Touken Ranbu Au Fic [Ichigo x Mikazuki] จะรักตลอดไป : 03


Touken Ranbu Au Fic [Ichigo x Mikazuki]  จะรักตลอดไป : 03

: Touken Ranbu Fanfiction Au
: Ichigo Hitofuri x Mikazuki Munechika
: Dark Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
         





“คุณคงจะสงสัยสินะว่าผมรู้ได้ยังไง?”  มือแข็งแรงกดสะโพกของเขาให้เข้าไปแนบชิดกับร่างกายของตัวเองมากขึ้น...และนั่นมันก็ทำให้ต้นขาของเขาสัมผัสได้ถึงแกนกลางร่างกายที่ร้อนและขยายใหญ่แข็งตัวเต็มที่ของอีกฝ่าย

“คุณคงสงสัยว่าผมรู้ได้ยังไง.......นั่นก็เพราะว่าร่างกายของผมมันฟ้องน่ะสิ...ว่าผมต้องการคุณ”  

เสียงสั่นพร่าที่กระซิบอยู่ข้างหูทำเอาใบหน้ามนร้อนเป็นไฟ ดวงตาดั่งดวงจันทราเบิกค้างอยู่ที่ไหล่ของอีกฝ่าย เขาอายจนไม่กล้าจะหันมองหน้าของอิจิโกะ ยิ่งต้นขาแนบชิดเท่าไหร่ก็ยิ่งรับรู้ถึงความปรารถนาอันรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่เกยซบอยู่ที่ไหล่เขากำลังหายใจเข้าหายใจออกอย่างติดขัด อิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนี้คงจะไม่จู่โจมเขาเหมือนอิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนั้นแน่ๆ ดูจากการที่อีกฝ่ายยังอดทนรอ...ให้เขาอนุญาต

“.............คุณ...อยากทำไหม.....”   เขาหาคำพูดได้แค่นี้ เพราะแค่นี้มันก็มากเกินกว่าที่เขาจะทนต่อความอายนั้นได้ ใบหน้าของเขาแทบจะมอดไหม้อยู่แล้วในขณะที่พูดออกไป

“อยากทำ”   อิจิโกะตอบกลับมาทันทีด้วยเสียงหนักแน่นที่คละเคล้าไปกับลมหายใจหอบหนัก ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหันมาจูบที่ข้างแก้มเขาเบาๆก่อนจะละออกไปให้มองเห็นใบหน้าของกันและกัน นัยน์ตาสีวอลนัทสบประสานมาที่ดวงตาของเขาด้วยแววจริงจัง

“แต่ที่ผมอยากทำนี่ไม่ได้มาจากความต้องการของร่างกายเพียงเท่านั้น...ผมรู้ตัวตั้งแต่วันที่ฟื้นขึ้นมาแล้วว่าผมน่าจะรักคุณ...ไม่สิ...ที่ผมต้องการคุณขนาดนี้เพราะว่าผมรักคุณมากต่างหาก”  ตอนนี้ตาของเขาคงโตเท่าไข่ห่านไปแล้วมั้ง? เพราะนี่คือครั้งแรกที่อิจิโกะ ฮิโตฟุริสารภาพรักออกมาตรงๆ  ถึงจะแทบไม่มีความทรงจำเหลืออยู่ แต่คนตรงหน้าก็คืออิจิโกะ ฮิโตฟุริคนหนึ่ง ถ้ารู้ตัวตั้งแต่วันแรกที่ฟื้นขึ้นมานั่นก็หมายความว่า...ส่วนลึกในใจคงจะมีความรักนี้ฝังอยู่...

หัวใจที่ถูกฉาบไว้ด้วยความเย็นชาอุ่นวาบขึ้นมาทันที น้ำใสๆไหลไปเอ่อรวมกันอยู่ที่ขอบตา มันระยิบระยับเหมือนดวงดาวสุกสกาวอยู่รอบๆดวงจันทร์จนคนมองมองมันอย่างหลงใหล ฝ่ามือแข็งแรงประคองมาที่แก้มของเขาก่อนจะแนบริมฝีปากลงมา

จุมพิตหวานล้ำค่อยๆกล้ำกลายเข้าสู่ด้านใน ปลายลิ้นร้อนสอดใส่เข้าไปกวาดต้อนความหวานในโพรงปาก เรียวลิ้นที่แลกกัน น้ำใสๆที่ผสมผสาน ริมฝีปากที่บดเบียดเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำให้สองแขนของเขาขยับไปโอบรอบลำคอของอิจิโกะโดยไม่รู้ตัว...ที่ผ่านมาเขายอมอีกฝ่ายด้วยความสับสนซ้ำยังถูกหลอกล่อด้วยจุมพิตที่ร้ายกาจ เขาต้องมารู้สึกผิดทีหลังทุกครั้งที่มีอะไรกับอิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนั้น แต่กับอิจิโกะ ฮิโตฟุริที่บอกรักเขาคนนี้...ทุกๆอย่างมันต่างกันโดยสิ้นเชิง...เขาไม่ได้สับสน เขาไม่ได้ลังเล...ที่จะตอบรับจุมพิตที่แสนหวานนี้เลย...ยอม...ให้อีกฝ่ายล่อลวงไปด้วยความสมัครใจ...

คำว่ารักแค่คำเดียวกลับมีอานุภาพมากกว่าสิ่งใดในโลก จนแม้แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ถูกมันบดบังไป

เขาหอบหายใจจนตัวโยนเมื่ออีกฝ่ายละออกไป ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจึงได้แต่นอนมองอยู่บนเตียง อิจิโกะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะกลับมาพร้อมของที่ทำให้เขาอยากจะเอาหน้ามุดผ้าห่ม

“ผมเจอนี่ในตู้เสื้อผ้า...ผม...ใช้มันกับคุณใช่ไหม?”  อิจิโกะยื่นหลอดเจลหล่อลื่นมาให้เขาดู บางครั้งเขาก็เกลียดการที่อีกฝ่ายจำอะไรไม่ได้แล้วเอาแต่ถามเขาแบบนี้จริงๆ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถามก็ได้

“เท่าที่ดูแล้วคุณก็ไม่น่าจะมีเวลาเอาไปใช้กับใคร...นอกจากผม...”  เมื่อถามมาเขาก็พยายามจะตอบกลับไป แต่ยิ่งตอบก็ยิ่งเหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง อิจิโกะที่มองเขาจากด้านบนอมยิ้มชอบใจจนเขาได้แต่พลิกกายหนี เสียงสวบสาบจึงดังอยู่ข้างหลังก่อนที่เตียงจะยุบยวบลงมาด้วยน้ำหนักของอิจิโกะ มือแข็งแรงข้างหนึ่งสอดลอดเอวเขาเพื่อปลดโอบิออกเบาๆ มืออีกข้างก็ดึงคอยูกาตะไปด้านหลัง ไหล่เปลือยเปล่ารู้สึกหนาวกับอากาศเย็นที่พัดมาต้องกาย แต่มันก็หนาวอยู่ได้เพียงไม่กี่วินาทีเมื่อปลายคางอุ่นๆขยับมาเกยทับมัน แผ่นหลังของเขาแนบชิดไปกับแผงอกของอิจิโกะที่ปลดกระดุมชุดนอนของตัวเองออกตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ผิวเนื้อที่อยู่นอกยูกาตะหลุดรุ่ยจึงรับรู้อุณหภูมิของอีกฝ่ายได้โดยตรง...รวมทั้งกล้ามเนื้อที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่บนตัวคุณชายของบ้านฮิโตฟุริด้วย ตัวก็ไม่ได้ใหญ่โตไปกว่าเขาเลยแท้ๆแต่กลับมีกล้ามเนื้อที่ได้รูปกำลังดีขนาดนี้ ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริงๆ

