Scuderia
Ferrari S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 1st
:
คืนหนึ่งกับแรงดึงดูด :
END
:
Scuderia Ferrari Short Fanfiction
:
คิมี่ ไรโคเนน x เซบาสเตียน เวทเทล
:
Warmhearted
:
PG
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
เสียงชนแก้วเริ่มเบาลงหลงเหลือไว้แต่เสียงร้องเพลงประสานเสียงแบบที่ไม่ค่อยจะเป็นเพลงนัก
ยังดีที่ห้องจัดเลี้ยงของร้านอาหารนั้นเก็บเสียงได้พอสมควร
เพราะงั้นต่อให้เหล่าพลพรรคม้าลำพองจะฉลองกันสุดเหวี่ยงขนาดไหนคนข้างนอกก็คงไม่เดือดร้อนอะไรนัก
จะไม่ให้ฉลองได้ไงในเมื่อสนามที่ผ่านมาพวกเขาเพิ่งจะคว้าแชมป์แถมรถอีกคันก็ยังเข้าที่สองตามกันไปติดๆ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจบในตำแหน่งวันทูแบบนี้
“เฮ้...” เสียงเฮยังคงผสมผสานไปกับเสียงเพลงมันจึงกลบเสียงประตูที่เปิดเข้ามาพร้อมกับเงาร่างของใครคนหนึ่ง
คิมี่
ไรโคเนนยืนอยู่หลังบานประตูที่เพิ่งปิดลงก่อนจะกวาดสายตามองหาอะไรสักอย่าง
เจ้าของรถหมายเลข
7 ทำหน้าเนือยๆเมื่อเห็นว่ากว่าครึ่งห้องนั้นเมาเละไปแล้ว อันที่จริงเขาก็อยู่ในงานฉลองนี่มาตลอดตั้งแต่เมื่อเย็นนั่นแหละ
และตอนนี้เขาคิดว่าคงได้เวลาต้องกลับแล้วจึงไปเอารถมา...เพื่อขนเจ้าคนขี้เมาอีกคนกลับไปด้วยกัน
สายตาคมกล้ามองเห็นเป้าหมายที่ฟุบหน้าหลับไม่รู้เรื่องอยู่ที่บาร์
สองขาจึงสาวเท้าเดินเข้าไปหา ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักดึงนักขับเพื่อนร่วมทีมอีกคนหนึ่งขึ้นมาก่อนจะหิ้วออกไปได้ไม่ยากเท่าไหร่ในเมื่อเซบาสเตียน
เวทเทลนั้นเมาจนไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว
เขาโยนอีกฝ่ายไว้ที่เบาะข้างคนขับ
ก่อนจะเดินกลับมานั่งหลังพวงมาลัย Ferrariสีแดงแล่นออกมาโดยปล่อยให้พวกลูกทีมที่เหลือฉลองกันต่อไป
ยังไงพวกนั้นก็มีกันตั้งเยอะ ต้องมีสักคนแหละน่าที่จะพาคนที่เหลือกลับได้
เขาคิดอย่างไม่ใส่ใจ
แล้วทำไมคิมี่
ไรโคเนนถึงจะต้องหอบหิ้วเจ้าโกลเด้นตัวโตนี่กลับไปด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้เซบนอนหมดสภาพอยู่กับพวกลูกทีมน่ะเหรอ?
นั่นก็เพราะเขาขี้เกียจฟังหมอนี่บ่นปวดหัว
ปวดหลัง ปวดคอ ปวดแขน ปวดขา ปวดเมื่อยมันทุกส่วนหลังจากที่ไม่ได้นอนอย่างถูกวิธีถูกที่ถูกทางยังไงล่ะ
เขาเคยปล่อยเซบหลับอยู่ที่มอเตอร์โฮมเพราะไม่อยากกวนตอนอีกฝ่ายเหนื่อยๆ
แต่ผลดันออกมาว่าเขาต้องฟังเจ้าโกลเด้นตัวโตนี่บ่นตลอดสัปดาห์ บ่นตั้งแต่วันซ้อม
วันควอลิฟายยันแข่งจบ
บ่นซะอย่างกับว่ามันเป็นความผิดของเขาที่ไม่ปลุกเจ้าตัวให้กลับไปนอนที่โรงแรม!
