงจะเป็นห่วงชูไม่น้อยหรือไม่อาการของชูก็คงจะหนักจริงๆ...เขาหันไปมองคนที่หลับปุ๋ยอยู่บนที่นอนของเขาแล้วก็อยากจะตีเข้าให้ซักทีจริงๆ ป่วยก็แค่บอกว่าป่วยก็พอ ทำไมต้องถ่อมาถึงนี่ด้วย เดี๋ยวก็ตายเอาหรอก

“ชูซัง...หลับอยู่เหรอคะ”   เขาจับความกังวลที่มากับน้ำเสียงนั้นได้

“ครับ”   คุณแม่ของชูดูจะลังเลอยู่หลายวินาที ก่อนจะถอนหายใจออกมา

“....ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร คงไม่ต้องตามหมอไปดู...อยู่ที่บ้านเค้าแทบไม่ได้หลับเลย เอาแต่กระสับกระส่ายเพราะพิษไข้ เหมือนกังวลอะไรอยู่ ถ้าชูซังหลับได้ก็คงไม่เป็นไร”  .....คงไม่ได้กังวลเรื่องที่นัดเขาไว้ในคืนวันปีใหม่นี่หรอกนะ? เขาสับสันมือลงไปบนหน้าผากของคนที่ยังหลับเบาๆ

“ครับ”

“ยังไงก็...ฝากดูชูซังด้วยนะคะ...ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็รีบโทรบอกนะคะ”

“ครับ”

คุณแม่ของชูวางสายไป เขาจึงกลับมานั่งมองใบหน้าที่หลับสนิทนั่นอีกครั้ง ชั่วโมงก่อนหน้านี้ยังร้องไห้ยังน้อยใจอยู่เลยนะ แต่พอรู้ว่าชูเองก็พยายามจะมาหาเขาทั้งๆที่ไม่สบายหนักขนาดนี้ รูปแบบของความกังวลที่มีก็เปลี่ยนไป...ตอนนี้เขาเป็นห่วงและกังวลกับอาการป่วยของชูมากกว่า

นี่สินะ ความรัก

เขาสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มก่อนจะกุมมือของชูเอาไว้...เขาโน้มตัวลงไปก่อนจะเกยหน้าลงบนผ้าห่ม นัยน์ตาสีมรกตทอดมองใบหน้าได้รูปที่อยู่ห่างไปไม่กี่ฝ่ามือ เขาไล่มองตั้งแต่แพขนตาสีน้ำตาลอ่อนที่ปิดแนบแก้มใสสะอาด ไล่ต่อมาที่สันจมูกโด่งรับกับริมฝีปากบางๆที่ตอนนี้กำลังแดงระเรื่อเพราะพิษไข้...เขาไม่เคยได้มองหน้าชูนานๆขนาดนี้มาก่อนเพราะดวงตาสีม่วงคู่นั้นมันชอบทำให้เขาเขิน...แต่ตอนนี้...เขาจะมองแค่ไหนก็ได้ มองไปจนเช้าเลยก็ยังได้

มืออีกข้างที่ไม่ได้จับมือชูเอาไว้เอื้อมออกไป ปลายนิ้วจิ้มลงที่ปลายจมูกเป็นสันนั่นเบาๆ...เขาอมยิ้มออกมาน้อยๆทั้งๆที่ยังตะแคงหน้ามองชูที่หลับอยู่...ก่อนหน้านี้เรายังเป็นแค่เพื่อนกันอยู่เลย เขายังเคยคิดจะเอาชนะชูด้วยการยิงธนูอยู่เลย...แต่ตอนนี้...เหตุผลในการยิงธนูของเขาอาจจะเปลี่ยนไปเพราะเขาค้นพบว่าเขาจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร


ธนูที่มีความรู้สึกและหัวใจของเขาใส่เอาไว้ อยากให้มันถูกยิงออกไป



















วันนั้น...เป็นวันดอกซึซึจิสีชมพูบานสะพรั่ง


เขารู้...ว่ามีเพียงโชคชะตาเท่านั้นที่พาให้เรามาพบกัน...