“นี่ มิคาสึกิ....ถึงผมจะจำอะไรไม่ได้...แต่ไม่รู้ทำไม...ผมถึงจำได้ว่าผมกับคุณทำเรื่องแบบนี้กันยังไง...”   เสียงนุ่มกระซิบอยู่ที่ใบหูก่อนจะเป่าลมร้อนๆออกมา ยิ่งรวมกับทั้งประโยคเมื่อกี้ก็มีแต่จะยิ่งทำให้เขาขดตัวเป็นกุ้ง สีแดงระเรื่อลุกลามจากใบหน้าไปจนถึงใบหู เรื่องแบบนี้ไม่ต้องจำก็ได้

และยิ่งเขาก้มหน้ามากเท่าไหร่ หลังคอและลาดไหล่ก็ยิ่งเปิดให้อีกฝ่ายจู่โจมได้มากขึ้นเท่านั้น ได้ยินเสียงอิจิโกะหัวเราะเบาๆก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะกดจูบมาตามซอกคอของเขา ความรู้สึกวาบหวามนี้มันไม่ควรจะเกิดกับเขาเลยจริงๆ ทุกๆครั้งจึงได้แต่ตั้งมั่นว่า เขาจะต้องกลับไปฝึกจิตให้มั่นคงและสงบนิ่งกว่านี้

“อึก...”  แต่ก็ได้แค่คิด...เพราะแค่มือร้อนๆนั่นสอดเข้ามาลูบไล้ที่หน้าท้องลามไปจนถึงต้นขา จิตใจของเขาก็เตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหน...ไม่ต้องคิดถึงตอนนี้ที่มือแข็งแรงอีกข้างกอดรัดหนักหน่วงก่อนจะมาวนไล้อยู่ที่จุดรวมความรู้สึกบนหน้าอกเขา  ริมฝีปากสั่นสะท้านจำต้องเม้มแน่นก่อนที่เสียงแปลกๆจะถูกเปล่งออกไป คิ้วทั้งสองข้างแทบจะผูกกันเป็นโบว์ ดวงตาดั่งดวงจันทราปิดแน่นอย่างพยายามจะรั้งสติเอาไว้ แต่ยิ่งหลับตาก็ยิ่งรับรู้ถึงสัมผัสที่ฝ่ามืออุ่นๆนั่นลากไล้ไปตามร่างกายได้ชัดเจนมากกว่าเดิมและมันก็ยิ่งเพิ่มเติมความปรารถนาให้ลุกเป็นไฟจนไม่อาจจะดับลงได้ด้วยตัวเอง

“....อิจิ...โกะ...”   ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มหนักๆก่อนจะครางชื่ออีกฝ่ายในลำคอเมื่อรู้สึกว่าที่ลาดไหล่ถูกฝังร่องรอยเอาไว้...คิสมาร์คสองกับรอยกัดอีกหนึ่ง...จริงอยู่ที่มันเจ็บและน่ากลัว แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ปรารถนามากขึ้นเมื่อนึกภาพตัวเองส่องกระจกในวันพรุ่งนี้...แล้วทั่วทั้งตัวมีแต่ร่องรอยสีกุหลาบที่อิจิโกะเป็นคนฝากมันไว้ 

ท้องน้อยรู้สึกเสียววาบเมื่อแกนกลางร่างกายถูกฝ่ามือเรียบลื่นนั่นสัมผัสเบาๆ อิจิโกะอ่อนโยนกับเขามาก...มาก...ทั้งๆที่ตัวเองก็น่าจะแทบทนไม่ไหวแล้ว เขารู้ดี จากความแข็งขืนและร้อนระอุที่แนบชิดอยู่ที่บั้นท้าย ถึงจะมียูกาตะและกางเกงนอนขวางกั้น แต่แค่รู้ว่ามันพร้อมที่จะสอดใส่เข้ามาในร่างกายของเขาก็...

“...หื๋ม...ต้องการผมเหมือนกันสินะครับ?”  เสียงกระซิบเอ่ยแซวอยู่หลังใบหูเมื่อแกนกลางร่างกายที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายขยายใหญ่ขึ้น ความชุ่มโชกตรงปลายทำให้คนข้างหลังหัวเราะเบาๆก่อนจะใช้นิ้วกดมันเอาไว้

ยูกาตะถูกถลกขึ้นมาจนต้นขารู้สึกเย็นๆ มีเพียงชั้นในที่ถูกอิจิโกะรูดออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะกดโคนขาของตัวเองสอดแทรกระหว่างต้นขาทั้งสองของเขา สัมผัสเพียงผิวเผินนั่นยิ่งเรียกร้องความต้องการให้มากขึ้นจนแทบทนไม่ได้ เขาเม้มริมฝีปากซุกหน้าร้อนเป็นไฟนั่นไว้กับหมอน

คิสมาร์คอีกสี่กระจายอยู่บนแผ่นหลัง ปลายนิ้วข้างที่เคยวนไล้ปลุกปั่นยอดอกละออกไปก่อนที่มันจะย้ายที่มายังช่องทางด้านหลัง ความอ่อนโยนของอิจิโกะทำให้เขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่าปลายนิ้วชุ่มโชกนั่นสอดใส่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งมันเพิ่มมาอีกนิ้วนั่นแหละถึงได้...

“อึก....”   เขาพยายามผ่อนลมหายใจที่หนักหน่วง นี่ไม่ใช่ครั้งแรก...เขาถึงได้พอจะรู้ว่าต้องทำยังไง...ในเวลาแบบนี้

“อื้อ~ อิจิโกะ~~”  แล้วความพยายามจะผ่อนคลายของเขาก็แทบพังทลาย ผนังภายในบีบรัดนิ้วทั้งสองโดยอัตโนมัติเมื่อมันไปสัมผัสจุดที่ไม่ควรไปสัมผัสเข้า ความต้องการแทบจะพุ่งทะลักออกไปแต่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายก็กดเอาไว้พอดี เสียงหัวเราะดังอยู่ข้างหลังก่อนที่ใบหน้าอ่อนเยาว์จะจูบที่ขมับเขาเบาๆราวกับจะขออภัย

นิสัยแบบนี้นี่มัน....แถมยังหาจุดจุดนั้นในร่างกายเขาเจออย่างง่ายดายเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าอยู่ตรงไหน...ตกลงว่าความจำเสื่อมจริงๆหรือเปล่าเนี่ย

“อึก...อื้อ....”   เขาฝังใบหน้าและเสียงครางลงไปในหมอนเมื่อนิ้วทั้งสามเริ่มขยับเข้าออก เสียงเจลหล่อลื่นที่อยู่ในร่างกายเหมือนกับจะส่งตรงมายังรูหู เขาอาจจะได้ยินมันอยู่ในหัวโดยไม่ผ่านอากาศมาเลยก็ได้ มันถึงได้ชัดจนน่าอายแบบนี้...

