Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 05 : END
: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction
: Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
: Warmhearted
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ครืด~~ ครืด~~
“อืม....” นัยน์ตาสีมรกตที่ปิดสนิทมาทั้งคืนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวน ร่างโปร่งบางพลิกตะแคงข้างก่อนจะพยายามซุกหน้าหนีเสียงนั่นกับหมอนใบใหญ่
ครืด~~ ครืด~~
แต่เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนมือบางตัดสินใจควานหามันทั้งๆที่ยังไม่ยอมลืมตา
“ฮัลโหล....” เสียงงัวเงียกรอกเข้าไปในโทรศัพท์ ปกติเขาก็ไม่ใช่คนขี้เซาหรือตื่นสาย แต่นี่มันน่าจะยังเช้ามืดอยู่ แล้วใครกันนะที่โทรมาเอาป่านนี้
“มินาโตะ นี่ฉันเอง” หื๋อ? เสียงชู? เขาจึงพยายามลืมตาขึ้นมาก่อนจะเห็นว่าที่หน้าจอมือถือมันขึ้นชื่อของชูจริงๆ แล้วก็เห็นด้วยว่านี่เพิ่งจะตีสี่กว่าๆเท่านั้นเอง
“ชู...มีอะไรเหรอ...?” เขาพยายามตั้งสติแต่ความง่วงงุนก็ยังถาโถมเข้ามาไม่หยุด
“วันนี้ว่างไหม? ช่วยหนีไปกับฉันที”
“หนี?”
“ใช่ หนีไปกับฉัน...” เท่านั้นแหละความง่วงแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เขาลืมตาโพลงก่อนจะลุกขึ้นมานั่งรวบรวมสติว่าสิ่งที่ได้ยินนั่นเขาไม่ได้ฝันไป?
“ห๋า? นายยังไม่ตื่นเหรอชู?” เขากรอกเสียงเข้าไปในโทรศัพท์ด้วยความตกใจ หนีเนี่ยนะ? จะให้หนีตามกันไปอะไรแบบนั้นเนี่ยนะ?
“ตื่นแล้วสิ แล้วก็ยืนอยู่หน้าบ้านมินาโตะแล้วด้วย เปิดประตูให้ที”
“ห๋า? เดี๋ยวก่อนนะ...” เขาพลิกกายก่อนจะรูดม่านหน้าต่างออกแล้วชะโงกหน้ามองลงไป ร่างสูงสง่ายืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านของเขาจริงๆด้วย
“รอเดี๋ยวนะ” เขารีบเด้งลงจากเตียง แค่ออกมาจากผ้าห่มความหนาวเย็นก็เล่นงานทันที แล้วชูที่ยืนอยู่ข้างนอกนั่นไม่แข็งตายไปแล้วเหรอเนี่ย~
มือบางหยิบเสื้อกันหนาวก่อนจะสวมไปวิ่งลงบันไดไป ร่างโปร่งสไลด์ตัวหาประตูไม้หน้าบ้านก่อนจะเปิดมันออกโดยไว และแค่เหยียบพื้นกระเบื้องตรงที่ใส่รองเท้าเขาก็แทบโดดเหยงๆจากความเย็นเฉียบนั้น แต่ชูกลับยืนยิ้มให้เขาอย่างไม่รู้สึกถึงความหนาว ร่างสูงสวมเสื้อกันหนาวสีดำเพียงตัวเดียวเท่านั้น
“มินาโตะ...” ในขณะที่เอ่ยชื่อเขาไอสีขาวก็ลอยออกมาจากปาก เขารีบคว้ามือของชูก่อนจะลากเข้าบ้าน หนาวขนาดนี้เกิดบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ย?
เขากดไหล่ชูให้นั่งลงหน้าฮีทเตอร์ในห้องของเขา ปลายเดือนธันวาถึงจะไม่ใช่ช่วงที่หนาวที่สุดแต่มันก็หนาวใช่ไหมล่ะ?
จากนั้นเขาจึงนั่งทับส้นลงตรงหน้าก่อนจะเริ่มทำการคาดคั้น
“ตกลงจะหนีอะไร แล้วหนีทำไม?” ชูมองเขาด้วยใบหน้านิ่งก่อนจะควักเอาโปสเตอร์ใบหนึ่งออกมา
“ที่บ้านฉัน...จะจัดงานเลี้ยงประจำปี...แต่ฉันอยากไปดูนี่มากกว่า...ฉันเลยอยากชวนมินาโตะหนีไปด้วยกัน” เขาหยิบโปสเตอร์ใบนั้นขึ้นมาดู มันเป็นงานแข่งยิงธนูฤดูหนาวของเด็กมหาวิทยาลัย...อ๋อ...ที่แท้ก็จะชวนเขาไปดูแข่งยิงธนู แต่ดันพูดซะให้เข้าใจผิดไปหมด หมอนี่ควรจะไปเรียนวิชาการสื่อสารกับโลกภายนอกเสียบ้างนะ แน่นอนว่าเขาเองก็ควรจะไปเรียนด้วย
“ตกใจหมด...คิดว่าจะให้ฉันหนีตามนายไปซะอีก” เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อยากทำไหม? หนีไปอยู่ด้วยกันสองคน” แต่ชูกลับพูดขึ้นมาด้วยใบหน้านิ่ง เขาจึงตอบกลับไปด้วยใบหน้าหน่ายๆ
“ทำได้ซะที่ไหนเล่า” เขายังมีพ่อที่ต้องดูแลและเขาก็เชื่อว่าไม่มีปัญหาไหนที่แก้ไม่ได้ เขาเคยคิดจะหนีไปจากธนู แต่พอได้ลองกลับมาแก้ไขมันดูเขาจึงรู้ว่ามันดีแค่ไหนที่เขาไม่หนีมันไป
“ฉันก็ไม่ทำเหมือนกัน เพราะการหนีไปแบบนั้นจะทำให้มินาโตะลำบาก มินาโตะอยู่กับฉันจะต้องไม่ลำบาก” ชูพูดออกมาด้วยใบหน้านิ่งตามสไตล์แต่เขาฟังแล้วไหงหน้าถึงได้ค่อยๆร้อนขึ้นๆก็ไม่รู้
“....ตอนนี้ก็ไม่ได้ลำบากอะไร” รู้สึกเขินจนไม่กล้าสบสายตาที่มองตรงมานั่นเลยแหะ
“ตกลงไปกับฉันนะมินาโตะ...ฉันออกค่าเดินทางเอง เท่านี้น่าจะพอ” ชูแบกระเป๋าตังค์ให้เขาดู ในนั้นมีแบงค์หมื่นเยนอยู่ 10 ใบ บัตรเครดิต 4 กับบัตรเอทีเอ็มอีก 3 .....ไปได้ถึงฮอกไกโดแล้วเนี่ย เด็กม.ปลายควรจะพกเงินขนาดนี้เลยเหรอ…
“เอาเถอะ ไปก็ได้ ยังไงก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ว่าแต่ที่บ้านนายจะไม่ว่าอะไรเหรอ แอบหนีงานเลี้ยงไปแบบนี้?” น่าจะมีคนมีชื่อเสียงถูกเชิญมางานอยู่ไม่ใช่น้อยไม่ใช่หรือไง? แล้วลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไม่อยู่แบบนี้จะดีเหรอ?
