Scuderia Ferrari S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 3rd : แสนรัก : 02 [END]


Scuderia Ferrari S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 3rd :  แสนรัก : 02 [END]

: Scuderia Ferrari Short Fanfiction
: คิมี่ ไรโคเนน x เซบาสเตียน เวทเทล
: Warmhearted  Romantic
: NC-17

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
           
         
“ Pine forest ; Cottage ; You and Me”





อุณภูมิที่อยู่เหนือเลขศูนย์มาเล็กน้อยมันไม่ชวนให้อยากตื่นขึ้นมาทำอะไรเลย แต่กระนั้นคิมี่ ไรโคเนนกลับลุกมานั่งเหม่อคนกาแฟตั้งแต่รุ่งสาง

แล้วร่างโปร่งที่วิ่งลงบันไดมาเหมือนหมาโกลเด้นก็ทำให้มือที่กำลังคนกาแฟในแก้วหยุดลง ใบหน้าหล่อเหลาพยายามจะยิ้มให้คนที่ยิ้มร่าให้เขาแต่มันก็รู้สึกฝืนเต็มที

เพราะดันไปรู้ความสัมพันธ์ของเซบกับเจ้าของบ้านหลังนี้มันเลยทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่ต้องมองข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในบ้าน...แค่คิดว่าเซบอาจจะเคยจูบกับเฮย์กิอยู่บนโซฟาหรือว่าโต๊ะกินข้าวตรงนี้ เขาก็แทบอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอด

ทนไม่ไหว...แล้วยิ่งได้เห็นใบหน้าที่ยังคงยิ้มให้เขาราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนั่นก็ยิ่งทนไม่ไหว...

มันไม่ใช่ของเขา...รอยยิ้มที่เขาหลงรักนั่นไม่ใช่ของเขาและไม่มีวันจะเป็นของเขาได้...

“ข้างนอกนี่มัน....หนักกว่าเมื่อวานอีกไม่ใช่หรือไงเนี่ย~ แบบนี้ผมบินกลับเยอรมันไม่ได้แน่เลย”   เซบแง้มผ้าม่านดูสภาพอากาศที่เข้าขั้นเลวร้ายกว่าเมื่อวานนี้มาก พายุหิมะมาเยือนพวกเขาอย่างเต็มขั้นและนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมเขายังอยู่ที่นี่ ยังอยู่ในบ้านที่เป็นรังรักของคนที่เขารักกับผู้ชายคนอื่นอยู่แบบนี้

ทั้งๆที่อยากจะหนีไปให้พ้นๆ

แต่อีกใจหนึ่งของเขาก็อยากจะอยู่ที่นี่ อยากให้พายุหิมะล้อมบ้านหลังนี้เอาไว้ ให้เซบออกไปไหนไม่ได้ ให้คนอื่นเข้ามาไม่ได้ ให้ที่นี่มีเพียงแค่เราสองคน

“คงออกไปไหนไม่ได้แล้วล่ะวันนี้”  เขาเลื่อนจานอาหารเช้าที่ทำเผื่อไว้ไปให้คนที่กำลังนั่งลงตรงหน้า จู่ๆก็รู้สึกราวกับมีระยะห่างที่บอกไม่ถูกเกิดขึ้นมา แว่บหนึ่งเซบาสเตียนทำหน้าลำบากใจและเขาก็คงจะเผลอปล่อยสีหน้าแบบนั้นออกไปเหมือนกัน

แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร ไม่ถาม ไม่อยากรู้ พยายามมองหน้าเซบเหมือนเดิมให้ได้

แต่ยิ่งมองเท่าไหร่ในใจมันก็ยิ่งตะโกนก้องกู่ร้อง...ว่าเป็นเขาไม่ได้หรือไงกัน? เราสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ สนิทจนเขาคิดไปเองว่าใจเราอาจจะตรงกัน เขาถึงได้ไม่กลัวที่จะหนีไปจากเอฟวัน หนีไปขับแรลลี่อยู่หลายปี...แต่พอกลับมา...หัวใจที่คิดว่ามันเป็นของเขามันกลับเป็นของคนอื่น...

นายกำลังแก้แค้นชั้นอยู่หรือเปล่านะเซบ? แก้แค้นที่ชั้นทิ้งนายไป...


“นี่ก็อร่อยอ่ะ มันเป็นออมเล็ตใส่แฮมธรรมดาๆแน่เหรอ?”   มือบางใช้ส้อมพลิกๆอาหารเช้าที่เขาทำให้ก่อนจะกินมันเข้าไปด้วยใบหน้ามีความสุข...ถ้าเขาบอกออกไปว่ามันไม่ใช่ออมเล็ตใส่แฮมธรรมดาแต่ว่ามันใส่หัวใจของเขาลงไปทั้งดวง นายจะว่ายังไงเซบาสเตียน? จะยังยอมกินมันลงไปอีกไหม?