วันนี้เองถึงจะแข่งของสนามนี้จบแล้วแต่พวกเขายังต้องอยู่ทดสอบรถอีกสองวัน
แน่นอนว่าถ้าเขาไม่หิ้วหมอนี่กลับไปนอนดีๆ มีหวังเขาได้หูชาไปอีกสองวันเต็มแน่ๆ
คีย์การ์ดถูกเสียบลงไปด้วยความทุลักทุเลเพราะต้องแบกอีกคนมาด้วย
เขาโยนเซบลงไปบนเตียงพร้อมกับไฟในห้องที่ติดขึ้นพอดี อันที่จริงหมอนี่ไม่ได้พักห้องเดียวกับเขาหรอก
แต่จะให้พาไปหาห้องของเซบก็ดูยุ่งยาก
ยังไงการนอนเตียงเดียวกันของพวกเขานั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
เขายืนเท้าเอวมองเจ้าโกลเด้นตัวโตที่ถูกโยนลงไปยังไงก็นอนแหมะมันอยู่ท่านั้น
นี่เมาขนาดไหนกันเนี่ย? ไม่ไหวเลยจริงๆ
คอก็ใช่ว่าจะแข็งแล้วยังจะไปดื่มตามใจพวกลูกทีมอีก
แขนที่เต็มไปด้วยรอยสักจึงเอื้อมออกไปพลิกร่างที่หลับเป็นตายให้นอนหงายดีๆก่อนจะจับแขนจับขาของเซบาสเตียนให้ยืดออกมานอนในท่าทางที่ถูกที่ควร
แต่กลิ่นเหล้าคละเคล้ากลิ่นเหงื่อที่หึ่งออกมาจากเสื้อสีแดงของเซบก็ทำให้เขาตัดสินใจก้าวขาขึ้นไปบนเตียงก่อนจะคร่อมเจ้าคนที่เด็กกว่าเขาเจ็ดปีนั่นเอาไว้
สองแขนออกแรงดึงเสื้อทีมม้าลำพองออกจากร่างที่หนากว่าตอนเจอกันครั้งแรกพอสมควรออกมา...ก็นะ...จะให้เขานอนข้างๆกลิ่นแบบนี้ก็ไม่ไหว
เสื้อสีแดงถูกโยนไปพาดไว้ที่เก้าอี้ก่อนจะตามด้วยกางเกงยีนส์
เขาหยิบผ้าขนหนูไปชุบน้ำก่อนจะเอามันกลับมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้คนที่ไม่ยอมตื่นแต่กลับส่งเสียงอือๆอาๆแถมคอยยกมือปัดอยู่ตลอดอีกต่างหาก
หึ...เขามองเจ้าคนที่หลับไม่รู้เรื่องพลางอมยิ้ม
เป็นพ่อคนแล้วแท้ๆนะ ยังทำตัวอย่างกับเด็ก ต้องให้เขาคอยช่วย คอยดูแลอยู่เรื่อย
ทั้งในสนามนอกสนามเลย
เขาดึงแขนเซบขึ้นมาก่อนจะลูบผ้าขนหนูลงไปจนถึงหัวไหล่ที่หนากว่าเมื่อก่อน...เหมือนโกลเด้นตัวโตจริงๆด้วย...ทั้งๆที่เมื่อก่อนยังตัวเล็กจนหิ้วได้ด้วยแขนเดียวแท้ๆ
นัยน์ตาคมกล้าทอดมองแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักของตัวเองแล้วก็นึกถึงวันที่คล้ายๆกับวันนี้เมื่อเกือบสิบปีก่อน...
ตอนนั้นเซบยังเป็นเจ้าเด็กแสบที่ขับให้เรดบลูทีมเล็กอยู่เลย...พวกเรายังไม่ได้สนิทกัน...ไม่สิ...มันอาจจะเริ่มต้นจากวันนั้นก็เป็นได้...ความสัมพันธ์คลุมเครือที่ดูจะมากกว่าเพื่อนแต่ก็ไม่ใช่คนรักแบบที่เป็นอยู่นี่
ในวันนั้น...เขาที่กำลังมีเรซที่ดีกลับถูกเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมชนจนต้องออกจากการแข่งซะนี่
แล้วมันน่าโมโหตรงที่เด็กนั่นกลับจบการแข่งขันโดยการได้ไปยืนอยู่บนโพเดี้ยมซะงั้น...ใช่...วันนั้น
เซบาสเตียน เวทเทล ก็ฉลองจนเมาหัวราน้ำแบบวันนี้นี่แหละ...
ภาพที่ยังชัดเจนอยู่ในหัวถูกฉายซ้ำอีกครั้ง
มันเป็นความทรงจำหนึ่งซึ่งเขาสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่ลบเลือนมันออกไปจากใจ
ตอนนั้นเขาก็เป็นเพียงคนหนุ่มมีไฟที่ยังไม่ได้มองโลกเหมือนผู้ใหญ่แบบในตอนนี้และเซบเองก็ยังเป็นแค่เจ้าเด็กแสบปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เขาที่ถูกเจ้าเด็กนั่นชนจนต้องออกจากการแข่งขันกำลังเดินปล่อยไอเย็นเป็นน้ำแข็งขั้วโลกออกไปจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ในขณะที่กำลังหงุดหงิดเสียเต็มประดาจู่ๆคู่กรณีก็ดันโผล่มาให้ระบายอารมณ์ซะงั้น....เมื่อเขากำลังจะกลับโรงแรมที่พักและก้าวขาผ่านหน้ามอเตอร์โฮมของทีมโตโรรอสโซ่
สองขาที่กำลังก้าวไปดีๆกลับต้องสะดุดกึกเมื่อจู่ๆก็มีร่างของใครสักคนถลาออกมาปะทะเข้ากับแผงอกของเขาพอดี
มาจากไหนเนี่ย?
เขาก้มลงไปมองหัวสีบลอนด์เข้มซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใครอย่างมึนงง
“พาไปนอนหน่อย...” ห๋า? นอน?
เสียงงึมงำที่เหมือนพูดกับแผงอกเขาเงียบกริบไปแล้ว
ร่างที่เคยโซเซแต่ก็พอจะยืนเองได้กลับกำลังไหลลงพื้นเหมือนคนไม่มีสติ
สองแขนของเขาจึงยกขึ้นรับตามปฏิกิริยาอัตโนมัติของนักขับเมื่อสายตาเห็นว่าร่างที่เซแท่ดๆเข้ามาอย่างเร็วนั่นกำลังจะล้มลง
ใครกันละเนี่ย?
เขาได้แต่ถามตัวเองอยู่ในหัว
เป็นอะไรไป?
หรือว่าจะไม่สบาย?
แต่กลิ่นแอลกอฮอล์ที่โชยหึ่งออกมาจากร่างที่ซบอยู่บนแผงอกเขาก็ทำให้รู้ว่าหมอนี่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรแต่น่าจะเมามากกว่า
นี่!...เขาคิดจะเรียกให้รู้สติแล้วโยนอีกฝ่ายทิ้ง
ทว่า ร่างที่อ่อนปวกเปียกก็คอพับคออ่อนจนเงยหน้าขึ้นมาจนได้ แล้วเจ้าของแพขนตายาวที่ปิดสนิทชนิดที่เรียกอย่างอื่นไม่ได้นอกจากหลับไปแล้วกลับทำให้เขาชะงัก
ในเมื่อเจ้าของร่างที่กำลังใช้เขาเป็นเตียงอยู่นี่นั้นช่างคุ้นหน้าคุ้นตาเสียจริง
คุ้นเสียจนทำให้ภูเขาน้ำแข็งของเขาสุมตัวจนแทบจะใหญ่กว่ายอดเขาเอเวอเรสไปแล้ววันนี้...ถึงปกติเขาจะเป็นพวกจำหน้าคนไม่ค่อยจะได้แต่เขาไม่มีทางลืมหน้าเจ้าเด็กแสบที่ขับรถชนรถเขาจนต้องออกจากการแข่งขันหรอก...ไม่มีทางลืมเจ้าเด็กเซบาสเตียน
เวทเทลคนนั้น!