“ช่างเถอะ ยังไงก็จัดทุกปี” ชูพูดอย่างไม่ใส่ใจ ปกติแล้วชูจะทำตามกฎระเบียบของที่บ้านอย่างเคร่งครัดเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ชูก็ไม่ใช่คนหัวโบราณและไม่ใช่พวกต่อต้านแบบโง่ๆ แต่ชูจะไหลไปตามน้ำทำตามที่บ้านบอกเพียงแต่จะหาข้อโต้แย้งชี้แจงอย่างเหนือกว่าถ้าเจอเรื่องที่ไม่อยากทำหรือไม่ชอบ สรุปก็คือหมอนี่ไม่ใช่คนดีอย่างที่เห็นหรอก ไม่ใช่เจ้าชายหัวอ่อนที่ว่านอนสอนง่ายด้วย
“มินาโตะเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ เราจะไปกันเลย” ชูเร่งเขาจนเขาต้องหันไปมองนอกหน้าต่างที่ยังมืดสนิทอีกที
“ตอนนี้เนี่ยนะ?”
“อืม ตอนนี้แหละ” ใบหน้านิ่งยังคงยืนยันความคิดเดิม เขาจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นทำตามที่อีกฝ่ายบอก ชูไม่เหมือนเซยะก็ตรงนี้แหละ ไม่ได้ตามใจเขาไปซะทุกเรื่อง เรื่องไหนที่ตัวเองต้องการก็จะนำเขาโดยไม่ถามไถ่ เรื่องไหนปล่อยได้ถึงจะตามใจเขา
มือบางเปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะหยิบเสื้อกับกางเกงออกมา ปกติเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนี่แหละ แต่จากสายตาที่จ้องเขม็งอยู่ข้างหลังนี่มันทำเอาขนลุกจนต้องรีบออกไปเปลี่ยนในห้องน้ำ...ไม่ได้ๆ ถ้าเขาไม่ระวังเขาอาจจะถูก “ตัวชู” นั่นกัดเอาอีกก็ได้
เขาหยิบเสื้อโค้ทกับผ้าพันคอออกมาใส่ให้ตัวเอง ก่อนจะเหล่มองชู มือหยิบผ้าพันคอออกมาจากตู้อีกผืนอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเอาไปพันรอบคอให้อีกฝ่าย ชูค่อมหัวให้เขาพันผ้าพันคอให้แต่โดยดีเพราะชูสูงกว่าเขาพอสมควร ดวงตาสีม่วงทอดมองตามมือของเขาจนรู้สึกเขิน
“ยังไงก็เถอะ นายจะออกมาเดินข้างนอกด้วยเสื้อกันหนาวตัวเดียวแบบนี้ไม่ได้นะชู” เขาสอดปลายผ้ากลับเข้าไปก่อนจะปล่อยชายมันไว้ข้างหลัง มือบางจับๆผ้าพันคอไม่ให้แน่นเกินไปก่อนจะมองผ้าผืนนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน
“อุ่น...” ชูซุกหน้าเข้าไปในผ้าพันคอ
“หอมดี...กลิ่นของมินาโตะ” เขาชะงักไปกับคำพูด น้ำเสียง และท่าทางของชู มันทั้งน่าอายแต่ก็อบอุ่นละมุนละไมมาก ใบหน้ามนต้องเสหลบเพราะตอนนี้สองแก้มมันน่าจะแดงจนรู้สึกอายที่จะปล่อยให้ชูได้เห็น
“ปะ ไปกันได้แล้ว...” เขาพูดงึมงำก่อนจะเดินนำออกไป
ตอนนี้เขากับชูกำลังยืนอยู่หน้าสถานีรถไฟที่เวิ้งว้างว่างเปล่า...มันอาจจะเช้าไปที่รถไฟจะวิ่งก็ได้ แต่ดูจากละอองหิมะที่โปรยปรายแล้วดีไม่ดีวันนี้รถไฟเที่ยวแรกอาจจะดีเลย์
“ไปรถเมล์ไหม?” เขาหันไปมองป้ายรถเมล์ที่อยู่หน้าสถานี มีรถเมล์ที่น่าจะไปถึงเมืองข้างๆได้จอดอยู่พอดี คนขับรถกำลังพยายามเช็ดไอน้ำออกจากกระจก
“อืม” ชูตอบตกลงโดยไม่ได้ใช้เวลาคิดนาน พวกเขาก้าวเข้าไปในรถซึ่งมีคนนั่งอยู่ไม่กี่คน ในนี้อุ่นกว่าข้างนอกเยอะเลย
พวกเขาเลือกนั่งเบาะคู่โดยชูให้เขานั่งริมหน้าต่าง ไม่นานรถก็ค่อยๆเคลื่อนออกจากสถานี...จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขากับชูเดินทางไกลด้วยกันสองต่อสอง ก่อนหน้านี้ก็มีไปแข่งต่างเมืองต่างจังหวัดบ้างหรือไม่ก็ไปทัศนศึกษา แต่ว่าทุกครั้งก็จะมีเซยะอยู่ด้วยเสมอ...ไปด้วยกันตามลำพังนี่คือครั้งแรก…
“มินาโตะ” ชูเรียกเขาพร้อมกับแบมือยื่นมาข้างหน้า เขามองมือข้างนั้นอย่างสงสัยก่อนจะเข้าใจในที่สุด...เขาจึงวางมือของเขาประกบลงไป...ไออุ่นที่สัมผัสได้มาพร้อมๆกับปลายนิ้วของชูที่ค่อยๆสอดประสานเข้ากับนิ้วของเขา
ชูขยับตัวพิงเบาะเหมือนคนจะนอน เข่ายาวๆนั่นยื่นไปชิดเบาะข้างหน้าพร้อมกับกักขังเขาไว้ข้างในนี้ หัวสีน้ำตาลเอนมาซบกับไหล่ของเขา เส้นผมยาวคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอและแก้มของเขาจนรู้สึกจักจี้
“ร่างกายของมินาโตะ...มักจะอุ่นในเวลาที่หนาว แล้วก็มักจะเย็นในเวลาที่ร้อน” เสียงทุ้มพูดออกมาเบาๆก่อนจะหลับตาลง เขาทอดสายตามองคนที่หลับไปแล้วพลางอมยิ้ม ที่เขาอุ่น...ก็เพราะมีชูอยู่ข้างๆนี่ไง...ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแค่มีชูอยู่ใกล้ๆ...แม้แต่ในรถที่วิ่งฝ่าหิมะหนาวเย็น พื้นที่ระหว่างเบาะสองเบาะตรงนี้ก็ยังอบอุ่นได้
