Touken
Ranbu Au Fic [Ichigo x Mikazuki] จะรักตลอดไป : 01
:
Touken Ranbu Fanfiction Au
:
Ichigo Hitofuri x Mikazuki Munechika
:
Dark Drama
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
“ไม่ว่าจะทำยังไงหรือจะต้องใช้เงินมากแค่ไหน
ก็ต้องทำให้ที่ดินผืนนั้นเป็นของฮิโตฟุริกรุ๊ปให้ได้”
“สวัสดีครับ ผมอิจิโกะ
ฮิโตฟุริ แล้วคุณคือ.....”
“เพิ่งเคยมาสวนสนุกเหรอครับ?”
“นี่เบอร์ของผม ถ้าคุณอยากออกไปผจญภัยหรือทัศนศึกษาที่ไหน
ให้ผมไปเป็นเพื่อนก็ได้”
“ผมต้องการให้คุณหนีตามเขาไป
ผมจะให้ทุนการศึกษาและทุนวิจัยกับเขาทั้งหมด...ขอแค่คุณหนีไปกับเขาก็พอ”
“คนที่พวกคุณไม่ควรยุ่งด้วยมาตั้งแต่แรกก็คือผมคนนี้
คืออิจิโกะ ฮิโตฟุรินี่แหละ”
“อย่างผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คู่แข่งของผมหรอก”
“พวกเขาจะต้องเลิกกัน...ต้องเลิกกันเพราะผมอย่างแน่นอน”
ภาพหลายภาพซ้อนทับอยู่ในหัว
คำพูดที่สับสนวุ่นวายบ้างจางหายบ้างดังก้องปลุกให้ลมหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอค่อยๆแปรเปลี่ยนไป
เปลือกตาที่ปิดสนิทมาหลายอาทิตย์เปิดพรึ่บขึ้นทันทีก่อนที่ถ้อยคำเป็นหมื่นเป็นล้านพวกนั้นจะหายไปในชั่วพริบตา...แล้วในหัวก็ไม่หลงเหลืออะไรอยู่อีกนอกจากความขาวโพลนและความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเมื่อพยายามจะนึกถึงภาพและคำพูดเหล่านั้น
นี่มัน...เกิดอะไรขึ้น?
นัยน์ตาสีวอลนัทถึงกับต้องปิดลงอย่างฉับพลันเมื่อพยายามจะขยับร่างกาย...เปล่าหรอก...ความเจ็บปวดไม่ได้เกิดจากท่อนแขนที่พยายามยกขึ้นแต่มันกลับแล่นลิ่วอยู่ในหัวเสียมากกว่า...เจ็บ...เหมือนถูกอะไรตีที่ศีรษะอย่างแรง...
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลทอดมองท่อนแขนของตัวเองอีกครั้งก่อนจะถอดใจที่จะขยับเขยื้อนร่างกายซึ่งหนักอึ้งจนเหมือนไม่ใช่ของตัวเองนี่ไป
แล้วใช้เพียงดวงตาไล่มองสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว...ปลอกหมอนสีขาว...ผ้าปูที่นอนสีขาว...เตียงเหล็กสีขาว...โต๊ะสีขาว...โซฟาสีขาว...ผ้าม่านสีขาว...พื้นกระเบื้องยางสีขาว...ฝ้าเพดานสีขาว...ประตูสีขาว...ทุกอย่างขาวโพลนไปหมด...
ขาว...และว่างเปล่า...เหมือนๆกับในหัวของเขา…
ไม่สิ...
รอบกายเขาไม่ได้มีแต่สีขาว...
ยังมีสีเลือดฝาดฉาบไล้อยู่บนใบหน้าและผิวพรรณของคนคนหนึ่งซึ่งนั่งหลับพิงผนังห้องอยู่
ถึงคนคนนั้นจะขาวมากแต่สีระเรื่อนี้ก็ทำให้ใบหน้าที่หายใจเข้าออกสม่ำเสมอนั้นลอยออกมาจากสีขาวของผนัง
เขาค่อยๆไล่สายตามองอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน....ใบหน้ามนนั้นงดงามราวกับสมบัติล้ำค่า
เขาค่อยๆไล่สายตาไปยังเครื่องหน้าได้รูปรับกับเส้นผมสีรัตติกาล ไม่ว่าจะริมฝีปาก
จมูก จนถึงแพขนตา ล้วนราวกับถูกสลักเสลามาจากฝีมือศิลปินเอกของโลกทั้งสิ้น
นานแค่ไหนก็ไม่รู้ที่เขามองอีกฝ่ายอยู่แบบนั้น...และมันคงนานพอให้เขาได้คิดทบทวนอะไรหลายๆอย่าง...
จนกระทั่งเปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดขึ้นเพราะถูกรบกวนจากกลีบซากุระซึ่งปลิวร่วงหล่นอยู่บนใบหน้า
ดวงตาดั่งดวงจันทราที่เพิ่งเปิดขึ้นมามีแววเหม่อๆเล็กน้อยก่อนมือบางจะยกขึ้นปัดกลีบซากุระออกไป
ใบหน้ามนคงตั้งใจจะหลับต่อ...ถ้าไม่ได้เหลือบมาเห็นเขาเข้าเสียก่อน...
“.....อะ...อิจิโกะ ฮิโตฟุริ?!” ริมฝีปากสีระเรื่อเรียกชื่อใครสักคนออกมาก่อนที่ร่างโปร่งนั่นจะลุกเดินมาหาเขา
นิ้วเรียวยาวที่สั่นน้อยๆแตะลงมาที่แก้มและมันก็ทำให้เขารู้ว่าอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายนั้นช่างเย็นสบายราวกับพระจันทร์
“ในที่สุด...คุณก็ฟื้นสักที......”
เขาเพิ่งรู้ว่าคนที่ขยับตัวด้วยท่าทางเนิบนาบนั่นกำลังดีใจก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาสั่นพร่า
ใบหน้ามนนั่นราวกับจะร้องไห้แต่มันกลับอมยิ้ม
ได้ยินคนตรงหน้าเรียกหาคุณหมอๆแต่ก่อนที่ร่างโปร่งบางจะได้เดินออกไปตามใคร
ฝ่ามือของเขาก็จับมืออีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับคำถามที่ทำให้ห้องทั้งห้องนิ่งงัน
“เดี๋ยวก่อน...คุณเป็นใคร?....แล้วอิจิโกะ
ฮิโตฟุริล่ะ...เป็นใคร?”
คำถามที่หลุดออกไปจากปากของเขาทำให้คนตรงหน้าแทบจะแข็งเป็นหิน
ใบหน้าที่งดงามนั่นดูเหมือนจะชาวาบไปหลายนาทีก่อนที่ริมฝีปากสั่นระริกจะถามเขากลับมาราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกไป
“คุณ...จำผมไม่ได้เหรอ?” ดวงตาดั่งดวงจันทรานั่นสั่นพร่าจนน่าสงสาร
แต่เขาก็จำต้องพูดออกไปตรงๆว่า
“ขอโทษนะ...ผมจำเรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณไม่ได้เลย...เรา...รู้จักกันใช่ไหม?”
แล้วประโยคที่เขาพูดออกไปก็ทำให้ร่างโปร่งตรงหน้านิ่งงันราวกับเพิ่งจะโดนสายฟ้าฟาดใส่
อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่หลายนาทีก่อนที่จะผงะออกจากภวังค์
“ผม...จะไปตามหมอมาดูคุณก่อน...”
ร่างโปร่งพลิกกายก่อนจะเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง...เขามองตามแผ่นหลังบางๆนั้นไปด้วยสายตาเลื่อนลอย
เขานึกขอโทษอีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมา คนคนนั้นคงจะช็อคมากที่เห็นเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับหัวที่กลวงโบ๋แบบนี้
ดูจากแววตาแล้วก็รู้ว่าคนคนนั้นต้องห่วงใยเขามาก
ไม่เช่นนั้นจะมานั่งเฝ้าอยู่แบบนี้หรือไง แต่เขากลับ...