เป็นโชคชะตา...ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปทั้งชีวิต


สิ้นเสียงทสึรุเนะที่ไพเราะและหนักแน่น  เด็กผู้ชายคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นมาราวกับลูกธนู


“นายเป็นใคร” 

“ฉันอยากยิงลูกดอก”

“....ธนู...ต่างหาก”


วันนั้น...เราคุยกันเพียงสั้นๆ

และเขาก็ไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของเราจะยืดยาวมาจนถึงป่านนี้





“สำเร็จแล้ว! สำเร็จแล้วชู! ฉันยิงธนูกับนายได้แล้ว ชู!

“อื้ม”


วันนั้น..เขาตอบไปเพียงสั้นๆ แต่เขาก็ไม่เคยลืมใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างสดใสและไร้เดียงสาของเด็กผู้ชายคนนั้นอีกเลย



มินาโตะ...



เปลือกตาหนักๆค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ...ภาพที่พร่าเลือนค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ...

แล้วที่เขามองเห็นนี่...เพดานห้องมินาโตะ?

ถ้างั้น...เมื่อกี้ก็ฝันอีกแล้วสินะ?

เขาฝันเห็นวันแรกที่เราพบกันมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง ราวกับว่ามันเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตที่สมองเลือกที่จะเอามาเล่นซ้ำ

นัยน์ตาสีม่วงละจากฝ้าเพดานก่อนจะมองหาเจ้าของห้องและไม่ต้องเสียเวลานานเพราะใบหน้าที่เขามองหา...กำลังหลับฟุบอยู่ไม่ไกลจากหน้าเขาเท่าไหร่ 

พิษไข้กับฤทธิ์ยาทำให้เขาหลับไม่ได้สติ เขาจึงเพิ่งรู้ว่ามินาโตะไม่ได้นอน แต่นั่งเฝ้าไข้เขาทั้งคืนอยู่ข้างเตียง เขาหมายจะใช้มือปลุกอีกฝ่าย แต่เขาก็ทำไม่ได้...เพราะมือของเขาถูกมินาโตะจับเอาไว้...

เขาทอดสายตามองใบหน้ามนที่หลับปุ๋ยนั่นก่อนจะยิ้มออกมาจากหัวใจ...มินาโตะเป็นคนเดียว...ที่ทำให้เขายิ้มด้วยความรู้สึกแบบนี้ได้...มัน...อบอุ่น...

เขายังคงทอดสายตามองใบหน้าที่ยังหลับสนิท นึกถึงความฝันเมื่อกี้แล้วก็พลอยทำให้ภาพวันเก่าๆลอยมาในหัว...

ในศาสตร์แบบญี่ปุ่นที่เขาต้องเรียนทั้งหมดเขายอมรับว่าเขาชอบการยิงธนูที่สุด...แต่ในตอนแรก...การยิงธนูก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะหลงใหลได้ขนาดนี้

จนกระทั่ง...เด็กผู้ชายคนนั้นได้ก้าวเข้ามา...ในโลกที่ไม่คิดจะเปิดรับใครของเขา...

มินาโตะ...เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขารักการยิงธนูยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะใบหน้าเพราะรอยยิ้มที่ตื่นเต้นดีใจยามที่ได้จับธนูของมินาโตะ เพราะความตั้งใจเพราะความมุ่งมั่นที่จะยิงธนูด้วยความรักของมินาโตะ มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกกับธนูมากกว่าแค่ความชอบ

เขารักมันมากขึ้นเรื่อยๆ...การยิงธนู...

และเขาก็เปิดรับมินาโตะมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอีกฝ่ายก็รักธนูเหมือนกัน

การที่เขาจะเจอกับมินาโตะได้ จะมองเห็นรอยยิ้มสดใสนั่นได้ ก็ต้องเป็นที่โรงฝึกธนูเท่านั้น...ที่นั่น...เหมือนเป็นโลกเล็กๆของเราเพียงสองคน...

