Touken Ranbu Au Fic [Ichigo x Mikazuki] จะรักตลอดไป : 02


Touken Ranbu Au Fic [Ichigo x Mikazuki]  จะรักตลอดไป : 02

: Touken Ranbu Fanfiction Au
: Ichigo Hitofuri x Mikazuki Munechika
: Dark Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
         




ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลก้มลงไปจรดฝ่ามือที่พนมกันอยู่ที่หน้าอกเมื่อสวดมนต์จบ  มิคาสึกิ มุเนจิกะละสายตาออกไปมองท้องฟ้าที่มืดสลัว ใจกลางเมืองใหญ่อย่างโตเกียวไม่มีทางได้เห็นดาวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นร่างโปร่งในกิโมโนสีขาวที่ใส่นอนจึงขยับกายเตรียมจะล้มตัวลงบนฟูก อากาศช่วงนี้ยังต้องใช้ผ้าห่มผืนหนา สองขาจึงสอดเข้าไป แต่ก่อนที่แผ่นหลังจะได้สัมผัสกับพื้นนิ่มๆของฟูก...

เพล้ง!!

เสียงแก้วแตกก็ทำให้ไหล่ทั้งสองข้างของเขาถึงกับสะดุ้งโหยง บ้านหลังนี้อยู่ติดกับวัดซึ่งเงียบสงัดและอาณาบริเวณของมันก็ใหญ่โตทำให้อยู่ห่างออกมาจากข้างบ้านพอสมควร ฉะนั้นโดยปกติแล้วจึงไม่มีเสียงอะไรมารบกวน เขาจึงได้ยินอย่างชัดเจนว่าเสียงแก้วที่แตกนั้นมันดังอยู่บนหัวเขา...มันดังมาจากชั้นสอง ดังมาจากห้องของอิจิโกะ

ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย สองขาลุกพรวดพราดออกมาจากฟูกก่อนจะรีบเดินขึ้นบันไดไป ฝ่ามือเคาะที่ประตูเลื่อนหน้าห้องของอิจิโกะสองสามทีแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะออกมาเปิดให้

“ร้อน...ใครก็ได้ช่วยด้วย!”   เสียงโวยวายที่ดังอยู่ข้างในทำให้เขาร้อนลนจนไม่อาจสนใจคำว่าเสียมารยาทได้อีกต่อไป ฝ่ามือเลื่อนเปิดประตูห้องอย่างถือวิสาสะ ดวงตาดั่งดวงจันทรากวาดมองหาอิจิโกะ ฮิโตฟุริ...ก่อนจะพบว่าเจ้าของห้องยังนอนอยู่บนเตียง...

“ร้อน...ไม่นะ...ช่วยด้วย!”   แต่ท่าทางกระสับกระส่ายพลิกกายไปมาซ้ำยังตะโกนลั่นแบบนั้นก็ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้นอนหลับธรรมดา 

อิจิโกะกำลังฝันร้าย...อาจจะฝันถึงกองเพลิงที่พรากเอาความทรงจำของตนไปอยู่ก็ได้

เขารีบสาวเท้าเข้าไปหาโดยพยายามหลีกเลี่ยงเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่ที่พื้น อิจิโกะคงจะปัดมือไปโดนแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเข้า มันถึงได้ตกลงไปแตกจนดังไปถึงข้างล่าง เขานั่งลงไปบนเตียงก่อนจะจับมืออิจิโกะเอาไว้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะปัดป่ายอย่างไม่รู้ตัวก็ตาม

“อิจิโกะ...”   เขาพยายามเรียกชื่อให้คนที่หลับตาแน่นอยู่บนเตียงรู้สึกตัว

“ร้อน! ใครก็ได้ช่วยที!”  ใบหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อยังคงตะโกนต่อไป ท่อนแขนแข็งแรงพยายายามไขว่คว้าหาคนช่วยจนเขาต้องรีบตะครุบฝ่ามือของอิจิโกะเอาไว้

“อิจิโกะ!”   เขาตะโกนแข่งกับเสียงของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้...ต้องปลุกอิจิโกะให้ตื่น ต้องเรียกอีกฝ่ายออกมาจากฝันร้าย

“ไม่...ร้อน!”   อิจิโกะยังคงพยายามสะบัดมือออกไปจากการจับกุมของเขา

“อิจิโกะ! อิจิโกะ! ตื่นสิ!”  เขาเปลี่ยนจากแค่จับมือมาเป็นเขย่าไหล่พร้อมกับตะโกนเรียกซ้ำไปซ้ำมา

“อิจิโกะ! ได้ยินผมไหม?! ตื่นเถอะ!”  จนในที่สุดแรงเขย่าของเขาก็ได้ผล

“....มิคา...สึกิ?...”   นัยน์ตาสีวอลนัทเปิดขึ้นด้วยความมึนเบลอ คนที่นอนอยู่ค่อยๆลุกขึ้นนั่งก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปาก ไหล่ทั้งสองข้างยังคงหอบสะท้าน

“ผม...ฝันไปงั้นเหรอ?...แต่มัน...มันน่ากลัวมาก...น่ากลัวจนเหมือนเกิดขึ้นจริงๆ...”   เขารีบเอื้อมมือไปจับฝ่ามือชื้นเหงื่อที่ยังสั่นไม่หยุดนั่นก่อนจะบีบมันเบาๆ

“คุณแค่ฝันไป...แค่ฝันร้าย...ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว...”   มือบางอีกข้างยกขึ้นไปปัดเส้นผมชุ่มเหงื่อออกไปจากใบหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์ให้

“...ผมกลัว...”   อิจิโกะ ฮิโตฟุริซบใบหน้าของตัวเองมาที่ไหล่เขา ถึงแม้ดวงตาดั่งดวงจันทราจะเบิกค้างน้อยๆแต่ก็ไม่ได้ถอยหนี เขายังคงยืดหลังตรงให้อีกฝ่ายได้พักพิง ฝ่ามือค่อยๆเอื้อมออกไปก่อนจะวางไว้บนแผ่นหลังกว้างของอิจิโกะอย่างปลอบโยน