“มินาโตะ...” เสียงที่คุ้นเคยทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทเริ่มขยุกขยิกเล็กน้อย
“มินาโตะ ตื่นเถอะ ถึงแล้ว” ฝ่ามือที่บีบมือเขาเบาๆทำให้เขาพยายามฝ่าความง่วงออกมาจากนิทราจนได้
“ชู?...ถึงแล้วเหรอ...” นัยน์ตาสีมรกตหรี่ปรือมองใบหน้าหมดจดที่ชะโงกมองเขาอย่างสำรวจตรวจตรา เขาดึงฝ่ามือของตัวเองออกจากมือชูช้าๆก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจ ไม่น่าเชื่อว่าการหลับบนรถจะรู้สึกสบายขนาดนี้ เขากวาดตามองรอบกาย ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว คนคงจะลงไปกันหมด
“รู้สึกว่าเราจะหลับอยู่บนนี้มาชั่วโมงกว่าแล้วนะ หลังจากที่รถเข้ามาจอดในท่ารถนี่น่ะ ลุงคนขับบอกว่าคนอื่นๆลงระหว่างทางกันหมดแล้วรถที่จะต่อไปสนามแข่งก็ยังไม่วิ่ง เลยปล่อยเรานอนไปก่อน เพิ่งมาปลุกเมื่อกี้นี้เอง”
“งั้นเหรอ....ไปกันเลยไหม...” เขายังงัวเงียมองชูพยักหน้า
พวกเขาเปลี่ยนมาขึ้นรถเมล์สายสั้นๆที่วิ่งอีกไม่กี่ป้ายก็ถึงสนามแข่งยิงธนูซึ่งเป็นเป้าหมาย เขากับชูลงที่ป้ายชื่อเดียวกับสนามแข่งแล้วก้าวเดินไปตามถนนสองเลนส์เส้นเล็กๆที่ทอดยาวขึ้นเนิน บรรยากาศของฤดูหนาวทำให้สองข้างทางดูเงียบเหงาแต่สำหรับพวกเขาแล้วความเงียบงันที่มีเพียงเราเดินไปด้วยกันนั้นมันกลับโรแมนติก
กลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาจากที่ไหนสักแห่งทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าเรายังไม่ได้กินข้าวเช้าและไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อคืน เขาบอกให้ชูนั่งรอเขาอยู่ใต้ต้นโมมิจิที่เหลือแต่กิ่งสีเข้มก่อนจะวิ่งข้ามถนนไป ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษสีขาว เบอร์เกอร์อุ่นๆของร้านอาหารเช้าท้องถิ่นถูกยื่นไปให้ชูก่อนที่เขาจะนั่งลงเคียงข้างแล้วกินเบอร์เกอร์ของตัวเอง ไอร้อนที่ลอยออกมาจากขนมปังทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ก็ไม่ได้หิวแต่กลับรู้สึกว่าอาหารเช้ามื้อนี้ช่างอร่อยจนอดที่จะกินไปยิ้มไปไม่ได้ เขาหันไปมองหน้าชู ชูก็มองหน้าเขา พวกเราหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน ปลายนิ้วของเขาจิ้มที่มุมปากของชูส่วนปลายนิ้วของชูก็จิ้มมาที่ปลายจมูกของเขา พวกเราต่างมีซอสเลอะอยู่บนใบหน้าและต่างเช็ดให้กันและกัน เขารู้ว่าชูไม่น่าจะอิ่มถ้ากินเบอร์เกอร์แค่อันเดียวแต่เขาก็รู้ว่าเขาคงอิ่มถึงจะกินเบอร์เกอร์แค่ครึ่งอัน เพราะงั้นตอนนี้ชูถึงได้กำลังงับเบอร์เกอร์ที่อยู่ในมือของเขา
ขาทั้งสองคู่ก้าวเดินต่อไปเมื่อถุงใส่กระดาษห่อเบอร์เกอร์ถูกทิ้งลงในถังขยะ การแข่งขันคงจะเริ่มไปแล้วเพราะเมื่อพวกเขาไปถึงสนามแข่ง ข้างนอกก็แทบไม่มีคนเหลืออยู่
ที่เขามาดูนี้เป็นการแข่งขันยิงธนูของระดับมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้แข่งในโรงฝึกธนูแต่แข่งในอินดอร์สเตเดี้ยม ชั้นล่างซึ่งถูกแปลงเป็นสนามแข่งจะอนุญาตให้เข้าไปเฉพาะทีมแข่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขากับชูจึงเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองซึ่งเป็นชั้นลอยอัฒจรรย์ล้อมรอบลานแข่งด้านล่าง เสียงยิงธนูที่คุ้นเคยทำให้จิตใจรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด เขาคงจะรักมันจริงๆ
และสิ่งหนึ่งที่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาก็คือสายตาที่ต่างจับจ้องมองมาที่เขาและชู...ก็ไม่น่าแปลกที่ใครๆในที่นี้จะรู้จักเจ้าชายแห่งคิริซากิ เพราะชูเองก็ถูกจับตามองมาตั้งแต่สมัยม.ต้นแล้ว
พวกเขาเลือกนั่งแถวกลางๆอย่างพยายามทำตัวให้กลืนไปกับฝูงชน ดูเหมือนตอนนี้ข้างล่างจะกำลังแข่งขันประเภททีม 5 คนกันอยู่ ทั้งสองทีมเริ่มยิงพร้อมๆกัน การแข่งขันระดับมัธยมกับมหาวิทยาลัยไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เน้นที่การยิงเข้าเป้ามากกว่าท่าทางที่สวยงาม เขากับชูนั่งดูเงียบๆ เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชูสนใจอะไรในการแข่งครั้งนี้ถึงได้ชวนเขาหนีมาดู ชูอาจจะกำลังมองหามหาวิทยาลัยที่จะไปเรียนในอนาคตอยู่ก็ได้