คุณหมอเดินเข้ามาพร้อมกับร่างโปร่งบางคนนั้น
ฝ่ามือในเสื้อกราวน์ตรวจตามร่างกายของเขาไปมา รู้สึกว่าส่วนที่น่าหนักใจที่สุดกลับไม่ใช่บาดแผลภายนอก
“คุณจำไม่ได้เลยเหรอว่าตัวเองเป็นใคร?” คุณหมอถามเขาด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ผม.......” เขาส่ายใบหน้าเลื่อนลอยของตัวเองเบาๆ
แม้แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันก็ยังขาวโพลน
คุณหมอตรวจบนใบหน้าของเขาต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูดกับร่างโปร่งบางคนนั้นด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
“เขาโดนของแข็งกระแทกศีรษะมาอย่างแรงจนสลบไปสองอาทิตย์
บวกกับที่เขาอาจจะอยู่ในสภาวะขาดอากาศ
หมอเลยคิดว่ามันอาจจะส่งผลกระทบกับสมองและความทรงจำของเขาก็เป็นได้”
ความจำเสื่อมชั่วคราว...นั่นคือข้อสรุปที่คุณหมอมีให้เขา
และคุณหมอเองก็ให้คำตอบไม่ได้ว่าเขาจะความจำเสื่อมอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหน
พรุ่งนี้เขาอาจจะจำทุกอย่างได้แล้วก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะนานเป็นเดือน เป็นปี
และอย่างเลวร้ายที่สุดก็คือ...เขาอาจจะต้องสูญเสียมันไปตลอดกาล
แรงบีบที่หัวไหล่ทำให้เขาคลายความกังวลลงไปได้บ้าง
ตอนนี้ห้องทั้งห้องมีเพียงเขากับร่างโปร่งบางคนนั้นเท่านั้น
“อิจิโกะ
ฮิโตฟุริ...คือชื่อของคุณ”
ร่างโปร่งบางนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียงคนไข้
“มิคาสึกิ
มุเนจิกะ คือชื่อของผม...เราสองคนเป็น........เป็น.................” ใบหน้ามนฉาบไล้ไปด้วยสีแดงระเรื่อเล็กน้อยเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ซึ่งมันทำให้เขาสงสัยจนเผลอเร่งรัดในคำตอบ
“เป็น?”
“............ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน?
แต่วางใจเถอะ ผมไม่เคยโกหกคุณ เพราะฉะนั้น...ดื่มชาแล้วค่อยๆฟังก็แล้วกัน” เขางงกับคำตอบและวิธีพูดของมิคาสึกิเล็กน้อยก่อนจะก้มลงมองถ้วยชาที่อีกฝ่ายยื่นให้
ไม่รู้ทำไมถึงอยากจะยิ้มขึ้นมา
ถึงเขาจะจำอะไรไม่ได้แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะให้คนป่วยที่เพิ่งฟื้นหยกๆดื่มชาร้อนๆนี่ไหมนะ?
แล้วในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองเป็นใคร...จากริมฝีปากของมิคาสึกิ
อิจิโกะ
ฮิโตฟุริคือนักธุรกิจหนุ่มเลือดใหม่ที่ใครๆในญี่ปุ่นต่างก็รู้จัก ผู้ชายคนนี้เป็นลูกชายคนโตของตระกูลฮิโตฟุริ
เจ้าของฮิโตฟุริกรุ๊ป กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น มีโครงการก่อสร้างมากมายทั้งคอนโดมิเนี่ยม
อพาทเม้นต์ หมู่บ้านจัดสรร โรงพยาบาล รวมไปถึงโรงแรมระดับห้าดาวที่มีกระจายอยู่ทั่วเอเชีย
นอกจากเขาจะรวยมากแล้วเขายังเป็นมนุษย์สุดเพอร์เฟ็ค
เพราะไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาที่เหนือกว่าไอดอลชั้นแนวหน้า ผู้ชายคนนี้ยังมีมันสมองระดับหัวกะทิ
นิสัยก็ไม่ได้เลวร้ายเอาแต่ใจเหมือนพวกลูกคุณหนูทั่วไป แต่อิจิโกะ
ฮิโตฟุริกลับเป็นผู้ชายที่สุภาพนุ่มนวล ใจดี ยิ้มง่ายไม่เย่อหยิ่ง มีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับทุกๆคน
นอกจากนี้ยังรักน้องๆของตัวเองมาก เรื่องครอบครัวกับเรื่องงานมักมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ
นั่นแหละ...คืออิจิโกะ
ฮิโตฟุริที่เขาได้ยินมาจากปากของมิคาสึกิ มุเนจิกะ
ผู้ชายที่เพียบพร้อมคนนั้นแหละ...คือเขา
“ส่วนเรื่องที่คุณมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไงนั้น...”
“เมื่อสามอาทิตย์ก่อน...คุณพาผมไปโรงงานพรีแฟ็บที่ใช้ในระบบงานก่อสร้างของคุณ
ในขณะที่คุณออกไปสั่งงานลูกน้องในโรงงาน
ผมก็นั่งรอคุณอยู่ในออฟฟิศที่เป็นตู้คอนเทรนเนอร์
ผมเผลอหลับไปและไม่รู้ว่าจู่ๆก็มีไฟไหม้ได้ยังไง ผมตื่นขึ้นมาและเห็นเพียงแค่ว่ารอบๆตัวของผมมันมีแต่เปลวไฟเต็มไปหมด
ผมมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากควันและเพลิงสีแดง แล้วชั่ววินาทีที่ผมได้ยินเสียงของคุณ
แขนของผมก็ถูกคุณคว้าไป
แรงเหวี่ยงทำให้ผมหลุดออกมานอกคอนเทรนเนอร์...แต่คุณกลับยังติดอยู่ในนั้น...ติดอยู่ในกองเพลิงเพราะเข้าไปช่วยผม”
“ทุกๆคนต่างคิดว่าคุณคงไม่รอด
เพราะหลังจากที่คุณเหวี่ยงผมออกมา โครงสร้างเหล็กของคอนเทรนเนอร์ก็ถล่มลงมา
คานเหล็กนั่นล้มทับตรงที่ที่คุณเคยยืนอยู่...ทุกคนรู้ดีว่าคุณคงไม่รอด...”
“แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่อนักดับเพลิงเข้าไปดับไฟ...แล้วพบว่าร่างคุณไม่ได้โดนเผาไหม้...อันที่จริงแทบไม่มีบาดแผลภายนอกเลยด้วยซ้ำ...นั่นก็เพราะว่าชิ้นส่วนตัวอย่างไมโครไฟเบอร์ที่คุณเพิ่งสั่งมามันล้มทับคุณไว้และป้องกันเปลวเพลิงให้คุณพอดี
แต่ส่วนที่ทำให้คุณสลบไปก็คือคานเหล็กของตู้คอนเทรนเนอร์ต่างหาก
มันหล่นลงมากระแทกศีรษะคุณ เลยทำให้คุณสลบไปสองอาทิตย์เต็มๆ”
“งั้นเหรอ...เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง...”
เขายกมือขึ้นมาลูบผ้าพันแผลที่ศีรษะด้วยสายตาเหม่อลอย
“ผมขอโทษ...ที่ทำให้คุณต้องเป็นแบบนี้...ถ้าคุณไม่เข้าไปช่วยผมก็คงจะไม่ต้อง...”
มือใหญ่ละจากผ้าพันแผลมาห้ามใบหน้าที่ค่อยๆสลดหดหู่ลงเรื่อยๆ
“คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก...ผมเชื่อว่าอิจิโกะ
ฮิโตฟุริคนนั้นคงเห็นคุณเป็นคนสำคัญของเขา เขาถึงได้ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อคุณแบบนั้น
ถ้าคุณเป็นอะไรไปเขาก็คงจะเสียใจเช่นกัน...ผมเชื่อว่าตัวผมในตอนนั้นไม่มีทางตัดสินใจพลาดอย่างเด็ดขาด
เพราะงั้นการที่คุณปลอดภัยดีแลกกับความทรงจำของผมแค่นี้น่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
คำพูดที่เขาเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนทำให้มิคาสึกิอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆยิ้มออกมา
“...ถ้าคุณไม่ต้องการคำขอโทษจากผม...ถ้างั้นผมก็จะขอพูดคำอื่นกับคุณแทนก็แล้วกัน”
ใบหน้าที่งดงามราวกับสมบัติล้ำค่ายื่นเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยเบาๆที่ข้างหูเขา
“...ขอบคุณ....” แล้วถ้อยคำสั้นๆเพียงคำเดียวที่อีกฝ่ายเอ่ยอออกมาก็ทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาถึงกับเต้นกระหน่ำ
ความทรงจำหนึ่งชัดเจนขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่า
เขารักผู้ชายคนนี้...