เขาจ้องหน้าคนที่ทิ้งสติไปแล้วอย่างใช้ความคิด
นี่คงฉลองจนเมาสินะ?
จากตอนแรกที่ว่าจะโยนอีกฝ่ายกลับเข้ามอเตอร์โฮมของเรดบลูทีมเล็กไป...รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันหาได้ยากกลับค่อยๆปรากฏบนใบหน้าของเขา
หึ...ขอเอาคืนซักหน่อยเถอะเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแต่ริจะดื่มเหล้า!
จากนั้นเขาจึงหิ้วลำตัวที่ยังไม่หนามากเท่าไหร่นั่นติดกลับโรงแรมที่พักไปด้วย...
ความนุ่มสบายที่สัมผัสได้จากทุกส่วนของร่างกายทำให้รู้สึกคล้ายกับล่องลอยอยู่บนปุยนุ่น
เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่วงการฟอร์มูล่าวันได้ไม่นานพลิกตัวนอนตะแคงก่อนจะซุกเข้าหาความอุ่นนิ่มของสิ่งที่น่าจะเป็นที่นอน
รู้สึกไม่ได้หลับสบายแบบนี้มาหลายวัน...อ่า...ก็เพราะความตึงเครียดจากการแข่งขันนั่นแหละนะ
นัยน์ตาสีฟ้าที่ปิดสนิทมาทั้งคืนค่อยๆเปิดขึ้นรับแสงสว่างที่สาดส่องอยู่ทั่วห้อง
รู้สึกมึนหัวหน่อยๆ? ดูเหมือนความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้คือเขาฉลองที่แข่งจบบนโพเดี้ยมกับคนในทีม?
แล้วเขามานอนอยู่นี่ได้ไง? มีใครในทีมแบกเขามาสินะ?
เขาค่อยๆลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย
มือยกขึ้นมาขยี้ตาก่อนจะสงสัยหนักกว่าเดิมเมื่อห้องพักนั้นช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
เขาไม่ได้นอนอยู่ในห้องพักของโรงแรมที่ทีมโตโรรอสโซ่เตรียมไว้ให้นี่?
ไม่มีทางที่เขาจะจำผิดเพราะเขานอนที่นั่นมาเกือบอาทิตย์...แล้วที่นี่มันที่ไหน?
นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองไปทั่วห้อง
เสื้อสีแดงที่พาดอยู่บนเก้าอี้นั่นมัน...เสื้อทีมเฟอร์รารี่?
แล้วไหงเขามาอยู่กับคนของเฟอร์รารี่ได้?
อ๊า
จำอะไรไม่ได้เลยสักนิด...
ในขณะที่จะยกมือขึ้นมากุมขมับ
ผ้าห่มที่เคยคลุมไหล่อยู่จึงหลุดร่วงลงไป...เผยให้เห็นว่าเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยสักชิ้น..........
ร่างทั้งร่างเริ่มนิ่งค้าง...ไม่ใส่เสื้อผ้าเลยซักชิ้น?...มันจะเป็นไปได้ไง
ถึงเขาจะหลับไม่รู้เรื่องเพราะเหนื่อยบ้าง เมาก็เคย
แต่ไม่มีทางที่จะถอดเสื้อผ้าออกหมดไม่เหลือแม้แต่กางเกงในแบบนี้!!!!
“................” แล้วเสียงพูดคุยที่ดังอยู่ที่ระเบียงห้องก็ทำให้เขาหันไปมอง...เสียงใคร?
จะว่าไปเขาก็ยังไม่เห็นเจ้าของห้องเลยด้วยซ้ำ? ใครที่พาเขากลับมา? แล้วใครกันที่แก้ผ้าเขาจนล่อนจ้อน?
เขาพยายามจ้องมองแผ่นหลังที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงเจิดจ้าของยามเช้า...เดี๋ยวก่อน...นั่นมัน...คิมี่?
คิมี่ ไรโคเนน? นักขับของเฟอร์รารี่? แล้วเขามาอยู่กับคิมี่ได้ไง?
ที่สำคัญคือทำไมมาอยู่ในสภาพนี้?!!
เขาไล่สายตามองร่างหนาที่มีสภาพไม่ต่างจากเขามากนัก
แต่อย่างน้อยคิมี่ก็สวมกางเกงยีนส์ขายาวอยู่ตัวนึง
ร่างที่มีมัดกล้ามอันสวยงามนั่นกำลังยืนโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่ที่ระเบียง...เดี๋ยวนะ...เมื่อมองดีๆแล้ว
โทรศัพท์ในมืออีกฝ่ายนั่นมันโทรศัพท์ของเขานี่?!
“เก็บมาจากหน้ามอเตอร์โฮมของพวกนายน่ะ
ไม่รู้พุ่งมาจากไหน มองหาแล้วก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้น เลยหิ้วกลับมาด้วย” เก็บมา? หิ้ว? หมายถึงเขางั้นเหรอ?
งั้นโทรศัพท์นั่นก็คงเป็นพวกทีมของเขาโทรมา?
ว่าแต่ถ้าแค่เก็บมาแล้วทำไมเขาถึงอยู่ในสภาพนี้ได้ล่ะ?!!! ไม่เห็นจะเข้าใจเลย!!!
ทั้งใบหน้าเริ่มซีดเซียว
เหงื่อก็เริ่มผุดขึ้นตามไรผม ถึงเขาจะยังเด็ก
วันๆก็เอาแต่แข่งรถแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องรักๆใคร่ๆเสียเมื่อไหร่...สภาพแบบนี้ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงเขาคงเข้าใจได้
แต่นี่คนที่อยู่กับเขาคือคิมี่ ไรโคเนน เป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์!