เขาทอดสายตามองคนที่ยังคงกินออมเล็ตด้วยรอยยิ้ม ถึงเขาจะเฝ้ามองมันด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่ทำลายรอยยิ้มนั้น ต่อให้เซบจะรักใคร แต่คนที่เขารักก็คือเซบไม่เปลี่ยนแปลง


ตรู๊ดดดดดด ตรู๊ดดดดดด


แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาขัดบรรยากาศแสนสงบ มือบางควานหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองจากกระเป๋ากางเกงทั้งๆที่มืออีกข้างยังตักออมเล็ตเข้าปาก ถึงจะอยู่ในอารมณ์เศร้าๆแต่ความน่าเอ็นดูของเซบก็ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาจางๆ มือที่เผลอจะยื่นออกไปเช็ดเศษไข่ที่ติดแก้มใสกลับต้องชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อของปลายสายที่โทรมา

“เฮย์กิ? ว่าไง?”   เขาหันหน้าหนีอย่างลืมตัว...ฉะนั้นจึงไม่ทันเห็นสายตาหมองๆของเซบาสเตียน เพราะเมื่อเขาหันไปอีกทีก็ได้เห็นเพียงรอยยิ้ม

“ไม่มีอะไรพังหรอกน่า หื๋อ? จริงอ่ะ? เอาสิเอาๆๆ  จะซื้อให้? เอา~~~”   น้ำเสียงและสีหน้าดีใจที่เซบทำใส่โทรศัพท์เพื่อให้มันส่งผ่านไปยังคนที่อยู่ปลายสายยิ่งทำให้เขาเบือนหน้าหนี เวลานายคุยกับเขา นายยิ้มแบบไหน นายมีความสุขขนาดไหน ไม่อยากเห็น


ก๊อกๆๆ


เสียงเคาะประตูที่จู่ๆก็ดังขึ้นมาเป็นราวกับสัญญาณช่วยชีวิต เขาได้ข้ออ้างที่จะหนีไปจากตรงนี้ เขาจึงยกมือบอกเซบาสเตียนว่าเขาจะไปเปิดประตูเอง ให้อีกฝ่ายคุยโทรศัพท์ต่อไปเถอะ

สองขาก้าวมายืนอยู่หน้าประตูและเมื่อเปิดมันออกสิ่งแรกที่ปะทะมาเต็มหน้าก็คือความหนาวเย็นที่น่าจะถึงระดับติดลบ สิ่งที่สองที่เขามองเห็นก็คือ...ผู้หญิงคนหนึ่ง?

“คุณ...คือคิมี่ ไรโคเนนใช่ไหม? ฉันพูดภาษาฟินน์กับคุณได้ใช่ไหม?”  หญิงสาวคนนั้นพูดกับเขาด้วยภาษาฟินแลนด์ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับเบาๆ หญิงสาวคนนั้นสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาและทั้งหัวก็คลุมด้วยฮูดขนสัตว์ ถึงจะมองไม่เห็นรูปร่างที่แท้จริงแต่แค่ส่วนของใบหน้าที่โผล่พ้นฮูดออกมาก็ถือได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงฟินน์ที่หน้าตาดีทีเดียว

“คือว่า...เฮย์กิโทรบอกฉัน...ว่าคุณกับเซบาสเตียนบังเอิญมาติดพายุหิมะอยู่ที่นี่และในบ้านก็ไม่มีอาหาร เค้าเลยให้ฉันนำอาหารมาให้ค่ะ”  หญิงสาวบอกกับเขาด้วยภาษาฟินน์ยาวเหยียด และเมื่อเขาทำคิ้วขมวดตอบกลับไปตามนิสัย หญิงสาวเลยยกมือขึ้นมาโบกพัลวัน

“อ่ะ ไม่ต้องกังวล ฉันไว้ใจได้ ไม่ใช่คนน่าสงสัยอะไร ฮะๆๆ”  เธอคงคิดว่าเขาไม่ไว้ใจที่เธอเป็นคนแปลกหน้า จึงพยายามจะอธิบายต่อว่าเธอเป็นใครมาจากไหน...และนั่นมันก็ทำเอาเขาถึงกับตกตะลึง

“ฉันเป็นแฟนของเฮย์กิและเราก็กำลังจะแต่งงานกัน ถ้าคุณสงสัยคุณก็โทรถามเฮย์กิดูก่อนก็ได้”   ว่าไงนะ?! แฟนของเฮย์กิ?! แล้วก็กำลังจะแต่งงานกัน?! 

สิ่งที่หญิงสาวบอกออกมาทำให้เขาหน้าชาเสียยิ่งกว่าการออกมายืนท่ามกลางอากาศติดลบเสียอีก นัยน์ตาสีขี้เถ้าของเขาลอบมองไปยังเซบาสเตียนที่ยังคงคุยโทรศัพท์ไปยิ้มไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว...เซบรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?...ว่าคนที่ตัวเองคบอยู่ด้วย มีผู้หญิงอยู่อีกคน แล้วก็กำลังจะแต่งงานกัน...