ลมหายใจเริ่มหอบหนักขึ้นทุกทีและอิจิโกะก็คงรู้ดีว่าเขาพร้อมเต็มที่แล้ว จากช่องทางที่เคยคับแน่นจนนิ้วแทบขยับไม่ได้ แต่ตอนนี้ทุกการเสียดสีกลับนุ่มนวลและลื่นไหล...ไม่ไหวแล้ว...ความสุขสมที่อีกฝ่ายมอบให้มันทำให้ความต้องการแทบจะทะลุเพดานอยู่รอมร่อ แต่ในขณะที่อีกไม่กี่วินาทีที่จะขึ้นถึงจุดสูงสุด นิ้วทั้งสามกลับค่อยๆถอนออกไป

“.....อิจิ...โกะ...”   เขาหันไปมองคนที่ยังมองนิ้วที่หยาดเยิ้มของตัวเองอ้อยอิ่งอยู่ข้างหลังด้วยสายตาเว้าวอน น้ำตาแห่งความปรารถนาที่ปริ่มรื้นขึ้นมาทำให้ภาพของอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่นั้นดูพร่าเลือน แผ่นอกตึงแน่นโอบกอดแผ่นหลังของเขาอย่างแนบแน่นอีกครั้ง ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลกระซิบเข้ามาที่ใบหูด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่และเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธได้

“มิคาสึกิ...ขอผมเข้าไปนะ?”  นัยน์ตาสีวอลนัททอดลึกเข้ามาในดวงตาของเขาก่อนที่จูบอ่อนโยนและแสนหวานจะมอบมาให้

“อืม....”  และแค่เขาตอบรับเบาๆในลำคอ มือแข็งแรงก็พลิกกายให้เขาหันหน้าเข้าหา สองขาถูกจับแยกออกจากกันและไม่ต้องรอนาน ความเป็นชายที่ร้อนและแข็งแกร่งดั่งเหล็กไหลก็ค่อยๆสอดแทรกเข้ามา

“อื้อ~”   อิจิโกะยังไม่ปล่อยริมฝีปากของเขาให้เป็นอิสระ เขาจึงไม่อาจเปล่งเสียงอะไรออกไปได้ บั้นท้ายที่ถอยหนีตามสัญชาติญาณก็ถูกมือของอีกฝ่ายจับเอาไว้ ร่างกายที่บิดเร่าของเขาก็ถูกร่างกายแข็งแรงทาบทับจนไม่อาจขยับได้มาก...ช้าๆ...ร่างกายของอิจิโกะ ฮิโตฟุริค่อยๆสอดใส่เข้ามาช้าๆ เขารับรู้ได้ทั้งหมดว่ามันมาถึงตรงไหนและจะเข้ามาลึกแค่ไหน...

อย่างน้อยก็หนึ่งเดือนที่ไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้ เพราะฉะนั้นความรู้สึกของเขานอกจากจะไวแล้วช่องทางข้างหลังจึงยังคับแน่นบีบรัดจนอิจิโกะต้องกัดฟัน ถึงเขาจะพยายามผ่อนลมหายใจแต่ก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร ดวงตาดั่งดวงจันทราทอดมองใบหน้าหล่อเหลาที่ขมวดคิ้วนิดๆมีเหงื่อเกาะที่ไรผมหน่อยๆ สองมือที่สั่นน้อยๆของเขาค่อยๆยกขึ้นไปประคองใบหน้าเกลี้ยงเกลานั่นก่อนจะเอ่ยออกไป

“ขยับเถอะ...ผมไม่เป็นไร...”  เขารู้ว่าอิจิโกะอยากจะอ่อนโยนกับเขาถึงได้อดทนค่อยๆเล้าโลมเขามาจนถึงตอนนี้

“แต่คุณจะเจ็บนะ...”   อิจิโกะมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง แต่เขาเองก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายทรมานจึงยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน

“ไม่เป็นไร...อิจิโกะ...”   และนั่นก็เหมือนจะทำให้เส้นความอดทนของอิจิโกะขาดลง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาขยับลงมาซบที่ไหล่เขาก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงพร่า

“ขอโทษนะ...แต่ผมไม่ไหวแล้ว...มิคาสึกิ...”

และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินและมีสติรับรู้ ก่อนที่หลังจากนั้นไฟปรารถนาจะเข้ามาครอบงำห้องทั้งห้อง  ครอบครองสมองและร่างกายของเขาให้ขยับไปตามแต่ใจอีกฝ่ายต้องการ...จวบจนฟ้าสาง...










แรงขยับที่แผ่วเบาเหมือนปุยนุ่นทำให้ใบหน้าของคนที่เพิ่งหลับได้ไม่นานเริ่มขมวดคิ้วนิดๆ ยิ่งสองหูได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆก็ทำให้เปลือกตาหนักๆค่อยๆฝืนความง่วงงุนเปิดขึ้นช้าๆ ดวงตาดั่งดวงจันทราปรับโฟกัสอยู่นานกว่าจะมองเห็นว่าฝ่ามือที่ก่อกวนการนอนของตนนั้นเป็นของใคร

“......อิจิโกะ...”   อิจิโกะ ฮิโตฟุรินอนตะแคงข้างยิ้มให้อยู่ใกล้แสนใกล้  รอยยิ้มที่อบอุ่นดั่งพระอาทิตย์ยามเช้าทำให้ทุกเรื่องราวของเมื่อคืนนี้ไหลย้อนกลับมาในหัว ใบหน้าที่นิ่งค้างของเขาค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆจนคนที่มองอยู่ส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกรอบ

“ร่างกายคุณโอเคไหม? ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”   เสียงนุ่มนวลถามมาพร้อมนัยน์ตาสีวอลนัทที่มองอย่างสำรวจไปทั่ว เขาส่ายหน้าช้าๆ ถึงความปวดเมื่อยจะยังหลงเหลืออยู่บ้างแต่ถ้าเทียบกับทุกๆครั้งแล้ว นี่น่ะดีกว่าเยอะ

เขานอนมองใบหน้าอ่อนโยนของอิจิโกะที่ยิ้มให้ในขณะที่ม้วนปอยผมของเขาเล่นไปมา  อยากให้เวลาหยุดลงอยู่แค่ตรงนี้เสียจริงๆ แต่ก็คงทำไม่ได้...


กริ๊งงงงงงง


เสียงที่ดังขึ้นมาท่ามกลางยามเช้าที่สงบสุขคือเสียงโทรศัพท์บ้านทำให้เขาพอจะเดาได้ว่าคงจะเป็นคนที่วัดโทรมา ร่างโปร่งบางจึงพยายามจะลุกแต่ดูเหมือนสิ่งที่ตกค้างอยู่ภายในจะทำให้เขาลำบากกว่าที่คิด อิจิโกะ ฮิโตฟุริจึงยิ้มให้แล้วลุกไปรับโทรศัพท์นั้นแทน

“สวัสดีครับ”   เขาเหลือบมองร่างสง่าที่ยืนรับโทรศัพท์โดยใส่แค่กางเกงนอนตัวเดียว รอยเล็บจางๆที่แผ่นหลังทำให้ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นมาอีกระลอก  ที่ผ่านมาถึงจะเคยมีอะไรกันหลายครั้งแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จบลงด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ ถ้าไม่เขารู้สึกผิดจนต้องร้องไห้ก็เป็นอิจิโกะที่หายไปจากเตียงแล้วก็ทำเหมือนการทำเรื่องแบบนี้เป็นแค่ความต้องการทางร่างกาย ไม่ได้มีพันธะผูกพันใดๆกันทางจิตใจ

“มิคาสึกิ?....ดูเหมือนจะยังไม่ลุกจากที่นอนนะครับ เมื่อคืนสงสัยจะนอนดึก”   อิจิโกะหันมายิ้มน่าตีในขณะที่ตอบปลายสายโทรศัพท์ไปแบบนั้น  เขาได้แต่อ้าปากพะงาบๆ จะส่งเสียงคัดค้านก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นปลายสายคงรู้แน่ว่าเขาอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าเช้าขนาดนี้เขาไม่น่าจะมาอยู่ในห้องนอนของอิจิโกะได้

“อ่า ครับ...แล้วผมจะบอกให้...ครับ สวัสดีครับ”  ปกติอิจิโกะ ฮิโตฟุริก็พูดจาสุภาพกับทุกคนอยู่แล้ว เขาจึงเดาไม่ถูกเลยว่ากำลังคุยอยู่กับใคร จนกระทั่งใบหน้าหล่อเหลาหันมายิ้มเฝื่อนๆให้

“คุณแม่คุณฝากบอกว่า คุณนิชิโนะมาที่วัดและเดี๋ยวอีกสักชั่วโมงหนึ่ง เธอจะมาหาคุณที่นี่”   ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบไปเพราะรู้ดีแก่ใจว่าระหว่างพวกเขามันยากที่จะถอนตัวได้แล้ว แต่ก็ยังหาทางออกให้กับเรื่องของคุณนิชิโนะไม่ได้...รู้ดีว่าพวกเขากำลังทำผิดต่อเธอ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับหัวใจที่ร่ำร้องนี่ดี...