“ครั้งหน้า ถ้าได้อยู่ที่เดียวกันก็คงจะดี” เขาพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ถึงตอนนี้เขาจะไม่เสียใจที่ย้ายมาอยู่คาเซไม แต่เขาก็เสียดายที่ไม่ได้ยิงธนูอยู่ข้างๆชู
“.......” ชูเอื้อมมือมาจับมือของเขาไว้ ใบหน้าได้รูปเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่รู้จะพูดออกมายังไง
“.....ฉันน่ะ...เพิ่งเคยรู้จักกับความรู้สึกอิจฉาเป็นครั้งแรก...ก็ตอนที่มินาโตะย้ายจากคิริซากิไป...” เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาเบาๆนั้นมันทำให้เขาต้องตั้งใจฟัง ไม่ใช่เพราะไม่ได้ยินแต่เรื่องที่ชูพูดต่างหากที่เหนือความคาดหมายของเขา
“ฉันอิจฉาเซยะ...ที่หมอนั่นสามารถทำตามแต่ใจ ย้ายตามนายไปได้” ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เขาเคยชะงักค้างมาแล้วตอนที่รู้ว่าสาเหตุที่เซยะย้ายโรงเรียนเป็นเพราะตามเขามา...แต่พอมาได้ยินชูพุดแบบนี้อีกคนมันทำให้เขาตะลึงยิ่งกว่า
“ฉันต้องสอบเข้ารัฐศาสตร์การเมืองและการปกครองที่โฮเซย์...มินาโตะ...ตามฉันมาได้ไหม” ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือว่ายังไง แต่น้ำเสียงของชูนั้นฟังดูเว้าวอนจนน่าสงสาร เขาจึงบีบมือที่จับมือเขาอยู่กลับไปเบาๆ
“อื้ม” เขาก็ไม่รู้ว่าสัญญาที่ให้กันไว้ในวันนี้มันจะเป็นจริงได้ไหม แต่เขาก็จะพยายามรักษามันไว้เท่าที่เขาจะทำได้ เขาหันกลับไปมองสองทีมที่กำลังแข่งกันอยู่ในสนาม...ถ้าได้ใส่ฮากามะสีกรมท่ากับเสื้อสีส้มนั่นพร้อมๆกับชูก็คงจะดี
ทั้งๆที่รู้ดีว่าฤดูหนาวมันมืดไว้และพวกเขาก็กลับทันทีที่การแข่งขันจบไม่ได้ไปเอ้อระเหยลอยชายที่ไหน แต่จนแล้วจนรอดเขากับชูก็ยังติดแหง่กอยู่ที่เมืองนี้ไม่สามารถกลับบ้านได้
สองมือยกขึ้นถูกันไปมาอยู่หน้าฮีทเตอร์เก่าๆในห้องพักคอยของสถานีรถเมล์ เสียงเปิดประตูพร้อมกับเงาร่างของคนที่วิ่งเข้ามาทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างมีความหวัง แต่ชูก็ยังคงส่ายหน้าเหมือนเดิม
หิมะตกหนักเมื่อตอนบ่าย รถที่วิ่งระหว่างเมืองจึงวิ่งไม่ได้ รถไฟก็เหมือนกัน...นั่นคือสิ่งที่นายสถานีบอกกับพวกเขาตั้งแต่มาถึงจนถึงตอนนี้ เขามองออกไปข้างนอกอย่างเริ่มกังวลใจ ท้องฟ้ามืดสนิทไปนานแล้วและเข็มนาฬิกาก็เดินมาจนถึงหนึ่งทุ่ม ในห้องพักคอยเองก็ไม่มีใครเหลือแล้วนอกจากพวกเขาสองคน
“มินาโตะ ขอโทษนะ...แต่คืนนี้คงต้องค้างที่นี่แล้วละ” เขาหันไปมองหน้าชูก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ขอโทษทำไมล่ะ หิมะตกหนักมันก็ช่วยไม่ได้นี่นา” ชูพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้น
“ไปกันเถอะ หาที่นอนสำหรับคืนนี้กัน” ชูยื่นมือมาให้เขาจับไว้ก่อนจะลุกแล้วออกเดินไปด้วยกัน อย่าว่าแต่ระหว่างทางเลย ในเมืองนี้เองก็หิมะตกหนาแล้วเหมือนกัน บนถนนไม่มีรถวิ่งเลยสักคัน ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟกระพริบชวนให้นึกถึงเมืองร้างและหนังสยองขวัญ นี่ถ้าเขาต้องมาเดินอยู่คนเดียวคงร้องไห้ไปแล้ว ยังดี...ที่มีมือข้างนี้จับมือของเขาเอาไว้อยู่…
“อื้อ...อยู่กับชู ไม่ต้องห่วงนะ...อื้อ...ครับ” เขาถอดเสื้อโค้ทไปคุยโทรศัพท์กับพ่อไป ตอนนี้เขาได้ที่นอนแล้ว เป็นโรงแรมเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีเท่าไหร่
“มินาโตะ เดี๋ยวฉันจะลงไปร้านสะดวกซื้อหน้าโรงแรม มินาโตะจะเอาอะไรไหม?” ชูโผล่หน้ามาถามเขาในขณะที่เขาเพิ่งจะแขวนเสื้อโค้ทเสร็จ
“หื๋อ? อ้าว? เอ่อถ้างั้นเดี๋ยวฉันออกไปด้วย ลืมเลยว่ายังไม่ได้ซื้อข้าวเย็น” แต่ยังไม่ทันจะหยิบเสื้อโค้ทมาสวม โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีก คราวนี้สายจากเซยะ
“เดี๋ยวฉันซื้อมาให้แล้วกัน เซยะโทรมา ท่าจะบ่นยาว” ชูบอกเขาก่อนจะก้าวขาออกไปจากห้อง
“เอ๋ เอ่อ...” จะห้ามก็ห้ามไม่ทัน แต่ก็จริงอย่างที่ชูว่า ถ้าเซยะโทรมาตอนนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องบ่นเขาที่ไปไหนไม่บอกแถมไม่วางแผนการเดินทางให้ดีอีกต่างหาก เขาขมวดคิ้วมองโทรศัพท์ตัวเองอย่างชั่งใจแล้วหลับหูหลับตากดรับไป
แล้วกว่าจะได้วางสาย...ชูก็กลับมาพอดี...
