Attack on Titan feat.KHR Au.Fic [Levi x Eren] GLIDE : RED Season : 05


Attack on Titan feat.KHR Au.Fic [Levi x Eren]  GLIDE : RED Season : 05

: Attack on Titan feat KHR Fanfiction Au
: Levi x Eren
: Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ





เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์เริ่มนั่งไม่ติดเมื่อเวลาผ่านไปจวบจนใกล้จะมืด จากตอนที่ผู้สังเกตการณ์แห่งเมมฟิสมาแจ้งข่าวเขาก็เฝ้ากระวนกระวายใจมาตลอด นั่นเพราะไม่ว่าจะรอแล้วรอเล่า...คุณรีไวก็ยังไม่กลับมา...

ฟังจากที่ผู้สังเกตการณ์เล่าเขาก็แน่ใจว่าคุณรีไวไปถึงเมมฟิสและดำเนินการตามแผนของเขาเรียบร้อย ทหารของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งถึงได้มีอาการเหมือนติดโรคระบาด อาเจียนและท้องเสียกันแบบนั้น

ในเมื่อทำตามแผนสำเร็จแล้ว...ถ้างั้นทำไมชายหนุ่มถึงยังไม่กลับมาอีกล่ะ?

หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณรีไว?

อาจจะโดนลูกหลงของพายุทรายในขณะที่กำลังกลับมาที่นี่? หรืออาจจะมีใครจับได้แล้วก็จับกุมตัวเอาไว้?

ไม่ไหว...เขาทนต่อความกังวลและร้อนใจนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

ร่างโปร่งบางจึงลุกพรวดพราดหมายจะออกไปตามหา ทว่า กลับถูกเด็กสาวที่เป็นทั้งข้ารับใช้และองครักษ์ประจำกายขวางเอาไว้เสียก่อน

“เจ้าชาย ท่านจะไปไหน?”   น้ำเสียงราบเรียบถามออกมาจากใบหน้าของมิคาสะ

“เราจะออกไปตามหาคุณรีไว ต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ ไม่เช่นนั้นคุณรีไวต้องกลับมาถึงที่นี่แล้ว”   เจ้าชายแห่งอียิปต์พยายามแกะมือของเด็กสาวออก

“แต่นี่มันก็มืดแล้ว ข้ายอมให้ท่านไปไม่ได้”  แต่มือข้างนั้นก็เหนียวและแข็งแรงกว่าที่คิด เพราะไม่ว่าเขาจะพยายามแกะมันออกเท่าไหร่ มันก็ยิ่งบีบแน่นยิ่งกว่าเดิม

“แต่ว่ามิคาสะ...”   ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล ใบหน้ามนจึงเปลี่ยนไปใช้นัยน์ตาเว้าวอนแทน เขาเป็นห่วงคุณรีไว ห่วงจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

“........”  เด็กสาวมองเขาอย่างชั่งใจเพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมามิคาสะก็ไม่เคยต่อต้านใบหน้าอ้อนๆของเขาได้ แต่ดูเหมือนคราวนี้เด็กสาวต้องทำใจแข็งก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดออกมา

“เจ้าชาย...ฟังข้าสักครั้งเถอะ...และข้าก็เชื่อว่าผู้ชายคนนั้นก็คงอยากให้ท่านฟังข้าเช่นกัน...ทะเลทรายยามมืดค่ำมันอันตรายเกินกว่าที่ท่านจะออกไปเดินได้ท่านก็รู้ดี”  ใช่...เขารู้ดีเพราะเขาเป็นคนบอกมิคาสะและคุณรีไวเอง

“........”   ใบหน้าภายใต้มงกุฎผ้าจึงได้แต่สลดหดหู่ รู้อย่างนี้เขารีบออกไปตามหาก่อนที่มันจะมืดเสียก็ดีหรอก คุณรีไวอาจจะกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากเขาอยู่ในทะเลทรายที่เวิ้งว้างว่างเปล่านั่นก็ได้ ถึงจะรู้ว่าไม่ได้มีแต่เขาที่ห่วงอีกฝ่าย คุณรีไวเองก็คงจะห่วงเขาและไม่อยากให้เขาออกไปตามหาท่ามความความมืดมิดของทะเลทรายเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นยิ่งคิดความกระวนกระวายใจก็ยิ่งโถมทวี

“......เราคงนั่งรออยู่เฉยๆไม่ไหว”   เขาก็อยากจะฟังมิคาสะแต่จะให้เขารอโดยไม่ทำอะไรเลยเขาก็ทำไม่ได้ ในใจมันเอาแต่ฟุ้งซ่านและคิดแต่เรื่องร้ายๆ

