Touken Ranbu Au Fic [Ichigo x Mikazuki] จะรักตลอดไป : 04


Touken Ranbu Au Fic [Ichigo x Mikazuki]  จะรักตลอดไป : 04

: Touken Ranbu Fanfiction Au
: Ichigo Hitofuri x Mikazuki Munechika
: Dark Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
         





เบนซ์สปอร์ตสีขาวของอิจิโกะ ฮิโตฟุริจอดลงข้างๆเมอซิเดสเบนซ์สีดำของผู้เป็นพ่อก่อนที่ร่างสง่าจะก้าวขาลงมาจากรถ ใบหน้าหล่อเหลากวาดมองไปยังทางเข้ากลุ่มอาคารไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่ตรงหน้า

วันนี้พวกเขามีนัดกับเจ้าบ้านมุเนจิกะ...เรื่องคำตอบของการแต่งงานระหว่างเขากับลูกสาวของที่นี่...

ร่างในชุดสูทเข้ารูปเดินไปยังประตูทางเข้ากลุ่มอาคารที่ถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าอาวาสตามลำพัง เพราะเขาติดประชุมกับลูกค้ารายสำคัญถึงได้ตามมาทีหลัง ส่วนพ่อของเขาป่านนี้ก็คงจะคุยกับท่านเจ้าอาวาสเรียบร้อยไปแล้ว

สองขาในกางเกงสแล็คที่ตัดเย็บอย่างประณีตจึงก้าวเข้าไปในตัวอาคารอย่างไม่รีบร้อน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะดุดกึกเหมือนจะนึกอะไรออกเมื่อเดินมาถึงทางแยกที่จำได้ดีว่าหากเลี้ยวไปทางขวาเขาก็จะเจอห้องรับแขกที่เคยมาเมื่อครั้งก่อน...แต่ตอนนี้ในเมื่อพ่อคงคุยรายละเอียดกับท่านเจ้าอาวาสเองได้...เขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบไป...สองขาจึงเลี้ยวไปทางซ้ายแล้วจงใจเดินหลงเข้าไปยังระเบียงทางเดินยาวเหยียดที่รออยู่ตรงหน้า...เพราะหวังว่าจะได้เจอ....

เสียงเอี๊ยดอ๊าดของพื้นไม้หยุดลงเมื่อเขาเดินมาจนสุดระเบียง...เขาแค่หวังว่าจะได้เจอ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอจริงๆ....เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาถึงได้ยืนนิ่งค้างเมื่อมองเห็นร่างโปร่งบางในกิโมโนสีดำของพระคนนั้นนั่งจิบชาสบายอารมณ์อยู่ในช่วงเสาสุดท้ายของระเบียงทางเดินแห่งนี้

ชายหนุ่มคนนั้นงดงามมากอย่างที่คิดจริงๆ...เมื่อวันก่อนเขามองเห็นจากที่ไกลๆก็สะกดสายตาของเขาเอาไว้ได้แล้ว ยิ่งได้มามองใกล้ๆแบบนี้ยิ่งมีความรู้สึกเหมือนได้พบกับสมบัติล้ำค่า...ถ้าหากเป็นถ้วยชาโบราณหรือแจกันสมัยเฮอันเขายังใช้เงินซื้อมันมาได้ แต่นี่คนคนนี้เป็นมนุษย์แล้วจะให้เขาทำยังไง?


นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักกับความรู้สึกอยากครอบครองอะไรสักอย่างจากก้นบึ้งของหัวใจ...


นัยน์ตาสีวอลนัทจ้องมองขอบถ้วยชาที่จรดลงไปบนกลีบปากสีระเรื่อนั้นอย่างไม่วางตา เขาไม่รู้ว่าเขายืนมองร่างโปร่งบางคนนั้นอยู่นานแค่ไหนแต่ที่น่าสนใจคืออีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัวเลยว่าถูกเขามองอยู่...ในระยะประชิด

หึ...เขาหลุดขำออกมาเบาๆที่อีกฝ่ายความรู้สึกช้าขนาดนี้ นึกไปถึงคำพูดของท่านเจ้าอาวาสที่เจอกันเมื่อวันก่อน...แทนที่จะห่วงแต่ลูกสาว เขาว่าควรจะห่วงลูกชายคนนี้ด้วยดีกว่าไหม?


แกร้ก...


เขาแกล้งทำกุญแจรถตกลงพื้นและเสียงที่ดังพอสมควรนั้นก็เรียกให้ใบหน้าที่งดงามราวกับตุ๊กตาปั้นหันมามองเขาจนได้ ดวงตาคู่นั้นแลดูคล้ายดวงจันทรา มันสวยงามและเย็นตา เขายอมรับ...ว่ามันน่าหลงใหลจริงๆ

“ขอโทษนะครับที่ผมมารบกวนคุณ คือ...สวัสดีครับ ผมอิจิโกะ ฮิโตฟุริ แล้วคุณคือ.....”  เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามคนที่มีสีหน้างุนงงเล็กน้อยที่เห็นเขามายืนอยู่ตรงนี้