เพราะเป็นคลาสเดี่ยวที่มีเพียงเขากับมินาโตะ อาจารย์ไม่ได้รับนักเรียนคนอื่นอีก...ในโรงฝึกแห่งนั้น...เราจึงเริ่มต้นมาด้วยกัน ฝึกง้างคันธนูมาด้วยกัน ยืนอยู่เคียงข้างกัน มีเพียงกันและกัน...แค่สองคน

สำหรับเขาแล้วธนูก็คือมินาโตะ...มินาโตะก็คือธนู...ธนูเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขา นั่นก็หมายความว่ามินาโตะเองก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขาเช่นกันตั้งแต่วันที่มินาโตะก้าวเข้ามา ชีวิตเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เขายืนอยู่คนเดียวไม่ได้อีกแล้ว นั่นก็เพราะว่าเมื่อใดที่เขาจับธนู...มินาโตะก็จะยืนอยู่ข้างๆเขาเสมอ




“ฉันอยากยิงลูกดอก”

“....ธนู...ต่างหาก”




ถ้าไม่มีวันนั้น...ถ้าโชคชะตาไม่พามินาโตะมา...ถ้ามีโรงฝึกที่ไหนรับมินาโตะไปเสียก่อน...

ก็คงจะไม่มี ฟูจิวาระ ชู อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้...






“มินาโตะ....”  เขาเอ่ยเรียกคนที่ยังหลับเบาๆ มินาโตะเองก็คงจะพะวงกับอาการป่วยของเขา ไม่นานใบหน้ามนนั่นก็เริ่มขยับ

“อืม...”  ดวงตาสีมรกตลืมขึ้นอย่างสลึมสลือ

“ชู? เป็นไงบ้าง?”  เขาส่ายหน้าบอกมินาโตะว่าค่อยยังชั่วแล้ว ก่อนจะจบลงด้วยรอยยิ้มบางๆ มินาโตะพยายามจะลืมตาขึ้นแต่ก็ดูเหมือนจะสู้กับความง่วงงุนนั่นไม่ไหว นัยน์ตาสีมรกตจึงจะปิดๆลงไปอีก

“ขึ้นมานอนบนนี้เถอะ ตรงนั้นมันหนาว”  เขาดึงมือมินาโตะก่อนจะขยับถอยให้เตียงมีพื้นที่พอสำหรับสองคน

“อื้ม”  มินาโตะลุกขึ้นก่อนจะสอดตัวเข้ามานอนในผ้าห่มเดียวกับเขาอย่างว่าง่าย  เขาขยับพลิกมานอนตะแคง สองแขนกอดเอวบางของมินาโตะเอาไว้ เสียงสวบสาบดังขึ้นชั่วครู่เมื่อเขาขยับตัวลงมาเล็กน้อยพอที่จะซุกใบหน้าเอาไว้กับแผงอกของมินาโตะ อ้อมแขนบางก็กอดเขาไว้ มินาโตะสอดมือเข้ามาในกลุ่มผมของเขาก่อนจะจูบหน้าผากเขาเบาๆ นัยน์ตาสีมรกตปิดลงอีกครั้งก่อนที่เสียงงึมงำจะดังออกมาให้ได้ยิน

“ถ้าฉันติดหวัดขึ้นมา นายต้องรับผิดชอบเลยนะชู”   เขาอมยิ้มอยู่ในอ้อมแขนของมินาโตะ

“ไม่มีปัญหา...จะดูแลมินาโตะไปตลอดชีวิตเลย...”   สองแขนกอดกระชับเอวบางให้แน่นขึ้น เขาสูดกลิ่นของมินาโตะเข้าปอดในขณะที่ซุกใบหน้าเอาไว้กับแผ่นอกแบนเรียบ...ที่ตรงนี้มันช่างอบอุ่นจริงๆ กลิ่น อ้อมแขน และฝ่ามือที่อ่อนโยนของมินาโตะดียิ่งกว่ายาขนานใด เพราะตอนนี้ทั้งร่างกายและหัวใจของเขากำลังได้รับการเยียวยาจนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ดวงตาสีม่วงค่อยๆปิดลงช้าๆ...ปล่อยตัวให้จมลงสู่นิทราอีกครั้ง...ท่ามกลางอ้อมแขนเล็กๆที่กอดเขาเอาไว้เสมอ


อ้อมแขนนี้คอยประคับประคองเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน อ้อมแขนของมินาโตะนั้นกอดเขามานานก่อนที่เขาจะรู้ตัวเสียอีก...