เขารักมิคาสึกิ
มุเนจิกะ...
นั่นคือความรู้สึกที่ฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาอย่างแน่นอน...
อิจิโกะ
ฮิโตฟุริ รัก มิคาสึกิ มุเนจิกะ อย่างแน่นอน...
มิคาสึกิไม่ได้นอนเฝ้าเขาที่โรงพยาบาลในตอนกลางคืน...
นั่นก็เพราะว่าอีกฝ่ายมีภารกิจที่จะต้องตื่นแต่เช้าแล้วไปทำมันให้เรียบร้อยก่อนจะมาหาเขาในตอนสายๆ
เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็จากชุดที่มิคาสึกิใส่มาในวันรุ่งขึ้นนี่แหละ
มิคาสึกิเป็นพระ....
และยังเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของวัดชื่อดังที่สุดในโตเกียวเลยก็ว่าได้...ถ้าอิจิโกะ
ฮิโตฟุริคือผู้ชายที่เพอร์เฟ็คที่สุดในญี่ปุ่น มิคาสึกิ
มุเนจิกะเองก็ไม่ได้ด้อยค่าไปกว่ากันเลย...รองเจ้าอาวาสหนุ่มรูปนี้ยังดูมีค่าราวกับสมบัติของจักรพรรดิที่หาอะไรมาทดแทนไม่ได้ยิ่งกว่าเขาเสียอีก
นัยน์ตาสีวอลนัททอดมองร่างโปร่งบางในชุดกิโมโนสีดำของพระเดินหอบตะกร้าใส่หนังสือนับสิบเล่มเดินเข้าประตูมา
เขาเลิกสงสัยเลยว่าทำไมมิคาสึกิถึงได้มีวิธีการพูดการจาที่ดูโบราณคร่ำครึขนาดนั้นทั้งๆที่ยังรุ่นราวคราวเดียวกับเขา
ตอนแรกเขาก็ติดใจอยู่ไม่ใช่น้อยกับกลิ่นไอที่คงไว้ซึ่งความเป็นญี่ปุ่นแบบสุดๆที่หลุดออกมาจากอากัปกิริยาของมิคาสึกิ
แต่พอได้เห็นอีกฝ่ายในชุดกิโมโนของพระเขาก็เข้าใจได้ในทันที...และมันก็ช่างเข้ากับมิคาสึกิแบบไม่มีขาดไม่มีเกินเลยจริงๆ
ตะกร้าหนังสือถูกวางลงตรงหน้าเขาก่อนที่ใบหน้ามนจะเอ่ยออกมา
“นี่เป็นนิตยสารที่เคยลงเรื่องเกี่ยวกับคุณเอาไว้
ลองอ่านดูก็แล้วกันเผื่อว่าจะทำความรู้จักตัวเองได้มากขึ้น....คุณ...ยังจำวิธีการอ่านหนังสือได้ใช่ไหม?
หรือว่าต้องให้ผมสอนให้?”
ใบหน้ามนที่ฉีกยิ้มดีใจที่จะได้เป็นคุณครูอนุบาลหมีน้อยนั่นทำให้เขารีบยกมือบอกปัดพลางหัวเราะ
“ฮะๆๆ
ผมยังอ่านออกเขียนได้อยู่ครับ” เขาหยิบนิตยสารพวกนั้นมาพลิกๆดู...มันล้วนมีแต่เรื่องราวของเขาอยู่ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นบทสัมภาษณ์หรือรูปถ่าย บางเล่มก็เป็นแค่ข่าวว่าเขาไปทำอะไรที่ไหน
บางเล่มก็เป็นนิตยสารเกี่ยวกับวงการธุรกิจ แต่บางเล่มก็ไม่ใช่
นี่เรื่องของเขามีอยู่แม้แต่ในหนังสือกอซซิปดาราเลยหรือยังไงกัน?
แต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ
ทำไมมิคาสึกิถึงได้มีหนังสือที่เขาลงอยู่ทุกเล่มทุกหมวดหมู่ขนาดนี้? ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลเผลอยิ้มพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“นี่คุณ...มีหนังสือเกี่ยวกับตัวผมเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ?”
มิคาสึกิชะงักไปก่อนจะทำท่าอึ้งๆอย่างคนเพิ่งรู้ตัว
“ผมมักจะเห็นมันที่แผงหนังสือ...รู้ตัวอีกทีก็ซื้อมาแล้ว...?”
“ฮะๆๆ
คุณเองก็คงจะชอบผม...เอ่อ...ชอบอิจิโกะ ฮิโตฟุริคนนั้นมากๆเลยสินะครับ?” เขาแค่พูดหยอกเย้าไปเรื่อย
แต่ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลกลับมีแววเลื่อนลอย
ดวงตาดั่งดวงจันทราทอดมองพื้นก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“......จะว่ายังไงดี...คงจะชอบแต่ผมก็ไม่แน่ใจ...เพราะตัวคุณในตอนนั้นก็ทำเรื่องแย่ๆกับผมเอาไว้อยู่ไม่ใช่น้อย...”
ใบหน้าที่สับสนปนเศร้าหมองของมิคาสึกิทำให้เขาอดที่จะยื่นมือออกไปหาไม่ได้
“งั้นเหรอครับ...”
ปลายนิ้วแตะลงไปที่ปอยผมสีดำอมน้ำเงินจนคนที่กำลังก้มหน้าเงยขึ้นมา
เขาทอดมองเส้นผมที่นุ่มลื่นนั่นก่อนจะทัดมันไปที่ใบหูของมิคาสึกิ...เมื่อก่อน...เขาคงทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้กับคนคนนี้มากมายแน่ๆ
ไม่เช่นนั้นใบหน้าที่มักจะอมยิ้มอย่างไม่สนใจโลกอยู่เสมอคงจะไม่ฉายแววเศร้าสร้อยได้ขนาดนี้...ถึงจะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้
แต่เขาก็เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“จะให้ตัวผมในตอนนี้มาขอโทษแทน
คุณก็คงไม่อยากฟัง...ผม...มีอะไรที่พอจะทำเพื่อไถ่โทษแทนเขาได้บ้างไหมนะ...”
ใบหน้ามนยิ้มให้เขาจางๆก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบพลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
ไถ่โทษอย่างนั้นหรือ....
มือบางยกขึ้นมาลูบปอยผมตรงที่ถูกอิจิโกะ
ฮิโตฟุริสัมผัสก่อนจะทัดหูให้...ความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายไม่เคยทำกับเขาทำให้หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกได้
ความอบอุ่นของพระอาทิตย์ดวงนั้นยังติดอยู่ที่ปอยผมนี้อยู่เลย
เมื่อก่อน...เราก็ไม่ได้ทะเลาะกัน
เพียงแต่มีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันมากเกินไป
มากเสียจนไม่รู้ว่าจะกลับมาคุยกันดีๆได้ยังไง...อิจิโกะ
ฮิโตฟุริมักจะแสดงออกด้วยความแข็งกร้าวประชดประชัน
ส่วนเขาเองก็เอาแต่เฉยเมยมองดูทุกอย่างผ่านไปอย่างไม่แยแส...ทั้งๆที่ความรู้สึกลึกๆในใจของแต่ละคนนั้นเป็นยังไงต่างฝ่ายต่างก็รู้ดี
แต่มันก็ไม่มีจุดที่จะทำให้กลับตัวได้เลย นับวันก็มีแต่จะยิ่งถลำลึกไปกับความถือดีของตัวเอง
แล้วถ้า....
เขาจะฉวยโอกาสนี้...ฉวยโอกาสที่อิจิโกะ
ฮิโตฟุริความจำเสื่อม...ถือโอกาสไถ่โทษและเริ่มต้นกันใหม่...มันจะเป็นไปได้ไหมนะ?