ยังดีที่ที่โรงแรมมีชุดยูกาตะให้เปลี่ยน คืนนี้เขาเลยไม่ต้องนอนทั้งชุดเดิม แต่หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เขาก็ชักอยากจะใส่ชุดเดิมให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
เขาเดินเช็ดหน้าออกมาจากห้องน้ำและเมื่อลดผ้าขนหนูลงถึงได้เห็นว่าชูปูฟูกให้เสร็จแล้ว แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า แทนที่ชูจะปูฟูกสองอัน มันกลับมีแค่อันเดียว
“ยังไงก็นอนด้วยกันอยู่แล้ว ก็เลยปูแค่อันเดียว” ชูอธิบายหลังจากเห็นเขาเหยียดตามองฟูกนั่น
เขาถอนหายใจก่อนจะเดินไปนั่งลงบนฟูกแต่โดยดี เอาเถอะ ยังไงเรื่องพวกนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับพวกเขา
“มินาโตะ...จะนอนแล้วเหรอ? อยู่คุยกับฉันก่อนได้ไหม?” ชูถามในขณะที่เขาล้มตัวลงนอน เขาขยับเข้าไปซุกแผงอกอุ่นๆของชูเอาไว้ นอนฟูกเดียวกันก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยคืนนี้เขาก็มีฮีทเตอร์ส่วนตัว
“อื้ม มีอะไรเหรอ...” เขาตอบชูไปทั้งๆที่ตาใกล้จะปิดมิปิดแหล่ ตรงนี้มันอุ่นสบายดีจริงๆ
“มินาโตะ...อย่าเพิ่งหลับสิ ตื่นก่อน” เสียงชูฟังดูล่องลอยไปไกล...และเมื่อชูรู้ว่าคงไม่ได้ผลแล้วที่จะรั้งสติเขาไว้ด้วยเสียง ริมฝีปากร้อนจึงขยับเข้ามาหา...ก่อนจะปลุกเขาด้วยลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาทางริมฝีปากของเขา
“อื้ม~” จากที่กำลังเคลิ้มๆจะหลับแหล่มิหลับแหล่กลับตื่นเต็มตาขึ้นมาอีกครั้ง ปลายลิ้นที่ลากไล้อยู่ในโพรงปากทำเอาลมหายใจที่ใกล้จะสม่ำเสมอกลับแปรปรวนขึ้นมาอีกหน ชูพลิกกายขึ้นมาทาบทับเขาไว้ จูบที่หวานละไมถูกมอบให้ครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็แค่แตะริมฝีปากแล้วละออกไป บ้างก็ใช้ลิ้นไล้เลียกลีบปากของเขาอย่างเชื่องช้า บ้างก็สอดลิ้นเข้ามาเพื่อสัมผัสกับลิ้นของเขาแล้วละออกไป บ้างก็สอดลิ้นเข้ามากวาดต้อนไปทั่วก่อนจะไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขาอย่างเร่าร้อน ทั้งอ่อนโยนทั้งรุนแรง...ซ้ำไปซ้ำมา...
“ชู...” กว่าเขาจะได้มีโอกาสครางชื่ออีกฝ่ายออกไป ที่ริมฝีปากก็เต้นตุบๆ สัมผัสที่คอทำให้นัยน์ตาสีมรกตปิดลงอย่างเคลิบเคลิ้ม ใบหน้าเงยขึ้นด้วยความเผลอไผลให้ชูซุกไซร้มันได้ถนัด ชูมักจะพรมจูบแผ่วเบาไปทั่ว ถึงบุคลิกของชูจะดูเป็นพวกชอบกดดัน เย็นชา ไม่สนใจว่าจะทำให้ใครเจ็บปวด แต่ชูก็ไม่เคยทำร้ายเขา โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ ชูจะไม่ใช้ความรุนแรงกับเขาแต่จะถนอมเขาจนแม้แต่ตัวเขายังรู้สึกได้
“อ๊ะ...” สองแขนเผลอกอดหัวสีน้ำตาลเมื่อต้นขาของชูกดลงมาเสียดสีกับแกนกลางลำตัวของเขาอย่างตั้งใจ ยิ่งอยู่ในยูกาตะที่ผ้าบางกว่ากางเกงทั่วไปยิ่งไวต่อความรู้สึก เขาถึงกับกัดริมฝีปาก คิ้วสองข้างก็ขมวดเข้าหากัน เพราะรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นร่างกายจึงร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ้า~” เสียงครางน่าอายถูกเปล่งออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาทนไม่ไหวเมื่อจู่ๆชูก็กดริมฝีปากลงบนยอดอก ชูจูบมันเบาๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่ยิ่งทำแบบนี้เขายิ่งบิดเร่า ส่วนสะโพกเผลอแอ่นขึ้นมาและนั่นมันก็ทำให้แกนกลางร่างกายขยับเข้าหาต้นขาของชูมากขึ้น ชูแหวกสาบเสื้อยูกาตะของเขาจนพ้นไหล่แต่ก็ไม่ได้ปลดโอบิออก ตอนนี้เสื้อผ้าเขาถึงได้มีสภาพหลุดๆรุ่ยๆ
จุ๊บ...เสียงดังขึ้นเบาๆกับยอดอกอีกข้างของเขาเมื่อชูย้ายไปโลมเล้ามัน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่พรมจูบเหมือนก่อนหน้า ชูแตะปลายลิ้นลงไปจนมันตั้งชูชัน สองมือของเขาสางปลายนิ้วลงไปในเส้นผมสีน้ำตาลอย่างทนไม่ไหวกับความรัญจวนในที่ชูมอบให้ และป่านนี้ต้นขาของชูก็คงรับรู้ถึงแกนกลางร่างกายที่ขยายตัวของเขาไปแล้ว...น่าอายชะมัด แต่เขาทำอะไรกับร่างกายของตัวเองในเวลาแบบนี้ไม่ได้เลย มันไม่เคยเชื่อฟังเขา แต่กลับคล้อยตามฝ่ามือของชูอย่างง่ายดาย
“อื้อ~~” ชูสอดฝ่ามือเข้ามาในยูกาตะของเขาก่อนจะเค้นคลึงเบื้องล่างผ่านกางเกงชั้นใน ฝ่าเท้าของเขาจำต้องจิกลงฟูกอย่างอยู่ไม่สุข มันอึดอัด มันทรมาน เขาต้องการ...ต้องการที่จะปลดปล่อยมัน
น้ำตารื้นขึ้นมาก่อนจะปริ่มอยู่ที่หางตาด้วยความปรารถนา เขาช้อนสายตามองชูด้วยลมหายใจที่สับสน สองมือที่สั่นระริกประคองใบหน้าของชูขึ้นมาก่อนจะขอร้องอีกฝ่ายด้วยปลายลิ้นที่สอดเข้าไปในโพรงปากของชู ท่อนแขนโอบกระหวัดรอบแผ่นหลังหนาอย่างอ่อนโยนทั้งๆที่เรียวลิ้นแลกรับสับเปลี่ยนกันอย่างเร่าร้อน ฝ่ามือของชูยอมดึงกางเกงชั้นในของเขาออกให้ ความอึดอัดถึงได้คลายลงได้บ้างแต่กระนั้นมันก็ยังไม่พอ
ฝ่ามือร้อนลูบไล้ไปตามสะโพกจรดต้นขาอย่างนุ่มนวลแล้วแยกมันออกจากกันช้าๆ แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ชูกระทำในขณะที่ยังจูบเขาอยู่
ชูหยุดฝ่ามือไว้ที่สีข้างของเขาก่อนจะลูบไล้รอยแผลเป็นที่น่ากลัวนั่นราวกับอยากจะลบเลือนมันออกไปจากร่างกายของเขา ชูพร่ำบอกเขาอยู่เสมอว่าชูเกลียดมันเพราะมันเกือบจะพรากเขาไปจากชู แต่ชูไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่ชูสัมผัสมันมันทำให้เขารู้สึกดี มือของชูที่แตะลงบนรอยแผลนี้มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงความรัก
เสียงเปิดฝาหลอดอะไรบางอย่างแว่วเข้ามาในหูทำให้เขาปรือตาไปดู...นั่นมัน...เจลหล่อลื่น? ไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือจะเมื่อกี้ที่ลงไปร้านสะดวกซื้อ? เขายู่หน้าใส่ชูไปทีนึง ชูอาจจะพกเจลหล่อลื่นไปไหนมาไหนแต่กลับไม่พกถุงยาง ประหลาดคนไหมล่ะ?