“ถ้าเช่นนั้นก็ไปสวดขอพรที่วิหารสิ...ท่านกำลังจะเป็นฟาโรห์คนใหม่ เทพเจ้าต้องยอมฟังคำขอของท่านแน่”  เขาชะงักไปกับสิ่งที่เด็กสาวบอก สำหรับในเวลานี้การทำตามคำแนะนำของเด็กสาวน่าจะดีที่สุดแล้วสำหรับเขา

“.....งั้นก็ได้...”  ริมฝีปากสีระเรื่อจึงรับปากอย่างจนใจ ขบวนเสด็จเล็กๆท่ามกลางคบไฟไม่กี่อันจึงเคลื่อนจากปราสาทหินทรายไปยังมหาวิหารใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์กลางดึก

แน่นอนว่าผู้คนต่างสงสัยแต่สุดท้ายแล้วก็คิดกันไปว่าเจ้าชายเอเลน่าคงจะเศร้าโศกเสียใจกับการที่ต้องเสียพี่ชายไปติดๆกันถึงสามคน คงต้องการสงบจิตสงบใจถึงได้มาคุยกับเทพเจ้ากลางดึกแบบนี้

ร่างโปร่งบางนั่งคุกเข่าอยู่ตามลำพังต่อหน้ารูปสลักเทพเจ้าผู้ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของชาวอียิปต์ ความจริงแล้วเขาไม่เคยเชื่อเลยว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง ไม่เคยเชื่อ...

หากแต่เวลานี้ต่อให้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเชื่อหรือเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน ขอแค่ช่วยพาคุณรีไวกลับมาหาเขาได้ เขาก็ยินดีที่จะทำ...สองมือจึงยกขึ้นมาประสานกันอยู่ที่หน้าอก บทสวดที่ท่องมาแต่เล็กแต่น้อยถูกเอ่ยออกไป...มีหลายคนบอกว่าเสียงของเขาน่าฟัง แต่ตอนนี้เขาอยากให้เทพเจ้ายอมฟังเสียงของเขามากที่สุด...เขากำลังจะเป็นฟาโรห์ เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่ไร้แรงไร้กำลังคนเดิมอีกแล้ว

ท่านต้องฟังเรา และพาคุณรีไวกลับมาหาเรา ได้ยินไหม!






บทสวดดังก้องวิหารหินทรายขนาดมหึมาอยู่กว่าค่อนคืน ริมฝีปากสีระเรื่อจำไม่ได้แล้วว่าสวดไปกี่จบต่อกี่จบ แพขนตาที่ปิดแนบแก้มใสมาหลายชั่วโมงค่อยๆลืมขึ้นมา ถึงแม้ว่าการสวดขอพรจะทำให้เขาสงบจิตสงบใจลงไปได้บ้าง แต่ความกังวลก็ใช่ว่าจะถูกทำให้หายไป

ฝ่ามือที่ประสานกันอยู่ที่หน้าอกค่อยๆลดลงไป ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะแกะเอากระดาษปาปิรุสแผ่นหนึ่งซึ่งเขาเหน็บเอวเอาไว้เสมอออกมา ยามที่เหนื่อยล้าหรือว่าท้อถอยเขามักจะหยิบมันขึ้นมาดู คำว่า ไอ เลิฟ ยู ที่คุณรีไวเขียนให้มันทำให้เขามีกำลังใจเสมอ และทุกครั้งที่เห็นมันเขาก็มักจะรู้สึกว่าคุณรีไวอยู่ข้างๆเขา

ปลายนิ้วเรียวลูบลงไปบนตัวอักษรที่เขาไม่รู้จัก น้ำใสๆกำลังจะไหลลงมาจากดวงตาอยู่รอมร่อ รู้อย่างนี้เขาไม่ให้คุณรีไวไปหรอก จะกำจัดพี่ชายไม่ได้ก็ช่าง จะไม่ได้บัลลังก์ก็ช่าง ความตั้งใจที่มีมาตลอดจะพังพินาศไปก็ช่าง!

