Attack on Titan.feat KHR Au Fic [8059 , Levi x Eren] Ai Kotoba : 10


Attack on Titan.feat KHR Au Fic [8059 , Levi x Eren]  Ai Kotoba : 10

: Attack on Titan feat. KHR Gintama Psycho pass Fanfiction  Au
: 8059 , Levi x Eren , Kogami x Ginoza , Takasugi x Katsura
: Period Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ






ร่างโปร่งบางวิ่งฝ่าสายฝนที่กำลังโปรยปรายก่อนจะก้าวขาเข้าบ้าน ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าถอดรองเท้าสานแล้วรีบวิ่งขึ้นชานระเบียงไปอย่างรวดเร็ว ดาวเด่นของคณะละครคาบุกิต้องรีบทำงานแข่งกับเวลาเพราะขณะนี้ฝนเม็ดใหญ่กำลังไล่มาจนจะสาดถึงประตูด้านในอยู่แล้ว

“ท่านแม่? อยู่รึเปล่า?!”   ในขณะที่สองแขนผอมแห้งกำลังออกแรงดึงประตูกันฝนที่เป็นไม้ทั้งบานด้วยความทุลักทุเล ริมฝีปากสีระเรื่อก็ตะโกนเรียกผู้เป็นแม่ไปด้วยแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยสักคน ดีนะที่เขารีบกลับมา ไม่งั้นคงได้เปียกกันหมดแน่และเขานี่แหละที่ต้องมานั่งกรุกระดาษซ่อมประตูข้างในใหม่ถ้ามันโดนฝนจนเละ

“โอ๊ย~~ จะหนักอะไรกันนักกันหนาเนี่ย!”   สองมือจับบานประตูหนาหนักนั่นเอาไว้มั่นก่อนจะใช้แรงทั้งตัวพยายามทั้งลากทั้งดันมันออกมา แต่ประตูที่ใช้กันพายุและสภาพอากาศอันเลวร้ายของบ้านบนเกาะชิโกกุย่อมไม่ใช่ประตูที่หนักธรรมดา แต่มันต้องหนักมหาศาลเลยต่างหาก! 

แล้วเขาจะปิดมันทันฝนไหมเนี่ย?ในขณะที่กำลังคิดพลางกัดฟันใช้น้ำหนักตัวทั้งหมดดันประตูอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น จู่ๆประตูที่แทบจะไม่ขยับกลับไหลพรืดราวกับเป็นแค่ประตูเลื่อนธรรมดาๆ

“หื๋อ?”  ใบหน้ามนเงยมองฝ่ามือแข็งแรงที่ดันประตูอยู่บนหัวเขา ท่อนแขนในเสื้อคอปกตั้งสีกรมท่าของทหารนั้นเป็นของนายช่างที่อุตส่าขี่ม้ามาส่งเขานั่นเอง ใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้พูดอะไรแต่กลับเดินไปเลื่อนประตูกันฝนทั้งหมดให้ ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครดันประตูหนาหนักที่เขาต้องใช้แรงทั้งตัวพวกนั้นได้ง่ายๆจนเขาชักจะสงสัยว่านายช่างไปเอาเรี่ยวแรงมหาศาลแบบนั้นมาจากที่ไหนกัน!

“หมดรึยัง?”   เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อประตูกันฝนทุกบานถูกปิดจนหมดทันเวลาที่ฝนห่าใหญ่ตกใส่หลังคาพอดี

“หมดแล้วครับ ขอบคุณนะครับนายช่าง”   ใบหน้ามนยิ้มแฉ่งให้ นัยน์ตาสีมรกตไล่มองไหล่ทั้งสองข้างของนายช่างหนุ่มที่เปียกโชก เพราะต้องเอาม้าไปผูกไว้ในโรงนาหลังบ้านทำให้กว่าจะวิ่งมาถึงนี่เลยเปียกอย่างที่เห็น

“เปียกหมดเลย เดี๋ยวข้าเอาผ้ามาเช็ดให้นะ”  

“สงสัยว่าท่านแม่จะขึ้นไปศาลเจ้า ร่มก็ไม่ได้เอาไป คงติดฝนอยู่บนนั้นแน่ๆเลย”   ใบหน้าน่ารักเอ่ยออกมาในขณะที่ยื่นผ้าผืนหนาให้นายช่างหนุ่ม แต่ดูเหมือนเสื้อนอกที่ชุ่มโชกนั้นจะไม่สามารถแห้งได้ด้วยการเช็ด

“ถอดเสื้อมาสิ เดี๋ยวข้าเอาไปผึ่งไฟให้”   นายช่างทหารประจำเขตก่อสร้างสะพานเซโตะโอฮาชิจึงถอดเครื่องแบบทหารรวมทั้งเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปียกปอนนั่นส่งให้เรน ร่างกายท่อนบนบัดนี้จึงเปลือยเปล่า

ร่างสะโอดสะองหอบเสื้อสีกรมท่าออกไปก่อนจะกลับมาพร้อมยูกาตะพับหนึ่ง เรนเอายูกาตะของตัวเองมาให้นายช่างเปลี่ยน นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองมัน ถึงจะไม่ได้มีสีสันสดใสเหมือนยูกาตะของผู้หญิงแต่ก็ไม่ใช่สีที่ผู้ชายอย่างเขาควรจะใส่ เพราะงั้นนายช่างหนุ่มจึงเลือกที่จะเมินมันไป

“ไม่เปลี่ยนเหรอครับ?”

“.....ไม่ต้องหรอก กางเกงไม่ได้เปียก”  ร่างแข็งแกร่งนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นเสื่อทาทามิ น้ำใสๆหยดลงมาจากเส้นผมสีดำที่เปียกลู่ ผ้าที่พาดไหล่อยู่ถูกตลบขึ้นไปคลุมหัวไว้อย่างลวกๆก่อนที่มือใหญ่จะขยี้มันลงไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แต่แล้วกลับมีมืออีกคู่หนึ่งสอดเข้ามาทำให้มือของเขาต้องหยุดชะงัก

“ขยี้แรงๆเดี๋ยวผมก็ร่วงหมดหรอกครับ”  มือที่สอดประสานมาจากข้างหลังจับผ้าก่อนจะเช็ดเส้นผมให้เขาเบาๆ มือใหญ่จึงละออกมาแล้วปล่อยให้ความนุ่มนวลนั้นขยับไปทั่วหัวสีดำอย่างไม่ถือสา แรงขยับอันอ่อนโยนทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่ข้างนอกนั้นหนาวเหน็บไปด้วยสายฝน แต่ข้างในนี้กลับอบอวลไปด้วยเปลวเทียนที่สาดสีส้มไปทั่วห้อง เงาร่างทั้งสองฉายชัดอยู่บนผนัง ไออุ่นที่มอบให้แก่กันทำให้มือแข็งแรงเคลื่อนไปจับมือที่กำลังเช็ดเส้นผมให้ตัวเองเอาไว้อย่างเผลอไผล...กอบกุมมันไว้...แล้วดึงมันมาจูบเบาๆ

“นายช่าง....”   ร่างโปร่งบางที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังหยุดชะงักอย่างแปลกใจ ใบหน้ามนร้อนผ่าวจากการกระทำที่ไม่คาดฝันของนายช่างหนุ่ม หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเมื่อมองมือของตัวเองที่ยังแนบอยู่กับริมฝีปากของอีกฝ่าย นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองเสี้ยวใบหน้าของนายช่างที่หลับตาลงก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆแล้วค่อยๆหันมาหาเขา