“เอ่อ...สวัสดี...ผม...มิคาสึกิ มุเนจิกะ...คุณ...ไม่ได้กำลังคุยกับเจ้าอาวาสอยู่เหรอ?”   ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาเป็นใครเมื่อเขาบอกชื่อของตัวเองออกไป ใบหน้างดงามจึงทักทายเขากลับมาแบบนั้น

“เปล่าครับ พอดีผมติดประชุมเลยตามมาทีหลัง แต่ตอนนี้ผมกำลังหลงทาง ผมหาห้องรับแขกไม่เจอ ฮะๆๆ”  เขาหัวเราะกลบเกลื่อนคำโกหกของตัวเอง ใบหน้ามนนั่นนิ่งค้างไปก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

“........ฮ่าๆๆๆ”  เขามองใบหน้าที่กำลังหัวเราะนั่นอย่างเผลอไผล คนตรงหน้าหยุดหัวเราะก่อนจะยิ้มให้เขาจากนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า

“ถ้างั้นก็ตามมาทางนี้สิ จะพาไปส่ง”  ใบหน้างดงามยิ้มให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า รอยยิ้มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมันทำให้เขานึกถึงหยดน้ำที่บริสุทธิ์  นัยน์ตาสีวอลนัทมองตามแผ่นหลังโปร่งบางที่ออกเดินนำหน้าเขาไป

....มิคาสึกิ มุเนจิกะงั้นเหรอ...

ใบหน้าหล่อเหลาลอบยิ้มน้อยๆในขณะที่ทบทวนชื่อๆนี้จนขึ้นใจ  แล้วเขาจะจำเอาไว้ทำไมน่ะเหรอ?




ติ๊ง!

เสียงอีเมล์ดังขึ้นพอดีกับที่เขาโยนสูทเนื้อดีไปพาดเก้าอี้เอาไว้  อิจิโกะ ฮิโตฟุริขยับเนคไทให้คลายออกน้อยๆก่อนจะใช้ปลายนิ้วจิ้มให้หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคเปิดขึ้นมา สายตาจับจ้องอีเมล์ฉบับหนึ่งก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ...ทำงานไวสมเป็นนากาซากิจริงๆ

มือแข็งแรงยกโน้ตบุคไปที่โซฟาก่อนจะนั่งลงด้วยท่วงท่าสบายๆ ตอนนี้เขาอยู่ที่คอนโดของเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะแสดงท่าทางไม่เหมาะสมให้ใครเห็น...ไหนดูซิว่านากาซากิได้อะไรมา...เขาเปิดอีเมล์ฉบับนั้นพร้อมกับไล่สายตาอ่านประวัติส่วนตัวตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันของมิคาสึกิ มุเนจิกะแบบไม่ให้ตกหล่นไปแม้แต่ตัวอักษร บอกตามตรงว่าเขายังจำชื่อว่าที่เจ้าสาวของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขากลับสนใจผู้เป็นพี่ชายมากกว่า...ทำไมกันนะ?

มิคาสึกิ มุเนจิกะถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดของวัดตั้งแต่ยังเด็ก เพราะฉะนั้นจึงถูกฝึกฝนและถูกอบรมเลี้ยงดูให้อยู่ในทำนองคลองธรรมมาตลอด แต่ถึงจะเป็นพระก็เรียนจบปริญญาโททางด้านภาษาศาสตร์และวรรณกรรม เรื่องศิลปะชั้นสูงของญี่ปุ่นถือว่าแตกฉานทุกแขนง เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลมุเนจิกะที่คนทั้งตระกูลต่างภาคภูมิใจ แถมยังเป็นพระที่ผู้อุปถัมภ์เรียกร้องให้ไปทำพิธีกรรมให้มากที่สุด อายุมากกว่าเขา 2 ปี

มือปิดอีเมล์ก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจ...นับว่าไม่เลวเลยสำหรับประวัติที่น่าสนใจของคนคนนี้ ถ้าได้รู้จักกันมากกว่านี้ก็คงจะดี




ถึงจะคิดเอาไว้แบบนั้น...แต่เขาก็ไม่นึกไม่ฝันหรอกนะว่าโอกาสที่จะได้รู้จักอีกฝ่ายจะรวดเร็วและอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดขนาดนี้!




“อิจินี่~~

“ทางนี้ๆ อิจินี่~~~” 

อิจิโกะ ฮิโตฟุริ ยืนยิ้มพร้อมกับโบกมือให้กับกลุ่มเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ร้องเรียกชื่อของเขามาจากม้าหมุนในสวนสนุกแห่งหนึ่งของโตเกียว ช่วงหลังๆมานี้เขามักจะใช้เวลาในวันหยุดหมดไปกับการเล่นกับน้องๆหรือไม่ก็พาออกมาสวนสนุกแบบนี้แหละ

เพราะบ้านอาวาตากุจิเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีสายตระกูลย่อยอยู่ในนั้นอีกมากมาย เขาจึงมีน้องชายอีกนับสิบคนให้ดูแลและเขาก็เห็นน้องๆมาตั้งแต่แรกเกิด ฝ่ามือฝ่าเท้าน้อยๆพวกนั้นมันทำให้เขาหลงรัก เขาจึงกลายเป็นคนติดครอบครัว นอกจากเรื่องงานแล้วคนที่บ้านคือที่หนึ่งเสมอ และเพราะเรื่องนี้มันเลยทำให้ภาพพจน์ของเขาดูดีในสายตาของคนอื่นๆจนกลายเป็นผู้ชายสุดเพอร์เฟ็คที่สาวๆทั่วญี่ปุ่นเฝ้าฝันถึงไปเสียแบบนั้น