เขาตวัดสายตากลับมามองหญิงสาว...เซบน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นคงไม่คุยกับเฮย์กิด้วยรอยยิ้มแบบนั้นหรอก...ยังดีนะที่เขาคุยกับเธอด้วยภาษาฟินน์ ถึงเซบจะพอรู้ภาษาฟินน์อยู่บ้าง แต่ไกลและพวกเขาพูดกันรัวแบบนี้ เด็กนั่นคงไม่เข้าใจ...ยังไงซะ เขาต้องรีบไล่ผู้หญิงคนนี้กลับไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาสบอกเซบดีๆ เขาไม่อยากให้คนที่เขารักเสียใจ

“เอ่อ...ไม่เป็นไร ไม่ต้องถามเฮย์กิก็ได้...นี่อาหารใช่ไหม?”  เขาเอื้อมมือไปหยิบถุงอาหารในมือเธอมา

“อ่ะ ค่ะ”

“ขอบคุณมากนะ...เธอ...กลับไปได้แล้วละ ฝ่าพายุมาแบบนี้มันอันตราย รีบกลับเถอะ เดี๋ยวพายุจะหนักขึ้น”  พายุหิมะถูกยกมาใช้เป็นข้ออ้างและหญิงสาวก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ผู้หญิงคนนี้เองก็คงไม่รู้สินะว่าเฮย์กิมีความสัมพันธ์ยังไงกับนักขับที่ตัวเองดูแลอยู่

“ค่ะ ถ้ามีอะไรคุณก็โทรบอกเฮย์กินะคะ เดี๋ยวฉันมาดูให้”  หญิงสาวยังอุตส่าห์หันมายิ้มให้ด้วยความใจดี ยิ่งเห็นรอยยิ้มนี้กับรอยยิ้มของเซบ เขาก็ยิ่งเผลอกัดฟัน...นี่มันอะไรกันน่ะ เฮย์กิ?


สองขาเดินกลับไปยังโต๊ะกินข้าวก่อนจะวางถุงอาหารลงไป เซบยังคุยโทรศัพท์กับเฮย์กิอยู่ มือของเขาต้องกำหมัดแน่นเพื่อไม่ให้เผลอแย่งโทรศัพท์นั่นมาแล้วถามเจ้าเฮย์กิให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมต้องมาหลอกเซบของเขาด้วย?!

เขายืนมองรอยยิ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวที่เซบยิ้มในขณะที่คุยกับเฮย์กิด้วยความปวดใจ...หัวใจของเขาเจ็บแปลบอย่างที่รู้สาเหตุของมันดี...ถึงจะไม่ใช่เรื่องของเขาเลย แต่เขาคงทนไม่ได้ถ้าคนที่เขารักต้องเจ็บปวด  เขาคงทนดูไม่ได้ คงทนดูไม่ได้...วันที่เซบรู้ความจริง

ถึงเขาจะรักจะอยากให้เซบเป็นของเขาแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ดีใจหรอกที่เขาจะได้เซบมาเพราะอีกฝ่ายถูกผู้ชายคนนั้นทิ้งไป เขาไม่อยากให้เซบเสียใจ ไม่อยากให้เซบร้องไห้

“คิมี่? ใครมาเหรอ?”  ดวงตาสีฟ้าจ้องเขาตาแป๋วและมันก็ทำให้เขาเผลอกัดริมฝีปาก

“โทรศัพท์...เสร็จแล้วเหรอ?”   เขาเสไปถามเรื่องอื่นโดยไม่ตอบคำถามของเซบาสเตียน ในหัวกำลังคิดไม่ตกว่าเขาควรจะบอกออกไปดีไหม แล้วจะบอกว่ายังไง

“อื้อ! เฮย์กิน่ะ บอกว่าไปเจอกระต่ายในร้านขายสัตว์เลี้ยงที่หน้าตาเหมือนผมด้วย เลยจะซื้อมาฝาก เชอะ ใครจะไปอยากได้ ผมไม่ได้เหมือนกระต่ายซักหน่อย~”   ใบหน้ารูปไข่เบะปากก่อนจะยู่หน้า ถึงจะดูน่าหมั่นไส้แต่ก็น่าเอ็นดูอยู่ในที เพราะเซบพูดถึงเฮย์กิด้วยใบหน้ามีความสุขแบบนี้เขาจึงยิ่งสงสารจับใจ...เขาพูดไม่ได้ เขาบอกเซบไม่ได้ ว่าอีกฝ่ายกำลังโดนเฮย์กิหลอก ถึงจะอยากบอกแค่ไหนแต่น้ำมันก็ท่วมเต็มปาก

“เมื่อกี้...มีคนเอาอาหารมาให้น่ะ เฮย์กิคงโทรไปบอกเค้า”   เขาจึงบอกเลี่ยงๆไปแบบนั้น...เขาสัญญา ว่าในวันที่เซบรู้ความจริง ไม่ว่าจะไหล่ บ่า หรือหน้าอกของเขา ถ้าเซบจะซบลงมาแล้วใช้มันซับน้ำตา เขาก็จะขอรับไว้ทั้งหมด...แต่วันนี้...เขาขอกล้ำกลืนความเจ็บปวดเหล่านั้นเอาไว้ เพื่อให้เซบยังยิ้มอย่างสวยงามอยู่ในโลกแห่งความฝันนั้นต่อไป