“เรน...ข้า...ไม่เคยมีความรัก ข้าไม่รู้ว่าจะอ่อนโยนยังไง...แต่ข้าก็อยากจะเรียนรู้มันไปพร้อมๆกับเจ้า”   ใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งร้อนเป็นไฟ ร่างโปร่งบางโถมเข้าใส่กอดร่างแข็งแกร่งจากข้างหลังก่อนจะแนบแก้มแดงจัดไว้กับใบหน้าของนายช่างหนุ่ม

“ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ท่านอ่อนโยนมาก...”   เพราะแผงอกบางแนบชิดอยู่กับแผ่นหลังของเขา แรงเต้นกระหน่ำจากหัวใจดวงน้อยของเรน เขาจึงรับรู้มันเป็นอย่างดี รอยยิ้มอันหาได้ยากจึงปรากฏบางๆอยู่บนริมฝีปากของเขา คำขอบคุณถูกเก็บเอาไว้ในใจ


ขอบคุณ...ที่ทำให้คนอย่างเขาได้รู้จักกับคำว่ารัก...


ฝ่ามือแข็งแรงดึงร่างโปร่งให้ล้มลงมานั่งบนตัก ริมฝีปากจู่โจมหนักๆลงไปบนกลีบปากนุ่มนิ่มที่ยังไม่ทันตั้งตัว เขาจูบซ้ำๆย้ำๆลงไปบนริมฝีปากแดงระเรื่อที่ดูชุ่มช่ำราวกับกลีบดอกไม้ที่เคลือบเอาไว้ด้วยน้ำหวาน แค่ริมฝีปากยังรสชาติดีขนาดนี้...แล้วข้างในจะขนาดไหน...แต่ก็น่าแปลกใจที่เขาไม่บังคับล่วงล้ำเข้าไป แต่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่กลีบปากที่ยิ่งแดงจัด เขาดูดดึงมันน้อยๆด้วยความนุ่มนวล...ละออกมา ก่อนจะเปลี่ยนมุมแล้วขยับเข้าไปแนบชิดมันใหม่ ทุกสัมผัสละมุนละไมไปด้วยไอรัก ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายที่ป่าเถื่อนใช้แต่ความรุนแรงอย่างเขาจะปฏิบัติกับใครแบบนี้ได้...

นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่คืบ ดวงตาสีมรกตที่ปิดลงพร้อมกับขมวดคิ้วน้อยๆทำให้เขาทั้งนึกขำทั้งเอ็นดู แพขนตาที่แนบแก้มใสอยู่ก็สั่นไหวไปมา ถึงใบหน้ามนที่แดงจัดนี่จะไม่ว่าอะไรหากเขาจะทำมากกว่านี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าเจ้าเด็กนี่ยังตื่นกลัวอยู่

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ ไม่ใช่ว่าเขาจะเป็นคนดีอะไร แต่เขาก็เป็นเพียงผู้ชายที่รักเด็กนี่จนหมดหัวใจและอยากให้เกียรติคนที่เขารักอย่างถึงที่สุด

“เรน”   ดวงตากลมโตค่อยๆเปิดขึ้นมาตามเสียงเรียกของเขา และก่อนที่เด็กนั่นจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็ยื่นหน้าเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนจะจูบเบาๆบนกลีบปากนุ่มแล้วละออกมา แน่นอนว่าคนที่เห็นมันเต็มสองตาถึงกับหน้าแทบระเบิดไปด้วยความร้อน

เขาหันออกมากลั้นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในขณะที่คนบนตักยังคงอ้าปากพะงาบๆอย่างหาคำพูดไม่เจอต่อไป ท่อนแขนแข็งแรงสอดไปรอบเอวบางก่อนจะกอดมันเอาไว้ เขาเพิ่งรู้นี่แหละว่าทำเพียงแค่นี้ก็มีความสุขได้ แค่จูบเบาๆแค่กอดเอาไว้

“โธ่~ นายช่างนี่ละก็.....”   เสียงเง้างอดดังออกมาจากใบหน้าที่ยังมีสีแดง ท่าทางเขินๆนั่นทำให้เขานึกเอ็นดู อายเป็นเหมือนกันนะเจ้าลูกหมานี่

“ว่าแต่ หิวรึเปล่าครับ? เพิ่งกลับมาจากฮอนชู กินอะไรมารึยังครับ?”  ถึงจะเป็นคำพูดธรรมดาๆที่ดังคละเคล้าไปกับเสียงฝน แต่เขากลับฟังมันด้วยความเพลิดเพลิน อ้อมแขนยังคงกอดเอวบางเอาไว้ไม่ห่าง

“ยัง แต่ถึงจะหิวแล้วเจ้าจะทำอะไรให้ข้ากินได้หรือไง?”   เจ้าลูกหมาชักหน้าหงิกทันทีกับคำหยอกเย้าของเขา

“อย่างน้อยข้าก็หั่นผักดองเป็นล่ะน่า จะกินไหมครับ? ผักดองของท่านแม่อร่อยมากเลยนะ”   เขาทอดสายตามองใบหน้าที่เดี๋ยวขมวดคิ้วเดี๋ยวยิ้มนั่นอย่างไม่รู้เบื่อ พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้ชายอย่างเราๆถึงต้องมีภรรยารออยู่ที่บ้าน งานที่หนักหนามาทั้งวันมันถูกพัดปลิวด้วยใบหน้าและรอยยิ้มแบบนี้นั่นเอง

“ไม่ละ ข้าขออยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆก็พอ”   นัยน์ตาสีมรกตมองเขาด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ลุกหนีไปไหน

“...แปลกคนจริงท่านเนี่ย...จริงสิ เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าที่โอคายาม่าเป็นยังไงบ้าง คงจะมีขนมแปลกๆเพี้ยบเลยละสิ”   เขาอมยิ้มกับความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าลูกหมาไม่ได้เรื่องได้ราวนี่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเอ่ยปากเล่าให้ฟังอย่างที่คงไม่เคยมีใครได้ฟังเรื่องแบบนี้จากปากของเขาแน่

พายุยังคงซัดกระหน่ำไปทั่วเกาะชิโกกุอยู่ทั้งคืน แต่ข้างกายของเขาไม่ได้หนาวเหน็บอีกต่อไป...