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกัน?!!!
เขาหันหน้าที่เริ่มสั่นหงึกๆไปมองกองเสื้อผ้าของตัวเอง
ในใจได้แต่คิดในแง่ดีว่าเขาคงจะเมาแล้วก็อ้วกอะไรแบบนี้มั้ง
คิมี่ถึงต้องถอดเสื้อผ้าเขาออกหมด...ทว่า...กองเสื้อผ้าเจ้ากรรมกลับสะอาดเอี่ยมไม่มีรอยอ้วกหรือกลิ่นเหม็นหึ่งอย่างที่คิด...
ถะ
ถ้างั้นมันก็ต้อง...อ่า....เมื่อคืนอาจจะแอร์เสีย เขาร้อนจนคิมี่ต้องถอดเสื้อให้
หรือไม่เขาก็อาจจะกินเหล้าอย่างแรงเข้าไปจนตัวแดง
หรือไม่เขาก็อาจจะตัวร้อนเพราะฤทธิ์เหล้า คิมี่เลยถอดเสื้อเขาเพื่อเช็ดตัว หรือไม่ก็
“เมื่อคืนเรามีเซ็กส์กัน
จำได้ไหม? ชั้นเป็นฝ่ายใส่เข้าไปในตัวนาย”
อ๊าาาาาาาาาาาาา แล้วเสียงนิ่งของคนที่กลับมานั่งลงที่ข้างเตียงก็ทำเอาเขาถึงกับร้องอย่างกับคนบ้าอยู่ในหัว
ทั้งๆที่พยายามคิดหาข้อแก้ตัวมากมายแต่คิมี่
ไรโคเนนกลับมาปัดมันทิ้งด้วยความจริงที่ไม่อยากจะยอมรับซะงั้น!
เขาอ้าปากพะงาบๆมองใบหน้านิ่งที่มองตรงมายังเขาอย่างไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด
ใบหน้าที่มักจะเฉยเมยของคิมี่กลับอมยิ้มน้อยๆก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไป
มะ
มันเกิดขึ้นได้ยังไง? เขาพลาดไปตรงไหน? กับผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ?
แถมไม่ได้สนิทกันด้วย? และอีกฝ่ายยังเป็นคิมี่ ไรโคเนน ยอดมนุษย์น้ำแข็งคนนั้น?
ที่สำคัญคือเขาดันเป็นฝ่ายรับ!!!
สองมือยกขึ้นมากุมขมับ....แล้วจากนี้จะทำยังไงดี?
ทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น? ปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ? ถ้าเขาไม่พูด อย่างคิมี่ก็คงไม่พูดอะไร?
อ๊าาาาาา
ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็คงจะดีสิ!!!
ทั้งๆที่ตั้งใจเอาไว้ดิบดีว่าจะทำเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงฝันไป
ทว่า ดูท่าเซบาสเตียน เวทเทลจะตั้งใจมากเกินไปหน่อย เพราะฉะนั้นเวลาที่ต้องเจอหน้าคิมี่
ไรโคเนน นักขับหนุ่มน้อยจึงได้มีอาการแปลกๆจนมนุษย์น้ำแข็งลอบยิ้มได้ทุกครั้งไป
อย่างคราวนี้ก็เช่นกัน
คิมี่
ไรโคเนนเดินเข้าไปในพื้นที่ให้สัมภาษณ์ก่อนที่นัยน์ตาสีเทาจะเหลือบไปเห็นแผ่นหลังที่คุ้นตา
หลังจากคืนนั้นก็เป็นเซบเองที่บอกว่าให้ทำเหมือนทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น
ให้เขาลืมเรื่องผิดพลาดระหว่างเราสองคนนั่นไปซะ
แต่หลังจากที่เจอกันโดยบังเอิญในสนามอีกหลายครั้งและทุกครั้งเด็กนั่นก็มักจะมีปฏิกิริยาแปลกๆยามเมื่อเห็นหน้าเขา
แน่นอนว่ามันทำให้เขานึกขำขึ้นมาทุกครั้ง แล้วแบบนี้จะให้ลืมได้ยังไง
เพราะงั้นเขาจึงจงใจเดินเข้าไปยืนข้างๆร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังยืนให้สัมภาษณ์อยู่
และเมื่อเซบาสเตียนหันมาเห็นเขาเข้าเท่านั้นแหละ ใบหน้ารูปไข่ก็ถึงกับชะงักค้าง
ร่างทั้งร่างถึงกับแข็งทื่อเป็นก้อนหิน เขาได้แต่พยายามกลั้นหัวเราะกับท่าทางตลกๆของเด็กนั่น
“เวทเทล?
เซบาสเตียน เวทเทล? เซบ!”
บรรดานักข่าวและเจ้าหน้าที่ทีมโตโรรอสโซ่ต่างทั้งเรียกทั้งเขย่าเด็กหนุ่ม จนเขาต้องพยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเฉยชาก่อนจะก้าวขาเดินจากมา
เด็กนั่นมันน่าสนุกจริงๆ
ถ้างั้นปล่อยไว้แบบนี้ก่อนก็แล้วกัน
เห็นหน้าเหวอๆนั่นแล้วเขารู้สึกอารมณ์ดียังไงชอบกล
แล้วก็ไม่ใช่แค่ตอนเจอหน้ากัน
แม้แต่ตอนแข่งรถในสนามเจ้าเด็กนั่นยังชะงักกึกเหยียบเบรคทันขึ้นมาทันทีที่เห็นท้ายรถเขา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงชนโครมไปแล้วไหมน่ะ
เขาเหลือบตามองกระจกมองข้างพลางอมยิ้มอยู่ใต้หมวกกันน็อค
แล้วมันก็แปลกดี
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทั้งเขาและเด็กนั่นแทบจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลย
ไม่เคยสังเกตว่าอีกฝ่ายอยู่ข้างกายด้วยซ้ำ แต่ตั้งแต่เรื่องในคืนนั้น
สายตาของเขาก็มักจะมองหาร่างของเซบาสเตียน
เวทเทลทุกครั้งที่มีโอกาสและเขาก็เพิ่งรู้ว่าเด็กนั่นเองก็อยู่รอบๆตัวเขามากกว่าที่เขาคิด
เพราะไม่ว่าจะไปทางไหนก็เจอ อย่างในวันที่มาส่งแบบสำรวจนักขับของ FIA เองก็ยังเจอ
“ขอบคุณมากครับ” เจ้าหน้าที่รับเรื่องรับเอกสารของเขาไป
เขาจึงไม่มีธุระจะอยู่ในห้องที่ทำการของพวกFIAอีก
สองขาจึงก้าวออกมาก่อนจะปะทะกับคนที่วิ่งขึ้นบันไดมาพอดี
“อ๊ะ!