อ้อมแขนที่สั่นเทากอดเอวเขาแน่น...กว่าความสั่นสะท้านนั้นจะหายไป พวกเราก็อยู่อย่างนั้นไปอีกหลายสิบนาที

“ผม...ไม่อยากนอนเลย...ถ้าต้องเห็นภาพพวกนั้นอีก ผมคง...”   ร่างสง่าที่ละออกไปทำหน้าหวาดหวั่นก่อนจะก้มมองพื้นเตียงอย่างกลัวๆ

“นอนเถอะ เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณจะหลับสนิท”  เขาวางมือบนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน คนที่ยังสับสนระหว่างโลกแห่งความฝันอันน่ากลัวกับความเป็นจริงเงยหน้าขึ้นมาถามเขาด้วยนัยน์ตาสั่นไหว

“คุณจะนั่งอยู่ตรงนี้เหรอ? คุณจะไม่ทิ้งผมไปใช่ไหม? ต่อให้คู่หมั้นคุณมาเรียก คุณก็จะไม่ไปหาเธอ คุณจะอยู่กับผมใช่ไหม?”   ...นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว คุณนิชิโนะคงไม่มาเรียกเขาเอาป่านนี้หรอก เขานึกขำกับการอ้อนเป็นเด็กๆของอีกฝ่าย เขาไม่เคยเห็นมุมแบบนี้ของอิจิโกะ ฮิโตฟุริมาก่อนเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนอีกฝ่ายคงจะใช้คำสั่งกับเขา ไม่มาทำหน้าเว้าวอนเขาเหมือนตอนนี้หรอก ใบหน้ามนจึงยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู

“วางใจเถอะ ผมจะอยู่กับคุณตรงนี้ ผมไม่ไปไหนแน่นอน”   คนที่เพิ่งผ่านฝันร้ายมาจึงยอมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง อิจิโกะมองมาที่เขาพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“....ผมว่า...แบบนี้เหมือนผมเอาเปรียบคุณเลย  ถ้าไงคุณก็ลงมานอนด้วยกันสิ มิคาสึกิ...ถ้าผมฝันร้ายอีก คุณก็ช่วยปลุกผมที แต่ถ้าผมไม่ฝันอะไร คุณเองก็จะได้หลับไปด้วย”  แล้วในขณะที่เขายังนิ่งค้างกับคำถามนั้นอย่างหาคำตอบไม่ทัน ร่างทั้งร่างก็ถูกอิจิโกะดึงให้ลงไปนอนอยู่ข้างๆไปแล้วแถมเจ้าคนที่มีท่าทีหวาดกลัวมาจนถึงเมื่อกี้ยังจัดแจงห่มผ้าให้เขาเรียบร้อย....หื๋อ?

“ขอบคุณนะ ราตรีสวัสดิ์ มิคาสึกิ”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลยิ้มให้เขาก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆทำเอาคนที่ถูกลากลงมานอนด้วยอย่างไม่ทันตั้งตัวอย่างเขาได้แต่อ้าปากค้าง ช่วงเวลาที่จะปฏิเสธได้หายไปแล้วเพราะตอนนี้อิจิโกะ ฮิโตฟุริกำลังหลับสนิทหนีไปอย่างง่ายดาย ทิ้งเขากับฝ่ามือที่จับกุมมือเขาไม่ปล่อยเอาไว้ในราตรีนี้ตามลำพัง

เฮ้อ....แล้วแบบนี้จะไปหลับลงได้ยังไง....

ดวงตาดั่งดวงจันทราทอดมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่หลับสนิทไปแล้วเขาไล่มองเครื่องหน้าได้รูปนั่นด้วยความรู้สึกโหยหา ปลายนิ้วยื่นออกไปหมายจะสัมผัสใบหน้าที่อยู่ใกล้แสนใกล้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าจึงจำต้องหดกลับมา...

อิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนี้คงจะจำไม่ได้เลยสินะ...ว่าเคยกอดเขายังไง เคยล่อลวงให้เขาตกอยู่ใต้ร่างอีกฝ่ายแบบไหน...

มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังจำทุกค่ำคืนนั่นได้เป็นอย่างดี...











ในขณะที่มิคาสึกิ มุเนจิกะนั่งทานอาหารเช้าด้วยใบหน้าที่ขอบตาดำเป็นหมีแพนด้า จู่ๆใบหน้าใสปิ๊งอย่างคนได้นอนเต็มที่ของอิจิโกะ ฮิโตฟุริก็ถามออกมาว่า

“มิคาสึกิ...ปกติแล้วเราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดหรือเปล่า?”  มือบางถือถ้วยซุปมิโซะค้างอยู่หลายวินาทีก่อนจะตอบออกไป

“ใช่...คุณมักจะลากผมไปด้วยเสมอจนบางครั้งผมก็ไม่เข้าใจว่าจะพาผมไปด้วยทำไม?”  พอได้ฟังดังนั้นใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลจึงยิ้มเปล่งประกายออกมาก่อนจะขอร้องเขาว่า

“ถ้างั้นวันนี้คุณช่วยไปเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหม? ผมอยากไปบริษัท เผื่อว่าผมจะนึกอะไรออกบ้าง แล้วก็อย่างที่คุณบอก...ผมน่าจะเป็นผู้ชายที่งานยุ่งติดระดับโลก ผมไม่ได้ไปทำงานตั้งหลายอาทิตย์แบบนี้ ที่บริษัทคงจะวุ่นกันน่าดู”  เขามองหน้าอิจิโกะนิ่งอยู่หลายวินาทีก่อนจะหัวเราะเสียงดัง ก็จริงที่ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่ยุ่งติดระดับโลก แต่ด้วยความที่อิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนั้นเป็นคนฉลาดและเฉียบขาดอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังใจกล้าขัดกับหน้าตา งานใหญ่ที่หลายคนต้องใช้เวลาคิดใช้เวลาตัดสินใจ อิจิโกะจึงมักจะทำเสร็จไวกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เรียกว่ามีเวลาว่างเหลือเฟือให้กลับบ้านไปเล่นกับน้องๆหรือมีเวลามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตเขาจนพอใจเลยละ

“ได้สิ ผมจะไปเป็นเพื่อน”  เขาตอบออกไปอย่างไม่คิดอะไร ปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว อิจิโกะจะรู้เวลาของเขาทั้งหมดแล้วช่วงที่เขาไม่ติดภารกิจของที่วัด อีกฝ่ายก็มักจะหาข้ออ้างลากเขาไปนู่นไปนี่ประจำอยู่แล้ว  ร่างในกิโมโนสีดำจึงเดินไปที่โทรศัพท์แบบหมุนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องทานอาหาร

“ถ้างั้นโทรบอกคนขับรถที่วัดก่อน ให้ไปส่งพวกเรา”  ที่จริงเขาก็พอจะขับรถเองได้อยู่หรอก แต่อิจิโกะไม่ยอมให้เขาขับเพราะเขามักจะจำไม่ได้ว่าถนนเส้นไหนต้องขับเลนส์ไหน ถนนเส้นไหนปิด-เปิดวันไหนบ้างจึงทำให้โดนตำรวจที่ป้อมจับตัวไว้ประจำ แล้วอิจิโกะก็ต้องไปจ่ายค่าปรับพร้อมรับเขากลับบ้านประจำ  ปลายนิ้วเตรียมจะหมุนแป้นตัวเลขของโทรศัพท์แต่มือของอิจิโกะกลับห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมขับไปเอง ผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”  ร่างสง่าเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดเมื่อกี้ทำให้เขาถึงกับชะงักค้าง ใบหน้ามนมองตามแผ่นหลังได้รูปนั่นไปด้วยคำถามที่ผุดขึ้นมาเต็มหัว...ขนาดวิธีเปิดแก๊สยังจำไม่ได้ แล้วทำไมถึงจำวิธีการขับรถได้? เขาจำได้ว่ากว่าเขาจะสตาร์ทเบนซ์สปอร์ตสีขาวคันนั้นของอิจิโกะได้ก็ตาลายอยู่หลายรอบ?

แต่ถึงจะติดใจยังไง...ก็ไม่ได้ถามออกไป...



“พร้อมแล้ว ไปกันเถอะ”  เสียงนุ่มทำให้เขาที่นั่งอ่านหนังสือรออยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่นเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสง่าที่อยู่ในชุดสูทสีเทาเข้ารูปทำให้รู้สึกคิดถึงยังไงก็บอกไม่ถูก เขาไม่ได้เห็นอิจิโกะ ฮิโตฟุริในมาดคุณชายสุดเนี้ยบแบบนี้มาตั้งสามอาทิตย์ สูทเป็นทางการที่เขามักจะเห็นจนชินตามันเหมาะกับอีกฝ่ายมากกว่าชุดคนไข้ในโรงพยาบาลมากมายนัก

เขาก้าวขาเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับอย่างคุ้นเคยและอิจิโกะเองก็ดูจะจำวิธีการขับเจ้ารถที่วุ่นวายคันนี้ได้เป็นอย่างดี? เขาลอบสังเกตอีกฝ่ายอย่างพยายามไม่คิดอะไรให้มากมาย พยายามคิดว่ารถคันนี้อิจิโกะใช้มันมานาน อาจจะจดจำได้ด้วยร่างกายแล้วมือขาก็ขยับไปเองตามความเคยชิน ก็เหมือนวิธีการอ่านหนังสือที่อีกฝ่ายยังจำได้ แต่เตาแก๊สนั่นปกติแล้วอิจิโกะเองก็แทบจะไม่ได้ใช้ จะเลือนหายไปจากความทรงจำก็คงจะไม่แปลก

อิจิโกะยังความจำเสื่อม ยังจำอะไรไม่ได้หรอก...

กับที่ที่นานๆจะไปทีอย่างโรงพยาบาล จะหาทางกลับห้องเองไม่ถูกก็คงไม่แปลกหรอก....จะเอามาเทียบกับที่ที่ต้องไปทุกวันอย่างเฮดออฟฟิศของฮิโตฟุริกรุ๊ปซึ่งอิจิโกะขับรถมาถูกทางอย่างไม่ถามเขาสักคำนั่นไม่ได้หรอก...

เขาก้าวขาออกจากรถด้วยใบหน้าที่รู้สึกชาๆก่อนจะหันไปมองอิจิโกะที่กำลังล็อครถและก้าวขาตามออกมาเช่นกัน  ดวงตาดั่งดวงจันทราแอบเหลือบมองที่จอดรถของผู้บริหารที่อยู่แยกออกมาจากที่จอดของพนักงานทั่วไปอย่างต้องการจะย้ำความทรงจำของตัวเอง อันที่จริงเขาไม่ต้องมองป้ายชื่อก็ได้เพราะเขามาที่นี่กับอิจิโกะจนจำได้ดีว่าที่จอดรถตรงนี้ใครจะมาจอดไม่ได้นอกจากอิจิโกะ ฮิโตฟุริ...ที่จอดที่ใช่ว่าจะหาเจอได้ทันที แต่อิจิโกะที่ไร้ความทรงจำคนนี้กลับไม่ถามแม้แต่ยามก็ยังขับรถมาจอดถูก...?

สองขาก้าวเดินตามอิจิโกะเข้าไปในตึกสูงเสียดฟ้าและทันสมัยของกลุ่มบริษัทในเครืออาวาตะกุจิเหมือนอย่างทุกที ประชาสัมพันธ์สาวที่นั่งเฝ้าอยู่ที่เคาเตอร์กุลีกุจอลุกขึ้นยืนโค้งคำนับพวกเขาทันทีที่เห็นอิจิโกะก้าวขาเข้าไป อาวาตะกุจิกรุ๊ปเป็นกลุ่มบริษัทเครือญาติขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจหลากหลายตามความถนัดของแต่ละสายตระกูลและฮิโตฟุริก็เป็นสายตระกูลหลักที่มีผลประกอบการมากที่สุดของที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย

“ผมรู้สึกคุ้นกับที่นี่มากเลยละ ฮะๆๆ”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลหันมาพูดกับเขาเมื่อเห็นเขาเงียบมาตลอดทาง อิจิโกะยังคงก้าวเดินต่อไปยังฮิโตฟุริกรุ๊ปที่มีตึกของตัวเองอยู่ด้านใน ปลายนิ้วยาวกดลิฟท์ไปที่ชั้น72ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของตึกและเป็นชั้นสำหรับผู้บริหารเท่านั้น