ร่างสูงใหญ่ในชุดทหารวิ่งฝ่าสายฝนที่โปรยปรายลงมาก่อนจะหยุดลงตรงหน้านายช่างใหญ่ประจำเขตก่อสร้างสะพานเซโตะโอฮาชิเพื่อรายงานผล

“ท่อดินระเบิด ชนวนดอกเห็ด สายระเบิดนำร่อง และสายระเบิดตัวแม่พร้อมแล้วครับ!”  ฝ่ามือหยาบกร้านยกขึ้นในท่าเคารพก่อนจะหลบออกไปให้นัยน์ตาสีขี้เถ้าได้ทอดมองไปยังสุดปลายสะพานปลา ถึงฝนจะยังตกอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว วันนี้พวกเขาจึงทำการทดลองระเบิดชั้นหินใต้น้ำให้ชาวประมงจากเกาะโยชิม่าดู ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้ว เหลือก็แต่รอสัญญาณจากตัวแทนชาวบ้านที่ดำน้ำลงไปดูว่าพวกเขาผูกกรงใส่ปลาเอาไว้ใกล้ๆกับระเบิดพวกนั้นจริงๆ

ชายรูปร่างกำยำผิวคล้ำคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำก่อนจะส่งสัญญาณไปยังหัวหน้าชาวประมง ใบหน้ากร้านแดดที่ยืนอยู่ใกล้ๆเขาจังพยักหน้าให้เบาๆ นัยน์ตาสีขี้เถ้ากวาดมองไปยังชาวประมงหลายสิบคนที่ยืนอยู่รอบๆด้วยท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอีกครั้งก่อนที่คำสั่งจะถูกเอ่ยออกไป

“เริ่มปฏิบัติการได้” 

สิ้นสุดเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาเบาๆ เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องอยู่ใต้ผิวน้ำ ดังต่อกันไปเรื่อยๆทุกๆ 1 วินาที จนครบ 12 ลูก... 

พวกชาวประมงต่างก็มีสีหน้าหลากหลาย บ้างก็รู้สึกไม่ดีกับเสียงระเบิดพวกนี้ บ้างก็กังวลใจและคิดว่าปลาคงจะตายหมด บ้างก็ยิ้มเย้ยเหยันเพราะไม่เชื่อว่าพวกเขาจะทำได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาจะทำให้ใบหน้าทุกๆแบบนั่นยอมพยักรับให้จงได้

“ยกกรงขึ้นมา”  นายช่างทหารเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีกต่อไป เพราะพวกเขาเองก็ทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแน่ใจในผลที่ได้

กรงใส่ปลาและแผ่นหินขนาดใหญ่ถูกยกขึ้นเหนือน้ำพร้อมๆกันด้วยเครนเหล็กกล้า และเมื่อปลาขาดน้ำยามที่มันลอยอยู่ในอากาศ ทั้งครีบทั้งหางของพวกมันจึงดิ้นพั่บๆ การเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงของพวกมันทำให้ชาวประมงต่างส่งเสียงฮือฮาใบหน้าตื่นตะลึง

กรงถูกยกลงมาวางใกล้ๆ พวกชาวประมงต่างกรูไปมุงดูและเมื่อพบว่าไม่มีปลาตายเลยสักตัวสายตาทุกคู่จึงหันมามองที่นายช่างหนุ่มเป็นตาเดียว จากสีหน้าที่เคยหลากหลาย ตอนนี้เขาสามารถทำให้มันกลายเป็นแบบเดียวกันจนได้...สีหน้าที่ดูพึงพอใจ

“ทีนี้ก็คงยอมให้การระเบิดชั้นหินใต้น้ำดำเนินต่อไปได้แล้วสินะ?”  หัวหน้าชาวประมงทอดสายตามองปลาตัวอ้วนที่ถูกปล่อยลงทะเล พวกมันว่ายหายไปกับสายน้ำ ไม่มีข้อสงสัยหรืออะไรติดค้างอยู่ในใจอีกต่อไป ใบหน้ากร้านแดดจึงพยักรับหนักแน่น

“ครับ นายช่าง”   คราวนี้เสียงเฮดังขึ้นจากลูกน้องของเขาที่เฝ้าตากแดดตากฝนทำการทดลองมาหลายสิบวัน และใบหน้าเปื้อนยิ้มของเจ้าพวกนั้นก็ทำให้คนจากเกาะโยชิม่าหันมามองพวกเขาอย่างเป็นมิตรมากขึ้น

“นายช่าง ขอบคุณที่ทุ่มเททำเพื่อชาวประมงอย่างพวกเรา ทั้งๆที่ท่านมีกำลังทหารอยู่ในมือ จะไม่ฟังพวกเราแล้วใช้กำลังบังคับก็ย่อมได้”   หัวหน้าชาวประมงยิ้มให้เขา ใบหน้าคมเพียงพยักรับเบาๆ...เขาจะไม่ฟังได้ยังไงล่ะ กับคนที่ขอร้องเขาด้วยปากท้องของตัวเอง

เรือประมงจากเกาะโยชิม่าแล่นจากไปแล้วแต่พวกเขายังต้องทำงานของตัวเองต่อไป ห้องประชุมสำหรับวิศวกรหัวกะทิของเขตก่อสร้างจึงถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

“จากนี้ไปเราจะทำการระเบิดชั้นหินใต้น้ำสำหรับวางฐานรากตามตำแหน่งเหล่านี้”  หมุดถูกปักลงไปบนแผนที่ทางทะเลขนาดใหญ่ที่แปะอยู่บนผนัง มันมีทั้งจุดที่อยู่บนเกาะเล็กเกาะน้อยทั้ง 5 ของทะเลเซโตะไนไกและจุดที่อยู่ในทะเล

“โดยหลักการแล้วเราจะใช้การระเบิดทีละน้อยแต่ระเบิดอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆเหมือนกันในทุกจุด แต่สิ่งที่ต่างกันคือวิธีจุดระเบิด เพราะตำแหน่งวางฐานรากแต่ละจุดนั้นมีความลึกไม่เท่ากัน ในจุดที่ลึกมากๆอย่างกลางทะเลเราคงไม่สามารถลากสายนำร่องลงไปได้ กระแสน้ำคงพัดสายระเบิดของเราไปหมด เพราะฉะนั้นในสะพานทอดหนึ่งอาจจะต้องใช้วิธีจุดระเบิดหลายวิธี ตามความลึกของจุดวางฐานราก”

“ข้าได้ให้กรมช่างทหารส่วนกลางติดต่อขอความช่วยเหลือไปยังประเทศอังกฤษและอเมริกา สำหรับตอนนี้วิธีการจุดระเบิดจึงวางไว้ที่ 4 วิธีตามนี้”

“หนึ่ง จุดระเบิดโดยใช้สายระเบิดนำร่อง โดยวางสายระเบิดนำร่องไปยังชนวนดอกเห็ด เชื่อมต่อสายระเบิดนำร่องกับสายระเบิดตัวแม่แล้วกดระเบิดจากบนพื้นดิน วิธีนี้ใช้ได้กับจุดวางฐานรากที่อยู่ในน้ำตื้น กระแสน้ำไม่แรงนัก”  มือแข็งแรงจับชอล์กก่อนจะวาดเป็นรูปง่ายๆอธิบายให้ลูกน้องของตนฟัง

“สอง จุดระเบิดแบบใช้สายไฟฟ้า โดยปล่อยกระแสไฟฟ้าไปยังชนวนดอกเห็ดผ่านเรือถ่ายกระแสไฟฟ้าเพื่อให้เกิดการระเบิด วิธีนี้จะใช้ดินปืนน้อยและควบคุมการระเบิดถี่ๆได้ ใช้กับจุดวางฐานรากที่อยู่ไม่ลึกจนเกินไป”   รูปที่สองถูกวาดห่างออกมาจากรูปแรกเล็กน้อย