ร่างในเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีขาวกับกางเกงขายาวสีเทาหย่อนกายนั่งลงไปบนม้านั่งยาวที่อยู่ใกล้ๆเมื่อม้าหมุนหมุนวนไปอีกด้านหนึ่งพาเสียงเจี๊ยวจ๊าวพวกนั้นไปด้วย น้องๆคงจะเล่นอยู่ที่ม้าหมุนนี่อีกพักใหญ่ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายอะไร และในขณะที่เขากำลังยกมือขึ้นโบกให้ม้าหมุนซึ่งพาน้องๆของเขาวนกลับมา...สายตาก็ไปปะทะกับใครบางคนที่กำลังเดินหลงๆงงๆอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของม้าหมุนเข้า

เขาลุกจากม้านั่งช้าๆอย่างไม่รู้ตัวเพราะสายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างโปร่งบางในชุดกิโมโนสีดำของพระที่ไม่ได้เข้ากับสถานที่อย่างสวนสนุกเลยสักนิด...นั่นมัน...มิคาสึกิ มุเนจิกะ?

ไม่ผิดแน่...ใบหน้าราวกับตุ๊กตาปั้นที่กำลังหันไปหันมาแบบนั้นไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้แน่ๆ เขามองอีกฝ่ายผ่านม้าหมุนที่กำลังเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ในขณะที่สองขาก็เดินเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัวเลย

“คุณ......”   เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายอย่างเผลอไผลเมื่อรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ตรงหน้ามิคาสึกิ มุเนจิกะแล้ว

“อ่า...อิจิโกะ ฮิโตฟุริ?”  ใบหน้ามนหันมามองเขาด้วยแววตางงๆก่อนจะเรียกชื่อเขาออกมาเต็มยศ

“ฮะฮะ เรียกอิจิโกะก็ได้ครับ”  เขายิ้มให้ ที่จริงก็มีไม่มากนักหรอกที่เขายอมให้เรียกชื่อต้นแบบนี้

“อิจิโกะ?...อ่า...ถ้างั้นก็เรียกผมว่ามิคาสึกิก็แล้วกัน จะได้เท่าเทียม ฮ่าๆๆ”  ใบหน้ามนหัวเราะออกมาและการที่อีกฝ่ายก็ยอมให้เขาเรียกชื่อต้นด้วยนั้นกลับทำให้เขาตะลึงน้อยๆเพราะไม่คิดว่าจะเขาจะได้โอกาสนั้นเร็วขนาดนี้

“ว่าแต่คุณมาทำอะไรครับเนี่ย?”  ดูจากชุดแล้วก็ไม่น่าจะมาเที่ยวเล่นเหมือนคนทั่วไป? แล้วก็ไม่น่าจะต้องมาทำพิธีกรรมของสงฆ์ในที่แบบนี้? 

“อ๋อ ผมมาทัศนศึกษา ผมอยากรู้ว่าสวนสนุกเป็นยังไง ผมไม่เคยมาเลยสักครั้ง ฮ่าๆๆ”   หัวเราะอีกแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ชอบเสียงหัวเราะแบบไม่สนใจโลกของมิคาสึกินัก ว่าแต่...มาทัศนศึกษาที่สวนสนุกเนี่ยนะ?

“เพิ่งเคยมาสวนสนุกเหรอครับ?”  เขาแอบขำกับคำพูดคำจาของมิคาสึกิ ยิ่งได้เห็นใบหน้าราวกับตุ๊กตานั่นพยักหงึกๆก็ให้รู้สึกนึกเอ็นดูอย่างแปลกประหลาด ทั้งๆที่อีกฝ่ายอายุมากกว่าเขาแท้ๆแต่กลับให้ความรู้สึกที่ไม่ต่างจากน้องๆของเขาเลย...รู้สึกอยากจะดูแลคนคนนี้...

“ถ้าอย่างงั้น...ผมอาสาพาทัวร์ให้ไหมครับ ผมพาน้องๆมาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อยๆ วันนี้ก็พาน้องๆมา”  ดวงตาดั่งดวงจันทราคู่นั้นจ้องเขาด้วยแววระยิบระยับทันทีก่อนที่มิคาสึกิจะถอนหายใจยาวออกมา

“ขอบคุณนะ ช่วยได้มากเลยทีเดียว”  ใบหน้ามนยิ้มให้เขาและไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขา

“คุณอยากลองเล่นอะไรบ้างไหม?”   หลังจากที่เขาถามออกไป มิคาสึกิก็ชี้ไปที่ม้าหมุนทันที...เดี๋ยวนะ...