“คุณอิจิโกะ?!”   เสียงทักดังขึ้นแทบจะทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำภูมิฐานที่เขารู้จักดียืนถือแก้วกาแฟที่เหมือนจะเพิ่งไปชงมาอยู่ที่หน้าห้องรองประธานกรรมการซึ่งเป็นห้องทำงานของอิจิโกะ

“เกิดอะไรขึ้นครับ? จู่ๆก็มา? ไหนคุณว่า...เอ่อ...ขออภัยครับ”   ชายหนุ่มคนนั้นพ่นใส่อิจิโกะ ฮิโตฟุริเป็นชุดก่อนจะค่อยๆพูดเบาลงเมื่อเหลือบมาเห็นเขาเข้า ใบหน้าที่ดูเถื่อนเล็กน้อยโค้งคำนับเขาอย่างนอบน้อม

“พ่อผมอยู่ไหม? ผมมีเรื่องจะคุยด้วย คุณเองก็ตามผมมาด้วย...เอ่อ...มิคาสึกิ คุณเข้าไปนั่งรอผมอยู่ในห้องก่อนก็แล้วกัน”  เขาพยักหน้ารับก่อนจะมองตามแผ่นหลังสง่างามที่เดินเข้าไปในห้องประธานกรรมการที่อยู่ติดกันโดยมีนากาซากิ โซชิโร่เดินตามไป...ไม่แปลกหรอกที่อิจิโกะจะรู้จักผู้ชายคนนั้น เพราะตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าอิจิโกะฟื้นขึ้นมา คุณนากาซากิก็รีบไปหาที่โรงพยาบาลทันที

อิจิโกะ ฮิโตฟุริไม่มีเลขาสาวสวยเหมือนผู้บริหารทั่วไป เขามีเพียงคุณนากาซากิที่เป็นมือขวาเพียงคนเดียวที่คอยจัดการทุกๆสิ่งทุกๆอย่างให้ ถึงจะทำหน้าที่คล้ายเลขาแต่ก็แข็งแกร่งกว่าสาวๆพวกนั้นมาก เขารู้ว่าการทำธุรกิจนั้นไม่ได้โปร่งใสไปเสียทีเดียวและอิจิโกะเองก็ไม่ได้ใสสะอาดอย่างที่ใครๆต่างก็นับถือ ผู้ชายคนนั้นไม่ต้องการเลขาสาวสวยสมองกลวงแต่ต้องเป็นคนที่ใช้งานได้ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังอย่างคุณนากาซากิมากกว่า

ร่างโปร่งบางนั่งลงบนโซฟารับแขกในห้องทำงานกว้างใหญ่ของอิจิโกะ โซฟาตัวนี้บางทีก็เป็นที่นอนกลางวันของเขา

แม่บ้านยกน้ำชามาให้อย่างรู้งาน เขายกมันขึ้นจิบพลางเหม่อมองพื้นมันปราบอย่างครุ่นคิด...สิ่งที่เขาคิดก็คือท่าทางของอิจิโกะตอนที่ถามถึงพ่อและบอกให้คุณนากาซากิตามเข้าไปด้วย มือข้างขวาที่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโบกน้อยๆนั้นช่างคุ้นตา เพราะอิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนั้นก็ชอบทำแบบนี้เวลาที่กำลังหงุดหงิดใจกับงานที่ไม่เป็นไปตามแผน ผู้ชายคนนั้นมักใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นแทนสมุดโน้ต แล้วเวลาที่เจออะไรที่ไม่ชอบใจก็จะชอบโบกมันใส่หน้าคุณนากาซากิเสมอ

แต่อิจิโกะยังจำอะไรไม่ได้และไม่ได้ทำงานมาร่วมเดือน...จะไปมีเรื่องหงุดหงิดกวนใจได้ยังไง?







“มิคาสึกิ...มิคาสึกิ......”   เสียงนุ่มปลุกเขาจากนิทราอันยาวนาน ดวงตาดั่งดวงจันทราเปิดขึ้นช้าๆก่อนจะเหลือบมองไปรอบกาย แสงแดดที่ส่องผ่านกระจกบานใหญ่ของชั้น72เปลี่ยนเป็นสีส้ม นี่เขาเผลอหลับไปอีกแล้วสินะ

“....อิจิโกะ?......เสร็จแล้วเหรอ?”   เงาดำๆของคนที่เขย่าไหล่เขาอยู่ดูแค่โครงร่างก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เขาจึงลุกขึ้นนั่งช้าๆด้วยท่าทางงัวเงีย

“โทษทีที่ให้รอซะนาน ผมต้องรื้อฟื้นอะไรหลายเรื่อง...นี่ก็เย็นแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”   เขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามแผ่นหลังสง่างามนั่นไป...เขามองมันครั้งแล้วครั้งเล่าและเลือกที่จะเก็บความสงสัยทุกอย่างเอาไว้...เขาเลือกที่จะเชื่อ...ว่าอิจิโกะความจำเสื่อมจริงๆ...เขาเลือกที่จะเชื่อ...ว่าอีกฝ่ายยังจำอะไรไม่ได้...