เขาถึงได้บอกไง ว่าชูถนอมเขาจนเขารู้สึกได้
ความเย็นที่แตะลงบนปากทางด้านล่างทำให้เขาสะดุ้ง ชูกดจูบซุกไซร้มาที่ซอกคออย่างปลอบโยน ปลายนิ้วที่ชโลมไว้ด้วยเจลค่อยๆสอดแทรกเข้ามาช้าๆ เขายอมรับว่าชูใจเย็นจนน่ากลัว สมแล้วที่จะยิงธนูได้ขนาดนั้น ขนาดตอนมีอะไรกันชูก็ยังไม่วอกแว่ก
ปลายนิ้วที่รุกล้ำเข้ามาทำให้เขาขยับสะโพกหนีตามสัญชาตญาณ ชูจึงใช้มืออีกข้างจับมันเอาไว้ ปลายนิ้วของชูไม่ได้ฝืนใส่เข้ามารวดเดียวแต่กลับค่อยๆเค้นคลึงเปิดขยายช่องทางให้กว้างขึ้นช้าๆ มันนุ่มนวลจนเขาเผลอไผลไปกับมัน สัมผัสพวกนั้นกำลังปลุกปั่นไฟปรารถนาให้ลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ นิ้วที่สองค่อยๆสอดใส่เข้ามาพร้อมกับเจลหล่อลื่น ถึงเขาจะมองไม่เห็นแต่ร่างกายของเขาที่โอบกอดนิ้วทั้งสองนั้นอยู่ก็รู้ดีทุกอย่าง เช่นเดียวกับที่มันจดจำรูปร่างและขนาดของชูได้ มันจึงค่อยๆอ่อนนุ่มและขยายให้จนพอ
“มินาโตะ...พร้อมไหม?” เสียงของชูสั่นพร่า เขาจึงพยักหน้ารับเบาๆ
นิ้วทั้งสองถูกถอนออกไป ความเป็นชายที่แตะลงมาแทนที่ร้อนระอุจนเขาเผลอคราง ชูกดใบหน้าลงมาซุกไซร้ซอกคอของเขาอีกครั้งเพื่อเบี่ยงเบนความรู้สึกของเขา เพราะตอนเข้ามา...มันมักจะยากอยู่นิดหน่อย
“อื้อ~~” เขาแทบจะบิดเร่าเมื่อชูค่อยๆกดความเป็นชายของตัวเองเข้ามา ก็มันใหญ่กว่านิ้วหลายเท่าจะไม่ให้เขาดิ้นพล่านได้ยังไง
“มินาโตะ...” ชูพรมจูบลงบนใบหน้าเขาเบาๆมือข้างหนึ่งจับยึดสะโพกเขาเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ลูบไล้อยู่ที่แกนกลางร่างกายข้างหน้า ของชูต้องไม่ใช่ขนาดมาตรฐานชายญี่ปุ่นทั่วไปแน่ๆ เขาถึงได้รู้สึกราวกับร่างกายจะฉีกออกทุกครั้งที่มันเข้ามา
“ฮ้า...ฮ้า...อื้อ~” เขาหลับตาแน่น สองมือจิกอยู่บนต้นขาของชู เขารู้...เขารับรู้ทุกอย่างว่าชูกำลังเข้ามาอยู่ในร่างกายของเขายังไง จังหวะการสอดใส่ที่เต็มไปด้วยความอดทนนั้นมันทำให้สองแขนของเขายกขึ้นไปกอดหัวสีน้ำตาลเอาไว้ก่อนจะปล่อยให้ชูเข้ามาได้จนหมด
“ฮ้า...ฮ้า...” เขาหอบหายใจก่อนจะปรือตามองชูที่อยู่ด้านบน ชูมักจะอยู่นิ่งๆให้เขาได้พักก่อนที่จะขยับเสมอ แล้วใบหน้าของชูในช่วงเวลานี้ก็น่าดูเป็นที่สุด...มันเซ็กซี่...เพราะเต็มไปด้วยความปรารถนา...ชูกำลังปรารถนาในตัวเขา...ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดนั่นก้มมองร่างกายที่เชื่อมต่อกัน ฝ่ามือแข็งแรงแตะปลายนิ้วลงบนหน้าท้องของเขาราวกับจะยืนยันว่าร่างกายของชูอยู่ในนั้นจริงๆ
“ไหวไหมมินาโตะ” ชูหอบเล็กน้อยตอนที่ถามเขา คงกำลังพยายามอดกลั้นสัญชาตญาณดิบเอาไว้
“อื้ม ขยับเถอะ” เขาเองก็ไม่อยากให้ชูทรมาน และสิ้นคำยินยอมของเขา ชูก็เริ่มขยับอย่างเชื่องช้า
“อ่ะ...” ถึงจะเชื่องช้าแต่ทุกสัมผัสที่เสียดสีกันอยู่ภายในก็ทำให้เขาไม่อาจอยู่เฉยได้ ทั้งใบหน้าทั้งร่างกายรู้สึกร้อนราวกับถูกไฟเผา ชูขยับเข้ามาแล้วก็ขยับออกไป ทุกจังหวะการโยกไหวนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนแต่ก็มากพอจะทำให้เขาเสียวซ่านจนฝ่ามือแทบจะฉีกทึ้งผ้าห่มที่จับไว้จนขาด
“อ้า~” เขาระบายความเสียบวูบที่หน้าท้องออกไปด้วยเสียง ชูกดสะโพกของเขาลงไปรับความเป็นชายของตัวเอง ร่างทั้งร่างจึงสะดุ้งน้อยๆก่อนจะแอ่นรับ ที่แผ่นหลังรับรู้ถึงท่อนแขนของชูที่สอดเข้ามาก่อนจะตลบปลายผ้าห่มนวมอีกข้างมารองใต้สะโพกของเขาให้ เพราะปกติแล้วชูมักจะใช้เวลาอยู่กับร่างกายเขาค่อนข้างนาน และถึงจะดูแลเขาอย่างดีขนาดนี้แต่เขาก็จะหลงเหลือความปวดเมื่อยทุกครั้งหลังจากที่มีอะไรกัน
“ฮะ อ้า~” เสียงครางยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ชูยังคงกดตัวเองเข้ามาอย่างเนิบนาบแต่ทุกการเดินทางกลับเก็บทุกรายละเอียด ความเป็นชายของชูเสียดสีไปที่จุดไวต่อความรู้สึกจุดหนึ่งที่อยู่ภายในอย่างจงใจและมันก็เป็นจุดที่ทำเอาเขาแทบจะรั้งสติไว้ไม่อยู่
“อื้อ~~” ความรู้สึกเสียวซ่านรัญจวนใจทำให้อยากปลดปล่อยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ทำไม่ได้เพราะชูกดปลายแกนกลางร่างกายของเขาเอาไว้ เขาจึงทำได้แค่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสุขสมของชูต่อไป
“ฮ้า~ ฮ้า~” ชูค่อยๆเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับลมหายใจของเขาที่หอบถี่ขึ้นเรื่อยๆ สะโพกเหมือนจะหักมันซะให้ได้เพราะการสอดใส่ที่หนักหน่วง ถึงเขาจะรู้สึกดีจนไม่รับรู้อะไรอีกแล้วแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะปรือตามองใบหน้าของชู เพราะเขาชอบ...เวลาที่ชูมองเขาด้วยความต้องการแบบนี้ เจ้าชายผู้เย็นชาซึ่งใบหน้าไม่เคยเปลี่ยน กำลังมองเขาด้วยสองแก้มที่ขึ้นสีน้อยๆ เหงื่อที่ไม่เคยไหลไม่ว่าจะกดดันขนาดไหนก็กำลังเกาะพราวอยู่เต็มใบหน้า นัยน์ตาสีม่วงที่เฉยชาก็กำลังแสดงความเร่าร้อนออกมา ริมฝีปากที่ไม่เคยเกรงใจใครก็กำลังอ้าออกน้อยๆอย่างพยายามผ่อนลมหายใจ ชูกำลังแสดงความปรารถนาออกมาทางใบหน้าทั้งหมด...แล้วนี่มันก็ทำให้เขามีความสุข เป็นความสุขที่เกิดที่หัวใจไม่ใช่ที่ร่างกายเพียงอย่างเดียว
มีความสุขเพราะเขาเป็นที่รักของชู...