.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.



คนที่คิดแบบนั้นคงมีแค่มิคาสึกิ มุเนจิกะคนเดียว


.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


เพราะสำหรับอิจิโกะ ฮิโตฟุริแล้ว...

สำหรับเขาแล้ว...ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง...


.
.
.
.
.
.
.
.


ร่างสง่าของว่าที่ประธานฮิโตฟุริกรุ๊ปยืนกอดอกอยู่ในห้องนอนของตัวเอง นัยน์ตาสีวอลนัทมืดมนทอดมองลงไปยังคนสองคนที่นั่งคุยกันอยู่ในสวนเบื้องล่าง  ในหัวกำลังนึกถึงเรื่องเมื่อคืนและใบหน้าอ่อนหวานของมิคาสึกิที่ยอมเขาด้วยความรัก...มันช่างเป็นรอยยิ้มที่คุ้มค่ากับการที่เขายอมทำถึงขนาดนี้เพื่อยื้อเวลาเอาไว้เสียจริงๆ

รอยยิ้มเย็นๆปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา สายตาขยับมามองหญิงสาวที่อยู่ในชุดกิโมโนเรียบร้อยคนนั้น...ผู้หญิงที่น่าสงสาร...อีกไม่นานหรอกงานหมั้นที่สวยงามราวกับความฝันนั้นก็จะต้องถูกยกเลิกไป เพราะมิคาสึกิเป็นของเขา เป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น

มือแข็งแรงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะกดโทรหาคนที่เป็นดั่งมือขวาของตน

“คุณอิจิโกะ?”   นากาซากิ โซชิโร่รับสายทันที ระหว่างพวกเขามักไม่มีพิธีรีตองอย่างเจ้านายกับลูกน้องทั่วไป เพราะนากาซากิทำงานกับเขามานานมาก เป็นมือขวาของเขามาตั้งแต่เขายังเรียนไม่ทันจะจบม.ปลายเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นนากาซากิจะรู้ไส้รู้พุงของเขาดี นอกจากนี้ยังรู้ทันเขาไปซะทุกเรื่อง

“ที่ผมสั่งให้ซื้อหุ้นของ นิชิโนะ อินดัสเตรียล มาตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว?”

“เรียบร้อยแล้วคร้าบ~ เซ็นต์สัญญาในนามอาวาตะกุจิไปนะครับ”  นากาซากิตอบกลับมาด้วยเสียงยานคาง ทำให้นึกถึงใบหน้าเถื่อนๆเหมาะจะเป็นยากูซ่ามากกว่าเลขาของหมอนั่นขึ้นมาเลย

“ดี ถ้างั้นก็ทำตามแผนต่อไปได้แล้ว แล้วก็อย่าทำอะไรให้มิคาสึกิสงสัยได้เป็นอันขาด...ว่าผมไม่ได้ความจำเสื่อม...ไม่อย่างนั้นผมจะเล่นงานคุณ”  อันที่จริงเขาไม่ได้ห่วงนักหรอกว่ามิคาสึกิจะสงสัยหรือไม่ ยิ่งสงสัยสิยิ่งดี เขาจะได้รู้ว่ามิคาสึกิเลือกที่จะเชื่อเขาต่อไปทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าความจริงมันเป็นยังไง...เพราะนั่นหมายความว่า มิคาสึกิรักเขาและอยากจะอยู่กับเขาแบบนี้ต่อไป...แต่ที่เขาบอกนากาซากิไปแบบนั้นเขาหมายถึง...อย่าทำอะไรให้มิคาสึกิมีข้ออ้างที่จะไปจากเขาได้เป็นอันขาดต่างหาก

“กำชับคุณหมอที่โรงพยาบาลให้ดีด้วย แค่นี้นะ”  โทรศัพท์ถูกตัดสายไป ในขณะที่เขาก็ยังคงจ้องมองคนที่นั่งอยู่ในสวนไม่วางตา...คุณผิดเองนะ มิคาสึกิ...ที่มาทำให้คนอย่างผมหลงรัก...














“ฉันคงไม่ได้มารบกวนคุณใช่ไหมคะ? ดูคุณเพลียๆ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”   นิชิโนะ โชโกะ เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทางเกรงใจเมื่อเหลือบขึ้นมามองเห็นสภาพอิดโรยของว่าที่คู่หมั้นของเธอเข้า

“เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร คงจะแค่นอนไม่พอ...”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลเสหลบสายตาของหญิงสาวอย่างรู้สึกผิด ฝ่ามือเผลอขยับมาทาบทับที่สาบเสื้อกิโมโนเพื่อตรวจดูว่ามันไม่ได้เผยรอยแหวกใช่ไหม เพราะข้างใต้กิโมโนสีดำที่เขาสวมอยู่นี้มันมีแต่ร่องรอยที่อิจิโกะทิ้งเอาไว้ จะให้คุณนิชิโนะเห็นไม่ได้ พยายามจะไม่พูดโกหกแต่ในใจก็รู้ดีว่ากำลังหลอกลวงเธออยู่  เขามันช่างบาปหนา เป็นผู้รักษาศีลแท้ๆแต่กลับทำผิดหมดทุกอย่าง...ยิ่งคิด จิตใจก็ยิ่งห่อเหี่ยวลงไปอีก

“พอดีที่บ้านได้ส้มรสดีมาจากสวนที่รู้จักกันน่ะค่ะ เลยแบ่งมาให้ท่านแม่ของคุณ ท่านแม่เลยบอกว่าให้มาดูคุณหน่อย ช่วงนี้เอาแต่ขลุกอยู่กับคุณฮิโตฟุริทั้งวัน...อาการเค้าเป็นยังไงบ้างคะ? พอจะจำอะไรได้บ้างหรือยังคะ?”   เขาส่ายหน้าแทนคำตอบ

“งั้นเหรอคะ...”  หญิงสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเจือความผิดหวังเล็กน้อย เพราะสำหรับเธอแล้วการที่อิจิโกะ ฮิโตฟุริไม่หายเสียทีมันคืออุปสรรคชิ้นใหญ่ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนั้นเข้าไปช่วยว่าที่คู่หมั้นของเธอจนบาดเจ็บแล้วก็ความจำเสื่อม ทำให้ว่าที่คู่หมั้นของเธอต้องรับผิดชอบด้วยการคอยอยู่ดูแลแล้วละก็...ป่านนี้เธอก็อาจจะได้แต่งเข้าบ้านมุเนจิกะไปแล้วก็ได้

“ผมต้องขอโทษด้วยนะ...เรื่องงานหมั้นของเรา...”   แต่สำหรับมิคาสึกิ มุเนจิกะแล้ว การที่อิจิโกะยังไม่ได้ความทรงจำคืนมา กลับเป็นการยืดเวลาให้เราได้อยู่ด้วยกันต่อไปอีก