อุบ...ฮะๆๆ เขาถึงกับต้องหันหน้าไปขำอีกทางเพื่อไม่ให้เสียมารยาท อย่าบอกนะว่าที่ไปเดินงงๆอยู่แถวๆม้าหมุนนั่นเป็นเพราะอยากขึ้น? แล้วก็ไม่รู้ว่าจะขึ้นยังไงด้วย? เขาเหลือบตามองชายหนุ่มอายุยี่สิบกลางๆในร่างพระและมีใบหน้าราวกับสมบัติล้ำค่าคนนี้แล้วก็หันกลับมาแอบขำอีกที โตขนาดนี้แล้วทำไมยังอยากขี่ม้าหมุนอยู่อีกเนี่ย ฮ่าๆๆ

น่าสนใจ มิคาสึกิ มุเนจิกะคนนี้ช่างน่าสนใจอย่างที่เขาคิดจริงๆ

หลังจากที่พยายามหุบยิ้มแทบเป็นแทบตายเขาก็หันกลับไปถามย้ำอีกทีว่าอยากจะเล่นม้าหมุนแน่นะ? แต่มิคาสึกิกลับพยักหน้าอย่างไม่แคร์สายตาใคร จนบางทีเขาก็ชักเริ่มสงสัยว่ามิคาสึกิรู้บ้างหรือเปล่าว่าผู้ชายที่โตขนาดนี้เค้าไม่ขี่ม้าหมุนกันแล้ว? เขาได้แต่อมยิ้มแต่ก็พามิคาสึกิไปต่อแถวขึ้นม้าหมุน

“อิจินี่~~”   น้องๆร้องเรียกเขาทันทีที่เขาพามิคาสึกิขึ้นไปสมทบในรอบต่อไป

“คนนี้คือพี่ชายของคนที่พี่จะแต่งงานด้วย สวัสดีครับก่อน”   เขาแนะนำมิคาสึกิให้น้องๆรู้จักจากนั้นเสียงเจี๊ยวจ๊าวก็ทักทายต่อจนเขาคิดว่าน่าจะพามิคาสึกิแยกออกไปจะดีกว่า

“วันนี้อยู่กันเองได้ใช่ไหม? เป็นเด็กดีไม่ซนจนทำคนอื่นเดือดร้อนนะครับ”  ว่าที่ประธานฮิโตฟุริกรุ๊ปที่ใครๆต่างก็ว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่น่าจับตามอง บัดนี้กำลังย่อตัวลงไปลูบหัวน้องๆเหมือนพี่ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง เขาที่ทำแบบนี้จนเป็นเรื่องปกติจึงไม่คิดว่าร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ข้างๆจะมองเขาด้วยสายตาชื่นชม

“มาทางนี้เถอะครับ”  เมื่อน้องๆรับปากอย่างดีแล้ว มือแข็งแรงจึงลากมิคาสึกิไปอีกทาง มีม้าหมุนว่างอยู่สองตัวพอดี

“คุณนั่งตัวนี้ก็แล้วกัน”  เขาผายมือไปยังม้าตัวสีขาวซึ่งไม่สูงมากนัก ต่อให้อยู่ในชุดกิโมโนแคบๆก็น่าจะขึ้นไปนั่งได้ไม่ยาก

แต่จนแล้วจนรอดมิคาสึกิก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าม้าตัวนั้น...ใบหน้ามนบ่งบอกว่ากำลังงงและไม่รู้จะทำยังไงกับม้านั่นต่อไป? เขาถึงกับกลั้นขำแทบไม่ไหว ก็รู้หรอกว่าไม่ควรจะหัวเราะคนที่ไม่รู้ แต่มิคาสึกิน่าเอ็นดูเกินไปแล้ว!

สองมือจึงเผลอจับเอวของมิคาสึกิอย่างถือวิสาสะก่อนจะยกร่างโปร่งขึ้นไปนั่งบนหลังม้าให้ ก็ไม่รู้ว่าถ้าปล่อยไว้ วันนี้จะได้เล่นกับเค้าไหมม้าหมุนเนี่ย ฮะๆๆ  ว่าแต่ตัวเบากว่าที่คิดแหะ

“อิจิโกะ เจ้านี่มันไม่ขยับรึ? หรือผมต้องทำอะไร?”   มือที่เคยจับแต่ลูกประคำบัดนี้กำลังตบปุๆลงไปบนคอม้าราวกับกำลังหาปุ่มเปิดก็ไม่ปาน มันจะไปมีไอ้ของแบบนั้นที่ไหนเล่า~

“คุณนั่งอยู่เฉยๆนั่นแหละ เจ้าหน้าที่ของสวนสนุกจะเป็นคนควบคุมเอง”   เขาบอกอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ไม่นานวงล้อก็เริ่มหมุนจนได้ มิคาสึกิจึงพยักหน้าเข้าใจยกใหญ่

“เข้าใจละๆ ม้าหมุนมันเป็นแบบนี้นี่เอง ฮ่าๆๆ”   นี่ถ้าบอกว่าคนคนนี้หลุดออกมาจากยุคเฮอันเขาก็จะเชื่ออย่างไม่สงสัยเลยละ ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลส่ายน้อยๆในขณะที่ยืนพิงม้าตัวที่อยู่ข้างๆไว้เฉยๆ เขาไม่ได้ขึ้นไปนั่งบนม้าเพราะว่าไม่จำเป็น เขาไม่ต้องเล่นเองแต่แค่ได้มองมิคาสึกิที่ดูท่าทางสนุกสนาน แค่นั้นเขาก็สนุกแล้ว