“เย้~ งั้นเก็บไว้กินตอนกลางวันกับตอนเย็นก็แล้วกันเนอะ มื้อเช้านี้แค่ออมเล็ตของคิมี่ก็อิ่มแล้ว”  ใบหน้ารูปไข่หันมายิ้มให้ ทุกอย่างบนใบหน้านั้นมันช่างน่ารัก เขาคงทำถูกแล้ว...ถูกแล้ว...ที่ปล่อยให้เซบยังคงยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้ต่อไป



หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเขาก็ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำต่อ เขาจึงย้ายตัวเองไปนั่งที่โซฟาก่อนจะกดรีโมทโทรทัศน์เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ จิตใจที่ล่องลอยไปไกลแบบนี้ต่อให้ดูอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เพราะงั้นกว่าจะรู้ตัวว่าเขากดเปลี่ยนช่องทุกๆสองนาที ก็มีเสียงเรียกสติดังมาจากคนข้างๆเสียแล้ว

“คิมี่ ตกลงจะดูอะไรกันแน่เนี่ย?”  ดวงตาแวววาวที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตาหนาจ้องมองเขาราวกับกำลังจะค้นหาความจริง เขาเลยยักไหล่กลบเกลื่อนก่อนจะตีสีหน้าเรียบเฉย

“โธ่~ เบื่อก็บอกมาสิ ผมก็เบื่อนะที่ต้องมาติดแหง่กอยู่ในพายุหิมะแบบนี้ รู้งี้น่าจะเช็คพยากรณ์อากาศก่อนจะมาเซอร์ไพรส์เฮย์กิก็ดีหรอก”  แผ่นหลังโปร่งบางของเซบโถมพิงมาที่ท่อนแขนของเขา เจ้าเด็กเยอรมันยืดขาเหยียดยาวเต็มโซฟาก่อนจะหดมันกลับมาแล้วกอดเข่าเอาไว้หลวมๆ ไออุ่นจากแผ่นหลังที่พิงเขาอยู่ทำให้จิตใจที่เพิ่งจะสงบลงได้เริ่มพันกันยุ่งเหยิงอีกครั้ง มันทั้งอึดอัด เจ็บปวด และเศร้าหมอง

“อ๊ะ! จริงสิ ผมจะให้ดูอะไร ไหนๆก็คงไม่ได้ให้เฮย์กิกับมือแล้ว เอามาตั้งไว้นี่ก็แล้วกัน”  แล้วจู่ๆเซบก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ไออุ่นนั้นจึงหายไปจากเขาในพริบตา

ร่างโปร่งเดินไปหยิบห่ออะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเดินทางของตัวเอง ถุงกระดาษที่ใส่อะไรบางอย่างนั่นไว้มีรอยยับนิดหน่อย เซบหันมายิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มซนๆก่อนจะค่อยๆดึงของในถุงกระดาษนั่นออกมา

“แต่น แต๊น~ นี่เป็นของที่ผมตั้งใจจะซื้อมาเซอร์ไพรส์เฮย์กิยังไงล่ะ! ของขวัญขึ้นบ้านใหม่~~”  


ตุ๊กตาหิมะคู่หนึ่งถูกวางลงไปบนโต๊ะเตี้ยหน้าทีวี

ตุ๊กตาที่เซบอาจจะคิดว่ามันแทนตัวเองกับเฮย์กิ...

ตุ๊กตาหิมะคู่รัก...


ตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรและไม่ได้สนใจของในถุงนั่นด้วย แต่พอเซบค่อยๆวางมันลงบนโต๊ะด้วยความทะนุถนอม วางมันลงไปด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร...เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักกระชากตัวเซบาสเตียนขึ้นมา ก่อนจะประกบริมฝีปากของเขาลงไปบนกลีบปากสีชมพู!

บดขยี้กลีบปากสีสวยนั่นด้วยปากของเขา ลงน้ำหนักให้เซบรู้ว่าคนที่จูบตนเองอยู่คือ คิมี่ ไรโคเนน ไม่ใช่ผู้ชายจอมหลอกลวงคนนั้น!

ดวงตาสีฟ้าที่อยู่ใกล้แค่คืบเบิกกว้างจนแทบจะโตเท่าไข่ห่าน เขาดึงเด็กนั่นมาจูบด้วยหัวใจที่ปวดร้าวรุนแรงและทนเห็นเซบถูกหลอกต่อไปไม่ไหว สองแขนยันไหล่ผอมบางออกไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะก้มหน้าอยู่แถวๆปลายคางของเซบที่ยังตื่นตะลึง...เขาต้องสารภาพ ต้องบอกเซบ ถึงแม้ว่ามันอาจจะกลายเป็นจุดแตกหักระหว่างเราก็ตาม