ถึงโตเกียวจะไม่ใช่เมืองที่รถติด แต่จากย่านชินจูกุที่อยู่ใจกลางกว่าจะออกมาถึงย่านชานเมืองที่วัดของเขาตั้งอยู่ได้ พระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว

“หิวไหม? ผมน่าจะพาคุณแวะทานอะไรก่อนกลับ...ไม่คิดว่ากว่าจะถึงบ้านจะใช้เวลาขนาดนี้...มืดจนได้...”   เสียงสลดดังมาจากหลังพวงมาลัยและมันก็ทำให้เขาหันไปมอง...อิจิโกะไม่รู้จริงๆใช่ไหมว่ามันต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะกลับถึงบ้านและทุกครั้งมันก็จะมืดแบบนี้แหละ อีกฝ่ายจึงมักจะพาเขาแวะหาอะไรกินในเมืองก่อนเสมอ

“ไม่เป็นไรหรอก...ก็คุณไม่รู้นี่...”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลยิ้มจางๆ ดวงตาดั่งดวงจันทรามองถนนลาดขึ้นเนินสายเล็กๆที่มีแค่สองเลนส์ แถวนี้เป็นย่านพักอาศัยจึงหาร้านอาหารค่อนข้างยากจะมีก็แค่ร้านสะดวกซื้อ

“เอาไว้กลับไปกินบะหมี่ถ้วยที่บ้านก็แล้วกัน”  เขาหันไปยิ้มให้อิจิโกะ ทั้งปลอบใจและหยอกเย้าไปในทีเดียว

“ฮึๆ เอาเถอะ ยังไงผมก็เปิดแก๊สเป็นแล้วนี่นะ ไม่อดตายแล้วงานนี้”  ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มอ่อนโยนกลับมาให้ พอก้าวพ้นจากบริษัทก็เหมือนเงาของอิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนั้นจะเลือนรางจางหายไปเหลือเพียงอิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนี้ที่จำอะไรไม่ได้ตามเดิม...เขาคงคิดมากไปเอง คนเราถึงบางเรื่องจะจำไม่ได้แต่เรื่องที่ทำไปโดยสัญชาติญาณหรือความเคยชินนั้นก็ยังมีอยู่

“ตรงนั้นอะไรน่ะ? สวนสนุก?”   ในขณะที่รถจอดติดไฟแดง อิจิโกะก็ชี้ให้เขาดูบอลลูนตัวการ์ตูนที่ลอยอยู่เหนือเครื่องเล่นที่เปิดไฟระยิบระยับ มันอยู่ห่างออกไปอีกพอสมควร แต่เพราะพวกเขามองจากบนเนินทำให้ยังมองเห็นมันอยู่

“ใช่แล้ว...นั่นสวนสนุก คุณกับผมก็เคยไปที่นั่นด้วยกัน”

“ผมขอแวะได้ไหม?”  แล้วในขณะที่เขายังเอ่ออ่าตัดสินใจอย่างเชื่องช้าอยู่นั้น อิจิโกะ ฮิโตฟุริก็เลี้ยวรถลงเนินไปทั้งๆที่ประตูวัดก็เห็นอยู่รำไรแล้วแท้ๆ

“ผมอาจจะนึกอะไรออกก็ได้”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลหันมายิ้มให้ ประกายตาวิ้งวับนั่นดูเหมือนเด็กดีใจที่ได้ไปสวนสนุกมากกว่าจะกังวลเรื่องความทรงจำของตัวเองยังไงก็ไม่รู้  เขาได้แต่หัวเราะฮ่าๆอยู่ข้างๆโดยไม่ได้คัดค้านอะไร เขาเองก็อยากไปที่นั่นอีกครั้งเหมือนกัน

เบนซ์สปอร์ตสีขาวจอดในที่จอดรถที่เริ่มโล่ง ในขณะที่เขาสองคนเดินเข้าไป คนส่วนใหญ่กลับเดินสวนออกมา...คงใกล้จะได้เวลาปิดแล้วละมั้ง? 

ดวงตาดั่งดวงจันทราลอบมองแผ่นหลังของอิจิโกะ อีกฝ่ายก็คงรู้ว่าใกล้เวลาที่สวนสนุกจะปิดแล้ว แต่ร่างสง่ายังคงเดินไปที่ซุ้มขายตั๋วแล้วหยิบกระเป๋าตังออกมาโดยไม่สนใจว่าค่าตั๋วแพงหูฉี่กับเวลาที่เหลืออยู่นี่มันจะคุ้มไหม แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เครื่องเล่นส่วนใหญ่หยุดให้บริการไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีแค่...

“คุณรออยู่นี่แป๊บนึงนะ”   เขาพยักหน้าหงึกๆก่อนที่อิจิโกะจะวิ่งหายไปทิ้งให้เขายืนอยู่หน้าชิงช้าสวรรค์ตามลำพัง เขาแหงนหน้ามองวงล้อที่หมุนอย่างเชื่องช้า วันเวลาเก่าๆหมุนย้อนกลับมาในหัว...ตอนนั้นเราเพิ่งรู้จักกัน ทุกๆความทรงจำที่อยู่ที่นี่จึงมีแต่เรื่องดีๆมีแต่ช่วงเวลาที่สนุกสนาน มีแต่รอยยิ้ม...

“มาแล้ว โทษทีที่ให้รอนะ ขึ้นกันเถอะ”   ใบหน้าที่เงยมองชิงช้าสวรรค์อยู่ค่อยๆละลงมาตามเสียงเรียก แต่ยังไม่ทันไรก็ถูกมือที่อบอุ่นดึงขึ้นกระเช้าใบหนึ่งของชิงช้าสวรรค์ไปเสียก่อน หลังจากลอยขึ้นฟ้าไปแล้วเขาถึงเพิ่งได้เห็นว่าอิจิโกะหายไปไหนมา

“กินนี่รองท้องก่อนนะ”   เครปผลไม้ถูกยื่นมาตรงหน้า เขามองหน้าอีกฝ่ายสลับกับเครปนั่นไปมา

“อ้าม~~”  และเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าเขาจะรับมันมาสักที มือแข็งแรงจึงย้ายมันมาจ่อที่ปากเขาพลางส่งเสียงราวกับจะป้อนเด็กกินข้าว เขาจึงงับมันไปหนึ่งคำ  รสชาติของมันเป็นยังไงเขาก็ไม่แน่ใจเพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่รับรู้ได้ก็คือความร้อนที่ค่อยๆแผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า

“ผมถือให้ก็แล้วกัน มือคุณจะได้ไม่เปื้อน”  รอยยิ้มอ่อนโยนนั่นทำให้เขาขี้เกียจจะคัดค้าน เขาจึงปล่อยให้อิจิโกะถือเครปต่อไปแล้วค่อยๆงับจากมืออีกฝ่ายทีละคำๆ  นัยน์ตาสีวอลนัทคู่นั้นจ้องเขาไม่วางตา บางครั้งมันก็ทำให้หัวใจที่สงบราวกับสายน้ำค่อยๆไหวกระเพื่อมได้เหมือนกัน