“ฮึก...”   หน้าผากก้มจรดกับกระดาษแผ่นนั้นอย่างทนไม่ไหว น้ำตาไหลลงมาด้วยความเจ็บปวดและกังวลใจที่ไหลอยู่เต็มแผ่นอกซีกซ้าย...ทำยังไงดี...ถ้าคุณรีไวไม่กลับมาเขาจะทำยังไงดี...ถึงจะรู้ว่าตัวเขาเองคงอยู่ได้อีกไม่นานแต่อย่างน้อยก็อยากจะอยู่กับคุณรีไวจนกว่าจะวาระสุดท้าย


ครืดดดดดด


เสียงประตูหินของวิหารถูกผลักเปิดจากเบื้องหลังทำให้แพขนตารีบกระพริบไล่น้ำใสๆออกไป เจ้าชายแห่งอียิปต์ยกปลายนิ้วขึ้นเกลี่ยน้ำตาลวกๆก่อนจะรีบพับเก็บแผ่นกระดาษเหน็บกลับไปยังข้างเอว

“มิคาสะ?”   เขาหันไปมองเด็กสาวที่ก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อน

“ท่านอาคันตุกะกลับมาแล้วค่ะ”   เด็กสาวขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆและมันก็ทำให้นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้าง เขาหันไปมองใบหน้าสลักหินของเทพเจ้าแว่บหนึ่งก่อนจะรีบวิ่งออกไป...คราวนี้ท่านยอมฟังเสียงของเราแล้วสินะ...ขอบคุณ...ขอบคุณจริงๆ



ระยะทางจากมหาวิหารไม่ถือว่าไกลก็จริงแต่ก็ไม่ได้ใกล้ สองขาของเขายังคงวิ่งต่อไปแม้ลมหายใจจะหอบหนักแค่ไหนก็ตาม

ทหารยามหน้าปราสาทของเจ้าชายลำดับที่สี่เปิดประตูรับแทบไม่ทันเมื่อจู่ๆนายเหนือหัวของตัวเองก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา ร่างโปร่งไม่ได้สนใจเสียงร้องต้อนรับของข้ารับใช้คนไหนๆ สองขายังคงวิ่งไต่บันไดหินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดลงที่หน้าห้องของคุณรีไว...ห้องที่เขาใช้นอนมานานหลายเดือน

“คุณรีไว....”   ร่างที่หอบฮั่กเดินลอยๆเข้าไปก่อนจะเอ่ยเรียกคนที่ยืนหันหลังอยู่ริมระเบียง และเมื่อชายหนุ่มหันหน้ามา ความโหยหายก็พาร่างของเจ้าชายให้โถมเข้ากอดอีกฝ่ายในทันที

“คุณรีไว...”   ใบหน้ามนที่ซุกลงไปในอ้อมกอดยังคงเรียกไม่หยุดราวกับกลัวว่ามันจะเป็นเพียงความฝัน สองแขนผอมบางกอดกระชับแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยงามนั่นจนแน่น เช่นเดียวกับท่อนแขนแข็งแรงที่กอดรัดเขากลับมาเช่นกัน การได้จมอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันแบบนี้มันดีกว่าจริงๆ

“เกิดอะไรขึ้นกับท่านกัน? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? โดนพายุทรายเล่นงาน? หรือว่าโดนลูกหลงจากการต่อสู้? หรือว่าถูกใครจับตัวเอาไว้?”   พอนึกขึ้นได้เจ้าชายแห่งอียิปต์ก็รีบยันกายออกมาก่อนจะถามอีกฝ่ายเป็นชุดพลางมองสำรวจร่างกายได้รูปของคุณรีไวที่ดูจะไม่ได้มีบาดแผลอะไร มีแค่มอมแมมไปบ้างเท่านั้น

“ไม่ได้บาดเจ็บ แล้วก็ไม่ได้ไปมีเรื่องกับใคร”   ใบหน้าเฉยชาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครหย่อนกายนั่งลงไปบนเตียงก่อนจะดึงเจ้าชายแห่งอียิปต์ให้นั่งลงมาบนหน้าตัก นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองต้นขาที่อ้าคร่อมร่างกายของเขาไว้ มือใหญ่วางลงไปก่อนจะลูบไล้มันเบาๆ

เขาชอบสัมผัสร่างกายของเด็กนี่ ทั้งๆที่ผ่านมาเขาไม่เคยชอบให้ใครเข้าใกล้เลย

“รถของชั้นน้ำมันหมดเอากลางทางระหว่างที่กำลังกลับมาที่นี่ เลยต้องเสียเวลาซ่อนมันเอาไว้ แล้วก็เดินฝ่าทะเลทรายกลับมา”   มันไม่ง่ายเลยจริงๆสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับแดดแรงๆอย่างเขา ยังดีที่เคยไปนอนกลางดินกินกลางทะเลทรายมาบ้างตอนที่หนีจากการตามล่าของเจ้าชายลำดับที่สาม เขาถึงพอจะเอาตัวรอดมาได้จนถึงตรงนี้ แล้วก็ยังดีที่รถของเขาไปน้ำมันหมดใกล้ๆกับโอเอซิสแห่งหนึ่งพอดี เขาจึงซ่อนมันไว้แถวนั้นได้ไม่ถึงกับลำบากมากนัก