“สาม จุดระเบิดโดยใช้ตัวนำแม่เหล็กไฟฟ้า โดยการปล่อยกระแสไฟฟ้าไปยังขดลวดที่พันไว้กับชนวนดอกเห็ดทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น เครื่องประจุไฟฟ้าจะสะสมไฟฟ้าเอาไว้แล้วจุดระเบิดที่ชนวนดอกเห็ด วิธีนี้จะใช้กับจุดวางฐานรากที่อยู่ลึกและกระแสน้ำไหลเชี่ยว”   พอนายช่างหนุ่มอธิบายถึงข้อนี้ คนที่พยักหน้าอย่างเข้าใจก็หายไปกว่าครึ่งเพราะมันเป็นวิทยาการสมัยใหม่ที่ญี่ปุ่นในยุคนี้แทบจะไม่รู้จัก

“และสี่ จุดระเบิดโดยใช้เสียงอัลตราโซนิกเป็นตัวนำ วิธีนี้เราต้องมีเรือส่งสัญญาณซึ่งได้รับความช่วยเหลือมาจากต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว เรือส่งสัญญาณจะปล่อยเสียงอัลตราโซนิกไปยังตัวรับที่ถูกติดไว้ที่ท่อดินระเบิดเพื่อทำให้เกิดการระเบิด วิธีนี้ไม่ต้องใช้สายชนวนจึงเหมาะกับจุดวางฐานรากที่อยู่ในน้ำลึกและกระแสน้ำเชี่ยวกราก”   ใบหน้าของลูกน้องในห้องถึงกับอ้าปากค้างกับวิธีการที่ล้ำสมัย หลายๆคนส่งเสียงฮือฮาออกมาอย่างทึ่งๆในความสามารถของหัวหน้าตน สมแล้วที่เป็นคนซึ่งไปร่ำเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนา

ร่างโปร่งบางของดาวเด่นแห่งคณะละครคาบุกิที่แอบมานั่งเนียนฟังด้วยถึงกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างภาคภูมิใจในความเก่งกาจของคนรัก ทั้งๆที่ตัวเองก็ฟังไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ข้อแรกแล้วแท้ๆ

“เจ้าจะจดไปทำไมน่ะฮายาโตะ?”  ใบหน้ามนหันไปมองเพื่อนรักที่นั่งจดตามที่นายช่างพูดด้วยใบหน้าเอาจริงเอาจัง และเมื่อเพื่อนรักยังคงตั้งใจจดต่อไปโดยไม่สนใจจะตอบคำถามเขา ไหล่บางก็ยักน้อยๆก่อนจะหันไปมองนายช่างต่อ ฟังยังไงก็ไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว ชนวนดอกเห็ดอะไร? ตัวนำระเบิดอะไร? อันไหนใช้กับอันไหนแค่ได้ยินก็งงแล้ว สู้เอาเวลาไปนั่งมองหน้านายช่างดีกว่า

ใบหน้ามนอมยิ้มอย่างภาคภูมิใจ นายช่างเก่งจริงๆที่คิดวิธีพวกนั้นขึ้นมาได้ แล้วเวลาที่นายช่างอยู่กับแบบก่อสร้าง อธิบายหรือขีดๆเขียนๆสิ่งที่คิดออกมา เขาก็รู้เลยว่านายช่างกำลังมีความสุขขนาดไหน ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะเป็นแรงเป็นพลังให้ อยากจะติดตามและได้เห็นใบหน้าที่มีความสุขแบบนั้นของนายช่างตลอดไป

“จากวิธีจุดระเบิดทั้ง 4 ข้าจะแบ่งให้แต่ละหน่วยรับผิดชอบ จัดการวางระเบิดตามความลึกของพื้นที่ จัดการหินโสโครกใต้น้ำให้หมด รวมทั้งทลายหินทำหลุมสำหรับวางฐานรากไปด้วยเลย”   เสียงทุ้มยังคงอธิบายแผนการก่อสร้างต่อไป

“ส่วนตัวฐานรากคอนกรีตจะต่อมาจากที่อู่ต่อเรือเพราะมันมีขนาดใหญ่มาก จากนั้นค่อยเอาเรือลากมาวางที่หลุม ซึ่งตอนนี้ฐานรากกลางทะเลตรงจุดที่ลึกที่สุดได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้วเพราะต้องใช้เวลานาน ด้วยความสูง 55 เมตร น้ำหนัก 20,000ตัน คาดว่ากว่าจะเสร็จเราก็คงจะระเบิดชั้นหินใต้น้ำหมดพอดี”

“โห...55 เมตรนี่เท่าภูเขาลูกนึงเลยนะครับนายช่าง ฐานรากมหึมาขนาดนั้นต้องใช้เวลาจมขนาดไหนกันครับเนี่ย”  ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยเสียงทึ่งๆ เพราะเป็นสะพานที่สร้างข้ามทะเลเป็นครั้งแรก โครงสร้างอะไรๆจึงดูแปลกตาและใหญ่โตไปเสียหมด

“6 วัน...เอาละนี่เป็นแผนงานของแต่ละหน่วย เอาไปศึกษาให้เข้าใจแล้วเริ่มลงมือได้เลย เลิกประชุมได้”   นัยน์ตาสีมรกตกลมโตมองแผนงานที่ถูกแจกจ่ายไปอย่างไม่ได้คิดอะไร ถึงที่ฟังมาทั้งหมดเขาจะไม่ได้เข้าใจเลยสักนิด แต่เพราะเขาเป็นนักแสดงละครคาบุกิซึ่งต้องมีความจำดี เขาจึงจำสิ่งที่นายช่างพูดได้โดยไม่รู้ตัวไปเอง




หลังจากเดินไปสั่งงานลูกน้องอยู่ที่ท่าเรือ เมื่อนายช่างใหญ่ของเขตก่อสร้างสะพานเซโตะโอฮาชิเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเองอีกที ทั้งห้องจึงถูกยึดครองไปแล้ว

นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองเรนที่นั่งเล่นอยู่ที่โซฟา เหลือบมองโกคุเดระที่กำลังฝึกเขียนประโยคภาษาอังกฤษอยู่ที่โต๊ะ เหลือบมองเจ้าโคงามิที่กำลังรื้อค้นกล่องขนมของเขาโดยมีเรนช่วย...เจ้าพวกนี้ก็ช่างว่างงานกันเหมือนเคยนะ

ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครเดินไปยังโต๊ะทำงานของตนก่อนจะวางกระดาษพิมพ์เขียวแบบก่อสร้างสะพานลง นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบไปเห็นหนังสือภาษาอังกฤษที่ซื้อมาฝากโกคุเดระ จริงสินะ เขายังไม่ได้เอาของฝากให้เจ้าเด็กสองคนเลยนี่  มือใหญ่จึงหยิบมันขึ้นก่อนจะถือเอาไปให้เจ้าเด็กหัวเงินที่นั่งเขียนหนังสืออยู่

“ซื้อมาให้จากร้านหนังสือในโอคายาม่า เล่มนี้เป็นนิยายสำหรับฝึกอ่านได้ดี เอาไปอ่านซะแล้วก็แปลมาให้ข้าตรวจ”  เจ้าเด็กหัวเงินรับหนังสือเล่มนั้นไปด้วยดวงตาเป็นประกาย เพราะหนังสือส่วนใหญ่ที่อยู่ในห้องทำงานของเขาจะมีแต่หนังสือเกี่ยวกับการก่อสร้าง นี่จึงเป็นนิยายภาษาอังกฤษเล่มแรกที่โกคุเดระได้สัมผัส

“ขอบคุณ”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีเงินก้มลงไปมองหนังสือเล่มนั้นจนเขาเห็นรอยแดงบนสองแก้ม

“อะไรๆ ทำไมมีของฝากโกคุเดระด้วยล่ะ? แล้วของข้าล่ะ?”   แล้วเจ้าตัวก่อกวนก็เข้ามาแทรกทันทีที่เห็นเพื่อนได้ของฝาก เขาเหลือบตามองลิ้นชักโต๊ะก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คนอยู่กันเต็มห้องแบบนี้จะเอาออกมาให้ได้ยังไงเล่า...