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...คุณต้องดูแลเค้า ฉันเข้าใจ...”   เพราะคุณนิชิโนะเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและแสนดีแบบนี้ เขาถึงได้ไม่สามารถจะทำร้ายและปฏิเสธเธอได้  เพราะคุณนิชิโนะกับอิจิโกะ ฮิโตฟุริก้าวเข้ามาในชีวิตเขาพร้อมๆกัน กว่าเขาจะรู้ตัวว่าหัวใจของเขาเลือกใคร อีกคนที่เหลืออยู่ก็คงต้องพบกับความเจ็บปวดไปแล้ว

“แต่ว่า...ฉันเป็นห่วงคุณนะคะ...จากที่ผ่านมา...สิ่งที่เค้าเคยทำกับคุณไว้...ถึงคุณจะดูแลเค้าดีแค่ไหน...ตอนนี้เค้าอาจจะทำดีกับคุณก็เพราะว่าความจำเสื่อม แต่เมื่อใดที่ความทรงจำของเค้ากลับคืนมา...เค้าก็จะกลับไปเป็นอิจิโกะ ฮิโตฟุริที่ไม่เคยเห็นคุณมีค่าอะไรในสายตาของเค้านอกจากเป็นสิ่งที่ติดมากับที่ดินผืนนั้นก็เท่านั้น...”  

“ฉันไม่อยากให้คุณต้องเจ็บปวดกับเรื่องของเค้าอีก...”   นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาต้องเก็บเอามาคิด...อิจิโกะ ฮิโตฟุริที่อ่อนโยนกับเขา อิจิโกะ ฮิโตฟุริที่ยิ้มให้เขาราวกับดวงตะวันที่อบอุ่นคนนี้...จะอยู่กับเขาไปอีกนานแค่ไหน

แล้วถ้าหากผู้ชายคนนั้นได้ความทรงจำกลับคืนมา...จะเรียกคืนคำบอกรักคำนั้นกลับไปไหม...

เพราะเขาก็รู้ดี ว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาก็เป็นเพียงสมบัติชิ้นหนึ่งของอิจิโกะ ฮิโตฟุริ...เป็นเพียงสิ่งของที่ติดมากับที่ดินที่อีกฝ่ายอยากได้เพียงแค่นั้น...

























จุดเริ่มต้นของพวกเราคือที่ดินผืนหนึ่ง...


เมื่อมองย้อนกลับไป หนึ่งปีกับอีกสี่เดือน...





















ติ๊ง....

เสียงลิฟท์ดังขึ้นบ่งบอกว่าชั้น 72 ของตึกฮิโตฟุริกรุ๊ปกำลังมีคนมาเยือน  และประตูลิฟท์ยังไม่ทันจะเปิดดีร่างสง่าในสูทเข้ารูปสีเข้มก็ก้าวขาฉับๆออกมาก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องของประธานกรรมการทันที ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะยิ้มให้ทุกคนเสมอบัดนี้มีแววเครียดขึงขึ้นมาเล็กน้อย ปอยผมสีน้ำทะเลพลิ้วไหวไปตามจังหวะการก้าวเดินที่ดูจะเร่งรีบทีเดียว

ภายในห้องประธานกรรมการมีคนนั่งอยู่ที่โซฟาสองคน คนหนึ่งก็คือเจ้าของห้องนี้และเป็นพ่อของเขา  ส่วนอีกคนคือนายหน้าติดต่อเจรจาเรื่องที่ดินมือดีที่สุดของบริษัท ดูจากสีหน้าที่เคร่งเครียดของทั้งสองคนเขาก็พอจะเดาได้แล้วว่าผลของการเจรจาเป็นยังไง

“อิจิโกะ มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ คงต้องคุยกันยาว”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลพยักรับคำเชิญของผู้เป็นพ่อก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงไปบนโซฟาที่ว่างอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ เขาหันไปทักทายอีกคนที่เหลือด้วยความเป็นกันเอง

“ขนาดคุณยังเจรจาไม่สำเร็จเลยเหรอเนี่ย ชักอยากจะรู้จักเจ้าบ้านมุเนจิกะซะแล้วสิ”   ถึงริมฝีปากจะเอ่ยหยอกแต่คิ้วเรียวก็กระตุกอยู่หลายที  ก็ถ้าถึงขนาดที่ผู้ชายคนนี้ยังเจรจาไม่สำเร็จ คงไม่มีนายหน้าคนไหนในญี่ปุ่นทำได้แล้วละ

นัยน์ตาสีวอลนัทเหลือบมองรูปถ่ายที่ฉายอยู่ในหน้าจอโน้ตบุค...สิ่งที่พวกเขากำลังให้ความสนใจอยู่ก็คือที่ดินผืนหนึ่ง

มันเป็นที่ดินที่สวยมาก...สวยจนแปลกใจที่มันยังว่างเปล่า ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆอยู่บนที่ดินผืนนั้น ทั้งๆที่ดูจากสายตาของผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างพวกเขาแล้ว...ที่ดินผืนนั้นสามารถทำเงินได้หลายพันล้านต่อปีเลยทีเดียวถ้าเปลี่ยนมันเป็นโรงแรมระดับห้าดาวภายใต้เครือฮิโตฟุริกรุ๊ปของพวกเขา

แต่เจ้าของที่กลับปล่อยมันไว้เฉยๆเสียแบบนั้น...

พวกเขาส่งคนไปสืบหา...ว่าคนบ้าๆที่ครอบครองที่ดินพันล้านแบบนี้เอาไว้โดยไม่ทำอะไรเลยนี่มันเป็นใครกัน...แต่พอรู้แล้วกลับไม่แปลกใจ ในเมื่อที่ดินผืนนั้นเป็นของตระกูลมุเนจิกะ...ตระกูลที่สืบทอดวัดใหญ่ชื่อดังที่สุดในโตเกียว

ตระกูลมุเนจิกะเองก็เป็นตระกูลเก่าแก่ ถ้าสืบตามเชื้อสายกันจริงๆ ดีไม่ดีที่ดินผืนนั้นอาจจะเคยเป็นที่ดินของโชกุนไม่ก็ไดเมียวมาก่อนก็ได้ ก่อนจะถูกยกให้เป็นสมบัติตกทอดกันมาอย่างยาวนานในตระกูลนี้

วัดของบ้านมุเนจิกะเองก็มีผู้อุปถัมภ์อยู่ในทุกวงสังคม ไม่ว่าจะระดับใหญ่อย่างเชื้อพระวงศ์ นักการเมือง มหาเศรษฐี มีคนนับหน้าถือตาอยู่ในทุกวงการทุกอาชีพ แม้แต่คนระดับกลาง ระดับล่าง ต่างก็ถูกความสงบของวัดนั่นซื้อใจไปหมดแล้วเช่นกัน...เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่อาจใช้กำลังบังคับได้ มีทางเดียวคือการเจรจาเท่านั้น

แน่นอนว่าวัดชื่อดังขนาดนั้นย่อมรวยมากอยู่แล้ว เจ้าบ้านมุเนจิกะจึงไม่เคยคิดที่จะขายที่ดินผืนนั้น ต่อให้นายหน้าจะเสนอราคาแพงลิ่วแค่ไหนหรือเอาของมีค่าอะไรไปขอแลกเปลี่ยนก็ตาม

พวกเขาส่งนายหน้าไปเจรจาคนนี้เป็นคนที่สิบแล้วพอดี คนของเขาที่ว่าเก่งกาจขนาดไหนยังต้องพ่ายแพ้กลับมาทุกราย จากแค่ความอยากได้จึงเริ่มเปลี่ยนเป็นความท้าทาย

ไม่เคยมีใครกล้าปฏิเสธฮิโตฟุริกรุ๊ปขนาดนี้...