“เลิกสนใจผู้ชายคนนั้นได้ไหม? ถ้าชอบคนฟินน์ละก็ เป็นฉันได้ไหม? ฉันสัญญาว่าจะทำให้นายมีความสุข จะรักแค่นายคนเดียว...เซบาสเตียน...เป็นฉันได้ไหม...คนที่นายจะรัก”   น้ำเสียงที่เปล่งออกไปนั้นสั่นพร่าและเต็มไปด้วยอารมณ์ ต่างจากประโยคโมโนโทนที่เขามักจะพูดในยามปกติโดยสิ้นเชิง

ใบหน้าคมเงยขึ้นมามองใบหน้ารูปไข่ด้วยสายตาเว้าวอน เซบยังมีท่าทีสับสน นิ้วเรียวเล็กยกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเองด้วยท่าทางที่ยังอึ้งๆอยู่

“เดี๋ยวก่อนนะคิมี่...นี่...หมายความว่ายังไง?...”  เซบถามเขาอย่างตรงไปตรงมาตามนิสัย เขาจึงถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนต้องกัดฟันแล้วพูดออกไป

“ฉัน...บังเอิญไปรู้เรื่องที่ไม่ควรจะรู้เข้า...ว่าเฮย์กิยังมีแฟนเป็นผู้หญิงอยู่อีกคนและพวกเขาก็กำลังจะแต่งงานกัน หมอนั่นกำลังหลอกนายอยู่”   คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน เขาพูดออกไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด เขาไม่อยากให้เซบเสียใจแต่กลับต้องเป็นคนทำให้เซบร้องไห้เสียเองถ้ารู้ความจริงจากปากของเขา

“เรื่องนั้นช่างมันก่อน เอาเรื่องที่คุณบอกว่า เป็นคุณได้ไหมนั่นก่อน...มันหมายความว่ายังไง?”   แต่แล้วเซบกลับไม่มีทีท่าสะเทือนใจกับเรื่องของเฮย์กิเลย? ซ้ำยังหันไปสนใจความในใจที่เขาบอกแทนซะงั้น?

“........ก็ตามที่บอกนั่นแหละ...ชั้นรักนาย...เพราะงั้น...เลือกชั้นแทนเฮย์กิได้ไหม?   คราวนี้จากดวงตาที่โตเท่าไข่ห่านอยู่แล้วยิ่งโตขึ้นไปอีก ริมฝีปากสีชมพูที่สั่นระริกนั่นเหมือนอยากจะพูดอะไรมากมาย แต่สุดท้ายมันก็มีเสียงหลุดมาได้แค่

“คิมี่....”  เซบครางชื่อเขาออกมาก่อนจะโผเข้ามากอดเขาเล่นเอามึนงงไปหมด ตกลงกำลังเสียใจเรื่องของเฮย์กิหรือเปล่า? แต่เสียงร้องไห้โฮแบบนี้มันไม่เหมือนเสียงของคนที่กำลังเสียใจ แต่เหมือนเสียงของคนที่กำลังโล่งใจมากกว่า?



.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


ย้อนกลับไปเมื่อเช้า...เซบาสเตียน เวทเทลลุกจากเตียงแล้วไปยืนเหม่ออยู่ในห้องน้ำ...


ซ่า~


หลังจากปล่อยให้น้ำไหลไปโดยไม่ได้ทำอะไรอยู่หลายนาที คนที่เพิ่งตื่นจากภวังค์ก็รีบขยับมือบางไปหมุนปิดก๊อกน้ำที่อ่างล้างหน้า ก่อนจะยกฝ่ามือนั้นขึ้นมาลูบกระจกที่เต็มไปด้วยฝ้าจากไอน้ำ มันถึงได้เพิ่งสะท้อนใบหน้าที่ดูห่อเหี่ยวของเขากลับมา

เมื่อคืน...ใครว่าเขาไม่มีสติ ใครว่าเขาง่วงจนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จะบอกให้ว่าเซบาสเตียน เวทเทลน่ะตื่นตั้งแต่ตอนที่คิมี่เข้ามาพยุงแล้วพาขึ้นบันไดนั่นแล้ว! ใกล้จนได้กลิ่นของคิมี่เต็มๆแบบนั้นมีหรือที่เขาจะยังง่วงไหวอยู่อีก!

แต่ที่ยังทำตัวงัวเงียปล่อยให้คิมี่หิ้วขึ้นมานอนต่อไปก็เพราะว่าอยากจะอ้อนคิมี่ อยากจะเข้าใกล้ อยากจะซุก อยากจะกอดโดยที่อีกฝ่ายจะไม่ติดใจสงสัยอะไร...แต่ใครจะไปคิดละว่าจู่ๆคิมี่จะถามคำถามแบบนั้นออกมา......