ใบหน้ามนถอนหายใจก่อนจะบิดลูกบิดแล้วเปิดประตูเข้าห้องไป
เขาเดินไปบอกพยาบาลเรื่องจะขอเปลี่ยนอาหาร พอกลับมาอีกที...อิจิโกะ ฮิโตฟุริก็ไม่ได้นั่งอยู่บนเตียงคนไข้อย่างที่ควรจะเป็น
แขนผอมบางผลักประตูห้องน้ำและในเมื่อมันไม่ได้ล็อคแบบนี้จึงไม่แปลกใจเลยที่ในห้องน้ำจะว่างเปล่า
เขาก้มลงดูตามใต้เตียงลองเปิดแม้กระทั่งตู้เก็บของแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าอิจิโกะ ฮิโตฟุริจะอยู่ในนั้น
แย่ละสิ
อิจิโกะยังจำอะไรแทบไม่ได้เลย
แล้วหายออกไปจากห้องแบบนี้จะไม่ให้เขาเริ่มกังวลได้ยังไง
สองขาก้าวออกจากห้องอีกครั้งก่อนจะขอความช่วยเหลือจากพวกพยาบาลให้ช่วยกันตามหา
แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ หาจนทั่วทั้งชั้น หามาหมดทั้งตึก
ก็ยังไม่เห็นแม้แต่ปลายผมสีน้ำทะเล
หัวใจที่สงบนิ่งอยู่เสมอเริ่มเกิดคลื่นชวนให้รู้สึกบ้าคลั่ง
เขากังวลจริงๆนะที่อีกฝ่ายหายไปแบบนี้ ถ้าหาอิจิโกะ ฮิโตฟุริไม่เจอเขาจะทำยังไงดี
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนั้นอีกเขาคงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้อีกเลย
สองขาในกิโมโนแคบๆวิ่งต่อไปอย่างไม่ถนัดนักแต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากไปกว่าความปลอดภัยของคนที่เขากำลังตามหา
ใบหน้ามนหันไปหันมากวาดสายตามองจนทั่วโถงต้อนรับที่ชั้นหนึ่งก่อนจะตัดสินใจวิ่งทะลุทางเดินเชื่อมตึกจนไปโผล่อยู่ท่ามกลางสวนหย่อมเล็กๆ...แล้วเขาก็เจออิจิโกะ
ฮิโตฟุริยืนอยู่ที่นั่นจนได้...
เขาก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความเหนื่อยล้า
สองมือเอื้อมออกไปจับมือของอิจิโกะไว้ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลมองเขากลับมาด้วยสีหน้างุนงง
คงจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้มีเหงื่อโชกขนาดนี้
คงจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้หอบจนตัวโยน และคงจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำหน้าราวกับจะร้องไห้เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังปลอดภัยดี
แต่ถึงจะไม่เข้าใจ...อิจิโกะ
ฮิโตฟุริกลับดึงตัวเขาเข้าไปกอดเอาไว้
ก่อนจะใช้ฝ่ามือที่อบอุ่นคู่นั้นลูบหัวเขาเบาๆ ปลอบโยนเขาเหมือนเด็กๆ...
ดวงตาดั่งดวงจันทราถึงกับเบิกค้าง
ตอนนี้เขามองไม่เห็นอะไรนอกจากอกเสื้อของอีกฝ่าย
และกลิ่นอันคุ้นเคยของอิจิโกะก็ทำให้เขาหลุบตาลง
ยอมปล่อยร่างกายให้จมหายไปในอ้อมแขนคู่นี้ เพราะมันเป็นความอบอุ่นอ่อนโยนที่เขาอยากสัมผัสมาตลอด
อยากจะวางทิฐิและยอมอยู่นิ่งๆให้อีกฝ่ายกอดแบบนี้มาตลอด
อิจิโกะ
ฮิโตฟุริดึงให้เขานั่งลงที่ม้านั่งตัวหนึ่งในสวน หลังจากสงบจิตสงบใจได้เขาจึงถามอีกฝ่ายออกไป
“คุณหายไปไหนมา?
หรือว่าต้องการอะไรอีกหรือเปล่า? บอกผมก็ได้เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้”
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลกลับส่ายปฏิเสธว่าไม่ได้อยากได้อะไร
“คือ...ตอนที่คุณออกไปบอกพยาบาลเรื่องขอเปลี่ยนอาหารของผม...คุณลืมเอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย
แล้วมันก็ดังเพราะมีคนโทรมา
ผมเลยตั้งใจว่าจะเอาไปให้คุณ...แต่พอออกจากห้องเท่านั้นแหละ
ก็เดินหาทางกลับห้องของตัวเองไม่ถูก ฮะๆๆ”
อิจิโกะตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆและมองว่าการหลงทางของตัวเองเป็นเรื่องขำๆ
แต่เขากลับมองใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นด้วยสายตากังวล...ขนาดที่นี่เป็นโรงพยาบาลของอิจิโกะเองแท้ๆ
ผังห้องทุกห้อง แบบก่อสร้างตึกทุกตึกล้วนอยู่ในสายตาของอิจิโกะมาตั้งแต่มันยังเป็นแค่ฐานราก
แต่อีกฝ่ายกลับจำอะไรไม่ได้เลย เห็นทีคงจะทำอะไรเองลำบากแน่ๆต่อจากนี้
แล้วในขณะที่เขายังวิตกอยู่นั้น
มือใหญ่ก็ยื่นโทรศัพท์มาให้
“เค้าโทรมาหลายรอบคงจะมีธุระ...คุณน่าจะโทรกลับนะ” เขารับมาดูรายชื่อสายโทรเข้าก่อนจะทำหน้าลำบากใจ
ปลายนิ้วกดโทรกลับไปและปลายสายก็กดรับแทบจะทันที
“คุณนิชิโนะ....” มิคาสึกิ
มุเนจิกะเรียกชื่อคนที่สนทนาด้วยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“คุณมุเนจิกะ...คือ...ฉันทราบข่าวมาจากท่านแม่ว่าอิจิโกะ
ฮิโตฟุริฟื้นแล้วอย่างนั้นเหรอคะ?”
เป็นเสียงผู้หญิงดังลอดมาจากปลายสาย และคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้ยินอย่างชัดเจน...เสียงของผู้หญิงคนนั้นช่างไพเราะและพูดจาด้วยถ้อยคำที่สุภาพมาก
คงจะเป็นคุณหนูที่เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้และถูกฝึกฝนเรื่องมารยาทมาอย่างดี
“ก็...ฟื้นแล้วละ”
มิคาสึกิตอบกลับไปเหมือนไม่ค่อยอยากพูดเท่าไหร่
“ดีจริงๆเลยนะคะที่ฟื้นแล้ว
ทางนี้ก็เบาใจไปตามๆกัน เพราะถ้าอิจิโกะ ฮิโตฟุริไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว
ท่านแม่ก็อยากจะให้เราสองคนจัดการเรื่องงานหมั้นหมายต่อเสียทีน่ะค่ะ”
“....ก็...ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นไรหรอก...เขาจำอะไรไม่ได้เลย
เพราะศีรษะถูกกระแทกอย่างรุนแรง
ตอนนี้ผมเลยต้องอยู่เป็นเพื่อนเขา...เรื่องงานหมั้นของเรา...คงต้องเลื่อนออกไปก่อน...”
“....ยังจะต้องเลื่อนอีกเหรอคะ?” เสียงที่ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ดูจะผิดหวังทีเดียว
“ฮัดชิ้ว!” เขาก็ไม่ได้อยากจะขัดจังหวะหรืออะไรหรอกนะ
แต่อากาศช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิก็ทำให้เขาห้ามไม่ให้ตัวเองจามไม่ได้
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลหันไปยิ้มแห้งให้มิคาสึกิอย่างขอโทษ
“เรื่องของเราเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะคุณนิชิโนะ
ตอนนี้ผมขอพาเขากลับห้องก่อน อากาศเย็นมากแล้ว สวัสดีครับ”
แล้วมิคาสึกิก็ตัดสายไปพร้อมกับหันมายิ้มจางๆให้เขา
“กลับห้องกันเถอะ”
....ความจริงอีกข้อที่เขาได้รู้ก็คือ
มิคาสึกิ มุเนจิกะนั้นมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว...