เขาพามิคาสึกิลงจากม้าหมุนหลังจากอีกฝ่ายเล่นอย่างไม่อายเด็กไปหลายรอบ นัยน์ตาสีวอลนัทเหลือบมองเสี้ยวใบหน้ามนที่กำลังมองเครื่องเล่นนู่นนี่อย่างตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเล่นอันไหนต่อ สิ่งเดียวที่เขานึกเสียดายก็คือเขาไม่สามารถจะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปมิคาสึกิตอนกำลังเล่นม้าหมุนได้ เขาไม่ใช่พ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่ใช่แฟน การจะทำแบบนั้นมันคงแปลก เขาจึงทำได้แค่บันทึกภาพทุกภาพนั่นลงไปในสมอง

อ่า~ เสียดายสุดๆเลยแหะ

“อิจิโกะ ผมอยากลองเล่นนั่นดู”  เสียงของมิคาสึกิเรียกสติเขาให้หลุดจากการงอแงอยู่ในหัว ก่อนที่จะต้องยิ้มแห้งเมื่อเห็นว่าปลายนิ้วของมิคาสึกิชี้ไปที่รถไฟเหาะ...

เขาน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เพราะมีน้องชายรุ่นโตๆอย่างยะเก็น อัตสึชิ มิดาเระอยู่ เลยโดนลากมาเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวแบบนี้บ่อยๆ...แต่มิคาสึกินี่สิ...จะไหวแน่เหรอเนี่ย?

“คุณลองดูคนอื่นเล่นก่อนสักรอบแล้วกัน ถ้าไม่ไหวก็บอกผม ขึ้นไปแล้วมันลงกลางทางไม่ได้นะครับ”  เขาพาเจ้าคนที่ไม่น่าจะรู้จักรถไฟเหาะมายืนเกาะรั้วดูรอบที่กำลังจะเริ่ม แต่ผ่านไปหลายนาที เสียงกรี๊ดของคนบนรถไฟเหาะก็ไม่ได้ทำให้มิคาสึกิหวาดกลัวอย่างที่คิด แต่ดวงตาดั่งดวงจันทราคู่นั้นกลับมีประกายของความตื่นเต้นขึ้นมาแทน

“คิดว่าไหวไหมครับ?”    เขาถามย้ำให้แน่ใจ

“น่าจะไหว”   ใบหน้าราวกับตุ๊กตาปั้นยิ้มร่า ถึงจะไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนก็เถอะแต่ลองดูก็แล้วกัน รถไฟเหาะของที่นี่ก็ไม่ได้ยาวมาก คงไม่เป็นไร

พวกเขาก้าวขาเข้าไปนั่งข้างกันในรถไฟเหาะ คานล็อคถูกพับลงมาและเขาก็บอกให้มิคาสึกิจับมันไว้ ช่วงที่รถไฟเริ่มออกตัวนี่แหละเป็นช่วงวัดใจ ขอแค่ผ่านหลุมแรกไปได้ที่เหลือก็สบาย...


กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด


เปล่า...นั่นไม่ใช่เสียงของมิคาสึกิ แต่เป็นเสียงของคนรอบๆต่างหาก เขาเงยหน้าให้ลมปะทะ หัวใจหล่นวูบไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เล่นมากี่รอบมันก็ยังทำใจให้สงบไม่ได้สักที

เขาหันไปมองคนข้างๆว่ายังปกติสุขดีไหมและแค่เห็นสองมือบางที่พนมเข้าหากัน ริมฝีปากสีระเรื่อที่ขยับขมุบขมิบเท่านั้นแหละ

“ฮะๆๆๆๆๆ”   เขาหันกลับไปหัวเราะใส่กระแสลมที่ปะทะเข้าใส่ใบหน้าเพื่อกลบเกลื่อนแทบไม่ทัน ก็จะมีใครที่ไหนบ้างมานั่งสวดมนต์อยู่บนรถไฟเหาะแบบนี้เนี่ย~ เขาหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง...ไม่เหมือนใครดีจริงๆ มิคาสึกิ มุเนจิกะของเขา


มิคาสึกิก้าวขาลงจากรถไฟเหาะด้วยอาการเซน้อยๆ เขายื่นแขนออกไปกันไว้ไม่ให้อีกฝ่ายล้ม และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เราอยู่ใกล้กันจนได้กลิ่นกายของกันและกัน เขาได้กลิ่นเครื่องหอมโบราณลอยออกมาจากกิโมโนสีดำที่มิคาสึกิสวมอยู่ มันไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอมยี่ห้อไหนในโลก ปกติแล้วเขามักจะคุ้นเคยกับกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงที่จงใจใส่ให้เขาได้กลิ่นจนบางครั้งเขาก็แทบจะแยกได้ว่ากลิ่นนี้เป็นกลิ่นน้ำหอมยี่ห้ออะไร มีขายที่ไหน...แต่กลิ่นของมิคาสึกิกลับแตกต่างออกไป มันเป็นกลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกชอบทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่ามันถูกปรุงมาจากอะไร ที่สำคัญคือไม่น่าจะมีขายที่ไหน กลิ่นนี้น่าจะเป็นกลิ่นเฉพาะตัว?