“แล้วของคุณล่ะ?”   เขาถามออกไปเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายถือของตัวเองอยู่ด้วย

“แค่มองคุณ ผมก็อิ่มแล้ว”   แต่อิจิโกะ ฮิโตฟุริกลับตอบมาทีเล่นทีจริง เขาชะงักค้างไปหลายนาทีเพราะสมองกับหัวใจดูเหมือนจะไม่ทำงานไปด้วยกัน ก่อนที่เขาจะกลบเกลื่อนทุกความเขินอายด้วยเสียงหัวเราะเช่นทุกที

“.....ฮ่าๆๆๆ  แบบนั้นมีที่ไหนล่ะ? มาแบ่งกันเถอะ”  ใกล้จะปิดร้านแบบนี้บางทีเครปอาจจะเหลืออันสุดท้าย ดีไม่ดี ร้านอาจจะปิดไปแล้ว แล้วอิจิโกะอาจจะไปบังคับซื้อมาด้วยราคาไม่ธรรมดาก็ได้ เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยมีเสียที่ไหน

เขาดันเครปในมือแข็งแรงนั่นกลับไป อิจิโกะจึงยอมกัดมันเข้าปากจนได้...เครปถูกผลัดกันกัดทีละคำๆ ไม่รู้ทำไมรสชาติของมันถึงได้หวานขึ้นทุกทีๆ ในนั้นใส่ผลไม้อะไรไว้กันนะ?

หลังจากเครปหมด เขาและอิจิโกะก็ทำเพียงนั่งเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรี ดวงดาวของโตเกียวนั้นไม่ได้อยู่บนฟ้า แต่กลับส่องแสงระยิบระยับอยู่บนดินต่างหาก

“เหมือนลอยอยู่ในดวงดาวเลย...”   เสียงนุ่มที่หลุดออกมาจากปากของอิจิโกะทำให้เขาเบิกตาขึ้นเล็กน้อย...เพราะเมื่อครั้งก่อนที่มาด้วยกัน เขาก็พูดประโยคนี้กับอีกฝ่ายนี่แหละ...

ตอนนั้นอิจิโกะ ฮิโตฟุริเป็นคนทำให้เขารู้ว่ายังมีสถานที่ที่มหัศจรรย์อย่างในชิงช้าสวรรค์ยามค่ำคืนอยู่ด้วย ทำให้เขารู้ว่าความงดงามบางทีก็อยู่ใกล้ตัวเพียงแค่เขาจะหันไปมองและเห็นมัน...อิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนั้นเป็นคนสอนเขา...


กึก...


แรงโยกไหวทำให้เขาละสายตากลับมามอง ร่างในชุดสูทภูมิฐานขยับกายจากฝั่งตรงข้ามมานั่งฝั่งเดียวกับเขา ไออุ่นที่แผ่เข้ามาทำให้รู้ว่าเรานั่งชิดกันขนาดไหน

“หนาวเหมือนกันเนอะ”   ใบหน้าอ่อนเยาว์หันมายิ้มให้ราวกับไม่ได้คิดอะไร

“อืม...ก็เพิ่งจะต้นฤดูใบไม้ผลิเองนี่นะ”  เขาตอบในขณะที่ทอดสายตากลับไปมองดวงดาวจำลองที่ส่องแสงระยิบระยับรอบกาย

“ผมขอจับมือคุณได้ไหม?”   ก่อนที่จะต้องรีบหันหน้ากลับมามองอิจิโกะ ฮิโตฟุริใหม่เมื่อได้ยินเสียงนุ่มเอ่ยประโยคนี้ออกมา

“อ่ะ มือข้างนี้ไม่เลอะเครปหรอก”  และเมื่ออีกฝ่ายเห็นเขานิ่งค้างไปหลายวินาทีจึงรีบบอก...เลอะหรือไม่เลอะมันไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหามันอยู่ที่มือที่สอดประสานเข้ามานี่มากกว่า ในเมื่อมันกำลังจะทำให้ใบหน้าของเขาเผาไหม้ได้อยู่แล้ว ถึงเขาจะไม่ได้แสดงออกอะไรแต่หัวใจกลับกำลังเต้นกระหน่ำยิ่งกว่ากลองไทโกะเสียอีก

“อุ่นดีเนอะ”   เสียงนุ่มพูดพลางหัวเราะน้อยๆ

“อืม...”   เขาตอบออกไปเพียงแค่นั้นก่อนจะพยายามสงบจิตสงบใจ บทสวดมนต์ถูกยกขึ้นมาท่องนับร้อยจบได้ กว่าใต้แผ่นอกซ้ายของเขาจะเต้นเป็นปกติ

ชิงช้ายังคงหมุนวนไปเรื่อยๆ ถึงจะมองจากมุมมุมเดียวกัน แต่ทิวทัศน์บนชิงช้าสวรรค์คราวนี้กับที่มาคราวที่แล้วมันช่างต่างกันมาก...ครั้งที่แล้วเขารู้สึกสนุกไปกับสถานที่ที่ไม่รู้จัก แต่คราวนี้เขากลับคิดว่าที่นี่มันช่างโรแมนติกนัก...

ดวงตาดั่งดวงจันทราลอบมองมือสองข้างที่สอดประสานกัน ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านผ่านมานั้นทำให้เขาค่อยๆทอดสายตามองท้องฟ้ายามราตรีด้วยหัวใจที่อาลัยอาวรณ์

แล้วแบบนี้...เขาจะทำใจได้ยังไง หากอิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนี้ต้องหายไป...











ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าเครปชิ้นแค่นั้นแต่กลับทำให้เขาอิ่มจนไม่อยากกินอะไรอีก  อิจิโกะเองก็ไม่อยากกินอะไรแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นเมื่อกลับถึงบ้านเราจึงต่างแยกย้ายกันไปนอน

โอบิถูกผูกเข้าที่เอวเรียบร้อย ร่างในยูกาตะสีขาวที่ใช้ใส่นอนจึงเดินเช็ดหน้าเช็ดตาด้วยผ้าขนหนูกลับห้องของตัวเอง ห้องนอนของเขาไม่ได้มีห้องน้ำในตัวเหมือนห้องของอิจิโกะ เขาจึงต้องไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำซึ่งมีอ่างน้ำร้อนขนาดใหญ่ด้านหลังบ้าน

“........อิจิโกะ?”   เขาชะงักค้างนิดหนึ่งเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของตัวเองแล้วพบว่าร่างสง่าของคุณผู้บริหารฮิโตฟุริกรุ๊ปกำลังเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์เงยขึ้นมายิ้มแหยๆก่อนจะรีบเข้าเรื่อง

“ไปนั่งตากลมบนชิงช้าสวรรค์มา ผมเลยคิดว่าคุณน่าจะทาครีมสักหน่อยนะ ไม่งั้นพรุ่งนี้หน้าคุณได้แห้งแตกเป็นขุยแน่ มาสิ เดี๋ยวผมทาให้”  แล้วอีกฝ่ายก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง มือแข็งแรงลากตัวเขาเข้าห้องไปทันที

เขายืนมองฝ่ามือที่ตบปุๆลงไปบนเบาะรองนั่งอย่างชั่งใจ ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้ทำอะไรกับผิวหน้าของตัวเองนัก จู่ๆไปทาครีมนั่นแล้วมันจะไม่เป็นไรใช่ไหม? แต่เอาเถอะ ขึ้นชื่อว่าอิจิโกะ ฮิโตฟุริแล้วย่อมไม่เอาของตามท้องตลาดมาใช้กับเขาแน่ ที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็ดูแลเขาราวกับเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งอยู่แล้ว เขาจึงก้าวขาก่อนจะนั่งทับส้นลงไป

ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มให้ก่อนจะดึงที่คาดผมซึ่งคล้องคอตัวเองอยู่ออกมาคาดเส้นผมสีรัตติกาลของเขาจนเผยหน้าผากใสให้อีกฝ่ายเห็น  ฝ่ามืออุ่นๆแปะครีมลงมาบนผิวหน้าก่อนจะค่อยๆใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไล้มันเบาๆ ความนุ่มนวลทำให้เขาเผลอหลับตาอย่างเคลิบเคลิ้ม ความรู้สึกเย็นสบายทำให้ไม่อยากจะลืมตาขึ้นมาเลย ถ้าหลับไปทั้งอย่างนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย แล้วก็ดูเหมือนปลายนิ้วนั่นจะอ้อยอิ่งพอสมควร ครีมทาหน้าที่ควรจะทาเสร็จภายในห้านาทีกลับยืดออกเป็นครึ่งชั่วโมง สงสัยพรุ่งนี้หน้าเขาคงจะสะท้อนแสงได้เลยละมั้ง ฮ่าๆๆ

ดวงตาดั่งดวงจันทราค่อยๆลืมขึ้นช้าๆก่อนจะมองคนที่กำลังเปิดๆปิดๆหลอดครีมทาหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรไม่ตก

“อิจิโกะ?”   พฤติกรรมที่เหมือนจะอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่ยอมพูด ทาครีมเสร็จแล้วก็ยังไม่ยอมไปเพราะเหมือนมีเรื่องจะบอกเขาอีกทำให้เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความสงสัย  อิจิโกะ ฮิโตฟุริคนก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นมักจะออกคำสั่งกับเขาอย่างไม่มีความลังเลและไม่คิดจะถามเขาด้วยว่าโอเคไหม

“คือ........”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลเหลือบขึ้นมามองเขาอย่างลังเล

“หื๋อ?”

“ที่จริงแล้ว......คือ.......”   ใบหน้าอ่อนเยาว์ก้มลงไปจนคางแทบชิดอก เขาเห็นใบหูของอิจิโกะแดงระเรื่อ...กำลังเขิน?

“คือ....ที่จริงแล้ว.....ผม....อยากให้คุณไปนอนเป็นเพื่อน....ผม....กลัวว่าจะฝันร้ายอีก....”   คำสารภาพค่อยๆหลุดออกมาทีละคำสองคำและมันก็ทำให้เขาขำพรืดออกไป

“ฮ่าๆๆๆ”

“อ่า~ อย่าขำสิ นี่ผมกลัวจริงๆนะ ไปนอนเป็นเพื่อผมหน่อยได้ไหม? หรือให้ผมนอนที่นี่ก็ได้...มิคาสึกิ...”   อิจิโกะเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาเหมือนลูกหมา นี่คนอย่างอิจิโกะ ฮิโตฟุริไปฝึกอ้อนแบบนี้มาจากที่ไหนกัน รู้บ้างหรือไม่ว่ามันมีผลต่อจิตใจของเขาเสียงยิ่งกว่าใบหน้าเซ็กซี่ที่บังคับเขาต่างๆนานานั่นเสียอีก

“ได้ไหม?”  นัยน์ตาสีวอลนัทยังคงมองตรงมาที่เขาอย่างอ้อนๆ ทำเอานึกหาคำปฏิเสธไม่ได้เลย เขาจึงพยักหน้ารับเบาๆ

“ไปนอนที่ห้องคุณก็แล้วกัน ที่ห้องนี้มีฟูกแค่อันเดียว”   เขาเอ่ยบอกก่อนที่อิจิโกะจะยิ้มหน้าบาน เขาปิดไฟในห้องของตัวเองก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายขึ้นบันไดไป

“พอมีคุณนอนอยู่ข้างๆก็เหมือนมีพระมาโปรด ผมไม่ฝันเห็นกองไฟนั่นอีกเลย”  ร่างสง่าล้มตัวนอนลงมาข้างๆด้วยใบหน้าโล่งใจ เตียงของอิจิโกะกว้างใหญ่พอให้ผู้ชายสองคนนอนกลิ้งได้สบาย แต่กระนั้นร่างกายของเขากลับถูกผูกติดไว้กับอีกฝ่ายด้วยมือที่ไม่ยอมปล่อยมือเขา  อิจิโกะจับมือเขาไว้ก่อนจะหันตะแคงข้างเข้าหากัน