เพราะเป็นลูกชายเพียงคนเดียว
เป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวที่ต้องสืบทอดวัดและสมบัติมหาศาลของตระกูล
ที่บ้านของมิคาสึกิจึงเฟ้นหาหญิงสาวที่เพียบพร้อมและเหมาะสมเอาไว้ให้แล้ว
ถึงทั้งคู่จะยังไม่ได้หมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการ
แต่ก็ลองคบหาดูใจกันมาได้เป็นปีแล้ว
จะเรียกว่าแฟน...ก็คงได้
“คุณเลื่อนงานหมั้นของคุณออกไปแบบนี้จะดีเหรอ?...ที่จริง...ไม่ต้องเป็นห่วงผมก็ได้
ผมไม่เป็นไรหรอก” อิจิโกะ
ฮิโตฟุริพูดออกมาก่อนจะหันไปสั่งน้ำมูกฟืดฟาดอยู่บนเตียงคนไข้
และนั่นก็ทำให้ใบหน้ามนถึงกับหลุดหัวเราะ
“ฮะๆๆ
จะไม่เป็นไรได้ไง แค่เดินกลับห้องคุณยังหลงไปเสียไกล” ดวงตาดั่งดวงจันทราทอดมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของอิจิโกะ
ฮิโตฟุริอย่างนึกเอ็นดู พอมาดูแบบนี้แล้วถึงค่อยรู้สึกว่าคนตรงหน้านั้นอายุน้อยกว่าเขาจริงๆ
ก็ที่ผ่านมาอิจิโกะ ฮิโตฟุริมักจะเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอไม่ว่าจะเรื่องการตัดสินใจ
ความพึ่งพาได้ ความดูแลเอาใจใส่ที่อีกฝ่ายมักจะจัดการเรื่องต่างๆให้เขาก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรเสียอีก
เขาทอดสายตาสบประสานเข้าไปในดวงตาสีวอลนัทด้วยแววจริงจัง
“...อิจิโกะ...ให้ผมดูแลคุณเถอะ...ให้ผมได้รับผิดชอบ...ที่เป็นคนทำให้คุณเป็นแบบนี้...”
ให้ผมได้ใช้ข้ออ้างนี้อยู่ข้างๆคุณต่ออีกสักหน่อยก็ยังดี...
แล้วผมจะเชื่ออย่างไม่สงสัยเลยว่า
คุณความจำเสื่อมจริงๆ
“ก็...ถ้าคุณไม่ได้ลำบากใจที่จะทำ...ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก” ใบหน้าของคนที่ไร้ความทรงจำยิ้มให้เขาโดยไม่สงสัยเลยว่า
เขากำลังคิดไม่ซื่อตรงอะไรอยู่ในใจ...ช่วงเวลาตอนนี้มันเหมือนอยู่ในความฝัน...อิจิโกะ
ฮิโตฟุริที่อ่อนโยนกับเขา ยิ้มให้เขาราวกับพระอาทิตย์ที่อบอุ่น เขาอยากจะอยู่ตรงนี้โดยลืมความจริงทุกอย่างไป...ทั้งเรื่องการหมั้นหมาย
ทั้งเรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายตรงหน้าร้ายกาจขนาดไหน...อยากจะลืมมันไปให้หมด
เพราะร่างกายแทบจะไม่ได้มีแผลอะไรและต่อให้อยู่โรงพยาบาลอีกนานแค่ไหนความทรงจำก็คงไม่ได้กลับคืนมาด้วยยา
มิคาสึกิจึงตัดสินใจพาเขากลับไปพักฟื้นที่บ้านซึ่งน่าจะทำให้จำอะไรได้มากกว่า
และความจริงอีกข้อที่เขาได้รู้ก็คือ...เขากับมิคาสึกิอาศัยอยู่ด้วยกัน...ในบ้านแบบญี่ปุ่นเก่าแก่หลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ติดกับวัดของมิคาสึกิ
“ผมกับคุณ...อยู่ที่นี่กันตามลำพังงั้นเหรอ...”
นัยน์ตาสีวอลนัททอดมองต้นไม้ใหญ่แผ่ใบเขียวขจีที่รายล้อมอยู่รอบบ้าน
ระเบียงแบบญี่ปุ่นที่เปิดสู่สวนทำให้นึกภาพออกว่ามิคาสึกิคงจะนั่งจิบชาเหม่อมองบ่อปลาคาร์ฟอยู่ตรงนั้นบ่อยแน่ๆ
และในสวนที่หนาแน่นไปด้วยต้นไม้จนไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในโตเกียวนี้ก็มีทั้งต้นซากุระและโมมิจิ
เชื่อได้เลยว่าสวนแห่งนี้จะต้องงดงามในทุกฤดูกาลแน่นอน
“เราอยู่กันแค่สองคน
แต่จะมีแม่บ้านจากที่วัดมาคอยทำความสะอาดและเตรียมอาหารให้
คุณซื้อบ้านหลังนี้มาในราคาที่ซื้อวัดทั้งวัดได้เลยละ” มิคาสึกิหัวเราะเมื่อพูดถึงความทุ่มทุนสร้างของเขา
“เอ๋?
บ้านหลังนี้เป็นของผมงั้นเหรอ? ผมนึกว่าผมเป็นเพียงผู้อาศัยเสียอีก ฮะๆๆ” ก็ดูจากบุคลิกและฐานะของเขาตามที่มิคาสึกิเล่า
คนอย่างอิจิโกะ
ฮิโตฟุริน่าจะใช้ชีวิตวุ่นวายอยู่ตามคอนโดไม่ก็บ้านหลังใหญ่โตมากกว่า
“นี่บ้านของคุณ...บ้านของผมน่ะ
จริงๆแล้วก็อยู่อีกฝั่งหนึ่งของรั้วนี่แหละ”
มิคาสึกิชี้ไปที่รั้วไม้ไผ่ซึ่งมีประตูไม่ใหญ่ไม่เล็กอยู่หนึ่งบาน
หลังคากระเบื้องสีเข้มเรียงรายที่อยู่อีกฝั่งของรั้วเดาได้ไม่ยากเลยว่าที่นั่นก็คือวัด
“ไม่หรอก...ในเมื่อตอนนี้คุณก็อยู่ที่นี่กับผมแล้ว
เพราะงั้นมันจะเป็นบ้านของเรา”
แล้วคำพูดของเขาก็ทำให้ใบหน้ามนค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างช้าๆ...ช้าๆ...ราวกับว่า
เขาไม่เคยพูดแบบนี้กับอีกฝ่ายมาก่อนจนต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ
“บรรยากาศของที่นี่...ดูผ่อนคลายดีจริงๆ...ตัวผมในสมัยก่อนคงจะหายเหนื่อยแน่ๆ
ถ้าได้กลับมาที่นี่หลังจากทำงานมาทั้งวัน”
แล้วคำพูดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวของเขากลับไปสะกิดให้ใบหน้าที่ยังแดงระเรื่อค่อยๆหมองลง
มิคาสึกิเพียงส่งรอยยิ้มจางๆกลับมาให้
“ตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกัน...มันก็ไม่ได้ผ่อนคลายนักหรอก...” เขานิ่งมองใบหน้าเศร้าๆนั่นก่อนจะพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“จริงสิ...ช่วยพาไปดูห้องของผมหน่อย” ร่างโปร่งบางในกิโมโนสีดำจึงเดินนำเขาขึ้นไปยังชั้นสอง
“บนชั้นสองเป็นห้องของคุณทั้งหมด
ส่วนห้องของผมจะอยู่ชั้นล่าง”
มิคาสึกิบอกเขาในขณะที่เปิดประตูเลื่อนบานหนึ่งเข้าไป แล้วห้องที่ตกแต่งแบบสมัยใหม่ก็ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย
“ผมนึกว่าจะเป็นห้องแบบญี่ปุ่นตามสไตล์ของบ้านเสียอีก”
เขาไล่สายตามองข้าวของเครื่องใช้ที่เคยเป็นของเขาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสีเทาไม่ก็ดำ
แต่บอกตามตรงว่าแบบนี้มันก็ดูเรียบหรูสมเป็น อิจิโกะ ฮิโตฟุริ
นักธุรกิจหนุ่มที่จับโครงการครั้งละหลายพันล้านมากกว่า
“ฮะๆๆ