“ไม่เป็นไรแล้วละ ขอบคุณนะ”   มิคาสึกิขอบคุณเขาก่อนจะพยายามยืนให้ตรง ถึงใบหน้ามนจะซีดไปบ้างแต่แววสนุกสนานก็ยังไม่หายไปทำให้เขาโล่งใจ

“พักก่อนไหมครับ?”   เขาถามด้วยความเป็นห่วง เพราะดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว มิคาสึกิไม่น่าจะเป็นพวกใช้ชีวิต Outdoor ไม่น่าจะถนัดเรื่องการเคลื่อนไหวร่างกายมากๆ?

“ไม่เป็นไรๆ ผมว่าเราไปเล่นนั่นกันต่อเถอะ ดูเหมือนจะเป็นบ้าน คงไม่เหนื่อยเท่ารถไฟเหาะ”   เขาหันไปมอง “บ้าน” ของมิคาสึกิ...คือ...มันไม่ใช่บ้านธรรมดาไง แต่มันคือบ้านผีสิง!

เขาเดินตามร่างในชุดพระไป ในใจกำลังครุ่นคิดว่าเขาควรจะบอกมิคาสึกิก่อนดีไหมว่ามันเป็นบ้านแบบไหน? แต่อีกใจก็คิดว่าอย่างมิคาสึกิคงไม่เป็นไรมั้ง เพราะอีกฝ่ายเป็นพระ น่าจะทำพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตายมามาก คงไม่กลัวผีไม่กลัววิญญาณอะไรแบบนี้หรอกมั้ง?

แต่หลังจากที่เดินผ่านประตูบ้านผีสิงเข้าไปแล้วเขาก็รู้ว่าเขาคิดผิด!

ก็เพราะว่ามิคาสึกิเป็นพระ ก็เพราะว่ามิคาสึกิเคยทำพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายมามาก ก็เพราะว่ามิคาสึกิไม่กลัวผีไม่กลัววิญญาณมิคาสึกิถึงได้ไปยืนแผ่เมตตาให้เหล่าผีปลอมจนผีงงเป็นไก่ตาแตกไปตามๆกัน!!!

เขาถึงกับยืนกุมท้องที่ปวดไปหมดเพราะต้องกลั้นเสียงหัวเราะแทบเป็นแทบตาย เขาอมยิ้มจนแก้มแทบแตกเมื่อหันไปมองเจ้าคนที่ยังยืนพนมมือแผ่เมตตาให้เหล่าสัมภเวสีที่ยืนงงเป็นทิวแถว มิคาสึกิเองก็งงว่าทำไมในบ้านนี้ถึงมีผีเยอะขนาดนี้? ผีเองก็งงว่าใครจ้างพระมาปัดรังควานบ้านผีสิงหรือยังไง? ต่างคนต่างงงต่างแผ่เมตตาต่างแยกย้ายไปผุดไปเกิด?กันแบบงงๆ...ไม่ไหวแล้ว...เขายืนอยู่ตรงนี้โดยไม่หัวเราะไม่ได้แล้ว สองขาจึงวิ่งออกมาก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียยกใหญ่เมื่อพ้นประตูทางออก

“ฮ่าๆๆๆๆๆ”    เขาไม่เคยมาสวนสนุกแล้วรู้สึกสนุกขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆที่เคยมากับน้อง กับเพื่อนสมัยม.ปลาย กับแฟนที่เคยคบกัน แต่ครั้งนี้คือการมาสวนสนุกที่สนุกที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้  เพราะเจ้าคนที่เดินมึนตามออกมานั่นคนเดียวเลย

“แปลกจริงๆ ทำไมที่นี่ถึงมีวิญญาณคนตายเยอะขนาดนี้ ผมคนเดียวคงทำได้แค่ทำให้พวกเขาสงบไปก่อน คราวหน้าคงต้องพาพระรูปอื่นๆมาช่วยกันสวด”    ยัง...ยังไม่เลิกทำให้เขาหัวเราะอีก...เขาพยายามเรียกสีหน้าปกติกลับมาก่อนจะเสไปเรื่องอื่น

“นั่งพักกันก่อนไหมครับ?”   เขาชี้ไปที่เก้าอี้ ส่วนเรื่องบ้านผีสิงก็ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ มิคาสึกิที่เข้าใจไปเองว่านั่นคือผีจริงแบบนี้ก็น่ารักดี

“ดื่มน้ำผลไม้ได้ไหมครับ? ได้ดื่มอะไรหวานๆจะทำให้สดชื่นขึ้น”   เขายื่นแก้วน้ำผลไม้ที่ไปซื้อมาให้ ถึงจะรู้ว่ามิคาสึกิน่าจะชอบดื่มชามากกว่า แต่เวลาแบบนี้น้ำผลไม้จะทำให้รู้สึกดีกว่า

มือเรียวยื่นมารับแก้วน้ำผลไม้ไปก่อนจะจ้องมองมันพักใหญ่กว่าจะยอมดื่ม ท่าทางของมิคาสึกิไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจแต่น่าจะรับรู้ว่าเขาเอาใจใส่มากกว่า ถึงได้พูดออกมาว่า