“เราเป็นห่วงท่านมากเลย...ดีจริงๆที่ท่านปลอดภัยกลับมา”   เจ้าลูกหมาบอกกับเขาตรงๆ คิ้วที่ผูกกันเป็นโบว์กับขอบตาแดงๆจมูกแดงๆทำให้สองมือของเขายกขึ้นไปประคองใบหน้าใสอย่างตั้งใจจะปลอบโยน...เอเลนคงร้องไห้เพราะกังวลที่เขาไม่กลับมาเสียทีแน่ๆและเพราะรู้ว่ามันคงจะเป็นอย่างนี้ เขาถึงได้ตัดสินใจเดินฝ่าทะเลทรายท่ามกลางความมืดมิดกลับมาในคืนนี้เลย ไม่แวะพักหรือรอให้ถึงเช้าก่อน

ใบหน้าคมขยับเข้าใกล้ก่อนจะจูบลงไปบนแพขนตาหนายาวที่ปิดลงรับ จากนั้นจึงขยับจุมพิตที่ริมฝีปากสีระเรื่อแผ่วเบา แล้วเขาก็พูดในขณะที่หน้าผากยังจรดกัน นัยน์ตาสบสอดประสานอยู่แค่คืบ

“ชั้นทำงานของชั้นเสร็จแล้ว ก็ต้องกลับมาทวงสัญญาที่นายบอกว่าจะนอนกับชั้นเป็นการตอบแทนสิ”   แก้มใสแดงระเรื่อส่งไอร้อนผ่าวผ่านมาทันที ถึงนัยน์ตาสีมรกตคู่สวยจะสั่นน้อยๆแต่ก็ไม่ได้ถอยหนี มันไม่ได้เรียกว่าเตรียมใจแต่ต้องเรียกว่าเต็มใจที่จะให้เขาทวงสัญญามากกว่า

เขาขยับใบหน้าเข้าไปอย่างตั้งใจจะจัดการเจ้าชายตัวป่วนที่ยั่วยวนเขาอย่างไม่เคยรู้ตัว แต่พอนึกอะไรขึ้นได้ ร่างกายก็ชะงักงัน

“คุณรีไว?”   จนคนที่คล้องแขนไว้ที่ลำคอของเขาถึงกับต้องถอยออกมาถามที่เขาไม่ทำต่อ

“ไม่ไหว...ตัวชั้นเปื้อนไปหมดแบบนี้ใส่เข้าไปในตัวนายไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะไม่สบาย ถ้ายังไงขออาบน้ำก่อนก็แล้วกัน”   แล้วคราวนี้ใบหน้าภายใต้มงกุฎผ้านั่นก็ถึงกับแดงเถือก  แดงตั้งแต่ปลายคางไล่ขึ้นไปจนถึงไรผม แดงจนแทบจะระเบิดได้ไปกับคำพูดหน้าไม่อายของเขา ไหล่หนายักน้อยๆอย่างไม่ใส่ใจ ยังไงเขาก็ตรงๆแบบนี้เสมออยู่แล้ว













ขาทั้งสองคู่ก้าวลงไปในบ่ออาบน้ำขนาดใหญ่ทั้งๆที่ร่างกายท่อนบนยังกอดกันนัวเนีย ริมฝีปากบางเฉียบของนักขับมือหนึ่งแห่งทีมม้าลำพองยังคงประกบจูบอย่างดูดดื่มกับริมฝีปากนุ่มนิ่มสีแดง ทั้งบดเบียด ทั้งดูดดึง ทั้งขบกัดเบาๆ ทั้งหยอกเย้าด้วยปลายลิ้น ทั้งล่วงล้ำ ทั้งล่อลวง ทั้งๆที่บอกว่าจะขออาบน้ำก่อนแต่ดูเหมือนความร้อนในกายกลับเร่งเร้าให้เขาหิ้วเจ้าชายแห่งอียิปต์ติดมือมาด้วย

ปลายลิ้นยังคงพัวพันเล่นกันอยู่ในโพรงปากแต่ฝ่ามือทั้งของเขาและของเจ้าชายกลับช่วยกันปลดอาภรณ์ที่สวมใส่ราวกับไม่ทันใจทั้งๆที่มันไม่ได้มีมากมายจนรอไม่ได้