คิมี่......” เขาเลิกคิ้วน้อยๆเมื่อเห็นหน้าเจ้าเด็กจากเรดบลูทีมเล็ก
อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ได้แข็งทื่อไปทันที
แต่ยังอุตส่าห์เรียกชื่อเขาได้ก็นับว่ามีพัฒนาการ
แต่ไม่นานร่างที่ไม่ได้หนาเท่าไหร่นั่นก็ผงะไปก่อนจะชะงักค้างตั้งแต่หัวจรดเท้า
การก้าวขาขึ้นบันไดซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนการทรงตัวก็หยุดลงกระทันหัน
เพราะงั้นเด็กนั่นถึงได้ค่อยๆเอนหลังไปเรื่อยๆ
“เฮ้ย!”
เขารีบตวัดแขนคว้าตัวเด็กหนุ่มจากเยอรมันนั่นเอาไว้ก่อนที่จะกลิ้งกลุกๆตกบันไดไป
ถ้าบาดเจ็บละเรื่องใหญ่ ยิ่งถ้านักข่าวมาเกี่ยวละเรื่องใหญ่กว่า!
แขนที่เต็มไปด้วยรอยสักดึงร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมาให้พ้นจากขั้นบันได
แรงปะทะที่แผงอกทำให้เขาเซน้อยๆจนต้องปล่อยตัวให้หมุนไปตามแรงเหวี่ยง
ท่อนแขนยังกอดเอวของเซบาสเตียน เวทเทลเอาไว้แน่น
เพราะงั้นตอนนี้พวกเขาจึงมีสภาพเหมือนเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวที่กำลังเต้นรำในงานเลี้ยงแต่งงานก็ไม่ปาน
แน่นอนว่าเจ้าคนที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างนั่นหน้าแดงจัดจนแทบจะระเบิดเป็นควันพุ่งออกมาอยู่รอมร่อ
ทำเอาเขาต้องกลั้นหัวเราะแทบเป็นแทบตาย
“ระวังหน่อยสิ” สองมือจับไหล่คนที่ยังแข็งทื่อให้ยืนตัวตรง
เขายิ้มขำๆให้ก่อนจะก้าวขาจากมา ได้ยินเสียงตะกุกตะกักดังอยู่ข้างหลังว่า
“ขะ
ขะ ขะ ขอบคุณ.....”
เขาทอดสายตามองท้องฟ้า
ถึงแม้จะเดินห่างออกมามากแล้วแต่ใบหน้าที่แดงระเรื่อของเด็กนั่นยังติดตาอยู่เลย...อ่า...มันอะไรกันนะ...ปฏิกิริยาตัวแข็งทื่อเมื่อเจอเขาของเด็กนั่น
แรกๆเขาก็ขำๆดีอยู่หรอก แต่นานๆเข้ากลับคิดว่ามันน่ารักดี...เหมือนลูกหมาโกลเด้นที่ตัวแข็งทื่อเมื่อเจออะไรสักอย่างที่จำฝังใจว่ายิ่งใหญ่กว่าตัวเอง?
รู้สึกว่าเด็กนั่น...น่ารักดีงั้นเหรอ?
การลงไปเดินสำรวจสนามแข่งก็เป็นหน้าที่หนึ่งของนักขับอย่างพวกเขา
เพราะการได้สัมผัสแทรคแบบใกล้ชิดจะทำให้รู้จุดเบรคของตัวเองได้ดีกว่าในซิมูเลเตอร์
สองขาจึงก้าวเดินไปเรื่อยๆพร้อมกับวิศวกรสนามและเทรนเนอร์ของเขา
อันที่จริงไม่ได้คิดหรอกว่าจะได้มาเจอกับเด็กนั่น
แต่บังเอิญว่าทีมโตโรรอสโซ่เองก็กำลังเดินดูแทรคอยู่เช่นกัน...ไม่สิ...พวกเรดบลูทีมเล็กนั่นไม่ได้กำลังเดิน...แต่ต้องเรียกว่าขี่จักรยานสำรวจสนามมากกว่า
สายตาคมกล้าของเขาปรับโฟกัสไปที่เจ้าเด็กที่อยู่ตรงกลางทันทีที่เห็นกลุ่มคนที่ใส่เสื้อทีมโตโรรอสโซ่ขี่จักรยานใกล้เข้ามา
ริมฝีปากอมยิ้มน้อยๆอย่างกำลังนึกว่าคราวนี้จะได้เห็นท่าตลกๆอะไรจากเด็กนั่นอีกกันนะ
เขาจึงยกมือทักทาย เมื่ออีกฝ่ายสวนกันพอดี...
เขาหันไปมองตามเด็กนั่นที่ตัวแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
จากที่เคยปั่นจักรยานอยู่ดีๆร่างทั้งร่างกลับไม่ยอมขยับ
ปล่อยให้จักรยานไหลลงเนินไปตามแรงดึงดูดของโลกซะงั้น
เฮ้ๆ...อันตรายไม่ใช่เหรอน่ะ?
เขาคิดในขณะที่ยังมองตามเด็กนั่นไป
แล้วมันก็อันตรายจริงอย่างที่ว่าเพราะตอนนี้เซบาสเตียน
เวทเทลกำลังพุ่งตรงดิ่งเข้าหากำแพง!