สองมือท้าวลงไปที่ขอบอ่างล้างหน้าก่อนจะถอนหายใจยาวๆ และที่เขาตอบออกไปว่าคบกับเฮย์กิอยู่ก็เพราะตกใจ ตอนนั้นกังวลแค่ว่าหรือคิมี่จะระแคะระคายอะไร คิดแค่ว่าต้องการจะบ่ายเบี่ยง เขาไม่อยากให้คิมี่สงสัย ไม่อยากให้คิมี่รู้...ว่าที่จริงแล้วเขาคิดยังไงกับคิมี่กันแน่ เขายอมสูญเสียคนทั้งโลกแต่ไม่ว่ายังไงก็ยอมรับไม่ได้ที่จะต้องเสียคิมี่ไปแม้จะในฐานะเพื่อนก็ตาม

ถ้าความรักมันจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราพังทลาย เขายอมกล้ำกลืนความรู้สึกนี้เอาไว้เสียยังจะดีกว่า...

อีกอย่าง...เพราะตอบออกไปแบบนั้นเขาถึงได้รู้ว่าคิมี่ไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกัน...เพราะคิมี่บอกว่าไม่ชอบที่เขาซึ่งเป็นผู้ชายคบกับเฮย์กิที่เป็นผู้ชายด้วยกัน...

เพราะฉะนั้น...ความรักของเขากับคิมี่มันไม่มีวันที่จะสมหวังเลย...

ดีแล้ว...ที่ไม่บอกความรู้สึกที่แท้จริงออกไป ไม่บอกคิมี่ว่าเขารักคิมี่มากแค่ไหน... 

นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองใบหน้าหงอยๆของตัวเองในกระจกเงา สองมือยกขึ้นตบสองแก้มเบาๆเพื่อเรียกสติ...ต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม จะให้คิมี่รู้ไม่ได้ว่าเมื่อคืนเขารู้ตัวดีทุกอย่าง ต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต้องทำเหมือนจำไม่ได้

เขาก้าวขาเดินลงบันไดมาด้วยใบหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว เขายังคงยิ้มให้คิมี่ตามปกติ แต่แว่บหนึ่งมันก็รู้สึกถึงระยะห่างที่มองไม่เห็น อาจจะเป็นเพราะเขาได้รู้ว่าคิมี่ไม่ชอบพวกไม้ป่าเดียวกัน เขาเลยยิ่งรู้สึกสิ้นหวังเข้าไปใหญ่

แล้วในขณะที่พยายามทำตัวเป็นปกติ พยายามชวนคิมี่คุยนู่นนี่  เฮย์กิก็โทรมา...เขาเห็นคิมี่เบือนหน้าหนี...คงรังเกียจสินะที่เขาเบี่ยงเบนขนาดนี้ ที่เขารักผู้ชายด้วยกัน...

เขาต้องฝืนยิ้ม ฝืนทำตัวร่าเริง ทั้งๆที่ในใจกำลังเจ็บปวดทุลนทุลาย และในขณะที่ยังหาทางออกไม่ได้อยู่นั้น...



“เลิกสนใจผู้ชายคนนั้นได้ไหม? ถ้าชอบคนฟินน์ละก็ เป็นฉันได้ไหม? ฉันสัญญาว่าจะทำให้นายมีความสุข จะรักแค่นายคนเดียว...เซบาสเตียน...เป็นฉันได้ไหม...คนที่นายจะรัก”  



คิมี่ก็พูดประโยคนี้กับเขา...

ว่าไงนะ? ถ้าเขาฟังไม่ผิด คิมี่บอกว่าจะรักเขาคนเดียว?



“เรื่องนั้นช่างมันก่อน เอาเรื่องที่คุณบอกว่า เป็นคุณได้ไหมนั่นก่อน...มันหมายความว่ายังไง?”   คิมี่พูดเรื่องของเฮย์กิออกมามากมายแต่เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด เพราะสิ่งที่เขาสนใจมีแค่ความรู้สึกของคิมี่เท่านั้น

“........ก็ตามที่บอกนั่นแหละ...ชั้นรักนาย...เพราะงั้น...เลือกชั้นแทนเฮย์กิได้ไหม?  



นัยน์ตาของเขาถึงกับเบิกกว้างอย่างที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินคำคำนี้จากปากของคิมี่ ไม่เคยคิดเลยว่าความรักที่สิ้นหวังของเขามันจะเปลี่ยนเป็นสมหวังได้ภายในพริบตาขนาดนี้


คิมี่บอกว่ารักเขา...

คิมี่บอกว่ารักเขา!


ร่างทั้งร่างจึงโถมเข้าไปกอดอีกฝ่ายอย่างห้ามตัวเองไม่ได้อีกต่อไป หัวใจของเขามันแทบจะกระโดดโล้ดเต้นออกมาจากอกให้ได้อยู่แล้ว เขาจึงร้องไห้ออกไปด้วยความดีใจ นี่มันดีใจยิ่งกว่าตอนได้แชมป์เอฟวันเสียอีก!

ไม่อยากจะเชื่อ...ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!