“ก็ห่อขนมพวกนั้นไง ข้าซื้อมาให้เจ้าทั้งกล่องเลย”   เขาได้ยินเจ้าโคงามิขำพรืดจนต้องหันไปส่งรังสีอำมหิตใส่ อย่างหมอนั่นต้องจับพิรุธเขาได้แล้วแน่ๆว่าเขาซ่อนอะไรไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน

“เอ๋~ แค่ขนมเองเหรอ~~ ทีโกคุเดระยังมีหนังสือมาให้ แล้วทำไมข้าถึงได้แต่ขนมของเด็กๆแบบนี้ล่ะ? นายช่างอ่ะ งอนแล้ว”   นั่น งอนยังมีการบอกด้วยนะเจ้าลูกหมาเหลือขอนี่ ร่างโปร่งบางสะบัดหน้าก่อนจะเดินกลับไปที่โซฟาอย่างน่าหมั่นไส้

“จะเอาหรือไม่เอา”  

“เอาสิ!”   ถึงจะบ่นจนหน้าหงิกแต่สองแขนผอมบางก็ยังรวบขนมเอาไว้ไม่ให้ใคร รู้บ้างไหมว่าคนอย่างเขาไม่เคยไปซื้อของแบบนั้นให้ใครเลยนะ ไอ้ขนมเด็กๆแบบนี้เนี่ย

นายช่างหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะทำงาน มือกางแบบก่อสร้างออกอย่างไม่สนใจเจ้าคนที่ส่งสายตางอนๆมาให้ จริงๆเขาไม่ได้เจอเรนมาหลายวันแล้ว เพราะช่วงนี้พายุกำลังเข้า ฝนตกฟ้าคะนองติดต่อกันมาหลายวัน ทำให้เรนกับโกคุเดระมาที่เขตก่อสร้างไม่ได้ ไม่สิ ต้องบอกว่าการเดินทางระหว่างเมืองภายในเกาะชิโกกุนั้นแทบจะถูกตัดขาด แน่นอนว่ากับโลกภายนอกเองก็เช่นกัน ไม่มีใครติดต่อคนบนเกาะชิโกกุได้เลยตลอดหลายวันมานี้ นี่ก็เพิ่งมีเมื่อวานกับวันนี้ที่ฝนซาลงไป เขาถึงได้ตัดสินใจที่จะทำการทดลองให้พวกชาวประมงดู เขาไม่อยากจะเสียเวลามากไปกว่านี้ และพอเจ้าสองดาวเด่นแห่งคณะละครคานามารุสะรู้ข่าวเข้าจึงฝ่าฝนมาดูกับเค้าด้วย


ครื้น~~~


เสียงฟ้าร้องดังอยู่ไกลๆเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพายุฝนลูกใหม่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว

“พวกเจ้าสองคนกลับบ้านก่อนดีไหม ดูท่าฝนน่าจะตกอีกไม่นานนี้ละ”   โคงามิ ชินยะเป็นฝ่ายบอกเด็กทั้งสองคนหลังจากชะโงกหน้าออกไปดูท้องฟ้าที่มืดครึ้มนอกหน้าต่าง

“ก็ดีเหมือนกัน ข้าต้องแวะไปดูแปลงผักของข้าด้วย เมื่อวันก่อนฝนก็ทำซะต้นหอมของข้าเละหมด”   โกคุเดระ ฮายาโตะปิดตำราก่อนจะเก็บสมุดจด

“เรน เจ้าจะเอากลับไปหมดเลยเหรอ ขนมเนี่ย?”   โคงามิหันมาถามเรนที่ยังมีสีหน้างอนๆ

“เอาไปหมดเลยสิ ก็นายช่างให้ข้าแล้ว!”   ใบหน้ามนหันมายู่หน้าใส่คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานจนนายช่างหนุ่มถึงกับถอนใจ

“งั้นข้าถือไปไว้ที่รถม้าให้แล้วกัน”   แล้วโคงามิก็ยกลังใส่ขนมเดินออกจากห้องไป

“อ๊ะ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าข้ามีเรื่องของอาจารย์กิโนสะต้องบอกโคงามิ ข้าไปก่อนนะเรน”   แล้วก็เป็นโกคุเดระ ฮายาโตะที่รีบหอบหนังสือตำราเรียนวิ่งตามไปอีกคน ส่วนร่างโปร่งบางที่เหลือก็ยังนั่งงงอยู่ที่โซฟา

“หื๋อ? รีบไปไหนกันเนี่ย?”   คนอื่นเค้าไม่ได้รีบหรอก เค้าแค่รู้ว่าข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า สองต่อสอง! เลยเปิดทางให้!  ร่างแข็งแกร่งจึงลุกจากเก้าอี้ก่อนจะดึงลิ้นชักเปิดออก

“งั้น...ข้ากลับก่อนนะนายช่าง อ่ะ ลมแรงเหมือนกันนะเนี่ย”   ร่างโปร่งบางหันมาบอกเขาก่อนจะลุกขึ้นยืนให้ลมปะทะเข้าเต็มๆ ไหล่บางห่อเข้าหากันเมื่อความหนาวเย็นพัดมาต้องกาย แต่แล้วจู่ๆไหล่ที่เคยหนาวสั่นก็พลันอุ่นวาบเมื่อมีอะไรบางอย่างทาบทับ...

นัยน์ตาสีมรกตกลมโตเหลือบมองที่ไหล่ตัวเองอย่างสงสัย ผ้าคลุมขนเฟอบางสีขาวงดงามมากจนเขาต้องเบิกตากว้าง และยิ่งต้องเบิกตากว้างขึ้นอีกเมื่อมองเห็นมือของคนที่คลุมมันให้เขา

“นายช่าง....”   ใบหน้ามนเงยจากไหล่มามองหน้าคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง

“ข้าให้เจ้า...ข้าเจอที่โอคายาม่า คิดว่ามันน่าจะเหมาะกับเจ้า อีกอย่างก็ใกล้จะหนาวแล้ว”   นัยน์ตาสีมรกตเป็นประกายระยิบระยับด้วยความดีใจ อารมณ์ขุ่นมัวจากความแง่งอนอีกฝ่ายหายไปทันที ที่แท้นายช่างก็ไม่ได้ลืมหรือเห็นว่าเขาเป็นเด็กเลยซื้อแต่ขนมมาให้

“ขอบคุณครับ...”   ใบหน้ามนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผ้าคลุมผืนนี้มันสวยก็จริงแต่ที่เขาดีใจเพราะเป็นของที่ได้จากนายช่างต่างหาก