โครม!!
จักรยานล้มลงท่ามกลางความตกใจของคนที่อยู่รอบกาย
เขาเองก็ถึงกับอ้าปากค้าง ร่างกายออกวิ่งไปหาเด็กนั่นทั้งๆที่สมองยังไม่ทันได้สั่งด้วยซ้ำ
“เซบ?!!”
ลูกทีมโตโรรอสโซ่ทั้งเรียกทั้งเขย่าเด็กหนุ่มกันให้จ้าละหวั่น เทรนเนอร์ของเด็กนั่นเองก็รีบเลิกแขนเสื้อขากางเกงสำรวจดูว่ามีแผลตรงไหน
กระดูกหักไปหรือเปล่า
“ผมไม่เป็นไร...ไม่เป็นระ.....”
แล้วเด็กนั่นก็ชะงักค้างไปอีกรอบเมื่อเห็นหน้าเขา ปัดโธ่
หน้าสิ่วหน้าขวานอยู่แท้ๆจะมาตัวแข็งอะไรอีกล่ะ?
“รีบพาไปห้องพยาบาลสิ” เขารีบเตือนสติลูกทีมที่มีท่าทางลนลานและต่างทำอะไรไม่ถูก
แน่นอนว่าพวกนี้คงไม่รู้ว่าปฏิกิริยาเหมือนคนจิตหลุดของเด็กนั่นมันไม่ได้ร้ายแรงอะไรนักหรอก
ไอ้แผลถลอกที่หัวเข่านี่ยังจะดูน่าเป็นห่วงกว่าเลย!
“ถอยๆ”
เพราะคนอื่นไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซบาสเตียน เวทเทลกันแน่จึงได้แต่ตื่นตระหนก
แต่เขาที่รู้ดีทุกอย่างจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ตรงเข้าไปอุ้มเด็กนั่นแล้วแบกขึ้นหลัง
“เกาะดีๆ” เขาบอกเจ้าคนที่ยังตัวแข็ง สองแขนผอมๆนั่นจึงเอื้อมออกมาโอบรอบคอเขาอย่างเงอะๆงะๆ
สองขารีบจ้ำกลับเข้ามาที่พิตการาจทันที
ตลอดทางที่ร่างกายอยู่ใกล้ชิดกันขนาดนี้เขาจึงได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังกระหน่ำ...มันเป็นเสียงหัวใจของเซบาสเตียน
เวทเทล เป็นเสียงเต้นที่ทำให้ใบหน้าของเขาร้อนเป็นไฟอย่างไม่ทราบสาเหตุ...
เขาส่งตัวเด็กนั่นให้หมอดูแล...ได้ยินเสียงลูกทีมโตโรรอสโซ่ปรึกษาหมอกันยกใหญ่ว่าควรจะตรวจสแกนสมองของเด็กนั่นด้วยไหมเพราะพักหลังๆมานี้เซบมักจะมีอาการตัวแข็งทื่อโดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร
พูดๆอยู่ชะงักค้างไปเฉยๆก็ยังมี
เขาแอบหัวเราะในลำคอเพราะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเด็กนั่นเป็นอะไร...
แต่ดูจากแผลและอันตรายที่เด็กนั่นได้รับในวันนี้แล้ว...เห็นทีการเล่นสนุกของเขาก็ควรจะจบลงเสียที...
สองขาเดินเข้าไปในห้องพยาบาลหลังจากที่พวกลูกทีมปล่อยให้เซบาสเตียน
เวทเทลพักผ่อนอยู่ตามลำพัง
“คิมี่.......” ใบหน้ารูปไข่ผงะไปทันทีที่เห็นหน้าเขา
เขารีบเอื้อมมือไปจับมือของเด็กนั่นเอาไว้ก่อนจะบีบมันเบาๆเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตัวแข็งตายไปซะก่อน
“หมอว่าไงบ้าง?”
เขามองผ้ากอซที่แปะอยู่ที่หัวเข่าของเด็กนั่นอย่างรู้สึกผิดนิดๆ
“ก็...นอกจากแผลตรงหัวเข่า...ที่อื่นก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร......”
เขาขยับนั่งลงไปบนเตียงเคียงข้างคนที่นั่งอยู่ก่อน
เด็กนั่นทำหน้าอึกๆอักๆราวกับกำลังทำตัวไม่ถูก จริงๆแค่ทำเป็นเมินไปก็หมดเรื่องแล้วแท้ๆ
แต่เด็กนี่กลับซื่อตรงกว่าที่คิดและนั่นคงเป็นจุดที่เขามองว่ามันน่ารัก
“ชั้นมีเรื่องจะสารภาพ...นายฟังแล้วอาจจะโกรธ...แต่ในคืนนั้น...เราไม่ได้มีอะไรกันหรอก” เขาตัดสินใจบอกเด็กนั่นไปตรงๆ
จะได้ไม่ต้องตัวแข็งทื่อทุกครั้งที่เจอเขาอีก
แล้วเรื่องอันตรายอย่างวันนี้จะได้ไม่เกิดขึ้น
“เห๊ะ?
หมายความว่า....???”
เด็กนั่นถามออกมาอย่างงงงวย
“ชั้นกับนาย...เราไม่ได้มีเซ็กส์กัน...ชั้นโกหกนาย”
“ห๊ะ??” งง ทำหน้างงหนักกว่าเก่าอีก
เขาถึงกับแอบขำในใจ
“คืนนั้นชั้นเจอนายเมาไม่รู้เรื่องอยู่หน้ามอเตอร์โฮมของนาย
ชั้นกำลังหงุดหงิดที่ถูกนายทำลายเรซของชั้นในวันนั้น ก็เลยอยากจะเอาคืนนิดหน่อย
ก็เลยพานายกลับโรงแรมไปด้วยแล้วก็กรุเรื่องทั้งหมดนั่นขึ้นมาเพื่อแกล้งนาย”
คราวนี้เด็กนั่นดูจะอึ้งไปเมื่อได้ฟังเรื่องจริงทั้งหมด
“หมายความว่าเราไม่ได้มีอะไรกัน?