คุณบอกว่า เอาเวลาที่ใช้กางใช้เก็บฟูกทุกเช้าเย็นไปทำงานดีกว่า
จากนั้นคุณก็ให้อินทีเรียเข้ามาตกแต่งห้องบนชั้นสองนี่เสียใหม่จนกลายเป็นแบบนี้นี่แหละ” ครึ่งหนึ่งของห้องเป็นส่วนพักผ่อน
มีเตียงนอนขนาดใหญ่วางอยู่ ใกล้ๆหน้าต่างบานเลื่อนไม้ที่เปิดถึงพื้นก็มีโซฟาตั้งอยู่อีกชุด
ส่วนอีกครึ่งห้องเขาน่าจะเอาไว้ใช้ทำงานเพราะมันมีโต๊ะไม้สีเข้มซึ่งล้อมรอบด้วยตู้เก็บเอกสารและชั้นหนังสือ
“ผมขอลงไปดูห้องของคุณบ้างได้หรือเปล่า?” เขาหันไปมองมิคาสึกิอย่างขออนุญาต
ใบหน้ามนดูจะผงะไปเล็กน้อยราวกับว่าตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เขาไม่เคยสนใจความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายมากขนาดนี้
“ได้สิ” ร่างโปร่งบางเดินนำเขาลงไปยังชั้นหนึ่ง
ห้องที่อยู่ติดกับระเบียงชมสวนคือห้องของมิคาสึกิ
ถ้าเทียบกับห้องของเขาที่ชั้นบนแล้ว
ห้องของมิคาสึกินั้นดูเล็กและเรียบง่ายกว่ามาก ทั้งห้องตกแต่งด้วยสไตล์ญี่ปุ่นโบราณที่ดูจะอยู่คู่กับบ้านมาตั้งแต่สร้างแล้ว
ทั้งห้องจึงมีเพียงพื้นที่โล่งๆที่คงจะยกฟูกออกมาปูในเวลากลางคืนแล้วก็เก็บเข้าตู้ในตอนเช้า
ริมหน้าต่างบานเลื่อนที่ติดกับสวนก็มีเพียงโต๊ะเตี้ยแบบญี่ปุ่นกับเบาะรองนั่งเท่านั้น
แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่างห้องของเขากับห้องของมิคาสึกิก็คือชั้นหนังสือที่เต็มแน่นไปด้วยหนังสือมากมาย
ถึงแม้หนังสือของมิคาสึกิจะดูเก่าแก่และเต็มไปด้วยงานด้านวรรณกรรมมากกว่าหนังสือเชิงธุรกิจของเขาก็เถอะนะ
“คุณพักก่อนก็แล้วกัน
ผมจะไปที่วัดสักหน่อย ต้องไปทำพิธีสวดให้ครอบครัวท่านรัฐมนตรี” มิคาสึกิปล่อยเขาไว้ตามลำพังก่อนที่ตัวเองจะเดินลอดประตูไม้เข้าไปในวัดที่อยู่ติดกับบ้าน
ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าวัดของบ้านมุเนจิกะนั้นไม่ใช่วัดกระจอกๆ
คนที่มิคาสึกิต้องไปทำพิธีกรรมให้จึงมักจะเป็นคนใหญ่คนโตของทุกๆแวดวงเสมอ
เขากวาดตามองข้าวของในบ้านที่ยังอยู่ที่เดิมทุกอย่าง
มิคาสึกิคงแทบไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เลยสินะตลอดเวลาสองอาทิตย์กว่าๆที่เขาเข้าโรงพยาบาล
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลยิ้มน้อยๆก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับกระถางต้นไม้เหี่ยวเฉาต้นหนึ่งเข้า....
มิคาสึกิ
มุเนจิกะกลับเข้ามาในบ้านอีกที แสงแดดก็คล้อยต่ำจากยอดไม้ลงมามากแล้ว
ทั่วทั้งบ้านเงียบกริบจนใบหน้ามนเริ่มสงสัย
เพราะไม่ว่าจะมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของอิจิโกะ ฮิโตฟุริเลย
ก็ไม่น่าจะไปไหนได้นี่?
หรือว่าจะเดินออกไปดูรอบๆบ้าน...แล้วเกิดหลงทางขึ้นมา?
ใบหน้าที่ไม่เคยทุกข์เคยร้อนกับเรื่องอะไรเริ่มกระตุกน้อยๆ
รูม่านตาขยายใหญ่ด้วยความหวาดหวั่น
ร่างในชุดกิโมโนสีดำของพระเตรียมจะหันกายออกไปตามหา ทว่า
แซก...แซก...แซก...
เสียงคล้ายดินถูกขุดขึ้นมาก็ทำให้ร่างโปร่งถึงกับชะงัก
เขาลองเดินไปตามเสียงที่ได้ยินจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ระเบียงชมสวน...
อิจิโกะ
ฮิโตฟุริกำลังนั่งขุดดินอยู่ที่ริมรั้วไม้ไผ่...
และนั่นก็ทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ทำอะไรอยู่รึ?”
เขาเดินเนิ่บนาบเข้าไปชะโงกมองร่างสง่าที่กำลังก้มหน้าก้มตาใช้พลั่วมือเล็กๆขุดดินร่วนซุยสีเข้มจนเป็นหลุม
มือที่เคยจับแต่เอกสาร
มือที่เคยสะอาดสะอ้านบัดนี้กลับเลอะดินเป็นหย่อมๆเช่นเดียวกับใบหน้าที่ปกติจะใสกิ้งอยู่เสมอกลับมอมแมมเล็กน้อย
ตามไรผมสีน้ำทะเลก็มีเหงื่อเกาะนิดหน่อย...คุณผู้บริหารของฮิโตฟุริกรุ๊ปกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในยามนี้ช่างดูแปลกตาและดูใกล้เคียงกับมนุษมนาทั่วไปจนเขาเผลอหัวเราะน้อยๆกับสภาพของอีกฝ่าย
“กลับมาแล้วเหรอ?
ผมเห็นต้นไม้นี่มันดูเฉาๆ เลยคิดว่าถ้าเอามาปลูกลงดิน
ก็น่าจะทำให้มันกลับมาแข็งแรงขึ้นนะ...เอ่อ...ผมเอามาปลูกตรงนี้ได้หรือเปล่า?”
ดวงตาดั่งดวงจันทราจ้องมองต้นไม้ที่ดูห่อเหี่ยวในกระถางที่วางอยู่ข้างๆหลุม...มันเป็นต้นไฮเดรนเยีย...ที่อิจิโกะ
ฮิโตฟุริเคยซื้อให้เขา...
เขาไม่เคยรู้เลยว่าอิจิโกะ
ฮิโตฟุริในตอนนั้นซื้อมันให้เขาด้วยจุดประสงค์อะไร
แค่เดินผ่านร้านค้าแล้วมีคนเอามายัดขายให้?
หรือมีใครให้มาแล้วไม่รู้จะเอาไปไว้ไหน? หรือจำเป็นต้องซื้อเพื่อรักษาหน้าตา?
หรือว่า...จะตั้งใจซื้อมันมาให้เขาจริงๆ...
...คุณช่างเป็นคนเย็นชา...
...ขอบคุณที่เข้าใจในตัวผม...
...หรือต้องการจะบอกว่า
เขาคือศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจ...
ไฮเดรนเยียสำหรับอิจิโกะ
ฮิโตฟุริแล้ว...มีความหมายแบบไหนกันแน่...
“มิคาสึกิ?” เสียงนุ่มนวลของคนที่กำลังเงยหน้ามอมแมมมองเขาทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วถ้าจะปลูกมันไว้ตรงนี้” เขาตอบออกไป
แล้วใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ้มให้เขาทันที
รอยยิ้มของอิจิโกะ
ฮิโตฟุริในยามนี้ช่างแตกต่างจากรอยยิ้มเยือกเย็นที่เคยยิ้มให้เขาเมื่อนานมาแล้ว
รอยยิ้มในตอนนี้นั้นแข่งกับพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินนั่นได้อย่างสูสีเลยจริงๆ
ความอบอุ่นจึงค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจที่เหี่ยวเฉาเหมือนไฮเดรนเยียต้นนี้ของเขา
...ขอบคุณที่เข้าใจในตัวผม...