เขาโยนกระโปรงผ้าลินินของเอเลนขึ้นไปกองบนฝั่ง มือบางก็โยนกระโปรงผ้ามอมแมมของเขาขึ้นไปเช่นกัน เขาดึงมงกุฎผ้าออกจากเส้นผมสีน้ำตาลนุ่มลื่น มือบางก็ปลดเครื่องประดับคอของตนโยนตามไป ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามตวัดโอบรอบเอวบางแล้วลากเด็กนั่นให้เดินฝ่าน้ำตามมา

สายน้ำที่พวยพุ่งออกมาจากรูปปั้นที่ผนังถูกใช้แทนฝักบัวเมื่อพวกเขาขยับเข้าไปยืนจูบกันมัวเมาอยู่ใต้สายน้ำ ทั้งเส้นผม ทั้งใบหน้า ทั้งลำตัว ต่างชุ่มโชกไปด้วยหยดน้ำ แต่ความเย็นที่ได้รับกลับไม่อาจหยุดความร้อนรุ่มในร่างกายของเราทั้งคู่ได้เลย

มีแต่ต้องจูบกัน จูบกัน จูบกันเท่านั้นถึงจะดับกระหายนี้ได้

มีแต่ต้องกอดกัน กอดกัน กอดกันเท่านั้นถึงจะดับความต้องการที่ร้อนดั่งไฟนี้ได้

มีแต่ต้องลูบไล้ ลูบไล้ แล้วสอดใส่เข้าไปเท่านั้น ถึงจะดับความปรารถนาอันรุนแรงนี้ได้!

เขาตวัดลำตัวโปร่งบางของเจ้าชายแห่งอียิปต์ขึ้นไปนอนหงายอยู่บนขอบบ่อ สายน้ำที่ติดตัวไปแตกกระจายจนเปียกไปทั่วพื้นที่ ใบหน้าแดงระเรื่อเหลือบมามองเขาด้วยสายตาเว้าวอน เอเลนเองก็คงไม่ไหวแล้วเหมือนกัน...ดูจากแกนกายที่ชูชันอยู่ตรงหน้าเขา

มือข้างหนึ่งจับสองขาเรียวให้แยกออกจากกันก่อนจะสอดปลายนิ้วที่ชุ่มโชกไปด้วยหยดน้ำที่มีอยู่มากมายเข้าไป เจ้าชายแห่งอียิปต์ครางไม่เป็นภาษาทันที เขายืนมองภาพอันยั่วเย้าเหล่านั้นอยู่ในน้ำ ฝ่ามืออีกข้างโอบรอบความเป็นชายของตัวเองที่เริ่มขยายใหญ่ก่อนจะใช้สายน้ำทำความสะอาดมันช้าๆพลางทอดสายตามองปลายนิ้วที่ขยับเข้าออกช่องทางคับแน่นไปฝ่ามืออีกข้างก็ขยับรูดแกนกายของตัวเองไป ให้ความร้อนข้างในมันพุ่งพล่านจนถึงขีดสุด และเมื่อทนไม่ไหว...

“อ๊า~~! คุณรีไว!!!”   ร่างโปร่งผวามากอดคอเขาทันทีที่เขาสอดใส่ความเป็นชายที่ขยายตัวเต็มที่เข้าไป น้ำตาที่ปริ่มออกมาจากแพขนตายาวงอนนั่นระยิบระยับราวกับดวงดาวเลยจริงๆ เขาพรมจูบที่ขมับของเอเลนอย่างปลอบโยนก่อนที่เบื้องล่างจะขยับเข้าออกอย่างดิบเถื่อนตามแต่ใจเขา

ก็มันทนไม่ไหว จะให้ทำยังไงได้...

เด็กนี่อยากมีร่างกายน่าเสียบเข้าไปเองทำไม

“เอเลน...”  เขากระซิบเรียกอีกฝ่ายที่ใบหู คราวนี้เด็กนั่นไม่มีเวลาแม้แต่จะกลัว ริมฝีปากสีแดงร้องครางไม่หยุด ด้วยความเสียวซ่านที่เขามอบให้อย่างถึงใจ

น้ำในบ่อกระเพื่อมอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องนานหลายสิบนาที กว่าเขาจะถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ก็เล่นเอาเจ้าชายแห่งอียิปต์ครางจนไม่รู้จะครางยังไง ร่างโปร่งบางบิดเร่าก่อนจะกระตุกเฮือกใหญ่เมื่อเขายอมให้เด็กนั่นปลดปล่อยออกมาพร้อมๆกัน

มันเป็นเซ็กส์ที่สุดยอดมาก และเขามั่นใจว่าครั้งต่อไปมันจะต้องสุดยอดกว่านี้แน่ๆ

แทบจะทนรอไม่ไหว...