คุณไม่ได้ใส่ของคุณเข้ามาในตัวผม?”
“อือ...ก็ตามนั้นแหละ...หรืออยากจะให้ลองใส่เข้าไปไหมล่ะ?”
“ไม่...”
“ที่ล้อเล่นกันแรงๆแบบนี้...ขอโทษด้วยก็แล้วกัน” เขาก้มหัวขอโทษกับเด็กนั่นตรงๆ
จากนี้ไปคงจะโดนโกรธหรืออาจจะไม่ชอบขี้หน้าเขาไปตลอดเลยก็ได้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายผิด
“เอาจริงเหรอเนี่ย.....”
แต่แล้วจากที่คิดว่าจะได้ยินเสียงดุดันที่ว่ากล่าวเขาอย่างโมโห
เด็กนั่นกลับครางออกมาอย่างโล่งใจก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” จากที่คิดว่าจะถูกโกรธ
แต่เด็กนั่นกลับหัวเราะเสียยกใหญ่จนเขาได้แต่งงและทำอะไรไม่ถูก
“หัวเราะอะไรของนายเนี่ย?
ไม่โกรธรึไง?”
“ฮ่าๆๆ...ถะ...ถ้าเป็นคนอื่นผมคงจะโกรธ
แต่พอคิดว่าคนที่แกล้งผมแบบนี้คือคิมี่ ไรโคเนนแล้ว...ผมกลับคิดว่า
ผมนี่เป็นคนพิเศษจริงๆน้า เพราะคนอย่างคุณไม่น่าจะมีอารมณ์อยากแกล้งใคร
คงจะมีแค่ผมคนเดียวใช่ไหมล่ะ? แถมคุณยังตรงไปตรงมา
กล้ามายอมรับกับผมตรงๆแบบนี้”
ก็จริง...ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเล่นกับใครแบบนี้มาก่อน
ไม่เคยมีอารมณ์อยากจะแกล้งใครแบบนี้มาก่อนจริงๆนั่นแหละ
“นี่คิมี่
ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ!” ห๋า?
นอกจากไม่โกรธแล้วยังจะคบเขาต่ออีกเร๊อะเจ้าเด็กนี่
“หึ...” เขายกมือขึ้นมาบีบหัวคิ้วพลางหัวเราะเบาๆ
“เอาสิ”
แล้วจากนั้นเป็นต้นมา...เจ้าหมาโกลเด้นตัวโตนี่ก็เกาะติดเขาแจ
ถึงจะบอกว่าเป็นเพื่อนแต่เสียงหัวใจที่เคยได้ยินนั้นมันก็ทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้กันดีว่าระหว่างพวกเขามันก้าวข้ามคำว่าเพื่อนมาแล้ว
เพียงแค่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ ไม่ได้หาคำตอบต่อไปว่าจะเรียกมันว่าอะไร....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“อือ...” เสียงงัวเงียดังมาจากคนที่นอนอยู่ข้างๆ
แล้วไม่นานผ้าห่มที่คลุมหัวสีบลอนด์เข้มนั่นเอาไว้ก็ตลบเลิกออกพร้อมกับใบหน้าสลึมสลือของเซบ
“อยู่ไหนเนี่ย?”
ท่อนแขนที่เป็นมัดกล้ามยกขึ้นขยี้ตาไม่ต่างไปจากเด็กๆ
“ห้องชั้น
นายเมา ชั้นเลยเก็บกลับมา”
เขาพูดออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนักที่เราต่างก็เปลือยกายนอนอยู่บนเตียงเดียวกันแบบนี้
“เหมือนวันนั้นเลย
ฮ่าๆๆ”
ก็ดูเจ้าคนที่ทำให้เขาลำบากลำบนขนกลับมานั่นสิ ยังมีหน้ามาหัวเราะร่า
“รู้สึกจะมีหลายวันเหลือเกินจนไม่รู้แล้วว่าเหมือนวันไหน” ก็นั่นแหละ หลังจากวันนั้น
เขาก็ยังมีโอกาสได้เก็บเจ้าโกลเด้นขี้เมานี่กลับโรงแรมอยู่อีกหลายครั้ง
ถึงได้บอกไงว่าไอ้เรื่องที่จะนอนร่วมเตียงนี่มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
“ขอบคุณนะ” ใบหน้ารูปไข่ขยับมาจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเขาก่อนจะพลิกตัวลงข้างเตียงอีกฝั่งแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป...
ใช่ไหมล่ะ...