เพียงแต่คืนนี้อีกฝ่ายไม่ได้หลับไปง่ายๆเหมือนเมื่อคืนก่อน นัยน์ตาสีวอลนัทจึงยังคงจ้องมองตรงมาที่หน้าเขาอยู่เนิ่นนาน

“มิคาสึกิ...”   จู่ๆเสียงนุ่มก็ดังผ่านอากาศมา

“ผมเคยนอนกับคุณใช่ไหม?”  แล้วคำถามจากปากของอิจิโกะก็ทำให้เขาแทบจะสำลักอากาศ  เขาได้แต่อ้ำๆอึ้งๆอย่างไม่รู้จะตอบว่ายังไง อีกฝ่ายจึงถามย้ำอีกครั้งว่า

“ไม่ใช่แค่นอนหลับอยู่ข้างๆกัน แต่ผมเคยมีเซ็กส์กับคุณใช่ไหม?”   เขาได้แต่อ้าปากค้างกับคำถามตรงไปตรงมานั่น ความร้อนทั้งร่างกายเหมือนจะมารวมอยู่ที่ใบหน้าทั้งหมดเสียให้ได้ เขาก้มหน้างุดก่อนจะพยักเบาๆ...มันเป็นความจริงที่เราเคยมีอะไรกัน...

ร่างทั้งร่างของเขาถูกอิจิโกะดึงเข้าไปกอด ลมหายใจที่เป่าอยู่แถวซอกคอนั้นร้อนราวกับไฟ เสียงนุ่มกระซิบอยู่ที่ใบหู

“คุณคงจะสงสัยสินะว่าผมรู้ได้ยังไง?”  มือแข็งแรงกดสะโพกของเขาให้เข้าไปแนบชิดกับร่างกายของตัวเองมากขึ้น...และนั่นมันก็ทำให้ต้นขาของเขาสัมผัสได้ถึงแกนกลางร่างกายที่ร้อนและขยายใหญ่แข็งตัวเต็มที่ของอีกฝ่าย

“คุณคงสงสัยว่าผมรู้ได้ยังไง.......นั่นก็เพราะว่าร่างกายของผมมันฟ้องน่ะสิ...ว่าผมต้องการคุณ”   









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




ฮ่าๆๆ หลายคนเปิดบล็อกมาอาจจะงงว่าฟิคคู่นี้มันโผล่มาได้ไง ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยมากค่ะคุณกวาง แถมลงไปตอนนึงก็ไม่เคยได้เกริ่นได้อะไรไว้อีกถถถถ

อ่า คือว่าเริ่มแรกก็ไม่คิดว่าจะตกบ่วงใครอีกนอกจากโอคิตะกุมิและแก๊งชินเซ็น คือพยายามดูอนิเมะดาบอย่างมีสติ(?) ท่องไว้ในใจ ห้ามติดใครอีกแค่คะชูยามะตันตรูก็จะหมดตัวแล้วถถถ ก็เกือบจะประสบผลสำเร็จด้วยดีอยู่หรอกนะ แต่พออิจินี่โผล่มาเท่านั้นแหละ...อ่อก...ตรูชอบผู้ชายคนนี้ย์~~ ช่างเป็นดาบยาซาชี่เสียนี่กระไร โฮวววววว เสียงพากย์นี่แหละบ่อเกิดเลย ฮืออออ นุ่มนวลชวนฝันเกินไปแล้ววววว >/////<  นะ....ความตั้งใจพังทลาย หายนะเกิดมาก ถถถถ ทุกวันนี้เวลาเลือกซื้อเสื้อผ้าให้อิจินี่นี่มีความสุขมากกกก เป็นคุณชายที่จับแต่งตัวแล้วสนุกสุดๆ แน่นอนว่าเสียเงินเสียทองสุดๆเช่นกัน กระซิก  อ่านะ  ตอนแรกก็ยังไม่ได้จิ้นให้คู่กับใครเพราะในอนิเมะไม่ได้ชงอิจินี่กับใครเท่าไหร่ วันๆก็อยู่กับน้องๆไปไรไป คือตรูไม่เห็นสมการของอิจินี่ใดๆซักกะติ๊ดเดียวจากอนิเมะ เรือผีอย่างท่านปู่คะชูยังมีเยอะกว่ามาก ก๊ากๆๆๆ  นะ...มาจิ้นจริงๆจังๆก็เพราะมีคนเป่าหู :v  ว่าอิจินี่กับปู่เค้าเป็นดาบสามีภรรยากันนะตัวเธอในความเป็นจริงอ่ะ หว๋ายยยย >////<  ก็...อิจินี่เค้าเป็นดาบของ ฮิเดโยชิ โทโยโทมิ ส่วนปู่เป็นดาบของ เนเน่ ภรรยาของฮิเดโยชิน่ะค่ะ เท่าที่ฟังมาคือเค้าอยู่ด้วยกันช่วงหนึ่ง ดาบก็ถูกวางไว้บนแท่นเดียวกัน =q= จิ้นซะสิ จะเหลือไว้ทำไม 555555555+ ตั้งแต่นั้นมาก็....เดินลงเรืออย่างสวยงาม // พราก 

ส่วนฟิคเรื่องนี้...กรี๊ดกร๊าดวี๊ดว๊าย มีคนอ่านด้วย555555 >w< ขอบคุณสำหรับทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆนะคะ คือตอนนี้เริ่มปล่อยวางกับดาบ เออ ชงมาเหอะอนิเมะอ่ะ จิ้นแม่งซะให้หมดเลยแง๊ >[ ]< จากตอนแรกพยายามห้ามตัวเอง แต่หลังจากตบะแตกกับอิจินี่ไปแล้ว ที่เหลือจะยังไงก็มาเล้ย! ฮือออออ เพราะงั้นโฮเนบามิกับนามาสุโอะก็จิ้นอยู่ค่ะ 5555555+ // เอาหัวโขกผนัง ปั่กๆๆ

แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ >/////<



4 ความคิดเห็น:

  1. ใครกันมาเป่าหูคุฯกวางได้...

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ14 มีนาคม 2561 เวลา 07:40

    เรื่องนี้ทำเสียสติเรื่องคู่ชิปจริงค่ะ---- จิ้นมันไป จิ้นให้หมดฮงมารุ---

    ตอบลบ