.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

Story never End



กำลังคิดอยู่ว่า ฟ้าก็ช่างกลั่นแกล้ง(มาสะซัง)นะคะ 5555+  เพราะคนที่มินาโตะตอนเด็กๆไปตามหาน่าจะเป็นปู่ของมาสะซังรึเปล่านะ? เหมือนมินาโตะจะลิสรายชื่อโรงฝึกเพื่อหาที่เรียนไปด้วย แล้วก็ตามหาอ.คนที่ยิงเสียงทสึรุเนะที่น้องได้ยินครั้งแรกแล้วหลงรักนั่นน่ะไปด้วย แล้วดูแล้วน่าจะเป็นปู่ของมาสะซังนี่แหละ // ดูจากถุงมือสีฟ้าที่ไม่มีใครเค้าใช้กันนอกจากคนบ้านนี้555 // เดาๆกันว่าเด็กนักเรียนในชุดกักกุรันที่ยืนอยู่ข้างๆมินาโตะเด็กน้อยกับแม่คือมาสะซัง // แต่น้องดันไปเจอ อ.ไซออนจิกับชูซะก่อน พรหมลิขิตบันดาลชักพา~จากที่มาสะซังจะรบกับเซยะแค่คนเดียว เลยต้องมาบวกชูเพิ่มไปอีกคนซะงั้น5555+ นี่ถ้ามินาโตะวัยเด็กตามหาโรงฝึกของปู่มาสะซังเจอก่อน ป่านนี้ก็เรียบร้อย(?)ไปแล้วไหมคะมาสะซัง ตอนเด็กๆยิ่งน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ด้วย จะล่อจะลวงอะไรก็ง่ายแท้ๆ โถถถถ :v

แต่ก็นะ...ถึงเส้นทางจะวกวนไปบ้าง ถึงคู่แข่งจะร้ายกาจและอันตรายแท้ไปบ้าง ถ้าคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกันอ่ะเนอะ สู้กันต่อไปค่ะ กัปตันเรือทั้งสาม~~ ก๊ากกก

ส่วนฟิคเรื่องนี้ก็ยังล่องออกนอกอ่าวนอกทะเลกันต่อไป 5555+ คือเริ่มไว้ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ แต่อาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งงานทั้งอิฝุ่นมลพิษมันทำคุณกวางเบลอตลอด7วันมาก ถถถ เมายาแก้แพ้กันไปข้าง ต้องเลือกเอาระหว่างเมายากับไข้ขึ้น ชีวิต TvT  ก็เลยปั่นได้ไม่เต็มที่ ทั้งๆที่มือนี่คันยิบๆ ยิ่งตอนล่าสุดนี่มาสะซังแทบจะสารภาพรักกับน้องอยู่แระ โอ๊ยยย ขอแต่งงานเลยไหมค้า จบๆไป~ ...จากที่กำลังจะเลิกยิงธนู แต่เพราะนายปรากฏตัวขึ้นมา มันจุดไฟในตัวฉัน ก็เลยพยายามที่จะเริ่มต้นใหม่(กับนาย)...อย่างงี้ก็ได้เหรอคะมาสะซังคะ! ส่วนชูนี่ถึงตัวจะไม่โผล่แต่ส่งข้อความหาตลอดนะคร้า~~~ ร้ายกาจจจ เซยะนี่ต้องตอนหน้า เห็นภาพตัวอย่างละ โอ้มายก้อดดดด มาก~~ >////< จะเรียกขวัญให้กำลังใจอะไรไม่รู้แหละแต่ตรูจิ้น!!!

แฮ่ก...แฮ่ก....แฮ่ก....สครีมซะเหนื่อย(?)สมกับที่ดูอนิเมะกีฬา(?)จริงๆ! ความกดดันจากการแข่งขันยิงธนูแทบไม่มี แต่ความลุ้นระทึกว่าใครจะได้มินาโตะไปนี่มีมากกว่าเย้ออออ แต่ละตอนนี่เสียพลังไปกับการนั่งดูว่าใครจะจีบน้องยังไงมากกว่าอะไรอี๊ก~ ตายๆๆ

ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์นะคะ >////< แล้วเจอกันตอนหน้าน้า





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น