“อะ อ้า~” แต่ตอนนี้ที่ร่างกายก็กำลังสุขจนจะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เขาปล่อยให้ชูขยับตามแต่ใจโดยอ้าแขนรับและโอบกอดร่างกายของชูเอาไว้ ใบหน้าที่ซบคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอและไหล่ทำให้รู้ถึงความรักและความเอาใจใส่
“มินาโตะ...” ชูกระซิบเรียกเมื่อใกล้จะถึงจุดสุดท้าย ความเป็นชายขยับออกไปก่อนจะกระแทกกลับเข้ามารวดเดียว ความเสียวซ่านทั้งหมดทั้งมวลรวมเป็นความสุขสมที่ไม่อาจะบรรยายได้ เขาได้แต่ปล่อยเสียงครางสูงออกไปพร้อมๆกับน้ำรักที่กระจายเต็มหน้าท้อง พร้อมๆกับความอุ่นวาบที่ฉีดพุ่งทะลักเข้ามาภายใน ร่างกายกระตุกเฮือกทั้งๆที่สติขาวโพลน ความรู้สึกราวกับกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า ดีเหลือเกิน...
“แฮ่ก...แฮ่ก....” ชูซบหน้าเอาไว้กับแผ่นอกของเขา พวกเราต่างหอบหายใจหนักหน่วง ชูค่อยๆถอนกายออกไป ทิ้งไว้แต่ความเหนอะหนะของสิ่งที่ตกค้างอยู่ภายใน
“เดี๋ยวค่อยเอาออกนะมินาโตะ” ชูเช็ดให้แต่ของของเขาที่เลอะอยู่เต็มหน้าท้อง ก่อนที่ร่างสูงสง่าจะทิ้งกายลงนอนเคียงข้าง ท่อนแขนแข็งแรงดึงตัวเขาไปกอดเอาไว้จากทางด้านหลัง ชูซุกหน้าลงมากับกลุ่มผมของเขาก่อนจะไล่ลงมาที่ซอกคอและหัวไหล่
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด...
เสียงเหมือนนาฬิกาปลุกดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือของชู ท่อนแขนแข็งแรงเอื้อมไปหยิบมันทั้งๆที่ยังกอดเขาอยู่ แล้วหลังจากที่นิ้วเรียวกดปิดมันไป
“มินาโตะ...สุขสันต์วันเกิดนะ...”
เสียงทุ้มที่กระซิบอยู่ข้างใบหูก็ทำให้เขาเบิกตากว้าง...จริงสินะ...วันนี้วันเกิดเขา...
ที่ไม่ยอมให้เขานอนจนเลยเถิดไปมีอะไรกันนั่นก็เพราะต้องการจะบอกคำนี้กับเขาเป็นคนแรกสินะ? ให้ตายเถอะ เขารักชูมากไปกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ทุกพื้นที่ในหัวใจมันมีแต่ชูและชูและชูจนมันจะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว
เขาพลิกกายกลับมาหาก่อนจะกอดเอวชู ซบใบหน้าลงไปกับแผงอกของชู เขาก็ไม่รู้ว่านี่มันคือการอ้อนหรือเปล่า รู้แต่ว่าเขาอยากทำ
“ขอบใจนะ” เขาอาจจะพูดสั้นๆแต่นั่นคือคำที่ใช้แทนความสุขทั้งหมดที่เขามี เขาเงยหน้าขึ้นไปก่อนจะจูบชูเบาๆที่ปลายคางแล้วขยับเข้าไปกอดอีกฝ่ายให้มากขึ้น กอดให้จมหายเข้าไปในร่างกายของชูเลยก็ยิ่งดี
“มินาโตะ...วันนี้น่ะ...เป็นวันที่สำคัญมากสำหรับฉันนะ...เพราะมันเป็นวันที่ทำให้มีมินาโตะอยู่บนโลกใบนี้” ชูพูดออกมาในขณะที่กอดเขาไว้
“ชู...” ตอนนี้เขาอบอุ่นไปทั้งร่างกายและหัวใจเพราะมีชูคอยกอดเขาไว้...วันเกิด...ก็ดีเหมือนกันนะ
“เนื่องจากมีหิมะตกหนักในแถบนี้ ทางการรถไฟและรถขนส่งมวลชนที่จะวิ่งระหว่างเมืองจึงไม่สามารถใช้การได้ จึงแจ้งมาเพื่อทราบและขออภัยในความไม่สะดวก...ข่าวต่อไป”
- ปิ๊บ -
ปลายนิ้วกดรีโมททีวีเพื่อปิดรายการข่าวเช้านั่นไปพร้อมกับใบหน้าซังกะตาย หลังจากที่ตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนอันอบอุ่นของชู เมื่อเปิดม่านหน้าต่างออกก็พบว่าข้างนอกหิมะยังคงตกหนัก อากาศเลวร้ายขั้นสุดต่างจากบรรยากาศในห้องลิบลับ
“คงต้องค้างที่นี่อีกคืนแล้วสินะ” ชูนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเตี้ยพร้อมกับถุงอาหารจากร้านสะดวกซื้อถุงใหญ่ที่ซื้อตุนไว้ราวกับจะใช้ชีวิตที่นี่ไปอีกหลายวัน
“ชู...นายคงไม่ได้รู้พยากรณ์อากาศอยู่แล้วใช่ไหม?” เขาเหล่ตามองอีกฝ่ายอย่างเริ่มจะไม่ไว้ใจ ชูน่ะฉลาดพอๆกับเซยะ ถ้าวางแผนร้ายอะไรอยู่ละก็ เขาไม่มีทางจับได้หรอก
“ก็รู้แค่ว่าจะมีหิมะตกหนัก แต่ไม่ได้คิดว่าจะถึงกับรถไฟกับรถเมล์ไม่วิ่ง” ชูยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่เขาที่อยู่ด้วยกันมานานมีหรือจะไม่รู้
“ให้ตายเถอะ”
“แต่ก็ดีนะ ในวันเกิดของนาย ฉันจะได้ยึดนายเอาไว้คนเดียว ถ้ายังอยู่ในเมืองก็จะโดนคนอื่นๆแย่งตัวไป ทั้งโค้ชของนาย ทั้งเพื่อนในชมรมของนาย ทั้งเซยะ”
“...ตกลงเป็นแผนของนายสินะ? ชู?”