“หายงอนได้แล้วสินะ เจ้าเด็กเหลือขอ”   มือแข็งแรงบีบจมูกเขาอย่างหมั่นเขี้ยว เขาจึงหมุนกายก่อนจะสวมกอดนายช่างเอาไว้

“หายแล้ว~ ก็มีคนมาง้อ เลยหายงอน”   ใบหน้ามนซุกเข้าหาอย่างออดอ้อน นี่ถ้าไม่มีเสียงฟ้าร้องมาคอยไล่ เขาคงจะอยู่อย่างนี้ไปอีกหลายสิบนาที

“กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวฝนตก มันอันตราย”   เสียงทุ้มทำให้เขายอมละออกมา สองมือจับผ้าคลุมไหล่อย่างทะนุถนอม เขาสัญญาว่าจะดูแลมันอย่างดีเพราะนายช่างคงตั้งใจเลือกมันมาให้เขา

“อื้อ ข้าไปก่อนนะ”   เขายื่นใบหน้าออกไปก่อนจะหอมแก้มของนายช่างโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะถูกทิ้งเอาไว้ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะวิ่งหายออกไปจากห้อง

คนที่ถูกหอมแก้มอย่างฉับพลันถึงกับยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองไปทางที่แผ่นหลังบางนั่นวิ่งไป  มือใหญ่ยกขึ้นมาแตะที่แก้มของตัวเองอย่างเผลอไผล แล้วไอร้อนที่ไหลเวียนอยู่ก็ทำให้รู้ว่าเขากำลังหน้าแดง...ดีนะที่เจ้าเด็กนั่นวิ่งออกไปแล้ว ดีนะที่ไม่มีใครเหลืออยู่ในห้อง ดีนะที่จะไม่มีใครรู้...ว่าคนอย่างเขาก็เขินเป็นเหมือนกัน

















เสียงระเบิดยังคงดังอย่างต่อเนื่องและมันก็ทำให้ความแค้นเคืองยิ่งหนักหนามากยิ่งขึ้น

ปึก!!

ต้นไม้สั่นไหวไปตามแรงกระแทกที่เกิดจากกำปั้นของเด็กหนุ่มจากตระกูลยามาโมโตะ ใบหน้าคมที่นิ่งสนิทอยู่ในเวลานี้ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะรู้ดีว่านายน้อยตระกูลยิ่งใหญ่แห่งเกาะชิโกกุกำลังโกรธจัดขนาดไหน

นัยน์ตาสีเปลือกไม้มืดมนจ้องเขม็งไปที่เรือของกรมช่างทหารหลายลำที่ลอยอยู่เหนือน่านน้ำทะเลเซโตะไนไก การก่อสร้างสะพานกำลังดำเนินต่อไปเพราะเจ้านายช่างนั่นสามารถทำให้พวกชาวประมงยอมรับเรื่องแรงระเบิดได้และมันก็ทำให้เขาโมโหมาก โมโหจนอยากจะทำลายเขตก่อสร้างให้พังราบคาบ!

มือใหญ่กำแน่นอย่างพยายามระงับอารมณ์ เขาขัดขวางการก่อสร้างสะพานได้แต่จะต้องไม่กระทบต่อชื่อเสียงและความเชื่อถือของตระกูลยามาโมโตะ นั่นคือสิ่งที่ผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปอย่างเขาต้องรู้

“นายน้อย...จะไปไหนขอรับ”  ยามาโมโตะ ชิโนดะ เอ่ยถามเมื่อเห็นนายน้อยของตนเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหลังจากพยายามสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่

“ข้าจะไปหาเรน คนอื่นๆกลับไปก่อน ชิโนดะเจ้าตามข้ามา”   คนอื่นๆคงโล่งใจที่ไม่ต้องติดตามสายฝนดำมืดในยามที่โกรธจัดเช่นนี้ไป เหล่าซามูไรของตระกูลยามาโมโตะจึงแยกตัวกลับคฤหาสน์ทาคามัตสึไปก่อนอย่างไม่อิดออด ปล่อยให้ร่างสูงใหญ่ของผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปกับคนสนิทขี่ม้าไปยังโคโตฮิระกันสองคน

นัยน์ตาคมกล้าที่มองฝ่าสายฝนพรำๆไม่ได้หวั่นไหวแต่อย่างใด ในเมื่อแผนการที่วางไว้ถูกเจ้านายช่างนั่นทำลายไป เขาก็จะวางแผนใหม่ วางแผนไปเรื่อยๆจนกว่าเจ้านายช่างนั่นจะทนไม่ไหวแล้วล่าถอยลับไปเอง เขาจะไม่ยอมให้สะพานนั่นสร้างสำเร็จอย่างเด็ดขาด!

ม้าสองตัวถูกผูกไว้ไกลๆก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินต่อไปยังบ้านของเรน เขาจำเป็นที่จะต้องรู้ความเคลื่อนไหวของพวกกรมช่างทหาร จะได้วางแผนขัดขวางพวกมันได้ถูก

“อ่ะ! ท่านพี่....เอ่อ คุณชายยามาโมโตะ...มาหาท่านแม่เหรอ? เดี๋ยวข้าไปเรียกให้นะ ไปเก็บผักอยู่หลังบ้านนี่เอง”  น้องชายที่เขาไม่คิดจะนับสายเลือดด้วยเอ่ยทักเสียงดังทันทีที่เห็นเขาเดินรอดประตูรั้วบ้านเข้าไป

“ไม่ต้อง ข้ามาหาเจ้า”   มือใหญ่ยกห้ามเด็กนั่นเอาไว้ก่อนจะก้าวขาเข้าบ้าน เรนก้าวตามก่อนจะนั่งลงบนเบาะรองนั่งตรงหน้าเขาด้วยท่าทางแปลกใจ

“มาหาข้า? เอ่อ...ข้าไปทำอะไรไว้อีกรึเปล่า?....”   เจ้าเด็กตรงหน้าถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ เพราะปกติแล้วถ้าเขาถูกพ่อสั่งให้มาหานั่นก็แปลว่าเจ้าเด็กนี่ไปก่อเรื่องอะไรไว้

“เปล่า ข้าได้ยินมาว่าที่เขตก่อสร้างสามารถหาวิธีระเบิดชั้นหินใต้น้ำโดยไม่ทำให้ปลาตายได้แล้ว ข้าเลยอยากรู้ว่าจากนี้ไปนายช่างจะทำยังไงต่อ”

“อ๋อ~”  เจ้าเด็กตรงหน้าร่าเริงขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้มาเพื่อลงโทษตัวเอง

“นายช่างบอกว่าต่อไปก็จะทำฐานราก เป็นฐานรากขนาดมหึมาที่ต้องไปต่อมาจากอู่ต่อเรือของทหารเลยนะ เป็นคอนกรีตสูงเท่าภูเขาเลยละ แต่ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าคอนกรีตคืออะไร? จากนั้นก็ต้องใช้เรือเป็นสิบๆลำลากมา เอามาวางในหลุมที่ระเบิดชั้นหินเอาไว้”   ใบหน้ามนโม้ให้ฟังด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ แต่คำพูดของเรนก็ทำให้เขาฉุกใจคิดก่อนจะถามเรนให้แน่ใจ

“มันใหญ่ขนาดไหน? ฐานรากที่ว่านั่น” 