สองแขนผอมบางกอดรอบเอวคิมี่เอาไว้ก่อนจะเงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมา คราวนี้เขาเป็นฝ่ายจูบคิมี่ก่อนบ้าง ไม่ได้รุนแรงแบบที่คิมี่จูบเขา แต่เพียงแผ่วเบาเขาก็รับรู้แล้วว่าคนที่เขาจูบอยู่เป็นใคร...คิมี่ ไรโคเนน...เป็นคิมี่ ไรโคเนน ผู้ชายที่เขาหลงรักมาไม่รู้กี่ปีคนนั้นแน่นอน

“เซบ?....”   คิมี่มองเขาด้วยใบหน้ามึนงง อ้อ จริงสิ เขาต้องเคลียร์เรื่องที่อีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิดอยู่เสียก่อน

“คิมี่...ที่จริงแล้วเรื่องที่ผมคบกับเฮย์กิอยู่น่ะ ผมโกหกคุณ...คนที่ผมรักมาตลอดคือคุณต่างหาก...ผมรักคิมี่ ไรโคเนนมาตั้งแต่ปีแรกที่เรารู้จักกันแล้ว!   คราวนี้กลับเป็นฝ่ายคิมี่บ้างที่เบิกตากว้าง ใบหน้าที่มักจะเฉยชาอยู่เสมอของคิมี่บัดนี้มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนเขารู้สึกได้ นัยน์ตาสีเทาเองก็กำลังสั่นพร่า น้ำตาคลออยู่เต็มหน่วยเหมือนที่เขาเป็นเลย คิมี่เองก็กำลังดีใจอยู่ใช่ไหม?

“รักชั้น?....”   คิมี่ถามย้ำมาด้วยเสียงสั่นๆ

“ใช่!  และคราวนี้เขาก็ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจและแน่วแน่

“ที่ผมโกหกคุณว่าผมคบกับเฮย์กิอยู่ก็เพราะว่าผมตกใจที่จู่ๆคุณก็ถามผมแบบนั้น ผมกลัวว่าคุณจะระแคะระคายในความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณ ผมไม่รู้ว่าคุณคิดยังไง ผมกลัวว่าคุณอาจจะรังเกียจผม ผมไม่กล้าบอกคุณ ผมยอมเป็นแค่เพื่อนคุณดีกว่าให้คุณเกลียดผม ผมเลยเลือกที่จะปิดบังคุณแล้วก็โกหกคุณว่าผมคบกับเฮย์กิอยู่”  เขาสารภาพออกไปตามตรงก่อนจะก้มหน้าสำนึกผิด

“ตกลงนาย...ไม่ได้คบกับเฮย์กิ?”

“ไม่ได้คบ...อย่าว่าแต่จะเป็นแฟนกันเลย เป็นแค่น้องชาย เฮย์กิยังไม่เอาเลย! ชอบว่าผมเป็นตัวยุ่งน่าปวดหัวตลอด แล้วอีกอย่างนะพ่อเทรนเนอร์ตัวดีของผมเขาก็มีแฟนที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วด้วย”  พูดถึงตรงนี้คิมี่ก็มีท่าทีชะงักไป ดูเหมือนคิมี่จะเจอแฟนของเฮย์กิที่มาส่งอาหารเข้าละมั้ง? อ๋อ~ ก็เลยคิดว่าเขากำลังถูกเฮย์กิหลอกอยู่? เลยทนไม่ไหว? เลยตัดสินใจจะบอกให้เขาเลิกกับเฮย์กิและสารภาพความรู้สึกของตัวเองออกมาแทน

“นายรู้เรื่องผู้หญิงคนนั้น?”  นั่นไง...คิมี่เจอแฟนของเฮย์กิแล้วจริงๆด้วย...เขาเลยได้แต่ยิ้มแห้ง คงต้องไปขอโทษเฮย์กิทีหลังเสียละมั้ง ที่ทำให้เฮย์กิดูเป็นตัวร้ายทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสักนิด

“รู้สิ แล้วผมก็รู้จักกับเธอด้วย เฮย์กิพาเธอมาเที่ยวเล่นที่บ้านผมบ่อยจะตาย เธอยังสอนภาษาฟินน์ให้ผมด้วย”   คิมี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ใบหน้าที่เขารู้สึกว่ามันแปลกๆมาตั้งแต่เช้าดูผ่อนคลายขึ้น ดูไม่กังวลอะไรอีกแล้ว

ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักดึงตัวเขาเข้าไปกอดก่อนจะเกยคางของตนเอาไว้ที่ไหล่ของเขา คิมี่กระซิบบอกแผ่วเบาว่า

“อ่า...นายรู้ไหมว่านายทำชั้นเครียดจนแก่ลงไปสิบปีได้”  เขาค่อยๆหรี่ดวงตาที่เบิกกว้างลง สองแขนกอดกระชับแผ่นหลังของคิมี่เอาไว้เหมือนกัน...เหมือนฝันไปเลย...พวกเขาใกล้ชิดกันมากก็จริง เคยสกินชิพ เคยกอดกันมาก็จริง แต่ก็ไม่เคยกอดกันด้วยความรู้สึกแบบนี้เลย

“ผมขอโทษนะ...”   เขาซบหน้าลงกับไหล่ของคิมี่ อ้อมกอดนี้มันช่างอบอุ่นและอ่อนโยนจริงๆ