“......”
แล้วจะให้เขาโดนเซยะบ่นจนหูชาทำไมเนี่ย? ไหนใครว่าเป็นการเดินทางที่ไม่วางแผนอะไร? ผิดถนัด! เพราะนี่มันเป็นการวางแผนมาอย่างดีของเจ้าชายปิศาจนี่ต่างหากล่ะ!
แผนลักพาตัวเขาในวันเกิดของเขา!
โธ่~~~
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story never End
เจ้าชายมันร้ายยยยย 5555+ ยิ่งตอนล่าสุดนี่ยิ่งร้ายยยย บอกเซยะไว้ไม่พอว่าให้เลิกตามมินาโตะ คราวนี้ถึงกับดึงมินาโตะออกจากกลุ่มเพื่อนมาคุยกันสองคนอีก แล้วเรื่องที่คุยนี่ก็นะ กันท่าคนอื่นสุดฤทธิ์ ธนูต้องยิงเพื่อตัวเองไม่ใช่ยิงเพื่อคนอื่นอะไรคะ แล้วใคร๊มันไปบอกให้น้องต้องรับผิดชอบๆอะไรคะก่อนหน้านี้ แหมมมมมม แต่ชอบความแอบฉกมินาโตะไปตอนที่คนอื่นๆเผลอของชูจริงๆ5555 สองครั้งละนะเจ้าชายคะ
ส่วนฟิค ทำไปทำมาก็มาถึงตอนที่ 5 ซะงั้นนะเฮ้ย 5555+ ก็ชูอยากเปิดตัวแรงทำไมย์ ยังชอบตอนชูจับแผลมินาโตะไม่หาย แล้วก็ในตอน 9 ชูคุยกับอ.ว่ากำลังจะได้มินาโตะคนเดิมกลับมา อ.ก็เน้นว่า คนเดิมสินะ ก็เลยคิดว่าชูอาจจะไม่ได้หมายถึงแค่มินาโตะที่ยิงธนูเก่งแต่อาจจะหมายถึงมินาโตะที่สดใสร่าเริงก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุรึเปล่า นั่นหมายความว่าสำหรับชูแล้ว มินาโตะไม่ใช่แค่เรื่องของธนูอย่างเดียว ยังเห็นมินาโตะเป็นคนสำคัญในเรื่องอื่นๆด้วย แอร๊ยยยยย >////<
จริงๆฟิคตอนนี้แต่งไว้ตั้งแต่ช่วงวันเกิดมินาโตะแระ แต่ลงไม่ทัน ก๊ากกกกก งั้นแฮปย้อนหลังแล้วกันนะ สุขสันต์วันเกิดนาลูก ขอให้เป็นที่รักของทุกคนแบบนี้ตลอดไปย์ ไม่ว่าจะลงเรือไหนมี๊ก็สนับสนุนเพราะมันดีย์ทุกลำ 5555
แล้วก็อาจจะนึกไม่ออกกันว่าการแข่งขันระดับมหาลัยที่แข่งในอินดอสเตเดี้ยมมันเป็นยังไง เรามีคลิปให้ดูด้วย อิอิ
อันนี้น่าจะเป็นการแข่งของชมรมคิวโด้มหาวิทยาลัยโฮเซย์(ชุดสีกรมท่า-ดำ-ส้ม)กับมหาวิทยาลัยเมจิอ่ะนะถ้าฟังไม่ผิด คือตั้งแต่ติ่งอนิเมะเรื่องนี้ก็ลองหาคลิปที่เกี่ยวกับการยิงธนูของญี่ปุ่นดูค่ะ ก็เลยไปเจอการแข่งขันของระดับมหาวิทยาลัยเข้า ก็มีทั้งที่แข่งในโรงฝึกแล้วก็ในอินดอร์สเตเดี้ยมแบบนี้อ่ะนะ แล้วดูไปดูมาก็เกิดติดใจชมรมคิวโด้ของมหาวิทยาลัยโฮเซย์เข้าซะงั้นค่ะ 555 ตอนแรกก็ไม่รู้จักแต่แบบ เด็กมหาลัยไหนหนอ ชุดสีดำส้มเนี่ยท่าเตรียมยิงแม่งกวนดีแท้แต่ละคน ดูชิลๆมาก แต่ก็เท่ห์มากอ่ะนะ สืบไปสืบมาเลยชอบดูพวกนางไปซะงั้นค่ะ โดยเฉพาะมิยากาว่าคุง ตำแหน่ง โอมาเอะ คนยิงคนแรกตลอดสามปีซ้อนตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง =v= นางน่าร้ากกกกก
นะ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งฟิคของเรือลำอื่นนาคะ :v ทั้งมาสะมินาโตะ เซยะมินาโตะ แต่เพราะอันนั้นอยากมีพล็อตเรื่องเป็นเรื่องเป็นราว มันก็เลยใช้เวลานิดนึง แต่กับฟิคเรื่องนี้ “หรือรักเรียกหา” มันจะเป็นแบบวันช็อตอ่ะเนอะ นึกอยากจะจับฉากไหนมาเขียนก็หยิบมาเลย ไม่เรียงลำดับเหตุการณ์อีกต่างหาก555
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆการติดตาม ทุกๆคอมเม้นต์มากๆๆนะคะ ดีใจมว๊ากกกที่รู้ว่ามีคนอ่านอยู่ >/////< แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ชอบค่ะ
ตอบลบเราถูกใจสิ่งนี้
ตอบลบ