“ทั้งๆที่คุณเองก็มีงานยุ่งแต่ก็ยังอุตส่าห์พาน้องๆมาเที่ยวสวนสนุก เห็นคุณรักครอบครัวและเอาใจใส่คนรอบข้างแบบนี้ผมก็เบาใจที่น้องสาวของผมจะมีคุณคอยดูแล”   ทั้งๆที่มันเป็นคำชมที่มาจากใจจริงของมิคาสึกิแต่ทำไมเขากลับไม่ชอบใจเอาเสียเลย เพราะมันเหมือนกับมิคาสึกิคิดว่าเขาใจดีเขาเอาใจใส่ทุกๆคน แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่

“คุณคงมองผมในแง่ดีเกินไป...ผมน่ะ...เอาใจใส่เฉพาะคนที่ผมรักเท่านั้น”   เขาพูดด้วยเสียงเย็น เขาไม่คิดว่ามิคาสึกิจะเข้าใจหรอกว่าเขาเห็นอีกฝ่ายเป็นคนพิเศษ แน่ละ เป็นใครก็คงไม่คิดหรอกว่าเพิ่งจะเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งจะกลายเป็นคนสำคัญไปได้ แต่มันก็มีใช่ไหมล่ะในโลกใบนี้...สิ่งที่เรียกว่า รักแรกพบ

“ถ้าหายเหนื่อยแล้ว เราไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กันไหมครับ? เป็นไฮไลท์ของสวนสนุกเลยนะครับ”   เขาเปลี่ยนเรื่องหลังจากที่มิคาสึกิเองก็นิ่งไป

“ครับ”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลพยักรับ

สงสัยจะเป็นเพราะเล่นเครื่องเล่นมาทั้งวันทำให้มิคาสึกิเหนื่อยจนเผลอหลับไปหลังจากที่ชิงช้าสวรรค์เริ่มเคลื่อนที่ได้ไม่นาน นัยน์ตาสีวอลนัททอดมองคนที่นั่งหลับอยู่ฝั่งตรงข้ามพลางอมยิ้มน้อยๆ เขากำลังลุ้นอยู่ว่าหัวสีดำที่กำลังโงนเงนอยู่นั้นจะเอียงไปทางไหนและเขาก็สไลด์ตัวไปนั่งฝั่งตรงข้ามในจังหวะที่หัวของมิคาสึกิเอนลงซบที่ไหล่เขาพอดี  รอยยิ้มขำๆปรากฏอยู่บนใบหน้าเขาที่เดาทิศทางของอีกฝ่ายถูก ก่อนจะเปลี่ยนมาจ้องมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่อยู่ใกล้แสนใกล้ น่าแปลกที่มันทำให้หัวใจของคนอย่างเขาเต้นกระหน่ำจนต้องละสายตาออกไปมองข้างนอกชิงช้าสวรรค์แทน

แต่ละวงรอบก็ใช้เวลาในการหมุนนานอยู่ แต่มันก็ไม่พอสำหรับคนที่กำลังหลับ เขาจึงบอกพนักงานให้ต่อรอบของชิงช้าสวรรค์ไปเรื่อยๆจนกระทั่งท้องนภาสีฟ้ากลายเป็นสีดำเหมือนเส้นผมของคนที่กำลังซบอยู่ที่ไหล่เขา แสงไฟระยิบระยับของโตเกียวพอมองจากบนนี้แล้วเหมือนกับพวกเขาล่องลอยอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวยังไงอย่างงั้น และเขาก็อยากให้มิคาสึกิได้เห็นมัน

“อืม....”   เปลือกตาของมิคาสึกิเริ่มขยับน้อยๆหลังจากที่ได้นอนไปหลายชั่วโมง แล้วในที่สุดดวงตาดั่งดวงจันทราก็เปิดออกมาทอดมองท้องฟ้ายามราตรีจนได้

“หื๋อ? มืดแล้วเหรอครับ?”   หัวที่เอนซบไหล่เขาอยู่ค่อยๆขยับออกไปด้วยท่าทางงัวเงีย มิคาสึกิไม่ได้เอะใจเลยว่าเขาย้ายฝั่งมานั่งอยู่ข้างๆกัน นั่นก็เพราะใบหน้ามนกำลังตะลึงกับความสวยงามของภาพที่อยู่รอบๆ

“เหมือนลอยอยู่ในดวงดาวเลย...”   เสียงลอยๆหลุดออกมาจากปากของมิคาสึกิ บัดนี้ร่างโปร่งบางกำลังหันไปเกาะเหล็กดัดของกระเช้าก่อนจะมองออกไปในท้องฟ้าที่มีแสงระยิบระยับนับล้านอยู่เบื้องหลัง

“ผมไม่คิดเลยว่าจะมีที่สวยๆแบบนี้อยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ ผมคิดมาตลอดว่าถ้าอยากดูดาวก็ต้องออกไปตามชนบท ไม่นึกเลยว่าในโตเกียวก็จะเห็นดาวได้ชัดเจนขนาดนี้ อิจิโกะ ขอบคุณนะ”   เสียงนุ่มเอ่ยออกมาในขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องอยู่รอบกาย เห็นมิคาสึกิชอบเขาก็ดีใจอย่างบอกไม่ถูก