ต่อให้สำหรับอิจิโกะ
ฮิโตฟุริแล้ว ไฮเดรนเยียจะมีความหมายแบบไหนก็ตาม สำหรับตัวเขาได้เลือกแล้วว่าเจ้าต้นไม้เล็กๆนี้จะมีความหมายแบบนั้น
“เดี๋ยวผมช่วยก็แล้วกัน” เขานั่งยองๆลงไปทั้งกิโมโน
อิจิโกะยิ้มให้เขาอีกก่อนจะพยักหน้าอย่างขอบคุณ
“ดีเลย
คุณรู้ไหมว่ากว่าผมจะหาพลั่วเจอ ผมต้องเดินหารอบบ้านเป็นชั่วโมงๆ
แล้วจนถึงตอนนี้ผมก็ยังหาบัวรดน้ำไม่เจอเลย ฮะๆๆ”
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลหัวเราะอย่างเบิกบาน
มันเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว...จริงสินะ...พวกเราก็เคยยิ้ม เคยหัวเราะ
เคยมีความสุขแบบนี้ด้วยกัน...แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เราต่างทำมันหายไป
เขาช่วยกันกับอิจิโกะ
ฮิโตฟุริ ย้ายเจ้าต้นไฮเดรนเยียที่เหี่ยวเฉาลงดินจนเสร็จ
ดวงตาดั่งดวงจันทราทอดมองสายน้ำที่ค่อยๆไหลจากบัวรดน้ำในมือของอิจิโกะ
สัมผัสเบาๆที่แก้มทำให้เขาปรับโฟกัสสายตามาอยู่ที่ปลายนิ้วซึ่งกำลังเกลี่ยไล้แก้มของเขา
“มีเศษดินติดอยู่ที่หน้าคุณด้วย” บัวรดน้ำหยุดปล่อยน้ำออกมา ใบหน้าของอิจิโกะที่ขยับมามองหน้าเขาใกล้ๆ
ดวงตาสีวอลนัทที่สุกใสคู่นั้นทำให้เขาประหม่าจนเผลอก้มหน้าหลบโดยอัตโนมัติ
แล้วก็...
โป๊ก!
หน้าผากของเราจึงโขกกันเข้าเต็มๆ
“อูย...” ต่างฝ่ายต่างยกมือขึ้นมากุมหน้าผากตัวเอง
เจ็บจนน้ำตาไหล แต่พอเงยหน้ามองอีกฝ่าย...
“.......ฮ่ะๆๆๆ” เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกัน
นานแล้วที่ไม่ได้ทำอะไรหลุดมาดแบบนี้ต่อหน้ากัน
นานแล้วที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างสบายใจขนาดนี้
“หน้าคุณเองก็มอมแมมเหมือนกันนั่นแหละ”
เขาหยุดหัวเราะก่อนจะยื่นมือออกไปปัดเศษดินบนใบหน้าเกลี้ยงเกลานั่นให้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงแดดสีส้มที่ฉาบไล้ไปทั่วหรืออย่างไร
ที่มันสะกดให้ใบหน้าของเราขยับเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว...
อากาศรอบกายดูเหมือนจะหยุดนิ่ง
มีเพียงลมหายใจที่อบอุ่นของกันและกันเท่านั้นที่ยังคงอยู่...มันค่อยๆผสมผสานกันช้าๆ...จนในที่สุดก็แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อริมฝีปากของเขากับริมฝีปากของอิจิโกะนั้น...แนบชิด
กริ๊ง~
กริ๊ง~~~~
เสียงโทรศัพท์ทำให้ต่างผ่ายต่างผงะละออกจากกัน
เขาหันหน้าไปมองหาโทรศัพท์ของตัวเองที่ส่งเสียงขัดจังหวะราวกับจะรู้ทัน
ยิ่งได้เห็นชื่อที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเธอยิ่งนัก
“รับเถอะ
เดี๋ยวผมเอาพลั่วกับบัวรดน้ำไปเก็บก่อน”
อิจิโกะ ฮิโตฟุริยิ้มจางๆให้ก่อนจะลุกเดินจากไป
เขาถอนหายใจก่อนจะสไลด์หน้าจอมือถือเพื่อรับสาย
“คุณนิชิโนะ...”
“สวัสดีค่ะ
คุณมุเนจิกะ...คือ...ฉันทราบมาจากท่านแม่ว่าคุณพาคุณฮิโตฟุริกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว
ถ้าฉันจะขอไปเยี่ยม...”
เคร้ง!!!
ว่าที่คู่หมั้นของเขายังพูดไม่ทันจบประโยค
เสียงของหล่นดังลั่นมาจากในครัวก็ทำให้เขาหันไปมองอย่างตกใจ
“ผมขอโทษนะ
เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
มือบางตัดสายไปโดยไม่ได้สนใจว่าหญิงสาวกำลังจะพูดอะไร
ร่างในชุดกิโมโนสีดำรีบวิ่งไปยังห้องครัวก่อนทันที
“อิจิโกะ
เกิดอะไรขึ้น?” เขาพุ่งพรวดเข้าไปในครัวก่อนจะเห็นว่าอิจิโกะ
ฮิโตฟุริกำลังพยายามรับหม้อกับกะละมังอย่างทุลักทุเลเต็มสองแขน
ที่พื้นก็มีหม้อสแตนเลสอีกสองใบกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่
“หึ...ฮ่าๆๆๆ”
ถึงจะรู้ดีว่าไม่ควรหัวเราะคนกำลังลำบากแต่สภาพไม่เหลือมาดของอิจิโกะ
ฮิโตฟุริในยามนี้ก็ทำให้เขากลั้นขำไว้ไม่ไหวจริงๆ
“เดี๋ยวเถอะ
มิคาสึกิ”
ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์นั้นส่งสายตาดุๆมาให้แต่ก็ยังพยายามประคองหม้อไหในมือต่อไป
“ไปทำอีท่าไหนเข้าล่ะนี่...”
มือบางรีบช่วยรับหม้อกับกะละมังพวกนั้นกลับไปวางไว้ที่เดิมหลังจากหัวเราะจนพอใจ
“คือ...ผมพยายามจะเปิดเตาแก๊สแต่จำไม่ได้ว่าต้องหมุนยังไง
พอลองหมุนดูจู่ๆไฟมันก็ลุกฟู่ออกมา ผมตกใจก็เลยถอยหลังไปชนหม้อที่คว่ำอยู่หล่นลงมา
ฮะฮะ”
“คุณไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำทะเลส่ายไปมาแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร
แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่วางใจ
ดวงตาดั่งดวงจันทราไล่มองสำรวจตามร่างกายได้รูปของอีกฝ่ายตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงฝ่ามือ
ท่อนแขนไปจนถึงหัวไหล่ ไล่มองไปตามเสื้อผ้าว่าไม่ได้มีรอยเลือดตรงไหนใช่ไหม
ไล่จากเบื้องล่างมาจนถึงใบหน้า...จึงได้รู้ว่า อิจิโกะ ฮิโตฟุริเองก็กำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน...
ราวกับว่าจุมพิตแผ่วเบาก่อนหน้านี้มันจะไม่เพียงพอ
ร่างกายมันอยากจะสานต่อ
พวกเขาถึงได้ขยับเข้าหากันราวกับแม่เหล็กที่ไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดได้แบบนี้
ริมฝีปากบางๆของอิจิโกะอยู่ใกล้แค่คืบ
ใกล้จนมองเห็นสีชมพูอ่อนๆของมันได้อย่างชัดเจน ความรุ่มร้อนที่ไม่ควรจะมีในคนที่ฝึกจิตทำสมาธิมาตลอดชีวิตอย่างเขาเริ่มสุมอยู่ข้างใน
ดวงตาของเขาจับจ้องริมฝีปากที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เรื่อยๆ
และเขารู้ว่าคงต้องพ่ายแพ้ต่อเพลิงอารมณ์นี้แน่ๆ
ฝ่ามือบางจึงได้ดันแผงอกของคนตรงหน้าออกไป...
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลเสหลบไปมองด้านข้างอย่างพยายามหักห้ามตัวเอง
ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าจูบนั้นมีอานุภาพขนาดไหน มันบงการร่างกายของเขาได้ อิจิโกะ
ฮิโตฟุริคนนั้นก็เคยพิสูจน์ให้เห็นแล้ว...เพราะฉะนั้นวันนี้เขาต้องรีบหยุด
ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้
“....เอ่อ....โทษที...คือ.....”