“อ่า ช่างมันเถอะ นายไม่ได้ถูกหลอก ไม่ได้เจ็บปวดอะไรก็ดีแล้ว”  คิมี่คงจะเป็นห่วงแล้วก็กังวลกับเรื่องของเขามากเลยสินะ รู้สึกผิดแต่ก็ดีใจนิดๆแหะ

“อีกอย่างนะ เค้าว่ากันว่ามียาอายุวัฒนะที่ทำให้คนแก่กลับมาเป็นหนุ่มได้ชั่วพริบตา แถมยังเป็นอมตะอีกด้วยนะ”   คิมี่ดันเขาออกมาจากอ้อมแขนก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

“ยาอะไรแบบนั้นมีด้วยเหรอ?”   หลายๆคนคงจะไม่คุ้นกับรอยยิ้มของคิมี่ แต่เขาเคยเห็นมันบ่อยจนเขารู้ว่าตอนนี้คิมี่กำลังทำหน้าเจ้าเล่ห์อยู่

“มีสิ...เค้าบอกว่าให้ กินเด็ก แล้วจะไม่แก่ไม่ตาย”   ห๊ะ?


แล้วกว่าจะรู้ตัว เขาก็ถูกคิมี่รวบหัวรวบหางอุ้มท่าเจ้าสาวก้าวขาเข้ามาในห้องนอนที่ใช้นอนมาทั้งคืนนั่นไปแล้ว!


เอ๋?


เอ๋?~~~













.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

แสนรัก
End





ในแง่เนื้อเรื่องก็ถือว่าจบแล้วนะ ก๊ากๆๆๆ แต่คาดว่าคนอ่านอาจจะอยากปาไหใส่คนแต่งได้ ว่าถ้าจะตัดจบได้ชั่วร้ายขนาดนี้ก็ตายซะเถอะคุณกวาง~~ นี่แหน่ะๆ 5555+

เอาเป็นว่าจะแต่ง NC Part ให้อีกตอนนึงค่ะ เป็นพาร์ทเอ็นซีล้วนเอาให้สมกับที่ลวนลามมาดามมาตลอดหลายๆเดือนนี้มันไปเลยค่ะ 5555+ // เอาหัวโขกผนัง ทำไมติ่งมาดามแล้วรู้สึกว่าตัวเองช่างเลวทรามผิดศีลธรรม กามอกุศล บัดสีบัดเถลิงมาก โฮววววว // ไม่ใช่เป็นมาแต่แรกแล้วเร๊อะยัยติ่ง อย่ามาโทษผม! มาดามไม่ได้กล่าวไว้

ตัดเอาส่วนเนื้อเรื่องมาลงทยอยแก้บนไปก่อนค่ะ 555 คือตอนนี้แต่ง Red Season ท่อนจบอยู่ด้วย ทางนั้นเอ็นซีหนักหน่วงมากกกกก ตรูจะตายแระ ทางนี้เลยขอติดไว้ก่อนนะถถถ เอาทีละเรื่อง

มาพูดถึงโลเคชั่นกันบ้างว่าได้แต่ใดมา คือก็อย่างที่ทราบกันว่าโลเคชั่นของเรื่องนี้นั้นอยู่ที่เขต Lapland  ของประเทศ Finland  ซึ่งเป็นโซนของประเทศที่อยู่เหนือ Arctic circle ขึ้นไปตามที่ได้กล่าวไว้ในท้องเรื่อง555+ ก็...ตั้งแต่ติ่งเซบกับคิมี่ โลเคชั่นกระท่อมหลังน้อยในป่าสนฟินแลนด์นี่ก็อยู่ในหัวมาตลอดค่ะ เชื่อว่าคนที่อ่านฟิคคู่นี้(ซึ่งน่าจะมีแต่ในเวปเอโอสาม 555)ก็คงคุ้นเคยกันอยู่บ้างเพราะคิมี่เป็นคนฟินแลนด์ และมาดามเองก็ชอบประเทศนี้และคนของประเทศนี้มากกกกกก ประกอบกับเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วมั้ง ที่คิมี่ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับเครื่องดื่มอันหนึ่ง แล้วฉากคือป่าสนฟินแลนด์เลยอ่ะ คือแบบดูแล้วหลงรักโลเคชั่นนั้นเลยค่ะ สวยมากกกกกกก ท่านก็อย่างหล่อ =q= ก็เลยขอยืมมาใช้เป็นฉากฟิคซะเลย 5555 แปะโฆษณาของ Original Gin Long drink





พ่อคนนี้นี่นะ โฆษณาอะไรก็คูลก็เท่ห์ไปหมด แล้วส่วนใหญ่ในบรรดาสปอนเซอร์ของม้า คิมี่จะเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปค่ะ ส่วนมาดามจะเป็นประเภทของใช้ในครัวเรือน 5555+ แบ่งประเภทกันชัดเจน พ่อบ้านกับแม่บ้านบ้านนี้ย์ >////<

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทุกๆการติดตาม ทุกๆคนที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ 5555 ไว้เจอกันใหม่ค่ะ >w<



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น