ไม่เคยมีที่ดินผืนไหนในญี่ปุ่นที่พวกเขาอยากได้แล้วไม่ได้


“พ่อคิดว่าเราสองคนคงต้องไปเจรจาด้วยตัวเอง”  


นั่นคือบทสรุปที่ออกมาจากปากของผู้เป็นพ่อหลังจากที่เขานั่งฟังทั้งสองคนคุยกันมาเกือบครึ่งชั่วโมง เขาพยักหน้ารับง่ายๆเพราะคิดเอาไว้อยู่แล้ว...ว่าคนระดับเจ้าบ้านมุเนจิกะเจ้าของตระกูลเก่าแก่แบบนั้น ถ้าไม่ใช่คนที่ระดับเท่ากันก็คงไม่ได้

“ให้นากาซากิโทรไปนัดทางวัดก็แล้วกัน ว่าเราสองคนจะเข้าไปพรุ่งนี้”   พ่อหันมาพูดกับเขาในขณะที่ลุกขึ้นยืนส่งนายหน้าที่เดินคอตกออกจากห้องไป

“ครับ”  เขารับคำก่อนจะมองผู้เป็นพ่อด้วยประกายตาแรงกล้า

“ไม่ว่าจะทำยังไงหรือจะต้องใช้เงินมากแค่ไหน ก็ต้องทำให้ที่ดินผืนนั้นเป็นของฮิโตฟุริกรุ๊ปให้ได้ เข้าใจนะ อิจิโกะ”

“ครับ”











เมอซิเดสเบนซ์สีดำคันใหญ่แล่นผ่านเงาไม้ที่ร่มรื่นและบรรยากาศที่สงบร่มเย็นของวัดเข้าไปก่อนจะจอดลงหน้ากลุ่มอาคารที่อยู่ด้านในตามที่ได้รับเชิญเอาไว้  พ่อลูกฮิโตฟุริก้าวขาลงมาจากรถก่อนจะขยับสูทเนื้อดีให้เข้าที่เข้าทางยิ่งทำให้ทั้งสองคนดูภูมิฐานยิ่งขึ้นไปอีก

หลังจากให้นากาซากิติดต่อขอเข้าพบท่านเจ้าอาวาสหรือก็คือเจ้าบ้านมุเนจิกะ พวกเขาก็ได้รับคำตอบหลังจากนั้นอีกสองสามวันว่าคนที่ปฏิเสธนายหน้าเจรจาเรื่องที่ดินของเขาคนแล้วคนเล่า ยินดีจะให้เขาสองพ่อลูกได้เข้าพบ

ถ้าไม่ใช่คนระดับเดียวกัน...ก็ไม่ได้จริงๆด้วยสินะ...

ในห้องแบบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ ทั้งสองฝ่ายนั่งเผชิญหน้ากัน ท่านเจ้าอาวาสมาต้อนรับพวกเขาสองพ่อลูกตามลำพัง ชายวัยเดียวกับพ่อของเขาคนนั้นอยู่ในชุดกิโมโนสีดำของพระและมีใบหน้าที่ดูแตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้มาก อีกฝ่ายไม่ได้เป็นตาแก่หัวรั้นที่จะชี้นิ้วไล่นายหน้าของเขาได้แต่กลับกลายเป็นชายผู้มีท่าทีสงบแต่ก็มีความเคร่งขรึมและเข้มงวดอยู่ในที เรียกว่าสมกับที่เป็นพระและมีชาติตระกูลที่ดีเลยทีเดียว แค่เห็นสีหน้าท่าทางของท่านเจ้าอาวาสเขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมนายหน้ามือดีของเขาถึงเจรจาไม่สำเร็จ  ก็คนแบบนี้คงไม่มีอะไรจะมาสร้างกิเลสให้ได้อีกแล้วละ ไม่ว่าจะชื่อเสียงเงินทองหรือทรัพย์สินอะไรก็คงไม่อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายอีกแล้ว...แล้วแบบนี้...เขาจะต้องทำยังไงถึงจะได้ที่ดินผืนนั้นมากันล่ะ?

ในขณะที่อิจิโกะ ฮิโตฟุริกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ดวงตาคมกล้าของเจ้าอาวาสก็จ้องมองเด็กหนุ่มไม่วางตา ไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า มองทุกๆอากัปกิริยาที่เด็กหนุ่มเผยออกมา ไม่มีใครในญี่ปุ่นไม่รู้จักฮิโตฟุริกรุ๊ปและลูกชายคนโตก็สมคำล่ำลือจริงๆ เจ้าของบ้านมุเนจิกะยังคงมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาชื่นชม

“ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสนะครับ ที่ยอมให้พวกเราพ่อลูกเข้าพบ”  ฮิโตฟุริคนพ่อเป็นคนเอ่ยออกมาก่อน

“ยินดีครับ ความจริงเราก็เคยเจอกันในงานพิธีการต่างๆอยู่บ่อยๆแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้คุยกันเสียที”  เจ้าบ้านมุเนจิกะยิ้มบางๆ เป็นอย่างที่พูด พวกเขาเจอกันในงานพิธีการต่างๆอยู่เรื่อยๆเพราะทางวัดได้รับนิมนต์ให้ไปทำพิธีกรรมให้กับกลุ่มคนในวงสังคมชั้นสูงอยู่ตลอดส่วนประธานฮิโตฟุริกรุ๊ปก็มักจะถูกเชิญไปงานพวกนี้เช่นกัน...แต่กับอิจิโกะ ฮิโตฟุริ...นี่คือครั้งแรกที่ได้เจอกัน

ถึงจะเพิ่งได้เจอตัวเป็นๆเป็นครั้งแรก แต่เรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้เขากลับได้ยินมานานแล้ว ก็อย่างที่บอกว่าเขาไปทำพิธีกรรมให้กับกลุ่มคนในวงสังคมชั้นสูงอยู่บ่อยๆ ถึงจะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ได้ยินคนพูดถึงความเก่งกาจของเด็กหนุ่มคนนี้มาไม่น้อย และมันก็คงจะไม่ใช่แค่ข่าวลือถ้าดูจากผลประกอบการของฮิโตฟุริกรุ๊ปในช่วงหลายปีให้หลังมานี้ ยิ่งได้มาเจอหน้ากันตรงๆ บุคลิกที่สุขุมนุ่มนวลและสง่างามของเด็กหนุ่มก็ทำให้เขาตัดสินใจได้เสียที...

“มาเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะครับ ท่านเจ้าอาวาสคงรู้อยู่แล้วว่าที่ผมมาก็เป็นเพราะเรื่องที่ดินผืนนั้น...พวกเราสนใจมันมากจริงๆ และถ้าจำนวนเงินที่เสนอมาก่อนหน้านี้มันยังน้อยเกินไป ท่านเจ้าอาวาสลองบอกจำนวนที่อยากได้มาก็ได้ครับ ผมยินดีพิจารณา”   ฮิโตฟุริคนพ่อเอ่ยเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา เจ้าบ้านมุเนจิกะจึงส่ายหน้าน้อยๆ

“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาของทางเราเลย ต่อให้ไม่ขายที่ดินผืนนั้นพวกเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”   ใบหน้าสงบยังคงปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