“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”   นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองคนที่นอนหอบหมดสภาพอยู่กับขอบบ่อ...จะให้ทำต่อเลยก็คงไม่ไหว เด็กนี่ได้ลุกไม่ขึ้นไปอีกสามสี่วันแน่ ครั้งแรกๆคงต้องค่อยเป็นค่อยไป แถมในยุคนี้ยังไม่มีตัวช่วยอย่างพวกเจลหล่อลื่นอะไรแบบนั้นเสียด้วย

ไม่นานนัยน์ตาสีมรกตก็ปิดลงอย่างอ่อนแรง มันจึงเป็นอีกครั้งที่เขาต้องอุ้มเจ้าชายเจ้าปัญหานี่กลับห้องนอนท่ามกลางสายตาดำทะมึนของยัยเด็กองครักษ์นั่น...




“ท่านไม่ควรจะทำให้เจ้าชายลุกไม่ขึ้นในช่วงนี้นะ เพราะว่าพวกขุนนางต่างตั้งใจจะยกเจ้าชายขึ้นเป็นฟาโรห์ของอาณาจักรอียิปต์และพิธีสถาปนาก็น่าจะจัดขึ้นในไม่ช้า...ถ้าเจ้าชายลุกไปเตรียมงานไม่ได้มันก็ไม่น่าจะดี”

เขานึกถึงคำพูดของมิคาสะในขณะที่ตามอารักษ์ขาจากหน้าห้องน้ำมาถึงหน้าห้องนอน รอยยิ้มบางๆที่หาได้ยากปรากฎขึ้นบนใบหน้าคมก่อนที่เขาจะหยิบผลไม้ที่วางอยู่ในถาดทองเหลืองขึ้นมากัดแล้วกลืนลงคอ ร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออันสวยงามเดินกลับไปที่เตียงซึ่งมีเจ้าชายแห่งอียิปต์นอนสลบไสลไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองร่างเปลือยเปล่าที่มีผ้าผืนบางพาดคลุมแค่สะโพกถึงต้นขา...ทั้งๆที่เขาไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนเต็มๆ แต่กลับไม่รู้สึกหิวอะไรมากไปกว่าร่างโปร่งบางตรงหน้าเลย

ผลไม้ในมือถูกกัดแล้วกลืนลงคอในขณะที่สายตาก็ยังไม่ละไปจากเรือนร่างของคนที่หลับสนิท เขาไม่รู้หรอกว่ารสชาติของผลไม้มันเป็นยังไงกันแน่รู้แต่ว่ามันอร่อยมาก...

เจ้าเด็กที่รสชาติดีเยี่ยมนี่กำลังจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ กำลังจะได้เป็นฟาโรห์คนต่อไปของอาณาจักรอียิปต์ที่แสนยิ่งใหญ่...

บอกตามตรงว่าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาจะทำสำเร็จ

เขานอนลงข้างๆคนที่ยังหลับปุ๋ย นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองใบหน้ามนด้วยแววตาอ่อนโยน...ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าคนอย่างเขาจะรักใครสักคนจนทำให้ได้ขนาดนี้

เขารักเด็กนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ...












พิธีสถาปนาฟาโรห์พระองค์ใหม่ของอาณาจักรอียิปต์ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะ

ถึงเจ้าชายเอเลน่าจะไม่ใช่นักรบที่แข็งแกร่งเท่าไรนักแต่ในด้านการปกครองก็น่าจะทำได้ดีเพราะประชาชนทั่วทั้งอาณาจักรต่างดีใจที่เจ้าชายพระองค์นี้ได้ขึ้นเป็นฟาโรห์ รอยยิ้มและการเฉลิมฉลองจึงเกิดขึ้นทั่วทุกหัวถนน


ตึกๆๆๆ


ใบหน้าคมของรีไวถึงกับอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงวิ่งตึงตังดังจากบันไดมาจนถึงหน้าห้องนอนของเขา เป็นถึงฟาโรห์แล้วแท้ๆแต่ยังจะวิ่งเป็นเด็กแบบนี้อีก

“คุณรีไว!”   นัยน์ตาสีขี้เถ้าละจากภาพงานเฉลิมฉลองที่มองอยู่จากบนระเบียงปราสาทหินทรายกลับไปมองฟาโรห์คนใหม่แห่งอาณาจักรอียิปต์...มงกุฎผ้าของเอเลนเปลี่ยนไปนิดหน่อย ตรงที่มีเครื่องประดับทองเหลืองทำเป็นรูปงูติดอยู่เหนือหน้าผาก