“ดีใจที่คุณชอบ”   นัยน์ตาสีวอลนัททอดมองคนที่ยังตื่นเต้นกับภาพอันตระการตาตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน ชิงช้าสวรรค์ยังคงหมุนวนต่อไปอีกไม่รู้กี่รอบ เขาโทรเรียกคนขับรถมารับน้องๆกลับไปแล้วจึงไม่ต้องห่วงอะไรอีก





“วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันเลย ต้องขอบคุณจริงๆนะที่อยู่เป็นเพื่อนผม”   ร่างโปร่งในกิโมโนสีดำโค้งให้เขาหลังจากที่ลงมาจากชิงช้าสวรรค์ ผู้คนในสวนสนุกที่เคยหนาตากลับเบาบางลงมากแล้วในเวลานี้

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี ยังไงอีกหน่อยเราก็ต้องเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว แล้วนี่คุณ...เอารถมาหรือเปล่าครับ?”   แล้วหลังจากที่เขาถามไป มิคาสึกิก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“เปล่าครับ...จริงสิ รถไฟนี่มันหมดกี่โมงนะครับ? ผมลืมไปเลยว่าต้องกลับก่อนรถไฟจะหมด”   ความเบลอของมิคาสึกิทำให้เขาหลุดหัวเราะออกไป ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู

“เพิ่งจะสองทุ่ม รถไฟยังไม่หมดหรอกครับ แต่ว่า เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณที่วัดแล้วกัน กลับคนเดียวตอนมืดค่ำแบบนี้อันตราย”   ยิ่งเป็นมิคาสึกิยิ่งอันตราย ดูจากความมึนงงแล้วจะไปหลงทางอยู่ที่ไหนอีกหรือเปล่า ฮะๆๆ

“ขอบคุณครับ ช่วยได้มากเลย”   และมิคาสึกิก็ไม่ได้ปฏิเสธจนเขามารู้ความจริงหลังจากที่ขับรถออกมาจากสวนสนุกแล้ว

“ปกติแล้วจะมีรถของที่บ้านคอยไปรับไปส่งอยู่หรอกนะครับ แต่วันนี้ผมอยากลองนั่งรถไฟใต้ดินเอง ก็เลยไม่ได้ให้คนขับรถมาส่ง เมื่อเช้าผมก็นั่งรถไฟผิดฝั่งอ้อมไปเป็นชั่วโมงกว่าจะมาถึง ฮ่าๆๆๆ”   ....ว่าแล้วไม่มีผิด เขาแอบขำเบาๆ ก่อนจะแบมือข้างที่ไม่ได้ถือพวงมาลัยไปตรงหน้ามิคาสึกิ

“ผมขอยืมโทรศัพท์มือถือคุณหน่อยครับ”   หลังจากอีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้เขาด้วยสีหน้างงๆ เขาก็อาศัยช่วงติดไฟแดงเมมเบอร์ของตัวเองลงไปก่อนจะคืนให้มิคาสึกิ

“ถ้าคุณอยากออกไปผจญภัยหรือทัศนศึกษาที่ไหนก็โทรเรียกผม ผมจะไปเป็นเพื่อน”  

เบนซ์สปอร์ตสีขาวแล่นเข้าไปในวัดก่อนจะจอดลงหน้ากลุ่มอาคารด้านใน ร่างโปร่งในกิโมโนสีดำของพระก้าวขาลงมาจากรถก่อนจะก้มลงไปพูดกับคนที่ลดกระจกลง

“วันนี้ขอบคุณมากจริงๆนะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับเบอร์โทรที่ให้ผมไว้ด้วย แต่ผมคงไม่รบกวนหรอกเพราะรู้ว่าคุณเองก็มีงานรัดตัว แล้วก็ ขับรถกลับดีๆนะครับ”   มิคาสึกิโค้งตัวให้แทนคำกล่าวลา เขาจึงแค่พยักหน้ารับแล้วขับรถออกไป

ถึงจะนึกเสียดายอยู่บ้างที่อีกฝ่ายเกรงใจเขาจนไม่อยากชวนออกไปไหนด้วย แต่แค่ที่บังเอิญได้เจอกันในวันนี้ก็นับว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาก้าวกระโดดพอแล้วละ...ถ้าอยากได้อะไรก็ให้จับตาดูเอาไว้แล้วใจเย็นๆ รอคอยจนกว่าจะเห็นช่องทางที่จะทำให้มันเป็นของเราอย่างดิ้นไม่หลุดแล้วค่อยลงมือ...นั่นคือสิ่งที่พ่อของเขาสอนเขาอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาจึงไม่รีบร้อน


ทั้งๆที่ตัวเขาอุตส่าห์คิดแบบนั้น...


แต่ยังไม่ทันไร


เจ้าคนที่บอกว่าจะไม่รบกวนเขา กลับโทรหาเขาในเช้าวันรุ่งขึ้นซะแบบนั้น!







.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.






1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ23 กันยายน 2561 เวลา 03:40

    กรี๊ดดดด มาแล้ววววววววว❤❤❤❤❤❤

    ตอบลบ