“ถ้าอย่างงั้น...มีอะไรที่ท่านเจ้าอาวาสอยากได้ไหมล่ะครับ? พวกผมยินดีจะไปหามาให้...ที่ดินผืนนั้นมีค่ามากผมรู้ แต่พวกเราก็อยากเอามันมาใช้ประโยชน์ดีกว่าปล่อยมันไว้เฉยๆ อยากทำให้มันมีค่าสมราคาของมัน”   ประธานฮิโตฟุริกรุ๊ปยังคงรุกต่อไป เพราะท่าทางของเจ้าบ้านมุเนจิกะนั้นมีอะไรบางอย่างที่บ่งบอกว่าไม่ได้คิดจะปฏิเสธพวกเขาอย่างไร้เยื่อไย จากสายตาที่โชกโชนด้วยประสบการณ์ของเขามันกลับบอกได้ว่า ลึกๆแล้วท่านเจ้าอาวาสอาจจะไม่ได้สนใจที่ดินผืนนั้นเลยก็ได้ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงมูลค่ารวมไปถึงคุณค่าของที่ดินผืนนั้นเลยตั้งแต่เริ่มเจรจากันมา จริงๆแล้วเจ้าบ้านมุเนจิกะอาจจะไม่ได้ยึดติดกับที่ดินผืนนั้นอย่างที่พวกเขาคิดมาตลอดก็ได้

อาจจะยอมขายให้ ถ้าพวกเขามีอะไรที่สูงค่าพอจะไปแลกมันมา

“อะไรที่อยากได้?”  ใบหน้าสงบเงยขึ้นมาถามย้ำประโยคนั้นและมันก็ทำให้ฝ่ายยื่นข้อเสนอเริ่มมีรอยยิ้มในใจ

“ใช่ครับ...มันอาจจะไม่ใช่ทรัพย์สินที่หาซื้อได้ด้วยเงิน แต่ถ้าท่านเจ้าอาวาสมีอะไรที่อยากได้ ลองบอกผมมาก่อนก็ได้ ผมจะพยายามหามาให้”   เจ้าบ้านมุเนจิกะนิ่งไปพักใหญ่หลังจากที่ได้ฟังข้อเสนอ ก่อนที่ใบหน้าสงบจะถอนหายใจออกมา

“ถ้าถามว่ามีสิ่งที่ผมอยากได้ไหมก็คงต้องบอกว่า มี...”   จู่ๆเจ้าบ้านมุเนจิกะก็ลุกออกไปจากวงสนทนา ร่างสูงใหญ่ในกิโมโนสีดำเดินไปยังประตูเลื่อนซึ่งไม่ได้กรุด้วยกระดาษอย่างประตูกั้นห้องทั่วไป แต่เพราะเป็นประตูที่กั้นระหว่างภายในกับสวนที่อยู่ภายนอก บานประตูจึงเป็นกระจกแทนและเพราะมองตามท่านเจ้าอาวาสไป สองพ่อลูกฮิโตฟุริถึงได้เพิ่งสังเกตเห็นเรือนน้ำชาหลังเล็กที่ตั้งอยู่ในสวน

ในเรือนน้ำชานั้นมีคนนั่งอยู่สองคน...

คนหนึ่งเป็นเด็กสาวที่มีหน้าตาสะสวย ร่างเล็กบางที่กำลังชงชาอยู่ในกิโมโนเรียบร้อยส่งให้แลดูเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แต่คนที่สะกดสายตาของอิจิโกะ ฮิโตฟุริกลับไม่ใช่เธอ...แต่เป็นชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันนั่นมากกว่า

นัยน์ตาสีวอลนัทมองเลยเด็กสาวที่เขาควรจะมองคนนั้นไป เพราะอะไรบางอย่างบนร่างกายโปร่งบางซึ่งสวมกิโมโนสีดำของพระนั่นกลับดึงดูดใจของเขามากกว่า...อะไรบางอย่าง...ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ  เขาเห็นผู้หญิงสวยๆมามากมายแต่ความงดงามอย่างยากจะบรรยายของชายหนุ่มคนนั้นต่างหากที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน  ใบหน้าที่กำลังจิบชาอย่างสบายอารมณ์มันทำให้เขานึกถึงสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถจะหาอะไรมาเปรียบได้...

“นั่นคือลูกชายกับลูกสาวของผม”  ท่านเจ้าอาวาสพูดออกมาในขณะที่ทอดสายตามองทั้งสองคนที่นั่งอยู่ในเรือนน้ำชา มิน่าล่ะ ชายหนุ่มคนนั้นถึงได้ใส่กิโมโนแบบพระ ที่แท้ก็คงจะเป็นทายาทผู้สืบทอดวัดนี้ต่อจากท่านเจ้าอาวาสนั่นเอง แล้วสายตาที่กำลังถูกชายหนุ่มคนนั้นดึงดูดของเขาก็ถูกดึงกลับมาด้วยคำพูดที่ทำเอาร่างทั้งร่างนิ่งค้างไป

“ผมเป็นห่วงพวกเขาพอๆกับที่ดินผืนนั้น ถ้าถามว่าผมต้องการอะไรก็คงตอบได้แค่ว่า...ผมต้องการคนที่จะมาดูแลลูกสาวของผม...พวกคุณ...คิดว่าจะหาคนคนนั้นให้ผมได้ไหมล่ะ?”

สิ้นคำพูดของท่านเจ้าอาวาส พ่อลูกฮิโตฟุริถึงกับหันไปมองหน้ากันเพราะเข้าใจความหมายของเจ้าบ้านมุเนจิกะแทบจะทันที...สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการไม่ใช่เงิน...

แต่เป็นการแต่งงานระหว่างคนในตระกูลฮิโตฟุริของเขากับเด็กสาวคนนั้น แน่นอนว่าเจ้าบ่าวที่จะทำให้ทางฝ่ายมุเนจิกะพอใจคงจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากเขา อิจิโกะ ฮิโตฟุริ ลูกชายคนโตของบ้านฮิโตฟุริเท่านั้น

ของที่สูงค่าพอจะแลกกับที่ดินผืนนั้นได้ ก็คือ ชีวิต อิสระ และอนาคตของเขา...











พ่อลูกฮิโตฟุริกลับมาปรึกษาหารือกันต่อที่บ้าน

มันเป็นการต่อรองที่ร้ายไม่เบา ท่านเจ้าอาวาสคงจะคิดว่าพวกเขาคงยอมแพ้แน่ๆถ้าต้องแลกที่ดินผืนนั้นกับการแต่งงานของลูกชายคนสำคัญอย่างอิจิโกะ ฮิโตฟุริ และฮิโตฟุริคนพ่อเองก็เห็นสมควรว่าพวกเขาไม่ควรจะใช้การแต่งงานที่มีค่าของอิจิโกะเพื่อแลกกับที่ดินผืนเล็กๆแค่นั้น มันไม่คุ้มกันเลย

“อิจิโกะ...เรื่องนี้พ่อจะไม่บังคับลูกหรอกนะ การแต่งงานของลูกมีค่ามากกว่าที่ดินผืนนั้น ลูกตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน”  เจ้าบ้านฮิโตฟุริถอดสูทส่งให้สาวใช้ในขณะที่พูดออกไป และในขณะที่คิดว่าคงต้องตัดใจจากที่ดินผืนนั้น คำตอบที่ดังจากปากของลูกชายกลับทำให้เขาชะงักค้าง

“ผมตกลงครับ”

“อิจิโกะ...”  ใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยหันไปมองผู้เป็นลูกชายอย่างตกตะลึง

“ผมจะแต่งงานกับเธอ  ตอนนี้ผมเองก็ไม่มีใคร ไม่ได้สนใจผู้หญิงคนไหนอยู่ แล้วเท่าที่ดู ตระกูลมุเนจิกะเองก็เป็นตระกูลที่ดี เหมาะสมกับพวกเราทุกอย่าง และผมเชื่อว่าท่านเจ้าอาวาสไม่ได้คิดจะมาหาผลประโยชน์อะไรจากพวกเราเหมือนคนอื่นๆ เขาคงแค่เป็นห่วงลูกสาวของเขาจริงๆ คงแค่อยากจะหาผู้ชายที่ดีพร้อมเพื่อมาดูแลลูกสาวของเขาเท่านั้นแหละครับ”  ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเอ่ยตอบกลับมาด้วยเสียงนุ่มนวล

“........ถึงพ่อจะบอกว่า ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ต้องทำให้ที่ดินผืนนั้นเป็นของเราให้ได้...แต่พ่อก็ไม่ได้คิดนะว่าจะต้องให้ลูกเอาตัวเข้าไปแลกแบบนี้...อิจิโกะ...คิดให้ดี...ถึงลูกจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องความรัก แต่การแต่งงานนั้นทำได้ครั้งเดียวนะ ถ้าจะแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ พ่อกลับคิดว่ายังมีคุณหนูอีกหลายคนที่น่าสนใจกว่านี้...”