ร่างสง่าตรงหน้ายกมือขึ้นมาเกาแก้มอย่างเขินๆ
อิจิโกะ
ฮิโตฟุริคนนี้ยอมล่าถอยไปด้วยท่าทางเหมือนคนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร...แตกต่างจากอิจิโกะ
ฮิโตฟุริคนนั้นอย่างสิ้นเชิง...ถ้าเขายิ่งผลัก ผู้ชายคนนั้นก็จะยิ่งไล่ต้อนจนเขาต้องยอม
นั่นต่างหาก อิจิโกะ ฮิโตฟุริที่เขาเคยรู้จัก
“อ่ะ
จริงสิ คุณพอรู้ไหมว่าเตาแก๊สนี่เปิดยังไง?”
หลังจากเขาแก้มอยู่หลายวินาที อิจิโกะก็พยายามเปลี่ยนเรื่อง
“ผมว่าจะต้มน้ำ
ผมอยากชงชาให้คุณ ตอบแทนที่คุณอุตส่าห์ช่วยผมปลูกต้นไม้”
จู่ๆคำพูดที่เหมือนหมัดหนักๆก็ซัดเข้ามาที่หัวใจของเขาจนความร้อนพุ่งขึ้นใบหน้า
ประโยคที่เรียบง่ายและคนพูดคงจะไม่ได้คิดอะไรมากมายกลับทำให้เขาเขินจนต้องรีบท่องบทสวดมนต์เรียกสติอยู่ในใจ
เขาชอบดื่มชาและไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างอิจิโกะ ฮิโตฟุริจะมาชงชาให้เขา
ใบหน้าแดงระเรื่อส่ายไปมาแทนคำตอบว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เมื่อก่อน...ผมเคยทำน้ำร้อนลวกมือตัวเอง
คุณเลยห้ามไม่ให้ผมต้มน้ำหรือเปิดแก๊สเองอีก ปกติแม่บ้านจะเตรียมเอาไว้ให้
แต่วันนี้คงเพราะไม่รู้ว่าพวกเรากลับมาเลยไม่ได้เตรียมไว้...ถ้ายังไง...เดี๋ยวผมเดินไปเอาจากที่วัดมาให้”
“ไม่ต้องหรอก!” อิจิโกะรีบห้ามเขาไว้ราวกับว่าการเดินข้ามรั้วไปมาเพื่อไปเอาน้ำต้มนั้นไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปเค้าทำกัน
“...?”
“คุณมีเบอร์โทรศัพท์ของแม่บ้านไหม
ผมว่าโทรถามเอาก็น่าจะได้นะ” เขาจึงยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้แล้วยืนมองอิจิโกะคุยกับแม่บ้านพลางหมุนแก๊สตรงนู้นตรงนี้ไปด้วย
จนในที่สุดหัวแก๊สก็พ่นไฟอ่อนๆออกมาจนได้ ได้ยินใบหน้าเกลี้ยงเกลานั่นร้องเย้~เบาๆ ถึงเขาจะไม่ได้ช่วยอะไรแต่ก็พลอยยิ้มไปด้วย
ไออุ่นๆลอยกรุ่นอยู่เหนือถ้วยชา
ความอบอุ่นของมันแผ่ซ่านมายังมือของเขาไม่หยุด
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลอมยิ้มน้อยๆเมื่อเหลือบมองชาสีอ่อนในถ้วย
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ชาธรรมดาๆไม่ได้มีวิธีการชงที่ยุ่งยากเท่าชาเขียว
แต่เพราะคนที่ชงมันให้เขาคือคนที่ไม่คาดคิดว่าจะทำอะไรแบบนี้ให้เขา
เขาจึงดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้
เขาก็รู้ว่าอิจิโกะ
ฮิโตฟุริคนก่อนหน้านี้เองก็เป็นห่วงเขา
เพียงแต่ผู้ชายคนนั้นมักไม่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้
“กลับมาที่บ้านหลังนี้แล้ว...คุณ...พอจะจำอะไรได้บ้างหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามคนที่นั่งจิบชาชมสวนยามเย็นอยู่ด้วยกัน ใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นส่ายไปมา
“นึกอะไรไม่ออกเลยครับ”
ทั้งๆที่เขาควรจะหนักใจกับคำตอบของอีกฝ่าย
แต่ทำไมเขาถึงยิ้มออกมากันนะ?
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลเงยมองดอกซากุระที่กำลังปลิวไสวไปตามสายลมยามค่ำ
มันช่างสวยงามจนไม่อยากให้หายไปเลย...
ไม่อยาก...ให้อิจิโกะ
ฮิโตฟุริคนนี้หายไปเลย...
ไม่อยาก...ให้ความทรงจำของอีกฝ่ายกลับมาเลย...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
เหม่อ....ตรูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตรูถึงเอาคู่นี้มาลงในซีรี่ย์ “จะรักตลอดไป...”
แต่ดันคิดว่าอิจินี่เนี่ย เหมาะจะเป็นพระเอกในซีรี่ย์นี้ยังไงก็ไม่รู้
ก๊ากๆๆ // โดนสับ
แล้วก็
ถ้าพูดถึงพระ ก็อย่าเพิ่งไปนึกภาพปู่โกนหัวเกลี้ยงใส่จีวรสีเหลืองอะไรแบบนั้นนะคะ
แต่ให้นึกถึงพระญี่ปุ่นอ่ะค่ะ พระญี่ปุ่น~~~
อาจจะดูเป็นฟิคบาปๆแต่พระญี่ปุ่นเค้าแต่งงานได้นะ TvTb อย่างเช่นพระยามะพีในละครเรื่อง
“จาก5ถึง9” อ่ะ
คือถ้านึกภาพปู่เป็นพระไม่ออก แนะนำให้ไปดูอนิเมะเรื่อง Shiki ค่ะ ต้นแบบของปู่ในฟิคเรื่องนี้ก็คือ รองเจ้าอาวาสหนุ่มของเรื่องชิกิ มุโรอิ เซย์ชิน นั่นแล =q= เป็นพระโมเอ้จิตใจใสสะอาดที่น่ากินมาก =q= // ถ้าตรูเป็นอิหมอ
ไม่เหลือรอดมาจนป่านนี้แน่ =q=b // ที่ไม่รอดก็คือชีวิตตรูเองนี่แหละ
// โดนเข็มปักคอ // บาปจริงๆเลยถถถถถ //
การแต่งตัวของปู่ก็อิมเมจประมาณชุดของเซย์ชินเลยค่ะ ไม่ได้ใส่สบงตลอดเวลา
ใส่เฉพาะตอนทำพิธี แต่เวลาปกติก็จะใส่แค่กิโมโนสีดำแล้วก็มีผ้าคล้องที่คออ่ะ แบบนี้
โมเอ้เนอะ
แง๊~~~ // รู้ว่าบาปแต่ห้ามจัยไม่ได้เรย~~ >////<
แล้วก็ต้องแจ้งอีกรอบว่าคุณกวางมันไม่ได้เล่นเกมดาบ
ดูแต่อนิเมะเนอะ ข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างก็เลยจะไม่ค่อยรู้
สรุปคืออย่ามาเอาอะไรกับตรูมากมายนัก5555 คาร์แรกเตอร์อาจจะไม่ใช่ อะไรแปลกๆไปก็อย่าใส่ใจเด้อ
อ่านแล้วมันขัดหูขัดตายังไงก็ปิดไปนะคะอย่าอ่านต่อแล้วมาดราม่ากับคนแต่งเลยนะคะ55555
ถึงจะดราม่าไปนังคนแต่งมันก็ไม่รู้เรื่องด้วยหรอกถถถถ
ขอบคุณสำหรับทุกๆการติดตามนะคร้า
จะเขียนจบหรือเปล่าก็ไม่รู้แหละ แต่พล็อตวางไว้เกือบจบแล้น 5555+
ก็เขียนเรื่อยๆกันไป เหะ
ในหัวมีแต่คำว่าอิจิมิกะ อิจิมิกะ อิจิมิกะเต็มไปหมดเลยค่ะ5555 คู่สามีภรรยานี่ดี๊ดี
ตอบลบ#สนใจโฮเนบามิxนามาซึโอะไหมคะ----
#ยามะตันกับคะชูล่ะคะ----
อิจิมิกะที่ดี~
ตอบลบ#ยาตันกับคะชูอยู่ในไหดองจนเค็มแล้วมั้งคะ