“ดูสิ เราได้เป็นฟาโรห์แล้ว! ขอบใจท่านมากนะที่ช่วยเรามาตลอด”   ฟาโรห์คนใหม่โผเข้ามากอดเขาเป็นเจ้าลูกหมาตามปกติ ทำให้เขาถึงกับหัวเราะในลำคอ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามโอบกอดเอวบางไว้หลวมๆ เขาไม่ได้ไปร่วมพิธีการที่น่าเบื่อพวกนั้นจึงได้แต่มองอยู่ไกลๆจากในปราสาทหลังเดิมหลังนี้

“พิธีเสร็จหมดแล้วเหรอ?”  เขาถามไปสั้นๆ เอเลนแว่บมาได้แบบนี้ก็น่าจะเสร็จหมดแล้ว?

“พิธีสถาปนาเสร็จหมดแล้วละ เหลือแค่ไปหุบเขากษัตริย์เพื่อบวงสรวงอดีตกษัตริย์ของอียิปต์ รวมทั้งไปรับมอบอัญมณีสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฟาโรห์มาจากเสด็จพ่อของเรา”  หุบเขากษัตริย์? ถ้าจำไม่ผิดที่นั่นคือที่ฝังพระศพของอดีตฟาโรห์ของอียิปต์โบราณยุคหลังๆแทบจะทุกพระองค์ พ่อของเด็กนี่ก็ถูกฝังไว้ที่นั่นด้วย

“ไปวันนี้เลย?” 

“ฮ่าๆๆ จริงๆต้องไปแล้วละ แต่เราอยากให้ท่านเห็นเราเป็นฟาโรห์ก่อนใครเลยรีบมาที่นี่ก่อน”   เจ้าเด็กนี่....เขาได้แต่มองใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่นอย่างละเหี่ยใจ ป่านนี้ข้าราชบริพารพวกนั้นไม่ตามหาตัวฟาโรห์จอมป่วนนี่ให้ควั่กแล้วเหรอเนี่ย?

“อื้อ~~  เราไปก่อนนะ!”   อ้อมแขนผอมบางกระชับกอดเขาแน่นพลางซุกหน้าลงมาถูไถก่อนจะละออกไป

“อื้ม”   เขาตอบรับเบาๆก่อนจะมองตามฟาโรห์แห่งอียิปต์คนใหม่นั่นไปจนลับสายตา...เจ้าลูกหมาเอ้ย...ก็ยังจะอุตส่าห์เป็นฟาโรห์กับเค้าได้นะ

เขาหันกลับไปทอดสายตามองงานเฉลิมฉลองในเมืองธีบส์ต่อ...มีเพียงเรื่องเดียวที่ค้างคาใจเขามาตลอดนับจากวันที่พวกขุนนางต่างลงนามยกเจ้าชายเอเลน่าขึ้นเป็นฟาโรห์อย่างเป็นทางการ นั่นก็คือ...ทำไมเอเลนถึงไม่มีชื่อในบันทึกตามประวัติศาสตร์ว่าเป็นฟาโรห์องค์สุดท้ายของอาณาจักรอียิปต์กันล่ะ?

ทั้งๆที่มีพิธีสถาปนาอย่างใหญ่โตขนาดนี้แล้ว ขึ้นเป็นฟาโรห์เต็มตัวแล้วแท้ๆ...แต่กลับไม่มีชื่อบันทึกไว้ ขนาดฟาโรห์องค์ก่อนๆตั้งแต่เมื่อ5000ปีที่แล้วยังมีชื่อในบันทึกเลย?

หรือหน้าประวัติศาสตร์มันกำลังจะเปลี่ยนไป? เพราะเขาช่วยให้อาณาจักรอียิปต์ยังมีฟาโรห์คนต่อไป?

ถ้าอย่างนั้น...การล่มสลายของอาณาจักรอียิปต์อาจจะไม่เกิดขึ้นแล้วก็ได้?















ภูเขาหินปูนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไนล์มองเห็นที่ฝังพระศพของอดีตฟาโรห์ร่วมร้อยเรียงรายสลับซับซ้อนไปตามเนินเขา

ฟาโรห์พระองค์ใหม่ทำพิธีบวงสรวงผู้รอคอยการกลับมาจากการเดินทางหลังความตายอันยาวนานเหล่านั้นด้วยความเคารพและเงียบสงบ พิธีการในขั้นตอนนี้มีเพียงนักบวชชั้นสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาช่วยจัดเตรียมเครื่องสักการะต่างๆ

การบวงสรวงอดีตฟาโรห์ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ร่างโปร่งที่อยู่ในกระโปรงผ้าลินินสีทองกับกลุ่มนักบวชสี่ห้าคนจึงเดินต่อไปยังหลุมศพของฟาโรห์คนก่อนผู้เป็นพ่อของเขานั่นเอง

ประตูหน้าสุสานถูกเปิดออกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถูกปิดตายภายหลังจากวันนี้ไป นั่นก็เพราะสิ่งสุดท้ายที่จะถูกส่งต่อกันสำหรับฟาโรห์แต่ละรุ่นนั้นเขากำลังจะรับมอบมันมาแล้ว

ฟาโรห์เอเลน่าเดินตามบันไดไม้ที่ถูกโอบล้อมด้วยช่องสี่เหลี่ยมขนาดพอดีตัวที่ถูกสกัดเข้าไปในภูเขาหิน บันไดนั้นทอดลึกลงไปเรื่อยๆ ผ่านห้องขนาดพอเหมาะที่ใช้เก็บรักษาสมบัติส่วนพระองค์ของฟาโรห์เจ้าของสุสานนี้ไปเรื่อยๆ ผนังทั้งสองฝั่งไม่ได้อับทึบราขึ้นแต่มันกลับถูกสลักเสลาเป็นภาพเขียนลงสีสันสวยงามเพื่อเล่าเรื่องเบื้องหลังความตายที่อดีตฟาโรห์องค์นี้ต้องไปพบเจอก่อนที่จะกลับมาในอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างในนี้พ่อของเขาเตรียมเอาไว้ให้ตัวเองก่อนที่จะตายนานแล้ว...ฟาโรห์ทุกคนต้องทำแบบนี้...มองหาที่ดีๆเพื่อสร้างสุสานไว้เก็บร่างกายของตนเอง...รอวันที่จะกลับมา

ทว่า เขาจะไม่ทำแบบนั้น...

เขาจะไม่ทำสุสาน ไม่ทำหลุมศพให้ตัวเอง เพราะเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีก

ฟาโรห์คนใหม่เดินไปจนสุดปลายทาง ห้องขนาดพอเหมาะคือห้องที่เขายืนอยู่ โลงศพของผู้เป็นพ่อตั้งอยู่ตรงหน้า เขาทำความเคารพท่านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่นักบวชสองคนที่ติดตามเขามาจะอัญเชิญกล่องสีทองกล่องหนึ่งออกมาจากใต้โลงศพให้

เขารับมันมาด้วยสายตาเลื่อนลอย....

อัญมณีสีแดงดั่งเลือดมองเห็นผ่านฝาคริสตัลที่เก็บรักษามันไว้...สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของฟาโรห์ที่จะมีเพียงฟาโรห์เท่านั้นที่ได้เห็นและได้ครอบครองมัน

ไม่เคยมีใครสามารถระบุได้ว่ามันเป็นอัญมณีอะไรกันแน่ เพชร พลอย หรือทับทิม แต่เขาเห็นแค่แว่บแรกเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่สิ่งของที่เกิดมาจากแร่ธาตุตามธรรมชาติ


แต่มันคือเลือด...


เป็นเลือดที่ตกผลึกจนดูคล้ายอัญมณี...และคงจะมีแต่ฟาโรห์เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้

“อึก...”   เขายกมือขึ้นมากุมขมับก่อนที่ร่างจะซวนเซไปเล็กน้อย พลังของมันนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เล่นเอาร่างกายของเขาปั่นป่วนไปหมด

“เราไม่เป็นไร...”   ริมฝีปากสีระเรื่อเอ่ยบอกนักบวชสองคนที่เข้ามาช่วยพยุงก่อนจะก้มลงไปมองอัญมณีสีแดงนั่นอีกครั้ง

ในที่สุดเขาก็ได้มันมาแล้ว...มันเป็นของเขาแล้วและเขาจะใช้มันได้โดยชอบธรรม

เขาเฝ้ารอคอยวันนี้มาตลอด...ความเป็นกษัตริย์ อำนาจของฟาโรห์ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย...สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น

ผลึกเลือดที่ตกทอดกันแต่ในหมู่ฟาโรห์...

และมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง...


รวมทั้ง...


มันยังเป็นสิ่งเดียว...ที่จะสามารถส่งคุณรีไวกลับไปยังโลกที่คุณรีไวจากมาได้อีกด้วย...









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


โปรดติดตามตอนต่อไป...





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น