“แต่ผมกลับคิดว่า ตระกูลมุเนจิกะนั้นน่าสนใจมาก”  ใบหน้าของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในเรือนน้ำชาลอยขึ้นมาในหัวของอิจิโกะ ฮิโตฟุริก่อนที่ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลจะยิ้มนิดๆที่มุมปาก ซึ่งมันก็ทำให้ผู้เป็นพ่อได้แต่ถอนหายใจ ไม่เข้าใจลูกชายคนนี้เลยจริงๆว่าไปตกหลุมอะไรวัดเก่าๆนั่นเข้า? ถ้าจะแต่งงานเพื่อธุรกิจละก็ ไปแต่งกับลูกสาวมหาเศรษฐีไม่ดีกว่าหรือยังไง? ถึงตระกูลมุเนจิกะจะรวยมากแต่ถ้าจัดอันดับแล้วก็ยังมีผู้หญิงที่เกรดดีกว่านี้อีกตั้งหลายคน 

นัยน์ตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมองรอยยิ้มของลูกชายอีกรอบ ลองได้ยิ้มเหมือนเจอของเล่นถูกใจแล้วแบบนั้น คนเป็นพ่ออย่างเขาจะทัดทานไปก็คงเปล่าประโยชน์

“เอาเถอะ ถ้าลูกตกลงพ่อก็คงว่าตามนั้น ถ้างั้นก็ให้นากาซากินัดกับทางวัด ว่าเราจะไปให้คำตอบพวกเขาพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”   การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เขาไม่คิดว่าอิจิโกะจะตัดสินใจง่ายๆ ลูกชายของเขาคงวางแผนอะไรบางอย่างเอาไว้ในใจแล้วละ เขาก็แค่เดินหมากไปตามที่ลูกชายต้องการก็คงพอ






.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.











ภาพปลากรอบฟิค(?) // ปิดหน้า >/////<

ก็นะ...สรุปว่าแหลจริงๆสินะคะพ่อพระเอกของเรา =w= แหลอย่างมีชั้นเชิง แหลอย่างมีระดับ สมเป็นสตอเบอรรี่พรีเมี่ยม 55555+ >////< รักอิจินี่ที่เป็นแบบนี้นะคะ แบบยาซาชี่ก็รักกกกก จุ๊ฟๆๆ

เริ่มเข้าสู่บทย้อนอดีตแล้ว เย้ๆๆ ตอนวางพล็อตนี่มันมากค่ะช่วงที่ทั้งสองคนเพิ่งจะรู้จักกัน คือปู่น่ารักมว๊ากกกก ส่วนอิจินี่ก็หล่อเลว(?)มว๊ากกกก แต่ไม่ต้องห่วงนาคะ อิจินี่ไม่ใช่พระเอกที่เลวร้ายที่สุดในซีรี่ย์ “จะรักตลอดไป” หรอกค่ะ คิดว่านะ 55555+ คือถ้าใครตามอ่านซีรี่ย์นี้มาก็จะรู้ว่า พระเอกของซีรี่ย์นี้มันจะมีสโลแกนว่า รักแท้ต้องแย่งชิง รักไม่จริงคือเสียสละ ค่ะ 55555+ (จากหนังอะไรซักเรื่องนี่แหละ ลืมถถถ) เพราะงั้นพ่อพระเอกแต่ละคนของซีรี่ย์นี้นี่จะเลวร้ายขั้นสุด เพื่อให้ได้นายเอกมา =v=b

ก็มีความรู้สึกว่าอิจินี่ผู้ยาซาชี่ของน้องๆนี่เหมือนจะมีอะไรแอบแฝง  คุณกวางไม่ได้เล่นเกมดาบนะ เลยไม่รู้ว่าอิจินี่ในเกมเป็นยังไง แต่เท่าที่เห็นในอนิเมะนี่พี่ท่านดูไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับการที่ตัวเองความจำเสื่อมเพราะถูกเผาเล้ย ที่ไม่ทุกข์ร้อนขนาดนี้เพราะที่จริงไม่ได้ความจำเสื่อมป่ะคะอิจินี่คะ :v ก็มโนกันไปอย่าถือสาอะไรกับคุณกวางมัน555+  แหม แต่ความคุณชายที่มีกลิ่นเอสนิดๆแต่พยายามปกปิดไว้ของอิจินี่นี่ชอบมากจริงๆค่ะ =q= ในอนิเมะมีหลายครั้งเลยที่อิจินี่มักจะยืนยิ้มเย็นๆ อยู่เฉยๆแล้วแบมือเรียกให้น้องๆวิ่งเข้ามาหาเอง คือไอ้ความยืนยิ้มอยู่เฉยๆแล้วเคะต้องเข้ามาหาเองแบบถูกบังคับนิดๆนี่ถ้าไม่ใช่เมะสายเอสนี่ทำไม่ได้เรยนะคะะะะ >////< // ก็มโนกันไปอีกรอบถถถ

ส่วนเนื้อหาของฟิคตอนนี้ อาจจะคิดว่าเฉลยเร็วไปหรือเปล่าเรื่องที่อิจินี่ไม่ได้ความจำเสื่อม...ไม่ค่ะ...เป็นความตั้งใจของคุณกวางค่ะ ที่อยากจะให้คนอ่านได้เห็นความร้ายกาจในความพยายามจะแถ จะแหล จะหลอกคนอื่นๆว่าตัวเองความจำเสื่อมของพ่อพระเอกเค้าน่ะค่ะ 55555 // โดนอิจินี่สับเป็นหมื่นชิ้นถถถถ

ขอบคุณทุกๆการติดตาม ทุกๆคอมเม้นต์มากๆนะคะ =////= แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ

แปะเพลงแรงบันดาลใจของฟิคซีรี่ย์หล่อเลว(?) ที่ฟังมาตั้งแต่ภาคน้องฟ้ากับคุณชิราสึ ก๊ากกก เพลง รถของเล่น ของเสือโคร่งค่ะ











1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ22 เมษายน 2561 เวลา 07:51

    เย้! ดีใจ อัพแล้วๆๆๆๆ��������
    อหหหหหหห อิจินี่คะะะะะะ สตรอเบอร์รี่ได้โล่สมชื่อจริงจริ๊งงงงงง5555 ปู่คะ อย่าไปเชื่อมันนนนนนน
    พาร์ทอดีตน่าสนใจมากค่ะ จะได้รู้แล้วว่าเป็นยังไงมายังไง

    #อ๊ะ บ้านซังโจในฟิคนี้มีแค่ปู่สินะคะ (จริงๆยังมีอิมะจัง พี่อิวะ โคกี้ กับหมออิชิด้วยนี่นา555) ปู่เลยมีน้องสาวมาแทน (ให้จินี่แหลและแถไปเรื่อยๆ พ่อคุ๊ณ5555)

    ตอบลบ