“นายช่างบอกว่าเป็นคอนกรีตสูงเท่าภูเขา อืม...ถ้าจำไม่ผิดน่าจะสูง50กว่าเมตร หนักก็...20,000กว่าตัน?”  ถึงเรนจะทำหน้าไม่มั่นใจ แต่เขาเชื่อว่าเด็กคนนี้มีความจำที่ดี บางทีอาจจะไม่ได้ตั้งใจจำจริงๆจังๆแต่พวกนักแสดงละครคาบุกิโดยเฉพาะยิ่งเจ้าเด็กนี่เป็นถึงดาวเด่นของคณะ บอกบทกันครั้งเดียวก็จำได้แล้ว

“มันกลวงใช่ไหม?”  เสียงทุ้มถามออกไปทั้งๆที่ค่อนข้างมั่นใจว่ามันน่าจะกลวง เพราะถ้าภายในไม่ว่างเปล่าคงลอยน้ำไม่ได้ ก็เหมือนกับเรือนั่นแหละ  ยิ่งน้ำหนักขนาดนั้นด้วย 

“ก็น่าจะกลวงแหละนะ เพราะนายช่างยังบอกอีกว่าต้องใช้เวลาทำให้ฐานรากจมลงก้นทะเลเป็นสิบๆวันเลย”  แล้วคำพูดคำนี้ของเรนก็ราวกับจุดประกายอะไรบางอย่าง

“ทำให้จมเป็นสิบวัน?”   รอยยิ้มร้ายปรากฏอยู่บนใบหน้าคมอย่างที่เรนไม่มีวันเข้าใจ แน่ละ สิ่งที่อยู่ในหัวของเขาตอนนี้เจ้าเด็กกะโปโลนี่ไม่มีวันเข้าใจแน่ๆ  หากไม่ใช่คนที่มีประสบการณ์ด้านการเดินเรือ เห็นเรือมาตั้งแต่ต่อมันขึ้นมาจนมันจมลงไปหลับใหลอยู่ใต้ท้องทะเล และต้องเชี่ยวชาญทุกตารางนิ้วในทะเลเซโตะไนไกที่แปรปรวนด้วยกระแสน้ำขึ้นน้ำลงอันเชี่ยวกรากแล้วละก็...ไม่มีทางรู้หรอกว่าเจ้านายช่างนั่นมีปัญหาแน่หากใช้เวลาในการจมฐานรากสู่จุดติดตั้งนานถึงสิบกว่าวันแบบนั้น

“อืม เห็นนายช่างว่าอย่างงั้นนะ?”  เรนเอียงคอมองเขา ทำให้เขาต้องรีบปรับสีหน้าเพื่อกลบเกลื่อน เด็กนี่ไม่ได้โง่ เพราะยังไงก็มีเลือดในกายที่เหมือนกับเขาอยู่ครึ่งนึง ต้องระวัง

“เอาเป็นว่า ถ้ารู้ว่าฐานรากนั่นเสร็จเมื่อไหร่ จะลากมาช่วงไหนก็ให้บอกข้าด้วย” 

“อ่า อืม...”   เจ้าเด็กตรงหน้ารับปากอย่างไม่คิดอะไร และเมื่อหมดเรื่องจะคุยแล้วเขาจึงก้าวขาออกจากบ้านมา

เมื่อพ้นรั้วบ้านและคิดว่าคนข้างในคงไม่ได้ยิน ใบหน้าคมจึงหันไปสั่งกับชิโนดะ

“เจ้ากลับไปสั่งทรายเตรียมไว้...เอาสักสิบลำเรือก็น่าจะพอ”

“ขอรับ”   ชายผมสีดอกเลาโค้งรับก่อนจะหันตัวจากไป ใบหน้าคมภายใต้กรอบผมสั้นสีดำสนิทยิ้มเย็นอย่างพึงพอใจ โดยไม่รู้เลยว่าถึงเรนจะไม่ได้ยินสิ่งที่ตนพูด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครได้ยิน...



ร่างบอบบางของโกคุเดระ ฮายาโตะหยุดยืนอยู่หลังพุ่มอะจิไซเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่หน้าบ้านของเพื่อนสนิท เขาก็แค่จะแวะมาชวนเรนไปโรงละครด้วยกันแต่ไม่นึกว่าจะมาเจอเจ้าบ้ายามาโมโตะอยู่ตรงนี้ด้วย ได้ยินร่างสูงใหญ่สั่งทรายปริมาณมากมายนั่นเต็มสองหูแต่ก็คิดว่าพวกยามาโมโตะคงกำลังจะก่อสร้างอะไรละมั้งถึงได้สั่งทรายมาเยอะขนาดนั้น? สองขาจึงเดินต่อไปอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร

“โกคุเดระ”    ใบหน้าคมเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันทีเมื่อเห็นคนที่เดินลงมาตามบันไดหิน นัยน์ตาที่ราวกับมีพายุเข้าเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันทีที่จับจ้องไปยังร่างบอบบาง

“บ้ารึไงเจ้าน่ะ มายืนตากฝนนึกว่าหล่องั้นเร๊อะ!”   คำทักทายแรกก็ด่ากันเลย แต่ถึงกระนั้นมือบางก็ยื่นร่มที่ตัวเองถืออยู่มาให้ ใบหน้าคมจึงได้แต่อมยิ้มกับความปากไม่ตรงกับใจของอีกฝ่าย

“เดินไปส่งข้าที่ม้าหน่อยสิโกคุเดระ~”   ใบหน้าคมส่งเสียงอ้อนๆ ช่างแตกต่างกับตอนที่อยู่กับคนอื่นโดยสิ้นเชิง

“มีขาก็เดินไปเองสิฟ๊ะ”   เพราะรู้ว่าเจ้าคนปากไม่ตรงกับใจต้องปฏิเสธแน่ มือใหญ่จึงคว้าท่อนแขนบางก่อนจะลากให้เดินตามมาโดยไม่ฟังคำทัดทาน

“อะไรของเจ้าเนี่ย? ปล่อยนะ!”   ถึงจะพยายามสะบัดแขนอย่างขัดเขินแต่เมื่อนิ้วทั้งห้าของเขาสอดผสานกับนิ้วทั้งห้าของโกคุเดระแล้วจับทั้งมือนั่นไว้ ใบหน้าที่กำลังโวยวายอยู่ก็แดงระเรื่อและสงบลงทันที

เสียงเปาะแปะของสายฝนตกกระทบร่มคันใหญ่ที่คุณชายยามาโมโตะถือไว้ ร่างทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปเรื่อยๆ ตอนนี้ในหัวใจอยากให้ม้าผูกไว้ไกลแสนไกล พวกเขาจะได้อยู่ใกล้กันต่ออีกสักนิด

“นี่...พ่อเจ้าไม่ได้ว่าอะไรใช่ไหม ที่เจ้าเอาข้าวสารมาให้ศาลเจ้าของข้าแถมพวกข้ายังทำนาปลูกผักกันเองแบบนั้น พ่อเจ้าคงไม่ได้คิดจะส่งคนมาทำลายแปลงผักของข้าหรอกใช่ไหม?”   ร่างบอบบางถามออกไปเพราะเขาไม่มีโอกาสเจอยามาโมโตะเลยนับจากวันที่มาช่วยเขาทำนาวันนั้น ดูเหมือนพวกยามาโมโตะเองก็กำลังยุ่งๆกับอะไรบางอย่างอยู่เลยไม่ได้มาที่โคโตฮิระเลย

“ทำไม? เจ้าเป็นห่วงข้าเหรอโกคุเดระ?”   แต่เจ้าคนที่ทำให้เขากังวลกลับหันมายิ้มหน้าบานเป็นดอกทานตะวันที่มันปลูกให้ เขาจึงฟาดมันไปด้วยมือเสียหนึ่งที

“ไม่ได้ห่วงเฟ้ยไอ้บ้า!”   ใบหน้าสวยงอหงิกก่อนจะสะบัดหนี ที่เขาพูดกับไอ้บ้านี่ดีๆไม่ได้ก็เพราะมันคอยกวนประสาทเขาแบบนี้นี่แหละ!