คงจะไม่มี
“เพื่อน” ที่ไหนจูบอรุณสวัสดิกันแบบนี้หรอก...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
ฟิคเฉพาะกิจค่ะ
=v= แต่งเพื่อแก้บนค่ะ =v= 5555555+
เหตุเกิดที่สนามฮังการี่ปี
2017 ค่ะ...คือวันควอลิฟาย...ม้าได้โพล แถมวันทู ที่ 1กับ2....คุณกวางมันเลยคุยกับน้องม.(นามสมมติ) ว่าจะบนกับท่านเทพจีน่า ว่าถ้าวันแข่งม้ายังจบ
วันทู อยู่อีกตรูจะถวายฟิค คิมี่xเซบ
ให้....แล้วก็ปรากฏว่าวันแข่งม้าชนะขึ้นที่ 1กับ2 จริงๆค่ะ โฮรกกกกกกกกกก ทั้งๆที่เป็นสนามที่ยากแสนเข็ญไม่ง่ายเลยกว่าจะชนะได้
คือลุ้นจะตายห่านกันไปข้างละคนดู เพราะจีน่า(รถของเซบ)นางมีปัญหาที่พวงมาลัยไฮดรอลิกอะไรซักอย่างทำให้รถเอียงซ้ายไม่สมดุล
ควบคุมรถยากมากค่ะ นะ ก็ด้วยความเร็วระดับนั้นปกติตรูขี่จักรยานให้ตรงยังยากเรยถถถ
=v= รถเซบเลยช้า ซึ่งเซบนำอยู่ไงและนางจำเป็นต้องชนะเพื่อให้แต้มคะแนนรวมห่างจากอิแฮม
ซึ่งงงง มันเลยมาหนักที่คิมี่ซึ่งขับตามเซบอยู่
จะแซงก็ไม่ได้ทั้งๆที่รถตัวเองเร็วกว่าและคันหลังอย่างอิแฮมก็จี้ตูดอยู่
คือคิมี่หล่อมากอ่ะสนามนี้ คอยป้องกันหลังให้เซบ เป็นกันชนให้ ถ้าเป็นทีมเมทคู่อื่นจะยอมเร๊อะ
กันให้ตั้งหลายสิบรอบอ่ะถถถถ แถมกดดันมากๆด้วย ขนาดตรูดูยังเครียดแทนเลย
ลุ้นจีน่า(รถเซบ)ด้วย นางจะไหวไหมเนี่ย โอ๊ยยยย แต่จนแล้วจนรอดนางก็ทนมาจนเข้าเส้นชัยได้
เซบพานางคว้าธงตาหมากรุกได้โดยมีคิมี่กันอยู่ข้างหลังให้ตลอด อ๊ากกกกกกก
ทั้งลุ้นทั้งจิ้นถถถถ >v< ถึงกับมีคนตัดต่อภาพแซวว่าคิมี่เป็น
God save the Queen 555555 >/////<
แถมตอนควงแขนกันขึ้นโพเดี้ยม
สองนักขับม้าก็มุ้งมิ้งกันหนักมากกกกกก ตามรูป *q*
คือมันเป็นตอนที่พิธีกรกำลังสัมภาษณ์ที่3คือผู้กองอยู่
แล้วคิมี่กับเซบหันไปคุยกระหนุงกระหนิงไรกันไม่รู้ รู้แต่มีแอบจับมือกันค่า *[
]* อิคนดูอยู่ทางนี้นี่หวีดลั่นทุ่งเรยค่ะฟฟฟฟ อย่าเซ่
อย่าทำให้เค้าจิ้นนนนนน >/////< คือสารภาพบาปว่าจิ้นคู่นี้มานานแล้ว
ตั้งแต่ปีที่สองที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันได้ คือปีแรกแค่เอ๊ะๆ ยังไม่ทันจิ้น
แต่พอปีที่สองเริ่มเอ๊ะหนัก...เออ...กรูจิ้นก็ได้วะถ้าจะมิ้งกันขนาดนี้!!! >/////< ก็แอบจิ้นอยู่คนเดียวเงียบๆค่ะ
จนกระทั่งเอากาวไปมอมให้น้องม.(นามสมมติ)เมาไปด้วย
ทีนี้พอมีเพื่อนจิ้นนี่วางถุงกาวไม่ลงกันเลยค่ะ 555555+
เอ่า
กลับมาฉากมุ้งมิ้งบนโพเดี้ยมนั่นก่อนนนนนน เวิ่นออกนอกอ่าวไปเรื่อย =v= คือถ้าเซ็บจะจับมือแบบ จับหมับแบบผู้ชายจับมือกันงี้ตรูจะไม่จิ้นเรยค่ะ
แต่นี่จับแบบแตะๆอ่ะ >/////< คือมันเป็นธรรมชาติจนทนไม่ไหว
ก็รู้แหละว่าสองคนนี้สนิทกันมากแต่ขอตรูจิ้นเถอะ ฮืออออ กาวมาก...
จริงๆแล้วเหมือนเซบจะจับมือคิมี่เพื่อคาดคั้นถามอะไรซักอย่าง 5555 คิมี่ดึงมือกลับนิดๆเพราะจะหนี 5555 >////< แต่พอใส่ฟิลเตอร์สาววายเข้าไป.....อาห์...*q*...
มาพูดถึงฟิคเรื่องนี้กันบ้าง
เนื่องจากเรื่องที่แต่งไม่ใช่ Au ยังอยู่ในเวิร์สนักแข่งจริงๆ
เพราะงั้นก็เลยเอาแค่พอหอมปากหอมคอเนอะ แบบอ่านเขินๆกันไป อบอุ่นหัวใจสาววายกันไปอะไรงี้
คือจริงๆแล้วสองหนุ่มแห่งม้าลำพองนี่เค้าเป็นคุณพ่อลูกสองกันทั้งคู่แล้วอ่ะนะ
จะให้เรทดุเดือดนักก็รู้สึกผิดศีลธรรม 555555+
เอาไว้วันหน้าฟ้าใหม่ถ้าได้แก้บนต่อท่านเทพจีน่าอีก ก็ค่อยไปจักรวาลใหม่เอาแบ้วกัน
5555
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
>v< แล้วเจอกันเรื่องหน้าๆค่ะ 55555
เออ
คุณกวางมันอาจจะมีหลุดเรียกมาดามบ่อยๆนะคะ ให้เข้าใจตรงกันว่าคุณกวางเรียกเซบ
555555+ >////<
คือวันหนึ่งกำลังคุยกับน้องม.(นามสมมติ)เกี่ยวกับคนที่คิมี่พามาที่สนาม
กำลังพูดกันว่า มาดามไรโคเนนไง จะใครล่ะ แล้วน้องม.ก็ดันแปะรูปเซบมาพอดี........55555+
นะ จากนั้นก็เลยติดปากค่ะ ชอบเรียกเซบว่ามาดามไรโคเนนหรือเรียกสั้นๆว่ามาดาม
555555+ // โดนล้อจีน่าเหยียบ // ส่วนคิมี่จะเรียกท่านว่าคุณชาย =v=
ก็ด้วยประการฉะนี้ =v=
ชอบที่แต่งทุกเรื่องเลยยยย (รู้จักตลค.หรือไม่ก็อ่านอยู่ดี ฮา)
ตอบลบ//โซนทวงนิยาย gildeกับบุปผากับมังกรล่ะคะ!