“ฮะฮะฮะ”   ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก! เขาหันไปแยกเขี้ยวใส่และท่าทางเหมือนแมวขู่ก็ทำให้เจ้าของใบหน้าคมนึกเอ็นดู

“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกโกคุเดระ ตอนนี้พ่อข้ากำลังหัวหมุนกับงานของที่บ้านอยู่ ไม่มีเวลามายุ่งกับเจ้าไปสักพักแหละ”  

“....บ้านเจ้านี่กำลังทำเรื่องไม่ดีอะไรอยู่หรือเปล่า? บอกมา!”   นัยน์ตาสีมรกตหรี่มองใบหน้าคมอย่างสงสัยในความมีลับลมคมในของอีกฝ่าย

“ฮ่าๆๆๆ”   แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นเสียงหัวเราะเสียยกใหญ่ จนมือบางต้องหยิกแขนแข็งแรงนั่นไปอีกหลายที

“โอ๊ย! บอกแล้วๆ”   ร่างสูงใหญ่หลบมือที่ยื่นเข้ามา ก่อนจะมองใบหน้างอหงิกด้วยรอยยิ้ม...เขาไม่ได้หัวเราะมานานแค่ไหนแล้วนะ มีแต่ตอนที่อยู่กับโกคุเดระเท่านั้นที่ทำให้เขาหัวเราะอย่างผ่อนคลายแบบนี้ได้

“ก็...ถ้าที่บ้านข้ากำลังทำเรื่องไม่ดี ข้าคงบอกเจ้าไม่ได้ แต่บังเอิญว่าเรื่องที่ทำอยู่เป็นเรื่องดี ข้าเลยบอกเจ้าได้”  

“ลีลานัก”   แล้วฝ่ามือบางก็ฟาดไปอีกที

“บอกแล้วๆ ก็เรื่องการเดินเรือนั่นแหละ ช่วงนี้ไม่ได้มีแต่การเดินเรือระหว่างเกาะฮอนชูกับชิโกกุเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่ว่ามีบริษัทต่างประเทศติดต่อให้เราเดินเรือจากญี่ปุ่นไปประเทศอื่นๆด้วย พวกข้าก็เลยมีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำต้องเรียนรู้ เพราะจากนี้ไปเราจะไม่ได้อยู่แต่ในทะเลเซโตะไนไกของญี่ปุ่น แต่เรากำลังจะออกไปเดินเรือในมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้มาก”   ใบหน้าคมอมยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมองเห็นประกายในดวงตาสีมรกตยามที่ได้ยินถึงโลกที่กว้างใหญ่ หากพวกเขาเป็นเหยี่ยวและนกกระสา พวกเขาก็ควรจะบินไปได้ไกลกว่าท้องทะเลแคบๆของญี่ปุ่น

“เป็นไง? เป็นเรื่องดีๆไหม?”  ใบหน้าคมก้มลงมาถามในระยะประชิดทำให้มือบางต้องยันมันออกไป

“ฮึ! พ่อเจ้านี่ทั้งๆที่หัวโบราณแต่ก็มองการณ์ไกลอยู่นะ”  

“ฮ่าๆๆๆ ข้าจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”

ม้าสีดำยืนหลบอยู่ในศาลาสำหรับผูกม้าตรงทางขึ้นศาลเจ้าโคโตฮิระ ร่างสูงใหญ่หันกลับมาหาร่างบอบบางเพราะรู้ว่าเวลาแห่งการจากลานั้นมาถึงแล้ว ไม่รู้ว่าอีกกี่วันถึงจะได้เจอกัน

“ดูแลตัวเองด้วยนะโกคุเดระ”   มือใหญ่ยื่นร่มคืนให้ก่อนจะมองร่างบอบบางด้วยสายตาห่วงใย

“เจ้าเองก็เหมือนกันแหละเจ้าบ้า”   ถึงปากจะร้ายแต่ความห่วงใยที่แฝงมาด้วยนั้นก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย

ร่างบอบบางยืนส่งจนม้าสีดำวิ่งหายไปกับสายฝน ได้แต่หวังว่าคำภาวนาจากหัวใจให้อีกฝ่ายปลอดภัยจะช่วยคุ้มครองยามาโมโตะไปจนถึงทาคามัตสึที









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

โปรดติดตามต่อต่อไป...ไป...ไป...




ได้ข่าวว่าตอนที่แล้วก็ลงเมื่อวันเกิดหนูก๊กปีที่แล้ว...ตอนนี้ก็ข้ามมาอีกปีแถมไม่มีอะไรคืบหน้าเลยเว้ยเฮ้ยยยย orz.  ยะ ยังไงก็มาแฮปให้หนูก๊กก่อนละกัน ^ ^a


สุขสันต์วันเกิดนาลูก หนูก๊ก~~

มีความสุขมากๆน้า อายุ14-15มาหลายปี และมี๊ก็จะรักหนูก๊กตลอดไปย์~~ ขอบคุณอ.อามาโนะขรามากๆค่ะที่สร้างหนูขึ้นมา เพราะหนูเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างในชีวิตมี๊จริงๆค่ะ >////< เขิล~


ส่วนฟิค ต้องขอขอบคุณทุกๆการติดตามนะคะ ดีใจที่ยังมีคนอ่านอยู่5555+ คือไม่ได้แต่งฟิคมานานมากกกกก ถ้ามีอะไรแปลกๆไปก็ให้อภัยคุณกวางมันเด้อ นี่ก็ปั่นสุดชีวิตละเนี่ยถถถ แล้วเจอกันตอนหน้าค่า m(_ _)m





5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ9 กันยายน 2561 เวลา 21:09

    เย้~~~ ฟิคมาแล้ววว

    ตอบลบ
  2. รอเรื่องนี้ตลอดนะคะ

    ตอบลบ
  3. รอ Aldnoah.Zero Fic [All Count x Slaine] Vers อยู่นะคะ

    ตอบลบ
  4. เจ้าลูกหมาตอนอยู่กับเจ้าของน่าเอ็นดูจริงๆเลย ทั้งลูกหมาสีน้ำตาลและเจ้าหมา(ป่า)สีดำ ฮรือออออ รอติดตามตอนต่อไปอย่าใจจดใจจ่อเลยค่ะคุณกวาง

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ6 ตุลาคม 2563 เวลา 11:36

    รอตอนต่อไปของเรื่องนี้ค่ะ วอนไรต์มาต่อทีนะคะ

    ตอบลบ